จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขออนุโมทนากับจิตบุญ ดวงที่ 125 และครูผู้สอนทุกท่านด้วยค่ะ สาธุ
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ผู้เช่า ...

    วันนี้มีจิตบุญโทรมาคุยกัน เรื่อง .... เรานี้คือ ผู้เช่า

    เป็นเช่นนั้น จริงๆ ... เรานี้คือผู้เช่า

    แต่ทำไม คนหมู่มาก ชอบ หลง ไป คิดว่า เรานี้ คือ เจ้าของ
    เจ้าของ ทั้ง กายนี้ บ้านนี้ ลูกนี้ ภรรยา สามีนี้ ชีวิตนี้ เราเป็นเจ้าของ ...

    เราจึงต้องทนทุกข์มากมายจากการเป็น ... เจ้าของ

    เจ้าของ มันเยอะไปหมด เต็มไม้ เต็มมือไปหมด นับวันยิ่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ ... แล้วมันจะวางได้เมื่อไหร่หนอ หนักจะตาย แต่ก้อยัง อยากเป็น เจ้าของ

    กายนี้ หมดลมแล้ว เราก้อส่งคืนธรรมชาติไป ... เราเป็นเจ้าของจริงหรือ
    เงินทองนี้ หมดลมแล้ว มันตามไปกับดวงจิตเราหรือ ... เราเป็นเจ้าของจริงหรือ
    ลาภ ยศ สรรเสริญ นี้ มันติดตัวไปเมื่อเราตายได้หรือ ... เราเป็นเจ้าของจริงหรือ

    เรานี้ ไม่มีสิ่งใด เป็นของเรา ... เราเพียงยืมเค้ามาใช้ หมดเวลา ก้อคืนเค้าไป มิใช่หรือ

    เป็นเจ้าของแล้วดีจริงหรือ มันจะยึดไปแล้ว มีแต่สุขเท่านั้นหรือ

    จงเข้าใจธรรมชาติเถอะนะ แล้วจะเข้าใจ ว่า แท้จริงแล้ว ... เรานี้ คือเจ้าของ หรือ แค่ผู้เช่า ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  3. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233

    ผมขอขอบคุณท่านด้วยนะครับ ที่นำคำสอนนี้มาให้

    ตราบใดที่ยังมีขันธ์นี้อยู่ เราไม่พ้นหรอกนะ โลกธรรม8 ชอบ ไม่ชอบ ...อีกมากมายที่จะเข้ามากระทบเรา

    จิตเรานี้ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งขันธ์ ก้ออย่าฝันกลางวันไปว่าจะพ้น ไปได้ ...

    ขอให้อยู่อย่างเข้าใจ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้เป็น ...

    ชอบ ... ก้อจงอย่าชอบ หรือ ชอบ ... แต่จง รู้ ว่าชอบ แล้ว วางมันลงนะ และเข้าใจมันพอ

    ไม่ชอบ ... ก้อย่าจงไม่ชอบ หรือ ชอบเช่นกัน ... แต่จง รู้ ว่าชอบ แล้ว วางมันลงนะ และเข้าใจมันพอ

    อย่าหลงระเริงในจิตตนว่าจะพ้นไปได้ ... เรามิใช่ผู้วิเศษ ผู้อยู่เหนือโลก ที่จะพ้นไปได้ ... ขอให้เข้าใจ

    จงน้อมรับ และพิจารณามันด้วยปัญญา แล้ววางลงนะ

    ยิ่งวาง ยิ่งแจ้ง
    ยิ่งหลง ยิ่งยึด

    ผู้เข้าใจ จะไร้แล้วซึ่งการปรุง จะอยู่ได้ ด้วยจิตธรรมดา ไม่มีสิ่งใด
    ผู้ไม่เข้าใจ จงอยู่ต่อไปด้วยความสงสัย ด้วยจิตไม่สงบ

    น้อมรับ เข้าใจ และวาง แล้วจะว่าง จนว่างจริงๆ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=G03zvUzFmC0]Thailand's Got Talent สมศักดิ์ เหมรัญ เพลงศรัทธา - YouTube[/ame]

    จงศรัทธาในจิตตน แล้วจิตเจ้าจะเป็นจิตที่เป็นอยู่
    ถภ้าไม่มีศรัทธา จิตนั้น ก้อไม่ต่างกับ ตัวอักษณ แค่นั้น จ - อิ - บอ - ตอ ... เป็นแค่ตอ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เถระวาทะ.

    ...เราดี ดีกว่าดวงดี.

    เพราะดีนั้นมีที่เรา ดีกว่าที่ดวง.

    ทำดี นั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวง มาทำให้ดวงมันดี.

    จากท่านพุทธทาสภิกขุ. คัดจากวัดสันติวงศาราม. เบอรมิ่งแฮม U K
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    เถระวาทะ...จากหลวงปู่สังวาลย์

    ...คนที่เอาแต่ให้พระช่วยนั้นงมงาย เพราะไม่ปฏิบัติตามพระสอน.

    เอาแต่สิ่งที่พระห้าม พวกผิดศีล ๕ คล้องพระเท่าไหร่ก็ไปนรก.

    เอาพระพุทธรูปแลกนรกไม่ได้ แต่เราสร้างพระด้วยมีใจว่า เห็นพระแล้วได้เกิดมงคลในใจ.

    นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.นี่คือคำสั่งสอนที่หลวงปู่สั่งวาล เขมโก ท่านได้ฝากไว้

    ลูกขอกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถึงโลกจะแตก
    วันสิ้นโลก..จะมาถึง


    ก็ไม่มีผลกับจิต หรือ ดวงจิต
    อย่างมากก็มีผลแค่กาย เพราะร่างกายนี้ เป็นสมบัติของโลก
    เมื่อถึงเวลา ธรรมชาติเขาก็จะมาเอาคืน

    แต่..ถ้าจิตเราฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
    ถึงใครจะเกิด ใครจะแก่ ใครจะเจ็บป่วย ใครจะตาย
    เราก็ไม่สน เพราะสิ่งทั้งปวงคือ สมมุติ ย่อมตกอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรม
    เมื่อจิตเข้าถึงธรรม จิตก็รู้ความจริงทั้งหมด
    เพราะทุกธรรมหนีไม่พ้น คำว่า กฎธรรมดาหรือกฎไตรลักษณ์
    หรือ ก็แค่เกิดมา ตั้งอยู่และก็ดับไป (เป็นธรรมดา)

    จิตถึงธรรม จิตถึง..พระตถาคตแล้ว ย่อมไม่หนี กฎแห่งกรรม
    ถึงหนีก็ไม่พ้น จงยอมรับกฎแห่งกรรมของตนเองนั้นเสีย

    จิตปัญญาเท่านั้น
    จึงจะก้าวข้ามทุกธรรม หรือ กฎแห่งกรรมไปได้
    จิตปัญญาเท่านั้น
    จึงจะมองเห็นการเกิด-ดับ ตรงนี้ได้อย่างชัดเจนหรือเป็นธรรมดาเช่นนี้เอง
    เห็นจนชิน กลายเป็นธรรมดา จิตก็เข้าถึงความเป็นอนัตตาไปในที่สุด
    หรือ ความว่างที่สุด
    ว่างจริงๆนะ ไม่ใช่..เมื่อวานว่าง แต่วันนี้ไม่ว่างแล้ว
    อันนั้นยังใช้ไม่ได้

    เมื่อจิตปล่อยวางกับทุกสิ่ง ตามที่อายตนะเราที่ได้รับรู้มา เช่น เห็นสักแต่ว่าเห็น
    เห็นสักแต่ว่าเห็น หมายถึงขณะเห็นจริงๆ ไม่มีความติดข้อง ไม่มีความยินดี
    ในการเห็นอย่างนั้น ต้องเห็นด้วยปัญญาหรือเห็นด้วยจักขุวิญญาณ
    ขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือ ไม่มีอกุศล เป็นต้น

    สรุปแล้ว
    ไม่ว่าเราจะไปรู้ เห็น หรือรู้สึกอะไรแล้ว เราต้องวางทั้งหมด
    แต่ถ้าใครรู้แล้ว แต่วางไม่เป็น วางไม่ลง มันก็เท่ากับหนักหรือทุกข์ เท่านั้นเอง
    เพราะจุดมุ่งหมายของนักปฎิบัติธรรม หรือ จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
    นั่นก็คือ เพื่อความหลุดพ้น

    เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจิตฝึกมาดีเยี่ยมแล้ว
    ใครทุกข์ เราไม่ทุกข์ แม้นกระทั่งความสุข เราก็ไม่ไปยึดเอาใครร้อน เราเย็น
    ใครตื่นตระหนก แต่เราตระหนัก เตรียมจิตให้พร้อมรับทุกสถานการณ์
    ๑.ไม่ว่าจะเป็นภัยมาจากข้างนอก ได้แก่ คนกันเองหรือธรรมชาติ
    ๒.ไม่ว่าจะเป็นภัยมาจากข้างใน ได้แก่ เจตสิกหรืออารมณ์ของจิตตนเอง
     
  8. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ต้องขออนุญาต สนทนาด้วยครับ
    ประโยคที่ว่า

    "...ตราบใดที่ยังมีขันธ์นี้อยู่ เราไม่พ้นหรอกนะ โลกธรรม8
    ชอบ ไม่ชอบ ...อีกมากมายที่จะเข้ามากระทบเรา

    จิตเรานี้ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งขันธ์...."

