จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    สวัสดีคุณเกษ

    วันนี้จิตคุณสดใสดีจังนะ โล่งๆดีมาก ฝึกได้ดีนะครับ

    พยายามต่อไปนะ ทรงอารมณ์แบบนี้ไว้นะ

    ทำได้ถูกทางแล้วนะ

    สวัสดีครับ

    วิทย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2012
  2. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    จิตเกาะพระกับการปรามาสพระ(ภาคชาวบ้าน)
    เว้นช่วงมานิดกับการทำความเข้าใจในการใช้ภาษาใช้
    คำเพื่อนำมาซึ่งการปฎิบัติแห่งจิต เดินจิตไปให้ถึงความหลุดพ้น
    คือการใช้คำว่า จิตเกาะพระ
    ที่มีผู้กล่าวอ้างว่าเป็นการใช้คำที่ไม่ถูกต้อง และใช้คำว่า เกาะ
    เป็นการปรามาสพระ
    มีผลให้ตกนรกหมกไหม้ และก็มีหลายท่านที่ได้ดึงเอาปัญญาอันน่าเลื่อมใสเข้ามาอธิบายให้เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของการใช้ภาษา
    การใช้คำว่า เกาะ นั้น เป็นเพียงการนำจิตมาผูกมาเกาะมาอยู่กับพระ
    การใช้คำว่า เกาะ เป็นคำชาวบ้าน ๆ ที่เข้าใจได้ง่าย และ ทำแล้วได้ผล
    หากไม่ได้ผล ได้สิ จะไปนรกตามที่ท่านนั้นๆได้กล่าวมา แต่ยังไงก็ตามก็จะ
    ไม่เอาความใดๆ กับผู้ไหน จะขออโหสิกรรมกันไป จะไม่ยังไงทั้งนั้น แต่
    จะบอกกันพลาง ๆ อย่าถือว่าเป็นการสอนกันเลยนะจ๊ะ
    ท่านผู้มีความเจริญทางจิตทั้งหลาย โปรดใช้สติและปัญญาในการพิจารณา
    ไตร่ตรอง ให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า คำว่า จิตเกาะพระนั้น เป็นเพียงภาษา
    ที่ทำให้เกิดการเข้าใจง่าย คือการนำจิตไปนึกไปเห็นไปอยู่กับพระนี่เอง ก็เห็นๆ
    กันอยู่ว่าเราใช้จิตไปเกาะ จะเป็นการปรามาสพระได้อย่างไร โธ่....
    ศีลห้าข้อ พร่องไปเพียงนิดก็มิได้ มีรึจะกล้าปรามาสพระ แต่ที่จะบอกว่าเป็นการ
    ปรามาสนั้น ก็เมื่อเราได้เอาซากศพเดินได้ คือกายหรือขันธ์ห้า ของเรานี้สิ
    ไปเกาะไปจับไปลูบไปคลำพระ ชัดเจนมั้ยกับการปรามาสพระ
    เจตนาของการใช้คำว่า จิตเกาะพระ มิได้มีเพื่อการอื่นใด นอกเหนือ
    ไปจากการฝึกจิต พาจิตไปน่ิ่งอยู่กับภาพพระ นำจิตไปอยู่กับพระ ขออาราธนา
    บารมีของพระให้ช่วยดึงจิตดึงใจเราออกห่างจากกิเลส ฝึกให้จิตได้เดินตาม
    แสงแห่งความสว่างเข้าถึงทางพุทธะ มาสู่การหลุดพ้น
    แล้วจะมาเป็นบ้าเป็นหลังเป็นกะละมังถังแตก แจกความไม่จริง เป็นที่สิงสู่
    ของอวิชชา มานะอัตตา ออกนอกหน้า อย่ากระนั้นเลย....
    ให้ตายเถอะโรบิ้น...กับภาษาสมมติทางโลกใบนี้
    หากเราไม่เคยชิมส้มตำ แล้วจะบอกว่าส้มตำไม่อร่อย นี่แปลได้ว่าอย่างไร
    หากเราไม่เคยกินส้มตำ แล้วจะบอกว่ากินส้มตำแล้วท้องร่วงท้องเสีย เชียวหรือ
    โอ๊ย..ยิ่งหากเราไม่เคยทำส้มตำด้วยแล้ว จะบอกว่า ส้มตำทำยากหรือไม่ควรทำ
    ยิ่งไปกันใหญ่..ขุดค้นออกมาปัญญาอยู่หนใดหนอ...มานุด....
    การทำจิตเกาะพระก็เช่นกัน
    หากท่านไม่ทดลองทำตามทาง ตามหลัก ตามวิธี ตามเจตนา อย่างจริงๆจังๆ
    แห่งการหลุดพ้นแห่งจิต เราจะมาบอกว่า จิตเกาะพระนั้นเป็นการปรามาสพระ
    เพราะใช้ภาษาผิด กระนั้นหรือ ถามว่าการปรามาสอยู่ตรงส่วนไหน ตรงใด
    ปรามาส กับคำว่า เกาะ เนี่ยนะ.....
    งั้นขอให้ท่านโปรดหยิบข้าวทีละเม็ดเข้าปาก เวลาทานข้าวโปรดอย่าใช้ช้อน
    ตักข้าวเข้าปากเป็นอันขาด ไม่เคารพพระแม่โพสพ เนื่องด้วยไม่รู้จักใช้นิ้วมือ
    ของตัวเองหยิบเรียงข้าวเข้าปากทีละเม็ด...หุุหุ เห็นรึยัง..ไร้สาระพอกัน
    .....แก่นน่ะแก่น...เอาสติปัญญาขบคิดให้เห็นถึงเนื้อแท้แก่นธรรม อย่ามามัว
    บ้าบอกินแต่เปลือกกันให้ติดฟันเป็นตังเม หาที่ทางไปไม่ได้
    เราปฎิบัติธรรมไม่ว่า จะมาจากสายใด วิธีไหน ลักษณะอย่างไร ก็ล้วน
    เป็นการเดินจิตหาแก่นธรรมเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตด้วยกันทั้งนั้นมิใช่ ฤ
    .................กระซิบบบบบบบ...................................
    เวลาหั่นผักอย่ามัวแต่หันไปมองไปจ้องเพื่อนสิว่า เขาหั่นกันแบบไหน
    ดีกว่าของเราหรือไม่ หั่นได้เท่าไหร่แล้ว
    อันนี้โปรดระวัง
    ดีที่สุด คือ หันมาดูสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ นั่นแหละว่า ดีเพียงใด สมควรเพียงไหน ทำแล้วได้อะไร หากไม่ได้อะไร(ของทางไปแห่งความหลุดพ้น)
    ก็ต้องรีบกลับมาพิจารณา เข้าไปข้างในของเราให้ถ่องแท้ และเวลาพิจารณา
    เข้าไปในจิตตนนั้น อย่าได้เอาขยะ (ถึงตาจะไม่วิเศษก็เห็นนะ) ที่เรียกอีกอย่าง
    หนึ่งว่า อัตตามานะ เข้ามายุ่งด้วย
    ระวังมีดจะบาดมือ จะไม่ได้ทั้งผักทั้งมือ มีแต่เลือดกระฉูด แฉให้เพื่อนเห็นไต๋
    แก่นจิตเนื้อในของตนซะเปล่า
    .........กล่าว ดังดัง เป็นการสรุปแบบชาวบ้าน.......
    ฉะนั้น เราพึงมาพิจารณาธรรม ด้วยความบริสุทธิ์แห่งจิตกัน
    อย่ามัวมายึดมากำ กับคำและภาษาอยู่เลย
    เจริญในธรรมกันจ๊ะ
    จบ....รับรองไม่มีต่อ
     
