จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    กรรมฐาน เป็นบุญเขตอันสำคัญด้วย ทาน ศีล ภาวนา

    แต่ที่ทาน ศีลสู้ไม่ได้ เพราะเราบริจากทานเหมือนไปเรือถ่อ เรื่อพาย

    แต่หากมีศีลด้วยเหมือนเราไปรถ ไวขึ้นหน่อย แต่ถ้าเราเตรียมพร้อม

    ทั้งทาน ศีล ภาวนา สมาธิ สติ ปัญญา เราก็เหมือนเดินทางไปโดยเครื่องบิน.

    คัดจากหนังสือเพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง หลวงพ่อจรัล หรือพระเทพสิงหบุราจารย์.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน. โดยพระครูวิเวกวัฒนาทร หรือหลวงปู่บุญเพ็ง

    ขอเชิญท่านนักปฏิบัติ นักภาวนาทั้งหลาย จงพากันตั้งใจสดับรับฟังธรรมเทศนา

    ให้พร้อมไปด้วยการภาวนา คือ การกำหนดจิตไปด้วย เพื่อเป็นการไม่เสียเวลากับการที่เรา

    มานั่งฟัง ฟังเราก็เฉยๆ ก็ได้แต่เฉพาะความรู้ในการฟัง แต่ความสงบ ซึ่งนับเป็นผลลัพธ์

    การที่เราฟังไปด้วยดี และผลลัพธ์ของการที่เรากำหนดจิต ประคองจิตและรักษาจิตของเรา

    ไปด้วยก็หากมีอยู่ แต่เราก็ไม่ได้มีความสำนึกถึงผลของการฟังด้วยวิธีการแห่งความสงบ

    เราจะเข้าใจว่าเพียงแต่ฟังเอาสำนวน หรือเหตุผล ในการที่ท่านได้แสดงมา เราก็จะได้

    ความรู้และมีเหตุผลที่จะนำศรัทธาของเราให้เกิด ตามสมควรแก่ฐานะที่เราได้ฟังเท่านั้น

    แต่เราจะได้ยินได้ฟังก็ดี แต่เราได้ยินได้ฟังก็ดี หรือไม่ได้ยินได้ฟังก็ดี ศรัทธา

    คือความเชื่อของเรานั้นมีพร้อมอยู่แต่ดั่งเดิมแล้ว แต่เราต้องการสิ่งที่จะมา สนองศรัทธา

    ของเรา เมื่อเรามีศรัทธาแล้ว เราพร้อมกันมาฟังไปตามหน้าที่ที่ท่านได้แสดงออกมา แต่

    ว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นสนองตอบกับการที่เราฟังพร้อมไปด้วยความศรัทธานั้นจะมีหรือไม่ ถ้า

    มีนั่นคืออะไร สิ่งที่สนองตอบเราก็ได้แก่ความสงบ เมื่อสงบแล้วก็เกิดขึ้นซึ่งความสุข เป็น

    การสนองตอบเมื่อเรามีศรัทธาและพร้อมที่จะมากระทำ เมื่อเราทราบผลที่รองรับศัทธาของ

    เราและการกระทำของเราซึ่งพร้อมไปด้วยศรัทธานั้นได้แก่ความสงบ ทำอย่างไรจิตของเรา

    จึงจะบังเกิดขึ้น ซึ่งความสงบและความสุขอันเป็นผลรองรับสำหรับที่เราได้มาฟังด้วยศรัทธา

    อันที่จริงศรัทธาของพวกเรานั้นมีพร้อมทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตจิตใจของพวกเราก็ยัง

    ยอมเสียสละตามความเชื่อในพระศาสนา หรือเชื่อในบุญในบาปเชื่อในศีลในธรรม ความเชื่อ

    ของเรานั้นสมบูรณ์ และเพรียบพร้อมแล้ว สิ่งที่จะสนองตอบความเชื่อของเราและการที่

    เรามากระทำด้วยความเชื่อก็ได้ความสงบ. ความสงบนั้นอยู่ตรงไหน อะไรเป็นที่สงบ

    และสงบนั้นคืออะไร ใครเป็นผู้สงบ ที่เรามีศรัทธาคือความเชื่อ ใครเป็นผู้มีศัทธา ศรัทธา

    อยู่ตรงไหน ความสงบเกิดขึ้นด้วยศรัทธา ความสงบเกิดขึ้นด้วยศรัทธา ไม่มีความเชื่อ ไม่มี

    ความมั่นใจของตัวเอง เราจมีจิตใจจะมาประพฤติปฏิบัติและมากระทำได้ ความสงบจะเป็น

    ทุนเบื้องต้น เป็นฐานเบื้องต้น เป็นที่ตั้งแห่งการรองรับเอาซึ่งความดีที่ท่านได้ปฏิบัติกันมา

