จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เล่าประสบการณ์สู่กันฟัง ที่ผู้เขียนเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงเคยได้อธิษฐานไว้ตามแต่ท่านจะอธิษฐานในเรื่องใดๆนั้นตามแต่ท่านจะปรารถนา แต่ผู้เขียนเคยคิดไว้ว่าอยากจะเจอกับหลวงปู่หรือหลวงตาที่เราศรัทธาท่าน ที่เราได้คิดไว้ด้วยความศรัทธาต่อท่านอย่างจริงใจก็เหมือนท่านจะรู้ความนึกคิดของเรานั้นจริงๆเพราะมันได้เกิดขึ้นกับผู้เขียนเพราะผู้เขียนเคยอธิษฐานอยากจะพบเจอหลวงปู่จรัญตอนนั้นได้ยินแต่ชื่อท่าน...แล้วก็ไม่เคยได้เจอท่านเราก็เลยอธิษฐานที่อังกฤษว่าอยากเจอท่านสักครั้ง... ตอนกลับไทยผู้เขียนก็ได้เจอท่านตามความปรารถนาจริงๆที่มันไม่น่าเชื่อก็เพราะแค่รู้ก่อนล่วงหน้าแค่วันเดี่ยวจริงๆว่าท่านจะมาขอนแก่น ผู้เขียนได้ทราบแค่ก่อนวันที่ท่านจะมาจากแม่ผู้เขียนวันนั้นนึกอยากโทรหาแม่ พอแม่บอกพรุงนี้แม่ไม่เข้ามาหานะ แล้วผู้เขียนก็ถามว่าแม่จะไปไหน? แม่ก็บอกกับผู้เขียนว่าจะไปวัดเวฬุวันที่ขอนแก่น ว่าจะไปงานพระราชทานเพลิงศพของลูกศิษย์หลวงปู่จรัญ ผู้เขียนก็ถามแม่หลวงปู่ท่านจะมาไหม?แม่ก็บอกท่านมา...แค่นั้นแหละผู้เขียนดีใจอย่างบอกไม่ถูกก็เลยบอกแม่ว่าหนูก็จะไปด้วยก็เลยเป็นบุญและได้เจอท่านเหมือนท่านจะรู้ด้วยว่าผู้เขียนอยากจะเจอท่าน เพราะได้นั่งรอท่านอยู่ในศาลาอย่างใจจดจ่อ เพราะเกิดปิติอยากจะนั่งอยู่อย่างนั้นแหละท่านก็ดูรู้ว่าเราไม่อยากจะไปจนแม่บอกว่าต้องไปตรงที่ทําพิธีแล้วนะเพราะพ่อและญาติๆ รออยู่ตรงนั้นแล้ว ผู้เขียนก็เลยยอมลุกออกไปแต่พอผู้เขียนแค่ลุกขึ้นจะไป ก็มีญาติโยมมาพยุงท่านลุกไป ผู้เขียนจงได้นําเล่าสู้กันฟังเพราะความคิดของเราๆท่านๆนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ จึงขอให้ท่านจงได้เป็นผู้คิดดี คิดชอบ และทําดี ทําชอบด้วยกันหมดทุกๆท่านด้วยเทอญ.
     
  2. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    จูฬสุญญตสูตร (ต่อ)

    [๓๓๘] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากาสานัญ
    จายตนสัญญา ไม่ใส่ใจวิญญาณัญจายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะอากิญจัญญา
    ยตนสัญญา จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในอากิญ-
    *จัญญายตนสัญญา

    เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในอากิญจัญญายตนสัญญานี้ไม่มีความ
    กระวนกระวายชนิดที่อาศัยอากาสานัญจายตนสัญญาและชนิดที่อาศัยวิญญาณัญ-
    *จายตนสัญญา มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียวเฉพาะอากิญจัญญาย-
    *ตนสัญญาเท่านั้น

    เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากอากาสานัญจายตนสัญญา สัญญานี้
    ว่างจากวิญญาณัญจายตนสัญญา และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียวเฉพาะอากิญ-
    *จัญญายตนสัญญาเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละเธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่ง
    ที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลยและรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในสัญญานั้นอันยังมีอยู่ว่ามี ดูกร
    อานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด
    บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
     
  3. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    จูฬสุญญตสูตร (ต่อ)

    [๓๓๙] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจวิญญาณัญจายตน-
    *สัญญา ไม่ใส่ใจอากิญจัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเนวสัญญานา-
    *สัญญายตนสัญญา จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ในเนว
    สัญญานาสัญญายตนสัญญา

    เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
    นี้ ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยวิญญาณัญจายตนสัญญาและชนิดที่อาศัย
    อากิญจัญญายตนสัญญา มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวายคือภาวะเดียวเฉพาะ
    เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเท่านั้น

    เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากวิญญาณัญจายตน
    สัญญา สัญญานี้ว่างจากอากิญจัญญายตนสัญญา และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือสิ่งเดียว
    เฉพาะเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณา
    เห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ใน
    สัญญานั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง
    ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
     
  4. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    จูฬสุญญตสูตร (ต่อ)

    [๓๔๐] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญา-
    *ยตนสัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะ
    เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อม
    อยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต

    เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในเจโตสมาธินี้ ไม่มีความ
    กระวนกระวายชนิดที่อาศัยอากิญจัญญายตนสัญญาและชนิดที่อาศัยเนวสัญญานา-
    *สัญญายตนสัญญา มีอยู่แต่เพียงความกระวนกระวายคือความเกิดแห่งอายตนะ ๖
    อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย

    เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากอากิญจัญญายตน-
    *สัญญา สัญญานี้ว่างจากเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาและรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็
    คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้
    แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และ
    รู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็
    เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของ
    ภิกษุนั้น ฯ
     
  5. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    จูฬสุญญตสูตร (ต่อ)

    [๓๔๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตน-
    *สัญญา ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ
    อันไม่มีนิมิต จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น และนึกน้อมอยู่ใน
    เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต

    เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล ยังมี
    ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้ ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น ไม่เที่ยง
    มีความดับไปเป็นธรรมดา

    เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จาก
    กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ

    เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า
    หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จ
    แล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

    เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความ
    กระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชา-
    *สวะ มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัย
    กายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย

    เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ สัญญานี้
    ว่างจากภวาสวะ สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิด
    แห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึง
    พิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลือ
    อยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่
    ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
     
  6. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    จูฬสุญญตสูตร (ต่อ)

