จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การทําความดีและความเพียรทางธรรมนั้น ทําไม?จึงทําได้ยากจนถึงบางครั้งคนผู้จะมาปฏิบัติจนถึงกับยอมแพ้และไม่ปฏิบัติตามก็เพราะมันทําได้ยากนั้น...แต่มันมีเหตุให้เราท้อก็เพราะกิเลสที่ครองหัวใจเรามานานนั้นไม่อยากให้หัวใจดวงนี้มีอํานาจวาสนาทางธรรม...มันจึงได้ขัดขว้างการทําความเพียรของเรา เพราะกิเลสที่ครองหัวใจของสัตว์โลกมานานไม่อยากจะสูญเสียพรรคพวก และกิเลสก็ไม่อยากให้ใครได้ดีเลยมันจึงทําความดีหรือความเพียรทางธรรมนั้นได้ยาก...แต่คนผู้ฝืนกิเลสนั้นก็มีโอกาสที่จะทําความเพียรได้สําเร็จ เพราะถ้าเรามีความเพียร ความเพียรจึงมีความสําคัญมากๆในการปฏิบัติธรรม...พระพุทธเจ้าท่านได้เห็นเหตุแห่งการเกิดของสัตว์โลกที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้เหมือนมดไต่ขอบดุ้งไม่มีทางหลุดไปได้เพราะไม่รู้ทางออก ท่านจึงได้มีความเมตตาต่อสัตว์โลกผู็หลงอยู่ในโลกนี้ ท่านก็ชี้ลงไปที่การภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญา ที่จะหาทางออกจากทุกข์ ก็มีแต่ธรรมะของท่านเท่านั้นที่จะพาเราๆท่านๆออกจากทุกข์ไปได้...จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้มีความเพียรและความศรัทธาต่อพระศาสนาก็จะดําเนินตามรอยท่านได้สําเร็จทางธรรมไปได้...สาธุ
     
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การฝึกความเพียรก็ไม่ต่างจากสารถีฝึกม้า ถ้าม้าตัวไหนฝึกยากหรือพยศคือไม่ทําตามเจ้าม้าต้องการ ก็ต้องฝึกอย่างหนักและถึงกับบางคั้งไม่ให้กินหญ้า กินนํ้าก็มี เพื่อเป็นการปราบความพยศของม้าตัวนั้น...ส่วนการฝึกหัดในทางธรรมก็คล้ายๆกันถ้ากิเลสตัวดื้อดานเราก็เอาอย่างหนักเพราะถ้าจะเอาแบบเบาๆหรือสบายก็คงต้องแพ้ต่อกิเลสไปได้...ท่านจึงได้สอนไว้ว่าการปฏิบัติธรรมของแต่ละคนนั้นก็แล้วแต่จริตนิสัยที่มีมาว่าของใครจะฝึกได้หรือปฏิบัติได้ง่าย และของใครจะปฏิบัติได้ยากก็มีแต่เราๆท่านๆ เท่านั้นที่จะรู้นิสัยของตนเอง...ก็เหมือนสารถีผู้ฝึกม้านั้นเองจะรู้ว่าม้าตัวไหนฝึกง่ายและฝึกยากและเขาผู้ฝึกก็จะรู้วิธีฝึกของเขาเอง..ว่าจะทําอย่างไรกับม้าของเขานั้นเอง...
     
  3. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998

    น้องก็เดินไปเดินมาอยู่แถวๆนี้ละค่ะคุณพี่ แต่คุณพี่อย่าเพิ่งตกใจกับมุขของคุณภูจนลืมหายใจเข้าออกนะคะ อยู่เป็นเพื่อนกันไปก่อนค่ะ อิอิ(kiss)
     
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะถ้ายังไม่ถึงขั้นมีกําลังจะต่อสู้กับฆ่าศึกแล้วก็มีแต่ด้านกิเลสที่เป็นฝ่ายออกทํางานมากกว่า เพราะโดนกิเลสซักลากให้ไปคือ ความเผลอสตินั้นเอง...ต้องมีการปรุงแต่งอยู่ทั้งวันทั้งคืนเพราะกิเลสมันมีกําลังมากกว่าธรรม นี่คือขั้นเริ่มแรกของผู้ปฏิบัติจะรู้ได้เพราะถ้าผู้ปฏิบัติหาความสุขไม่ได้นั้นก็จะมีความฟุ้งซ่านรําคาญ เราก็จะรู้ได้เอง...เพราะเราต้องต่อสู้กับกิเลส เราต้องใช้สติอย่างมากคือทุ่มเททั้งจิตใจจึงจะสู้มันได้...สติมีแต่กําลังไม่พอเพราะการเริ่มปฏิบัติใหม่ๆนั้นเราต้องใช้ความเพียรอย่างหนักที่จะต่อสู้ให้เห็นประจักษ์ต่อเราเองที่จะทําให้เกิดความสงบให้เกิดขึ้นกับเราเอง พอความสงบได้เกิดขึ้นนั้นแหละผู้ปฏิบัติก็จะรู้ความแปลกประหลาดคือความสุขที่ได้รับจากความสงบที่ท่านบอกว่าขั้นสมถะธรรมคือความสงบสุขนั้น...แต่ยังไม่ใช่ขั้นปัญญา เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นได้เราต้องนําสมาธิธรรมคือความสงบสุขที่มีสติกํากับอยู่นั้นออกพาพิจารณาในธรรมขั้นนั้นๆจึงเรียกว่า"การเข้าวิปัสนา" เข้าไปดูให้รู้ความเป็นจริงของร่างกายที่มีความไม่เที่ยงนั้นเอง...จึงจะเกิดปัญญาตามมาเพราะจิตได้รู้จริงเห็นจริงในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผู้เห็นได้อย่างนี้จะมีแต่ความเมตตาจิตที่เกิดขึ้นเองซึ้งหาประมาณมิได้...และก็อย่างให้คนเห็นอย่างนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านได้รู้ได้เห็นแล้วก็มีพระอริยเจ้าผู้รู้เห็นตามท่านจึงเป็นของจริงที่ไม่มีอะไรจะมาค้านได้...เพราะธรรมก็คือของจริงที่เกิดขึ้นกับเราที่มีกายและจิตนั้นแหละที่เป็นแหล่งปฏิบัติธรรมของทุกๆคนสถานที่ที่ทํางานก็คือ "ที่กายกับจิต"ของเราๆท่านๆนี่เอง...สาธุค่ะ
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้นำธรรมะของครูบาอาจารย์มาเป็น

    ธรรมทาน...ไม่มีความสุขใดที่จะสุขเท่าได้รับพระธรรมคำสอนจากครูอาจารย์

    และมีความสุขที่เข้าใจในธรรมะธรรมทาน...ที่ทุกๆท่านได้นำมาเป็นธรรมทาน

    จึงขออนุโมทนากับทุกๆท่าน...และขอน้อมรับพระธรรมคำสอนค่ะ...