    หวังว่าธรรมะที่ฝากไว้คงช่วยท่านให้มีสติปัญญายิ่งขึ้นไปเทอญ.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2012
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมเหนือโลก หรือธรรมอันประเสริฐนั้น คือ ธรรมที่ได้จากการคุ้นคว้าขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ้งท่านได้คุ้นเจอด้วยตัวท่านเองท่านก็ได้เห็นโทษของ การเกิด การแก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นทุกข์ และได้เห็นเหตุทําให้เกิดทุกข์ แล้วท่านก็อยากให้ผู้อื่นเห็นด้วย และท่านก็อยากให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ได้ด้วย และท่านทรงมีความเมตตาต่อสัตว์โลก และได้ชี้บอกทาง คือ ทางที่จะดําเนินไปเพื่อความพ้นจากทุกข์ "ธรรม" คือ ความสว่าง ส่วน"กิเลส" ก็คือ"ความมืด" ท่านได้บอกให้มีมรรคคือองค์๘เป็นทาง และให้มี "สัมมาทิฐิ"ความเห็นชอบ และก็ดําริชอบ คือ"สัมมาสังกัปโป"และการพูดจาชอบ "คือสัมมาวาจา"และธรรมที่ท่านได้กล่าวไว้นี้เป็นทางที่จะนํามาปฏิบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดทุกข์ เหตุของทุกข์ เรียกว่า "สมุทัย"หรือ กิเลสนั้นเอง จึงต้องระมัดระวังจิตใจของตนเองไม่ให้เกิดกิเลสขึ้น จึงเรียกว่าไม่ประมาทในธรรมพยายามป้องกันความรู้สึกที่เศร้าหมองอันเกิดจากความคิดของตนเองนั้น ด้วยการปล่อยวางอารมณ์ยินดี หรือยินร้ายนั้นเอง หากเราไม่เอามาคิดมันก็ไม่ทุกข์ เพราะความคิดที่ปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไม่รู้จักจบนั้น เรียกว่า "ความฟุ้งซ่าน" แล้วก็เกิดอารมณ์หมายมั่นในความยินดี ยินร้ายนั้น เป็นบุคคล เรา เขา ถูก ผิด ดี ชั่ว แล้วก็ไปยึด ถือเอาไว้ จนหนักอก หนักใจ ทุกข์อกทุกข์ใจ มันเป็นเพราะเหตุนี้แหละอย่าโทษใคร ตนนั้นแหละทําตนเอง เพราะไม่รู้ความจริง พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า "ดี ชั่ว สุข ทุกข์ และความพ้นทุกข์ย่อมมีใจเป็นแดนเกิด มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ด้วยใจ"ท่านจึงให้โอวาทที่เป็น "หัวใจของพระพุทธศาสนา" ให้ละชั่ว ทําดี เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งตนเองและผู้อื่น รู้แล้วให้เว้นเสีย อย่าทํา
    ให้ประพฤติดี สิ่งไหนที่เป็นคุณงามความดีให้ทํา สิ่งที่มีประโยนช์แก่ตนเองและผู้อื่น และบางครั้งทําความดี ก็จะมีอุปสรรค ก็อย่าได้ท้อถอย
    เมื่อทําแล้วให้ปล่อยวางทางใจด้วย คือให้พยายามระวังและรักษาใจตน ให้บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา อย่าให้ความเศร้าหมองเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว เช่น เมื่อทําความดีแล้วถูกชมก็อย่าหลง หากถูกมองเป็นความไม่ดีก็อย่าเสียใจ เพราะดีแท้อยู่ที่จิตที่ไม่ดีใจและเสียใจต่างหาก รู้ว่าดีแต่ก็ไม่ยึดถือในรู้นั้น นี่คือ หลักของพระศาสนาอย่างแท้จริง แม้ใครตั้งใจปฏิบัติจริงๆแล้วย่อมพ้นจากทุกข์ได้ แต่ต้องทําเองรู้ผลด้วยตนเอง หรือ เรียกว่า "ปัจจัตตัง"คือต้องพิสูจน์ที่ตัวเราเอง จึงจะเห็นผล และพระศาสนาสอนลงที่"กรรม"คือ"การกระทํา"ผู้ใดทําย่อมรู้เอง ผู้มิได้ทําจะไม่สามารถรู้ได้ และถ้าผู้ใดได้นําธรรมอันประเสริฐมาปฏิบัติแล้วท่านก็จะได้เห็นธรรมอันเหนือโลก คือประเสริฐสุดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มีธรรมอันประเสริฐสุดด้วยเทอญ.
    ที่มา "ธรรมะกับการปฏิบัติ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "ปีใหม่ปีเก่าขึ้นอยู่กับเรา"

    ******ปีใหม่ปีเก่ามันก็อย่างที่ว่าละ เขาก็สมมติกันไป มีมืดกับแจ้งเท่านั้นแหละจะเป็นอะไรไป ถ้าประพฤติตัวไม่ดีปีใหม่ปีเก่าก็เป็นคนไม่ดีคนเก่านั้นแหละ ถ้าปฏิบัติตัวให้ดีแล้วปีใหม่ปีเก่าวันใหม่วันเก่าก็คือคนคนดีคนนี้ละ ดีไปเรื่อยๆ พากันจำเอานะ

    ******ปีใหม่ปีเก่าขึ้นอยู่กับเราจะทำตัวให้เลวหรือให้ดีขึ้นเท่านั้นละ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีแล้วอยู่ไหนดีหมด สุขหมดนั่นแหละ ถ้าเป็นคนชั่วอยู่ที่ไหนหลบซ่อนอยู่ที่ใดก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้หัวอกอยู่ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจงพากันให้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี ขาวสะอาดภายในจิตใจ ถ้าดีภายในใจแล้วอยู่ไหนก็ดีหมดนั่นละ
    ถ้าชั่วภายในใจอยู่ไหนก็ไม่ดี ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปหมดนั่นแหละ

    ******* ให้พี่น้องทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติต่อศีลต่อธรรม อย่าพากันห่างเหินจากศีลจากธรรม ไม่ดีเลย มีเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เท่าที่จะเป็นไปได้นะ มีเงินทองมากถ้าใจไม่ดีเสียอย่างเดียว ตัวไม่ดีเสียอย่างเดียว สมบัติเหล่านั้นก็มาเป็นเครื่องเสริมไฟให้เสียไปหมดนั้นแหละ ให้ตั้งใจปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี อะไรไม่มีคุณค่ายิ่งกว่าใจนะ
    เราอย่าเข้าใจว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดีทั่วโลกธาตุ ไม่มีอะไรเลวกว่าใจ ดีกว่าใจ สุขกว่าใจ ทุกข์กว่าใจ
    ใจนี้เป็นตัวสำคัญมากสำหรับรับดีและชั่ว สุขและทุกข์ รับอยู่ที่ใจ

    (ธรรมเทศนา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2551 คัดลอกจาก Luangta.Com - )​
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    เผยพุทธภาวะด้วยการสละกิเลสในใจ

    "ส่วนเกินในจิตใจนั้น จะสลัดออกไปได้
    ต้องเริ่มต้นจากการรู้จักสละสิ่งที่เป็นรูปธรรม
    ได้แก่ทรัพย์สิน ทีละเล็กละน้อย ด้วยการให้ทาน

    แล้วขยายสู่การสละสิ่งที่เป็นนามธรรม
    เช่น ความหวงแหน ความเห็นแก่ตัว ความโกรธ
    ด้วยอภัยทานและด้วยการรักษาศีล
    หรือการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น

    ที่สำคัญที่สุดก็คือการสละ (ความยึดติดถือมั่นใน)
    ตัวตน “ตัวกู” นั้นคือส่วนเกินที่บดบังเคลือบคลุมพุทธภาวะ
    ต่อเมื่อ “ตัวกู”สลายหายไป
    พุทธภาวะจึงจะปรากฏและเปล่งประกายให้ประจักษ์

