คุณรู้หรือยัง???? จริงหรือเปล่าน่ะ!!!!

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย จริง?หรือ?, 23 กรกฎาคม 2013.

  1. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    มาเลือกหมวกกันน็อคให้เข้ากับหัวกันดีกว่า

    [​IMG]
    เครดิต MOCYC.COM ครบเครื่องเรื่องมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์มือสอง ข่าวสารมอเตอร์ไซค์ ซื้อขายรถมอเตอร์ไ เขียนโดย Maybee

    หมวกกันน๊อค ถือว่าเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดสำหรับนักบิดเลยทีเดียว ในการเลือกซื้อหมวกดีๆ ซักใบ นอกจากเรื่องของราคา รูปทรง สีสัน วัสดุ มาตรฐานความปลอดภัย และยี่ห้อที่บ่งบอกถึงศักดินาของผู้ใส่แล้ว ขนาดของหมวกกันน๊อคก็มีความสำคัญมากเช่นกัน ซึ่งมีผลไปถึงเรื่องของความปลอดภัยเลยทีเดียว ถ้ามันคับไปก็จะทำให้รู้สึกอึดอัด รู้สึกบีบที่ศีรษะทำให้ปวดได้ ถ้ามันหลวมไป เวลาที่ต้องใช้งานมันขึ้นมา มันอาจจะเหวี่ยงกระชากหัวของคุณให้คอเคล็ดได้ หรือถ้าล้มแบบเอาหน้ากระแทกพื้น ปากและจมูกของคุณจะไปฟาดกับส่วนคางของหมวกทำให้จมูกหัก หรือฟันร่วงเอาได้ แทนที่จะช่วยปกป้องศีรษะของเรา กลับเป็นโทษให้เกิดอันตรายซะงั้น เห็นหรือยังว่ามันสำคัญและควรที่จะใส่ใจขนาดไหน งั้นเรามาเลือกซื้อหมวกให้เหมาะและตรงกับไซส์ศีรษะของคุณกันดีกว่า


    เริ่มแรกเลย คุณต้องรู้ก่อนว่าศีรษะของคุณมีขนาดเท่าไหร่ ตรงกับไซส์หมวกกันน๊อคไซส์ไหน ข้างล่างนี้จะแสดงถึงขนาดไซส์ของหมวกกันน๊อคต่างๆ กับขนาดรอบศีรษะที่เหมาะสมกับไซส์นั้นๆ มีหน่วยวัดเป็นเซนติเมตร หมวกกันน๊อคแทบจะทุกยี่ห้อจะใช้ขนาดตามนี้ เพราะงั้นก็ถือเป็นขนาดมาตรฐานได้ล่ะนะ

    XS = 53-54

    S = 55-56

    M = 57-58

    L = 59-60

    XL = 61-62

    XXL = 63-64

    XXXL = 65-66



    เมื่อรู้ถึงไซส์ของหมวกกันน๊อคแล้วก็มาวัดศีรษะของคุณกันดีกว่า

    [​IMG]

    ดูจากรูป ก็ไม่น่ายากนะ ใช้สายวัด วัดจากตรงบริเวณส่วนหน้าผาก วนไปรอบๆ ศีรษะของคุณ เมื่อรู้ขนาดไซส์ศีรษะของคุณแล้ว ทีนี้จะเป็นวิธีทดสอบว่าหมวกกันน๊อคใบนั้น ไซส์นั้น พอดีกับศีรษะคุณจริงๆ หรือเปล่า



    วิธีที่ 1 เมื่อคุณเลือกยี่ห้อและลายที่คุณชอบได้แล้ว ก็ลองสวมหมวกใบนั้นแล้วรัดสายรัดคางให้เรียบร้อย แล้วให้คุณส่ายศีรษะของคุณไปทางซ้าย-ขวาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องถึงขนาดแรงมากนัก ถ้าพบว่าหมวกใบนั้นไม่มีอาการแกว่งเลย แสดงว่าหมวกไซส์นี้(คงจะ)พอดีกับศีรษะของคุณเลย หรือว่ามีอาการแกว่งเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา "เพราะอาจจะเกิดจากการให้ตัวของผิวหนังบริเวณหน้าของคุณเอง" (หรือที่เพื่อนที่สนิทกันมากๆ เรียกว่า “หนังหน้า” นั่นแหล่ะ) แต่ถ้ามันแกว่งซะจนแทบจะหมุนได้เลย อันนี้อันตรายจริงๆ ครับ ถอดออกได้เลย แล้วหาไซส์ที่เล็กกว่านี้มาลองใหม่ เมื่อได้หมวกที่โอเคแล้ว ก็มาลองวิธีที่ 2 กันเลยครับ



    วิธีที่ 2 ใช้มือข้างใดข้างหนึ่งที่ถนัด จับที่ด้านหลังของหมวกแล้วออกแรงดันหมวกเล็กน้อยไปข้างหน้า โดยให้เกร็งคอเอาไว้ แล้วใช้นิ้วก้อยของมือที่เหลืออีกข้างหนึ่ง ลองแหย่เข้าไปตรงบริเวณส่วนของหน้าผากดู ถ้าเกิดว่ามีช่องว่างขึ้นมา นั่นก็แสดงว่าหมวกใบนั้นคงไม่เข้ากับคุณเป็นแน่แท้ เปลี่ยนใบใหม่ซะ



    วิธีที่ 3 วิธีจะคล้ายๆ กับวิธีแรก แค่เปลี่ยนเป็นแนวตั้งแค่นั้นเอง โดยใช้มือข้างหนึ่งจับที่บริเวณด้านหลังหมวก แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งจับที่ส่วนคางของหมวกแล้วใช้มือข้างนี้ผลักหมวก ขึ้น-ลง อย่างต่อเนื่อง ถ้าศีรษะของคุณเงยขึ้นและก้มลงตามจังหวะที่คุณพลัก หมวกใบนั้นก็ใช้ได้ล่ะ แต่ถ้าคุณลองทำแล้วศีรษะของคุณไม่ไปตามหมวก แสดงถึงอาการหลวมอย่างเห็นได้ชัด ก็แสดงว่าหมวกใบนั้นใหญ่เกินไปแล้วล่ะ ลองเปลี่ยนไซส์เล็กกว่านี้ดู

    [​IMG]

    สรุป เมื่อคุณลองใส่หมวกใบสุดโปรดที่คุณเลือกมาและได้ทดสอบผ่านทั้ง 3 วิธีนี้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่มีอาการบีบรัดศีรษะคุณจนรู้สึกอึดอัดแล้วละก็ ไม่ต้องลังเลเลยครับ ควักเงินซื้อมันมาใส่เลย แต่ถ้าหมวกใบที่คุณชอบเกิดผ่านไม่ครบทั้ง 3 วิธีนี้ เปลี่ยนไซส์ก็แล้ว ก็ยังผ่านไม่หมดซักที ผมบอกคุณได้เลยว่า “ศีรษะของคุณคงไม่เหมาะกับหมวกยี่ห้อนั้นแล้วล่ะ ตัดใจซะเหอะ”



    และสุดท้ายนี้ อย่าลืมให้ความสำคัญกับหมวกคลุมศีรษะหรือที่เรียกติดปากกันว่า “ไอ้โม่ง” ด้วยนะครับ เพราะไอ้โม่งราคาถูกที่ทำจากผ้าคอตตอนลื่นๆ นุ่มๆ ใส่สบายเนี่ย มันจะทำให้การยึดเกาะระหว่างหมวกกันน๊อคกับศีรษะของคุณเสียไปได้ เดี๋ยวมันจะไม่ต่างอะไรกับการใส่หมวกกันน๊อคที่ใหญ่เกินไป ไอ้โม่งที่เหมาะสำหรับสิงห์นักบิดโดยเฉพาะนั้น ผิวสัมผัสของมันจะเป็นเนื้อผ้าแบบไม่มันและไม่ลื่นอ่ะครับ เพื่อให้เสียสภาพการยึดเกาะให้น้อยที่สุด ให้มันใกล้เคียงกับผิวหน้าของเราให้มากที่สุด จะพบเห็นได้จากไอ้โม่งแบรนด์เนมนำเข้าราคาแพงหลายร้อยขึ้นไปจนถึงเกือบพันก็มี