  3. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    ว่าด้วยเรื่อง ศีล

    - คนที่เข้าถึงพระนิพพานได้ อันดับแรกก็ต้องทรงศีลบริสุทธิ์ และนอกจากนี้ก็ทรงอารมณ์สมาธิให้ตั้งมั่น มีปัญญารู้เท่าทันสภาวะตามความเป็นจริง เราก็มานั่งคิดว่าทำไมศีลของเราจึงจะบริสุทธิ์ ความจริงนักปฏิบัติมักจะสนใจผิดคิดว่าการเจริญพระกรรมฐานนั้น จะต้องนั่งหลับตากันท่าเดียวมันจึงจะมีผล ถ้าหากว่าเป็นการฝึกด้านสุขวิปัสสโกนี้ ความจริงจะไม่นั่งหลับตาเลยก็ใช้ได้ มันขึ้นกับอารมณ์ใจ ศีลของเราบริสุทธิ์ได้ก็อาศัยเรามีสมาธิ สมาธิจะทรงตัวได้ก็เพราะอาศัยศีลบริสุทธิ์ เป็นอันว่าอะไรเป็นเหตุเป็นผลกัน ฉะนั้น ถ้าเราจะถือเหตุจริง ๆ ก็ต้องถือปัญญา คนใดถ้าไร้ปัญญา คนนั้นหาศีลไม่ได้ และคนใดไร้ศีล บุคคลนั้นจะมีสมาธิไม่ได้ เพราะฉะนั้น การเจริญภาวนาครั้งแรก ก่อนที่จะภาวนา ขอทุกคนเคารพในศีลก่อน ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ขาดตกบกพร่องอย่างนี้ การเจริญภาวนาไม่เกิดผล ต้องเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ ฌานสมาบัติจึงเกิด ทีนี้การบกพร่องของศีลย่อมมีบ้างเป็นของธรรมดาของแต่ละบุคล ถ้าเวลาอยู่บ้าน ก่อนที่จะภาวนาให้สมาทานศีลก่อนเป็นการยับยั้ง ถ้าเรารู้สึกว่าจิตของเรามีศีล อารมณ์จะเป็นสุข ในเมื่ออารมณ์เป็นสุข สมาธิมันก็เกิด เมื่อสมาธิเกิด จิตมีความเยือกเย็น ปัญญามันก็เกิด

    - ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิเพื่อฌานสมาบัติได้เลย เพราะเพียงศีล มีการรักษาแบบหยาบ ๆ ท่านยังรักษาไม่ได้ ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ที่ไม่สำเร็จผลใด ๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้ ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงสังวรเรื่องศีลให้มาก คำว่าสังวรนี่แปลว่าระวัง อันดับแรก ต้องมีศีลบริสุทธิ์เสียก่อน ไม่ใช่บริสุทธิ์เฉพาะเวลาที่สมาทานพระกรรมฐาน ให้ศีลบริสุทธิ์ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าศีลของท่านบริสุทธิ์ทุกลมหายใจเข้าออก การเจริญสมาธิก็เป็นของง่าย เพราะศีลจะมีขึ้นได้เพราะอาศัยเมตตา ความรักซึ่งกันและกัน กรุณา ความสงสารซึ่งกันและกัน คนที่มีจิตเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร อารมณ์เย็น จิตมีความเยือกเย็น ความฟุ้งซ่านของจิตไม่มี ความเร่าร้อนของจิตไม่มี อารมณ์ก็สบาย ในเมื่ออารมณ์สบายมีความเยือกเย็น จิตก็ทรงสมาธิได้ดี ความอาฆาต พยาบาท หรือการจองล้างจองผลาญคิดประหัตประหารซึ่งกันและกัน หรือความโลภโมโทสันอยากได้ทรัพย์ของบุคคลอื่น การที่จะละเมิดความรัก หรือการที่จะมุสาวาท การที่จะดื่มสุราเมรัยไม่มี ในเมื่ออาการ 5 อย่างนี้ไม่มีแล้ว จิตก็มีความสบาย มีอารมณ์เป็นสุข อันดับแรกจึงควรปรับปรุงศีลให้ดี เมื่อปรับปรุงศีลดีแล้ว สมาธิก็ทรงตัว เมื่อสมาธิทรงตัว ปัญญามันก็เกิด นี่เป็นพื้นฐานของการเจริญฌานและวิปัสสนาญาณ
     
  4. lobsterkiss

    lobsterkiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +325
    COMPUTER

    ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้เลย ที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์
    คอมพิวเตอร์ถือว่าปัจจุบันทุกคนใช้ในการติดต่ออย่างแพร่หลาย
    เพราะใช้ได้หลายอย่าง เข้าอินเตอร์เน็ต พิมพ์งาน ทำโน้นทำนี่ สารพัดสารเพ
    แต่ว่าถ้าหากท่านใช้อย่างไม่ระวัง ท่านก็จะไปเจอกับ
    "ไวรัส"
    ไวรัสเป็นตัวบ่อนทำลายคอมพิวเตอร์ ไฟล์ข้อมูลต่างๆที่คุณมีก็จะถูกมันทำลายไป

    คอมพิวเตอร์เปรียบเฉกเช่น เรา
    ไวรัส เปรียบดั่ง กิเลส ที่คอยมาทำร้าย ทำลายเรา ทำให้เราตกเป็นทาสของมันอยู่ตลอดเวลา

