จริงหรือไม่ สุราเพียงหนึ่งจอก ทำให้จิตปราศนิวรณ์ได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aapinyah, 12 มีนาคม 2013.

  1. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เรารู้สึกว่าไม่ติดในสมาธิแล้ว แต่ยังติดอยู่อีกนิดคือ ช่างหงุดหงิดหน่อยเวลาใครมาขัดจังหวะในขณะที่ความคิดกำลังทำงานอยู่
    การอาบน้ำอุ่น ก็ช่วยเรื่องความเครียดของกล้ามเนื้อได้ดีทีเดียว

    ตอนนี้เราไม่แน่ใจว่า จิตเรายังตั้งมั่นได้ดีเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่ เพราะก็ทิ้งช่วงเรื่องการทำสมาธิก่อนนอนไปแล้ว มีความรู้สึกว่าจิตไม่สงบเลย ฟุ้งซ่านมาก
    ต้องทำอย่างไรต่อหรือท่านครู

    ขออนุโมทนา
     
  2. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    เงียบเชียว หายไปไหนหมดหนอ....
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ให้เจริญสติ รู้เท่าทันความคิดของตัวเอง
    แต่อย่าหลงเข้าไปในความคิด

    ฟุ้งซ่าน ก็ให้รู้ว่า กำลังฟุ้งซ่าน แต่อย่ารู้เข้าไปในสิ่งที่ฟุ้งซ่าน
    โกรธ หงุดหงิด ก็ให้รูว่า กำลังโกรธ หงุดหงิด แต่อย่ารู้เข้าไปในรายละเอียด ว่า โกรธอะไรอยู่ หงุดหงิดเพราะอะไร

    มีสติรู้ในปัจจุบันขณะไปเรื่อยๆ ครับ
     
  4. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    ขอถามผู้รู้ต่อ..เพื่อไขข้อข้องใจสักหน่อยเถิด...ข้าพเจ้าเชื่อว่าการกระทำ ล่วงแม้แค่มโนกรรม เจ้ากรรมนายเวร ก็เกิดแล้ว...หากการณ์ใดล่วงครบทั้งองค์ 3 ทั้ง มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม...ถือว่า กรรมนั้นให้ผลอย่างเต็มที่...ไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรม ก็ตาม...จริงหรือไม่
    เนื่องจาก..สหายของข้าพเจ้าคนหนึ่ง มิได้เชื่อเช่นนั้น...เขาว่า ใจคิด อารมณ์เกิด..ก็รับรู้ ว่ามันเกิด ไม่ควรไปเก็บกดเอาไว้...ให้แสดงออกมาเสียเต็มที่...เพื่อ..ที่จะได้เกิดการเรียนรู้ว่าผลเป็นเช่นไร...ใจคิดอย่างไร..ก็พูดเช่นนั้น...และแสดงออกตามนั้น...การเรียนรู้ของจิตจะเกิดตรงนั้น...หากแค่คิด ไม่แสดงออกก็..ไม่เกิดการเรียนรู้
    ท่านผู้รู้มีความเห็นเช่นไร
    ขออนุโมทนา....
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ
    การคิดแต่ไม่ทำ แต่คิดวนไปวนมา ซ้ำๆ กัน ก็มีผลมากกับจิตใจของตนได้เช่นเดียวกัน

    การสะสมอารมณ์ในด้านลบ เช่น พยาบาท ไว้ในใจเต็มที่ แม้จะไม่มีการกระทำ ทางวาจา ทางใจ แต่ย่อมนำพาไปสู่อบายภูมิ

    หากรู้ว่าสิ่งใดไม่ดี สิ่งใดเบียดเบียนผู้อื่น ก็ไม่ต้องไปทำ ในเมื่อรู้อยู่แล้ว ว่าเป็นการก่อกรรม ก็ไม่ต้องไปทดสอบทดลอง เรียนรู้อะไร รู้ว่าเป็นอกุศล ก็ดับมันลงเสียด้วยปัญญา

    มิฉะนั้น ก็จะต้องเรียนรู้ผลของการกระทำนั้น โดยการได้ไปทดลองอยู่ในนรกจริงๆ หลังหมดอายุขัยการเป็นมนุษย์ลงไปเสียด้วย ถือเป็นการเรียนรู้ผลของการกระทำประเภทหนึ่งเช่นกัน
     