    เครดิต MOCYC.COM ครบเครื่องเรื่องมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์มือสอง ข่าวสารมอเตอร์ไซค์ ซื้อขายรถมอเตอร์ไ เขียนโดย Maybee
     
  2. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    น้ำมันดิบรั่วไหลและคราบน้ำมันในทะเลอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร

    การสัมผัสน้ำมันดิบหรือคราบน้ำมันในทะเลทำให้เกิดการระคายเคืองตามผิวหนัง เป็นผื่นคัน แสบร้อน เกิดแผลและติดเชื้อได้ รวมถึงสารพิษจะซึมเข้าสู่ผิวหนังทำให้เกิดอันตรายอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เช่น มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
    การสูดดมกลิ่นเหม็นของน้ำมันและสารเคมีทำให้ปอดได้รับสารพิษ เกิดอาการปอดอักเสบ โรคระบบทางเดินหายใจ
    การรับสารพิษโดยการดูดซึมทางร่างกายอาจจะทำให้สารพิษไปสะสมในไตจนเกิดภาวะไตเสื่อมและไตวายได้
    ความกระทบกระเทือนทางระบบประสาท ปวดศีรษะ วิงเวียน ตาพร่า หัวใจเต้นผิดปกติ และมีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ
    หากได้รับสารพิษเป็นระยะเวลานานและในระยะยาวอาจเกิดอันตรายถึงขั้นสารพิษทำลายระบบประสาทการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้ไม่สามารถทรงตัวและไม่สามารถเดินได้เป็นปกติ และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งในที่สุด

    ดูแลและระวังตัวจากคราบน้ำมันในทะเลอย่างไรเมื่อต้องไปทะเล

    ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าแม้จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลครั้งใหญ่ เราก็ยังพบคราบน้ำมันในทะเลได้เช่นกัน ซึ่งคราบน้ำมันในทะเลที่ พบทั่วไปจะเกิดจากน้ำมันไหลหรือรั่วซึมออกมาจากเรือประมง เรือข้ามฟาก สกูตเตอร์ หรือบรรดาเครื่องยนต์ในทะเล แต่จะเป็นการรั่วซึมในปริมาณน้อยจนเราสังเกตไม่ชัดเจน หรืออาจจะพบเห็นในลักษณะของรุ้งน้ำมันบนผิวทะเล ซึ่งคราบน้ำมันเหล่านี้ก็สามารถรวมตัวกันจนเกิด ทาร์บอลล์ (Tarball) ริมทะเลได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อไปทะเลจึงมีคำแนะนำดังนี้
    เลือกลงเล่นน้ำทะเลในพื้นที่ที่น้ำทะเลมีสีเขียวใส และสังเกตว่าไม่มีคราบรุ้งน้ำมันอยู่บนผิวน้ำ
    หลังจากขึ้นจากเล่นน้ำในทะเลจะต้องล้างตัวด้วยสบู่ให้ร่างกายสะอาจทุกครั้ง
    ในการเล่นน้ำทะเลควรระวังไม่ให้น้ำทะเลเข้าจมูกหรือปาก และไม่ควรลืมตาในน้ำทะเลหากไม่มีหน้ากากป้องกัน
    หากพบเห็นก้อนสีดำ นุ่ม แต่มีความเหนียวหนืดคล้ายยางมะตอยตามชายหาดหรือโขดหิน อาจเป็นไปได้ว่าคือ ทาร์บอลล์ (Tarball) หลีกเลี่ยงที่จะหยิบจับหรือสัมผัส แต่หากเหยียบโดยบังเอิญ ให้รีบล้างเท้าทำความสะอาดเพื่อป้องกันสารพิษซึมเข้าสู่ร่างกาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 สิงหาคม 2013
  3. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    [​IMG]

    ที่มา - นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
     
  4. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    [​IMG]

    เตือนกินหูฉลามระวังสารปรอท
    การพบปริมาณสารปรอทในน้ำทะเลอ่าวพร้าวเกินค่ามาตรฐาน อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและสะสมต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหูฉลาม และเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

    ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงผลตรวจคุณภาพน้ำทะเลอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เกินกว่าค่ามาตรฐานว่า ผลการตรวจสอบนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำที่มนุษย์นำมาบริโภคหรือไม่ เนื่องจากการตรวจสอบต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง หากพบว่าปริมาณสารปรอทยังมีค่าสูงเกินมาตรฐานต่อไปอีก ย่อมส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร แพลงก์ตอน สัตว์เล็ก และท้ายสุดจะเข้าไปสะสมในฉลาม สูงสุดในห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะในกระดูกอ่อน ครีบฉลามที่รู้จักกันในชื่อ หูฉลาม

    ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวว่า การติดตามโลหะหนักในพื้นที่เกิดปัญหาคราบน้ำมันตกค้าง จำเป็นต้องพิสูจน์จากตะกอนดินใต้น้ำว่า มีโลหะหนักอะไรบ้างและปริมาณเท่าใด ซึ่งอยู่ระหว่างการเก็บตัวอย่างนำไปตรวจสอบ

    ด้านนายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า จะทราบผลการตรวจสอบปริมาณสารปรอทในจุดเดิม ครั้งที่ 2 ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) หากสารตะกั่วที่ตรวจสอบได้มีปริมาณลดลงก็จะเป็นเรื่องดี แต่กรมควบคุมมลพิษก็จะร่วมเก็บตัวอย่างตรวจสอบปริมาณโลหะหนักในตะกอนดินใต้ท้องทะเลด้วย


    . - สำนักข่าวไทย
     
  5. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ศูนย์ ปภ.เขต ๑๘ ภูเก็ต ร่วมฝึกซ้อมแผน ปภ. ในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงภัยจังหวัดสุราษฎร์ธานี

    [​IMG]

    วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. นายธนะ พรหมดวง ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ๑๘ ภูเก็ต พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงาน ปภ.จังหวัดพังงา และหัวหน้ากลุ่มงานฝึกอบรม เข้าร่วมสังเกตการณ์และร่วมฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การแจ้งเตือนภัย และเผชิญสถานการณ์วิกฤตในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงภัย ประจำปี ๒๕๕๖ กรณีพายุซัดฝั่ง จัดโดยศูนย์ ปภ.เขต ๑๑ สุราษฎร์ธานี และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ณ บริเวณท่าเทียบเรือแหลมทวด อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการนี้ อธิบกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้มอบหมายให้นายอรรณพ เพ็ชรวิเศษ รองอธิบดี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกซ้อมแผนดังกล่าว

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอขอบคุณ/เนื้อหา/ภาพข่าว : กรกช/ศูนย์ ปภ.เขต 18




    เห็นอย่างนี้แล้วก็พอเบาใจครับ ที่หน่วยงานภาครัฐมีการตื่นตัวมีการเตรียมพร้อม
     
  6. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    หุ่นยนต์ดินสอ

    [​IMG]

    สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน 15 ส.ค. - กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเปิดตัวหุ่นยนต์ดินสอรุ่นใหม่ และหลักสูตรหุ่นยนต์ ช่วยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพภาคอุตสาหกรรมไทย และแก้ปัญหาแรงงาน

    หุ่นยนต์ดินสอรุ่น 2 หรือหุ่นยนต์มินิ เป็นหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วย โดยมีขนาดเล็กกะทัดรัด และเป็นเด็กผู้ชาย ผู้ผลิตได้ใช้เทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น เพิ่มฟังก์ชั่นการทำงาน เช่น แขนกลที่ออกแบบให้เลียนแบบกล้ามเนื้อของมนุษย์ สามารถควบคุมการเคลื่อนที่และพับงอได้ 7 จุดต่อ 1 แขน จึงสามารถเสิร์ฟอาหาร หยิบของ ไหว้ โบกมือ พร้อมทั้งโทรศัพท์และแจ้งเตือนเหตุผิดปกติกับผู้ป่วยไปยังแพทย์หรือลูกหลานผู้ป่วยได้

    กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเปิดตัวหุ่นยนต์ดินสอ 2 ในงานมหกรรมเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีอุตสาหกรรมไทย พร้อมทั้งเปิดตัวหลักสูตร Robot Academy ซึ่งนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน กล่าวว่า เป็นหลักสูตรฝึกอบรมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรมการผลิตที่ใชหุ่นยนต์เป็นองค์ประกอบหลัก และให้คำปรึกษาการออกแบบสร้างระบบเองภายในโรงงาน โดยสถาบันไทย-เยอรมนี รวมทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนของประเทศญี่ปุ่น ร่วมมือกับไทยจัดทำหลักสูตรนี้ขึ้นเพื่อช่วยลดระยะเวลาในการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพภาคอุตสาหกรรม และช่วยแก้ปัญหาแรงงาน ซึ่งมีทั้งการขาดแคลนแรงงานและค่าแรงที่สูงขึ้น จนเป็นปัญหาสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทยในปัจจุบัน โดยปัจจุบันเปิดการฝึกอบรม 4 หลักสูตร และผู้เรียนจบจะได้รับประกาศนียบัตรรับรองเพื่อเป็นใบเบิกทางในการปฏิบัติงานและใช้ต่อยอดในการพัฒนาบุคลากรในระดับสูงขึ้นต่อไป. -


    สำนักข่าวไทย
     
  7. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เป็นข่าวเก่าแล้วน่ะครับแต่ผมนำมาให้อ่านกันอีกครั้งเพราะเห็นช่วงนี้มีแผ่นดินไหวบ่อยๆและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ จริงเท็จอย่างไรแล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคลครับ

    คางคกเตือนภัยแผ่นดินไหวจีนล่วงหน้าแต่ไม่มีใครเชื่อ

    ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจีนแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตและรับรู้ และประเด็นนี้ได้กลายเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันในห้องสนทนาทางอินเตอร์เน็ตว่า ทำไมสัญญาณเตือนจากธรรมชาติไม่ช่วยทำให้รัฐบาลตระหนักได้ว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น หรือ หากสำนักแผ่นดินไหววิทยามีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ ก็คงจะทำนายเรื่องการเกิดแผ่นดินไหวได้ล่วงหน้าถึง 10 วัน

    [​IMG]

    แต่นักแผ่นดินไหววิทยา บอกว่า แม้หลายประเทศอาจพยายามสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมสัตว์เหมือนเป็นเครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหว แต่ยังไม่มีวิธีการที่เชื่อถือได้ในการใช้สัตว์ทำนายแผ่นดินไหว

    ถึงอย่างนั้นบทความในหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลีของทางการจีน ก็ตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ทั้งที่สัญญาณเตือนแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่เกือบสามสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อน้ำปริมาณหลายพันลูกบาศก์เมตรลดหายไปฮวบฮาบชั่วพริบตาจากบึงในเมืองเอินซี ในมณฑลหูเป่ย ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวเกือบ 350 กิโลเมตร

    และเพียง 3 วันก่อนแผ่นดินไหว คางคกหลายแสนตัวออกมาเพ่นพ่านเต็มท้องถนนในเมืองเหมียนจูห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 60 กิโลเมตรอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และมีคางคกหลายหมื่นตัวบนถนนในเมืองไท่โจว มณฑลเจียงซู และหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งรายงานว่า ชาวบ้านกลัวว่าคางคกจะเป็นสัญญาณของภัยธรรมชาติ แต่เจ้าหน้าที่สำนักงานป่าไม้ท้องถิ่นบอกว่าเป็นเรื่องการอพยพตามปกติ

    และในวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว สัตว์หลายชนิดในสวนสัตว์อู๋ฮั่น ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวกว่า 1,000 กิโลเมตร แสดงพฤติกรรมแปลกๆ เช่น ม้าลายหลายตัวเอาหัวโขกประตูกรง ช้างฟาดงวงอย่างเกรี้ยวกราดจนเกือบโดนเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ สิงโตและเสือราว 20 ตัวซึ่งปกติจะนอนหลับตอนกลางวัน ก็เดินวนไปวนมาภายในกรง ยิ่งกว่านั้นในช่วงเวลาเพียง 5 นาทีก่อนเกิดแผ่นดินไหว นกยูงหลายสิบตัวส่งเสียงกรีดร้อง

    เจ้าหน้าที่สวนสัตว์บอกกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า พฤติกรรมของสัตว์เหล่านี้อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังจะเกิดแผ่นดินไหว นักแผ่นดินไหววิทยา บอกว่า มีเหตุผลบางอย่างที่พออธิบายได้ว่า การเคลื่อนตัวของชั้นหินใต้ดินก่อนเกิดแผ่นดินไหว ทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้าที่ทำให้สัตว์บางชนิดรับรู้ได้ หรืออีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่า สัตว์สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นไหวเพียงเบาๆก่อนเกิดแผ่นดินไหวได้ในขณะที่มนุษย์ไม่สามารถรู้สึกได้

    ขณะที่นายจาง เสี่ยวตง นักวิจัยที่สำนักแผ่นดินไหววิทยาของจีน บอกว่า หน่วยงานของเขาใช้สัญญาณเตือนจากธรรมชาติทำนายแผ่นดินไหวได้ 20 ครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในจีน

    ในฤดูหนาวเมื่อปี 2518 เจ้าหน้าที่จีนได้อพยพประชาชนออกจากเมืองไห่เฉิงในมณฑลเหลียวหนิงเพียงหนึ่งวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว 7.3 ริกเตอร์ โดยสังเกตจากพฤติกรรมของสัตว์และระดับน้ำใต้ดิน แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวกว่า 2,000 คน

    ขณะที่อีกหนึ่งปีถัดมา จีนไม่สามารถเตือนภัยแผ่นดินไหวขนาด 7.6 ริกเตอร์ในเมืองถังซานได้ และมีผู้เสียชีวิต 240,000 คน ทั้งที่มีรายงานเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดทางธรรมชาติช่วงก่อนเกิดแผ่นดินไหว เช่น ระดับน้ำในบึงลดฮวบ ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวถูกส่งไปในพื้นที่ดังกล่าว แต่ก็ไม่พบสิ่งบ่งชี้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหว และช่วงที่ทีมผู้เชี่ยวชาญจะเดินทางกลับ ได้แวะพักค้างคืนที่เมืองถังซาน ทำให้เสียชีวิตในเหตุแผ่นดินไหวด้วย

    สิ่งเหล่านี้คงพอบอกได้ว่าบางครั้งเราก็ควรฟังเสียงเตือนจากธรรมชาติบ้างเหมือนกัน


    จาก เวป oknation วันพฤหัสบดี ที่ 15 พฤษภาคม 2551
     
  8. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    คนไทยเตรียมตัวจ่ายเพิ่ม! ค่าไฟ-แอลพีจีพาเหรดขึ้นราคาก.ย.นี้
    [​IMG]

    นายดิเรก ลาวัลย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์เปิดเผยว่าเดิมค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติหรือ Ft รอบก.ย. -ธ.ค.56 นี้คาดว่าจะสามารถตรึงราคาได้แต่เนื่องจากล่าสุดค่าเงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่าลงจากเดิมการคำนวณงวดที่แล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงเฉลี่ยอยู่ที่ 31 บาทต่อเหรียญฯสหรัฐ ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้นจึงทำให้ค่า Ft งวดนี้ต้องปรับขึ้นกว่า 10 สตางค์ต่อหน่วยแต่เพื่อบรรเทาผลกระทบประชาชนคาดว่าจะประกาศขึ้นประมาณ 6-7 สตางค์ต่อหน่วย

    “ เราก็กำลังพิจารณานำเงินจากการไฟฟ้าที่ไม่ได้ลงทุนตามแผลหรือคอลแบคที่ยังเหลืออยู่ราว 2,000 ล้านบาทมาช่วยเหลือจึงทำให้ค่า Ft งวดใหม่นี้จะเรียกเก็บประมาณ 6-7 สตางค์ต่อหน่วย โดยหากค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าแนวโน้มก็ยอมรับว่าจะมีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าค่อนข้างมาก”นายดิเรกกล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งได้มีการประชุมพิจารณาเกี่ยวกับค่าครองชีพเมื่อ 12 ก.ค.ที่ผ่านมาได้ออกมาระบุมาตรการช่วยเหลือและหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการตรึงค่าไฟฟ้างวดก.ย. -ธ.ค. นี้ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถสั่งให้เรกูเลเตอร์เบรกการขึ้นราคาได้ ขณะเดียวกัน วันที่ 1 ก.ย.นี้รัฐบาลยังคงเดินหน้าปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ไปสู่ระดับ 24.82 บาทต่อกก.โดยจะทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกก.นำรอ่งเดือนแรกก.ย.นี้ไปจนถึงส.ค. 57 อย่างไรก็ตามแม้กระทรวงพลังงานจะมี่มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนที่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและร้านค้าหาบเร่แผงลอยอาหารราว 7.7 ล้านรายแต่ก็มีประชาชนอีกกว่าครึ่งหนึ่งราว 8 ล้านรายที่จะต้องจ่ายแอลพีจีในราคาที่เพิ่มขึ้น
     