    แต่ว่าๆๆ ถ้าหากคอมพิวเตอร์มีตัวป้องกันไวรัสแล้วละก็ หึหึๆๆ ไวรัสเข้ามาเมื่อไร ตัวป้องกันไวรัสจะแจ่งเตือน แล้วกำจัดมันทิ้งซะไวรัสก็ไม่สามารถมาทำร้ายคอมพิวเตอร์ได้

    ซึ่งตัวป้องกันไวรัส ก็เปรียบดั่งสติ และปัญญา
    สติเป็นตัวที่คอยให้เราระลึก รู้สึกตัวเสมอๆ เหมือนหน้าที่แ้จ้งเตือนของป้องกันไวรัส
    และปัญญา ก็จะคอยกลั่นกรอง กิเลสเหล่านั้นอีกรอบ ให้เราได้พิจารณาให้เกิดความรู้เท่าทันมัน เสมือนหน้าที่กรองและกำจัดไวรัส ของตัวป้องกันไวรัส

    แต่เท่านั้นยังไม่พอ ถึงแม้่ว่าคอมพิวเตอร์จะมีป้องกันไวรัสแล้วก็ตาม ไวรัสอาจหลุดเข้ามาทำร้าย ทำลาย คอม อีกเมื่อไหร่ก้ได้
    ฉะนั้น เราก็เช่นกัน แม้ว่าเราจะมีสติที่ดีแล้วก็ตาม แต่เราก็อย่าประมาทเพราะกิเลสเหล่านั้นอาจเข้ามาทำร้ายเราอีกเมื่อไหร่ก็ได้
    ดังนั้น เราต้องอัพเดตป้องกันไวรัสให้คอมพิวเตอร์อยู่เสมอๆทุกๆวันจะได้ไม่มีไวรัสมาทำร้ายเราได้ แม้มันจะเข้ามาเราก็กันได้หมด ฉันใดฉันนั้นเราก็ควรฝึกพัฒนาสติและปัญญาอยู่อย่างเสมอๆทุกๆวัน เพื่อไม่ให้กิเลสเข้าไปทำร้ายทำลายเราได้ ไม่ว่ามันจะมาหาเราเมื่อใด เราก็รู้เท่าทันทั้งหมด

    วันนี้คุณอัพเดต ป้องกันไวรัสแล้วหรือยัง ???? ^o^


    ราตรีสวัสดิ์ครับ มาเขียนก่อนเข้านอน ^o^
    ฝันดีคร้าบบบบ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอแจ้งเตือน
    โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติในระยะก่อนที่ จิตจะยก

    สำหรับผู้ปฎิบัติที่มีความพร้อม หรือพร้อมที่จะยกจิตซึ่งมีอยู่หลายท่าน
    แต่น่าเสียดายที่มีบางสิ่ง บางอย่าง ที่ผู้ปฎิบัติมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปนิดเดียว เพราะความไม่เข้าใจบางอย่าง นั่นเอง
    หรือจิตยังมีความลังเลสงสัยเป็นทุนเดิม และบวกกับความไม่ศรัทธาต่อการปฎิบัติของตนเอง
    ขอให้ผู้ปฎิบัติจงทำความเข้าใจให้ทุกย่างก้าว(ย่างก้าวๆ) ในขณะที่ปฎิบัติกันให้ดี

    สาเหตุหลักของผู้ปฎิบัติที่พร้อมจะยกแล้ว แต่ไม่ยก ก็เพราะว่า...
    (อันนี้ครูแอบฟ้องผมมาแล้ว แต่ผมจะไม่ออกนาม แต่ที่จะมาบอกให้รู้และรีบแก้ไขกันซะ เพราะครูเจอลูกศิษย์ดื้อนั้น ครูเขาไม่ได้ทอดทิ้งเรา แต่ครูจะไปสนใจหรือไปยกจิตคนที่พร้อมมากกว่านะ ขอเตือนมาเพียงแค่นี้)

    1.สติตนเองเกิดไม่ต่อเนื่อง และทำมาจะถึงที่หมายปลายทางกันอยู่แล้ว เพราะผู้ปฎิบัติหวังผลถึงนิพพานมากเกินไป บางท่านตั้งใจเกินไป อันนี้ก็ไม่ได้
    คือตัวเราเองจะต้องสังเกตตนเองด้วยว่า จุดสมดุลย์ หรือความพอดีของตนเองนั้นอยู่ที่ไหน พยายามหากันให้เจอ

    2.ความไม่ตั้งใจจริงของตัวผู้ปฎิบัติเอง เพราะการปฎิบัติจิตเกาะพระนั้น ผู้ปฎิบัติจะต้องลงมือปฎิบัติเอง(เท่านั้น) เราจึงจะเป็นฝ่ายที่เห็นเอง รู้เอง และก็ชอบเอง
    ประกอบกับจิตที่มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากลองในสิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา นี่คือธรรมชาติของจิต จึงมาบวกกับจิตที่มีความลังเลสงสัยเป็นทุนเดิมของตน
    พวกเราจึงไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจในการปฎิบัติของตน หรือไม่ศรัทธาต่อการปฎิบัติของตน

    3.ติดตัวรู้(มาก)ของตนเอง อาทิเช่น อีโก้ ผมบอกไปตั้งแต่รกกันแล้วนะว่า ให้วางเสียเพราะอย่างนั้น ถ้าคุณรู้มากแล้ว ทำไมคุณไม่ไปปฎิบัติตนเองคนเดียว มาทำจิตเกาะพระกันทำไมให้เสียเวลา เพราะนอกจากจะเสียเวลาตนเอง ยังเสียเวลาผู้สอนอีก
    คุณก็ลองถามตนเองให้ดีนะว่า เราผู้ปฎิบัติธรรม หรือที่พวกเรากำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่ณ.เวลานี้ เพื่ออะไร นอกจากเพื่อพ้นทุกข์ถาวรและเพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฎกันแล้ว
    สรุปแล้ว ผู้ที่จิตยก หรือผู้มีดวงตาเห็นกันนั้น เขาจะไม่ไปยึดถือเอาอะไรทั้งสิ้น และจิตที่กำลังยกก็เหมือน แต่ดันไปติด ตัวมานะนี่สำคัญยิ่งนัก เพราะเป็นนามละเอียด เป็นศีลละเอียด ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมองเห็นยาก อันนี้ไม่ต้องไปพูดถึงจิตปุถุชนนะ นี่จิตที่กำลังยกกันนี่แหล่ะ วางซะอัตา มานะนี้ ธรรมแสนจะละเอียดตัวนี้ จะเป็นอุปสรรค์ในเจริญในธรรมของคุณอย่างดี พูดถึงมานะนี้ ถึงใครพยายามบอก พยายามเตือนก็จะค่อยจะฟัง นอกจากจิตถึงฌาน เดินฌาน จิตเข้าเขตแดนวิปัสสนากันโน้นแหล่ะ เราถึงจะมีปัญญาจะออกจากมานะ หรือหลุดจาก คำว่า มานะนี้กันได้ เราจะทำให้หลุดเองก็ไม่ได้อีก เพราะติดอยู่ที่จิตตนเอง ที่เข้าไปไม่ถึงแดนวิปัสสนาที่ว่านั้น เพราะว่าสติเดิมแท้เรามีไม่มาก ไม่ต่อเนื่อง