    ลูกน้อมกราบทุกๆพระองค์ และน้อมกราบหลวงปู่หลวงตาด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...หลวงปู่ชาท่านได้ยกตัวอย่างว่า...มีคนคนหนึ่ง...มีของมีค่า...

    ...เป็นแหวนหรือนาฬิกาตกหล่นอยู่ในหลุม...เราจะไปเอาคืนมา...เราเอาแขนของเรา...

    ...ลงไปในหลุม เราจะไปเอามันขึ้นมา...เพราะเสียดายอยากได้คืน แต่ว่าเราเอื้อม...

    ...ไม่ถึง มือก็ยังอยู่ในหลุม...คนส่วนใหญ่แทบทั้งนั้นจะโทษว่าหลุมมันลึกไป...

    ...มันไม่มีใครว่าแขนมันสั้นไป...มันโทษแต่เรื่องภายนอก ไม่ดูตัวเอง...

    ...โลกเราก็เช่นกัน เราอยู่ในโลก บางทีเราก็ทุกข์เพราะคนมันพูดอย่างนี้...

    ...โลกเป็นอย่างนี้ วุ่นวาย...มันไม่ได้ตามที่ตั้งใจอย่างนี้มันดูภายนอกทั้งหมดไม่ได้ดูตัวเอง

    ...สติมีหน้าที่ที่จะช่วยวกกลับให้เราดูตัวเอง...ให้เห็นอารมณ์สักแต่ว่าอารมณ์...

    ...ความรู้สึกก็สักแต่ว่าความรู้สึก...กายที่มีหน้าที่ในการรับรู้ก็สักแต่ว่ากาย จิตที่มีหน้าที่...

    ...รับรู้คิดนึกก็สักแต่ว่าจิต...สักแต่ว่าอารมณ์ สักแต่ว่าการเคลื่อนไหวมันไม่คิดไม่นึก...

    ...มันมีสติ...เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นของที่เรามองข้ามไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้...

    ...แต่เป็นสื่งที่เราไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง...เลยไม่มีความชำนาญพอ...

    ...การที่เราทำให้มีการหยุดสักหน่อยหนึ่ง...อย่างที่เราเริ่มต้นวันนี้เราก็หยุด...

    ...สักพักหนึ่ง สามนาที สี่นาที...ก็เป็นโอกาสที่สำรวม สำรวมจิตใจไว้ ยิ่งเราอยู่ใน...

    ...โลกนี้ มีการรับผิดชอบ มีหน้าที่การงาน มีหน้าที่ในครอบครัว...เราก็ให้รู้จักหยุด...

    ...เป็นครั้งเป็นคราว เป็นกาลเป็นเวลาหยุดไม่ใช่นิ่งเสียเลย...ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย...

    ...แต่ว่าหยุดเพื่อให้มีการสำรวมเกิดขึ้น...หยุดเพื่อให้สติรวบรวมภายในจิตใจของเรา...

    ...หยุดเสียซึ่งกิเลสทั้งหลาย...ที่ดึงเราให้ตกหลุมลึก...มาทำสติของตนให้มีความชำนาญ

    ...เราก็จะหลุดพ้นจากหลุมลึกนั้น.พระธรรมคำสอนของหลวงพ่อชา.น้อมกราบท่านด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.

    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2013
  7. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    สวัสดีดีค่ะคุณภู และเพื่อนกัลยาณมิตรทุกๆท่าน
    จุ๋มขออภัยที่หายไปนาน แต่คุณภูและเพื่อนกัลยาณมิตรทุกๆท่านไม่ได้หายไปจากดวงจิตของจุ๋มนะคะ ยังระลึกนึกถึงพวกท่านอยู่เสมอ มาวันนี้ ตั้งใจมากล่าวคำอวยพรให้กับกระทู้ของพวกเราชาวจิตบุญ เนื่องในวันเกิดครบรอบ ๑ขวด เอ๊ย!!๑ ขวบของ "จิตพร้อมรับภัยพิบัติ" ค๊า.....
    HBDs;37jaah;ปรบมือ;ปรบมือ;ปรบมือ;aa7;aa45
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8JodT805H4E]Happy birthday to you - YouTube[/ame]
    มากล่าวคำ อวยพร ให้กระทู้..
    กับมวลมิตร ผู้ยิ้มสู้ อย่างผ่องใส..
    ผ่านไปแล้ว1 ปี นี่กระไร!
    กับเวลา ที่ผ่านไป แหม เร็วจัง!..
    จะยังไงก็เถิด.. เกิดขึ้นแล้ว..
    ขอดวงแก้ว.. "กระทู้ใน ดวงใจฉัน"..
    สถิตย์อยู่.. นานเท่านาน.. ตราบถึงวัน..
    เธอ.. ท่าน.. ฉัน.. กายสลาย กลายเป็นดิน

    จุ๋ม: จบ.๘๔.
     
  8. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    :VO:VOเพลงนี้มอบให้คุณภูค่ะ (มีคนฝากมาให้) อิอิ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=sF1hIaHKANk&list=PL565714724C8035DF]Susan Boyle duets with Elaine Paige December 2009 - "I know Him So Well" - YouTube[/ame]
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    จิตตวรรค - หมวดจิต


    จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา
    เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้
    ม.มู. ๑๒/๖๔

    จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
    เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้
    ม.มู. ๑๒/๖๔

    จิตฺเตน นียติ โลโก
    โลกถูกจิตนำไป
    สํ.ส. ๑๕/๑๘๑

    จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ
    การฝึกจิตเป็นความดี
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๙

    จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ
    จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๓

    จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ
    จิตที่คุ้มครองแล้วนำสุขมาให้
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๓

    วิหญฺญตี จิตฺตวสานุวตฺตี
    ผู้ประพฤติตามอำนาจจิตย่อมลำบาก
    ขุ.ชา. ๒๗/๓๑๖

    เตลปตฺตํ ยถา ปริหเรยฺย เอวํ สจิตฺตมนุรกฺเข
    พึงรักษาจิตของตน เหมือนคนประคองบาตรที่เต็มด้วยน้ำมัน
    ขุ.ชา. ๒๗/๙๖

    ยโต ยโต จ ปาปกํ ตโต ตโต มโน นิวารเย
    ก็บาปเกิดจากอารมณ์ใดๆ พึงห้ามใจจากอารมณ์นั้นๆ
    สํ.ส. ๑๕/๖๓

    อนวัฏฺจิต จิตฺตสฺส สทฺธมฺมํ อวิชานโต
    ปริปฺวลปสาทสฺสุ ปญฺญา น ปริปูรติ
    เมื่อจิตไม่มั่นคง ไม่รู้พระสัทธรรม
    มีความเลื่อมใสเลื่อนลอย ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์
    ขุ.ชา. ๒๗/๑๓

