@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    87ZPeoz4V9WZy9Q1IafknBtNDd23yh1zDUAMoMfp5Gn&_nc_ohc=euQrX0asY-YAX-8w3vv&_nc_ht=scontent.fbkk22-4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    มีครั้งหนึ่งหลวงปู่ครูบาชัยวงศาพัฒนาได้อาพาธ ลูกศิษย์ที่เป็นหมอที่ศิริราช นิมนต์ท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช
    ความทราบถึงสมเด็จพระญาณสังวรฯ ซึ่งทั้งสองท่านรู้จักกันมาก่อน สมเด็จได้มาเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาล สมเด็จได้เสด็จเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่พักรักษาตัว
    ครูบาวงศ์ท่านพอเห็นสมเด็จญาณมาหา ก็ลงมานั่งกราบสมเด็จ พอครูบาวงศ์ท่านกราบสมเด็จที่นั่งเก้าอี้ในห้องเสร็จ สมเด็จญาณท่านก็นิมนต์ให้หลวงปู่ครูบาวงศ์นั่งเก้าอี้บ้างแล้วท่านก็กราบหลวงปู่ครูบาวงศ์
    ขณะที่ลูกศิษย์ที่ติดตามสมเด็จ ก็คิดในใจว่า
    #ทำไมสมเด็จมากราบพระบ้านนอกไม่มีสมณศักดิ์แบบนี้
    ฉับพลันสมเด็จฯ ก็หันหลังกลับไปบอกลูกศิษย์ที่ติดตามโดยทันทีว่า
    “ ที่ครูบาวงศ์ กราบ(สมเด็จญาณ)คือ สมมุติ
    แต่ที่นี่ (สมเด็จญาณ)กราบ ครูบาวงศ์ คือ วิมุตติ ”
    hS3x3DOhgKUtga50LZ4z0n2ZhvX08CbMMCXfy57JgRN&_nc_ohc=7J_jLqaN5lAAX8Qzx9R&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg


     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    #คาถาปะฏิจจะสะมุปบาท 1f64f.png
    หลวงพ่อเดิม สอนวิธีการใช้พุทธมนต์บทนี้ เด่นด้านการถอนคุณไสยต่าง ๆทั้งปวงได้ทั้งหมดสิ้น
    อะวิชชาปัจจะยา สังขารา สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง
    วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง นามะรูปะปัจจะยา สะพายะตะนัง
    สะพา ยะตะนะปัจจะยา ผัสโส ผัสสะปัจจะยา เวทะนา เวทะนาปัจจะ
    ยา ตัณหา ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
    ภะวะปัจจะยา ชาติ ชาติปัจจะยา ชะรามะระฆัง โกสะปะริเทวะ
    ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ ฯ เอวะเมตัสสะ เกวะสัสสะ
    ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ ฯ
    อะวิชชายะเตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ
    สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ
    นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ สะพายะตะนะนิโรธา
    ผัสสะนิโรโธ ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ อุปาทานะโรธา ภะวะนิโรโธ
    ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะ
    ทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ ฯ เอวะเมตัสสะ เกวะสัสสะทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ ฯ
    #พระคาถาบทนี้ คาถาปะฏิจจะสะมุปบาทนี้ ในเนื้อหาของบทสวดกล่าวถึง
    สภาวะธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุปัจจัย เกิดขึ้นและเมื่อจะดับเพราะเหตุปัจจัยดับ
    หลวงพ่อเดิมท่าน ใช้คาถาบทนี้ในด้านสู้ผีดับพิษร้อนปลุกเสกผ้ายันต์
    ติดตัวไปป้องกันคุณไสย ใช้เสกน้ำมนต์ ดื่ม อาบ ประพรมในบ้านเรือน
    ป้องกันนิมิต และลางร้ายทั้งปวง และในด้านการถอนคุณไสยต่าง ๆทั้งปวงได้ทั้งหมดสิ้น คุณการกระทำทั้งปวง เช่น คุณของน้ำมันพราย น้ำมันเสน่ห์กระดูกเป็นต้น และท่านได้ใช้เป็นคาถาปลุกเสกเครื่องรางของขลังด้วย
    1f337.png ผู้ที่สวดคาถา ปะฏิจจะสะมุปบาทนี้ เป็นประจำทุกวันแล้ว จะเป็นผู้มีสติปัญญาดี ความจำดี มีจิตใจมั่นคง แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง
    บทความโดย อ.เนส์ ชัยนาท
    เครดิต จากเพจ : คาถาครูพักลักจำ
    =AZUp0foeJ-fuHrOPlugiBHRI1K4K8qQgfSzWlRKYV06YQtTScilgMsoRZr1Ln0QZz1904CuGsDjjgoF3emaTbQrPGjuATWSbMNtBVrPd-CnATWsZMxNA26Ta-iUfQZH-NSyzl8QEAJPUlTHRYMnYqluaNsZX_DKEoNYCAH-9wv6VvoKy86cu5gT5qdbpERInkvE&__tn__=EH-R'] fdq56zOzZXxWsj5iwU7_OQiiZQRtSU19da-vAKbsLyC&_nc_ohc=A-Ftxs0sGqUAX_oBFyi&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    skodHfP2qpjpxNrvg8ia8ERWztGwwlO8ltxrUjA5JqU&_nc_ohc=msScjtSRNX4AX9VCeUO&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.jpg

    ..ที่ไม่ได้เห็นอีกนั้นคือกายเนื้อที่ตัณหาปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
    แต่พบได้อีกด้วยกายธรรม และสภาวะธรรมที่สิ้นตัณหา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ถาม : แม่พระธรณีเป็นตำแหน่งหรือไม่ครับ ? ท่านเป็นเทวดาหรืออริยบุคคลครับ ?
    ตอบ : แม่ธรณีเป็นตำแหน่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วเทวดาก็ต้องจัดสรรบุคคลกับที่บารมีใกล้เคียงกับที่เขาสมมติไว้มารับหน้าที่นั้น ๆ ตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนางฟ้าชั้นจาตุมหาราช โหดสุด ๆ..! ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เป็นบุคคลทั่วไป ภาระหน้าที่ของท่านคือเป็นที่รองรับของมนุษย์และสัตว์ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งมวล ต้องบอกว่าอารมณ์ใจของท่านคล้ายคลึงกับพรหมเลย ดังนั้น..อาตมาไม่กล้าที่จะพยากรณ์ว่าท่านเป็นอะไร รู้ว่าท่านเป็นแค่นี้ก็แล้วกัน
    ถาม : หากต้องการบูชาระลึกถึงท่านควรวางกำลังใจอย่างไร ?