    ไม่ว่าหินชนิดใด สูงค่าอย่างหยก
    หรือไร้ค่าอย่างหินปูน หรือแม้แต่ไม้
    ล้วนสลักเสลาให้เป็นพระพุทธรูปที่งดงามได้ฉันใด
    มนุษย์ทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจน
    ฉลาดหรือทึบ ชายหรือหญิง
    ปกติหรือพิการ ก็สามารถบรรลุพุทธภาวะ
    หรือเข้าถึงความรู้แจ้งจนสิ้นทุกข์ได้ฉันนั้น"

    พระไพศาล วิสาโล​
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    พิษภัยของสัญญาที่ไม่เที่ยง

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอน เรื่องนี้ไว้ดังนี้

    ๑. เรื่องสัญญา ความจำของชาวโลก มักจักไม่เที่ยง ฟังอะไรไม่ถ่องแท้ เข้าใจไม่ตลอด ก็มักจักจำความอะไรที่ผิดๆ แล้วนำไปพูดต่อในทางที่ผิด จึงทำให้คนที่ฟังต่อๆ ไปเข้าใจผิดอย่างมากมาย แต่นั่นก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับการฟังธรรมคำสั่งสอนแล้วตีความหมายผิดๆ เอาสัญญาความจำที่ไม่เที่ยงมาตู่คำสอน และเอาปัญญาที่มีอยู่ในตน ตีความหมายเอาตามความคิดเห็น อันเป็นอุปาทานส่วนตัวมาบังหน้า แล้วนำธรรมนั้นออกไปเผยแพร่กระจายออกสู่สาธารณะชน คนฟังก็จำธรรมนั้นโดยการฟังที่คล้อยตาม จุดนี้ซิอันตราย

    ๒. คนมักจักพูดโอ้อวดธรรมที่ไม่มีในตน โดยมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้เลิศประเสริฐในการเข้าใจพุทธพจน์บทพระบาลีอ้างพระธรรมคำสั่งสอนว่าเป็นคำตรัสของพระตถาคตเจ้าขึ้นนำหน้า แต่ในภายหลังที่อรรถาธิบาย ก็มักจักสอดแทรกความคิดเห็นส่วนตนตีความหมายของธรรมนั้น ตามอุปาทานแห่งตน กล่าวเป็นเชิงโอ้อวดตนว่าเข้าถึงในธรรมนั้นๆ

    ๓. ที่ตถาคตกล่าวมานี้ ก็เพื่อให้พวกเจ้าสำรวมจิต หรืออารมณ์ที่ทะนงตนว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรมเอาไว้ดีๆ อย่าหลงตัวหลงตนคิดว่าดีแล้วเป็นอันขาด จักทำให้จิตพลาดจากความดีไปอย่างหน้าเสียดายอย่างยิ่ง

    ๔. พูดมากเท่าใด ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น จงพิจารณาไตร่ตรองก่อนที่จักพูดทุกครั้ง เล็งเห็นสาระหรือประโยชน์ในการพูดแต่ละครั้งด้วย อย่าพูดให้เสียเปล่าหรือพูดให้เป็นโทษ เป็นที่เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น คุมจุดนี้เอาไว้ให้ดีๆ ชาวโลกหมองใจฆ่ากันตาย ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันเพราะวจีกรรมมามากต่อมากแล้ว

    ๕. เมื่อห้ามปากแล้วก็มาห้ามใจ การห้ามปากและห้ามใจก็ดี จงห้ามที่ตนเอง อย่าไปห้ามที่บุคคลอื่น เรื่องของการห้ามใจ คือ ให้พิจารณาอารมณ์คิดดูว่าขณะจิตหนึ่งๆ นั้นมีอารมณ์ที่เป็นสาระหรือประโยชน์ในความคิดหรือความสงบนั้นบ้างไหม เป็นคุณหรือเป็นโทษ เบียดเบียนตนเองหรือไม่ เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นหรือไม่ อารมณ์ใดถ้าหากตกเป็นทาสของกิเลส จักโกรธ โลภ หลง ก็ตาม อารมณ์นั้นได้ชื่อว่าเป็นโทษและเบียดเบียน จักต้องหมั่นรู้ธรรมของจิตอยู่เสมอ จึงจักแก้อารมณ์กิเลสได้

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  7. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    ขอโมทนาท่านทั้งหลาย ที่ post ในกระทู้ จิตพร้อม...พึ่งเข้ามาอ่าน 2 วัน
    ทำให้ไม่อยากไปอ่าน กระทู้ภัยพิบัติ อื่นๆ

    ยิ่งมาอ่าน ของคุณ อุษาวดี หัวข้อ
    พิษภัยของสัญญาที่ไม่เที่ยง ถ้าทำได้อยู่สม่ำเสมอด้วย โลกคงหายวุ่นวาย ทั้งหมด

    ขอโมทนาในธรรมที่แสดงมา ด้วยใจจริง
    ขอขอบพระคุณ
    ( ศรัทธาในหลวงพ่อฤาษีเหมือนกัน )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2012
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเตือนผู้ที่ไม่เคยฝึกสติ ฝึกจิต

    ผู้ใดที่ยังไม่เคยฝึกสติ หรือ เจริญสติภาวนา
    ขอบอกว่า..ให้รีบฝึกสติกันเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ
    เพราะนั่นหมายถึง เราหมดโอกาสที่จะสร้างกรรมดีหรือกรรมไม่ดีแล้ว
    การฝึกสติ ก็เท่ากับฝึกจิตของเราตามไปด้วย
    แต่เราจะต้องทำสติให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เป็นเนืองนิจ
    พอสติเกิดบ่อยๆนานๆเข้า จิตเราก็จะนิ่ง
    เมื่อจิตนิ่งได้ เมื่อไหร่ ความสุขก็จะมาเยือนเราเมื่อนั้น

    สรุปแล้ว
    ตราบใดที่จิตของเรายังไม่นิ่ง เราก็แทบจะหาความสุข มิได้เลย
    นี่หมายถึงความสุขที่แท้จริง นั่นก็คือ ความสุขที่เกิดขึ้นภายใน
    มิใช่ ความสุขจากภายนอก นั่นจะหมายถึงความสุข แค่ชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้น
    เพราะนอกนั้น จะเป็นทุกข์ล้วนๆ