    อานาปานสฺสติ ยสฺส อปริปุณฺณา อภาวิตา
    กาโยปิ อิญฺชิโต โหติ จิตฺตมฺปิ โหติ อิญฺชิตํ
    สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
    อันผู้ใดไม่อบรมให้บริบูรณ์ ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็หวั่นไหว
    ขุ.ปฏิ. ๓๑/๓๖๙

    อานาปานสฺสติ ยสฺส ปริปุณฺณา สุภาวิตา
    กาโยปิ อนิญฺชิโต โหติ จิตฺตมฺปิ โหติ อนิญฺชิตํ
    สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
    อันผู้ใดอบรมบริบูรณ์ดีแล้ว ทั้งกายทั้งจิตของผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
    ขุ.ปฏิ. ๓๑/๓๖๙

    ทิโส ทิสํ ยนฺตํ กยิรา เวริ วา ปน เวรินํ
    มิจฺ ฉา ปณิหิตํ จิตตํ ปาปิโย นํ ตโต กเร
    โจรกับโจรหรือไพรีกับไพรี พึงทำความพินาศให้แก่กัน
    ส่วนจิตตั้งไว้ผิด พึงทำให้เขาเสียหายยิ่งกว่านั้น
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๓

    น ตํ มาตา ปิตา กยิรา อญฺเญ วาปิจ ญาตกา
    สมฺมาปณิหิตํ จิตฺตํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร
    มารดาบิดาหรือญาติเหล่าอื่น ไม่พึงทำเหตุนั้นให้ได้
    ส่วนจิตที่ตั้งไว้ดีแล้ว พึงทำเขาให้ดีกว่านั้น
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๓

    ยถา อคารํ ทุจฺฉนฺนํ วุฏฐี สมติวิชฺฌต
    เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมติวิชฺฌติ
    ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีฉันใด
    ราคะย่อมรั่วรดจิตที่ไม่ได้อบรมฉันนั้น
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๑

    เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน น สมีรติ
    เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา
    ภูเขาหินแท่งทึบ ไม่สั่นสะเทือนเพราะลมฉันใด
    บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวในนินทาและสรรเสริญฉันนั้น
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๖

    อนวสฺสุตจิตฺตสฺส อนนฺวาหตเจตโส
    ปุญฺญปาปปหีนสฺส นตฺถิ ชาครโต ภยํ
    ผู้มีจิตอันไม่ชุ่มด้วยราคะ มีใจอันโทสะไม่กระทบแล้ว
    ผู้มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ผู้ตื่นอยู่ ย่อมไม่มีภัย
    ขุ.ธ. ๒๕/๒๐

    กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา นครูปมํ จิตฺตมิทํ ถเกตฺวา
    โยเธถ มารํ ปญฺญาวุเธน ชิตญฺจ รกฺเข อนิเวสโน สิยา
    บุคคลรู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อ กั้นจิตที่เปรียบด้วยเมืองนี้แล้ว
    พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา และพึงรักษาแนวที่ชนะไว้ ยับยั้งอยู่
    ขุ.ธ. ๒๕/๒๐

    จิตฺเตน นียติ โลโก จิตฺเตน ปริกสฺสต
    จิตฺตสฺส เอกธมฺมสฺส สพฺเพว วสมนฺวคู
    โลกถูกจิตนำไป ถูกจิตชักไป
    สัตว์ทั้งปวงไปสู่อำนาจแห่งจิตอย่างเดียว
    สํ.ส. ๑๕/๑๘๑

    ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน ยตฺถ กามนิปาติโน
    จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ
    การฝึกจิตที่ข่มยาก ที่เบา มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่
    เป็นความดี, (เพราะว่า) จิตที่ฝึกแล้ว นำสุขมาให้
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๙

    สุทุทฺทสํ สุนิปุณํ ยตฺถ กามนิปาตินํ
    จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ
    ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้ยากนัก ละเอียดนัก
    มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่, (เพราะว่า) จิตที่คุ้มครองแล้ว นำสุขมาให้
    ขุ.ธ. ๒๕/๑๙

    ปทุฏฺฐจิตฺตสฺส น ผาติ โหต น จาปิ นํ เทวตา ปูชยนฺติ
    โย ภาตรํ เปตฺติกํ สาปเตยฺย อวญฺจยี ทุกฺกฏกมฺมการี
    ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติพี่น้องพ่อแม่
    ผู้นั้นมีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่บูชาเขา
    (นทีเทวตา) ขุ.ชา.ติก. ๒๗/๑๒๐

    *******************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอบพระคุณมากนะครับที่ยังไม่ลืมกัน
    และฝากคำขอบคุณสำหรับคนที่ฝากเพลงมาด้วยนะครับ
    ขอให้คุณจุ๋มเยอรมัน สุขกายสบายใจและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
    สาธุๆๆ


    [​IMG]
    มาสวัสดีด้วยคนค่ะ เอ๊ย!ตัวค่ะ
    หนูน่ารักมั๊ยคะ..อิอิ
    รักทุกคนนะคะ จุ๊บๆ​
     
  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  12. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ศาสนานั้นถ้าไม่มีอยู่ในโลกนี่ ก็เปรียบเหมือนแม่นํ้ามหาสมุทร ที่ไม่มีขอบเขต และสัตว์โลกผู้ที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลก็ได้แต่แหวกว่ายหาฝังไม่เจอเลย...นอกจากมีพระศาสนาเท่านั้นที่เป็นเกาะ เป็นแดน ให้สัตว์ได้ผักผ่อนอาศัย...พอให้บรรเทาหายเหนื่อยพอเป็นฝังเป็นฝาแล้วก็ได้พ้นจากฝังไปได้ เพราะได้รับการศึกษาอบรมจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น...เพราะธรรมะนั้นเปรียบเหมือนยารักษาโรคให้สัตว์พอบรรเทาอาการของโรคนั้นๆ เพราะสัตวที่ได้แหวกว่ายในวัฏฏะก็เหมือนคนที่เป็นโรคถ้าไม่มีหมอก็ไม่มีวันหายจากโรคนั้นๆ ต้องอาศัยหมอคือ"พระพุทธเจ้าของเราๆท่านๆที่ท่านได้รักษาโรคทางใจให้ผู้ปฏิบัติตามท่านได้หายจากโรคของกิเลสที่ทําร้ายสัตว์โลกให้มีแต่จมเป็นฝ่ายเดียว...ให้พ้นจากการแหวกว่ายให้พ้นจากฝังไปได้นั้นเอง...
    ที่มาจากเทปธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ ไม่ทราบเลยนะเนี๊ยว่าจะมีผู้รู้ตามดูเราอยู่ห่างๆ
    ดีมากเลยครับ แต่ถ้าคำกล่าวบิดเบือนกรุณาช่วยเตือน ช่วยเตะเข้าสายกลางที
    อย่าให้ผมต้องเดินมาลอยชาย ลอยนวลเข้าสู่ประตูนรกคนเดียวนะครับ
    กลัวนะไม่ใช่ไม่กลัวนรก ที่มาพร่ำธรรมะเนี๊ย เพราะพร่ำมากก็มีโอกาสผิดพลาดมากกว่าคนที่ไม่พร่ำนะ
    แต่ผมมีเจตนาเดียวก็คือ ความปรารถนาดีแค่นั้นเอง อย่างอื่นไม่มีอะไรแอบแฝงแน่นอน
    ทำไปพร่ำไปเพราะถือว่ามีเจตนาเดียว คือบริสุทธิ์ใจจริง ถึงคนเรามองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร
    ไม่ชมก็ไม่ว่ากัน ไม่ติก็ไม่เป็นไร ถึงชมผมก็ต้องวางอีก แต่ถ้าติผมก็พร้อมที่จะแก้ไข
    เพราะผมต้องการให้ลูกเดียว มิต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ แม้นกระทั่งคำชม
    ถึงบางคนไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่คิดว่าเบื้องบนทราบดี เพราะหรอกตนเองไม่ได้ ก็เท่ากับหรอกเบื้องบนไม่ได้เช่นกัน
    แล้วธรรมาทานของท่านก็ใช่ย่อยหรือเบาซะที่ไหน เจ็บๆแสบๆคันๆ โดนใจท่านผู้อ่านทั้งนั้น
    เอ๊าสรุปแล้ว พวกเราหรือไม่ใช่พวกเรามาช่วยกันๆ มองแต่สิ่งดีๆให้แก่กันไป