    (***มานะ จะอยู่ที่ข้อที่ 8 ของสังโยชน์ ข้อที่9-10 ก็สำคัญ
    ขอให้ผู้ปฎิบัติพร้อมที่จะยกให้ไปสำรวจเอาเอง ถ้าอยากจะยกไว)

    คิดว่าตนเองดี ตนเองฉลาด พยายามปรับตัวปรับจิตของตนให้เจริญ ให้พัฒนาขึ้นตามที่ครูแนะนำอย่างเคร่งครัด
    อันนี้ผมจะพูดเจาะจง เจาะใจกันไปเลยนะ ผมไม่เกรงใจแล้ว เพราะจิตผู้ที่พร้อมยกนั้นจะต้องเข้มแข็งพอ ปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆไม่ได้
    และถ้าใครสอบผ่านไปแล้ว ที่เหลือคุณจะสานต่อหรือว่าละเลยละทิ้งก็เป็นเรื่องของคุณแล้ว เพราะครูที่นี่ก็ไม่มีใครไปยึดติดกับลูกศิษย์ด้วย เพราะพวกเราสอนเพื่อความหลุดพ้น ละปล่อยวางให้หมด แม้นกระทั่งขันธ์ 5 ของตนเองก็ยังไม่ไปยึดกัน แล้วพวกเราจะไปยึดลูกศิษย์กัน ทำไม...

    ***ขอให้ผู้ปฎิบัติมีความศรัทธาของตนเป็นหลักก่อน แต่ไม่ต้องมาศรัทธาในตัวครูก็ได้ เพราะครูไม่ไปยึดติดกับศิษย์ ครูทุกท่านนั้นมีแต่จะพร้อมให้
    ***ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่าน ต้องกระทำด้วยความเคารพรัก เลื่อมใส และศรัทธากันจริงๆ ต่อพระพุทธองค์ของพวกเราด้วย เราจะมาเอาแต่ธรรมะ เอาแต่พ้นทุกข์ หรือปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นกันอย่างเดียวกันไม่ได้
    ขอให้พวกเราระลึกถึงท่าน ในเชิงคุณงามความดี และความกตัญญูต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วย
    พวกเราทำจิตเกาะพระนั้น พึงต้องกระทำอย่างระมัดระวัง

    ครูแค่ทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยง คือ เป็นผู้ชี้แนะแนวทางให้ถูกต้อง ก่อนที่ท่านจะลงมือปฎิบัติจริง
    หรือครูก็เปรียบเสมือนสติ ที่คอยดู(อาการ+อารมณ์ของจิต) คอยรู้(อาการ+อารมณ์ของจิต) และรายงานผลที่ไปตามดู+รู้จิตนั้น มาให้ตัวเรารู้

    แต่ถ้าพวกเราไม่มีสติกัน หรือมี แต่มีไม่มากพอ
    ผมแนะผู้ปฎิบัติไปแล้วว่า การปฎิบัติจิตเกาะพระนี้ ดูๆผก็เหมือนจะใหม่สำหรับพวกเรา แต่จริงๆแล้วผมก็มิได้คิดเอาเอง เออออเอาคนเดียว เพราะผมได้จาการปฎิบัติจริง
    และผมก็มิได้ทำได้คนเดียว แต่ยังมีอีกหลายท่านที่ทำกันได้สำเร็จ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติทำสำเร็จไปแล้ว ตัวท่านเองก็ต้องประคองจิต หรือไปต่อยอดเอาอีกครั้งเอง
    และจิตเกาะพระนี้ ผมก็มิได้คิดกองกรรมมาฐานมาเองเมื่อไหร่ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็มิอาจบอกให้ผู้อื่นกระทำได้ เพราะผมก็เกรงกลัวต่อบาปและนรกเหมือนกัน
    แต่จิตเกาะพระนี้ อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องปัจจัตังจริงๆ ไม่ทราบว่าจะกล่าวกับพวกเราอย่างไรดี
    แต่ปฎิเวธ(ผล)นั้น ผู้ปฎิบัติย่อมรู้ดีแก่ใจตนเอง แต่ผู้ที่ทำไม่ได้ ก็จึงไม่รู้เป็นธรรมดา
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ผู้ปฎิบัติทุกท่านที่อยากทำจิตเกาะพระให้สำเร็จเร็วๆ พวกเราจำเป็นต้อง...

    1.มีความเพียรสูงต่อการสร้างสติของตนเอง โดยการระลึกถึงพระ เพราะการที่พวกเรากำลังคิดถึงพระกันอยู่นั้น นั่นหมายถึงคุณกำลังมีสติ หรือเรากำลังสร้างสติกันแบบง่ายๆ สะดวก รวดเร็ว ทันใจ หรือพูดกันง่ายๆก็คือ คิดอยากได้บุญใหญ่(คือบุญภายใน)ความต่อเนื่อง

    2.ทิ้งคำภาวนาแบบเก่าของคุณไปก่อน จนกว่าจะทำจิตเกาะพระสำเร็จ นอกนั้นคุณจะกลับไปทำแบบเดิมของคุณก็ตามแต่ใจ แต่ในขณะที่ทำจิตเกาะพระกันอยู่นี้ ขอให้พวกเราจงละวางกันเสีย เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ท่านก็จะเสียเวลาปฎิบัติของตนเองทันที เพราะผมไม่ได้ห้าม แต่เป็นเพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์เอง ที่ทำอะไรหลายในเวลาเดียวกันไม่ได้ จิตไม่มีความสารถแยกแยะความผิดถูกได้ในระยะแรกๆเลย กว่าจิตจะแยกแยะอะได้ก็ต้องอาศัยสติพวกเธอ คือต้องทำความรู้สึกตัวกันให้เยอะๆ นั่นเอง