    [๓๔๒] ดูกรอานนท์ สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาลไม่ว่าพวกใดๆ ที่
    บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ก็ได้บรรลุสุญญตสมา-
    *บัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่

    สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลไม่ว่าพวก
    ใดๆ ที่จะบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น ก็จัก
    บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่

    สมณะหรือพราหมณ์ในบัดนี้
    ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น
    ย่อมบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่

    ดูกรอานนท์ เพราะ
    ฉะนั้นแล พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า เราจักบรรลุสุญญตสมาบัติอัน
    บริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี
    พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

    จบ จูฬสุญญตสูตร ที่ ๑
     
  7. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ของผมวางแผนมาดี เพราะคาดกาลล่วงหน้าไว้แล้วว่า ยิ่งใกล้วันงานคนจะต้องเยอะขึ้นเรื่อยๆ

    ก็เลยไปถึงวัดตั้งแต่เช้าวันที่1 เพราะงานเสด็จพระราชทานเพลิงศพมีในวันที่5

    ก็เลยต้องไปเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบ จุดไหนมีเสบียงโรงทาน
    จุดไหนที่พัก จุดไหนมีห้องน้ำ จุดไหนพอที่จะช่วยทำอะไรได้บ้าง

    จริงๆก่อนไปก็ได้ติดต่อทางศิษย์วงในใกล้ชิดหลวงตา ที่นับถือท่านเป็นแม่ล่ะ
    แกบอกให้ไปพักที่บ้าน พอไปหาท่านแล้วก็เลยบอกเหตุผล
    กางเต้นท์ไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าไปพักข้างนอกคงจะเข้ามาได้ยาก
    ซึ่งห่างจากวัดประมาณโลสองโล ก็เลยไม่ดีกว่า

    ตอนไปเอาเต้นท์ส่วนตัวไปด้วย ไปคนเดียวไปหาเพื่อนเอาดาบหน้า ก็เลยสบายๆ

    ไปช่วยเขาปั้นก้อนดิน ท้าแดดเปรี้ยงสนุกดี คนช่วยกันเยอะแยะ

    ยกโครงเหล็กที่ทำไว้เพื่อกั้นเมรุหลังจากเพลิงดับลงแล้ว

    คนส่วนใหญ่มักจะตื่นกันตี5 เราก็ตื่นตี4 ซะเลย เรื่องห้องน้ำก็เลยสบายๆ

    มีโรงทานขาประจำ คือ ก๋วยเตี๋ยวคณะศิษย์หลวงปู่เจี๋ยะ และก็ข้าวกล้องไข่เจียวจากสุรินทร์

    ช่วงสี่ห้าวันก็ฝากท้องอยู่โรงทานนี้ล่ะ มีโรงทานเยอะมาก ฟรีหมดในงาน

    คนก็เยอะจริงๆ พื้นที่หลังกันสาดออกไป ที่พระออกรับบิณฑบาตรหน้าวัด
    มีแต่เต้นท์นอนส่วนตัวทั้งนั้น กางเต็มบริเวณพื้นที่

    พอเช้าวันที่5 เท่านั้นล่ะ ทางวัดประกาศให้เก็บเต้นท์ เพื่อเคลียร์พื้นที่

    ทีนี้ ก็ไม่รู้จะไปไหนแล้วสิ เพราะคนมากันเยอะไปหมด คนอย่างกับมดแตกรัง

    นึกขึ้นได้ ในช่วงวันที่สี่ ได้ไปฟังสนทนากับพระท่านหนึ่งที่มาร่วมงาน
    ซึ่งเป็นศิษย์หลวงตา มาจากราชบุรี เหมือนท่านรู้ ท่านบอกว่าวันที่5 คนจะมา
    กันเยอะมากนะ ให้มาหลบอยู่ที่นี่ก็ได้ กุฏิพักรับรองในป่า ก็เลยถอนตัวไปที่นั่น สบายๆ

    ผู้คนที่มาร่วมงานที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งคนเฒ่าคนแก่ เขาอดทนกันมากนะ
    เพราะต้องนั่งจับจองพื้นที่รอบบริเวณเมรุจิตกาธาน กับแดดร้อนๆ กระทั่งเช้าจนพิธีเสร็จสิ้นก็คงมี เพราะด้วยใจศรัทธา ครั้งสุดท้าย

    คืนวันพระราชเพลิงศพ ก็นั่งอธิษฐานจิต อยู่ที่บริเวณนั้นล่ะ จนได้เวลาอันสมควร ก็กลับเข้าที่พัก

    พอเช้าวันที่6 ก็เดินทางตีตั๋วกลับ ช่วงเช้ายังเห็นผู้คน มาค้นหาเก็บพระธาตุกันอยู่เลย ที่ตามข่าวเคยออกมาว่ามีลมพัด หรือไงนี่ล่ะ

    ดังนั้น หากจะไปงานที่มีผู้คนเยอะๆ ต้องเตรียมการไว้ให้ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อนุโมทนา และให้มีความเจริญในทุกๆด้าน โดยเฉพาะทางธรรม เช่นกันครับ

    ขอบคุณครับ
     
  9. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อนุโมทนาเช่นกันครับ

    เคยมีนิมิตตอนทำสมาธิ เห็นท่านมายืนกวักมือเรียก ผมก็เลยต้องหาโอกาสไปกราบท่าน
    เพราะเมื่อก่อนได้แต่ฟังเสียงธรรมตามอินเตอร์เนต

    เข้าไปทางสายผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เป็นศิษย์วงในใกล้ชิดหลวงตา จึงได้อาศัยท่าน เข้าไปกราบท่านถึงกุฏิใหม่ ที่ท่านได้นิพพาน

    ยังจำได้ระลึกถึงทีไรยังปีติเสมอ ครั้งแรกที่ไปเราเตรียมซื้อเสื่อ ซื้อรองเท้า ไฟฉาย ชุดยารักโรค ไปถวายท่าน

    ก็ได้ถวายตอนที่ท่านออกมาจากวัด ช่วงนั้นหลวงตา
    ท่านยังนั่งรถไฟฟ้าออกมาหน้าวัดได้ บริเวณกันสาดรับบิณฑบาตรในทุกๆเช้า ก็เลยได้ถวายตอนนั้นล่ะ

    ก็ได้หาโอกาสไปวัดอยู่หลายครั้ง ช่วงนั้นรู้สึกเบื่อกับการแขวนพระเครื่อง
    รู้สึกว่าเราต่างหากที่คุ้มครองพระเครื่อง จึงแกะเอาทองไปถวายกับท่านซะก็จบ