    ตราบใดคนเรายังมีลมหายใจ ถือว่ายังมีโอกาสได้สะสมบุญบารมีแห่งตน
    เพราะบุญบารมีวันนี้ จะส่งผลนำพาความสุขมาให้ ทั้งก่อนและหลังความตาย
    โลกมนุษย์ยังไม่น่ากลัวเท่า โลกทิพย์หรือโลกหลังความตาย
    โดยเฉพาะผู้ที่กำลังมีความรักหรือความสุขแบบทางโลก
    อย่าไปหลงติดสุขกับทางโลกมากนัก เพราะอีกไม่นานนัก
    พวกท่านก็จะได้พบกับความทุกข์ ที่กำลังรออยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นอน
    และไม่มีผู้ที่จะหลบหนีความทุกข์ไปได้สักคนเดียว
    เพราะตราบใด พวกเรายังมีขันธ์ ๕ (ร่างกาย)
    และจะมีผู้ใดรู้จริงบ้างว่า การหลงมาเกิดและมีร่างกายร่างนั้น
    เรากำลังอยู่กับตัวทุกข์ล้วน แต่วันนี้บางคนจะยังมองทุกข์ไม่เห็น
    อีกไม่นานนัก เดี๋ยวก็ได้เห็น
    ถึงได้บอก ถึงได้ออกมาเตือนกันว่า อย่ามัวหลงเพลิดเพลิน อย่ามัวหลงติดสุขกับทางโลกนาน
    เพราะทุกคนจะต้องได้พบกับความทุกข์ที่จะมาเยือนในอนาคตนี้ อย่างแน่นอน

    โดยเฉพาะจิตบุญ ชอบทำตกฌาน หรือ ไม่รักษาอารมณ์ตอนที่จิตยก
    ได้โปรดระวังให้ดี เพราะนั่นหมายถึง กำลังอยู่บนความประมาทแล้ว
    แต่สำหรับผู้ที่กำลังเสวยทุกข์ ก็คอยหมั่นเจริญสติภาวนา
    แต่ต้องรอให้เราสบายใจก่อนปฎิบัตินะ แต่ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว จะไม่เป็นผล
    ไม่ใช่ รอให้ทุกข์เกิดก่อน จึงพากันปฎิบัติ พอหายทุกข์ก็เลิกปฎิบัติ
    อันนี้ยังใช้ไม่ได้ แสดงว่ากำลังใจยังไม่เต็ม ที่จะนำพาให้เราเข้าถึงการปฎิบัติธรรม
    แต่ถ้าหากกำลังใจถึงแล้ว แต่มีความเพียรน้อยเกินไปก็อาจจะเลิกปฎิบัติก็มีมาก
    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมนั้นมีมาก เพราะมัวแต่ไปสนใจแค่เปลือกนอก จึงไปไม่ถึงแก่นกัน
    แก่นในที่นี้หมายถึงจิต หรือการเข้าถึงจิตของตนเองให้ได้ก่อน ที่จะเข้าไปถึงธรรม

    เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๖
    ขอให้ผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก
    โดยเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จงบันดาลให้ทุกท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญ
    และคิดสิ่งใดหรือทำสิ่งใด ขอให้สมดั่งใจหรือมุ่งมาดปรารถนาทุกประการตลอดไปด้วยเทอญ

    จากพี่ภู
    ตัวแทนชาวคณะ "จิตเกาะพระ"
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    มหาสติ

    ฝึกสติจนเป็นมหาสติ ขั้นจางคลายจากทุกข์และดับสนิทแห่งทุกข์

    มหาสติ ในการดับทุกข์ในทางปฎิบัติ หมายถึงการมีสติ รู้เท่าทันและเข้าใจอย่างถูกต้อง(สัมมาปัญญา)ในกายบ้าง ในเวทนาบ้าง ในจิตสังขารบ้าง(เช่นความคิด,คิดนึกปรุงแต่ง,เจตสิก) ในธรรมบ้าง อยู่เนืองๆเป็นอเนก, ฝ่ายเวทนาหรือจิต(จิตสังขาร)เมื่อมีสติรู้เท่าทันแล้ว ต้องปล่อยวางโดยการอุเบกขา(ในโพชฌงค์ ๗) กล่าวคือเป็นกลาง วางทีเฉย แม้จะรู้สึกเป็นสุข,เป็นทุกข์,หรือไม่สุขไม่ทุกข์(คือเวทนา)ตามธรรม(สิ่ง)ที่เกิดอย่างไรก็ตามที ด้วยการไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซง ไม่ปรุงแต่ง ไม่พัวพันไปในเรื่องนั้นๆ ไม่ทั้งในทางดีหรือชั่ว คือ ถูกก็ไม่ ผิดก็ไม่, ดีก็ไม่ ชั่วก็ไม่ หมายถึงไม่ไปยึดมั่นหมายมั่นแม้ในดีชั่ว บุญบาป เป็นสภาพที่เรียกได้ว่า เหนือบุญเหนือบาป เหนือดีเหนือชั่ว หรือเหนือกรรมนั่นเอง จนเกิดความชำนาญอย่างยิ่งยวด อันเกิดแต่การสั่งสมอบรมประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องนั่นเอง เกิดการประสานกันอย่างกลมกลืนอย่างลงตัวในที่สุด ก็จะเกิดมหาสติขึ้น กล่าวคือมีสติอยู่เสมอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มันเกิดมันทำของมันเองโดยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นมาแต่การสั่งสมอย่างดีเลิศหรือเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง จนเคยชินยิ่ง อันเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตนั่นเอง จึงยิ่งใหญ่

    กล่าวคือเกิดการกระทำตามที่ได้สั่งสมอบรมไว้ด้วยความเพียร และอย่างถูกต้อง จนสามารถกระทำเองได้โดยอัติโนมัติ เป็นเหมือนดั่งสังขารในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่มิได้เกิดแต่อวิชชา แต่เกิดจากวิชชาหรือวิชา ดังเช่น การอ่านหนังสือออก ขอให้โยนิโสมนสิการโดยแยบคายจะเห็นได้ว่า เมื่อตากระทบตัวอักษร จะเกิดการอ่านออกโดยอัติโนมัติ จะอ่านไม่ออกก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นสังขารอันอบรม สั่งสม ปฏิบัติไว้ด้วยความเพียรมาแต่ครั้งเล่าเรียนนั่นเอง จึงเป็นอาการมหาสติอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นมหาสติแบบประโยชน์ทางโลก มิได้เป็นมหาสติที่นำพาให้จางคลายจากทุกข์ หรือดับทุกข์อันเป็นสุขอย่างยิ่ง