    ตอบ : ก็นึกถึงท่านเป็นปกติในฐานะเทวดา ว่าทรงคุณความดีอะไรบ้าง หรือจะเรียก “แม่จ๋าช่วยด้วย” ก็ว่าไป
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    . "... สัตว์เดรัจฉาน ที่เราเห็นตัวปรากฏอยู่นี่ นั่นมนุษย์ แท้ ๆ มนุษย์ทั้งนั้น อ้ายสัตว์เดรัจฉานน่ะ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเสีย อ้ายตัวข้างในเป็นมนุษย์ ทั้งนั้นแหละ อ้ายกายละเอียดข้างใน แต่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน น่าเกลียดน่าชังจริง นั่น เพราะทำชั่วของตัวไปเกิด มันดึงดูด อายตนะของสัตว์เดรัจฉานดึงดูด
    ดึงดูดอย่างไรล่ะ อ้าว! ก็ดึงดูดเข้าไปเกิดในท้องสุนัขน่ะซี ท้องหมูบ้าง ท้องสุนัขบ้าง ตามยถากรรมของมันซี ท้องเป็ดท้องไก่โน้น ดึงดูดเข้าไปอย่างนี้แหละ ดึงดูดเข้าไปได้แรงนักทีเดียว ความดึงดูดนั่น ให้รู้จักอายตนะดึงดูดอย่างนี้ อ้ายที่มันดึงดูดในพวกเหล่านี้
    ถ้าว่าหย่อนขึ้นมากว่านี้ ไปเกิดเป็นเปรต ไฟไหม้ติดตามตัวไป อสุรกายหย่อนกว่า นั้นขึ้นมา นี่พวกอุบายภูมิทั้งนั้น สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก ๔ อย่างนี่ อบายภูมิ ทั้งนั้น
    แต่นี้ชั่วไม่ได้ทำ ทำแต่ดี ทำแต่ดีก็อายตนะฝ่ายดีดึงดูด บริสุทธิ์ด้วยกาย บริสุทธิ์ ด้วยวาจา บริสุทธิ์ด้วยใจ ไม่มีร่องเสียเลย อายตนะอื่นดึงดูดไม่ได้ อายตนะมนุษย์ดึงดูด ดึงดูดอย่างไรล่ะ เกิดเป็นมนุษย์กันถมไปนี่อย่างไรล่ะ เห็นโด่ ๆ มันดึงดูดเข้าไปติดอยู่ใน ขั้วมดลูกมนุษย์นั่นแหละ มันดึงดูดอย่างนั้นแหละ นี่อายตนะมนุษย์ดึงดูดเข้ามาติดอยู่ในขั้ว มดลูกของมนุษย์นี่
    เพราะทำความบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ ถ้าว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อายตนะทิพย์ดึงดูด ติดอยู่ในกำเนิดทิพย์เป็นกายทิพย์ เป็นกายทิพย์เป็นลำดับขึ้นไป จาตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี อายตนะดึงดูดทั้งนั้น นี่ในกามภพ ๑๑ ขั้น คือ อบายภูมิ ๔, สวรรค์ ๖, เป็น ๑๐, มนุษย์อีก ๑, รวมเป็น ๑๑ ใน ๑๑ ชั้นนี่เรียกว่ากามภพทั้งนั้น ..."
    ✍️คัดลอกบางส่วนจาก✍️
    พระธรรมเทศนา เรื่อง ติลักขณาทิคาถา
    เทศน์เมื่อ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
    โดยพระเดชพระคุณ #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
    #หลวงพ่อวัดปากน้ำ

    *************************

    แม่ชีอาจารย์ทองสุข สำแดงปั้น ท่องนรก
    แม่ชีอาจารย์ทองสุข สำแดงปั้น ตั้งแต่รู้ข่าวหลวงพ่อวัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) ท่านไปเทศน์โปรดสัตว์นรก และรู้ช่องทางที่จะไปแล้วก็เริ่มทำสมาธิ และฝึกหัด “ม้าแก้ว” คล่องแคล่วอยู่ทุกวัน รอโอกาสที่จะหนีหลวงพ่อไปนรกบ้าง
    วันหนึ่ง สบโอกาสเหมาะหลวงพ่อท่านถูกนิมนต์เข้ากรุงเทพฯ แม่ชีอาจารย์ สั่งเพื่อนในห้องฝึกหัดกรรมฐานว่า “อย่าให้ใครมายุ่งกับร่างกายของฉันนะ”
    แล้วก็เข้าที่ทำ “สัมมา อะระหัง” เดินฌานจนดิ่งเงียบสงบดีแล้วจึงอธิฐานขอไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง แล้วก็ขึ้นขี่ม้าแก้วห้อออกไปจากวัด
    แม่ชีอาจารย์เล่าว่าพริบตาเดียวเท่านั้นถึงเมืองนรกนี้ไม่ไกลเลย รูปร่างของเมืองมองเห็นกำแพงแต่ไกล เป็นกำแพงเก่า ๆ มีคนเฝ้าแต่ม้าแก้วห้อเร็วเหลือเกิน พอคนอ้าปากถามเท่านั้น แม่ชีอาจารย์ยังไม่ทันตอบว่ากระไร ม้าแก้วก็กระโดดพรึบไปแล้ว
    ภายในกำแพงมองเห็นบ้านเรือน 2-3 หลัง แต่เป็นหลังใหญ่ ๆ ผู้คนมีทั้งชายและหญิง ร่างกายหน้าตาเหมือนมนุษย์เราดี ๆ นี่เองแต่ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นหนึ่งติดตัว