    เคยฝันเห็นท่านอยู่สามสี่ครั้ง ท่านนั่งบนแคร่ในท่าสบายๆใส่เฉพาะอังสะ
    พอเราเข้าไป ท่านก็กล่าวทัก ว่าไงหนุ่มหน้อย ว่างั้นความในฝัน

    และมีอีกครั้งฝันเห็นท่านออกรับบิณฑบาตรที่กุฏิหลังใหม่(ที่ท่านนิพพาน)
    มีผู้คนยืนรอใส่บาตรทั้งสองข้างทาง จู่ๆก็สองคนหญิงชาย
    แต่งกายลักษณะแบบคนร่อนเร่พเนจรเสื้อขาดรุ่งรัง เราเห็นก็อุทานไปว่า ดีแท้!! ที่ได้มีโอกาส อันนี้ในฝัน

    ก็เลยหาโอกาสไปเดินจงกรมทำสมาธิที่วัด เดินแข่งกับพวกไก่แจ้ มันมาเดินหากินบริเวณทางจงกรม
    พวกกระต่าย เต่า ต่างๆ แต่กระต่ายนี่มันมาหยุดมองอยู่หัวทางจงกรม ก็เลยแผ่กุศลให้
    แต่เต่านี่นะ เดินขวางทางเลยเชียว ทำเดินต้วมเตี้ยมๆ ^^

    มีอยู่ครั้งหนึ่งไปนั่งสมาธิที่โคนต้นไม้ รู้สึกรำคาญเสียงพวกนกยูง ไก่ จั๊กจั่น เสียงดังลั่นป่า
    ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานเอากายทิพย์ (ภาษาลี้ลับ) ไปกราบหลวงตาที่กุฏิ แล้วบอกว่ารำคาญเสียงพวกนี้
    พอสิ้นคำอธิษฐาน รู้สึกได้ว่าจากเสียงที่ดังลั่นป่า มันเงียบกริบไปเลยจริงๆ

    พวกเด็กหนุ่มชาวสิงคโปร์หรือมาเลเซียนี่ เขามาปฏิบัติที่นี่ประจำ

    วันก่อนดูทีวีช่องวัดป่าบ้านตาด ยังเห็นอยู่เลย ก็คงพระศรัทธา

    พูดไทยฟังไทยได้เป็นบางคำ เขามาอยู่นี่คงจะหลายปีแล้วล่ะมั้ง

    ทีนี้ มีอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะมาเทศน์ให้ฟัง หลังฉันจังหันตอนเช้า

    เราก็นั่งพิจารณาดอกบัวตามประสาเด๊ะๆ รู้สึกได้ว่า ท่านมองมาที่เรา
    ได้พยายามจะยกแบบวิทยานิพนธ์ หรือ อปทาน ของหลวงปู่ขาว อนาลโย
    ที่ท่านพิจารณาปฏิจสมุปบาท เปรียบอวิชชา ดังเมล็ดข้าว

    พอตกเย็นท่านในลงศาลาอีกรอบ เพราะเป็นวันสำคัญ รู้สึกเป็นวัน เปิดสามแดนโลกธาตุ หรืออะไรนี่ล่ะ

    ท่านเทศน์เรื่อง อวิชชา ให้ฟังกับคนหมู่มาก ก็ได้รับความรู้ดี แต่ยังกิเลสเดิมๆ

    เออ..ลืมไป เคยฝันเห็นท่านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากท่านละสังขารไปแล้ว
    ลักษณะท่านกำลังนั่งเทศน์ หมู่คณะศิษย์กำลังนั่งรับฟังกันเยอะเลย

    เราเดินลงมาจากศาลา แล้วเข้าไปกราบท่าน ทีนี้ท่านไล่เราแหะ ท่านบอกว่า จะไปไหนก็ไป ว่างั้น

    อืม...ก็เลยมาพิจารณา ตอนที่ท่านยังไม่ละสังขาร กลับมีนิมิตเห็นท่านยืนกวักมือเรียก
    พอท่านละสังขารไปแล้ว กลับมีนิมิตเห็นท่านไล่เรา

    แต่ระลึกถึงทีไร ก็ปลาบปลื้มทุกที ที่ได้มีโอกาส แม้เป็นเพียงโอกาสเล็กๆน้อยๆ
    โม้..!! ได้ทั้งชาติ ^^

    ดังนั้น แม้หลวงตาจะละสังขารไปแล้ว แต่ทว่า "สิ้นโลก แต่ยังเหลือธรรม" ล่ะครับ

    กราบนมัสการหลวงตา สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01693.JPG
      DSC01693.JPG
      ขนาดไฟล์:
      123.7 KB
      เปิดดู:
      45
    • DSC01712.JPG
      DSC01712.JPG
      ขนาดไฟล์:
      199.1 KB
      เปิดดู:
      35
    • DSC01698.JPG
      DSC01698.JPG
      ขนาดไฟล์:
      176 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSC01724.JPG
      DSC01724.JPG
      ขนาดไฟล์:
      211.5 KB
      เปิดดู:
      42
    • DSC01729.JPG
      DSC01729.JPG
      ขนาดไฟล์:
      223.8 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC01731.JPG
      DSC01731.JPG
      ขนาดไฟล์:
      196.1 KB
      เปิดดู:
      32
    • DSC01738.JPG
      DSC01738.JPG
      ขนาดไฟล์:
      223.3 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC01765.JPG
      DSC01765.JPG
      ขนาดไฟล์:
      232.9 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC01797.JPG
      DSC01797.JPG
      ขนาดไฟล์:
      193.9 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC01817.JPG
      DSC01817.JPG
      ขนาดไฟล์:
      189.6 KB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013
  10. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]


    [​IMG]
     
  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  12. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุด้วยครับกับคุณเพ็ญ2

    เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ
    พอคนเราขัดเกลาจิตให้มันสะอาดขึ้น
    โดยเริ่มจากทำบุญทำทาน
    อ่านหรือฟังธรรมะ
    รักษาศีล5บริสุทธิ์
    ภาวนาไปได้ในระดับนึงแล้ว..