  6. aapinyah

    aapinyah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2012
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +160
    สาธุ...เข้าใจแล้ว เป็นเช่นนี้นี่เอง...พยายามหาเหตุผลเพื่อที่จะบอกเขาผู้นั้นเหมือนกัน แต่นึกไม่ออก...พึ่งจะคิดได้ ดังนี้นี่เอง...
    สาธุ ๆ ๆ ๆ
     
  7. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เพื่อนชอบบ่นว่าเราหูตึงน่ะ เพราะเรารู้สึกว่าประสาทสัมผัสเรารับรู้มากกว่าหนึ่งอย่างไม่ได้ ถ้าได้ อย่างที่สองจะแย่มาก เช่น ถ้าเราคุยกับใครอยู่ก็ต้องเป็นคนนั้น ใครตะโกนเรียกเรา เราจะไม่ได้ยินเลยหรืออาจจะได้ยินแค่เสียงคนตะโกน แต่ไม่รู้ว่าตะโกนเรียกใคร (ต้องถามคนข้างๆ)
    บางทีในขณะที่เรากำลังทานข้าวอยู่ตรงหน้า ใครสนทนาอะไรกันหรือนินทาเรา เราจะไม่รู้เรื่องเลย เราก็เลยไม่แน่ใจว่าหูเราปกติหรือไม่ แต่สังเกตุเวลาเปิดเสียงทีวี ความดังปกติเราก็ได้ยิน ถ้าเปรียบเทียบกับคนแก่นะ
    หรือเวลาดูทีวีด้วยกันหลายๆ คน เราจะไม่ได้ยินที่คนข้างๆ เราสนทนากัน หรือได้ยินก็ไม่รู้เรื่อง หรือบางทีอาจจะรำคาญเสียงสนทนาข้างๆ หูด้วย
    ปัญหาเหล่านี้ เป็นผลมาจากการติดสมาธิหรือเปล่าท่านครู เครียดมากเนอะตอนนี้ เริ่มปวดตามร่างกายคงเครียดมาก เลยอาบน้ำบ่อยๆ โดนติอีก ว่าเข้าห้องน้ำนาน
    หรือว่าเราหูตึงจริงๆ
     
  8. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    สุดยอดเลยท่านครู
    สาธุ ๆๆๆ
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าเป็นไปได้ เรียนผมแค่ชื่อ เฉยๆ ดีกว่าครับ ผมยังไม่ดีพอจะเป็นครูบาอาจารย์ครับผม

    เรื่องหู ไม่ได้ผิดปกติหรอกครับ แต่เป็นอย่างที่ท่านว่า คือ มันเป็นอาการข้างเคียง จากการติดสมาธิแบบแช่นิ่งครับ จิตมันจะชินกับการจับอะไรเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น

    สำหรับพระอริยเจ้า ที่จิตท่านแยกธาตุขันธ์ได้แล้ว ทุกเสียงที่ผ่านหูเข้ามา จะเป็น 4-5 เสียง พร้อมกัน ท่านก็รู้พร้อมทั่วทั้งหมดได้ครับ

    ขั้นตอนนี้ ต้องค่อยๆ ผ่อนให้การติดสมาธิ มันคลายลงมาครับ ต้องใช้เวลา และความพยายามนะครับ

    เพราะ เงื่อนปมนี้ เราผูกมันไว้เอง ผูกไว้แน่น ก็ต้องใช้เวลา และ ความพยายาม ในการค่อยๆ คลายปมมันออกมาครับผม

    ยังไง คงต้องรบกวน มาคุยกันบ่อยๆ update สภาวะกันบ่อยๆ นะครับ จึงจะหลุดได้เร็ว ไม่งั้นอาจจะข้ามภพข้ามชาติต่อไปได้ครับผม
     
  10. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เรานับถือท่านน่ะ เป็นบุญที่ชักนำให้เรามาพบท่าน แต่อาจจะเป็นกรรมที่ท่านมาเจอและอบรมเรา