    แม่ชีอาจารย์บ่นกับม้าแก้วดัง ๆ ว่า “พวกนี้บัดสีจริง ๆ ดูซิเดินแก้ผ้าล่อนจ้อน ไม่อับอายใคร ๆบ้างเลยแน่ะ! ว่ายังหันมามองตาโตทะเลิ่กทะลั่กอีก ไม่รู้จักอายจริง ๆ เห็นไหมวิ่งมากันใหญ่แล้ว” ม้าแก้วร้องว่า “หนีเถอะ ๆ” “ไปหนีมันทำไม” “ประเดี๋ยวมันจะจับเราแก้ผ้าบ้างนะซีอาจารย์ บอกไม่เชื่อ หนีเถอะน่ะ” ม้าแก้วร้องเตือน
    พอดีพวกในเมืองนรกก็วิ่งมาถึง ต่างตนเข้าล้อมหน้าล้อมหลัง อีก 4-5 ตน เข้าจับม้าไว้ อีก 4-5 ตน ฉุดแขนอาจารย์ให้ลงจากหลังม้า อาจารย์ไม่ยอมลง พวกเขาก็พาออกแรงอุ้มให้ลง
    แม่ชีอาจารย์บอกว่า โมโหจริง ๆ จะใช้จักรแก้วขว้างมัน มันก็จับมือไว้ ม้าก็ดิ้นทั้งเตะทั้งโขก แต่สู้พวกเมืองนรกไม่ไหว เขาพากันฉุดอาจารย์ผ่านไปตามบ้านเก่า ๆ โกโรโกโส เหมือนกระท่อมจวนจะพังหลายหลัง แม่ชีอาจารย์ก็มองเข้าไปในกระท่อมเหล่านั้น บางแห่งก็แลเห็นผู้หญิงเปลือยกายอยู่กับสุนัขตัวผู้ บางแห่งก็แลเห็นคนผู้ชายเปลือยกายอยู่กับสุนัขพันธ์ใหญ่ตัวเมีย ในสภาพที่นอนอยู่ในที่เดียวกัน เหมือนสามีภรรยา และบางแห่งก็แลเห็นคนอยู่กับหมู ม้า แพะ แกะ โค กระบือ
    แม่ชีอาจารย์มองแล้วแปลกใจและตกใจ จึงถามพวกนรกที่ฉุดไปว่า “ทำไมพวกนั้นจึงอยู่กับหมา เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
    สัตว์นรกตอบว่า “มันชอบของมันอย่างนั้น ก็ต้องตามใจมัน” แม่ชีอาจารย์ถามอีกว่า “แล้วนี่พวกแกจะจับกุมฉันไปไหน?” เขาตอบว่า “นายสั่งให้จับไปให้นาย”
    แม่ชีอาจารย์จึงออกอุบายว่า “ไม่ต้องจับมือถือแขนดอก ปล่อยเถอะฉันเดินไปเอง ฉันนึกออกแล้ว นายของพวกเธอชื่อ ยมบาล เป็นเพื่อนสนิทกับหลวงพ่อฉันเอง ฉันตั้งใจจะมาเยี่ยม ปล่อยฉันเถอะ”
    พวกสัตว์นรกยอมฟัง จึงปล่อยมือ แม่ชีอาจารย์เดินตาม เขาก็พาเดินตรงไปยังเรือนหลังใหญ่ ท่าทางโอโถงกว่าทุก ๆ แห่งที่ผ่านมา
    มองเห็นทหารถือขวานเล่มใหญ่เท่าหมอนอิง ยืนท่าทางขึงขัง อยู่หน้าสองตน ข้างในมีโต๊ะตัวใหญ่ มีคนนั่งอยู่ ๓ คน คนกลางอายุประมาณห้าสิบเศษ ๆ หวีผมตั้ง อ้วนล่ำใหญ่โตผิวดำเป็นประกาย หน้าผากกว้าง จมูกแบนใหญ่ ไม่สวมเสื้อ แต่นุ่งผ้าอย่างดี คนนั่งข้างขวากำลังเปิดบัญชีเล่มใหญ่ ได้ยินเสียงบอกวันเกิด วันตายของผู้ที่ถูกจับมา เขาตะโกนบอกดัง ๆ
    แม่ชีอาจารย์ได้ยินแล้ว อยากรู้เรื่องจึงบอกกับพวกนั้นว่า “ยมบาลไม่ว่าง ฉันจะนั่งข้าง ๆ ศาลนี่แหละ ไว้ท่านว่างแล้วฉันจึงจะเข้าไปหา พวกแกไปทำอะไรก่อนก็ไปเถอะ ฉันไม่หนีหรอก เพราะฉันไม่ได้ถูกจับเข้ามา”
    พวกนั้นก็เชื่อจึงปล่อยมือ แม่ชีอาจารย์ก็เข้าไปนั่งแอบข้างประตู เพื่อจะดูว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร
    สักครู่หนึ่งก็เห็นพวกทหารผีจับผู้ชายคนหนึ่งไปมัดมือด้วยโซ่ที่คอก็มีโซ่เส้นใหญ่สวมอยู่ เขาถูกลากครึ่งจูงเข้ามาที่หน้าบันลังก์ เสมียนคนนั่งทางขวามือถามชื่อและวันเกิด แล้วถามยมบาลว่าใช่ตัวจริงไหม ยมบาลพยักหน้า
    เสมียนที่นั่งทางซ้ายมือก็ถามขึ้นว่า “แกประพฤติตัวเลวทรามมาก ข่มขืนผู้หญิงใช่ไหม” คนโทษตอบว่า “เปล่า” ในทันใดนั้นเอง ก็มีผู้หญิงสาวสองคนวิ่งมาจากห้องทางด้านหลังมาชี้หน้าผู้ชายที่ถูกจับมาแล้วร้องว่า “แกโกหก ต่อหน้ายมบาลแกยังกล้าโกหก” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หันมาฟ้องยมบาลว่า “ท่านเจ้าค่ะ ไอ้คนนี้แหละที่บังคับหนูกินยาเม็ด ๆ ไป 4-5 เม็ด แล้วบังคับหนูนอน แล้วทำร้ายหนูค่ะ”
    แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้รำพันว่า “โธ่! หนูอุตส่าห์ยอมลำบากมา ทนเป็นลูกจ้างมัน เพื่อจะเอาเงินไปให้แม่ซื้อยารักษาตัว มันยังทำหนูได้”
    พอชายคนนั้นจะเถียงอีก เขาก็สะดุ้งขึ้นจนสุดตัวเหมือนถูกทำร้าย เขาร้อง “โอ๊ย!” เสียงดังลั่น
    และในทันใดนั้น ปากของเขาก็ฉีกออกไป ลักษณะของแผลเหมือนถูกเสือตะปบ เลือดออกท่วมปากทันที เสียงเขาร้องครางอย่างเจ็บปวด และว่า “ผมทำผิดแล้ว ขอโทษด้วย ๆ”