     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุๆกับคุณนกหญิงด้วยจ้า อันนี้โดน อันนี้โดน!
    ลูกขอน้อมจิตกราบแทบเท้าสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) ด้วยเศียรเกล้า..สาธุๆๆ
    _/l\ _/l\_ _/l\_
     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    น้อมเศียรเกล้า ก้มกราบ สมเด็จพ่อ เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...

    ขออนุโมทนาบุญ กับ คุณหมอ อุษาวดี ในธรรมทาน นี้ ด้วยค่ะ สาธุ
    ....
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ลืม"คราบมนุษย์"เรากันเถิด
    วันนี้ฯ คืนนี้ฯ จะนำเสนอ คำว่า "คราบมนุษย์"
    มารู้เท่าทันกิเลสตัณหาฯ ของเราเองดีกว่า...


    กิเลสตัณหาฯ ของคนเรานั้น มันผุด มันผลิตขึ้นมาทุกลมหายใจ ทุกวี่ทุกวัน
    ถามว่า ผู้ที่ไม่ปฎิบัติ หรือเป็นผู้ปฎิบัติก็ตาม แต่ถ้าเรามีสติไม่มากพอ
    เมื่อสติไม่มี ปัญญาก็ไม่มี ปัญญา(ทางธรรม)ที่มาหลังสมาธิ นั่นเอง
    เมื่อเราไม่มีปัญญาหรือมีปัญญาไม่เพียงพอ ก็เท่ากับเราไม่มีตัวรู้หรือรู้ไม่มาก
    เราก็จะแพ้กิเลสตัณหาฯ ของเราอยู่ร่ำไป เมื่อเราแพ้กิเลสตัณหาฯของเราแล้ว
    นั่นก็แสดงว่า เราก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจฝ่ายต่ำ คือกิเลสตัณหาอุปาทานโดยปริยาย
    คือเราตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์กันต่อไป อย่างหลีกเลี่ยงมิได้เลย

    สรุปว่าคนที่อยากหลุดพ้นหรือออกจากทุกข์ของตนเอง จะต้อง...
    ๑.รักษาศีลหยาบ(ศีล๕)ของเราให้บริสุทธิ์เสียก่อน
    ๒.ทำภาวนา(สมถะ+วิปัสสนา) หมายถึงเมื่อเราทำสมาธิจิตหรืออารมณ์ของจิตได้แล้ว
    และจะต้องทรงอุปจารสมาธิเป็นอย่างต่ำ แล้วทำวิปัสสนาไปพร้อมๆกันเลย
    แต่สำหรับจิตที่ทรงฌานได้แล้ว เมื่อจิตเกิดความนิ่งได้ที่แล้ว จิตเขาจะทำวิปัสสนาเอง
    แต่ถ้าจิตเขาไม่ยอมทำวิปัสสนา นั่นก็แสดงว่า จิตยังติดสุขจากฌานหรือยังออกจากฌานไม่ได้
    เพราะเจริญสติไม่ต่อเนื่อง ผลก็คือสมาธิหรือฌานไม่เกิดต่อเนื่อง ผลตามมาอีกคือปัญญาไม่เกิด
    ปัญญาหรือตัวรู้ที่จิตเขาจะนำไปวิปัสสนาจึงขาดตอน เพราะการวิปัสสนาจะต้องอาศัยปัญญา
    กล่าวอีกนัยยะนึงก็คือ วิปัสสนาจะเกิดขึ้นได้หรือจิตจะทำวิปัสสนาโดยสมบูรณ์แบบได้
    จะต้องอาศัยสมถะสมาธิเป็นฐานก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว วิปัสสนาก็จะกลายเป็นวิปัสสนึกไป
    คือข้าคิดนึกเอาเอง อันนั้นมันไม่ถูกหลักการของการเจริญพระกรรมฐาน

    วันนี้จะพาพวกเราไปให้ออกจากคราบแห่งความเป็นมนุษย์ของเราเสียที โดยการเจริญสติภาวนา
    หรือเดินมรรคให้ถูกต้อง และสุดท้ายให้ลืมคำว่า คราบมนุษย์ โดยการทำทุกวิธีทางให้เรา(จิต)
    อยู่เหนือขันธ์ ๕ แยกกายแยกจิตให้เด็ดขาด

    ให้อยู่เหนือความรู้สึกตัวคือสติเรา ความนึกคิดหรืออารมณ์จิตก็คือตัวเจตสิกของเรา
    มิฉะนั้นแล้ว เราก็ไม่มีวันที่จะชนะตนหรือกิเลสของตนเองได้เลย คนเราส่วนใหญ่มีมิจฉาทิฎฐิมาก
    เพราะฉะนั้น ต้องทำให้เป็นสัมมาทิฎฐิเสียก่อน ประการแรก เราละสักกายทิฎฐิของเราให้ได้ก่อน
    ก็คือ ที่มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ต่อไปนี้ให้เราเข้าใจกันเสียใหม่ว่า..
    ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะร่างกายนี้เป็นเพียงที่อยู่อาศัยชั่วคราวของจิตเราเท่านั้น
    ทุกคนที่หลงเกิดมามีัร่างกาย ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่ากายนี้จะต้องถึงกาลแตกดับอย่างแน่นอน
    ตายแน่ๆ ตายทุกคน แต่จะตายที่ไหน ตอนไหนไม่ทราบ จะไปรู้ทำไม รู้แค่ว่าตายแน่ ตายแน่
    แต่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับความจริงเท่านั้นเอง พระพุทธองค์ก็เคยได้ตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว
    เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราละสักกายทิฎฐิด้วยปัญญา ไม่ใช่ใครจะนึกละเดี๋ยวนี้แล้วก็จะละกันได้
    ต่อไปนี้พวกเราจะอยู่นิ่งเฉยหรือหายใจทิ้งไปวันๆนึง หารู้ไม่ว่าทุกวันเวลานี้เสียปล่าวๆ
    พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ ทำไมไม่ยอมละกายหยาบ ไม่ยอมตื่นจากกิเลสตัณหาอุปาทาน
    ก็เนื่องด้วยเราไม่มีตัวปัญญาหรือไม่มีตัวรู้เป็นของตน เราจึงละคราบมนุษย์ของเราไม่ได้
    เราจึงออกจากทุกข์ตนเองไม่ได้ เช่นกัน

    สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นสมมุติแทบทั้งสิ้น ตามที่เรามี/อยู่/เป็นนี้กับสิ่งใดๆก็ตามที
    ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดติดตัวเราไปในโลกหลังความตายเลยสักนิดเดียว
    แม้นกระทั่งร่างกายเรา ที่เข้าใจว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา มันก็ไม่ได้ไปกับเราด้วย
    แล้วจะมีอะไรจะติดตามเราไปหลังความตาย นอกเสียจากบุญหรือกุศล บาปหรืออกุศล

    เมื่อทุกคนรู้อย่างนี้แล้ว ทำไม๊ยังโง่ ยังงมงายกันอยู่ ไหนบอกว่าเรามีปัญญามาก แต่หารู้ไม่
    ปัญญาทางโลก=สัญญาคือความจำเท่านั้น หาใช่ตัวปัญญาหรือตัวรู้จริงๆไม่
    แต่ปัญญาในทางธรรมเรามันไม่ค่อยมีกัน ถ้าเรารู้มาก แล้วทำไมยังมีความทุกข์กันอยู่
    มาม่ะ มาเรียนรู้ธรรมกัน มาเรียนรู้ความจริงกันเสียที มาตัดบ่วงโซ่อาหารกิเลสแห่งตนเสีย
    คือตัดวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาทของตนเสีย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แต่ถ้าเรายังตัดกันไม่ได้
    นั่นก็แสดงว่า เราขาดความศรัทธา+ความเพียร =หนีไม่พ้นกองทุกข์ตนเอง
    ทุคติภูมิเป็นที่ไปของดวงจิต หลังโลกความตาย เวลาเราไปก็ต้องไปแต่ผู้เดียว คือจิตวิญญาณ
    เวลาเกิดก็มาผู้เดียว แล้วมีพ่อแม่ พี่น้อง ญาติและเพื่อนกันภายหลังออกจากครรภ์มารดา
    แต่เวลาจะไป(ตาย) เราก็ต้องไปแต่ผู้เดียวอีก เห็นมีแต่ญาติมิตร พี่น้องหรือพ่อแม่ไปส่งเรา
    แค่หลุมฝังศพ หรือเมรุคือเตาเผาร่างไร้วิญญาณของเราเท่านั้นเอง พวกเราเห็นกันไหมว่า
    วัดหรือเมรุที่วัด มิเคยว่างเว้นจากคนดีหรือไม่ดี ต้องตายจากกันทุกวัน ทุกคืน
    แต่ทำไมผู้คนจำนวนมากถึงได้มีลมหายใจกันอยู่ เห็นมีแต่สนุกสนาน ร่าเริงใจกันอยู่เล่า!
    ทำไมไม่ทำกรรมฐาน จะรอให้ทุกข์มากๆมาเยือนตนก่อน หรือให้เจ็บป่วยหรือ
    ทุกข์ปางตายเสียก่อนเราถึงจะทำกรรมฐานกันใช่ไหม๊ ป่านนั้น อาจจะสายเกินไป
    เพราะเวลาสบายดีหรือร่างกายแข็งแรงๆ พวกเราไม่รู้จักไปทำ ไปสร้างบุญ สร้างบารมีของตน
    เมื่อแก่ เจ็บหรือทุกข์มากๆ คือปางตายหรือเกือบตายก่อน เราถึงจะเริ่มทำกรรมฐานอย่างนั้นหรือ
    มันสายเกินไปแล้วลูกหลานเอ๊ย! พวกเรารู้บ้างไหม เวลาปฎิบัติเขาเน้นใจสบายก่อนค่อยลงมือปฎิบัติ
    แต่ถ้าพวกเราทำกรรมฐานหรือทำสมาธิหรือสร้างบุญบารมีของตนในขณะที่กายเจ็บป่วย
    กายเสื่อมโทรมหรือจิตใจไม่สบาย เราก็จะไม่ไปถึงไหน หรือเราก็จะได้แต่บุญแบบเจ็บๆ
    (เหมือนธรรมะหลวงพ่อจรัญฯ วัดอัมพวัน)
    ได้บุญแบบแก่ๆ บุญแบบเสื่อมโทรม บุญแบบทุกข์ทรมานใจ เป็นต้น
    เวลาพวกเราเป็นหนุ่มเป็นสาว ยามที่ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยจะทำกรรมฐานกัน
    จะไปหวังทำกันตอนแก่ ตอนเจ็บป่วยหรือเป็นทุกข์ปางจะตายกันอย่างนั้นหรือ?
    ขอให้พวกเราคิดกันเสียใหม่ถ้ายังหนุ่มสาวกัน ยังไม่สาย
    แต่ถ้าทำกรรมฐานยังหนุ่มสาว ยังมีร่างกายแข็งแรงดีอยู่ก็ยิ่งได้เปรียบ แต่ถ้าทำได้สำเร็จ
    ยังไม่ทันตายก็เสวยนิพพานบนดินไปแล้ว แต่ถ้าตายไปจริงๆ จิตหรือดวงวิญญาณ
    ก็จะไปสุคติภูมิ หรือพระนิพพานอย่างแน่นนอนที่สุด

    ที่สุดแห่งการเกิด ก็คือ การไม่ต้องกลับมาเกิดหรือมีกายหยาบกันอีกต่อไป
    เพราะว่า การเกิดหรือการมีกายหยาบจึงเปรียบเสมือนเรามีโรงงานเคลื่อนที่
    โรงงานที่คอยผลิตกิเลส ผลิตทุกข์ให้กับเราอยู่ตลอดเวลา เราแทบไม่ต้องไปทำอะไรเลย
    มันก็เป็นทุกข์จนได้ เพราะเพียงมีขันธ์ ๕ เท่านั้น มีเกิดก็ย่อมมีตายเป็นธรรมดาอยู่เช่นนี้
    ของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่หลงมาเกิดกันในโลกวัฎฎะ หรือโลกไม่เที่ยงนี้กัน