    ตอนนี้เราพยายามนะ สำรวจสิ่งรอบตัวอยู่เรื่อยๆ ไม่ให้สมาธิแช่นิ่งนะ แต่มีความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกลายเป็นคนขวัญอ่อน ขึ้วิตกเกินเหตุ อะไรไม่ควรจะตื่นเต้นก็ตี่นเต้นเกินเหตุ นั่งรอคิวสอบสัมภาษณ์แค่นี้เอง ประสาทตี่นหมดทุกสัมผัส ถามตัวเองว่ากลัวไหม ก็ไม่กลัว บอกไม่ถูก ไม่เคยเป็นแบบนี้ประหม่ามากไปมั้ง ทำให้มันพอดีๆ กลับทำไม่ได้ ร่างกายเกร็งมาก ปวดกล้ามเนื้อทั้งตัว การอาบน้ำอุ่นช่วยคลายการเกร็งของกล้ามเนื้อได้ก็จริงอยู่ แต่ความสบายของใจไม่เหมือนกัน

    เราพยายามเข้าสู่สังคม พบปะคนโน้น คนนี้เรื่อยๆ แต่ใจพยายามจะหลบหลีกประจำ ประชุมเสร็จต้องรีบกลับ ไม่ชอบคุยต่อกับคนนี้ คนนั้น อยากกลับบ้าน เพราะที่บ้านไม่วุ่นวาย รถติดมากก็เบื่อ หรือเซ็ง

    เรามีทางฝึกแบบอื่น โดยใช้อาการติดสมาธินี้ไปใช้ได้หรือไม่ ท่านครู
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ฝึกแบบติดสมาธิ ก็จะได้ทางเดินของการติดสมาธิต่อไปครับ
    ถามว่าได้ไหม ก็ได้ แต่จะเป็นทางเดินที่ออกห่างจากสังคมออกไปอีก และไม่พาไปสู่นิพพานครับผม

    เรื่องนี้ต้องฝืน และฝืนยากจริงๆ เพราะมันคือการฝืนใจตัวเองครับ
    เรากำลังสู้กับศัตรูที่เก่งที่สุด คือตัวเราเอง และตัวเราเองนี้ มันรู้จุดอ่อนทุกอย่างของเรา ครับ เรียกอีกอย่างว่า ศัตรูของเราคราวนี้ คือ ความหลง ก็ได้

    เราจะคิดเตรียมตัว วางแผนยังไง ก็ไม่มีทางสู้มันได้ เพราะศัตรูนี้ รู้ทุกอย่างในจิตเราชัดเจนดีหมด
    อาวุธของเรานั้น มีอย่างเดียว คือ สติ ที่จะดึงเราให้หลุดออกมาจากความหลงในอารมณ์ต่างๆ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราพึ่งพาได้ในยามนี้ครับ

    หากเราทนไม่ไหว ไม่สามารถฝืนได้ เราก็จะกลับไปสู่วังวนของวิบากกรรมของมันต่อไป (อาการทั้งหลาย ทั้งความคิดที่ไม่ชอบคนเยอะๆ และ อาการติดสมาธิ จะนับเป็นวิบากกรรมของเราเองก็ได้ เพราะเราเคยสะสมมันมา)

    สู้ๆ นะครับ เอาใจช่วย การต่อสู้นี้ ยากมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าหากเราไม่สู้มัน มัน(ความหลง) ก็จะลากเรากลับลงไปสู่วงจรของวิบากกรรมต่อไป ครับ

    สำหรับช่วงแรกๆ ในการพยายามกำหนดสติ มันจะมีอาการตื่นได้บ้าง เพราะว่าเรายังไม่ชิน เรายังแบ่งส่วนไม่ถูก ให้ค่อยๆ ทำไปสักพักนึง จนมันเริ่มจับทางได้ว่า จะให้สติทำงานทั่วพร้อมอย่างไร ให้มันเป็นการรู้อยู่เฉยๆ โดยไม่ตื่นกับสิ่งต่างๆ รอบตัว อันนี้ต้องใช้เวลา ค่อยๆ เรียนรู้หาจุดกลางด้วยตนเองครับ
     