    ยมบาลร้องสั่งทันทีว่า “เอาไป เอามันไป ปากแข็งนัก ทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับ กลางวันให้เอาหอกแทงปากทะลุถึงท้อง กลางคืนให้นอนกับหมาป่า”
    แล้วยมบาลหันมาพูดกับหญิงสาวอย่างมีเมตตา “เจ้าเป็นคนดี มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่มีกรรมเก่ามาตามทัน จึงต้องเสียชีวิตก่อนอายุขัย เราจะให้เจ้าไปพักที่ปราสาทก่อน รอกำหนดที่จะจุติไปชั้นดาวดึงส์ ไปเถิดไปสู่ที่เป็นสุข”
    แม่ชีอาจารย์เล่าว่า พอยมบาลให้พรเสร็จเท่านั้น แทบไม่น่าเชื่อ แม่ชีอาจารย์ต้องกระพริบตาดูใหม่อีกทีว่า จะใช่ผูหญิงคนนั้นหรือไม่ เพราะรูปร่างหน้าตาก็คล้าย ๆ กันกับคนเก่า แต่ทุกอย่างสวยขึ้น ละเอียดขึ้น เสื้อผ้าหยาบ ๆ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นสวมมาแต่แรกก็กลับเป็นใหม่และสวยงามขึ้นหลายสิบเท่า แต่การตัดเย็บเป็นแบบเก่าเท่านั้นเอง แต่สวยงามขึ้นมาก แล้วก็มีผู้หญิงสวย ๆ มาต้อนรับเชื้อเชิญให้ไปอยู่ด้วยกัน
    พอเขาไปกันแล้ว แม่ชีอาจารย์ทองสุก ก็นึกในใจว่า ไปเป็นสุข ๆ เถอะแม่คุณ คนมีความกตัญญูเลี้ยงพ่อแม่ รักษาพ่อแม่ ตายแล้วจะได้ไปเกิดเป็นนางฟ้า จะให้เขาเขียนลงในหนังสือด้วย คนอื่นๆจะได้รู้ทั่วๆกันจะได้ทำความดีต่อพ่อแม่ด้วย
    สักประเดี๋ยวหนึ่ง ก็มีทหารของยมบาล ๔ ตน ฉุดกระชากลากชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเข้ามา เสมียนก็บอกความผิดว่า คนทั้งสองนี้หนีพ่อแม่ไปทำความผิดด้วยกัน พ่อแม่ว่ากล่าวก็เลยกินยาตายทั้งคู่
    เสียงยมบาลถามว่า “ทำไมจึงกินยาฆ่าตัวตายพร้อมกัน” เขาตอบว่า “เรารักกันมากครับ พ่อแม่ไม่ยอม เราจึงกินยาฆ่าตัวตายพร้อมกัน คิดว่าจะได้มาอยู่ด้วยกันในเมืองนี้” “สัตว์ผู้โง่เขลา!” ยมบาลดุเสียงดังแล้วว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าทำความชั่วแล้วจะได้มาอยู่ด้วยกันอย่างสบายในเมืองเรา เจ้าเป็นคนไม่มีความกตัญญูทำให้พ่อแม่ทุกข์โศก บาปของเจ้าไม่เสมอกัน เจ้าจะอยู่ภูมิเดียวกันอย่างไรได้” ยมบาลว่าแล้วก็หันไปถามเสมียนว่า “บาปของมันต่างกันอย่างไรบ้าง” เสมียนก้มหน้าลงอ่านในสมุดเล่มใหญ่ที่สุดแล้วบอกว่า “คนผู้ชายนั้นขโมยเงินพ่อแม่ และสูบยาเสพติดด้วย ไม่เคยทำบุญทำทานเลย ส่วนผู้หญิงนั้น เวลาแม่ว่าก็ด่าแม่และกระทืบเท้า ไม่ค่อยทำบุญ แม่เรียกให้ลุกขึ้นหุงข้าวใส่บาตรก็ไม่ยอมทำให้ แต่เคยช่วยคนแก่ที่เป็นลม โดยให้ยาและพาส่งให้หมอรักษาจนหาย” ยมบาลสั่งเสียงดังว่า “แยกมันไปคนละขุม” พวกทหารก็ตรงเข้ากระชากมือออกจากกันแล้วลากไปโดยเร็ว เสียงคนทั้งสองร้องเรียกหากันอย่างโหยหวน
    พอยมบาลลุกขึ้น จะกลับเข้าข้างใน ก็สั่งทหารที่เฝ้าหน้าศาลว่า “ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญมาแอบดูอยู่คนหนึ่ง จงอนุญาตให้แกดู จะได้จำไปบอกเล่าแก่ชาวมนุษย์ จะได้ไม่กล้าทำบาปหยาบช้า นรกกี่ขุมๆก็เต็มล้นหมดแล้ว เพราะคนใจบาปมากเหลือเกิน” สั่งแล้วก็เข้าไป
    ทหารก็ให้ผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางจัดจ้านเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ในเมืองนรกคนหนึ่งมาพาแม่ชีอาจารย์ บอกว่า “ไปเที่ยวดูขุมต่าง ๆ กันเถอะ”
    แม่ชีอาจารย์อยากดูอยู่แล้ว ก็รีบลุกขึ้นตามเขาไปอย่างว่าง่าย เขาพาเดินมาถึงห้องขังที่มีคนอยู่กับหมา แม่ชีอาจารย์จึงถามเขาว่า “ทำไมจึงเอาคนไปไว้กับหมา”
    เขาตอบว่า “คนเหล่านี้มีโทษ ในเรื่องขืนใจหมา คือหมาบางตัวก็มีจิตใจดี ซื่อตรงต่อสามีหรือภรรยาของมัน แต่คนต้องการอยากจะได้ลูกไว้ขาย ก็บังคับหรือล่อให้มันกินยาเพิ่มความกำหนัด แล้วบังคับให้ผสมพันธุ์กับตัวอื่นๆที่มันไม่รัก ทำให้มันได้รับความเจ็บปวด ครั้นเวลามันตายมันก็มาฟ้อง จึงต้องจับขังไว้กับหมา หมามันจะกัดทุกวันและทุกเวลาที่จะนอนหลับ”