    สติรู้เท่ารู้ทันกาย เวทนา จิต ธรรม เรียกว่า มหาสติ เป็นไปเพื่อการดับทุกข์

    สติรู้เท่าทันในหน้าที่การงาน เรียกว่า สั่งสมจนเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางโลกๆ

    สติรู้ในกิเลสที่ผุดขึ้นมา(อาสวะกิเลส)และประกอบด้วยอวิชชา คือสังขารกิเลส
    ในองค์ธรรมสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ล้วนเป็นไปเพื่อทุกข์อันเร่าร้อน


    http://www.nkgen.com/718.htm
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติ
    แปลว่า ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้
    การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้
    เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้น
    ยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท

    สติ เป็นธรรมมีอุปการะมาก คือทำให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง
    สตินั้นหากนำมาใช้กับทางโลกทั่วไปก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว
    ไม่ว่าจะเป็นการงาน ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ การคิดอ่านย่อมเป็นระบบ
    จิตย่อมมีสมาธิในการทำกิจการงานใดๆ อารมณ์มักจะเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรือทุกข์ใจอะไรมากๆ
    กล่าวโดยรวมคือย่อมเกื้อกูลชีวิตประจำวันทางโลกได้อย่างดี ซึ่งเป็นประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจน
    ถ้ารู้เนืองๆ มากๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะได้ประโยชน์จากทางธรรมด้วย
    การที่เรามีสติอยู่เนืองๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ทำอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
    ก็เพื่อให้สติเกื้อกูลต่อการ “เห็นความจริง”
    ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ก็คือ กายกับใจ
    จุดหมายของการรู้ ก็เพื่อให้เห็นความจริง อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ว่ากายและใจของเรานั้น เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา

    สติ เป็นคุณธรรมที่เกิดเองไม่ได้ ต้องทำให้เกิดขึ้นด้วยการฝึกฝนรวบรวมจิตใจให้นิ่งแน่วด้วยวิธีต่างๆ
    เช่น การเจริญวิปัสสนาคือการฝึกตามมหาสติปัฏฐานสูตร
    ทำสมาธิ สวดมนต์ ภาวนาคือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6

    สติ มีใช้ในอีกหลายความหมาย เช่น กำหนดรู้ ตระหนักรู้ ระลึกรู้ สัมผัสรู้ รู้สึกตัว และอื่นๆ
    ที่ใช้ในความหมายการทำความกำหนดรู้สึกตัว ในปัจจุบันต่อผัสสะใดๆ ที่เกิดขึ้นมา
    เพื่อให้กำหนดรู้เฉพาะหน้า ให้เท่าทันต่อสัมผัสตามความเป็นจริงต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา
    ให้จิตเป็นอิสระต่อสิ่งที่มากระทบในฐานะเป็นเพื่อผู้เฝ้ารู้เฉย ด้วยการเพิ่มการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
    โดยลดการคิดนึกปรุงแต่งความรู้สึกอื่นๆ

    สติ ใช้เพื่อที่จะรู้เท่าทันในสังขาร 3
    รู้เท่าทันในการเคลื่อนไหว(กายสังขาร) ในอันที่จะการสร้างกรรมใดๆ นั่นคือศีล
    รู้เท่าทันในอารมณ์ที่ปรุงแต่งจิต(จิตสังขาร) จนจิตเป็นอิสระจากอารมณ์ นี่คือสมาธิ
    รู้เท่าทันความคิดทั้งหลาย(วจีสังขาร) ว่าความคิดเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่(โยนิโสมนสิการ) นี้คือปัญญา


    สติ - วิกิพีเดีย
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิต
    (mind) หรือ จิตใจ
    คือ ความรู้สึกนึกคิด เชาว์ปัญญา ความสำนึก ความมีสติ
    แต่ความคิดเป็นองค์ประกอบสำคัญของจิตใจที่สามารถรู้เห็นได้ กำกับและควบคุมอย่างชัดเจน
    บางครั้งจึงใช้คำว่า "ความคิด" แทน

    ความสัมพันธ์กับร่างกาย
    ร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กัน โดยเมื่อใดที่ร่างกายตึงเครียด จะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติ
    ซิมพาเทติก ทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงผิวหนังลดลง
    ตรงกันข้ามกับภาวะผ่อนคลายที่ระบบประสาท พาราซิมพาเทติก ทำงานมากขึ้นอย่างสมดุลจะทำให้ร่างกายหายใจช้าลง
    ชีพจรและความดันโลหิตลดลง มือเท้าอุ่นขึ้น

    เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ต่อมเหงื่อทำงานมากขึ้น ไตขับของเสียได้น้อยลง หัวใจเต้นเร็วและแรง เส้นเลือดในท้องและผิวหนังหดตัว อาหารจึงไม่ย่อย ภูมิต้านทานลดลง เกล็ดเลือดเกาะตัวเป็นลิ่มมากขึ้น ไขมันที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อจะละลายออกมาอยู่ในสภาวะพร้อมใช้งาน ไขมันในเลือดจึงสูงขึ้น หากเครียดบ่อยๆ จะอุดตันตามเส้นเลือด กลายเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง จิตใจที่เครียดติดต่อกันนานๆ ทำให้ฮอร์โมน คอร์ติซอล เพิ่มขึ้น มีผลลดความว่องไวของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ภูมิต้านทานที่ถูกกดไว้ ทำให้ป่วยง่าย ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ไม่ดี เนื่องจากปกติ ร่างการจะสร้างเซลล์เคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แต่ผลจากความเครียด ร่างกายจะไม่ซ่อมแซมตัวเอง จึงเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

    มีผลการวิจัยกล่าวว่า ผู้ที่มีความรู้สึกเกลียดชังหรือเป็นศัตรู ความดันจะสูงขึ้น 40 วินาที
    ส่วนความโกรธ ทำให้ความดันสูงขึ้น 80 วินาที

    ความเจ็บป่วยที่มีผลต่อเนื่องมาจากจิตใจ ทางการแพทย์เรียกว่า Psychosomatic psychosomatic illness
    เช่น โรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ ไมเกรน หอบหืด ภูมิแพ้ โรคกระเพาะอาหาร ท้องเสีย