  12. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณมากๆ นะท่านครู

    เราสามารถเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า เป็นกิเลสในด้านความไม่อยากได้หรือเปล่า (อาการของติดสมาธิทุกเรื่องน่ะ เช่น ไม่ชอบคนเยอะๆ ไม่ชอบที่เสียงดัง ฯลฯ) ถ้าได้---เราจะได้บอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่มันตรงกันข้ามไว้ก่อนแล้ว ค่อยๆ ปรับความรู้สึกทีหลัง หาจุดตรงกลางน่ะ

    สู้กับตัวเองนี่ มันยากมาก บางทีต้องทะเลาะกันเหมือนมีใจ 2 ใจอยู่ในตัว บางทีก็ไปกันได้บางทีก็ไปด้วยกันไม่ได้ ขับรถอยู่บางทีต้องจอดหาข้อสรุปก่อน (บางทีก็ดีนะ เหมือนมีเพื่อนคุยอยู่ในตัวเอง)

    อีกข้อ ขอคำปรึกษาเรื่องการนั่งหลับ
    เราไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการหลับ เราอยากหลับเราก็หลับ แล้วไม่ค่อยฝัน หรือนานๆ ทีฝัน หรือถ้านอนแปลกที่ก็ฝันบ้าง แต่เวลาตื่นขึ้นมาแล้วก็เหมือนเดิมปวดตามกล้ามเนื้อ เลยคิดว่าตัวเองมีปัญหากับการนอน เปลี่ยนหลายท่านอน หลายที่นอน หลายหมอน ก็เหมือนเดิม ทำให้เกิดการตั้งสัจจะว่าขอนั่งหลับแทนการนอนน่ะ เพราะเคยหลับลึกในสมาธิขณะสวดมนต์หรือขณะนั่งสมาธิ แล้วตื่นเอง สบายตัว และสบายใจด้วย เลยรู้สึกชอบ เพราะไม่ปวดตามกล้ามเนื้อเลย แต่ถ้าตั้งใจจะให้นั่งหลับจริง ๆ กลับทำไม่ได้ ท่านครูคิดว่าอย่างไร โปรดให้คำแนะนำด้วย
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันเป็นความไม่อยาก ถูกต้องแล้วครับ
    ความไม่อยาก นี่ก็จัดเป็นตัณหาตัวนึงเช่นกัน

    แต่วิธีแก้ มันไม่ง่ายแบบว่าเอาความคิดตรงกันข้ามกัน มาหักล้างกันได้
    คือ แทนที่มันจะหักล้างกันกลายเป็นศูนย์ มันจะทะเลาะกันเอง เหมือนมีคนทะเลากันในหัวเรานี่แหละ

    ดังนั้น วิธีแก้ คือ เมื่อมันเริ่มทะเลาะกันในหัว ให้ ดับ ความคิด ทิ้งให้หมดเลย ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปรอดู ว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ หรือจะสรุปอย่างไร ให้ดับความคิด ดับอารมณ์ ทิ้งทั้งหมด กลับมาอยู่กับสติ รู้สึกถึงร่างกายของเรา

    อันนี้ ฝึกยากมาก แต่ถ้าทำได้ ทุกข์จะหายไปมากเลย

    ถ้านอนหลับแล้วปวดกล้ามเนื้อ ให้ปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันดีกว่าครับ ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง อย่างไร ธาตุขันธ์ มันก็ฝืนกันไม่ได้
    ไม่แนะนำให้นั่งหลับตลอดชีวิตนะครับ มีพระอาจารย์ท่านนึงอยู่ต่างจังหวัด ท่านไม่หลับด้วยท่านอน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผลคือหลังเสีย และหลังจะค่อยๆ ค่อมลงเรื่อยๆ ครับ
     
  14. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เข้าใจแล้วล่ะ ท่านครู ประเด็นอยู่ที่ "รู้สึกกับร่างกายเรา" คือ การเคลื่อนไหวของร่างกายตลอดเวลา ใช่หรือเปล่า เพราะกว่าจะตีโจทย์แตก และลองทำดู ต้องใช้เวลาอ่านหลายรอบ