    แม่ชีอาจารย์ฟังแล้วก็ตกใจ มองไปก็แลเห็นคนที่ถูกจับขังอยู่กับหมานั้น ต้องเที่ยวหลบเขี้ยวหมาอยู่อย่างวุ่นวาย เพราะหมาตัวใหญ่เกือบเท่าลูกม้าและดุร้ายมาก กัดตามหน้าและคอของคน
    แม่ชีอาจารย์เห็นแล้วมีความกลัวจึงถามว่า “หมาตัวนี้หรือที่ถูกข่มเหง” ผู้หญิงผู้คุมตอบว่า “ไม่ใช่ นี่เป็นหมาของยมบาลมีไว้สำหรับลงโทษผู้ทำผิด ไม่ใช่หมาคู่เวรคู่กรรมกัน”
    แม่ชีอาจารย์ฟังแล้วก็นึกในใจว่า เมื่อขามาผ่านกรงขังเห็นคนอยู่กับหมาบ้าง แพะบ้าง สัตว์ต่างๆบ้าง ถ้าจะมีกรรมเพราะขืนใจมัน ก็เป็นอาชีพที่ทุจริตเหมือนกัน
    แล้วแม่ชีอาจารย์ก็เดินตามเจ้าหน้าที่เขาต่อไป พอถึงทางเลี้ยวจะออกไปทางเก่าก็ปะทะเข้ากับคนกลุ่มใหญ่ แม่ชีอาจารย์ตกตลึง มองดูคนกลุ่มนั้น เห็นหัวแตกก็มี แขนหัก ขาหัก อกทะลุไม้ปักอกก็มี อีกคนหนึ่งมีอะไรวงกลมๆทับ หรือกระแทกติดอยู่ที่หน้าอก โลหิตโชกไปหมดทั้งตัว
    เสียงเจ้าหน้าที่ถามว่า “อะไรกัน ทำไมจับมาพร้อมกันมากมาย” เสียงทหารผีตอบว่า “มันไปเที่ยวสำมะเลเทเมา รถคว่ำเลยจับมาเป็นหมู่ใหญ่” เสียงผู้คุมหญิงพูดว่า “ดีเหมือนกันไม่ต้องจับทีละคน”
    เมื่อพวกทหารผีของยมบาล จับพวกรถคว่ำมามากมายแล้ว แต่ละคนก็หัวแตก แขนหัก อกทะลุ ร้องโอดโวยวาย
    แม่ชีอาจารย์รู้สึกตกใจกลัว จึงบอกเจ้าหน้าที่ผู้หญิงซึ่งยมบาลสั่งให้พาเที่ยวดูสัตว์นรกนั้นว่า “แหม! น่ากลัวจริง ๆ ตายเป็นหมู่ ๆ อย่างนี้ เขามีบาปหนักอะไรบ้าง”
    เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ตอบว่า “เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือเดี๋ยวก็รู้ เพราะเมืองนี้เป็นวงกลม เดินอ้อมไปประเดี๋ยวก็พบศาลตัดสินผู้ที่ถูกจับมาใหม่ เหมือนที่แม่ชีอาจารย์เข้ามา”
    เจ้าหน้าที่พาแม่ชีอาจารย์เดินผ่านไปหลายแห่งพอมาถึงหน้าศาลก็หยุด แม่ชีอาจารย์ทองสุขมองไปในศาล แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด บัลลังก์ก็สวยงามใหญ่โตเป็นสง่า เสมียนซ้ายขวาแต่งตัวเหมือนข้าราชการนายทหารผู้ใหญ่ นั่งวางท่าสง่าหนวดโง้ง ทหารรักษาประตูมีเป็นกองร้อย ล้วนเข้มแข็ง ถืออาวุธ ยมบาลแต่งตัวเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน สวยงามมากเป็นสง่าน่ากลัว ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด
    แม่ชีอาจารย์จึงถามเจ้าหน้าที่ว่า “นี่เป็นศาลใหม่หรือ” เขาตอบว่า “ไม่ใช่ เป็นศาลเก่า แต่วันนี้สัตว์ผู้ถูกจับมาใหม่คงจะเป็นเจ้านายใหญ่โตทางเมืองมนุษย์ ยมบาลจึงเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างในศาลให้ดูน่าสะพรึงกลัว ใหญ่โตเต็มไปด้วยอำนาจราชศักดิ์ และเกียรติศักดิ์เพื่อให้ผู้ถูกจับมาจะได้เกรงขาม ยมบาลท่านแปลงตัวได้ทุกอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติก็ได้ ให้แปลกประหลาดพิสดารก็ได้ ถ้าจับคนใจร้ายดุดันเป็นจอมโจรมา ท่านก็แปลงตัวเป็นดุร้ายหน้าตาเหมือนยักษ์ทำอำนาจตวาดและกระทืบบาทดังสนั่นหวั่นไหว ให้ดูน่ากลัว ยิ่งกว่าจอมโจรนั้นๆหลายพันเท่า”
    “ทั้งนี้เพื่อเป็นการปราบพยศสัตว์ต่าง ๆ เสียแต่แรกพบ มนุษย์ทุกคนเมื่อไปสู่เมืองยมบาลแล้ว ถึงจะเคยใหญ่โตแค่ไหน ยมบาลหรือเจ้าหน้าที่ในเมืองนั้นก็เรียกว่า “สัตว์นรก”ทั้งนั้น และการลงโทษก็ไม่เห็นแก่หน้ากัน ถึงเป็นญาติกันมาก็ไม่ผ่อนผัน ทุกคนต้องได้รับโทษไปตามกรรม”
    แม่ชีอาจารย์ฟังเจ้าหน้าที่เขาอธิบายแล้วจึงว่า เธอจะไปไหนก่อนก็ไปเถิด ฉันจะดูยมบาลท่านตัดสินพวกรถคว่ำก่อนถึงจะกลับ แล้วก็ค่อยๆเดินกลับไปนั่งที่เก่า
    สักครู่หนึ่งก็แลเห็นยมทูตพาพวกที่ตายเพราะรถคว่ำเข้ามาเป็นแถว เสมียนซ้ายขวาก็เปิดบัญชี ถามชื่อและสถานที่อยู่เพื่อสอบดูว่าจะใช่ตัวคนหมดอายุจริงหรือไม่