    จิต - วิกิพีเดีย
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอฝากการบ้านก่อนปีใหม่
    โดยเฉพาะ เรื่องสติกับจิต
    ก่อนจะมาถึงเรื่อง
    ความสัมพันธ์กันระหว่าง...
    หรือ ธรรมะ "บูมเมอแรง"
    สติกับกาย
    สติกับจิต
    กายกับจิต

    และโดยเฉพาะจิตบุญ เรื่อง การเลิกยึดสรรพสิ่งต่างๆ ของจิตและของสติเรา
    เดี๋ยวพี่ภูจะเฉลยให้ฟัง...
    ที่นี่..จะไม่เน้นธรรมตัวอื่น แต่จะเน้นเรื่อง สติกับจิต
    แต่ถ้าผู้ใด มีสติกับจิต ไม่สัมพันธ์กันละก็ อย่าเพิ่งไปพูดถึงธรรมตัวอื่นๆเลย
    เพราะไม่มีประโยชน์ ทำไปก็หลงไป ตกม้าตายเปล่าๆ
    โดยเฉพาะจิตบุญที่ยังมีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า หรือจิตไวแต่สติตามไม่ทัน
    หลงทุกราย ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด
    ท่องจำกันเข้าไว้ ควายอยู่แต่ท้องทุ่งนา ข้างบนพระนิพพาน ไม่มี
    และระวังให้ดี บอกว่าหมั่นทรงฌานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    พูดปากจะฉีกแล้ว ก็เฉยกัน พอทุกข์เข้าหาตัว..ร้องเจี๊ยกๆๆๆ
    ไม่หมั่นทรงอารมณ์ตอนจิตยกกันใหม่ รักษาแชมป์กันไม่ได้
    โดยเฉพาะพวกเหยียบเรือสองแคม คือ ขาอีกข้างหนึ่งเหยียบพระนิพพาน
    แต่ขาอีกข้างหนึ่งยังเหยียบอยู่กับโลก
    นี่ไง๊ ครูเพ็ญก็เตือนอยู่บ่อยๆว่า อย่าเอาสติออกห่างจิตมากนัก
    แล้วเป็นไง งงกันเป็นแถวๆ
    บอกว่าเมื่อมีสิ่งมากระทบจิต ขอให้พวกเราตามไปดูจิตตนเอง มิใช่ให้ไปดูสิ่งที่กำลังมากระทบจิต
    จิตบุญบางรายก็ไปดูจิตตนเองเหมือนกัน
    แต่ไปดูแค่แป๊บเดียว ที่เหลือไปไหน เอาสติวิ่งไปเกาะโลกตามเดิม อีกแย๊ววว
    โอ้หน๋อๆ ปัญญาๆๆๆๆ หายกันหมด หายจิ! ก็ชอบเผลอสติ
    แต่พอหันกลับไปดูที่จิตตนเอง จิตบอกว่า..กรูเฉย มรึงน่ะเฉยรึยัง?
    (มรึงหมายถึง ตัวสติตนเอง)
    แล้วเป็นยังไง ทุกข์ไหม๊เล่า...สมนำหน้า
    (ผมพูดถึงเฉพาะจิตบุญนะ ผู้ที่ไม่ใช่จิตบุญ ไม่เกี่ยวกันนะ)

    ขอเตือนจิตบุญ เรื่อง นิมิต
    บอกแล้วนะ เตือนกันแล้วนะ
    แต่ถ้าจิตเข้าถึงความละเอียดแล้ว จิตมักจะไปรู้ เห็น ความรู้สึกต่างๆ เป็นธรรมดา
    แต่จิตบุญไม่เห็นเป็นธรรมดา แต่กลับตื่นเต้น ของใหม่ น่าลอง น่าสนใจ
    แต่ถ้าจิตบุญท่านใด วางนิมิตไม่ได้ จิตก็จะเข้าสู่ความว่างไม่ได้
    ความว่างจริงๆนะ ไม่ใช่ เมื่อวานว่าง แต่วันนี้กรูไม่ว่าง
    อันนี้ก็ยัง ใช้ไม่ได้
    ระวังตัวให้ดี จะไปสร้างอัตตาละเอียดขึ้นกันมาใหม่
    ต่อไปใครๆพูดก็ไม่ฟังแล้ว ทำไม๊ก่อนการปฎิบัติบอกว่าเพื่อความหลุดพ้น แล้วมันจะหลุดกันไหม๊
    แต่ถ้าพวกเราไปยึดนิมิตตนเองเป็นอารมณ์เสียแล้ว
    ต่อไปจะหาจิตที่ไปว่าง บางท่านจิตเข้าความว่างยังไม่ได้ เพราะชอบเอาสติออกห่างจิตตนเองเสียแล้ว
    สติตัวดีบอกจิตว่า อย่าไปยึดนะๆๆๆ
    แต่เอ็ง(สติ)ดันไปยึด ทำไม๊ บอกจิตเขาได้ แต่ตนเอง(สติ)กลับทำไม่ได้
    เวน-กำ เวรกรรม​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 ธันวาคม 2012
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ทุกวันหรือวันไหนๆ
    จิตของเราไปอยู่ทางไหนมากกว่ากัน
    ระหว่างทางโลกกับทางธรรม
    หรือ ทางสงบหรือว่าวุ่นวาย

    โดยเฉพาะจิตบุญ ลองถามตนเองและก็ตอบตนเองด้วย
    ด้วยความปรารถนาดี

    ภู..จิตเกาะพระ
     
  14. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ส่ง ท้าย ปี เก่า ต้อน รับ ปี ใหม่
    ท้าย ให้เกิด ความดี ในปีใหม่
    ปี ใหม่นี้ สุขสันต์ ทุกวันไป
    เก่า จำใว้ สิ่งที่ดี ปีผ่านมา


    ต้อน ความดี ความรัก พักกิเลส
    รับ ที่เหตุ บุญมี ที่สร้างใว้
    ปี ใหม่มา สุขหนา พาสมใจ
    ใหม่ สดใส สิ้นภัยทุกข์ สุขมาแทน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P7040805.JPG
      P7040805.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,013.6 KB
      เปิดดู:
      23
    • DSC04700.JPG
      DSC04700.JPG
      ขนาดไฟล์:
      467.4 KB
      เปิดดู:
      22
    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      22
    • DSC05715.JPG
      DSC05715.JPG
      ขนาดไฟล์:
      557 KB
      เปิดดู:
      24
  15. lobsterkiss

    lobsterkiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +325
    กราบสวัสดีครับทุกท่าน
    แหะๆ ข้าพเจ้าไม่ได้ออกมาเขียนก็นานอยู่นะ
    อยู่แต่ในเมลล์ไม่ได้ออกมาซะนาน