    จิตมันเริ่มมีความเป็นทิพย์ มีพลังจิต มีอำนาจทิพย์
    สามารถที่จะเหนี่ยวนำ ดึงดูด หรือผลักไสบางสิ่งบางอย่างได้ แล้วแต่สถานการณ์
    ครั้นได้ทำการอธิษฐานจิต หรือกล่าววาจา หรือเพียงแค่นึกคิดในใจเท่านั้น
    มันก็อาจออกมาได้ดังนั้นแล จนเกิดความฉงนและเป็นที่น่าแปลกใจว่า"เป็นไปได้หนอ"
    ดังนั้นแล.. ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนลูกศิษย์(ผู้ปฎิบัติ)มิให้คิด/กล่าววาจาอันไม่เป็นมงคล

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  13. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    Cr.ท่านดร. ชิณาภา

    ชีวิตก็ไม่ต่างจากการเเสดงละคร เหตุหรือกรรมเก่าคือบทละคร ฉากที่ประกอบด้วยเวลาเเละสิ่งที่ปรากฎ ผู้กำกับคือเจ้ากรรมหรือนายเวรทั้งหลาย เพียงเเต่จะรู้ได้หรือไม่ส่วนใหญ่ถูกกลลวงของกรรมพาไปกระทำดีหรือชั่วขึ้นอยู่ว่ามีสติทวนกระเเสไหวหรือไม่ เราประพันธ์บทใหม่ได้ด้วยการเจริญสติค่ะ
     
  14. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    หลวงตาปิ่น ตนฺติธมฺโม

    เมื่อเราเป็นเด็ก เราอาศัยบิดามารดาให้ความอุปการะเราจึงอยู่รอดปลอดภัยเมื่อเราเติบใหญ่ เราอาศัยครูอาจารย์ชี้ทางแห่งความรู้ก้าวนำไปสู่ความเจริญ ถ้าในชีวิตอนาคคเราก้าวไปโดยอาศํยคุณธรรมคือสติ-สัมปชัญญะ เป็นแนวชีวิตที่ก้าวไปนั้น จะไม่ก้าวพลาด เป็นทางชีวิตที่เดินก้าวไปอย่างราบเรียบ สู่จุดหมายปลายทางอย่างมีเกณฑ์ในตัวของมันเอง ในชีวิตแต่ละก้าวเดินนั้น จะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ ดังธรรมภาษิตที่ว่า
    "สติมโต สุเวเสยโย" ผู้มีสติเป็นผู้ประเสริฐทุกวันจึงเป็นเสมือนกุญแจดอกสำคัญของชีวิตคือ ปิดประตูความเสื่อม เปิดประตูความเจริญ นี่คือกุญแจแห่งความสุข
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=OT3lv52PfCo]คิริมานนทสูตร 2 [Girimananda Sutta] - YouTube[/ame]​
     
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อนุโมทนาครับ ดีแล้ว

    เมื่อหลายปีที่แล้ว เคยได้ไปกราบท่านอยู่เหมือนกัน ที่วัดอัมพวัน

    ช่วงนั้น เป็นนักแสวงหา ไหนๆได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่านแล้ว
    ต้องได้กราบต่อหน้าท่านสักครั้งเหอะ เพราะหาโอกาสได้ยาก ท่านจะออกรับแขกเฉพาะช่วงสี่โมงเช้า
    ช่วงเวลานั้น ก็ไม่มีโอกาสแล้ว เพราะอยู่ในเวลาระหว่างครอสการปฏิบัติ

    โดยตอนนั้น จนกระทั่งปัจจุบัน ท่านก็ไม่ได้สอนการปฏิบัติแล้ว
    คงเป็นแต่พระลูกศิษย์ที่สอน เพราะท่านชราภาพมากแล้ว

    ทีนี้ เรารู้แล้วว่า ท่านจะทำวัตรทุกเช้าที่อุโบสถ ก็ต้องรีบตื่นแต่เช้า ตี3 ลุกอาบน้ำแต่งตัว

    แน๊...ทีนี้เราก็รู้ล่ะว่า ท่านจะเดินมาทางไหน กลับทางไหน
    กวาดทางเดินสิครับ เตรียมไม้กวาด และก็ได้กราบท่านตามประสงค์
    และเหมือนท่านจะรู้ ระหว่างที่เรากราบ ได้น้อมจิตไว้อย่างไร ท่านทำเสียง อืมมมๆ ประมาณนั้น

    ส่วนหลวงพ่อฤาษี ได้แต่ฝันเห็นท่าน ยืนถือไม้เท้า มาเรียกชื่อ

    สมัยที่ท่านอยู่ นั่นยังไม่รู้เดียงสาอะไรเลย

    ที่นำมาเล่าอะไรต่างๆ ไม่ได้จะยกตน หรืออวดอะไรหรอก แต่เพื่อจะให้ได้เห็นในช่องทาง
    นั่นเป็นพื้นฐานของจิตทั้งนั้น เป็นสัทธินทรีย์หัวรถจักร ที่จะเคลื่อนไป

    เคยฝันเห็นอีกองค์หนึ่ง มานั่งแสดงธรรม ดูท่านนั่งสงบงดงาม
    แต่ยังไม่เคยไปหาท่านเลย อยู่แถวชัยภูมิ วัดถ้ำพญา...อะไรนี่ล่ะ

    ส่วนท้าวเวสสุวรรณ ฝันไปว่าท่านเดินมาเกาะที่บ่า แล้วมาบอกบทคาถาให้ระลึกถึงท่าน ยังจำบทนี้ได้แม่น

    นี่เป็นสิ่งที่ไม่อยากจะเล่า หากพยายามรักษาจิตให้ดีก็จะเห็นแต่สิ่งดีๆ

    ยังมีอีกเยอะ เดี๋ยว อ.ภู จะว่าเอาได้ กับในสิ่งลี้ลับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2013
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การพิจารณาร่างกาย ก็เหมือนเราส่องกระจกดูรูปร่างหน้าตาของเรา จึงจะเห็นว่าหน้าตาของเราเป็นอย่างไรบ้าง...เพราะเราไม่สามารถเห็นได้ต้องอาศัยกระจกส่องดู... และการพิจารณาธรรมนั้นก็มีใจ...เป็นเหมือนกระจกส่องลงไปในขันธ์ ๕ คือ รูปกาย มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะใจเป็นผู้ปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆนาๆแล้วนําออกมาทาง"กาย วาจา ใจ" เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ จึงกําจัดลงที่ใจ ด้วยการรับรู้ว่ามีอะไรมาสัมผัสที่ใจแล้วเราก็ทําการตรวจส่องหาสาเหตุของมันคือ... เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามาจากอวิชาเป็นตัวบ่งการทั้งหมด... ก็ต้องตามขุดค้นที่ต้นต่อของเหตุโดย... การพิจารณาเหมือนเราส่องกระจกดูหน้าตาเรา... ก็จะเห็นกิเลสที่มาก่อกวนเราฉันนั้นจึงต้องส่องหรือดูเอาเองจึงจะเห็นกิเลสของเราๆท่านๆด้วยกันทุกๆคนค่ะ.
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สุบินนิมิตของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    เป็นเรื่องเล่าของหลวงปู่มั่นเกี่ยวกับสุบินและนิมิตต่างๆ ในสมาธิที่ท่านเห็น ซึ่งได้ความเพลิดเพลินที่แฝงธรรมอยู่ด้วย