    คนแรก มีไม้กลม ๆ แม่ชีอาจารย์ดูเป็นนานจึงรู้ว่าเป็นพวงมาลัยอัดแน่นติดกับหน้าอก เลือดหยดมาเป็นทาง ยมบาลสอบถามได้ความว่า เขาเป็นคนมียศใหญ่ในเมืองมนุษย์ ขับรถส่วนตัวพาเพื่อน ๆไปหานางโลมและกินเหล้าเมาจึงขับรถชนรถคนอื่น ตัวเขาเองถูกพวงมาลัยกระแทกเข้ากับอกจึงตาย
    เสมียนเปิดบัญชีแล้วว่า “อาชีพของเขาทำราชการก็ไม่สุจริต มีการโกงกินกับพ่อค้า ค้าของร้ายคืออาวุธประหัตประหาร แอบขายปืนเถื่อน ทำให้ผู้ร้ายชุกชุม ตัวเขาเองเคยสั่งลูกน้องให้แอบฆ่าคน แล้วยังไม่ได้รับโทษทางเมืองมนุษย์เลย”
    ยมบาลทรงพิโรธตวาดว่า “เจ้าสัตว์ผู้มัวเมา เจ้ากระทำความผิดอย่างมากมาย เจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไร ข้าเห็นเจ้าอ้าปากอยู่ตลอดเวลา” ชายคนนั้นตอบว่า “ผมไม่ได้ทำผิด ถ้าทำผิดศาลทางเมืองมนุษย์เขาก็ตัดสินลงโทษแล้ว”
    เสมียนตอบว่า “แกต้องมีความผิดแน่ เพราะผู้ตรวจสอบความประพฤติของมนุษย์มารายงานทุกครั้ง” แต่ชายผู้นั้นก็ยังปฏิเสธอยู่นั้นเอง
    เสมียนจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่อีกพวกหนึ่งไปตามโจทก์มา คราวนี้มีคนมากลุ่มใหญ่ มีผู้หญิงชี้หน้าว่าชายผู้นั้นล่อลวง ล่อลวงว่าจะให้ทำงานและจะให้เงินเดือนและผลที่สุดก็ทำลายความบริสุทธิ์ ทำลายแล้วก็ให้ลูกน้องพาไปเข้าซ่องหาเงินต่อไป
    อีกคนหนึ่ง สวยมาก เข้ามายืนยันว่าชายผู้นั้นหลอกลวงว่าจะเอาไปให้เจ้านาย แต่ผลที่สุดก็ทำลายเสียก่อนแล้วจึงนำไปส่ง ได้รับความทารุณจนต้องกินยาตาย พวกผู้ชายก็มายืนยันว่า ชายคนนี้มีการค้าของผิดกฎหมายและแอบฆ่าเขาเพื่อเป็นการปิดปาก เมื่อมีโจทก์มายืนยันเข้าจริง ๆ จัง ๆ ชายคนนั้นก็เถียงไม่ได้ ยมบาลจึงให้ไปลงขุมซึ่งมีไฟนรกไหม้อยู่ตลอดวันตลอดคืน
    พอชายคนนั้นถูกทหารของยมบาลพาตัวไปแล้ว ทหารก็พาคนโทษมาใหม่อีกคนหนึ่ง แม่ชีอาจารย์เห็นแล้วตกใจ เพราะว่าเป็นทิดสึกใหม่ ผมยังสั้นเกรียนอยู่ จึงตั้งใจคอยฟังดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกัน ก็ได้ยินเสียงยมบาลตวาดว่า “สัตว์ผู้โง่เขลา ทำไมบวชแล้ว จึงยังทำชั่ว เวลาอุปัชฌาย์อาจารย์สอนให้ปลงอสุภ พิจารณา เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ไม่ได้ทำดอกหรือ” เขาบอกว่า “ผมว่าตามเมื่อเวลาจะบวชเพียงครั้งเดียว บวชแล้วไม่ได้เคยเข้ากรรมฐานพิจารณาตัวเลย พอลาสิกขาบทเพื่อนชวนไปหานางโลมและเสพสุรา จึงไปกับเพื่อน พอดีรถชนกันเลยคอหักตาย”
    ยมบาลท่านก็สอนว่า “นี่แหละ เข้าใกล้พระธรรมแต่ไม่ทำตาม จึงเป็นอย่างนี้ ตลอดเวลาที่บวชก็มีความผิดต้องสังฆาทิเสสบ่อยๆ ไม่สำรวมระวังในพระวินัยของพระสงฆ์ ผิดแล้วไม่สารภาพรับผิด จึงต้องลำบากมาก”
    แล้วแม่ชีอาจารย์ทองสุขท่านก็เห็นยมบาลท่านหันไปพูดอะไรค่อย ๆ กับเสมียนอยู่หลายคำ แล้วจึงได้ยินท่านสั่งว่า “กรรมของสัตว์ผู้นี้ยังไม่หมด มาก่อนเป็นเวลา ๒ ปี เจ้าจงรับเป็นคำสัจว่า จะกลับไปสั่งสอนคนอื่นๆ ให้ประพฤติตัวอยู่ในศีล ๕ – ศีล ๘ ได้หรือไม่”
    ทิดสึกใหม่ก็รีบรับคำ ยมบาลท่านใจดี ท่านบอกว่า “ให้ทหารพาไปดูขุมนรกที่ลงโทษคนกินเหล้าและบ้ากามให้ดูนาน ๆ แล้วรีบพาไปส่งเพราะร่างจะเน่าเสียก่อนยังเหลืออีก ๒ ปี แต่ถ้าทำดีจะได้อยู่ถึง ๒๐ ปี อายุ ๔๔ จึงค่อยมาใหม่”
    ที่มา : http://www.dhammakaya.org/forum/index.php?topic=30.0
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    pQM4jnHeC0p6TSk-TjEiyeih&_nc_ohc=va76wXYkj40AX-_un0A&tn=ntkX8_79axLjp9Cm&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg

    a8VBqRgTA_OS4XGanTc8pxmM&_nc_ohc=LboNagWyL0IAX8cZvR5&tn=ntkX8_79axLjp9Cm&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg

    เรื่อง.* ตายจากสุนัข ไปเกิดเป็นปลายักษ์ ในทะเลสาบ ประเทศนิวซีแลนด์ *
    * หลวงพ่อฤาษีลิงด~พระราชพรหมยานฯ..เล่าให้ฟัง