    ***จิตทำงาน/เรียนรู้/รับรู้อะไรได้ ทีละอย่าง ในเวลาเดียวกัน
    แต่ผู้ปฎิบัติโลภมาก ทำทีเดียวสองอย่าง เขาเรียกว่า คนหลาย อย่าทำ
    ถึงท่านทำไปก็เสียเวลาเปล่าๆ เพราะทำแล้วไม่ได้ผล
    เดี๋ยวคุณก็เลิกทำไปเอง ตรงนี้ก็ถือว่าสำคัญเหมือนกัน นั่นจะหมายถึงว่า คุณสอบไม่ผ่านสักที ซึ่งจะถือได้ว่า เป็นจุดเปลี่ยนของผู้ปฎิบัติเอง
    โอกาสมาถึงตรงหน้ากันแล้ว พวกเราอย่าปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ
    ทำที่นี่ ปฎิบัติกันตรงนี้ ท่านเสียอะไรบ้าง เสียเวลา? เสียเงิน?

    3.จิตเกาะพระนั้น จำเป็นจะต้องมีครู ทำเองไม่ได้ เพราะถ้าเราปฎิบัติไปได้สักระยะนึงแล้ว เมื่อคุณเกิดสงสัย แล้วคุณจะไปถามใคร
    ถามตนเองก็จบที่ตนเอง เพราะในเมื่อตนเองก็ยังไม่ทราบ และแก้ไขจิตตนเองก็ไม่ได้ จบตรงนั้น โง่ตรงนั้น จิตไม่พัฒนา เพราะว่าเวลาที่จิตไม่เข้าใจแล้ว ถ้าเราไม่รีบหาคำตอบให้กับจิตของเรา จิตก็จะทิ้งทันที และจะไปสงสัยอันใหม่ เรื่องใหม่อีก และจิตพวกเราก็จะเป็นอย่างนี้ทุกคน
    เพราะจิตของคนเรานั้นฝึกยาก จิตละเอียด จิตมีอยากรู้ อยากเห็นตลอดเวลา อันนี้เป็นธรรมชาติแห่งจิตมนุษย์ทุกคน
    สรุปแล้วทำเองไม่ได้

    ขอให้คุณเก่งแค่ไหนก็ตาม ถึงคุณจะมีอาชีพเป็นผู้บริหาร นายแพทย์ ทนายความ หรืออาชีพอิสระ หรือต่อให้คุณเป็นนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ว่าจะแนวไหน
    ผมขอบอกได้คำเดียวว่า ไม่มีทางสำเร็จ หรือยกจิตได้เลย ผมมั่นใจ เพราะผมที่ได้นี้ก็มิได้จากตนเองด้วย ผมมั่นใจ ผมขอยืนยันอีกครั้ง (ถ้าคนเข้าใจ คำว่า ปัตจัตตัง)
    อันนี้ผมกำลังพูดถึงวิธีการทำจิตเกาะพระนะะะ

    ***จิตเกาะพระ ซึ่งผมได้ประยุกต์ใช้สองกรรมฐานรวมกัน ก็คือ พุทธานุสสติ+กสิณ
    (การระลึกถึงพระ แทนคำภาวนา คือสร้างสติไปในตัว+การเพ่งพระเป็นอารมณ์ จิตพวกเราจะได้เข้ม จิตรวมเร็วขึ้น หรือจิตเป็นสมาธิ จิตทรงฌานได้ไวขึ้น)
    แค่พุทธานุสสติเฉยๆนั้น จิตเราไม่เข้มพอ สร้างสติไม่พอ หรือทำให้จิตตนเองนิ่งสงบช้า ผมจึงบวกกับกสินไปด้วย จิตเราจะได้ความนิ่งไว นิ่งเร็ว
    และอานิสงค์จากจิตไปเกาะพระนี้ จะช่วยให้จิตใจของพวกเราน้อมรับ ยอมรับ อ่อนลง เบาลง เย็นลง ระงับ สงบได้ดี
    และบวกกับกสิณก็จะเพิ่มความเข้มข้นความนิ่งของกระแสจิตเข้าไปอีก เพราะจิตจะเดินได้ หรือจิตจะพัฒนาได้ไวนั้น เราจะต้องทำให้จิตรวม จิตนิ่งให้ไวที่สุด และที่สำคัญก็คือ ความต่อเนื่อง
    อันนี้หลังจะสำคัญตอนท้ายสุด และนักภาวนา หรือผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่มักขาด/บกพร่องกันตรงนี้ ที่ทำให้บางท่านถึงมองไม่ออกว่า ผลของการปฎิบัติธรรมของตนนั้นไม่ค่อยจะเจริญก้าวหน้าในเรื่องศีล เรื่องธรรมมากนัก

    แต่ก็มีอยู่หลายปัจจัย หลายสาเหตุเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรแล้ว พวกเราจะต้องอาศัยการพึ่งตนเองเป็นหลักใหญ่กันด้วย อันนี้สำคัญมากสำหรับตนเอง
    ของแบบนี้ไปบังคับกันไม่ได้ เพราะจิตตนเองก็ยังบังคับกันไม่ได้เลย
    จิตอยู่ที่เรา และเราเท่านั้น ที่จะต้องนำจิตไปเรียนรู้+ความเข้าใจ และไปถึงความจริงระดับปรมัตถ์กันให้ได้ เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เข้าไปถึงความจริงระดับสมมุติ

    สำหรับผู้สนใจเรื่อง ปรมัตถ์ อ่านต่อ http://www.abhidhamonline.org/rupa.files/paramath.htm
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,797
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    กราบขออภัยcatt1ที่ทําให้ท่านภูนอนดึก(เฝ้ากระทู้ดูแลลูกศิษย์) :dจะพยายามทําต่อไปค่ะ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ***ทำไมวันนี้มีแต่ครูจัดหนัก

    สงสัยได้เวลาหักดิบ เอ๊ย!ติวเข้ม
    สงสัยกำลังอยู่ในช่วงคัดกรอง
    หรือว่า พระกำลังจัดสรร