    เราคิดว่า เราเข้าใจแล้ว เพราะตอนเราสระผม เราไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้สนใจอะไรแช่นิ่งเพียงอย่างเดียว เรารับรู้ได้ว่ามือเรากำลังเกาผมอยู่ ถ้าเรารู้สึกคันตรงไหน มือมันก็ไปได้โดยอัติโนมัติ โอ้..มหัศจรรย์มาก มันทำได้อย่างไร ยังไม่ทันสั่งงานร่างกายเลย หรือเวลาใส่เสื้อผ้า มือ เท้า รับรู้ได้ว่า ต้องยกแบบนี้นะ ต้องทำแบบนี้นะ เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาดีแล้ว เราเข้าใจถูกไหม
    เมื่อเราสำรวจใจตัวเองโดยการดูร่างกายเรา พบว่า ใจก็สนุกดี ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ข้อเลย

    แต่การพบปะคนมากๆ ทำให้ใจเราไม่สงบ ฟุ้งซ่านมาก เพราะทุกวันจะมีคำบางคำติดหัวอยู่ กว่าจะสงบก็ใช้เวลาพอสมควร

    ทั้งหมดนี้ เราเข้าใจถูกหรือเปล่า ท่านครู ถ้าใช่--เราจะได้ทำต่อแบบเดิม สนุกดีถ้าไม่มีอะไรมาขัดจังหวะนะ

    ขอมีเวลาวันหยุดยาว เราถึงมีโอกาสไปปรึกษาหมอน่ะ ท่านครู น่าเบื่อกับการไปโรงพยาบาล เฮ้อ

    ขอบพระคุณท่านครูมากๆ นะ
     
  15. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    ลืมถามไปเรื่องการนั่งหลับน่ะ คือเราได้ตั้งสัจจะเอาไว้แล้ว แล้วถ้าเราต้องการยกเลิกต้องทำอย่างไรหรือท่าน

    อีกอย่างคือ การถือศีล 8 วันพระ อันนี้ก็เป็นสัจจะอีกอย่าง เรา ไม่อยากผิดสัจจะ น่ะ
    ถ้าจะถือศีล 8 ในวันพระวันเดียว ต้องทำอย่างไรบ้าง ควรจะอาราธนาศีล 8 ของวันโกนก่อนนอน และลาศีล 8 แล้วอาราธนาศีล 5 ก่อนนอนของวันพระ จากการอธิษฐานหลังสวดมนต์เอง ได้หรือเปล่า
    ขอบพระคุณมากๆ นะท่านครู
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สาธุ... ตรงส่วนที่เป็นสีน้ำเงินนี้ คือ ข้อบ่งชี้ว่า เริ่มทำได้ถูกทางแล้ว และการฝึกจิตแบบนี้ เป็นศัตรู กับส่วนที่เป็นสีแดง โดยตรง

    เพราะมนุษย์ทั้งหลายนั้น เป็นทุกข์จากความคิด จากการปรุงแต่ง เมื่อเราปรุงแต่ง โดยไม่ทันรู้ตัว สิ่งที่การปรุงแต่ง เหลือทิ้งไว้ให้เรา ก็คือความทุกข์ ดังเช่นสีแดงข้างต้น

    ความฟุ้งซ่านนั้นเกิดมาจากไหน? คำพูดที่ติดหัวนั้นเกิดมาจากไหน? มันเกิดขึ้นมาเองไม่ได้หรอก มันย่อมต้องเกิด เพราะจิตเรา รับรู้อารมณ์จากภายนอก แล้วเกิดการปรุงแต่ง และยึดถืออารมณ์นั้นไว้ นี่แหละ คือการเกิดของนิวรณ์ 5 โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

    ตัวปรุงแต่งเจ้าปัญหานั้น มันสลายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่ความทุกข์ เป็นภาระให้จิตของเราต้องแบกรับ

    แต่เมื่อเรากลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว ผลจากการปรุงแต่งทั้งหลาย ย่อมสลายลงไป สภาวะแห่งความฟุ้งซ่าน สภาวะแห่งความทุกข์ใจ ที่เป็นอารมณ์ ย่อมสลายลงไป