    ..." ตอนที่อาตมา และ คณะเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ได้ไปที่ ทะเลสาบโรโตรัว
    ~ ในทะเลสาบแห่งนี้ เวลานี้ มีปลาอยู่ตัวหนึ่ง รูปร่างคล้ายปลาตะโก้ หรือปลาแดง ตัวยาว ๑ โยชน์
    * กำเนิดของปลาตัวนี้จริง ๆ ในสมัยนั้นเป็นิปลายสมัยพระพุทธเจ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป
    ~ เวลานั้น มีสุนัขตัวหนึ่ง พวกเมารีทั้งหมดไม่ชอบฆ่าสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์ ชอบให้ทาน โปรดสัตว์มาก และมีฝูงปลาอยู่ ชอบเลี้ยงปลาด้วย พอลงไปใกล้แม่นํ้า ปลาจะวิ่งเข้ามาหาเลย สุนัขตัวนี้ ก็ชอบไปดูปลาด้วย
    ~ เวลาให้อาหารปลา มันก็มองดู เวลาเขาเปิดอาหารปลาไว้ มันอยากไปดูปลามั่ง มันก็คาบอาหารโปรยและก็มองดูปลา
    * หลังจากตายจากสุนัขชาตินั้นแล้ว อาศัยมีเมตตาจิตก็ไปเสวยสุขอยู่บนแดนสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก ชั่วคราว
    ~ และอาศัยความมีเมตตาจิต จึงขออธิษฐาน มาเกิดเป็นปลายักษ์ ยาว ๑ โยชน์ เพื่อเลี้ยงปลาตัวเล็ก ๆ เพราะเห็นปลาตัวเล็ก ๆ เป็นเหยื่อของปลาตัวใหญ่ หาอาหารได้ยาก
    ~ ก็เอาตะไคร่นํ้า หรือ อาหารที่ตัวเหลือกิน พ่นออกมาเลี้ยงปลาตัวเล็ก เวลานี้ก็ทำแบบนี้อยู่ ยามปกติไม่ไปไหน ก็พลิกตัวไปพลิกตัวมา ขยับได้นิดหน่อย
    * ความจริง เขาก็มีความเป็นอยู่คล้ายเป็นทิพย์ ถึงแม้มีเศษอาหารสักนิดหนึ่ง หรือเห็นตะไคร่นํ้าก็ตาม กินนิดเดียวก็อิ่ม ตะไคร่ที่ติดอยู่ข้างตัวก็เป็นอาหารของปลาเล็ก ๆ
    ~ เมื่อปลาเล็กเข้าไปอยู่ใกล้ ปลาใหญ่ ที่เป็นศัตรูจะไม่กล้าเข้าไปอยู่ใกล้ ไม่กล้าเข้าไปทำอันตราย บรรดาปลาทั้งหลายเหล่านั้น
    * รวมความว่า.. ประวัติของปลาตัวใหญ่ ยาว ๑ โยชน์ มาจากสุนัขตัวเล็ก
    ~ ถามเขาว่า : "จะอยู่อีกกี่ปี" เขายืนยันว่า.. "เขาจะอยู่อีก ๒๙ ปี ก็จะตายจากความเป็นปลาขึ้นไปอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามเดิม"
    ~ จากนั้นเขาตั้งใจรอพระศรีอาริย์ แต่ถ้ามาช้าเกินไปเขาจะไปก่อน เวลานี้เทวดาล้อมเขาเต็ม เทวดาไม่ต้องดำนํ้าหรอก
    * การที่ท่านเล่าเรื่องนี้ให้ มิใช่ประสงค์จะให้ทะนงตัว แต่ให้จำไว้ว่า.. การเกิดชาติใดชาติหนึ่งก็ตาม มันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ จะเห็นว่าความเที่ยงแท้แน่นอนไม่มี ใครมีปัญญาก็เอาไปคิดเป็นวิปัสสนาญาณ.."
    # ลูกศิษย์ถาม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เรื่อง.* สัตว์ในทะเลสาบ ล็อคเนส ในอังกฤษ มีจริงหรือไม่ *
    ( # เล่าเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๙ )
    ~ เมื่อตอนที่ คุณเกสรี บูลสุข กับ ม.ล. สารภี ไปเที่ยวที่ สก็อตแลนด์ ประเทศอังกฤษ ได้ไปเช่าแฟล็ตอยู่ริมทะเลสาบ ล็อคเนส ที่ร่ำลือกันว่า มีสัตว์โบราณ มาโผล่ อยู่หลายครั้ง จนตั้งชื่อ กันว่า เนสซี่ นั้น
    ~ วันหนึ่ง ม.ล. สารภี ลองทำสมาธิดู ก็ปรากฏภาพสัตว์ประหลาดนี้ขึ้น บอกว่า.. มีหลังหยักเหมือนอูฐ คอยาวหัวเล็ก หนังสีดำเหมือนช้าง อยู่ชิดภูเขาใต้น้ำ แต่มองเห็นได้ยาก เพราะสีกลืนกับหินของภูเขา
    ~ ประกอบกับแสงสว่างไม่มี น้ำก็ขุ่นอยู่ ในที่มีความลึก ประมาณ ๘,๐๐๐. ฟุต ชอบขึ้นมาข้างบน เวลามีพายุและฝนตกหนัก
    # เรื่องนี้เวลาว่าง ๆ ปลอดคน.. คุณเสริม ก็ถ่ายทอดให้หลวงพ่อฯ ฟัง หลวงพ่อฯ ก็บรรยายต่อตามที่เทวดาท่านมาทำภาพให้ดู ท่านเพิ่มเติมมาดังนี้..
    ..." สัตว์นี่ ไม่ได้มีอยู่ตัวเดียว มีอยู่เป็นฝูง จำนวนกว่า ๑๐๐ ตัว เป็นสัตว์ที่มีมาคู่กับโลก ถ้าคนไม่ลงไปทำลายมัน หรือไม่มีโรค มันจะไม่มีวันสูญพันธ์ จำนวนที่มี จะมากขึ้นบ้าง น้อยลงบ้างตามกาล
    ~ เป็นสัตว์ประเภทปลาโลมา มีตีนคล้ายเป็ด ออกลูกเป็นตัว หลังของมันหยักคล้ายอูฐ มี ๓ หยัก..