    จะบอกว่า ขันธ์ไม่ใช่ตัวทุกข์ แต่อาการที่ไปยึดไว้ คือตัวทุกข์ หรืออุปาทาน นั่นเอง ที่ทำให้เกิดทุกข์

    ทำให้เกิดทุกข์อย่างไร เพราะอาการยึดไว้นั้น คือตัวสร้างภพชาติ
    เมื่อมีภพชาติ ก็มีทุกข์อยู่ร่ำไป ตัวทุกข์นี้ คือทุกขอริยสัจ

    ครูบาอาจารย์ ที่ท่านพ้นโลกธรรมแล้ว แต่ยังครองขันธ์ ทรงขันธ์อยู่
    ท่านก็ไม่ได้เป็นทุกข์กับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบ อยู่อย่างมหาสติ มหาปัญญา
    อัตโนมัติ ตัดกระแสวงจรขาดสิ้น ตั้งแต่อวิชชาดับไป นิโรธสิ้นปรุงแต่ง

    ท่านจึงอยู่อย่าง ทุกข์มีแต่ไม่เอา อยู่อย่างขันธวิมุติ
    พ้นสภาพการเกิดดับ สิ้นกิเลส ทั้งที่ยังครองขันธ์อยู่

    แต่สำหรับผู้ยังละอุปาทานขันธ์ คือตัวทุกข์ ในสักกายะทิฏฐิ ไม่ได้ จึงอยู่อย่างขันธมาร
    ทุกข์มีเพราะยึดไว้ นั่นเพราะไม่เห็นความจริง ในทุกขสัจ

    เหมือนอย่างที่ หลวงพ่อฤาษีท่านบอกว่า
    "ไอ้การตัดขันธ์5 ได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ตัวทุกข์ ถ้าไม่เห็นทุกข์ มันตัดไม่ได้"

    ดังนั้น สิ่งที่คนๆนั้น เข้าใจดีอยู่ จึงต้องน้อมเข้ามาเห็นทุกข์ เห็นสภาพความจริง
    เมื่อมีชาติ ก็ต้องมี ชรา มีมรณะ มีโสกะปริเทวะ อุปายาสะ
    เกิดตายๆ เป็นอาจิณ จมอยู่ในอาจม คือ ภพ อยู่ร่ำไป
    จึงอยู่ที่ ตัวทุกข์...ตัวทุกข์! ทุกข์กับสิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เมื่อคนๆนั้น น้อมเข้ามาพิจารณาแล้ว ย่อมจะภัยในวัฏฏะ
    จึงแสวงหาทางดับทุกข์ ก็ย่อมจะพิจารณาเข้าใจว่า ตัณหา นี่เองหนอ เหตุให้เกิดทุกข์
    ที่ทำให้ต้องยึดในกองขันธ์ ก็จะอยู่อย่าง เป็นผู้ศึกษาเรียนรู้ ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา
    เพื่อรู้รอบในกองขันธ์ กองอายตนะ กองธาตุ

    ให้เข้าใจรอบรู้ ด้วยญาณทัสสนะ ในสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
    กับธรรมชาติที่เป็น "ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ"
    ดังในธรรมจักรกัปวตนสูตร

    นั่นแสดงว่า ที่บอกว่า

    "...เมื่อน้อมรับ และพิจารณามันด้วยปัญญา แล้ววางลง

    ยิ่งวาง ยิ่งแจ้ง
    ยิ่งหลง ยิ่งยึด..."

    ก็มาดูที่ ท่านอาจมีความเข้าใจถูก แต่ใช้ศัพท์ในความหมายผิด
    ซึ่งหมายไปว่า จะต้องละขันธ์ คือ ตายไปเลย

    ประมาณว่า "ตราบใดที่ยังมีขันธ์นี้อยู่ เราไม่พ้นหรอกนะ โลกธรรม8
    จิตเรานี้ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งขันธ์"

    การละทิ้งขันธ์ ที่สื่อมา
    คงจะหมายไปยัง การละอุปาทาน ไม่เอาจิตไปผูกไว้กับขันธ์ ซึ่งยังคงขันธ์อยู่ มีชีวิตอยู่
    คนๆนั้น จะอยู่เข้าใจเรียนรู้ธรรมชาติในกองขันธ์ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ พิจารณาในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อันเป็นอกาลิโก

    เรียนรู้ในอุปาทาน เพื่อละอุปาทาน รู้เขารู้เรา เพื่อละเขาละเรา
    จนกว่าจะถึงความว่าง ทั้งภายนอกและภายใน ในตัวตนเราเขาอย่างแท้จริง
    แม้จิตนี้ อันเป็นตัวเป็นตน ให้พาเวียนพาตายพาเกิด ให้ถึงความดับรอบโดยสิ้นเชิง

    คนๆนั้น ย่อมจะต้องชำแรกแหวกเฟ้น สิ่งที่ทำให้ติดอยู่ในอาจม นั้นว่า

    "....ผู้เข้าใจ จะไร้แล้วซึ่งการปรุง จะอยู่ได้ ด้วยจิตธรรมดา ไม่มีสิ่งใด
    ผู้ไม่เข้าใจ จงอยู่ต่อไปด้วยความสงสัย ด้วยจิตไม่สงบ

    น้อมรับ เข้าใจ และวาง แล้วจะว่าง จนว่างจริงๆ."


    ผมเข้าใจว่า ท่านพยายามสื่อออกมา ประมาณนี้ครับ

    ผิดพลาดอย่างไร ขออภัยครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012
  9. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ขอเล่าเรื่องของตนเองเพื่อเป็นธรรมทานบ้างนะครับ

    คือว่าวันที่17/12/55ที่ผ่านมานี้ผมเองได้มีโอกาสได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี เข้าตอน8โมงเช้า ก็ติดต่อไปตามขั้นตอนปรกติ จนกระทั่งเวลาประมาณ10โมง พยาบาลมาบอกว่าเดี๋ยวเข้าผ่าซัก11โมง ก็คิดเอาล่ะวา ขึ้นเขียงซะที จะได้จบไปซะที เมื่อถึงเวลาพยาบาลก็เข็นเตียงมา ก็รีบเอาสติไปดูจิตสิว่าหวั่นไหม สิ่งที่พบคือความว่างงงงงงงงง ว่างจริงๆ ยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
    จนรู้สึกตัวขึ้นมาประมาณบ่ายโมงปวดที่ผ่าตัดมาก แต่ก้รีบเอาสติไปเช้คจิตอีกว่าวิตกไหม ก็พบว่าว่างอีก แต่กายนี่ปวดมาก ก็เลยขอยาฉีดและรู้สึกตัวอีกครั้งในเวลา5โมงเย็น(ใจก็นึกว่า แง๊ ตรูไม่น่าตื่นมาเล้ย ก่อนผ่าก็ขอท่านพ่อให้พาจิตกลับบ้านซะทีเถอะครับ สงสัยท่านพ่อจะดีดกลับ) พยาบาลก็เลยเข็นเตียงจากห้องICUเข้าสู่ห้องพักผู้ป่วย ซึ่งระหว่างนั้นผมเองก็เอาสติไปเช็คจิตเป็นระยะๆอยู่เสมอ ซึ่งเป็นไปเองโดยที่เราไม่ต้องไปบังคับมัน
    เมื่อกลับเข้าห้องพัก ซึ่งเป็นห้องแบบเตียงคู่ วันแรกนี้กายมีแต่ความปวดๆๆๆ ขอแต่ยามาฉีดเพื่อคลายอาการปวดอย่างเดียวจริงๆ นึกถึงคนที่เขาผ่าคลอดจริงๆ โห้เห้นเขาเดินกันฉิว โดนเองมั่งถึงได้รู้ ไม่กลัวตาย แต่ไม่ขอเจ็บ แต่ตราบใดที่มีกายก็ไม่มีทางเลี่ยง แต่ก้ยังดีที่เราจะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายซะที ร่างกายเลวๆแบบนี้มีแต่โรคภัย มีแต่สิ่งสกปรกอยู่ข้างใน ข้าพเจ้าไม่ขอมีอีกแล้ว
    จนเมื่อหมอเอานิ่วที่ผ่ามาให้ดู มันเยอะมาก อยู่ในร่างกายนี้ได้ยังไงหนอ ยิ่งเมื่อจับและพิจารณาแล้วยิ่งพบความสกปรกเข้าไปอีก อยู่ๆก็เกิดคำถามเข้ามาว่ามันมาได้ยังไง ไอ้ก้อนพวกนี้ ก้มีภาพแว๊บเข้ามาในจิต เป็นภาพผมเองในสมัยเด็ก ซึ่งที่บ้านผมมีอาชีพขายปลาซึ่งตัวผมเองมีหน้าที่ควักไส้ปลาออก เห็นภาพตัวผมควักดีปลาออกมาและทำหน้าสนุกสนานในการควักเครื่องในพวกเขา ในขณะที่พวกเขาเองนั้นก้ดิ้นเพื่อรักษาชีวิตของตน จนเข้าใจได้ว่ามันเป็นเช่นนี้เอง เหตุใดพวกเขาจึงได้ตามมาทำบ้างเพื่อสำนึก จึงได้ทำการอาราธนาบารมีแห่งพระรัตนตรัยเพื่อส่งบุญให้พวกเขาอีกครั้ง และรับปากว่าจะไม่ทำอีก
    ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนนั้น คงไม่เชื่อเป้นแน่ว่าในเมื่อเราทำเพื่อประกอบอาชีพแล้วคงไม่น่าจะมีอะไร แต่เมื่อลองเช็คย้อนไปแล้วจะพบว่าเมื่อเราได้กระทำบางอย่างจนชินจนจิตเราเองเริ่มหยาบกระด้าง จนคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีแล้ว คิดถึงแต่ตนเอง จนลืมไปว่าการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมันเป็นบาป แถมยังบาปหนักไปอีกที่รู้สึกสนุกในการฆ่า เขาจึงมาเอาคืนให้รู้เสียบ้าง ซึ่งหากไม่ได้มาฝึกจิตเกาะพระ ผมเองก็ทราบดีว่ามีหนักกว่านี้แน่ เพียงแต่ตอนนี้เขาขอแค่ให้รู้สำนึกเท่านั้นเอง และยิ่งตอนที่พยาบาลลากเอาไอ้เจ้าคล้ายลูกระเบิดที่ทำหน้าที่คอยรองรับเจ้าสิ่งที่คล้ายน้ำเหลืองที่ไหลอยู่ในตัวเวลาผ่าตัดออกมจากหน้าท้องนี่ยิ่งชัดเลย มันเหมือนการดึงไส้ตัวเองออกมาเลยทีเดียว
    จึงได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นธรรมทานสอนใครบางคนที่ยังเบียนเบียนผู้อื่น ยังคิดแย่งชิง ไขว่คว้าหาแต่ความวุ่นวาย ขอให้ลด ละ เลิกเสีย เพราะสิ่งที่ตามมานั้น มันมากกว่าที่ท่านได้รับมามากนัก
    ขอให้ทุกท่านตั้งมั่นอยู่ใน ศีลธรรมที่องค์พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่สิ่งที่ทำยาก ยังไงเราก้ไปไม่ถึง อย่าคิดว่าเราคือคนบาป อย่าดูถูกจิตตนเอง ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เกิดมาเป้นคน เมื่อได้เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็อย่าทำให้เสียชาติเกิด หมั่นบำเพ็ญเพียรในแนวทางที่พระพุทธองค์ท่านได้วางไว้ แล้วจะพบว่าดีแล้วที่ได้เกิดมา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012
  10. ตาคำหมาน

    ตาคำหมาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +1,666
    พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ไม่ยาว แต่มีใจความลึกซึ้งน่าคิดประกอบด้วยหตุผล ซึ่งผู้นับถือ พระพุทธศาสนาหรือผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาควรจะได้ศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการใช้เหตุผลตามหลัก วิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับกฎทางวิทยาศาสตร์
    พระสูตรนี้มีความเป็นมาโดยย่อว่า ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยัง
    เกสปุตตนิคม อันเป็นที่ อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน ชาวกาลามชนในเกสปุตตนิคมทราบข่าวมาก่อนแล้วว่า พระพุทธเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างไรก่อนที่พระองค์จะได้เสด็จมายังหมู่บ้านของพวกเขา จึงต่างก็พากันไปเฝ้าเป็น จำนวนมาก เพราะชื่อเสียงของพระพุทธเจ้าดังก้องไปว่า
    อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทธโธ" เป็นต้น ดังที่เราสวดสรรเสริญกันในบทสวดมนต์ ซึ่งปรากฏมากในพระสูตรต่าง ๆว่า"แม้เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์, เป็นผู้ตรัสรู้ เองโดยชอบ, เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ, เสด็จไปดีแ ล้ว,เป็นผู้รู้แจ้งโลก,เป็นผู้ฝึกคนที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า, เป็นผู้รู้ เป็นผู้เบิกบานเป็นผู้จำแนกธรรม เป็นต้น"
    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่เกสปุตตนิคมนั้น มีประชาชนมาเฝ้ากันมากคนอินเดียมีเรื่อง แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักบวชนับถือลัทธินิกายใด หรือว่าพวกเขาจะไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ตามแต่พวกเขา ก็อยากจะฟังความรู้ความเข้าใจ และต้องการปัญญา...............................
    ดังนั้น พวกที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ เป็นพวกที่ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาปก็มี พวกที่ไม่นับถือ พุทธศาสนาก็มีพวกที่สงสัยอยู่ก็มี พวกที่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งอยู่แล้วก็มี เพราะฉะนั้น ประชาชนที่ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าในสมัยนั้นจึงมีลักษณะอาการที่ไปเฝ้าแตกต่างกัน ซึ่งอาการที่ไปเฝ้าของประชาชนเหล่านั้น มีลักษณะ ดังนี้
    บางพวกเมื่อได้ทราบเสร็จแล้วก็นั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร
    บางพวกเป็นเพียงแต่แสดงความยินดีแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
    บางพวกกล่าวชมเชยพระพุทธเจ้าแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
    บางพวกประกาศชื่อและโคตรของตนว่า ตนเองชื่ออะไร โคตรอะไรแล้วก็นั่งนิ่งอยู่
    บางพวกก็ไม่กล่าวอะไร ไม่แสดงอาการอะไร ได้แต่นั่งเฉย ๆ
    บางพวกเป็นเพียงแต่ประนมมือไหว้ แล้วก็นั่งเฉยอยู่
    เพราะฉะนั้น ประชาชนที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีวรรณะใด ก็สามารถเข้าเฝ้า ได้อย่างใกล้ชิด เพราะพระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือชั้นวรรณะ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นโอรสกษัตริย์ประสูติอยู่ใน วรรณะกษัตริย์ แต่พระองค์ถือว่าคนไม่ได้ประเสริฐเพราะสกุลกำเนิดแต่จะประเสริฐได้ก็เพราะการกระทำของ ตนเองดังนั้นจึงมีประชาชนไปเฝ้าพระองค์เป็นจำนวนมากและเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด
    ประชาชนที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น ได้กราบทูลขึ้นว่า
    "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในเกสปุตตนิคมนี้ มีสมณพราหมณ์คือนักบวชในศาสนาต่าง ๆ เดินทางเข้ามาเผยแพร่คำสอนศาสนาของตนอยู่เสมอๆและ
    สมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาเหล่านั้นได้กล่าวยกย่อง คำสอนแห่งศาสนาของตน แต่ได้ติเตียนดูหมิ่น เหยียดหยาม คัดค้านศาสนาของคนอื่นแล้วสมณพราหมณ์นักสอน ศาสนาเหล่านี้ก็จากเกสปุตตนิคมไป
    ต่อมาไม่นาน ก็มีสมณพราหมณ์ นักสอนศาสนาพวกอื่นได้เข้ามายังนิคมนี้ แล้วก็กล่าวยกย่อง เชิดชูศาสนาของตนแต่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ติเตียน คัดค้านศาสนาของคนอื่น
    เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพระองค์ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นว่าบรรดาศาสดาหรือนักสอนศาสนาเหล่านั้น ใครเป็นคนพูดจริงใครเป็นคนพูดเท็จ ใครถูกใครผิดกันแน่"
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเห็นใจต่อประชาชนเหล่านั้นว่า"ชาวกาลามะทั้งหลาย น่าเห็นใจที่ ท่านทั้งหลายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกท่านทั้งหลายควรสงสัยในเรื่องที่ควรสงสัยเพราะท่านทั้งหลายตกอยู่ใน ฐานะที่ต้องสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ แต่เราเองจะบอกให้ ชาวกาลามะทั้งหลาย"

    สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ

    พระพุทธเจ้าแทนที่จะตรัสเหมือนกับสมณพราหมณ์เหล่าอื่นที่เคยพูดมาแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงสรรเสริญคำสอนของพระองค์ และก็ไม่ทรงติเตียนคำสอนศาสนาของผู้อื่นแต่พระองค์กลับตรัสอีกแบบหนึ่ง การพูดแบบนี้เป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน คือพระองค์ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงฟัง
    มา อนุสฺสวเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา
    มา ปรมฺปราย อย่าเพิ่งเชื่อโดยถือว่าเป็นของเก่าเล่าสืบๆ กันมา
    มา อิติกิราย อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
    มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา
    มา ตกฺกเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง
    มา นยเหตุ อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา
    มา อาการปริวิตกฺเกน อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ
    มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าต้องกับความเห็นของตน
    มา ภพฺพรูปตา อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้
    มา สมโณ โน ครูติ อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดนั้นเป็นครูของเรา
    สรุปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเหตุ 10 ประการนี้
    ข้อความประเภทนี้ตรงกับกฎทางวิทยาศาสตร์ เพราะนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อถ้าเขายังไม่ได้ ทดสอบหรือพิจารณาเหตุผลให้ปรากฏก่อน และข้อความเช่นนี้ไปตรงกันได้อย่างไรในข้อที่ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุ เหล่านี้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะเชื่อแบบใดเมื่อปฏิเสธไปหมดเลยทั้ง 10 ข้อ และเราควรจะเชื่ออะไรได้บ้าง
    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของเหตุและผล ไม่โจมตีศาสนา ไม่โจมตีผู้ใด
    ชี้แต่เหตุและผลที่ยกขึ้นมา อธิบายเท่านั้น
    พระพุทธวจนะทั้ง 10 ประการข้างต้นนั้น ท่านทั้งหลายฟังดูแล้วอาจคิดว่า ถ้าใครถือตามแบบ นี้ทั้งหมดก็มองดูว่าน่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ คือ ไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่ครูของตนเอง แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ให้เชื่อ พิจารณาดูแล้ว น่าจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ
    แต่ก็ไม่ใช่
    คำว่า "มา" อันเป็นคำบาลีในพระสูตรนี้ เป็นการปฏิเสธมีความหมายเท่ากับNoหรือนะคืออย่า แต่โบราณาจารย์กล่าวว่า ถ้าแปลว่า อย่าเชื่อ เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งไปควรแปลว่า"อย่าเพิ่งเชื่อ" คือให้ ฟังไว้ก่อน สำนวนนี้ ได้แก่สำนวนแปลของสมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส นักปราชญ์ รูปหนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ แต่บางอาจารย์ให้แปลว่า"อย่าเพิ่งปลงในเชื่อ" แต่บางท่านแปลตามศัพท์ว่า "อย่าเชื่อ" ดังนั้น การแปลในปัจจุบันนี้จึงมีอยู่ 3 แบบคือ
    1. อย่าเชื่อ
    2. อย่าเพิ่งเชื่อ
    3. อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ
    การแปลว่า "อย่าเชื่อ" นั้น เป็นการแปลที่ค่อนข้างจะแข็งเป็นการไม่ค่อยยอมกัน ส่วนการ แปลอีก 2 อย่างนั้น คือ "อย่าเพิ่งเชื่อ" และ "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นก็มีความหมายเหมือนกันแต่คำว่า "อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ" นั้นเป็นสำนวนแปล
    ที่ค่อนข้างยาว ดังนั้น คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" เป็นสำนวนที่สั้นกว่า ง่ายกว่าและเข้าใจได้ดีกว่า ฉะนั้น การที่จะแปลให้ฟังง่ายและเหมาะสมก็ต้องแปลว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ"
    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ใครจะพูดก็พูดไปเราก็ฟังไป อย่าไปว่าหรือค้านเขา แต่อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิจารณาดูก่อนว่าถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เป็นบุญหรือเป็นบาป เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์
    นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสอีกมากในพระสูตรนี้แต่ในที่นี้จะขออธิบายความหมายของ ข้อแนะนำทั้ง 10 ประการเสียก่อน เพราะเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากของพระสูตรนี้ และได้รับการแปลออกเป็น ภาษาต่างๆ หลายภาษา เพราะเขาถือว่าเป็นกฏทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่คาดคิดเลยว่าจะมีกล่าวไว้ในครั้งสมัยเมื่อ ประมาณ 2,600ปีมาแล้ว ที่ใช้ความคิดแบบอิสระอย่างนี้ เป็นความคิดที่มีเหตุผล 10 ประการ คือ
    1. อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา บางคนเมื่อฟังตามกันมาก็เกิดความเชื่อ เมื่อคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ ก็เชื่อตามกันไป โดยบอกว่า "เขาว่า"ปัจจุบันนี้การเชื่อตามเขาว่านี้ ถ้า ไปเป็นพยานในศาลจะไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะการที่ "เขาว่า" นั้น มันไม่แน่การฟังตามกันมาก็เชื่อตามกันมา ฉะนั้นสุภาษิตปักษ์ใต้จึงมีอยู่บทหนึ่งว่า