    วันนี้ตั้งใจว่าจะมาเขียนซะหน่อย ส่งท้ายปี อิอิ เดี๋ยวลืม

    เรื่องนี้มีอยู่ว่า วันนึงข้าพเจ้ารอรถเมล์อยู่ที่หน้าป้ายรถเมล์
    เกิดคิดอะไรบางอย่างคิดมา

    ครั้งนึงเมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก
    ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพุทธประวัติ ประวัติพระอรหันต์สาวก
    แล้วคิดว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเข้าถึงสภาวะธรรม
    คงมีแต่ความสงบ กิเลสคงไม่มี หายเกลี้ยงแน่เลยเน๊าะ!!!

    แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว ข้าพเจ้ามองว่า
    คำตอบที่ข้าพเจ้าคิดเองเออเองตั้งแต่เด็กนั้น ถูกกึ่งหนึ่งไม่ถูกกึ่งหนึ่ง
    ที่ถูกหมายถึง หายไปจากจิตของพวกท่าน เพราะ กิเลสเหล่านั้นท่านไม่ได้ยึดติดว่าเป็นของๆท่านอีกต่อไป จึงเสมือนกับว่าหายไป
    ที่ไม่ถูกก็คือ กิเลสเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ คือไม่หายได้ไปไหน
    เขาก็อยู่ของเขาอยู่อย่างนั้น ยังคงอยู่ทั่วไปตามมากมาย

    ดังนั้นเองข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่า
    เมื่อเรายังคงมีขันธ์ 5 กิเลสหรือสิ่งต่างๆย่อมทั้งหลายเอย
    ก็ยังเข้ามากระทบเป็นธรรมดา
    แม้ว่าเราจะคุ้นชินกับกิเลสเหล่านั้นที่เคยเจอบ่อย
    เช่น อาจเกิดโทสะบ่อยๆ อย่าคิดว่าพอเจอบ่อยเรารู้แล้ว
    เขาจะไม่มาปรากฏต่อเราอีก
    ข้าพเจ้าจึงนำมาเปรียบเทียบกับ รถเมล์กับป้ายรถเมล์
    กิเลสหรือสิ่งที่มากระทบก็เหมือนกับรถเมล์ที่ผ่านมาหาป้ายรถเมล์
    หรือขันธ์ 5 นั้นตลอดเวลา
    หากยังคงมีป้ายรถเมล์นั้นๆอยู่
    ก็ย่อมเจอรถเมล์(กิเลส)เหล่านั้นเป็นธรรมดา
    เราจึงรู้อย่างมีปัญญาว่าสิ่งที่มากระทบเหล่านั้น
    ผ่านมาก็ผ่านไปเป็นธรรมดา
    ไม่ใช่ของๆเราไม่สมควรจะไปยึดติด
    ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทำตัวเป็นรถเมล์มีแขน
    ไปดึงรั้งรถเมล์ให้อยู่กับตัว ซนั่นย่อมนำมาซึ่งความทุกข์อีก
    มันไม่ดีแน่ๆถ้าเป็นเช่นนั้น

    แต่หากแต่วันนึง มีรถเมล์ที่ไม่ได้บอกว่า
    จะผ่านป้ายนี้ผ่านมาหล่ะ นั่นก็เป็นธรรมดา
    ที่ป้ายนั้นย่อมมีรถสายอื่นผ่านก็ได้ หากมีการเปลี่ยนเส้นทาง
    เสมือนกับเราเองก็อย่าได้ประมาทว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เราไม่เคยกระทบ
    ไม่เคยเจอ เราจักไม่เจอแน่ ซึ่งนั้นไม่มีอะไรแน่นนอนเลย
    ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่า สิ่งเหล่านั้นจะไม่มาหาเรา
    ดังนั้นการคิดว่าจะไม่มีสิ่งที่ไม่เคยมากระทบ ไม่มาหานั้น
    ย่อมประมาทอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ดีแน่นอนหากคิดเช่นนี้

    หากแต่ เราจะไม่เจอสิ่งนั้นสิ่งนี้ กิเลส ที่มากระทบเมื่อไหร่เล่าาา
    ก็ต้องดับขันธ์เท่านั้นแล
    ก็คือเสมือนกับเราทำลายป้ายรถเมล์นั้นเสีย (ขันธ์ 5 ดับสิ้นไป)

    แต่หากแต่เราดับขันธ์ 5 ดับสิ้นไปในภาวะที่เรายังคงหลงในกิเลสแล้วก็
    เปรียบเสมือนว่า
    เราย้ายป้ายรถเมล์ไปที่อื่น จากที่ A ไป B
    ซึ่งก็ย่อมเจอรถเมล์ เจอกิเลสเหล่านั้นอีก
    เป็นทุกข์ไปอีก เช่นนี้ดีหรือออ

    เมื่อไม่ดี เราจึงไม่ควรจักประมาท มีสติ
    อย่าคิดว่ากิเลสที่เรารู้ ที่เคยเข้ามาจะไม่เข้ามาหาอีก
    หากยังมีขันธ์ 5 ย่อมเข้ามาอีกแน่นอน

    นี่แหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้าไว้เตือนใจ เตือนจิตเสมอ เพราะข้าพเจ้านี้ยังคงอยู่ในขันธ์ 5 และก็ไม่ได้เลอเลิศอะไรเป็นแค่คนธรรมด้าาธรรมดา
    อีกทั้งไว้ไม่ให้เราประมาทกับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบทั้งภายใน ภายนอกก็ดี
    ควรพึงระวังยิ่งนะครับ

    ปล1. ข้าพเจ้าขอกราบโมทนา จิตบุญทุกๆท่านที่ยกขึ้นด้วยนะครับ
    ปล2. สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะครับทุกท่าน ขอให้เจริญยิ่งๆในธรรมและในสุขทุกๆท่านนะครับ รักทุกคนนะครับ จุ๊บๆ (kiss) อิอิ
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอขอบพระคุณ สำหรับธรรมะคำสั่งสอนและคำเตือนทั้งหมดที่คุณภูเป็น