    ณ ที่วัดเลียบเมืองอุบล หลวงปู่มั่นได้เพียรปฏิบัติภาวนามาอย่างไม่ลดละ การดำเนินจิตของท่านมีความก้าวหน้ามาโดยลำดับ มีนิมิตที่น่าสนใจสองครั้ง ครั้งแรก หลวงปู่เล่าว่าคืนหนึ่ง เราได้หลับไปแล้วแต่การหลับของเราขณะนั้นเหมือนจะตื่น เพราะเราต้องกำหนดจิตให้มีสติไว้เสมอ ท่านรู้สึกว่าฝันไปว่าเดินออกจากบ้านเข้าสู่ป่าที่รกชัฏ พบต้นไม้ใหญ่ชื่อต้นชาด ถูกโค่นล้มอยู่กับพื้น กิ่งก้านผุพังแล้ว ท่านขึ้นไปยืนบนขอนต้นชาด มองไปข้างหน้าเห็นทุ่งกว้าง ทันใดมีม้าขาวมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ท่านขึ้นไปนั่งบนหลังม้า แล้วม้าก็วิ่งผ่านทุ่งไปจนสุดพบตู้พระไตรปิฎกตั้งตระหง่านอยู่ ท่านไม่ได้เปิดตู้ดูแล้วรู้สึกตัวตื่น

    ท่านได้ทบทวนเรื่องที่ฝัน เกิดความรู้สึกมั่นใจในการปฏิบัติภาวนาของท่าน ภายหลังท่านได้ทำนายเหตุการณ์ที่ฝันให้ฟังว่า ที่ออกจากบ้านก็คือออกจากเพศฆราวาส ไปพบป่าชัฏแสดงว่ายังไปไม่ถูกทางจริงจึงต้องลำบากหนัก ที่ท่านได้ขึ้นไปบนขอนไม้ชาดที่ผุแล้วแสดงว่าชาตินี้อาจเป็นชาติสุดท้ายของท่าน เหมือนต้นชาดนั้นย่อมไม่สามารถงอกได้อีกแล้วท่านต้องแสวงหาต่อไป ทุ่งโล่งหมายถึงแนวทางที่ถูกต้องเป็นทางที่ไม่ลำบากนัก การได้ขี่ม้าขาวหมายถึงการเดินทางไปสู่ความบริสุทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว การพบตู้พระไตรปิฎกแต่ไม่ได้เปิดดูก็คือท่านคงไม่ถึงปฏิสัมภิทาญาณถ้าได้เปิดดูก็คงแตกฉานกว่านี้ เพียงได้ความรู้ถึงปฏิสัมภิทานุศาสน์สามารถสอนผู้อื่นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

    หลวงปู่ได้เร่งความเพียรหนักขึ้นได้เปลี่ยนวิธีการคือพอจิตดำเนินถึงขั้นสงบนิ่งแล้วแต่ไม่หยุดที่ความสงบนิ่งเหมือนแต่ก่อน ยกกายขึ้นพิจารณาเรียกว่ากายคตาสติ โดยกำหนดจิตเข้าสู่กายทุกส่วนทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ให้จิตจดจ่อที่กายตลอดเวลาพิจารณาให้เป็นอสุภะจนเกิดความเบื่อหน่าย (นิพพิทาญาณ) บางครั้ง ขณะเดินจงกรมอยู่ปรากฏเดินลุยอยู่ข้างศพก็มี เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏขึ้นเป็นเดือน ท่านว่าปรากฏปัญญาขึ้นมาบ้าง ไม่เหมือนทำจิตให้สงบอยู่อย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมาซึ่งได้แต่ความสุข ความอิ่มใจเฉยๆ ยิ่งกว่านั้นยังเกิดความหวั่นไหวไปตามกิเลสอยู่ แต่การปฏิบัติในคราวหลังนี้ความรู้สึกหวั่นไหวได้ชะงักลง จึงปลงใจว่าน่าจะไปถูกทาง

    นิมิตครั้งที่สอง เกิดขึ้นจากการปฏิบัติในช่วงต่อมา ได้เกิดนิมิตในสมาธิติดต่อกันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3 เดือน วันหนึ่งหลวงปู่เกิดนิมิตในสมาธิว่า เห็นคนตายนอนอยู่ห่างจากตัวท่านราวหนึ่งศอก มีสุนัขกำลังกัดทึ้งซากศพ ดึงไส้ออกมาเคี้ยวกินอยู่ ท่านจึงกำหนดพิจารณาดูซากศพทุกส่วน กำหนดขยายส่วนต่างๆ ขึ้นพิจารณาจนเห็นเด่นชัด สามารถกำหนดขยายหรือย่อส่วนได้ตามต้องการ (เรียกว่าปฏิภาคนิมิต) ยิ่งพิจารณาไปจิตก็ยิ่งสว่างไสวปรากฏดวงแก้วขึ้นมา แล้วทิ้งการกำหนดอสุภะ มากำหนดเอาเฉพาะดวงแก้วเป็นอารมณ์

    วาระต่อไปได้ปรากฏนิมิตเป็นภูเขาอยู่ข้างหน้า ท่านกำหนดจิตขึ้นไปดูเห็นมีห้าชั้น เดินขึ้นไปจนถึงชั้นที่ 5 พบบันไดแก้วแล้วหยุดอยู่ที่นั่น ไปต่อไม่ได้จึงเดินทางกลับ ท่านได้พบว่าท่านได้สะพายดาบและใส่รองเท้าวิเศษไปด้วยในทุกครั้งที่เกิดนิมิต ในครั้งต่อไปเมื่อทำสมาธิ ก็เกิดนิมิตและดำเนินไปเหมือนเดิม เดินไปถึงที่เดิมเห็นกำแพงแก้วเปิดประตูเดินเข้าไป พบพระนั่งสมาธิอยู่ 2 - 3 องค์ ท่านเดินต่อไปจนถึงหน้าผาสูงชัน เดินต่อไปไม่ได้จึงกลับทางเดิม

    ในครั้งต่อๆ ไป การทำสมาธิก็ดำเนินไปในแนวเดิมไปพบเห็นสิ่งต่างๆต่อไปเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งได้สวนทางกับท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ) ท่านเจ้าคุณกล่าวเป็นภาษาบาลีว่า “อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค” แล้วก็เดินไป นิมิตในสมาธิเกิดต่อเนื่องกันไปนานถึง 3 เดือน จนไปถึงที่สุดไม่มีนิมิตอะไรต่อไปอีกแล้ว มีแต่ความสุขสงบเหลือที่จะประมาณได้จนท่านเองสำคัญว่า “ตนของตนถึงความบริสุทธิ์แน่จริง หมดจากกิเลสแล้ว”