    ใครอยู่พรรคไหน สีไหน เลือกเอาตามใจชอบ
    ใครจะหาเรื่อง ใครจะตีกันให้ออกนอกบ้าน
    แต่ถ้าใครจะหาความสุข หาความสงบ ก็ให้สนใจดูจิตตนเอง(เท่านั้น)
    เพราะคำว่า ข้างนอกนั้น ฟังดูก็รู้สึกว่าไม่อบอุ่น ไม่ปลอดภัยแล้ว
    เพราะไม่มีคำว่า ความสุขจริง ความสงบจริง อยู่ภายนอกกาย ภายนอกจิตของตนเองจริงๆหรอก
    มีแต่ความสุขชั่วคราว มีแต่วามสงบชั่วคราว
    คนเรานี่ก็แปลก ของจริงไม่เอา เอาแต่ของปลอม ได้แก่
    เอาแต่พระพุทธรูป เอาแต่พระมาห้อยคอ เอาแต่สร้างพระภายนอก เอาแต่ทำบุญภายนอก มัวหลงพากันไปทำบุญที่อื่นๆ พากันไปตามหาพระอรหันต์กันที่อื่น เพราะที่จริงแล้ว จิตตนเองนั้นศักดิ์สิทธิ์นัก แต่ไม่ทำจิตของตนให้ขลังเอง ศักดิ์สิทธิ์เอง แค่ทำให้จิตตนเองนิ่งกันนี่ก็ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก

    แต่ไม่รู้จักการสร้างบุญภายในตนเอง การสร้างพระภายในจิตตนเอง
    ไม่กราบไหว้ ไม่เคารพจิตของตนเองเลย มองข้าม ก้ามข้ามจิตตนเองซะงั้น
    แต่ไม่รู้จักก้าวข้ามกิเลสตนเอง
    แถมรู้จักดี แต่กิเลสของคนอื่นๆ มองเห็นคนอื่นๆชั่วนั้น ถนัดกันนัก

    แต่คนกระทู้นี้มีปัญญาเป็นของตนเอง คิดเองได้ ไม่หูเบา ไม่ติดความลังเลสังสัย เพราะพวกเราปฎิบัติตามแนว ตามแก่นพระธรรมของพระพุทธองค์
    เราไม่มี คำว่า หลงทางแน่ หรือว่าเดินทางอ้อมแน่
    แต่ถ้าไปทางอื่น..ไม่แน่

    แล้วท่านหล่ะ! มีปัญญาเป็นของตนเองหรือยัง?
    แต่ถ้ายังไม่มี จงไปหา จงไปสร้าง จงไปรีบเจริญสติภาวนากันนะ

    ก่อนอื่นขอให้ท่านตามหาจิต ดวงจิตของตนให้พบเสียก่อน
    แต่ถ้าไม่รู้ว่าจิตตนนั้นอยู่ที่ไหนหรือแห่งหน ตำบลใดแล้ว
    เพราะว่า ตัวของเราเองนี่แหล่ะ! จะต้องสงสัย หรือไปถามกับผู้อื่นๆอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะตาย หรือจนกว่าตนเองจะพบธรรม หรือจนกว่าจะมีดวงตาเห็น

    ภายนอก..ทุกคนไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย มีร่างกายครบถ้วนเหมือนกันหมด ทุกประการ
    เดินดิน กินข้าวแกง หรือทานหูฉลามในมอลล์
    แต่จะแตกต่างกันเฉพาะที่ภายในกันเท่านั้น
    ภายในที่นี้ไม่ได้หมายถึง เครื่องใน ตับไตไส้พุงกันนะ
    แต่จะหมายถึง ระดับภูมิจิตภูมิปัญญา หรือสติปัญญา
    แต่ไม่ได้หมายรวมถึง ปัญญาในทางโลก
    เพราะปัญญาในทางโลกนั้น ไม่มี
    เพราะปัญญาในทางโลกนั้น จึงเปรียบเสมือนแค่สัญญาในทางธรรม เท่านั้น
    หรือจะมีคนเถียง!!!
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอพร่ำอีกหน่อย
    ฝนกำลังตกหนัก คนกำลังติดลมบน​


    เพียงลมปากของพระอรหันต์นั้น ท่านศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
    แต่ถ้าลมปากของพวกเรา หรือจิตปุถุชน ไม่กลับเป็นเช่น
    ขอยกตัวอย่าง เช่น ดูเหมือนจะทำเพื่อประเทศ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็เพื่อตนเอง และพวกพร้องทั้งนั้น
    และมีสักกี่คนหน๋อ! ที่คนไทยเฝ้ารอคอยผู้นำที่มีคุณธรรม ได้แต่รอๆ รอจะหมดอายุขัยแล้ว แต่กลับมองไม่เห็น แต่กลับไม่มีที่พึ่ง
    แต่ถ้าคนที่บอกว่าตนเองดีนั้น เขาจะไม่ทำให้ประชาชน และประเทศชาติวุ่นวาย
    ไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ต้องรู้จักพอ คำว่าหยุด คำว่า แพ้ จะต้องรู้จักดี
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าไม่รู้จัก คำว่า แพ้ ยอม ให้ เสียสละ

    งั้นต่อไปนี้ผมอยากให้พวกเรา หันกลับมาช่วยตนเองกันดีที่สุด พึ่งตนเองให้มากที่สุด

    อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน


    หรือ มีพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งสูงสุดทางใจของพวกเรากันด้วยเทอญ
    เพราะสิ่งภายนอก หรือคนอื่น ไม่เคยให้ความสุขกับตนเองได้จริงๆกันหรอก มีแต่จะทำให้แต่เป็นทุกขืเสียมากกว่า
    แต่ความสุขที่มาจากภายในจิตของตนเท่านั้น ซึ่งมีอยู่จริงๆ

    และพวกเราก็ไม่ต้องไปตามพระอรหันต์ที่ไหนกันด้วย เพราะถึงตามหาท่านเจอ แต่ก็อยู่กับเราไม่ได้นาน
    เพราะสังขารของพระอรหันต์ก็ยังไม่เที่ยง
    ก็จิตของเรานี่ไงหล่ะ! คุณทำจิตของตนให้เป็นจิตอรหันต์กันสิ
    คุณมัวหลงไปดู หลงไปชมจิตคนนั้นยก หรือหลงไปหาพระอรหันต์กันทำไม
    จิตคุณนั่นไงเล่า ไปตามหาทำไมที่อื่น ทำเอาเอง ฝึกกันเองสิ
    เพราะจิตของพระอรหันต์นั้น ท่านอยู่ดีๆ โดยไม่ต้องฝึกฝนนั้น ท่านจะได้เป็นถึงพระอรหันต์กันหรือ
    แต่คุณแค่หาจิตตนเองก็ยังไม่ค่อยจะเจอเลย แต่ถ้าใครหาจิตตนเองไม่เจอ
    นั่นคุณก็ไม่สามารถนำจิตตนเองมาชำระล้างให้สะอาด ทำสดใสได้
    แล้วจิตคุณจะเป็นอรหันต์กันได้ตอนไหน ชาติไหน อย่างไร
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่เป็นไรขอรับ
    ผมยินดีรับใช้ทุกดวงจิต โดยเฉพาะผู้ปฎิบัติธรรม แบบวิธีทำจิตเกาะพระ