    "กาเช็ดปาก คนว่ากาเจ็ดปาก ปากคนมากกว่าปากกาเป็นไหนๆ"
    สุภาษิตนี้หมายความว่า ชายคนหนึ่งเห็นกากินเนื้อแล้วเช็ดปากที่กิ่งไม้ ก็มาเล่าให้เพื่อนฟังว่า "ฉันเห็นกาเช็ดปาก"เพื่อนคนนั้นฟังไม่ชัด กลายเป็นว่า"ฉันเห็นกาเจ็ดปาก" ก็ไปเล่าต่อว่า คนโน้นเล่าให้ฟัง เมื่อวันก่อนว่าเขาเห็นกาเจ็ดปาก ก็เล่าต่อกันมาเรื่อย ๆ ว่า กามีเจ็ดปาก นี่เป็นการเชื่อตามคำเขาว่า ซึ่งบางคนก็ฟัง มาไม่ชัดเพราะฉะนั้น ก็อาจฟังผิดได้ การที่เขาว่าจึงอาจจะถูกหรือผิดได้ เช่น บัตรสนเท่ห์
    เขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ว่าตามที่เขาว่านั้น ซึ่งมีจริงบ้างไม่จริงบ้าง ปนกันอยู่
    เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งเชื่อตามที่เขาว่า แต่ให้ฟังไว้ก่อนชาวพุทธจะไม่ปฏิเสธการที่เขาว่า แต่จะฟังไว้ ก่อน โดยยังไม่เชื่อทีเดียว บางทีก็ฟังตามกันมาตั้งแต่โบราณ เช่น สมมุติว่าฝนแล้งก็ต้องแห่นางแมวแล้วฝนจะตก เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าแห่
    นางแมวแล้วฝนจะตก บ้างก็ว่าเป็นเรื่องที่เขาเล่ากันมาอย่างนี้ คือเชื่อตามเขาว่า ซึ่งก็ อาจจะไม่เป็นจริงตามเขาว่าก็ได้ ดังนั้น เราต้องเชื่อตามเหตุผล อย่าเชื่อตามเขาว่า
    2. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดว่าเป็นของเก่า เล่าสืบๆ กันมา บางคนบอกว่าเป็นของเก่า เป็นความเชื่อ ตั้งแต่สมัยโบราณเราควรจะเชื่อ เพราะเป็นของเก่า ถ้าไม่เชื่อ เขาก็หาว่าจะทำลายของเก่า บางคนเห็นผีพุ่งไต้ ก็บอกว่านั่นแหละวิญญาณจะลงมาเกิด อย่าไปทัก เพราะเป็นความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณ เมื่อมีแผ่นดินไหว คนโบราณจะพูดว่าปลาอานนท์พลิกตัว หรือเวลามีฟ้าผ่าก็บอกว่ารามสูรขว้างขวาน ฟ้าแลบก็คือนางเมขลา ล่อแก้วเข้าตารามสูร รามสูรโกรธ จึงขว้างขวานลงมาเป็นฟ้าผ่า
    ความเชื่อเช่นดังกล่าวมานี้เป็นความเชื่อของคนในสมัยโบราณซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผล ดังนั้นความเชื่อของคนโบราณนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกหรือดีเสมอไป แต่เป็นความเชื่อปรัมปรา เราจึงไม่ควรจะเชื่อ ถ้ายังไม่แน่ใจถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องนำสืบๆกันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นข่าวเล่าลือ หรือตื่นข่าว เรื่องข่าวนั้นมีมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวทันโลก ข่าวช่วงเช้า ข่าวช่วงเย็น ข่าวเขาว่า ซึ่งมีอยู่มากมาย ถ้าเราไปเชื่อตามข่าว เราก็อาจจะเป็นคนโง่ได้ เช่น บางคน อ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว แต่ข่าวจากหนังสือพิมพ์นั้น บางทีลงข่าวตรงกันข้าม จากข่าวจริง ๆ เลยก็มี หรือมีจริงอยู่บ้างเพียงบางส่วนก็มี เราจึงควรพิจารณาให้ดีเสียก่อน เพราะข่าวบางข่าวนั้น หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นต้องมาลงขอขมากันภายหลังที่ลงข่าวผิด ๆ ไปแล้วก็มี ดังนั้น ข่าวลือจึงมีมาก เช่น ลือว่าจะมีการปฏิวัติ ลือว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งบางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริง หรือลือกันว่าคนเกิดวันนั้นวันนี้ จะตายในปีหน้า ต้องรีบทำบุญเสีย ก็เลยพากันเฮมาทำบุญกัน นี้ก็เพราะฟังเขาลือกันมา บางคนก็ลือกันแบบ กระต่ายตื่นตูมเป็นข่าวเขาว่าไม่ใช่ข่าวเราว่า เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์หรือตำรา ถ้าใครเอาตำรามาอ้างให้เราฟัง เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตำราก็อาจจะผิดได้บางคนอาจจะค้านว่า "ที่เราพูดถึงกาลามสูตรนี้ ไม่ใช่ตำราหรอกหรือ" จริงอยู่ เราก็อ้าง กาลามสูตรซึ่งเป็นตำราเหมือนกัน แต่ท่านว่า อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะอาจจะผิดได้ ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเอาตำราอะไรก็ตามมาอ้างเราก็ต้องอย่าเพิ่งเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พิจารณาดูก่อน บางคนกล่าวยืนยันว่าตนเอง อ้างตามตำรา ซึ่งแท้จริงแล้วเขาไม่ได้อ่านตำรานั้นเลย แต่ว่าเอามาอ้างขึ้นเอง บางคนก็ต้องการ โดยการอ้างตำรา ดังมีเรื่องเล่ากันมาว่า
    "อุบาสก 2 คนเถียงกัน ระหว่างสัตว์น้ำกับสัตว์บกอย่างไหนมีมากกว่ากัน
    อุบาสกคนหนึ่งบอกว่า สัตว์บกมีมากกว่า เพราะบนบกนั้นมีสัตว์นานาชนิด เช่น มีแมลงต่างๆ มีมดต่างๆ มากมาย
    ส่วนอีกคนหนึ่งค้านว่า สัตว์น้ำมีมากมายหลายชนิดนับไม่ถ้วน แม้แต่กุ้ง ปลา ก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว สัตว์น้ำต้องมากกว่าสัตว์บกแน่นอน
    ทั้งสองคนจึงไม่อาจตกลงกันได้
    อุบาสกคนหนึ่งหัวไวได้ยกบาลีมาอ้างว่า "พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์น้ำมีมากกว่าสัตว์บก ดังพระบาลีที่ว่านัตถิ เม สรณัง อัญญัง แปลว่า สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก"
    อุบาสกอีกคนหนึ่งไม่กล้าค้านเพราะกลัวจะตกนรก
    แท้ที่จริง คำว่า "นัตถิ เม สรณัง อัญญัง" นั้น ไม่ได้แปลว่า "สัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก" แต่แปลว่า "ที่พึ่งอย่างอื่นของข้าพเจ้าไม่มี" ผู้อ้างคิดแปล
    เอาเองเพื่อให้คำพูดของตนมีหลักฐานการอ้างตำรา อย่างนี้จึงไม่ถูกต้องถ้าใครหลงเชื่อก็อาจถูกหลอกเอาได้
    นอกจากนี้ ตำราบางอย่างก็อ้างกันมาผิด พวกที่ไม่รู้ภาษาบาลี เมื่อเห็นเขาอ้างก็คิดว่าจริง เช่น นักหนังสือพิมพ์ บางคนกล่าวว่า "ทุกขโต ทุกขถานัง ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตน" ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นบาลีที่ไม่ถูกต้อง เป็น ประโยคที่ไม่มีประธาน ไม่มีกริยา เป็นภาลีที่แต่งผิด ซึ่งอาจารย์บางท่านเรียกบาลีเช่นนี้ว่า "เป็นบาลีริมโขง" แต่คนกลับคิดว่าเป็นคำพูดที่ซึ้งดี เพราะฟังดูเข้าที่ดี นี้ก็เป็นการอ้างตำราที่ผิด ถึงแม้ว่าตำรานั้นจะเขียนถูกแต่ถ้าหาก ว่าไม่มีเหตุผล เราก็ไม่ควรเชื่อ
    ปัจจุบันนี้ มีการโฆษณาหนังสือยอดกัณฑ์พระไตรปิฎกว่า ถ้าถ้าใครสวดเป็นประจำก็จะร่ำรวยเป็น เศรษฐี ได้ทรัพย์สมบัติและจะปลอดภัย ปลอดโรคต่าง คนก็พากันสวดและพิมพ์แจกกันมาก ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ ทราบว่าจะทำอย่างไรเมื่อมีผู้นำหนังสือนี้มาถวายให้ จะเผาทิ้งก็ติดที่มีคำบาลีอยู่ด้วย หนังสือนี้ได้พิมพ์ต่อเนื่องกัน มาผิด ๆ และไม่มีพระสงฆ์รูปใดสวดยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก นอกจากในหมู่ฆราวาส
    บางคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา
    ดังนั้นใครอ้างบาลี เราก็จงอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูให้ดีว่ามีอะไรถูกหรือผิดบ้างเสียก่อน
    5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง ท่านใช้คำว่า ตักกเหตุ คือ การตรึก หรือการคิด ตรรกวิทยาเป็นวิชา แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผล แต่พระพุทธเจ้าทรงกล้าค้านตรรกวิทยาได้ว่า การอ้างหาเหตุผลโดยการ คาดคะเนนั้นอาจจะผิดก็ได้การอ้างหาเหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าจะถูกไปเสียทุกอย่าง
    การนึกคาดคะเนหรือการเดาเอาของคนเรานั้นผิดได้ เช่นหลักตรรกวิทยากล่าวว่า "ที่ใดมีควัน ที่นั้นมีไฟ" ซึ่งก็ไม่ แน่เสมอไป เดี๋ยวนี้ที่ใดมีควัน ที่นั้นอาจจะไม่มีไฟก็ได้ เช่น เขาฉีดสารเคมี พ่นยาฆ่าแมลง ก็มองดูว่าเป็นควันออกมา แต่หามีไฟไม่
    หรือบางคนก็คิดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นอย่างนี้ คำว่า คงจะ นั้น มันไม่แน่ เพราะฉะนั้น เราก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าเรื่องนี้ถูกแน่นอนแล้ว คำว่า คงจะ นั้นเป็นการนึกเดาเอา
    6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยการคิดคาดคะเนหรืออนุมานเอา ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าเราจะแซงรถคันหน้าพันถ้าเรา ขับรถเร็วกว่านี้ ซึ่งเป็นการคาดคะเนเอา บางทีเราคาดคะเนความเร็วไม่ถูก ก็อาจจะชนรถคันหน้าที่วิ่งสวนมา โครมเข้าไปเลยก็ได้ การคาดคะเนหรืออนุมานเอาอย่างนี้ ทำให้คนตายมามากแล้ว การอนุมานเอานี้มันไม่แน่
    บางคนคิดว่าฝนคงจะตกแน่เพราะเห็นเมฆดำก่อตัวขึ้นมาก็เป็นการอนุมานเอาว่าฝนคงจะตก แต่บางที ลมก็จะพัดเอาเมฆนี้ลอยพ้นไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่เพราะอนุมานเอา
    ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า แม้อนุมานเอาก็อย่าเพิ่งเชื่อ
    7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยตรึกเอาตามอาการที่ปรากฏ คือเห็นอาการที่ปรากฏแล้วก็คิดว่าใช่แน่นอน เช่น เห็นคนท้องโตก็คิดว่าเขาจะมีลูก ซึ่งก็ไม่แน่ บางคนแต่งตัวภูมิฐานก็คิดว่าคนนี้เป็นคนใหญ่โต ร่ำรวย ซึ่งก็ไม่แน่ อีกบางทีก็เป็นขโมย แต่งตัวเรียบร้อยมาหาเรา บางคนทำตัวเหมือนเป็นคนบ้าคนใบ้มานั่งใกล้กุฏิพระ คนก็ไม่สนใจนึกว่าเป็นคนบ้า แต่พอพระเผลอก็ขโมยของของพระไป ดังนั้น เราจะดูอาการที่ปรากฏก็ไม่ได้ บางคนปวดหัว ก็คิดว่าเป็นโรคอะไรที่หัว แต่ก็ไม่แน่ สาเหตุอาจจะเป็นที่อื่นแล้วทำให้เราปวดหัวก็ได้ เช่น ท้องผูก เป็นต้นหรือเราขับรถมาถึงสะพานซึ่งมองดูแล้วคิดว่าสะพานนี้น่าจะมั่นคงพอจะขับข้ามไปได้ แต่ก็ไม่แน่ สะพานอาจจะพังลงมาก็ได้
    8. อย่าเพิ่งเชื่อว่าต้องกับลัทธิของตน คือ เข้ากับความเชื่อของตน เพราะตนเชื่ออย่างนี้อยู่แล้ว เมื่อใครพูดอย่างนี้ให้ฟัง ก็ยอมรับว่าใช่และถูกต้อง ซึ่งก็ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งที่เราเชื่อมาก่อนนั้นอาจผิดก็มี บางทีคนอื่นก็มาหลอกเรา เพราะเห็นว่าเราเชื่ออยู่ก่อนแล้ว จึงอาศัยความเชื่อของเรา เป็นเหตุมันจึงไม่แน่เสมอไป
    บางคน เมื่อมีใครมาพูดตรงกับความคิดเห็นของตนก็เชื่อแล้ว ตัวอย่างเช่น เราไม่ชอบใครอยู่สักคนหนึ่ง พอใครมาบอกเราว่าคน ๆ นั้นไม่ดี ก็เชื่อว่าเป็นคนชั่วแน่ เพราะตนเองก็ไม่ชอบหน้าเขาอยู่แล้ว เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ แน่เสมอไป เพราะคนที่เราไม่ชอบอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ว่ามีคนอื่นมาพูดยุยงให้เราเข้าใจไปอย่างนั้น เราจึง มองผิดไปได้
    หรือคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก หรือเรื่องเครื่องลางของขลัง พอมีใครมาพูดเรื่องเช่นนี้ก็เชื่อสนิท เพราะไปตรงกับความเชื่อของตน
    เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งเชื่อ แม้ในกรณีดังกล่าวมานี้
    9. อย่าเพิ่งเชื่อว่าผู้พูดควรเชื่อได้ คือ เห็นว่าคนที่เป็นคนใหญ่คนโตนั้น พูดจาควรเชื่อถือได้ เช่น เป็น ถึงชั้นเจ้า หรือตำแหน่งสูง เราก็ควรจะเชื่อคำพูดของเขา แต่มันก็ไม่แน่ แม้แต่พระสงฆ์ก็ไม่แน่ เราจึงต้องฟังดูให้ ดีเสียก่อน แม้แต่คณะรัฐมนตรีเองก็ไม่แน่ อย่าเพิ่งไปเชื่อคำพูดของท่านเหล่านั้นทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ว่าผู้พูด มียศมีตำแหน่งอย่างนี้แล้ว จะพูดเรื่องน่าเชื่อถือได้เสมอไป เราควรจะฟังหูไว้หู ฟังให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะ ถูกหลอกได้ง่าย
    อย่าเพิ่งเชื่อในที่นี้ มิได้หมายความว่าไม่ให้เชื่อ แต่ควรจะพิจารณาดูก่อนแล้วถึงจะเชื่อ
    10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเห็นว่าผู้พูดเป็นครูของเรา ข้อนี้แรงมาก คือ แม้แต่ครูของตนก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งนี้ เพราะครูของเราก็อาจจะพูดผิดหรือทำผิดได้ เพราะฉะนั้น เราจึงต้องฟังให้ดี
    ไม่มีศาสนาใดสอนเราไม่ให้เชื่อครูของตน แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนว่าไม่ให้เชื่อ แต่ ทรงสอนว่าอย่าเพิ่งเชื่อต้องพิจารณาดูเสียก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ
    พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุผลในข้อที่อย่าเพิ่งเชื่อดังกล่าวมาดังนี้ โดยตรัสว่า " ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ ก่อความทุกข์ เดือดร้อน วิญญูชนติเตียน ถ้าประพฤติเข้าแล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์เดือดร้อน ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย " พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าดีหรือไม่ดี แต่ให้พิจารณาดูว่าถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย
    พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสต่อไปว่า " ชาวกาลามะทั้งหลายท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ความโลภ ซึ่งเกิดขึ้นในใจของคนเราแล้ว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความโลภเป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ "
    ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "ไม่เป็นเพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า"
    "เมื่อความโลภเกิดขึ้นแล้ว ทำให้คนฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง และสิ่งใดที่ ไม่เป็นประโยชน์เขาจะชักนำให้ทำสิ่งนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่จริง" พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ
    ชาวกาลามะก็ทูลตอบว่า "จริง พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า "แต่ถ้าจริงแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญความนี้เป็นไฉน เมื่อความโลภเกิด ขึ้นในใจของคนแล้ว เป็นเหตุให้เขาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและชักชวนให้คนทำชั่วแล้ว ความ โลภนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "แล้วมีโทษหรือไม่มี"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อว่า "วิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือเป็นไปเพื่อความทุกข์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"
    พระสูตรนี้มีลักษณะของการถามตอบ คือให้ผู้ที่ถูกถามคิดเอาเอง ไม่ได้ยัดเยียดความคิดให้ หรือ บังคับให้ตอบ
    ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสถามเกี่ยวกับความโกรธบ้างว่า "ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ เป็นไฉน คนที่ถูกความโกรธครอบงำเข้าแล้ว อาจจะฆ่าคนก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ประพฤติผิดในกามก็ได้ สิ่งใด ที่มีโทษ เขาก็ชักชวน
    แนะนำให้คนอื่นทำสิ่งนั้นก็ได้ ดังนั้น ความโกรธนี้ดีหรือไม่ดี"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่ดี พระเจ้าข้า"
    พระองค์ตรัสถามว่า"แล้วคนที่ความโกรธเข้าครอบงำแล้วนั้นความโกรธเป็นกุศลหรืออกุศล"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"
    พระองค์ตรัสถามว่า"มีโทษ หรือไม่มีโทษ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า"มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระองค์ตรัสถามว่า"วิญญูชนติเตียนหรือไม่"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"
    พระองค์ตรัสถามว่า "แล้วเป็นไปเพื่อความทุกข์หรือความสุข"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความทุกข์ พระเจ้าข้า"
    ต่อไป พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามถึงความหลงต่อไปว่า"คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ความหลง เป็นกุศลหรืออกุศล"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นอกุศล พระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "คนที่ถูกความหลงเข้าครอบงำนั้น ทำดีหรือทำชั่ว"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทำชั่ว พระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "วิญญูชนติเตียนหรือไม่"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ติเตียน พระเจ้าข้า"
    พระพุทธองค์ตรัสถามว่า"แล้วเขาชักนำคนอื่นไปในทางดีหรือทางชั่ว"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ทางชั่ว พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจงอย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อ โดยฟังตามกันมา อย่าเพิ่งเชื่อโดยฟังพูดสืบ ๆ กันมา" จนกระทั่งถึงข้อสุดท้ายว่า "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา" ซึ่งเป็นการตรัสย้ำครั้งที่สองในเรื่องของการเชื่อ
    ดังนั้นก็เกิดคำถามว่า ถ้าเราไม่เชื่อดังเหตุผลประการต่าง ๆ นี้แล้ว เราจะเชื่อใครได้
    คำตอบก็คือให้เชื่อตัวเอง โดยการพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน ว่าสิ่งที่เขาพูดกันนั้นดีหรือไม่ดี
    ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
    พระพุทธองค์ได้ตรัสถามชาวกาลามะต่อไปอีกว่า
    "ชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านจะพิจารณาเห็นความข้อนี้เป็นไฉน ความไม่โลภนั้นดีหรือไม่ดี เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลวิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์ ผู้ที่ไม่โลภ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำผู้อื่นไปในทางที่เสียหาย ดังนั้น ความไม่โลภนั้นจึงเป็นกุศลหรือ อกุศล"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามต่อไปถึงความไม่โกรธ ความไม่หลง ในทำนองเดียวกันอีกว่า "คนที่ไม่โกรธ ไม่หลงนั้น จะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ชักนำคนอื่นไปในทางที่เสีย ชักนำคนอื่นไป ในทางที่ดี ก็ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "มีโทษหรือไม่มีโทษ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปต่อไปว่า "ชาวกาลามะทั้งหลายเพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูด้วย ตนเอง ท่านอย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยพูดสืบๆ กันมา จนถึงข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็น ครูของเรา"
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาดูว่า "สิ่งเหล่านี้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีก็ทิ้งเสีย ถ้าดีก็ทำตาม พระองค์ ไม่ได้บังคับให้เชื่อแต่ให้พิจารณาดูเอาเอง เหมือนคนที่ขายอาหาร หรือขายของโดยให้ผู้ซื้อได้เลือกซื้อหรือ พิจารณาเอาเอง แล้วก็ถามเรื่องความเห็นว่าดีหรือไม่ดี ชี้แจงเหตุผลให้ฟัง"
    ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ทรงสรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา อย่าเชื่อโดยนำสืบๆกันมา แล้ว จนกระทั่งอย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดเป็นครูของเรา
    ข้อความที่กล่าวย้ำเช่นนี้ในกาลามสูตรมีถึง 4 ครั้ง เฉพาะ 10 ข้อนี้ และในที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย อริยสาวกในศาสนานี้ มีเมตตาจิต ไม่โกรธ ไม่พยาบาทใคร แผ่เมตตา ไปทิศเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องต่ำ เบื้องสูง เบื้องขวาง ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีภัย การแผ่เมตตา อย่างนี้มีโทษหรือไม่มีโทษ"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นกุศลหรืออกุศล"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นกุศล พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "วิญญูชนสรรเสริญหรือติเตียน"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "สรรเสริญ พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "เป็นไปเพื่อความสุขหรือความทุกข์"
    ชาวกาลามะทูลตอบว่า "เป็นไปเพื่อความสุข พระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้าตรัสเช่นเดียวกันถึงเรื่อง กรุณา มุทิตา และอุเบกขา หรือพรหมวิหารทั้ง 4 ที่แผ่ไปยัง คนอื่น สัตว์อื่นและตรัสถามว่า เมื่อประกอบด้วยความไม่มีเวรเช่นนี้ มีความไม่เศร้าหมองอย่างนี้มีจิตใจหมดจดอย่างนี้ ก็ย่อมจะได้ความอุ่นใจ 4 ประการคือ
    1. ถ้าหากว่าชาติหน้ามีจริง บาปบุญที่ทำไว้มีจริง ก็เมื่อเราทำแต่ดี ไม่ทำชั่ว เราจะชื่นใจว่าเราจะไป เกิดในสุคติโลกสวรรค์แน่นอน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่หนึ่ง
    2. ถ้าหากว่าชาติหน้าไม่มีจริงบาปบุญที่คนทำไว้ไม่มีจริงก็เมื่อเราไม่ทำชั่ว ทำแต่ดีชาตินี้เราก็สุข แม้ชาติหน้าจะไม่มีก็ตามนี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สอง
    3. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำไว้ ชื่อว่าเป็นอันทำ คือได้รับผลของบาป ก็เมื่อเราไม่ทำบาปแล้ว เราจะได้ รับผลของบาปที่ไหน นี้เป็นความอุ่นใจข้อที่สาม
    4. ถ้าหากว่าบาปที่คนทำแล้วไม่ได้เป็นบาปอันใดเลยหรือไม่เป็นอันทำ ก็เมื่อเราไม่ได้ทำบาป เราก็ พิจารณาตนว่าบริสุทธิ์ทั้งสองส่วน คือ ส่วนที่เราไม่ได้ทำชั่ว และในส่วนที่เราทำดี เราก็มีความสุขในปัจจุบัน
    เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้ทำชั่ว นรกสวรรค์จะมีหรือไม่มีบาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็ได้ดีทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่คนที่ทำชั่วนรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี บาปบุญจะมีหรือไม่มี เขาก็เดือดร้อนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้าหากว่าสวรรค์มีจริง เขาก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ถ้านรกมีจริง เขาก็ต้องลงนรก ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะ เราไม่ได้ทำชั่วในปัจจุบัน และเราก็มีความสุขในปัจจุบัน เพราะเราทำดี การให้พิจารณาอย่างนี้ เป็นการพิจารณา ที่สร้างเหตุสร้างผลขึ้น
    ท่านทั้งหลายจงพิจารณาข้อความนี้ดูว่า ในกาลามสูตรนี้ถ้าหากคณาจารย์อื่น ๆ มาพบชาวกาละมะเข้า อาจจะพูดเหมือนบรรดาอาจารย์อื่น ๆ ที่เคยผ่านมา คือ พูด ติเตียนศาสนาอื่นแล้วยกย่องศาสนาของตนเอง แต่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงกระทำเช่นนั้นคือ ไม่โจมตีศาสนาอื่นเลย แม้แต่สักคำเดียว พระองค์เพียงแต่บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อถ้าใครพูดชักนำมา ทรงเตือนว่าอย่าเพิ่งเชื่อและให้พิจารณา ด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อได้พิจารณาด้วยตนเองแล้วเห็นว่าเป็นกุศล ก็ให้ทำตาม แต่ถ้าเป็นอกุศลก็ให้ละเสีย
    ยกตัวอย่างเช่น โลภ โกรธ หลง นั้นเป็นอกุศล ไม่ดี มีโทษ วิญญูชนติเตียน เป็นไปเพื่อทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ตรัสให้ละเสีย แต่ถ้าหากเห็นว่า ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนั้นเป็นกุศลไม่มีโทษ วิญญูชน สรรเสริญ เป็นไปเพื่อความสุข พระพุทธเจ้าทรงสอนให้บำเพ็ญ โดยให้ชาวกาลามะพิจารณาเห็นด้วยตนเอง จากการที่พระองค์ทรงตั้งคำถามให้ชาวกาลามะ คิดพิจารณาเอาเอง โดยไม่ให้งมงาย คือ พระองค์มิได้ทรงบอก ว่าท่านต้องเชื่อหรือบอกว่าถ้าท่านไม่เชื่อท่านต้องตกนรกหมกไหม้หรือว่าท่านต้องเชื่อแล้วท่านจะได้ขึ้นสวรรค์ พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสอย่างนี้แต่ตรัสบอกให้พิจารณาเอาเอง
    ในที่สุด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าเราทำดีโดยการมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาแล้ว เราจะมี ความอุ่นใจถึง4 อย่าง ซึ่งคนทำชั่วนั้นจะไม่มีความอุ่นใจดังกล่าวเลย
    การพิจารณาอย่างนี้เป็นข้อความสำคัญในกาลามสูตร แท้ที่จริง ยังมีข้อความอื่นอีกในพระสูตรนี้ แต่เป็นข้อปลีกย่อย จึงไม่ได้นำมากล่าวไว้ในที่นี้
    ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ นักคิดชาวตะวันตก ได้สรรเสริญพระพุทธศาสนาในแง่ของการมีเหตุผล ไว้มาก เพราะเป็นคำสอนอันมีเหตุผลและสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ของพระพุทธศาสนา
    ดังนั้น กาลามสูตรจึงเป็นพระสูตรที่ให้อิสระในด้านความคิด แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เราเชื่อ แต่ให้พิจารณาให้ดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา แม้แต่พระคัมภีร์ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิจารณา ดูเสียก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ ถือว่าสมกับการเป็นชาวพุทธ ไม่เชื่ออะไรอย่างไร้เหตุผล โดยไม่พิจารณาว่าควรเชื่อ หรือไม่เพียงไร
    เราจึงควรภูมิใจที่เราได้นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่มีเหตุผล สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ในโลกปัจจุบันไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนและผู้อื่น และเป็นไปเพื่อความ สิ้นทุกข์ในที่สุด แม้ทุกข์ยังไม่หมด แต่ก็มีความสงบสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อเราได้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามพุทธธรรม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