  9. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ระบาดอีกแล้ว "ทองยัดไส้"

    [​IMG]

    25 ส.ค. 56 ได้มีการเปิดโครงการสัมมนา รู้ทันทองปลอมสัญจร ครั้งที่ 6 เพื่อให้ความรู้กับเจ้าของร้านทองเกี่ยวกับวิวัฒนาการทองปลอม เทคนิคการดูทองปลอม และความรู้ทางด้านกฎหมายในการดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพ รวมถึงเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาและวิธีการรับมือกับแก๊งมิจฉาชีพที่นำทองปลอมมาหลอกขาย ซึ่งจะช่วยให้ลดความเสี่ยงและลดปัญหาทองปลอม ทั้งนี้ยังเผยถึง มูลค่าความเสียหายจากปัญหาทองปลอมซึ่งมากถึงสองพันล้านบาทเลยทีเดียว

    ความเป็นจริง ปัญหาทองปลอมนั้นเกิดขึ้นมานาน และยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ระยะหลังทองคำมีราคาสูงขึ้น ปัญหาทองปลอมจึงกับมาระบาดหนักอีกครั้ง สร้างความกังวลให้กับทั้งคนค้าทองและผู้ซื้อเอง อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อยังคงวางใจและคลายกังวลได้ว่า ทองที่ซื้อมาจะเป็นทองยัดไส้หรือเปล่า? เพราะส่วนมากมิจฉาชีพเลือกที่นำทองปลอมไปจำนำ ไม่นิยมใช้วิธีการขาย เพราะร้านค้าจะใช้การทดสอบแค่ชั่งน้ำหนัก และดูสภาพภายนอก ไม่สามารถใช้วิธีการเผาไฟหรือการตะไบเนื้อทอง เหมือนการขายขาดได้ เพราะจะทำให้ทองที่นำมาจำนำเสียหายมาก ทำให้พนักงานร้านทองหรือโรงรับจำนำที่ขาดความชำนาญหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อ

    ในปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพจะนำทองจริงไปห่อหุ้มกับเงิน ทองแดง นาก หรือวัสดุอื่นๆ หรืออีกวิธีหนึ่งกลุ่มมิจฉาชีพก็จะนำทองคำจริงมีชื่อยี่ห้อติดอยู่ไปทำการตัดต่อด้านหัวกับด้านท้าย เพื่อเอาชื่อยี่ห้อไปติดกับทองคำปลอม จากนั้นก็จะนำไปจำนำตามร้านทองต่างๆ เนื่องจากกลุ่มมิจฉาชีพจะอาศัยช่องโหว่ในการนำเอาทองคำปลอมไปจำนำ และจะทำให้เจ้าของร้านทองไม่กล้าตรวจสอบทองคำของลูกค้าอย่างละเอียด โดยเฉพาะร้านทองที่เปิดทำการใหม่พวกมิจฉาชีพชอบที่สุด ฉะนั้นจะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ

    ทั้งนี้ปัญหาความเข้าใจผิดของผู้ซื้อทองส่วนมากคือ ปัญหาทองปลอม คือ การที่คนร้ายผลิตทองปลอมนำมาขายหรือขายฝากกับร้านทองเท่านั้น ไม่ได้ขายให้กับผู้บริโภค และเมื่อร้านทองรับซื้อทองเก่าจากลูกค้า ซึ่งอาจเป็นคนร้ายนำทองปลอมมาหลอกขายนั้น ร้านทองจะไม่มีการนำทองเก่าที่ร้านรับซื้อจากลูกค้ามาขายซ้ำให้กับลูกค้ารายใหม่ แต่จะนำกลับไปหลอม เพื่อผลิตทองรูปพรรณชิ้นใหม่แทนทั้งหมด ดังนั้นลูกค้าผู้บริโภคสามารถวางใจได้ว่า หากไปซื้อทองกับร้านทองใดๆ ก็ตาม จะได้รับทองคำแท้อย่างแน่นอน และหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือทราบเบาะแสเรื่องทองปลอมสามารถแจ้งที่สมาคมค้าทองคำได้ทันที



    โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
     
  10. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    "ไมเกรน" ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง
    [​IMG]

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ส.ค. เกี่ยวกับผลการศึกษาชิ้นหนึ่ง ซึ่งจัดทำโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์ก ได้รับการเผยแพร่ผ่านวารสารออนไลน์ "ประสาทวิทยา" ของสถาบันประสาทวิทยาอเมริกัน โดยดร.เมสซูด อาชินา หนึ่งในผู้ร่วมประพันธ์งานวิจัย กล่าวว่า ทีมงานรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยเรื่องไมเกรน 20 ชิ้น ซึ่งตั้งข้อสมมติฐานเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งว่า จริงหรือไม่ที่ไมเกรนสามารถทำลายสมองของผู้ป่วย

    ทีมงานจึงใช้วิธีเปรียบเทียบภาพการเอ็กซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( เอ็มอาร์ไอ ) ระหว่างผู้ป่วยด้วยโรคไมเกรน กับผู้ที่มีสภาพร่างกายแข็งแรงดี ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า โครงสร้างสมองของผู้ที่เป็นไมเกรน "แตกต่าง" กว่าผู้ที่ไม่ได้ป่วยด้วยโรคดังกล่าว อาทิ ร่องรอยของ "การบาดเจ็บ" บริเวณเนื้อสีขาวของสมอง ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อของระบบประสาทส่วนกลาง ที่ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง โดยส่วนนี้จะมีเส้นประสาทรวมอยู่เป็นจำนวนมาก

    แม้อาชินาย้ำว่า ผลที่ได้ยังเป็นเพียงเบื้องต้นและต้องอาศัยการศึกษาลงลึกในรายละเอียดอีกมาก แต่ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งจากงานวิจัยระบุว่า ผู้ที่เป็นไมเกรนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะบาดเจ็บบริเวณเส้นประสาทและเส้นเลือดบริเวณเนื้อเยื่อสมองส่วนสีขาวมากกว่าคนปกติถึง 68%

    ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
    Migraine and structural changes in the brain


    ที่มา "ไมเกรน" ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง | เดลินิวส์
     
  11. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    อลัง 360 องศา! ปะการังใต้สมุทรจากทีม “กูเกิล”

    [​IMG]

    อลังการ...ภาพ 360 องศาของปะการังตามแนว “เกรทแบริเออร์รีฟ” ที่กูเกิลร่วมกับทีมสำรวจทะเลบันทึกเพื่อเก็บเป็นข้อมูลลง “กูเกิลแม็พ” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และภาพถ่ายใต้น้ำยังสะท้อนสุขภาพของปะการังในทะเลอีกด้วย

    ภาพถ่ายแนวปะการังอันตระการตานี้ไลฟ์ไซน์ระบุว่า เป็นภาพที่กูเกิล (Google) นำมาเผยแพร่ โดยทีมงานกูเกิลแม็พส (Google Maps) ได้ร่วมกับทีมสำรวจแคทลีนซีวิวเซอร์เวย์ (Catlin Seaview Survey) บันทึกภาพถ่ายพาโนรามา 360 องศาของแนวปะการังทั่วโลก ซึ่งภาพเหล่านี้ยังจะช่วยให้นักวิจัยประเมินสุขภาพของปะการังได้

    ทีมดังกล่าวได้ขับเคลื่อนสกูตเตอร์ใต้น้ำที่ติดตั้งกล้องบันทึกภาพที่ซับซ้อนเพื่อเก็บภาพแนวปะการัง ซึ่งพวกเขาได้แนวปะการังยักษ์ “เกรทแบริเออร์รีฟ” (Great Barrier Reef) ทางชายฝั่งออสเตรเลียแล้ว และตอนนี้กำลังสำรวจทางตอนใต้ของทะเลแคริบเบียนอยู่ ซึ่งภาพเหล่านี้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เพื่อร่วมสำรวจสภาพแวดล้อมของแนวปะการังอันสดใสเหล่านี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    ทีมงานบันทึกภาพโดยขับเคลื่อนสกูตเตอร์ใต้น้ำที่ติดตั้งกล้องบันทึกภาพ