    คนเราทุกวันนี้กำลังอยู่ในโหมดสติธรรมดาเท่านั้น เราจึงออกจากทุกข์ของตนไม่ได้
    แต่ถ้าจะอยากออกจากทุกข์กัน เราก็ต้องเปลี่ยนเป็นโหมดจิตตนเสียก่อน
    ในระหว่างที่ย้ายโหมดนี้ เราจะต้องเจริญสติสร้างสติ สร้างปัญญาเป็นของตนไปด้วย

    พอเท่านี้ก่อน น้ำเริ่มนองแร๊ะ
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม ขอให้ทุกดวงจิตสัมผัสอารมณ์พระพุทธเจ้าได้กันไวๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 เมษายน 2013
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ให้พยายามลอยบาปออกจากจิตให้ได้มากที่สุด

    - บาป คือ ความชั่วของจิต กิเลสที่ครอบงำจิต

    - ความเศร้าหมองของจิต

    - อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมละ ปล่อยวาง บาปคือความชั่ว

    - อย่าลืมคำสอนของท่านฤๅษีที่กล่าวไว้ว่า พระอรหันต์คือผู้มีบาปอันลอยแล้ว หมายความว่าเป็นผู้ชำระจิตให้หมดจดจากกิเลส หรือความชั่วของจิต ด้วยการเห็นกฎของธรรมดา เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาไปหมด โลกทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ การหลงไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกนี้ ย่อมเป็นความชั่วของจิต

    - เจ้าอยากจักไปพระนิพพาน ก็จงหมั่นพยายามลอยบาปให้ออกจากจิตให้มากที่สุด

    - การพลั้งเผลอ ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส แต่ให้ได้มีสติรู้ตัว กลับใจ ชำระจิตให้ผ่องใสยอมรับกฎของธรรมดาให้เร็วที่สุดเท่าที่จักทำได้


    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    Frameset-12
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    .อยู่ที่ใจ...(หลวงปู่ขาว อนาลโย)
    ผู้เห็นเวทนา ผู้เห็นสัญญา ผู้เห็นสังขาร วิญญาณ
    เป็นผู้เห็นนามรูป นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
    อายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เห็นรูปมากระทบตา เกิดวิญญาณขึ้นที่นี่
    เสียงมากระทบหู เกิดวิญญาณที่นี่ขึ้นอีก
    รูปดีก็เกิดความยินดี ชอบใจ เป็นเวทนา อยากได้
    รูปไม่ดี เกลียดชัง เกิดทุกขเวทนา ไม่อยากได้
    ก็เป็นทุกขเวทนาขึ้น ตัณหาเกิดขึ้นมันก็เป็นปัจจัยให้ต่อกัน
    ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น ว่าขันธ์ของตน ว่าตัวของกู
    กูไปอยู่ที่โน่น กูไปอยู่ที่นี่ กูเป็นพระ กูเป็นเณร อุปาทาน

    เมื่อมีอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นเหตุให้อยากเท่านั้นแหละ
    เป็นเหตุให้เกิดภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดภพแล้ว
    เป็นเหตุให้เกิดชาติ เกิดชาติ ก็เป็นเหตุให้เกิด ชรา มรเณนะ
    เกิด โศกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ความคับแค้น
    อัดอั้นตันใจ อยู่ในสังสารจักร์
    นี่แล ดับความโง่อันเดียวเท่านั้นแหละ ผลไม่มี ดับเหตุแล้ว ผลก็ดับไปตามกัน
    ผลคือได้รับความทุกข์ ความสุขไม่มี คือดับอวิชชา
    ความโง่ นั่นแหละตัวเหตุ ตัวปัจจัย มันเองมันเป็นต้นเหตุ เป็นปัจจัย
    จิตเดิม ธรรมชาติเป็นเลื่อมประภัสสร
    เหมือนกันกับเพชรพลอย หรือเหมือนกันกับแร่ทองคำ

    ธรรมชาติมันก็เลื่อมสดใสอยู่ยังงั้น แม้นว่ามันยังปนอยู่ ปนอยู่กับดินนั่นแหละ
    แล้วอาศัยคนไปขุดมา รู้จักว่าเป็นบ่อเพชร บ่อทอง บ่อแร่นั่นแหละ
    เขาไปขุดเอาขึ้นมา มันติดอยู่กับดินอันหยาบนั่น
    ขุดมาแล้ว มาถลุงออก แล้วเอามาเจียรนัยอีก มันจึงสำเร็จ
    มีแสงวาบๆ เป็นทองคำก็เอาทำสายสร้อย ตุ้มหู
    จิตของเราทั้งหลายก็ดี มันเกลือกกลั้วอยู่กับอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง
    มันเอาอารมณ์เข้ามาห้อมล้อมมัน จิตมันจึงเศร้าหมอง
    แต่แสงมันก็มีอยู่นั่นแหละ อาศัยมาชำระมัน
    เราฝึกมาชำระจิตนั่นแหละทุกวัน ให้มันผ่องใส
    จิตเราต้องชำระให้มันบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรมาปะปนมันแล้ว
    อันนั้นละจิตบริสุทธิ์ จิตผุดผ่อง ผ่องใส จิตตัง ทันตะ สุขาวหัง
    ครั้นผู้อบรม ฟอกจิตของตน สั่งสอนจิตของตน
    มีสติสัมปชัญญะ ระวังจิตอยู่ทุกเมื่อ ประคองจิตให้อยู่ในความดี
    หมั่นขยันทำความเพียร ชำระจิต
    ยกบาปทั้งหลายเหล่านี้ออกจากดวงจิตอยู่ทุกวัน

    ครั้นละออกแล้ว ก็เหมือนฝนทั่งให้เป็นเข็มเท่านั้น
    ฝนไปฝนไป อาศัยวิริยะ ความพากเพียร อาศัยฉันทะ ความพอใจ
    จะเพียรฝึกฝนจิตของเราให้เลื่อมประภัสสร ฝนไปฝนไป
    ผลที่สุดก็เป็นจิตบริสุทธิ์ หมดมลทิน มีแต่ธาตุรู้อันบริสุทธิ์
    เป็นธาตุอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตบริสุทธิ์แล้วจะไปทางไหนก็ได้
    ไม่มีความเดือดร้อน เพราะเป็นแก้วอันบริสุทธิ์แล้ว บ่มีอันหยังมาเกิดแล้ว
    จิตแหละเป็นตัวนำทุกข์มาให้ ครั้นฝึกฝนดีแล้ว นำความสุขมาให้
    อยู่ในโลกนี้ก็มีสุข ความทุกข์ไม่มี
    อันนี้มันเป็นธรรมดาของอัตภาพของสภาวะ มันเป็นเองของมัน
    ถึงมันจะทุกข์ปานใด มันก็ไม่มีความเดือดร้อน หวาดเสียวต่อความทุกข์
    มันจะตายก็ไม่มีความอัศจรรย์ มันนี่จึงรู้เท่าสังขาร
    รู้เท่าสังขารจิตก็ไม่หวั่นไหว จิตไม่มีโศก ไม่มีเศร้าอาลัย
    จิตมีกิเลสเครื่องมลทินก็ปัดออกแล้ว จิตอันนี้เป็นจิตบริสุทธิ์ จิตสูง
    เพราะมันขาดจากการยึดการถือ เรามาหาความสุขใส่ตนไม่ใช่หรือ
    ต้องการความสุขเท่านั้นแล้ว จึงพ้นจากความสะดุ้งหวาดเสียว