    ที่มา : http://www.zone-it.com/52006
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับการสนทนาธรรม
    คุณกล่าวถูกต้องทั้งหมดเลยครับ
    ผมเข้าใจทั้งคุณวิทย์และก็คุณด้วยครับ

    สรุปแล้ว
    ภาษาจิตมีภาษาเดียว ก็คือ รู้มาก รู้ลึก รู้กว้าง รู้ละเอียด
    แต่ภาษาสมมุติจะพูด จะบรรยายอย่างไรก็ได้ บรรยายเอาชอบใจตนเอง
    ที่คิดว่าถูกต้องของตนน่ะครับ
    แต่ภาษาจิตนี่ มีภาษาเดียว ก็คือ รู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    เพราะฉะนั้น
    พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น พวกเราจะเอาแค่รู้+ความเข้าใจกันเฉยๆไม่ได้
    แต่จะเข้าถึงธรรมะหรือเข้าใจธรรมกันแบบลึกซึ้งๆนั้น แค่อ่านแล้ว เข้าใจเลยก็คงไม่พอแน่ๆ
    เพราะธรรมะนั้นละเอียดยิ่งกว่าที่เราคิด เพราะถ้าจะให้รู้แบบลึกซึ้งนั้น
    เราต้องนำจิตเข้าไปดู หรือ เข้าถึงธรรมะ แทนคำว่า เข้าใจธรรมะ

    แต่เราจะไม่นำธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือครูบาาอาจารย์ มาถกเถียงเพื่อเอาชนะกันแน่นอน

    วันหน้าผมอยากให้คุณมาสนทนาธรรมกันอีก ผมชอบคุณพูดดีมาก
    ทั้งอรรคธรรมและปริยัติธรรมดีมาก
    ผมอ่อนปริยัติครับ และจิตไม่เอาด้วย ไม่ชอบทางการหรือภาษาพระ
    ชอบธรรมะแบบลูกทุ่ง เพราะธรรมะลูกทุ่งนี้ ทั้งชาวกรุง ชาวไม่กรุง ฟังเข้าใจหมด เพราะเห็นใจคนที่มีภูมิธรรม ภูมิปัญญาต่ำน่ะครับ
    เพราะผมเคยคิดถึงตนเองที่ไปนั่งฟังพระเทศน์ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
    แต่มาวันนี้ เพิ่งจะเข้าใจภาษาธรรม เพราะเราติดการเรียนรู้แบบโรงเรียน
    เพราะเอาสมองไปเรียน
    แต่การเรียนรู้ธรรมะนั้น มันไม่ใช่
    เพราะการบบรลุธรรมนั้น มิใช่สมองหรือกายจะบรรลุธรรม
    แต่เป็นจิต

    พอแร๊ะ เดี๋ยวยาว

    ปล.ขออภัยและขออโหสิกรรม ถ้าล่วงเกินจิตคุณหรือผู้อ่าน
    ผิดถูกอย่างไร ติ-ชมได้ตามสบาย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2012
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็น..ตถาคต
    ผู้ใดเห็น..ตถาคตแล้ว ต่อไปผู้นั้นเห็น..กฎแห่งกรรมได้ชัดเจนทีเดียว

    เพราะจิตคุณละเอียดขึ้นไง๊ ศีลจึงละเอียดตามไปด้วย
    เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเข้ละเอียดมากๆ จิตก็จะฉายหนังเก่าๆ หรือเรื่องราวในครั้งอดีตให้ดูซะ

    จิตบุญ จะต้องยอมรับกรรมในอดีตไงหล่ะ
    ตามแก้ไขกรรมให้เบาบางลงไป เช่น การขอขมากรรม การขออโหสิกรรม การสมนึกผิดกัน แล้วถึงจะเริ่มแผ่บุญหรืออุทิศบุยกุศลในภายหลัง เจ้ากรรมนายเวรถึงจะยอมรับผลบุญที่ท่านอุทิศให้ไปนั้นได้
    แต่ถ้าหากไม่ทำแบบนั้น นอกจากพวกเขาจะไม่รับบุญที่ท่านอุทิศไปให้ เพราะดวงจิตที่ยังมีความอาฆาต ความพยาบาทนั้น
    พวกเขาจะปลดล๊อคกรรมด้วยตนเอง ไม่ได้
    เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียวก็คือ การขอขมากรรม การขออโหสิกรรม หรือ การสมนึกผิดกับเจ้ากรรมนายเวรกันจริงๆเสียก่อน ไม่ใช่แค่ปากพร่ำไปเรื่อยนะ เพราะไม่มีใครไปหลอกพวกเหล่าวิญญาณ เทวดา พรหม หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิืกันได้หรอก

    การล่วงเกินกรรมผู้อื่น จงพึงสังวรณ์ หรือระมัดระวังให้ดี เพราะไม่มีใครจะไปแก้กรรมให้กันได้ นอกจากจะแก้ไขกรรมให้เบาบางลงไปเท่านั้นเอง
    เพราะฉะนั้นกรรม วิบากกรรมของผู้อื่น อย่าไปยุ่ง หนีห่างให้ไกล
    เพราะถ้าใครไปล่วงเกินกรรม เดี๋ยวเราจะได้กรรมไม่ดีนั้นกลับคืนมา
    ต่อให้ใช้กำลังฌานหรือวิชาปราบวิญญาณก็ตาม
    มันทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
    เพราะกฎแห่งกรรมนั้น จะลงโทษใครสักคนนึง รับรองไม่มี คำว่า แพะรับบาป (แมะๆๆๆ) อย่างแน่นอน

     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    ทำไมคิดถึงแต่คุณพี่พอใจจัง!
    ก็เลยนำเพลงมาฝากซะเลย...ฮ่าๆ
    คุณพี่อย่ามาเรียกชื่อผมบ่อยสิครับ
    แค่ผมบอกว่าจะโทรหาๆมาเป็นอาทิตย์ละ ป่านนี้คุณพี่สบายใจไปเรียบร้อยแร๊ะ
    เดี๋ยวจะผิดสัจจะ
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ทำทานแล้วต้องรักษาศีลด้วย
    เหมือนเอาถ้วยชามมาใส่ของ
    ใส่อย่างเดียว ไม่ล้างถ้วยล้างชาม
    ก็ไม่น่าใช้

    หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

    ที่มา fb เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=3Spg43IesvY]น้ำตาลาไทร - ไท ธนาวุฒิ(Tai Tanawut) - YouTube[/ame]
    ฟังเพลงดีกว่า
    ดีกว่าไปตามอ่านเรื่องภัยพิบัติ
    จิตไม่ตกด้วย แต่ถ้าใครจิตตก ก็แวะเวียน มาเยี่ยมเยือนกันที่นี่เด้อๆๆๆ
    ด่าเจ้าของกระทู้ก็ได้ แต่อย่าไปด่าจิตบุญ จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระของผมนะ ฮ่าๆ