    จิตไม่มีนิวรณ์ เพราะ จิตอยู่กับความเป็นจริงของร่างกาย เป็นความเป็นจริง ที่ไม่มีการปรุงแต่งหลอกลวง สภาวะจริงเป็นเช่นไร จิตรับรู้เช่นนั้น จิตที่รับรู้แบบนี้อยู่เนืองๆ ทุกข์ย่อมไม่เกาะกับจิตเช่นนี้ได้นาน เพราะเมื่อใดก็ตามที่จิต กำลังจะเริ่มแช่นิ่งไปอยู่ในนิวรณ์ จิตก็จะกลับมารู้กาย เมื่อมีการดึงกลับมาอยู่เนืองๆ ทำให้ทุกข์ไม่เกาะติดอยู่ได้นาน จิตก็จะปลอดโปร่ง
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    หากตั้งสัจจะไว้กับตัวเอง ก็ขอถอนคำอธิษฐานนี้ในใจตัวเอง
    หากตั้งสัจจะนี้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใด ก็ขอถอนคำอธิษฐานที่นั่น

    เรื่องการถือศีล 8 นั้น ให้ทำตามที่สะดวกนะครับ เพราะอานิสงส์นั้น เกิดที่ใจ ไม่ได้เกิดที่การเคร่งครัดเรื่องเวลาครับผม

    การอาราธนา ศีล 5 นั้น ทำด้วยตนเองได้เลยครับ
     
  18. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155
    เราทำได้ก็จริงอยู่นะท่านครู แต่อิทธิพลของความฟุ้งซ่าน มักจะมีมากกว่าการรับรู้ความเป็นจริงของร่างกาย และมันก็เป็นจริงได้ตามที่ท่านว่า "เมื่อจิตกลับมารับรู้กาย ทำให้จิตปลอดโปร่ง" ถ้าเรารู้สึกตัว เราก็ระงับได้ แต่ในความเป็นไปในแต่ละวัน ไม่ค่อยรู้สึกตัวในทันที เพราะเราพบเจอทั้งคนที่เราชอบ หรือชอบเรา ทั้งคนที่เราไม่ชอบ หรือไม่ชอบเรา ทั้งๆ ที่ยังรู้จักไม่นาน ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จากการพบปะ สนทนา ทำไม่ได้เลยถ้าไม่เก็บเรื่องอะไรมาคิด บางทีก็รู้สึกตัวว่า ใจของเรามักจะไหลไปในสิ่งที่แย่ๆ เสมอ คิดแย่ๆ กับเขา หรือบางทีดูละคร หรือพบว่าเขาด่ากัน ใจมักจะจำในสิ่งเหล่านั้นนะ ทั้งๆ ที่ตัวเราไม่ชอบ ก็แปลก

    อีกอย่าง การอยากเอาชนะ นี่เป็นตัวหนึ่งของการยึดมั่น ในตัวกู ของกู ใช่หรือเปล่า

    เราไม่ค่อยเข้าใจ ในคำว่า "สติ" สักเท่าไร เหมือนจิต/ใจ หรือเปล่า ตอนที่เราเข้าใจตอนนี้ สติคือ ร่างกายรับรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใช่หรือเปล่า เพราะบางครั้ง เรารู้สึกว่า เรารู้ว่ากำลังทำอะไร มือกำลังทำอะไร ตา หู จมูก กำลังเห็น ได้ยินอะไร แต่ใจเราก็กำลังคิดอีกเรื่องได้ บางทีใจคิดไม่ดี บางทีก็มีอีกใจคิดดีขึ้นมาแย้ง สรุปแล้วบางทีมี 2-3 ใจขึ้นมาพร้อมๆ กัน เราเริ่มจะงง ร่างกายเรากับจิตอีก 1 ดวงนี้ทำได้เยอะแยะขนาดนี้เชียวหรือ มาได้ยังไง

    ชักเริ่มฟุ้งซ่านอีกแล้ว
     
  19. Nagar

    Nagar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +155

    เราเป็นนักเดินทางน่ะ การอธิษฐานก็อยู่ที่หน้าหมอน ตอนสวดมนต์ก่อนนอนนี่เอง ท่านครู ถ้าเราต้องการถอนคำอธิษฐานก็ที่หน้าหมอนเหมือนกันใช่หรือเปล่า แต่ต่างเวลา และต่างสถานที่ ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม

    ขออนุโมทนานะ ท่านครู บุญกุศลใดๆ ที่เกิดขึ้นกับเราในระหว่างนี้ ครึ่งหนึ่งเราขอยกให้ท่านและครอบครัวถึงซึ่งมรรคผลนิพพานตามที่ปรารถนาด้วย อีกครึ่งขอยกให้เจ้ากรรมนายเวรเราที่ตามเรามา ทุกชาติ ทุกภพ จงอโหสิกรรมให้เราด้วย เพื่อเราจะได้มีกำลังในการปฏิบัติธรรมให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้แผ่ถึงทุกๆ ท่านด้วย เทอญ
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตรงสีแดง นี่แหละครับ คือ ความจำเป็นของการฝึกสติ

    อุปมา ความเกี่ยวข้อง ของ สติ สมาธิ ปัญญา

    ถ้ากิเลส นั้นเป็นต้นไม้วัชพืช ที่จะคอยงอกออกมาเบียดเบียนทำความเดือดร้อนให้ตัวเราเองและผู้อื่น

    ปัญญา ก็เปรียบเสมือนขวาน ที่คอยเอาไว้ตัด ไม่ให้มันงอกออกมาทำความเดือดร้อนได้

    สมาธิ ก็เหมือน กำลังแขน ของผู้ตัด ยิ่งมีกำลังแขนมากเท่าไหร่ ยิ่งสามารถจัดการกับต้นไม้วัชพืชได้รวดเร็ว และตัดต้นใหญ่ ได้มากขึ้นเท่านั้น

    แล้วสติ คืออะไร? สติ ก็คือ ตัวผู้ตัดวัชพืช นั่นแหละ..
    เมื่อใดที่สติหลับ ผู้ตัดต้นไม้หลับ เมื่อนั้น วัชพืช คือ กิเลสตัณหา ความปรุงแต่งทั้งหลาย ย่อมเข้ามาครอบครองใจเรา ชักนำใจเราให้ทำเรื่องต่างๆ นาๆ ไปตามแต่มันจะสั่ง

    แต่ถ้าสติตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับ ผู้ที่คอยตัดวัชพืช ไม่มีการเผลอเรอ คอยจิตใจตัวเอง หรือ คอยดูไร่นาอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดที่วัชพืชงอกขึ้นมา ก็รีบตัดเสีย

    ดังนั้น สำคัญที่สุด คือ สติ เป็นธรรมเอก

    เมื่อมีสติพร้อมแล้ว สมาธิ และ ปัญญา จะค่อยๆ พัฒนาตามขึ้นมาเอง
    เหมือนยิ่งตัดต้นวัชพืชบ่อยครั้ง ก็ยิ่งมีความชำนาญมากขึ้น กำลังแขนมากขึ้น และหาเครื่องมือที่คมกว่าเดิม มาใช้ตัดมันได้ง่ายขึ้น

    เมื่อปฏิบัติแล้วเริ่มรู้สึกงง ว่าทำไมถึงรับรู้ได้หลายอย่าง

    ตัวความงง นั้นก็คืออารมณ์ปรุงแต่งอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน หากเห็นไม่ทันมัน ไม่ระลึกรู้มัน มันก็จะคอยปรุงแต่งสิ่งอื่นๆ ต่อๆ มา ที่ทำให้กลายเป็นนิวรณ์ในการปฏิบัติสืบต่อไป

    ดังนั้นแล้ว แม้จะงง ก็ให้กลับมามีสติ ระลึกรู้ตัว ปล่อยความงงนั้นทิ้งไป

    การทำงานของจิตนั้น มันละเอียดและซับซ้อนมาก ในชั้นนี้ ขออธิบายแค่คร่าวๆ ว่า จิตมนุษย์นั้น รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันได้หมด แต่หยิบมาปรุงแต่งได้แค่ทีละอย่าง

    หากจะอธิบายไปหมดในตอนนี้ อาจจะทำให้ผู้ปฏิบัติสับสนได้ ขอให้ฝึกอยู่กับความรู้สึกตัว ไปอีกสักระยะหนึ่ง แล้วผมจะค่อยๆ อธิบายเพิ่มเติมจากนี้ทีหลังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...