    และผมเองก็ได้มอบกายถวายชีวิต โดยเฉพาะจิตตนเอง ให้กับพระพุทธศาสนา หรือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และลูกหลานเหลนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ โดยเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    และลูกหลานเหลนของครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หรือทุกพระอริยเจ้า ที่กำลังปฎิบัติธรรม หรือฝึกฝนจิตเกาะพระอยู่ในเวลานี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  11. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    ขอโมทนา สาธุ กับคุณภู ที่ได้ให้ธรรมทานมาตลอดโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย

    โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีปริยัติมาก แต่เตือนจิต เตือนสติได้อย่างชัดเจน

    อยากจะขอให้ท่านที่กำลังลังเลหรือไม่แน่ใจ หรือยังยึดติดกับรูปแบบเดิมๆที่เคยปฏิบัติอยู่

    แต่ยังรู้สึกว่ายังไปไม่ถึงไหน ยังวนเวียนอยู่หาจุดสรุปหรือความหลุดพ้นไม่เจอ

    ได้ตัดสินใจเข้ามาร่วมฝึกปฏิบัติ ตามแนว จิตเกาะพระ ที่คุณภูและสมาชิกชาวจิตบุญ

    ได้เพียรพยายามนำเสนอมาให้ทุกท่านได้ลองเข้ามาฝึกจิตดู เพราะขณะนี้เวลาของ

    แต่ละท่านที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้ เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว อย่ามัวผลัดวัน

    ประกันพรุ่งอยู่เลยครับ เวลาจะหมดลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่มีใครจะกำหนดได้

    ท่านใดมีอะไรที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ สงสัย หรืออยากจะเล่าประสบการณ์ในการปฏิบัติ

    มีอะไรติดขัด ก็ขอเชิญแวะเข้ามาคุยกันได้เลยนะครับ

    ที่นี่เรามีแต่มิตร มีแต่เพื่อน มีแต่กัลยาณมิตรที่พร้อมจะให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ

    ให้คำปรึกษา แนะแนวในหลักการฝึกปฏิบัติ จิตเกาะพระ รออยู่ด้วยความเต็มใจครับ


    ขอเจริญในธรรม

    ด้วยจิตคารวะ

    นิวเวป จบ.14
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,797
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    ท่านนิวเวฟคะ บางทีกําลังนึกถึงองค์ที่เราชอบเช่นพระพุทธชินราชแต่บางทีก็จะกลายเป็นปางต่างๆเช่นปางลีลา etc....จะใช้ได้ใหมหรือต้ององค์เดียว?ขอบพระคุณค่ะ
     
  13. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681

    ธรรมสวัสดีครับ คุณsupatorn

    ขอชื่นชมและขอบคุณในความตั้งใจและติดตาม จิตเกาะพระ อย่างไกล้ชิดเสมอมาครับ

    ก็ถือว่าใช้ได้ครับ เริ่มต้นจิตเกาะพระของเรายังไม่นิ่ง ก็จะเป็นอย่างนั้นเอง
    อย่าเพิ่งไปเพ่งหรือบังคับในทันทีทันใด ปล่อยให้จิตมองไปก่อน แล้วค่อยๆโน้มจิตดึงกลับมา
    ให้เห็นองค์เดียวที่เราสามารถมองหรือระลึกได้ชัดเจนที่สุด เมื่อจิตเริ่มเกาะพระได้นิ่งขึ้นแล้ว
    ค่อยๆน้อมจิตจนสามารถหมุนภาพพระในมุมมองด้านอื่นๆได้โดยไม่หลุด
    นั่นแสดงว่าจิตเราเกาะพระได้ดีขึ้นครับ

    ขอเน้นว่าอย่าเร่งจิตหรืออย่าอยากเห็นภาพพระจนมากหรือเคร่งจนเกินไป
    เพราะถ้ายิ่งอยากได้มาก ก็จะยิ่งไม่ได้ กลายเป็นนิวรณ์ไป
    ขอให้ทำแบบกลางๆ สบายๆ ปล่อยวางความคิดเรื่องอื่นๆรอบข้างลงให้หมด
    แล้วความสำเร็จก็จะเกิดเอง ขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ครับ

    ขอเจริญในธรรม

    นิวเวป จบ.14
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,797
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    จิตเกาะพระของเรายังไม่นิ่ง


    ขอบพระคุณมากค่ะ ท่านตอบทันใจ(ระงับไข้ใจ )ดีจริง สาธุๆๆthx1
     
  15. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เมื่อวานนี้ไปถวายสัฆทานกับหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวันมา เอาบุญมาฝากทุกคนค่ะ
    พอก้าวเข้าไปในวัดก็สัมผัสได้ถึงพลังความเมตตาของหลวงพ่อค่ะ
    ตื่นเต้นนิดๆ เพราะไม่เคยเจอท่านมาก่อน
    หลวงพ่อท่านอายุมากแล้ว อยู่รับญาติโยมประมาณ 15 นาที เพราะนั่งนานไม่ได้
    เวลาลงมาต้องมีลูกศิษย์ช่วยพยุง เวลากลับก็ต้องช่วยพยุง
    ทำให้รู้สึกได้ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสัจธรรม แม้แต่หลวงพ่อก็ยังต้องเจ็บ ต้องแก่ และต้องตาย ขันธ์ของท่านทุกข์ แต่ใจท่านไม่ทุกข์ เพราะจิตท่านพ้นแล้ว
    ซาบซึ้งในความเมตตา และกำลังใจของท่าน เพราะท่านต้องแบกสังขารไว้เพื่อเป็นที่พึ่งพิง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเพื่อช่วยลูกหลาน

    แล้วก็มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเหมือนกัน
    สิ่งใดที่ยังยึดไว้ ก็ปล่อยซะ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

    ปล.ผู้ใดที่ปฎิบัติแล้วตีบตัน หมดกำลังใจ แนะนำให้ไปทำบุญกันบ้างนะคะ
    สร้างบุญภายในกันแล้ว ก็เสริมด้วยบุญภายนอกบ้าง แล้วจะเห็นผลค่ะ
    เพราะว่าตัวเราเห็นผลมาแล้ว ใช้ดีจึงบอกต่อ 5555
     