    หลวงปู่ได้ยกประสบการณ์ในครั้งนั้นมาเป็นตัวอย่างสั่งสอนศิษย์ว่า “ระวังอย่าได้ไปหลงนิมิตเช่นนี้เพราะมันวิเศษจริงๆ ผู้ปฏิบัติทางจิตชอบจะมาติดอยู่เพียงแค่นี้ แล้วสำคัญตนผิด....เราเองก็เป็นมาแล้วและมันก็น่าจะหลงใหล เพราะเป็นสิ่งอัศจรรย์มาก ที่เรียกว่าวิปัสสนูปกิเลส ก็คือความเป็นเช่นนี้”

    หลังจากที่หลวงปู่รู้ตัวว่าหลงไปตามนิมิตต่างๆแล้ว ท่านกับมากำหนดกายคตา จิตได้เข้าฐาน ปรากฏว่าได้เลิกหนังของตนออกหมดแล้วแหวะในกายพิจารณาทบทวนในร่างกายอย่างละเอียดแล้วพักจิต (มิใช่พิจารณากายไปโดยไม่หยุดพัก) ขณะที่พักก็รู้ว่าปัญญาได้เกิดขึ้นพอควร มีอาการไม่ตื่นเต้น ไม่หวั่นไหว จึงได้เปล่งอุทานว่า “นี่แหละจึงจัดว่ารวมถูก เพราะไม่ใช่จิตรวมสงบแล้วก็อยู่เฉยที่สงบนั้น ต้องสงบแล้วพิจารณาอยู่ในกัมมัฏฐาน คืออยู่ในการพิจารณาดูตัวทุกข์คือกายนี้เป็นตัวทุกข์และให้เห็นทุกข์อยู่ จึงจะได้ชื่อว่าดำเนินจิตอยู่ในองค์มรรค ฯลฯ เราจะต้องตรวจค้นให้รู้จริงเห็นจริงอยู่ที่กายกับจิตเท่านั้น จึงจะถูกอริยมรรคปฏิปทา”

    มีครั้งหนึ่ง ปรากฏในนิมิตว่าร่างกายของท่านแตกออกเป็นสองภาค ท่านกำหนดจิตให้นิ่งจนเกิดความสังเวชสลดใจเห็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด จึงถือเอาหลักที่ทำมาเป็นการเริ่มต้นเพราะมั่นใจว่าปฏิบัติถูกต้อง เป็นทางดำเนินจิตของท่านต่อไป

    การปฏิบัติภาวนาในช่วงที่อยู่วัดเลียบแม้จะก้าวหน้าไปโดยลำดับแต่หลวงปู่มั่นตระหนักว่า “ยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่” ท่านจึงได้ออกธุดงค์เข้าป่าเพียงลำพังองค์เดียวไปทางนครราชสีมาเข้าดงพญาเย็น แสวงวิเวกไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณน้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายกเป็นป่าทึบเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ เป็นสถานที่น่าประหลาดสำหรับพระธุดงค์ หลวงปู่มุ่งหน้าสู่ถ้ำไผ่ขวาง ชาวบ้านได้ทัดทานไว้เนื่องจากมีพระธุดงค์ไปมรณภาพที่ถ้ำแห่งนั้นถึง 6 องค์แล้ว แต่หลวงปู่ตอบชาวบ้านว่า “ขอให้อาตมาเป็นองค์ที่ 7 ก็แล้วกัน”

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมีความเด็ดเดี่ยวปฏิบัติธรรมมุ่งมั่นไม่กลัวตาย หากแต่กลัวกิเลสที่ย่ำยีจิตใจให้รุ่มร้อนมากกว่า ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่โตนัก มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาแน่น บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว ยิ่งตอนพลบค่ำยิ่งวังเวง แต่หลวงปู่ท่านเคยชินกับสภาพเช่นนั้นมากแล้ว จึงไม่มีอะไรทำให้จิตใจของท่านหวั่นไหวได้หลังจากจัดแจงสถานที่และเดินดูรอบๆบริเวณแล้ว พอค่ำลงสนิทท่านก็เริ่มบำเพ็ญภาวนาโดยนั่งสมาธิตลอดคืน ปรากฏว่าสว่างไสวไปหมดนับเป็นนิมิตที่ดียิ่ง

    รุ่งขึ้นเช้าหลวงปู่ก็ออกบิณฑบาตที่หมู่บ้านไร่นั้น หลังจากฉันแล้ว ท่านก็พักกลางวันไปสักหนึ่งชั่วโมง พอลุกขึ้นรู้สึกตัวหนักไปหมด หนำซ้ำเกิดท้องร่วงอย่างแรง เมื่อสังเกตดูอุจจาระพบว่าอาหารที่ฉันเข้าไปไม่ย่อยเลย ข้าวสุกยังเป็นเม็ด อาหารที่ทานเข้าไปยังอยู่ในสภาพเดิม ท่านจึงเข้าใจว่าพระองค์ก่อนๆ ที่มรณภาพไปก็คงเป็นเพราะเหตุนี้เองได้รำพึงกับตัวเองว่า “เราก็เห็นจะตายแน่เหมือนพระเหล่านั้น”

    หลวงปู่ได้หาที่น่าหวาดเสียวที่สุด เห็นว่าริมปากเหวเหมาะที่สุดที่จะนั่งบำเพ็ญเพียร ท่านตั้งใจแน่วแน่ว่า “หากจะตายขอตายตรงนี้ ขอให้ร่างกายหล่นลงไปในเหวนี้จะได้ไม่ต้องเป็นที่วุ่นวายเดือดร้อนแก่ใครๆ”

    ตั้งแต่บัดนั้นหลวงปู่ได้ตั้งปฏิธานแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่รู้แจ้ง เห็นจริงก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด” หลวงปู่ได้นั่งสมาธิ ณ จุดนั้นติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนโดยไม่ลืมตาเลย ท่านเริ่มกำหนดจิตต่อจากที่เคยดำเนินมาครั้งหลังสุด ได้เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ความผ่องใสของจิตสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แม้จะกำหนดดูเม็ดทรายก็เห็นอย่างชัดเจนทุกเม็ด แม้จะพิจารณาทุกอย่างที่ผ่านมาก็แจ้งประจักษ์ขึ้นมาในปัจจุบันหมด