    [​IMG]



    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  12. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    จีนกำหนดส่งยานไร้มนุษย์ลงดวงจันทร์ปลายปีนี้

    [​IMG]
    ภาพร่างโครงการสำรวจดวงจันทร์ของรัฐบาลจีนภายในปี ค.ศ.2020 โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน และปัจจุบันอยู่ในระหว่างการดำเนินการขั้นที่ 2

    เจ้าหน้าที่จีนยืนยันแล้วว่า ประเทศจีนจะส่งยานไร้มนุษย์ไปลงยังดวงจันทร์ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการถ่ายภาพและเก็บตัวอย่างวัตถุบนพื้นผิวดวงจันทร์ผ่านเครื่องมือบังคับจากโลก

    แถลงการณ์จากสำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันแห่งชาติแห่งประเทศจีนระบุว่า ยานอวกาศฉางเอ๋อหมายเลข 3 ซึ่งเป็นยานอวกาศไร้มนุษย์ที่จีนวางแผนในการสำรวจดวงจันทร์ขั้นต้น ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนของการออกแบบและจัดสร้าง ไปสู่ขั้นตอนของการปล่อยยานแล้ว

    ตามแผนการดำเนินการ ยานอวกาศฉางเอ๋อ 3 พร้อมกับยานลงจอดบนดวงจันทร์จะอยูบนพื้นผิวของดวงจันทร์หลังปฏิบัติภารกิจ ถ่ายภาพและเก็บตัวอย่างวัตถุผ่านการควบคุมจากโลก โดยจีนวางแผนว่าภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) ค่อยส่งยานลงจอดบนดวงจันทร์ที่สามารถเดินทางกลับมายังโลกได้ พร้อมกับตัวอย่างของวัตถุบนพื้นผิวดวงจันทร์

    อย่างไรก็ตาม การที่จีนจะนำคนขึ้นไปบนดวงจันทร์นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนในการควบรวมเอา “โครงการส่งมนุษย์ขึ้นไปในอวกาศ” เข้ากับ “โครงการสำรวจดวงจันทร์” โดยล่าสุดจีนพยายามที่จะเน้นไปยังโครงการแรก ด้วยการวางภารกิจสองครั้งเพื่อส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปทำการทดลองชั่วคราวบนสถานีอวกาศเทียนกง-1

    สำหรับสถานีอวกาศเทียนกง-1 ถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อเดือนกันยายน 2554 (ค.ศ.2011; อ่านข่าว : จีนส่งเทียนกง-1 บุกก้าวแรกสู่การตั้งสถานีอวกาศ) โดยเทียนกง-1 มีกำหนดที่จะถูกแทนที่โดย สถานีอวกาศถาวรแบบสามโมดูล เทียนกง-2 ภายใน 7 ปีข้างหน้า

    ประเทศจีนส่งนักบินอวกาศคนแรกขึ้นสู่อวกาศในปี 2546 โดยถือเป็นประเทศที่สามของโลกหลังจากรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาที่สามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปท่องในอวกาศได้ด้วยตัวเอง ขณะที่โครงการอวกาศของจีนนั้นได้รับการสนับสนุนด้วยงบประมาณทางทหาร และมีการพัฒนาที่รวดเร็วมากในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพถ่ายดวงจันทร์ทั้งดวง ที่กางออกบนแผ่นภาพเดียว ที่ถ่ายโดย ฉางเอ๋อ 2 ในการโคจรรอบดวงจันทร์ครั้งที่ 2 เผยโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์จีน เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2555 (ภาพซินหวา)



    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  13. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    แผนที่ดวงจันทร์ฉบับเต็ม "ฉางเอ๋อ2" ชัดที่สุดที่เคยมี

    [​IMG]
    ภาพถ่ายดวงจันทร์ทั้งดวง ที่กางออกบนแผ่นภาพเดียว ที่ถ่ายโดย ฉางเอ๋อ 2 ในการโคจรรอบดวงจันทร์ครั้งที่ 2 เผยโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์จีน เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2555 (ภาพซินหวา)

    สำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ ของจีน เผยแผนที่และรูปถ่ายดวงจันทร์ ซึ่งมีความละเอียดสูงที่สุดครอบคลุมทุกพื้นผิว

    สื่อจีนเผยรายงานคำกล่าวของ หลิว ตงกุย รองผู้บัญชาการโครงการสำรวจดวงจันทร์จีน China National Space Administration (CNSA) เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ว่าสำนักงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ ของจีน เผยแผนที่และรูปถ่ายดวงจันทร์ ซึ่งมีความละเอียดสูงที่สุดครอบคลุมทุกพื้นผิวของดวงจันทร์มากที่สุดเท่าที่เคยมีการพิมพ์มา

    คำแถลงของ สำนักงานวิทยาศาสตร์ฯ ระบุว่า ภาพถ่ายดวงจันทร์ของ ยานฉางเอ๋อ-2 ยานสำรวจดวงจันทร์ไม่มีคนบังคับของจีนนี้ ถ่ายบันทึกที่ระดับความสูงระหว่าง 15 - 100 กิโลเมตร เหนือดวงจันทร์ ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2553 - พฤษภาคม 2554 โดยความละเอียดของภาพถ่ายจากยานฉางเอ๋อ-2 นี้ สูงกว่าภาพที่ถ่ายจากยานฉางเอ๋อ-1 มากกว่า 17 เท่า

    ถง ฉิงซื่อ นักวิชาการจากสถาบัน Institute of Remote Sensing Applications ของสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน (Chinese Academy of Sciences : CAS) กล่าวเปรียบความละเอียดของภาพถ่ายจากฉางเอ๋อ-2 ล่าสุดนี้ว่า หากเปรียบง่ายๆ ภาพของฉางเอ๋อ-1 ละเอียดขนาดมองเห็นท่าเรือหรือสนามบินบนดวงจันทร์ แต่ภาพของฉางเอ๋อ-2 คราวนี้ เรามองเห็นรายละเอียดของเครื่องบิน และเรือทีเดียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านข้อมูลที่เที่ยงตรงเกี่ยวกับดวงจันทร์ทั้งดวง

    [​IMG]
    ภาพถ่ายดวงจันทร์ทั้ง 2 ด้านที่ถ่ายโดย ฉางเอ๋อ 2 ในการโคจรรอบดวงจันทร์ครั้งล่าสุด สำนักงานวิทยาศาสตร์จีนเผยเมื่อเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2555 (ภาพซินหวา)

    [​IMG]
    นายกรัฐมนตรี เวิน จยาเป่า กับภาพถ่ายประวัติศาสตร์ ครั้งแรกที่จีนสามารถบันทึกพื้นผิวดวงจันทร์ จากยานสำรวจของตนเอง "ฉางเอ๋อ-2" ที่ยืนยันความสำเร็จของภารกิจเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2553 (ภาพซินหวา)

    [​IMG]
    ภาพพื้นผิวดวงจันทร์ จากยานสำรวจ "ฉางเอ๋อ-2" ที่ยืนยันความสำเร็จของภารกิจเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2553 (ภาพซินหวา)

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    ภาพถ่ายขั้วทิศใต้ของดวงจันทร์ โดยยานฉางเอ๋อ-1 China National Space Administration (CNSA)


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  14. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ไล่ฟ้องลูกหนี้กยศ.แล้วกว่า 5 แสนราย คาดปี 57 ออกกฎเหล็กเข้มคัดกรองผู้กู้

    กยศ.ปล่อยกู้เงินนศ.กว่า 4 ล้านราย ฟ้องร้องแล้ว 5 แสน เผยขั้นตอนการกู้ง่าย เด็กไม่เห็นคุณค่า ขณะที่บางคนกู้ตามเพื่อน เตรียมออกกฎคัดกรองสถาบันเข้าร่วมกองทุน - ผู้กู้ นอกจากขาดแคลนแล้วต้อง “เรียนดี” ด้วย

    [​IMG]