    เมื่อก่อนผมปฎิบัติธรรมใหม่ๆนะ ตัดพวกพรรนี้หมดเลย
    เช่นดูหนัง ฟังเพลง ร้องลิเก ฟ้อนรำ เครื่องมือสื่อสาร เน็ต ฟาสฟู๊ด เอ๊ย เฟสบุ๊ค
    ก็เลิกมานาน เหลือแต่อีเมล์ไว้ติดต่องานนิดหน่อยเท่านั้นเอง
    พอตั้งแต่จิตยกเป็นต้นมา หัดลองชนกิเลสดูบ้างสิ!
    ที่บอกว่าๆ มีดวงตาเห็นธรรมแล้วน่ะ
    ดูสิว่า จิตมันปฎิเสธจริงๆหรือ จิตไม่ยึดกับสิ่งใดๆจริงหรือ
    เพราะเมื่อปฎิบัติธรรมไปแล้ว ไม่มีข้อสอบให้ทำ
    เห็นมีแต่ผล หรือสอบผ่านทฤษฎี เท่านั้น

     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    การรักษาศีลคือการรักษาตัวเอง

    เมื่อไรที่กฏแห่งกรรมส่งผล แล้วเห็นที่มาของกรรมนั้นได้
    จะสำนึกเสียใจที่ไปหลงผิดละเมิดคนอื่นมาจะด้วยกายกรรม วจีกรรมหรือมโนกรรมในภพชาติอันยาวนาน
    การไม่รักษาศีลในวันนี้คือการทำร้ายตัวเองในวันหน้า
    บางทีหลายกรรมที่ทำไว้มาเช็คบิลทีเดียวพร้อมกันหรือไล่เลี่ยกัน ขันธ์นี้ก็ยิ่งอ่วมอรทัย

    กรรมลงโทษได้แต่ขันธ์เท่านั้น แต่ไม่ได้มีผลกับจิตที่ฝึกดีแล้ว หรือมีผลน้อยลงตามระดับของจิตที่ฝึกมา
    มีผลน้อยคือทุกข์ที่จิตน้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตเพราะจิตจะละวางทุกข์ของขันธ์หรือความยึดในเวทนาว่าเป็นเราลง

    ในภพชาติอันยาวนานเราท่านต่างเคยกระทำผิดมาก่อน ถ้ายังเกิดอีกก็ต้องชดใช้กันอีก
    ทางที่ดีคือทำให้ตัวเองไม่ต้องเกิดอีก
    ทำไงละ กระทู้นี้มีคำตอบ
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6tz7f2Jp7L8]13. luem jium hua jai ลืมเจียมหัวใจ [ Got Jakrapun ] - YouTube[/ame]​

    ทำไมหมู่นี้
    หัวใจของผมมันมีแต่เสียงเพลง แทนเสียงสวดมนต์จากชั้นยามาแทน
    ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่อยากเห็นคนทุกข์

    ครูเพ็ญ คุณวิทย์ เป็นไปได้ไหม๊ มีคนหลอกผมไปร้องไห้กับไส้ไก่ เอ๊ย..
    ยกจิตทางไส้ไก่ Skype
    (ใครเป็นคนเรียกคนเแรก ไส้กงไส้ไก่เนี๊ย)

     
  18. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เราไม่ต้องไปแสวงหาความแปลกๆใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ให้มารู้จัก มาตระหนัก กับสิ่งที่มันมีอยู่แล้วตามธรรมดา

    ปัญญาไม่ได้เกิดจากสิ่งผิดปกติ แต่มันเกิดจากการรับรู้อย่างทะลุปรุโปร่งต่อสิ่งปกติ

    - พระอาจารย์ชยสาโร
    ที่มา fb Public Wisdoms
     
  19. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ถูกต้องแล้วครับ ความรู้ทางปริยัติไม่สามารถทำให้ถึงธรรมได้

    มีแต่จิตของคนๆนั้น ที่ปฏิบัติ จึงจะเป็นปฏิเวธ สิ่งนี้ทุกคนเข้าใจดีอยู่

    ลองสังเกตุ ผู้เป็นครูบาอาจารย์ ที่เราศรัทธา

    ครูบาอาจารย์ ทำไมท่านสื่อ ได้ถึงในภาคปฏิบัติ และแฝงไปด้วยในภาคปริยัติ
    นั่นแสดงว่า ท่านมีปฏิเวธ เกิดจากการปฏิบัติ เช่นกัน กับครูบาอาจารย์ที่เชื่อมั่นในจริยาวัตรนะ

    จะเห็นได้ว่า พอท่านนำมากล่าวสอน ท่านก็ไม่ทิ้งปริยัติเลย
    เพราะปริยัตินี้ คือ คำสอนที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงบัญญัติไว้
    เพื่อเทียบเคียงสภาวะ หรือผลในการปฏิบัติ ที่เป็นปัจจัตตัง ของคนๆนั้น

    ปริยัตินี้ เกิดขึ้นได้เพราะปฏิเวธ และปฏิเวธ เกิดขึ้นได้เพราะปฏิบัติ
    มีเหตุปัจจัยต่อกันทั้งนั้น มิได้เกิดขึ้นมาลอยๆ เกี่ยวเนื่องกัน อย่างกะ จิต เจตสิก

    การเรียนรู้ธรรมะ หากได้สร้างภาพว่า นั่นเป็นการอยู่ในห้องเรียน
    อ่านแต่ตำรับตำรา และหากเห็นใครกล่าวปริยัติ แล้วเราไปตั้งค่า ว่า
    คนๆนั้น ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาเลย อย่าไปสร้างภาพอย่างนั้นครับ

    เพราะการศึกษาธรรม ต้องศึกษามา ที่กาย ที่จิต
    แต่พอนำมาถ่ายทอด กล่าวสอน ก็ไม่เห็นมีครูบาอาจารย์ท่านใด
    ที่จะสามารถ เลี่ยงบาลีปริยัติไปได้เลย เช่น คำว่า ขันธ์

    หากคนไม่รู้ภาษาปริยัติ ก็จะเข้าใจไปว่า เป็นภาชนะชนิดหนึ่ง ใช้ตักน้ำ
    หรือคำว่าอินทรีย์ ก็จะเข้าใจไปว่า เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ก็เป็นไปได้
    หรือการยึดถือเกาะไว้ ภาษาปริยัติ ก็คืออุปาทานขันธ์ ซึ่งจะแตกต่างจากคำว่า อุปาทานหมู่

    ดังนั้น อย่างที่กล่าวมา ในตอนต้นครับ ว่า ปริยัติมีขึ้นได้เพราะปฏิเวธ
    ปฏิเวธมีขึ้นได้เพราะปฏิบัติ เป็นปัจจยการ ต่อกันทั้งนั้นล่ะครับ
    หรืออิทัปปัจจยตา ก็ว่าไป เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

    ทุกสิ่งทุกอย่าง ใจของผู้มีปฏิเวธะ เช่นครูบาอาจารย์

    ย่อมเห็นปริยัติ ปฏิบัติ และผลการปฏิบัติ เป็นของว่างเปล่าทั้งสิ้น เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ

    เป็นอุบายในก้าวเดิน ที่ได้พยายามสลัดออกไป เมื่อถึงที่หมายแล้ว ท่านก็วางสัมภาระลง จนหมดสิ้น

    ดังนั้น เรื่องแพ้เรื่องชนะ อะไรนั้น หากมองไปอย่างนี้
    เราจะไม่ได้มุมมองอะไรใหม่ๆเลย หากเมื่อท่านเป็นครูผู้สอน

    จะบอกว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่นำคำสอนครูบาอาจารย์ หรือคำสอนพระพุทธเจ้า
    เป็นไปเพื่อการถกเถียง ในการแพ้ชนะอะไรนั่น เพราะเจตนาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    ดังนั้น ขอแซวผู้พายเรือ หน่อยเถอะ เมื่อท่านเผยไต๋ มาอย่างนี้นะ ว่า

    "ผมอ่อนปริยัติครับ และจิตไม่เอาด้วย ไม่ชอบทางการหรือภาษาพระ
    ชอบธรรมะแบบลูกทุ่ง เพราะธรรมะลูกทุ่งนี้ ทั้งชาวกรุง ชาวไม่กรุง ฟังเข้าใจหมด"

    มีหวัง หากผู้ประสงค์ร้าย เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน
    ก็ไม่แน่ว่า คนๆนั้น อาจจะซุ่มเพื่อเจาะเรือ ให้รั่วก็เป็นไปได้

    เพราะอะไร เพราะท่านก็จะเลี่ยงคำว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ
    อินทรีย์ อนุสสติ ทาน ศีล ภาวนา สังวรณ์ เป็นต้น

    ซึ่งจะเป็นไปได้หรือ ที่ท่านบอกว่า อ่อนปริยัติ เพราะแม้แต่คำว่า "จิต"
    หรือจิตตัง นี่ครอบหมดเลยครับ 84000 พระธรรมขันธ์ ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

    จึงได้บอกว่า ถูกแล้วครับ กับที่ท่านกล่าวมา ว่า
    "แต่การเรียนรู้ธรรมะนั้น มิใช่สมองหรือกายจะบรรลุธรรม แต่เป็น จิต"

    แต่ผมไม่ใช่ ชายชุดดำน๊าาา...[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2012
  20. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ก็ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ทุกท่านครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...