    ในขณะที่จิตของท่านดำเนินไปอย่างได้ผล ก็ปรากฏเห็นเป็นลูกสุนัขกำลังกินนมแม่ ท่านได้พิจารณาไคร่ครวญดูว่าทำไมจึงมีนิมิตมาปน ทั้งๆ ที่จิตของท่านเลยขั้นนิมิตแล้ว เมื่อกำหนดจิตพิจารณาก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่า “ลูกสุนัขนั้นก็คือตัวเราเอง เราเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับอัตภาพไม่ถ้วน เวียนเกิดเวียนตายเป็นสุนัขหลายชาติ”

    เมื่อพิจารณาโดยละเอียดได้ความว่า ภพ คือความยินดีในอัตภาพของตน สุนัขก็ยินดีในอัตภาพของมัน จึงต้องวนเวียนอยู่ในภพของมันตลอดไป

    เมื่อหลวงปู่ทราบความเป็นไปในอดีตชาติของท่านก็เกิดความสลดจิตเป็นอย่างมาก ความสว่างไสวในจิตของท่านยังคงเจิดจ้าอยู่ แต่ทำไมยังมีการห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ ไม่สามารถพิจารณาธรรมให้ยิ่งขึ้นไปได้เมื่อตรวจสอบดูก็พบความจริงที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ “การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” ของท่าน ซึ่งมีในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เอง แล้วเมื่อไรจะได้ถึงคิวเป็นพระพุทธเจ้าตามความปรารถนา”

    หลวงปู่ได้พิจารณาถึงภพชาติในอดีต ปรากฏว่า ท่านเคยมีตำแหน่งเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ (กรุงเดลฮีในปัจจุบัน) พระพุทธเจ้าได้ไปแสดงธรรมโปรดชาวกุรุรัฐ พระองค์ทรงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตร หลวงปู่ซึ่งเป็นเสนาบดีในชาตินั้นก็ได้เจริญสติปัฏฐาน แล้วยกจิตขึ้นอธิษฐานว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นพระองค์เถิด” ได้ความว่าหลวงปู่ได้ปรารภโพธิญาณมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านต้องชะงักในการพิจารณาอริยสัจเพื่อทำจิตให้หลุดพ้นได้ ต้องสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ ถ้าไม่ปล่อยวางความปรารถนานั้น

    หลังจากได้ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ แล้ว หลวงปู่รู้สึกสลดใจที่เคยเกิดเป็นสุนัขนับอัตภาพไม่ถ้วน และยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีไปอีกนานแสนนาน ท่านจึงได้หยุดการปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วตั้งใจเพื่อการบรรลุธรรมในชาติปัจจุบัน

    และในปี พ.ศ. 2481 หลวงปู่ได้นิมิตว่า “ได้เดินไปตามทางซึ่งโล่งเตียน สะอาด มีพระภิกษุสามเณรเดินตามไปเป็นจำนวนมาก ดูเป็นแถวยาวเหยียด เมื่อเดินไป เดินไปปรากฏว่าพระภิกษุ สามเณรเหล่านั้น ทั้งพระเถระผู้ใหญ่และผู้น้อย ต่างก็เดินไปคนละทาง บ้างก็แยกไปทางซ้าย บ้างก็แยกไปทางขวา บ้างก็ล้ำหน้าเดินไปอย่างไม่เกรงใจ ดูพลุกพล่านไป”

    หลวงปู่ได้อธิบายนิมิตของท่านว่า “ในการต่อไปข้างหน้า จะมีผู้นิยมทำกรรมฐานภาวนากันมากขึ้น กับจะมีการตั้งตนเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานภาวนากันมากจะมีทั้งมีคุณภาพและไม่มีคุณภาพ คือต่างก็จะสอนไปตามความเข้าใจของตน จนถึงกับนำเอาการตั้งตนเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานภาวนามาบังหน้า แล้วก็ดำเนินการไม่บริสุทธิ์ด้วยประการต่างๆ ผลที่เกิดขึ้นจึงไม่ดีเท่าที่ควร” “แต่บางพวกก็ดี เพราะยังเดินตามเราอยู่ นี่มิได้หมายความว่าเราเป็นผู้วิเศษ แต่การดำเนินการของเรานั้น ได้ทำไปโดยความบริสุทธิ์ใจมุ่งเพื่อความพ้นทุกข์ โดยปฏิทานี้ ก็ทำให้ได้ผลทั้งตนเองและศิษยานุศิษย์ตลอดมา การที่ต่างคนต่างตั้งตนเป็นอาจารย์นั้น ย่อมทำให้เสียผลเพราะทำให้เกิดความลังเลแก่ผู้จะเข้ามาเรียนกรรมฐานภาวนาว่าจะถือเอาอาจารย์ไหนจึงจะถูก”

    พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต - วิกิพีเดีย
     
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า

    มีใจเป็นใหญ่สำเร็จด้วยใจ

    ถ้าบุคคลใดใจผ่องใสแล้ว

    จะพูดก็ดีจะทำก็ดี ความสุขย่อมติดตามเขาไป

    เหมือนเงาตามตัวฉะนั้น.


    พุทธพจน์.
     
  20. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    จิตเดิมแท้มีธรรมชาติผ่องใส รัศมีขาวรอบ

    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tjs
    จิตอรหันต์ หรือจิตนิพพานนั้น มีความเหมือนและแตกต่างจาก จิตเดิม หรือไม่อย่างไร
    หากเหมือน เหมือนอย่างไร หากไม่เหมือนหรือแตกต่าง ไม่เหมือนหรือแตกต่างอย่างไร โปรดวิสัชชนาอธิบายด้วยครับ