    ดร.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราถึงการดำเนินงานของ กยศ.ในช่วงระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาว่า กยศ.ปล่อยกู้ไปแล้วเป็นจำนวนเงินกว่า 4 แสนล้านบาท จากจำนวนผู้กู้กว่า 4 ล้านราย โดยจำนวนหนี้ที่ครบกำหนดชำระมียอด 2.8 ล้านบาท และได้รับการชำระคืนเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

    สำหรับการฟ้องร้องไกล่เกลี่ยซึ่งลูกหนี้นั้น ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า มีลูกหนี้ที่ถูกฟ้องร้องจำนวนสูงถึง 5 แสนราย ซึ่งหลังจากมีการฟ้องร้องไปแล้วมีเพียง 30-40 % เท่านั้นที่กลับมาชำระหนี้คืน โดยจากการสำรวจจำนวนลูกหนี้ที่เข้าโครงการฟ้องร้องไกล่เกลี่ยพบว่า 50% เป็นผู้ที่มีรายได้และงานประจำทำ ส่วนผู้ไม่มีงานทำคิดเป็น 20 % เท่านั้น

    "ในอนาคต กยศ.จะต้องสร้างระบบคัดกรองของสถาบันที่จะเข้ามาร่วมโครงการ รวมถึงคุณสมบัติของผู้กู้ให้มากขึ้น โดยในขณะนี้ยอมรับว่า เรายังไม่มีระบบการคัดกรองเลยทำให้การกู้ยืมเงิน ดูเป็นเรื่องที่ง่าย ดังนั้นในปี 2557 กยศ.จะออกเกณฑ์คุณสมบัติของสถาบันการศึกษาที่จะเข้ามาร่วมโครงการอย่างชัดเจน รวมถึงคุณสมบัติของผู้กู้ เช่น นอกจากจะขาดแคลนคุณทรัพย์แล้วอาจจะต้องเป็นบุคคลที่มีผลการเรียนดีด้วย เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการเข้ามากู้ยืมเงินของกองทุน ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการดำเนินงานของทางกยศ. เพราะที่ผ่านมาเด็กไม่เห็นคุณค่าของการกู้ และบางคนก็กู้ยืมเงินตามเพื่อน ทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็น"

    ดร.ฑิตติมา กล่าวต่อว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีการใช้ระบบของเครดิตยูโร กยศ.ให้โอกาสมากสำหรับเด็กในการเคลียร์ตัวเองเพื่อชำระหนี้ เนื่องจากไม่อยากให้เด็กมีเครดิตที่ไม่ดีในสถาบันทางการเงิน

    เมื่อถามถึงข้อเสนอแนะในการให้ผู้กู้ชำระคืนเป็นรายงวดอย่างชัดเจนนั้น ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า กำลังมีการพิจารณาเช่นกัน แต่การเปลี่ยนแปลงระบบขั้นตอนก็จำเป็นต้องใช้เวลา ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องมีการรื้อระบบโครงสร้างใหม่ พร้อมทั้งแนะนำให้ลูกหนี้ที่ไม่ได้รับจดหมายแจ้งเตือนการชำระเงินให้ตระหนัก และมีจิตสำนึกเอง เพราะข้อมูลการตรวจสอบขณะนี้ทำได้ง่ายโดยสามารถเข้าดูในเว็บไซต์ หรือโทรสอบ ถาม call center รวมถึงธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามก็ได้

    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามถึงโครงการ “กยศ.พี่ช่วยน้อง” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ ดร.ฑิตติมา กล่าวว่า เพื่อเป็นการรณรงค์ ให้รุ่นพี่ที่ครบกำหนดการชำระเงินหันมาชำระเงินคืนในบางส่วน แม้อาจจะไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่เราก็หวังผลในระยะยาวเพื่อเป็นการช่วยเหลือน้องๆ ในรุ่นต่อไปที่จะทำการกู้ยืมต่อ

    "โครงการนี้จะมีการลงนาม MOU ร่วมกันระหว่างกลุ่มองค์การนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐจะมีกรมบัญชีกลาง สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอิสลาม ส่วนภาคเอกชนมีองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น(ประเทศไทย) เอกชน 5 สถาบันประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทั้งหมดนี้จะเข้ามามีส่วนร่วมกับกยศ.เพื่อตรวจสอบพนักงานในสังกัดว่า มีการกู้ยืมเงินจากกยศ.หรือไม่ ถ้าพบว่า มีการกู้เงินจากกยศ.ก็จะสร้างจิตสำนึกให้จ่ายคืน และถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะเกิดขึ้น เพราะนายจ้างก็อยากได้ลูกจ้างที่มีวินัยทางการเงิน หลังจากลงนามร่วมกันแล้วองค์กรต่างๆเหล่านี้ก็จะช่วยตรวจสอบเลย"

    ผู้จัดการ กยศ. กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้กยศ.ยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆในการช่วยสร้างงาน โดยจะมีกลุ่มบริษัทเข้ามาช่วย เช่นสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กรมการจัดหางาน กองทุนตั้งตัวได้ บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จํากัด บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อ โดยให้นักเรียนนักศึกษาที่กู้เงินกองทุนเข้าไปฝึกงาน เมื่อจบแล้วก็รับเข้าทำงานทันที ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้ใช้หนี้แล้วเราก็ยังจัดหางานให้ทำด้วย
     
  15. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    ญี่ปุ่นเริ่มทดสอบรถไฟแม่เหล็ก “แมกเลฟ” เร็วปรื๋อ 500 กม./ชม.

    บริษัทรถไฟญี่ปุ่นเริ่มเดินหน้าทดสอบรถไฟพลังแม่เหล็ก “แมกเลฟ” (magnetic-levitation train) ซึ่งคาดว่าจะมาแทนที่รถไฟหัวกระสุน “ชินคันเซ็น” ภายในปี 2027 วานนี้(29)

    บริษัท เซ็นทรัล เจแปน เรลเวย์ (JR Central) จะเริ่มก่อสร้างเส้นทางรถไฟแมกเลฟจากกรุงโตเกียวไปยังเมืองนาโงยา ภายในเดือนเมษายนปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 5.1 ล้านล้านเยน โดยเริ่มทำการทดสอบเดินรถอีกครั้งเมื่อวานนี้(29) หลังใช้เวลานานถึง 5 ปีในการก่อสร้างส่วนขยายของรางทดสอบความยาว 24 กิโลเมตร

    แมกเลฟ สามารถเดินทางด้วยความเร็วกว่า 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะช่วยย่นระยะเวลาเดินทางจากเมืองนาโงยา ซึ่งห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 286 กิโลเมตร ให้เหลือเพียง 40 นาที จากปัจจุบันที่ต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 95 นาทีด้วยรถไฟหัวกระสุน

    แมกเลฟ ใช้พลังงานแม่เหล็กซึ่งจะทำให้ตัวรถไฟลอยอยู่เหนือรางเล็กน้อย และสามารถเดินทางได้เร็วเกือบ 2 เท่าของรถไฟหัวกระสุนสายโตเกียว-นาโงยาในปัจจุบัน ซึ่งมีความเร็วสูงสุดประมาณ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    เพื่อให้รางรถไฟมีความตรงมากพอที่จะใช้ความเร็วสูงได้ขนาดนั้น เจอาร์เซ็นทรัล จึงต้องขุดอุโมงค์ยาวถึง 248 กิโลเมตร หรือประมาณ 5 เท่าของอุโมงค์รถไฟใต้ทะเลที่ข้ามช่องแคบอังกฤษ

    อย่างไรก็ดี โครงการรถไฟแมกเลฟคาดว่าจะแล้วเสร็จช้ากว่าที่กำหนดไว้ เนื่องจากเผชิญอุปสรรคในการก่อสร้างอุโมงค์ลอดใต้ตึกระฟ้าในกรุงโตเกียว และเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น

    “ผมคิดว่าโครงการนี้คงจะสร้างสำเร็จช้ามาก” เอ็ดวิน เมอร์เนอร์ ประธานสถาบันวิจัยด้านการลงทุนแอนแลนติสในกรุงโตเกียว ระบุ

    “หากแนวโน้มที่ว่าประชากรญี่ปุ่นจะลดลงเป็นความจริง หมายความว่าผู้โดยสารรถไฟความเร็วสูงก็จะน้อยลงตามไปด้วย”