  16. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    พูดถึงเรื่องทำบุญแล้วนึกขึ้นได้ครับ คือว่าเมื่อวานผมไปซื้อของแล้วเจอกล่องรับบริจาคของวัดแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อว่าต้องบริจาคแพงๆแล้วจะขึ้นสวรรค์ชั้นโน้น ชั้นนี้ กำลังจะบริจาคสายตาไปสะดุดพอดี เลยชะงัก สุดท้ายเลยไม่บริจาค เรื่องนี้มันเข้ามาวุ่นวายในจิตใจพอสมควร ขอคำแนะนำทีครับว่าควรทำอย่างไร คือว่ามิได้เกลียดชังแต่ประการใดนะครับ แต่เป็นความรู้สึกว่าไม่อยากบริจาคที่แห่งนี้เท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะทันใจ

    For my point:
    เป็นที่น่าเสียดายคุณwatjojoj คุณสอบไม่ผ่านเรื่องศีลละเอียดเสียแล้ว
    เรื่องนี้ไม่เกี่ยว ไม่ขัดกับการทำจิตเกาะพระแต่ประการใด
    เพราะศีลละเอียดนั้น จะเกี่ยวกับมโน หรือศีลใจเท่านั้น

    แต่ถ้าเป็นผมนะ ผมทำครับ ถามว่าโง่มั๊ย โง่สำหรับทางโลกครับ
    แต่ทางธรรม มิได้สนใจ แหล่งที่มา ที่ให้เรามีโอกาสทำบุญครับ
    คุณระวังเรื่องศีลข้อนี้ให้มากๆนะครับ พยายามหยุดให้ได้ โดยเฉพาะอกุศลจิต
    ผมไม่ได้ตำหนิคุณ ที่คุณไม่ได้ทำบุญนะ แต่ผมตำหนิที่คุณไม่ทำบุญแล้ว
    ใจคุณยังไปคิดแบบนั้น
    ทำไปเถอะ แต่ถ้ารู้ว่า มันขัดกับใจตนเอง เราก็ทำแค่บาทสองบาทก็ได้
    หรือถ้าไม่ทำก็อย่าได้ส่งจิตออกไปคิดแทน อกุศลกรรมนั้น
    หยุดเสีย หยุดให้หมด ที่เกี่ยวอกุศล ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ หรือผู้อื่น
    แต่ผมอยากแนะให้คุณเก็บเกี่ยวแต่เรื่องบุญและกุศล เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    ส่วนเราบริจาคไปแล้ว มันจะจริงหรือหลอก เราหมดหน้าที่ตรงนั้น
    แต่ถ้าเขาหลอก เราอย่าได้ไปหลงตำหนิกันนะ เพราะไม่ใช่หน้าของเราจะมาว่า มาพูด
    มาคิดแทนเขา แต่ปล่อยให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ของเขาเอง
    รู้ทั้งรู้ว่าเขาเจตนาไม่ดี ก็ให้เราหลีกเลี่ยงซะ อย่าหลงไปคิด ไปตำหนิเด็ดขาด แต่ถ้าทำ
    ก็ให้เราทำแต่น้อยๆสิ
    แต่ถ้าไม่คิด แล้วจะทำอย่างไร ก็นำจิตเข้าอุเบกขาก็จบ

    และเวลาจะใส่บาตรพระก็เหมือนกัน พอเราจะใส่บาตรพระองค์อื่นที่ดูแลไม่น่าเลื่มใส หรือไม่สำรวม
    จิตเราก็ไม่อยากใส่บาตรพระองค์นี้เลย
    ระวังนะครับ ได้โปรดอย่าเที่ยวไปคิดแบบนั้นกันนะ ใส่ไปๆ แต่ถ้าเราใส่บาตรไปแล้ว และคิดตามหลัง คือไปหลงตำหนิพระในจิต อันนี้เราทำบุญไปเมื่อตะกี้นี้ คุณขาดทุนไปแล้ว แทนที่จะได้บุญ
    หรือได้บุญครึ่งเดียว

    ***ผมจะขอเตือนสำหรับผู้ที่เคยให้เงินคุณพ่อ คุณแม่ท่านใช้แล้ว แต่พอลับหลังคุณพ่อ
    หรือคุณแม่ท่านนำเงินไปซื้อสุรา เบียร์ หรือไปซื้อของให้คนอื่น หรือไปทำอะไรก็ได้
    แล้วเราไปตำหนิท่านทั้งสอง
    ถือว่าเรานั้น ขาดทุนทันที เมื่อเราให้ท่านไปแล้ว ท่านจะไปทำอะไรก็ตามแต่ใจของท่าน
    ***อีกอย่างคือ สอนคุณพ่อ คุณแม่ รู้ก็รู้นะว่า ท่านทำไม่ถูก ทำผิดศีล ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย
    หรือทำอะไรก็แล้ว ได้โปรดอย่าไปตำหนิ หรืออย่าไปสอนท่าน เพราะท่าน ก็คือ อรหันต์ของท่าน ท่านก็คือ ผู้ให้กำเนิดชีวิตของท่าน
    โปรดละเว้นเสีย อย่าทำ อย่าพูด และก็ได้คิดในแนวนี้ด้วย

    กล่าวผิดถูก หรือไม่ถูกใจ หรือล่วงเกินประการใด ผมขอรับผิดชอบ และสำนึกผิดทุกประการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กรกฎาคม 2012
  18. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793

    น้อมรับครับ บางครั้งใจมันก็คิดมาก กลัวว่าที่เราทำไปจะมีส่วนกับเขา ต่อไปจะมองว่าเป็นบุญก็ทำไปครับ เหตุผลที่ถามคือต้องการหลักการวางจิตในสถานะการณ์แบบนี้น่ะครับ
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาบุญสาธุกับธรรมาทานกับครูวิทย์มากๆ ที่คอยยัด เอ๊ยคอยให้ธรรมะกับเพื่อนๆในกระทู้
    จิตท่านไม่ธรรมดาเสียแล้ว ผิดเมื่อก่อนเลย
    คุณกับครูดัชนี่เหมือนกันตรงไหน
    ตรงที่ใช้กระดาษ a4 ไม่เป็น คือ จะเขียนไม่กี่ประโยค
    แต่ตอนนี้ a4 ทำท่าจะไม่พอซะแร๊ววว (a4เรียกพี่)

    ขอใจนะครับ ที่ยังคิดถึงกัน
    ขอให้ท่านสุขกาย สบายใจ และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุธรรมครับ
    ขอพูดสองนายว่า นายแจ่ม กับ นายแน่มาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...