    ห่วง. ขอให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจและปฏิบัติตามเพื่อตัวเราเอง ที่ท่านให้มา

    เตรียมพร้อมกับเหตุข้างหน้าที่เราไม่รู้ว่านาทีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น อย่าประมาท

    เพราะเวลามีค่ามากอย่าให้สูญไปโดยปล่าวประโยชน์ นาฬิกานั้นผ่านไปก็ตั้ง

    เวลาใหม่ได้ แต่เวลาของเรามันผ่านไปแล้วไปเลยเอาเวลานั้นกลับคืนมาไม่ได้

    ฉะนั้นขอให้เราทบทวนดู อย่า่งเช่นปีนี้่ที่กำลังจะผ่านไปในอีกไม่กี่วันนี้ ถ้ามัน

    ผ่านไปแล้วเราก็จะเอาปีนี้กลับคืนมาอีกก็ไม่ได้ แต่มันสามารถเอาปีหน้าที่กำลัง

    จะมาถึงมาเรียกว่าปีนี้อีกได้ แต่ตัวเราซิอย่าปล่อยให้ปีนี้และวันนี้ผ่านไปอย่าง

    ไม่มีค่าอย่ารอช้าเพราะวันเวลาไม่รอใคร. ขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรปีใหม่

    ๒๕๕๖ ขอให้พรที่ท่านให้มาย้อนกลับไปสู่ท่านให้มีความสุข และมีดวงตาเห็น

    ธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ. ลูกขอกราบองค์สมเด็จองค์พระปฐม และพระพุทธเจ้าทุกๆ

    พระองค์ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ.


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2012
  17. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    คำอวยพรที่มีค่า
    เวลาคนมาขอให้ท่านให้พร ...หลวงตาประสงค์ ท่านจะให้พร 3 ประการ...
    "...1. ขอให้ไม่มีอนาคต 2. ขอให้หมดเนื้อหมดตัว 3. ขอให้อย่าได้ผุดได้เกิด..."

    บางคนเมื่อได้ฟังเผินๆแล้วคิดไปตามความเคยชินว่าเป็นคำแช่งด่า แต่ถ้าลองพิจารณาความหมายให้ดีแล้วจะพบว่าเป็นคำอวยพรที่สุดแสนจะประเสริฐ ความหมายของพรแต่ละข้อมีดังนี้

    1. ขอให้ไม่มีอนาคต คือ ให้มีสติรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ไม่ไปวุ่นวายกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และ อดีตที่ผ่านไปแล้ว การมีสติยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเข้าถึงธรรมอีกด้วย
    2. ขอให้หมดเนื้อหมดตัว คือสามารถละความยึดมั่นใน ความเป็นตัวกูของกู หรือความยึดติดในขันธ์ 5
    3. ขอให้อย่าได้ผุดได้เกิด คือ ขอให้ถึงพระนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก

    หลวงตาประสงค์ ปริปุณฺโณ
    อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าชิคาโก ประเทศสหรัฐ
     
  18. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ปีใหม่นี้ ขอฝากจิตเกาะกระทู้ไว้สองสามประโยค คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว
    -เกิดมาได้อัตภาพเป็นคนนั้นยาก
    -เกิดมาได้อัตภาพเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนานั้นยากขึ้นไปอีก
    เมื่อเกิดมาเป็นคนพบพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่สนใจศึกษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ก็นับว่า เสียชาติเกิดไปอีกชาติหนึ่งเปล่าๆปี้ๆ ต้องไปตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ซํ้าๆซากๆกันอีกนานแค่ไหนหนอ ...
    ข้าพเจ้าขอขมาหากคำกล่าวนี้ไปล่วงเกินจิตผู้ใดเข้า เพราะอาจมีบางท่านสามารถพัฒนาจิตได้โดยไม่มีเรื่องของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เคารพในสิ่งเดียวกันแต่ใช้ภาษาสมมุตต่างกัน
     
  19. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    "เราอย่าเห็นความสุขที่แฝงอยู่ในอิริยาบถของกายอันเป็นก้อนทุกข์ ว่าจะให้ความสุขแก่เราตลอดกาล และเป็นความสุขที่ควรนอนใจไม่แสวงหาทางออก จะกลายเป็นฝูงแร้งฝูงกาที่เกาะกินซากอสุภ ซึ่งลอยอยู่ในมหาสมุทรทะเลด้วยความประมาท โดยไม่คำนึงว่าซากอสุภจะนับวันออกห่างจากฝั่ง และแปรสภาพจมลงในทะเลหลวง มัวเพลินกินซากอสุภโดยไม่คิดหาทางออก สุดท้ายซากอสุภก็จมลง ฝูงสัตว์ตัวประมาทเห็นท่าไม่ดี ก็บินหาทางพ้น แต่สายไปเสียแล้ว บินเข้าสู่ฝั่งไม่ไหวต้องจมน้ำตายในทะเล กลายเป็นอสุภอันดับสองฝังจมอยู่ในทะเล

    ซากอสุภในที่นี้ คือ กาย และสิ่งอาศัยเล็กน้อย ฝูงแร้งฝูงกา คือ เราผู้ประมาท อาศัยความสุขเล็กๆ น้อยๆ คอยวันคอยคืนเพื่อความสุขความเจริญโดยผิดทาง ร่างกายและสิ่งอาศัยเล็กน้อยนับวันแปรปรวนไปโดยเจ้าตัวไม่รู้ ผลสุดท้ายก็แตกทำลาย กว่าจะรู้ตัวและหาทางออก เวลาสายไปเสียแล้ว จึงเป็นทำนองฝูงแร้งกาตัวประมาทจมอยู่ในทะเลหลวงฉะนั้น"

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
    Luangta.Com -
     
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    "...ดูกรภิกษุทั้งหลาย! พรหมจรรย์นี้เราประพฤติ
    มิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อให้คนทั้งหลายมานับถือ
    มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและความสรรเสริญ
    มิใช่จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเจ้าลัทธิและแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้
    มิใช่เพื่อให้ใครรู้จักตัวว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ที่แท้พรหมจรรย์นี้เราประพฤติ
    เพื่อสังวระ คือ ความสำรวม
    เพื่อปหานะ คือ ความละ
    เพื่อวิราคะ คือ คลายความกำหนัดยินดี และ
    เพื่อนิโรธะ คือ ความดับทุกข์..."

    หนังสือ พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน (อ.วศิน อินทสระ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...