    สถาบันวิจัยประชากรและประกันสังคมแห่งชาติญี่ปุ่นประเมินว่า พลเมืองแดนปลาดิบจะลดลงเหลือเพียง 117 ล้านคนภายในปี 2027 จากระดับ 127 ล้านคนในปัจจุบัน และอาจจะลดเหลือแค่ 80 ล้านคนในปี 2060

    [​IMG]


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
  16. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    จีนงัดเทคนิค5วิธีรักษา “มะเร็ง”

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
    รุกตลาดอาเซียน เน้นผ่าตัดแบบบาดแผลเล็ก เป็นที่พอใจของผู้ป่วย

    เมื่อวันที่ 30 ส.ค. มีรายงานว่าโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว (Modern Cancer Hospital Guangzhou) เมืองกว่างโจว ประเทศจีน ซึ่งเปิดดำเนินการมา 8 ปี มีเครือข่ายโรงพยาบาลตามเมืองใหญ่ๆในจีน กว่า 100 โรง ถือเป็นโรงพยาบาลสมัยใหม่ที่เน้นรักษาโรคมะเร็ง ปัจจุบันมีชาวต่างชาติ เช่น อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และฟิลิปปินส์ เข้ามารักษาตัวปีละ 2 แสนราย


    โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจว มีแพทย์ที่ชำนาญด้านโรคมะเร็ง 40-50 คน และผู้ป่วยทุกคนจะผ่านการตรวจจากแพทย์มือ 1 หรือแพทย์มือ 2 ของโรงพยาบาล โดยเฉลี่ยใช้เวลารักษา 2-3 สัปดาห์ เสียค่าใช้จ่าย 300,000-350,000 บาท ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นมะเร็งปอด ตับ ช่องปาก เต้านม ลำไส้ และมดลูก ทางโรงพยาบาลจะใช้เทคนิคการรักษาแบบบูรณาการหลายวิธี โดยเน้นรักษาผ่าตัดแบบบาดแผลเล็ก ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่โดดเด่นมาก และเป็นที่พอใจของผู้ป่วย ส่วนเทคนิคการรักษามี 5 วิธี คือ 1. วิธีฝังแร่ไอโอดีน 2. การอุดหลอดเลือดเฉพาะจุด 3. วิธีการรักษาด้วยความเย็น 4.รักษาโดยสเต็มเซล 5. รักษาด้วยเทคโนโลยีนาโน โดยเฉพาะการฝังแร่ไอโอดีน ตัวแร่จะมีขนาด 1 ใน 3 ของเม็ดข้าวสาร ฝังเข้าไปเพื่อฆ่าเซลมะเร็ง


    ทางด้าน นายหลิน ช่าวหัว รอง ผอ.โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจ เปิดเผยว่าที่ผ่านมามีผู้ป่วยหนักมากมาย เช่น คนหนึ่งเป็นมะเร็งตับขนาดเกือบเท่ากำปั้น รักษากับแพทย์ท้องถิ่นวินิจฉัยว่าอยู่ไม่เกินครึ่งปี จึงมารักษากับทางโรงพยาบาลด้วยการอุดหลอดเลือดเฉพาะจุด แล้วฝังแร่ไอโอดีน ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 5 ปียังไม่เสียชีวิต และลุงคนไทยอายุ 83 ปี เป็นมะเร็งในช่องปาก แพทย์บอกต้องผ่าตัดอย่างเดียว เป็นเรื่องใหญ่เพราะอายุมากแล้ว ตำแหน่งที่ผ่าตัดก็สุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยไม่อยากผ่าตัด จึงมารักษาด้วยการฝังแร่ไอโอดีน ตอนนี้พูดได้กินได้ เดินได้หายเป็นปกติ


    “ปัจจุบันโรงพยาบาลได้ขยายกิจการไปในภูมิภาคอาเซียน เช่น เปิดโรงพยาบาลมะเร็งในเวียดนาม ซึ่งกำลังไปได้ดี ส่วนประเทศที่มีข้อจำกัดทางกฎหมาย จะใช้วิธีเปิดสำนักงานทั้งในอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ และไทย โดยมีแพทย์และล่ามให้คำแนะนำกับผู้ป่วย สำหรับในประเทศไทยได้เปิดสำนักงานมาหลายเดือนแล้ว ที่อาคารไซเบอร์เวิร์ล ชั้น 5 ถนนรัชดาฯ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทรฯ 02-645-2799 โรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวประเทศจีน รวมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับโรงพยาบาลในไทย เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการรักษาพยาบาล เป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยมะเร็ง” นายหลิน กล่าว.




    ที่มา จีนงัดเทคนิค5วิธีรักษา “มะเร็ง” | เดลินิวส์
     
  17. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    เตือนภัย! คอทอง... ระวังโดนล้วงตับยัดไส้ทองปลอม

    [​IMG]
    ภัยสังคมยุคนี้มีมากมายจนตามแทบไม่ทัน แต่เพื่อป้องกันการโดนหลอกจึงจำเป็นที่ต้องติดตามเพื่อระวังภัย!

    ล่าสุด ภัยสังคมอีกรูปแบบที่พัฒนาฝีมือให้แนบเนียมจนเซียนทองยังต้องอึ้ง! คือ “ภัยทองคำยัดไส้” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จ.นครราชสีมา

    สืบเนื่องจากกรณี นายสุเทพ ณัฐกานต์กนก เจ้าของร้านทองกรุงเทพตราหัวใจคู่ และ น.ส.ภัทรียา รัตน์ศิริมณีเวทย์ ตัวแทนจากร้านทองไทเฮ้งล้ง ตราช้าง ตั้งอยู่ในตัวเมืองนคร ราชสีมา เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครราชสีมา ว่าถูกแก๊งต้มตุ๋นเข้ามาหลอกให้รับซื้อทองแท่งยัดไส้ น้ำหนักรวม 4 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามจับกุม นางวรนุช กันโต อายุ 44 ปี ผู้ที่นำทองมาขาย และนางศิริพร จิตรติกรกุล ผู้ที่อ้างเป็นเจ้าของทองไว้ได้ โดยในเบื้องต้นทั้งคู่ยังให้การปฏิเสธ อ้างว่าได้ซื้อทองแท่งมาจากร้านทองแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา มาเก็บไว้ ก่อนมีปัญหาเงินขาดมือ จึงนำทองออกมาขาย ทำให้เพิ่งทราบว่าเป็นทองยัดไส้ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

    กระทั่งวานนี้ ( 29 ส.ค.) พ.ต.ท.มงคล แก้วโพธิ์ สว.สส.สภ.เมือง จ.นครราชสีมา ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนติดตามคดี เปิดเผยว่า ล่าสุดได้ส่งของกลางไปให้สมาคมผู้ค้าทองตรวจสอบอย่างละเอียดว่า วัตถุที่อยู่ภายในทองแท่งคืออะไร ได้มาจากไหน และถูกทำขึ้นมาได้อย่างไร แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ทองแท่งที่ถูกทำขึ้นมีความละเอียดมาก ทั้งเรื่องน้ำหนัก รูปพรรณ และสัญลักษณ์อื่น ๆ ทำได้อย่างแนบเนียน เชื่อว่าน่าจะทำเป็นขบวนการใหญ่ หรือเป็นฝีมือของช่างผู้เชี่ยวชาญ

    นายชัยชนะ ประพฤทธิพงษ์ ประธานชมรมร้านค้าทองนครราชสีมา กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุนายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ได้รับปากว่าจะช่วยดำเนินการตรวจสอบให้ โดยจะนำส่งของกลางไปตรวจสอบยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งตนยังได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่บริษัทที่นำเข้าทองแท่งจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตทองแท่งยักษ์ใหญ่ว่า จะส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบเรื่องราวด้วยตนเอง เนื่องจากเหตุการณ์นี้อาจทำให้บริษัทผู้ผลิตได้รับผลกระทบในเรื่องชื่อเสียงด้วย

    “แนวทางป้องกัน ทางชมรมร้านค้าทองนครราชสีมา ได้ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังสมาชิก ผ่านทางไลน์ เอสเอ็มเอส รวมทั้งเฟซบุ๊ก เพื่อให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพนำทองยัดไส้มาขาย และช่วยกันดำเนินการตรวจสอบว่าพบทองยัดไส้ในพื้นที่ใดอีก แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบ อาจเป็นเพราะผู้ที่มีทองแท่งไว้ในครอบครองอาจไม่กล้าพิสูจน์” นายชัยชนะ กล่าว