    จิตของพระอริยะเจ้า จิตของพระพุทธเจ้า ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม
    มีลาภก็ไม่มีความยินดี เสื่อมลาภก็ไม่มีความยินร้าย
    ความสรรเสริญ พระพุทธเจ้าก็บ่ตื่น นินทา
    พระพุทธเจ้าก็บ่โศกเศร้าเสียใจ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
    จึงว่า มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ
    มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เหล่านี้ แปดอย่างนี้
    พระพุทธเจ้าและสาวก ไม่มีความยินดีและโศกเศร้า
    ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความยินดี ยินร้าย กับอารมณ์แปดอย่าง
    นี่ละ จึงว่าจิตประเสริฐ จิตเกษม

    ตนอยู่ไหน ตนมีความทุกข์ก็เพราะตนทำให้ตน
    เมื่อทำความดีใส่ตนแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้รู้ตน เป็นผู้ยกตน เป็นผู้รักษาตน
    ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแก่ตน อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ
    ตนแล เป็นที่พึ่งของตน เป็นที่พึ่งของตนได้ก็เพราะตนนั่นแหละทำความดี
    เป็นที่พึ่งของตนไม่ได้ ก็เพราะตนเป็นผู้เกียจคร้าน
    ไม่มีศรัทธา เข้าวัดฟังธรรม รักษาศีล มันมัวแต่เห็นแก่ปากแก่ท้อง
    มัวหามาใส่ปากใส่ท้อง คอยเวลาที่มันตายนั่นแหละ

    ในเบื้องต้น ให้ตรวจดู ทานบารมีก็ดี ศีลบารมีก็ดี เนกขัมมบารมีก็ดี
    ตรวจดูมันอย่างไร อยู่ที่เราจะก้าวขึ้น ก้าวขึ้นชั้นสูง
    ให้ทานสูงนั่นแหละเรียกว่าปรมัตถบารมี เลือดเนื้อชีวิตจิตใจนี่แหละ
    ถวายบูชาพระพุทธเจ้า ถวายบูชาพระธรรม ถวายบูชาพระสงฆ์
    ได้ชื่อว่าให้ทานสูง อันนี้ได้ชื่อว่าเป็น ปรมัตถทาน ปรมัตถบารมี
    ให้ทานเลือดเนื้อ ไม่เห็นแก่ชีวิตจิตใจ
    มุ่งหน้าทำความเพียรจนตลอดวันตาย เป็นทานบารมี ไม่ต้องหวงแหนมันไว้
    ต้องให้มันทำความเพียร อย่าปล่อยให้มันชำรุดทรุดโทรมไป
    มันมีแต่จะครั้นชำรุดทรุดโทรมไป เหมือนเรือคร่ำคร่า
    นั่นแหละ มันมีแต่สลักหักพังไป
    ครั้นมันเฒ่ามาแล้ว มันบำเพ็ญเพียรอีหยังบ่ได้ดอก
    ยังหนุ่มยังแน่นตั้งใจทำความเพียรไป
    ครั้นเฒ่าอย่างอาตมานี่ มันผ่านมาแล้ว
    แม้จะแบกแต่กระดูกของตนก็จะตายแล้ว ปานนั้นมันก็บ่ยอมให้เขา
    หอบมันอยู่นี่แหละกระดูก จะตายให้มันตายอยู่นั่น
    ไม่ยอมหรอกเรื่องทำความเพียร เอามันจนตาย

    พระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกก็ดี เมื่อสำเร็จกิจแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    ก็ยังขยันกว่าเราเสียอีก นี่แหละ ท่านหมดเชื้อแล้ว
    หมดเชื้อแล้วอยู่เย็น มีความสุข หมดความขี้ลักขี้ขโมย
    หมดขี้โกรธ ขี้โลภ ขี้หลง นี้หมดแล้ว พระพุทธเจ้าและสาวกก็หมดแล้ว
    ขี้เกียจขี้คร้าน ความขี้เหงา ขี้เซา ขี้หลับขี้นอน พวกนี้หมดแล้ว
    พระอริยเจ้าท่านทำความเพียร ขุดขึ้นมา ขุดตัณหาขึ้นมา
    รากน้อยรากใหญ่ขุดขึ้นมา เอาขึ้นมาแล้วก็กวาด
    กวาดขึ้นมาแล้วเอาใส่ไฟ เผาไฟ กวาดแล้วกวาดเล่า เผาแล้วเผาเล่า
    เผาแล้วโกยลงน้ำที่เชี่ยว โกยแล้วโกยเล่า จนหมด
    ครั้นหมดเชื้อต่างๆ แล้วไม่มีดอกความเกียจคร้าน
    เราอย่าหมั่นขยันแต่ทำบาป ให้ขยันแต่ทำดี ทำความบริสุทธิ์
    ทำบุญทำกุศลนี่ ให้หมั่นทางนี้ บาปด่ากัน บาปมันขึ้นมา หน้าแดง
    เรานี้เฮ็ดบาปคือขันแท้ ไปขยันใส่บาป

    ครั้นรู้จักว่าบาปก็บ่ขยันแล้ว จึงว่าให้กลัวบาป คำเถียงกันด่ากัน
    ทะเลาะวิวาทเบียดเบียนกันเป็นบาป อยากไปขันใส่มัน ให้หลีกไปไกล
    ให้เอาใจเว้น อย่าเอาใจใส่ ครั้นเว้นแล้ว มันก็บ่มีความเดือดร้อน
    ใครจะว่าอย่างใดก็ตาม เราไม่ว่าใส่เขาดอก
    เขาติฉินนินทา เขาก็ว่าใส่เขาเอง ปากเขามันก็อยู่ที่เขา หูเขามันก็อยู่ที่เขา
    เราจะเอามันเข้ามารวมไว้ให้มันเผาตนหยัง
    เราก็เป็นคนอยู่ไม่ใช่ควาย มันเป็นอย่างใด
    เราจึงตั้งสติฟาดมัน มันเป็นหยัง ให้ดูมัน เรารู้จักมันแล้ว เรารู้จักกิเลสแล้ว
    ดูมันเฉพาะตาย ถ้ามึงไม่ตายกูตาย เอาให้ตนเสียความดีนั่น
    บาปก็อยู่ที่ใจ ใจนี่เป็นผู้ว่า จึงว่าให้อบรมใจ
    มีสติสั่งสอนใจ อบรมนี่แหละ จะเอาภพเอาชาติก็แม่นใจนี่แหละ
    จะเป็นวัวเป็นควายก็แม่นใจนี่แหละ ครั้นดับใจนี้ได้ มันก็มีแต่เย็น
    มีแต่ความสุขเท่านั้น มันจะไปเกิดบ่อนใด
    ก็แม่นจิตนี่แหละไปยึดไปถือ มันเจ็บมันปวดก็เพราะใจไปยึดไปถือ