    จิตเดิมนี้ไม่เคยเกิดไม่เคยตาย หรือไม่เคยเกิดไม่เคยดับ จิตเดิมนี้เป็นธรรมชาติผ่องใส สะอาดอยู่แต่เดิม แล้วจิตเดิมนี้เอง ทำให้ขาวสะอาดทำให้บริสุทธิ์ ผุดผ่องขึ้นมาได้ พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า อริยะสาวกเมื่อได้รู้ว่า จิตเดิมนี้ทำให้สะอาดผ่องใส ปราศจากอุปกิเลสทั้งหลาย อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจรเข้ามา จึงต้องทำจิตให้หลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองนั้นได้ ก็จะพ้นจากความทุกข์ อันเกิดแก่เจ็บตายหรือเข้าถึงพระนิพพาน ก็ได้ความว่าจิตเดิมนี้เป็นของบริสุทธิ์ และไม่ได้เป็นของเกิดดับ บางคนนักปราชญ์ในสมัยนี้ มักถือว่าพระนิพพานนั้นไม่มี หรือไม่มีอะไรแล้ว จะมีจิตเดิมที่ใหนอีกเล่า ความจริงจิตเดิมนี้เป็นของไม่ดับไม่สูญ เป็นอมตะธาตุ และอมตะธาตุนี้หรือจิตเดิมนี้แหละ ผู้ปฎิบัติสมถะกรรมฐาน หรือเจริญวิปัสนากรรมฐานโดยตรงก็ดี เพื่อต้องการให้บรรลุถึงจิตเดิม ก็ย่อมทำให้สำเร็จประโยชน์เรียกว่าผู้ที่ทำจิตให้บริสุทธิ์แล้ว ก็ควรแก่การงานคือทำให้สำเร็จประโยชน์ เพราะจิตเดิมนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของทิพย์ ก็ย่อมทำให้เกิดประโยชน์คืออิทธิฤธิ์ปาฎิหารย์ มีฤธิ์เดชต่างๆได้ เกิดญาณต่างๆเป็นต้นว่าละลึกชาติได้ รู้การปฎิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการยังอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไป ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ได้นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงทำสมาธิ ทำสมาธิด้วยประการอันควรแล้ว จึงทำจิตให้บริสุทธิ์ เมื่อถึงจิตบริสุทธิ์แล้วพระองค์ก็ทรงทำการงานให้สำเร็จประโยชน์ โดยที่ทำจิตน้อมจิต ดูที่จิตของตัวนี้ ดูอดีตชาติด้วยบุเพนิวาสานุสติญาณ น้อมจิตดูข้างหลัง ที่ผ่านพ้นมาแล้วก็ได้เห็นการเกิดดับของตนว่า อ่อ..!เคยเกิดมาแล้วนี่ เคยเกิดมาแล้วตั้งหลายชาติ ชาติหนึ่งเคยเป็นพระเวชสันดร เคยเป็นพระโพธิสัตว์ ชาตินั้นชาตินี้ ร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติ ถอยไปจนกัปป์ จนโกฎจนหลายอสงไขย์ จนนับไม่ถ้วน อ่อ...การเวียนว่ายตายเกิดมันก็มาจากจิตเดิมนั่นเอง มันไม่ตายมันรับรองกิเลส มันรับรองกรรม มันรับรองวิบาก จึงได้เวียนเกิดเวียนตายเช่นนี้ มันยังมีอุปทานอยู่ ยังต้องเกิดอยู่ เรียกว่ามีญาณรู้บุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อได้รู้การเกิดของตน ออเรานี่เกิดมาจากกิเลสคือกิเลสเป็นต้น แล้วก็มาลองดูของคนอื่น รู้ของคนอื่นด้วย มาดูการเกิดของคนของสัตว์อื่น ออ..สัตว์อื่นๆก็เหมือนกัน อย่างเดียวกัน เวียนเกิดเวียนตาย เพราะกิเลสเพราะกรรม เพราะความโลภ ความโกรธความหลง เพราะถือตัวเพราะถือตน อุปทานตัญหา รู้ทั้งตนรู้ทั้งคนอื่นว่ากิเลสมันมาอย่างไร ก็ยังอาสวะกิเลสทั้งหลายให้หมดสิ้นไป เมื่ออาสวะกิเลสสิ้นไปท่านก็รู้ว่า ต่อไปเราจะไม่มาเกิดแล้ว เราไม่ตายแล้ว ก็อะไรหลุดพ้น อะไรเล่าไม่เกิด อะไรเล่าไม่ตาย ก็เกิดจากจิตบริสุทธิ์ หลุดพ้นแล้ว เรียกว่าหลุดพ้นด้วยญาณอันแจ่มแจ้ง บรรลุถึงพระนิพพาน บรรลุถึงอมตะธาตุ ศรัทธาญาติโยมท่านผู้ฟังทั้งหลายของเดิมเรียกว่าจิตบริสุธิ์แล้วจริงอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ขั้นที่สองญาณรู้บังเกิดขึ้น แล้วก็บริสุธิ์ด้วยการไม่มีกิเลสจรเข้ามา ต่อไปอีกได้ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการหลุดพ้น สุดท้ายนี้ก่อนที่จะจบการเทศนานี้ ก็มีคำถามว่า ก็จิตเดิมครั้งแรกมาจากที่ใหน อันนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่เทศนาแต่มาบอก ท่านไม่เทศนาแต่มาบอกว่าอย่าไปรู้เลย มันไม่รู้หรอกมันเสียเวลา จะไปนั่งนับกรวดนับทราย ในท้องมหาสมุทร นั่งตั้งร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี กัป โกฎิปี มันก็ไม่พบหรอก คือไม่ปรากฏในเบื้องต้น อาจิณไตย เพียงแต่ทำจิตที่จะฝึกให้มันเกิดขึ้นได้เท่านั้น ท่านผู้ฟังทั้หลายมีพระบาลีว่า อมตะโคยัง ภิขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เบื้องต้นแห่งภพ หาปรากฎไม่ คือไม่ปรากฎ คือหมายความว่ามีมากจนไม่อาจนับได้ มากจนไม่อาจรู้ได้ มันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทำให้เกิดได้ ท่านผู้ฟังทั้งหลาย อันนี้คือจิตเดิม เท่าที่ท่านพระคุณเจ้าเทศนามาก็ได้ ความว่าจิตเดิมคืออะไร เป็นอย่างไร มาอย่างไร เป็นอยู่อย่างไร เพราะฉะนั้น การทำสมาธิ ทั้งสองประการ บางคนในสมัยนี้ มักจะลืมไปว่าทำเพื่อให้จิตบริสุทธิ์ แต่มักจะทำกันเพื่อ ให้จิตรู้แจ้ง หรือทำให้จิตสงบนิ่ง ไม่ได้ทำเพื่อให้จิต บริสุทธิ์หลุดพ้น จึงเป็นการลืมความหมายไป เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลาย เวลาสงสัยในการเจริญภาวนา เราก็ตัดออกเสีย เราก็สงบอารมณ์ สละวาง ปล่อยวางอารมณ์เสีย ทำจิตให้ว่าง ทำจิตให้สงบ ทำจิตให้จิต ให้ผ่องใส อันนี้ก็ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียน อะไรหลายๆอย่าง เมื่อจิตสงบ จิตผ่องใสแล้ว ก็จะเกิดญาณขึ้นมาทีหลัง หรือทำจิตให้บรรลุ ถึงขั้นความเป็นทิพย์ แล้วก็ย่อมจะสำเร็จประโยชน์ในโลกียะ หรือโลกุตละ ตามสมควรแก่บุญวาสนาบารมีของตน เทศนามาถึงเรื่องสมาธิสองประการก็ขอยุติเนื้อความโดยย่อลงแต่เพียงเท่านี้
    ท่านพระคุณเจ้าดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต
    [/SIZE]
     

แชร์หน้านี้

Loading...