    นายชัยชนะ กล่าวว่า การพิสูจน์ ว่าเป็นทองจริงหรือทองยัดไส้ ทำได้วิธีการเดียว คือ การใช้ไฟเผา หรือนำไปหลอม เพราะเมื่อทองคำแท่งร้อนจนใกล้ถึงจุดหลอมละลาย ตัวที่ยัดไส้อยู่ข้างในจะหลอมละลายเร็วกว่าเนื้อทอง ซึ่งส่งผลให้ปริแตกและดันตัวออกมาด้านนอก แต่การเผาพิสูจน์หากพบเป็นทองจริงก็จะทำให้ทองเสียมูลค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ และจะทำให้ราคาตกลงไปด้วย ตอนนี้จึงต้องรอให้ทางสมาคมร้านค้าทองคำ หาวิธีตรวจสอบทองที่จะไม่ทำให้เสียมูลค่า

    ช่วงนี้สถานการณ์ราคาทองคำในประเทศก็กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องสุญเปล่าต้องระวังให้ดี เพราะภัยนี้อาจทำให้เงินหมดกระเป๋าได้.


    ที่มา เตือนภัย! คอทอง... ระวังโดนล้วงตับยัดไส้ทองปลอม | เดลินิวส์
     
  18. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    การรับประทานผลไม้สดช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน

    [​IMG]

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 30 ส.ค. อ้างอิงผลการศึกษาที่ได้รับการเผยแพร่ผ่านวารสารการแพทย์อังกฤษ ( บีเอ็มเจ ) ซึ่งเป็นการวิจัยร่วมกันระหว่างทีมงานจากสหรัฐ สิงคโปร์ และอังกฤษ วิเคราะห์ข้อมูลจากรายงาน 3 ชิ้นของสมาคมพยาบาลสหรัฐ ระหว่างปี 2527-2551 2534-2552 และ 2528-2551 ที่เป็นการสอบถามเรื่องพฤติกรรมการใช้ชีวิต ที่รวมถึงการรับประทานอาหาร น้ำหนักตัว ส่วนสูง และอื่นๆ ของพยาบาลและอาสาสมัครรวมกว่า 187,000 คน

    โดยในส่วนของการรับประทานอาหารนั้น คำถามหนึ่งเกี่ยวข้องการรับประทานผลไม้ ที่ผู้จัดทำแบบสอบถามจับเป็นหมวดหมู่ ได้แก่ องุ่นกับลูกเกด พีช-พลัมกับแอปริคอต กล้วย แคนตาลูปหรือเมลอน แอปเปิ้ลหรือลูกแพร์ ส้ม ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดอื่น สตรอเบอรี และบลูเบอรร์รี นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับน้ำผลไม้ ได้แก่น้ำแอปเปิ้ล น้ำส้ม น้ำเกรปฟรุต และอื่นๆ

    ผลการวิจัยปรากฏว่า ผู้ที่บริโภคผลไม้สด โดยเฉพาะบลูเบอร์รี องุ่นและแอปเปิ้ล อย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ลดความเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ถึง 23% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานผลไม้ ทั้งนี้ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักทำให้ผู้ป่วยอ้วน และบางคนต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

    ส่วนผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นสด 1-2 แก้วต่อวัน กลับเพิ่มความเสี่ยงจะป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดเดียวกันนี้ 21% โดยตลอดระยะเวลาการเก็บข้อมูล มีเพียง 6.5% ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ที่มีแนวโน้มจะป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2

    แม้ทีมนักวิจัยยอมรับว่า ยังต้องรวบรวมข้อมูลอีกมาก เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงว่า ผลไม้สดเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงการป่วยด้วยโรคเบาหวานได้อย่างไร แต่ผลไม้จำพวกเบอร์รีมีสาร "แอนโทไซยานิน" ที่เป็นสารให้สีธรรมชาติในอาหารอยู่มาก ซึ่งสารดังกล่าวมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันได้


    ที่มา การรับประทานผลไม้สดช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน | เดลินิวส์
     
  19. จริง?หรือ?

    จริง?หรือ? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    2,201
    ค่าพลัง:
    +7,155
    สภา วธ.เพชรบูรณ์ สำรวจรอยเท้าบรรพบุรุษไดโนเสาร์บน “น้ำหนาว”
    [​IMG]

    เพชรบูรณ์ - สภาวัฒนาธรรมเมืองมะขามหวาน สำรวจรอยเท้า “อาร์โคซอร์” บรรพบุรุษไดโนเสาร์บนแผ่นหินอายุ 230 ล้านปีบน “น้ำหนาว”

    รายงานข่าวจากจังหวัดเพชรบูรณ์ แจ้งว่า นายวิศัลย์ โฆษิตานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้นำทีมงานเดินทางไปที่บ้านนาพอสอง ต.น้ำหนาว อ.น้ำหนาว เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อสำรวจพร้อมเก็บข้อมูลรอยเท้าอาร์โคซอร์ (archosaur) สัตว์เลื้อยคลานยุคไทรแอสซิก อายุราว 230 ล้านปี ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของไดโนเสาร์ ที่ปรากฏบนผาหินทรายเรียบ มีความลาดเอียงราว 60 องศาจำนวนกว่า 300 รอยเท้า

    นายวิศัลย์ ระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยมีนักวิชาการเดินทางมาสำรวจ พบข้อมูลเบื้องต้นที่น่าสนใจ ต่อมาชาวบ้านร่วมกับทาง อบต.น้ำหนาว บริหารจัดการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปชม แต่ยังขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลกับสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งอื่นๆ ทำให้รอยเท้าของสัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์ก่อนยุคกำเนิดไดโนเสาร์ ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

    นายวิศัลย์ ยังกล่าวด้วยความทึ่งอีกว่า สาเหตุที่สัตว์โลกยุค 230 ล้านปี ทิ้งร่องรอยไว้ สันนิษฐานว่า เดิมแผ่นหินบริเวณนี้เป็นดินเลน เมื่ออาร์โคซอร์ เลื้อยคลานผ่านทำให้ทิ้งรอยเท้าไว้ ต่อมาดินเลนส่วนนี้ถูกทับถมกระทั่งกลายเป็นหิน แต่หลังจากเกิดการเคลื่อนของชั้นเปลือกโลก ทำให้แผ่นหินบริเวณนี้ถูกดันสูงขึ้น

    ทั้งนี้ ข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ระบุว่า อาร์โคซอร์ (อังกฤษ: Archosaur, มาจากภาษากรีกแปลว่า กิ้งก่าผู้ครองโลก) ได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกหนึ่ง ซึ่งมีกะโหลกแบบ diapsid (มีสองโพรงในแต่ละด้าน) ซึ่งในอดีตรวมไปถึงไดโนเสาร์ ส่วนสัตว์พวกอาร์โคซอร์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ จระเข้ และ นก สำหรับช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ได้แก่ไทรแอสซิกตอนต้น

    อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าอาร์โคซอร์ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อไร พวกที่จัดให้สัตว์เลี้อยคลาน Archosaurus rossicus และ/หรือ Protorosaurus speneri ว่าเป็นอาร์โคซอร์เต็มตัว จะถือเอายุคเพอร์เมียนตอนปลายเป็นจุดเริ่มต้น ในขณะที่อีกกลุ่มจัดสัตว์เลื้อยคลานข้างต้นเป็นพวก อาร์โคซอริฟอรมส์ (archosauriformes)และนับให้อาร์โคซอร์ วิวัฒนาการต่อจาก archosauriformes อีกทอดหนึ่ง ยึดเอายุคโอลีนีเคียน (Olenekian, ตรงกับยุคไทรแอสซิกตอนต้น) เป็นจุดกำเนิด
    [​IMG]

    [​IMG]


    ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2013
  20. มณีจำปา

    มณีจำปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,423
    ค่าพลัง:
    +9,369
    [​IMG]

    คุณในนิมิตร ถ้าเป็นบลูเบอรี่ แบบนี้หละค่ะ อิอิ พอได้ไหม แซวเล่น ขำขำ นะค้า [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...