    ครั้นใจไม่ยึดไม่ถือแล้ว มันจะรู้จักการตาย รู้จักความตาย รู้จักมันดี
    ถ้าใจไม่ยึด มันจะมีทุกขเวทนามาจากไหน ไม่มี ดับเวทนาดับสัญญาได้อยู่
    ดับสังขารความปรุงได้อยู่ ดับวิญญาณความรู้ทางทวารทั้ง ๖ ได้อยู่
    ของใครของมันจะมีตนมีตัว มันไม่มีตนมีตัว
    แต่ว่ามันจำมันหมายว่าเจ็บนั่นเจ็บนี่ เวทนาก็พร้อมกันเกิดขึ้น
    มันไม่มีตัวมีตน มันก็ดับไปอีก ดับก็จิตมันสงบนั่นแหละ
    ครั้นจิตมันสงบแท้ ๆ ไม่มีคนหยังจะมาเจ็บอยู่นี่
    จึงว่าให้อบรมจิตนั่นแหละ จิตสงบแล้วไม่มีผู้ใดเจ็บ คนบ่มี บ่อนตัวไม่มี
    แล้วก็ไม่มีอะไรเจ็บแล้ว ครั้นบ่มีคนแล้ว เป็นหยังจะมาจำหมายนั่นอยู่
    บัญญัติอยู่ก็รู้ว่าไม่มีคน บัญญัติทางตา หู จมูก ลิ้น ก็บ่มี บ่มีคน มันว่างม๊ดละ
    ไม่มีอุปาทานแล้ว วางเสียก็มีความสุขนั่นแหละ จิตสงบ ให้ฝึกหัดจิต

    ตัวรักษาดีแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้แต่งความสุขให้ตน
    นั่นแหละเรียกว่าตนมีที่พึ่ง ปัจจุบันก็ไม่มีความเดือดร้อน
    แต่งทรัพย์สมบัติให้ตน สมบัติภายนอกมากมาย ไม่มีความยากจน
    ตบแต่งมนุษย์สมบัติให้ตน สมบัติภายนอกมากมาย
    ไม่มีความยากจน ตบแต่งมนุษย์สมบัติให้ตน
    ตบแต่งสวรรค์สมบัติให้ตน ตบแต่งเอาเอง
    รักษากาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์
    ไม่แตะไม่ต้องสิ่งอันหยาบช้าเลวทราม
    ศีลห้าก็เป็นมนุษย์สมบัติ เป็นสวรรค์สมบัติ
    ศีลแปดก็ดีเป็นมนุษย์และสวรรค์สมบัติด้วย
    ก็ใครเล่าแต่งเอาให้ ก็เรานั่นแหละแต่งเอาเอง
    ใครจะทำให้เราได้ พระพุทธเจ้าเป็นแต่ผู้สอน
    มันก็แม่นเรานั่นแหละ ครั้นทำบ่ดีก็แม่นเรา
    เพราะเหตุนั้นให้รักษาให้มันดี ที่ไม่ดีอย่าไปทำ
    พวกเรานี่มันสับสนปนกันนี่ทั้งดีทั้งชั่ว มันจึงสุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้
    เอาอยู่อย่างนั้นแหละ ได้รับทั้งสุข ได้รับทั้งโทษ เพราะสับสนปนกัน


    คัดลอกมาจาก...หนังสืออนาลโยวาท
    พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ขาว อนาลโย และประวัติความอาพาธ
    คณะศิษยานุศิษย์จัดพิมพ์ถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
    ในการพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
    (หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู )

    Home Main Page
    **********************************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    หลวงพ่อเล่าว่า พระท่านสั่งถึงญาติโยม

    ...พระท่านสั่งถึงญาต­ิโยมทุกคนมีคนยืนข้าง­นอกไหม (มีเยอะครับ) ท่านบอกว่า ทุกคนจิตเข้มข้นมาก ข้างในก็ดี ข้างนอกก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้า­งนอกหนัก ไม่งั้นยืนไม่ไหว

    ท่านก็เลยบอกว่า "ทุกคนก่อนจะหลับ หรือตื่นใหม่ๆ ตั้งใจจำภาพพระพุทธรู­ป หรือคนที่เคยเห็นภาพพ­ระพุทธเจ้าด้วยทิพจัก­ขุญานนะ จับภาพพระพุทธเจ้าไว้­ก่อนหลับหน่อยหนึ่ง หรือตื่นใหม่ๆ ไม่ต้องนั่งก็ได้ นอนก็ได้ นอนลืมตาดูท่าน หรือหลับตานึกถึงท่าน­ จะภาวนาก็ได้ แต่ห้ามภาวด่า นี่ท่านไม่ได้ห้ามนะฉ­ันห้ามเอง ก็ถามท่านว่า มีผลอย่างไร ท่านบอก จะรู้ผลเองเมื่อตาย นี่ท่านพูดเองนะ ทีนี้ท่านย่า ท่านยืนกับแม่ศรี ท่านก็หัวเราะ ย่าบอก "คุณ ๑๐๐ เปอร์เซนต์"

    แต่ความจริงจับภาพพระ­พุทธเจ้านี่ดีนะ ฉันเคยไปหลับที่บ้านบ­นหลายหน ก่อนป่วยหนักฉันก็หลั­บอยู่บนบ้านนั้นแหละ บ้านสูง เดินเที่วไปเที่ยวมา อยู่บนนี้ดีกว่า เดี๋ยวไอ้ตัวล่างหลับ­แหงแก๋ไปแล้ว มันตัดกันนี่นะ มันหลับไปเราก็สบาย ลงโน่นนั่นแหละตี ๕ หรือไม่ก้ ๖ โมงเช้าสบายโก๋ ความจริงจิตเป็นสุขถ้­าทำอย่างนี้ทุกวันนะ ผู้ได้มโนมยิทธิน่ะขึ­้นไปเลย ถ้าก่อนนอนขึ้นไม่ไหว­ เช้ามืดตื่นปั๊บขึ้นไ­ป ให้มันชินต่ออารมณ์ ถ้าชินต่ออารมณ์ก็มีค­วามรักในสถานที่นั้น ถ้าเวลาจะตาย ใจมันไปที่มันรัก

    (คัดลอกบางตอนจากหนัง­สือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๘๕ มีนาคม ๒๕๓๑ หน้า ๒๐-๒๑)
     

แชร์หน้านี้

Loading...