    ~ ส่วนขนาดของมันนั้น เปรียบได้ยาก สำหรับตัวที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดนั้น ตะโหงกที่หลังของมัน ๑ ตะโหงกมีขนาดเท่าควายขนาดใหญ่
    ~ สัตว์นี้ มีคอยาว หัวเล็ก หน้าเหมือนจิ้งจก แต่จมูกโตเหมือนจมูกควาย หางของมันคล้ายจรเข้ แต่ตอนปลาย มีครีบทางตั้ง คล้ายหางปลา ฟาดหางได้แรงมาก เคลื่อนที่ในน้ำได้ประมาณ ๔ ไมล์ต่อชั่วโมง
    ~ อาหารประจำของมัน คือ ปลา ลักษณะคล้ายปลาช่อน รูปร่างเหมือนเสา มีความยาว ประมาณ ๒ เมตร
    ~ การ กิน ๑ อิ่มของมัน มีปริมาณเท่าปลาทู ๓๐๐ ตัว ปลาตัวหนึ่ง สัตว์นี้กินสองสามตัว ก็อิ่ม และแต่ละสองสามวัน จึงจะกินทีหนึ่ง
    ~ อาหารอีกอย่างหนึ่ง เป็นพืชคล้าย ๆ หน่อไม้ที่ปอกเปลือก มักจะส่ายไปมาตามกระแสน้ำ
    ~โดยปกติ สัตว์นี้ นิสัยไม่ดุร้าย เว้นแต่จะถูกรังแก ตามธรรมดา มักชอบนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นท้องทะเล
    ~ ตาของมันเห็นได้ในที่มืด เพราะฉะนั้น จึงไม่กล้าสู้ กับแสงสว่าง
    ~ ถ้าจะขึ้นมาข้างบน ก็ขึ้นเพื่อเที่ยวเล่น เวลาอยู่ในน้ำ จะหายใจทางหู ซึ่งมีอวัยวะ เหมือนเหงือกปลา สำหรับช่วยในการหายใจ
    ~ วิธีล่าเหยื่อของมัน คือพ่นน้ำออกไป ด้วยความแรง และ ปล่อยน้ำพิษจากต่อมทั้ง ๒ ข้างออกไปด้วย
    ~ พิษนี้ร้ายแรงมาก ถ้าถูกคน จะปวดแสบปวดร้อน ไปถึงกระดูก และ ผิวหนังจะมีสีเขียว
    ~ ที่อยู่ของมัน คือ ถ้ำในภูเขาหินใต้น้ำ แต่เมื่อประกอบกับความขุ่นของน้ำด้วยแล้ว ถ้าลงไปก็จะมองเห็นได้ยาก เพราะมันจะถอยไปติดผนังถ้ำ ทำให้มองไม่เห็นเพราะสีกลืนกัน
    ~ ถัดจากที่อยู่ ของสัตว์เหล่านี้ ไปทางเหนือประมาณ ๑๐ ไมล์ เป็นสุสานของมัน อยู่ในระหว่างหุบเขา เวลา สัตว์ตัวหนึ่งตายไป ในสุสาน ตัวอื่นก็จะกินเป็นอาหาร อายุของสัตว์นี้ตามธรรมชาติประมาณ ๒๐๐ ปี
    ~ ใกล้ ๆ กับสัตว์นี้ ยังมีสัตว์อีกประเภทหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกบ แต่หลังเป็นกระดองเกลี้ยง เหมือนกระดองเต่า ตัวที่ใหญ่ที่สุด มีความกว้างของหน้าอกประมาณ ๔ เมตร ตัวธรรมดากว้างประมาณ ๒ เมตร
    ~ ออกลูกเป็นตัว และ มีสุสานเหมือนกัน มีจำนวนอยู่ร้อยกว่าตัว ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน กับสัตว์พวกแรก
    ~ วิธีหาอาหาร ของมัน คือ ใช้ตาที่มีพิษมอง แล้วเหยื่อหมดแรงไปไหนไม่ได้
    ~ ใกล้ ๆ กันนั้น มีปลาอีกฝูงหนึ่งรูปร่างเหมือน ปลากะโห้ ที่ตัดครึ่งตัว..."
    ( # เรื่องเหล่านี้ เป็นเกล็ดที่ท่านเล่า ให้ท่านอ๋อย และศิษย์อื่นฟัง ตามแต่จะมีเวลาว่าง ที่ท่านเล่า ก็ด้วยแน่ใจแล้วว่า ผู้ฟังมีความเข้าใจ ในเรื่องทิพจักขุญาณแล้ว ผู้อื่นที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ อ่านแล้วอาจเข้าใจว่าเป็น การอวดอุตริมนุสธรรม
    ~ แต่หลวงพ่อฯ ท่านบอกว่า.. สำหรับผู้เจริญกรรมฐาน เช่นพวกเรา พระท่านเรียกเป็น พระโยคาวจร อนุโลมว่าเป็นพระได้ นอกจากนั้น เรื่องที่เล่านี้ ก็มีการสอนเรื่องต่าง ๆ ผสมอยู่ด้วยทั้งนั้น
    ~ ถ้าหากว่า การสอนลูกศิษย์จะพูดอะไรไม่ได้เลย แล้วการสอน จะดำเนินไปได้อย่างไร
    ~ ท่านผู้อ่านโปรดระลึกว่า.. เรื่องต่าง ๆ นี้ หลวงพ่อฯ เล่าให้ศิษย์ฟัง เป็นวงในเท่านั้น ที่นำมาเผยแพร่นี้ ก็เป็นเรื่องของศิษย์ทำเองหลวงพ่อไม่เกี่ยวข้องด้วย )
    ( จากหนังสือ *ตายไม่สูญ..แล้วไปไหน* โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอก โดย ยุพยง พัฒนเจริญ )

    ภาพประกอบ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เล่า
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    “จรดใจแต่เริ่ม”
    ผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยจริงๆ แค่ขึ้นคำว่า “นะโมตัสสะ” จิตของผู้นั้นย่อมเคารพรัก อิ่มเอม แช่มชื่น ตื้นตัน นอบน้อมในพระพุทธเจ้ามากมายมหาศาลแล้ว จงย้อนดูตัวเราว่าเป็นเช่นนั้นบ้างหรือเปล่า..? หรือขึ้น “นะโม” ไปตามความเคยชิน ใจอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย พยายามจรดใจให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้น ความสุขอันละเอียด ย่อมเป็นที่หวังได้อย่างแน่นอน
    คำสอนของพระอาจารย์เอ
    pOCf1Rcb418JBWCd6ChGFvWovKk6VjXye8RFgd4P_w-C&_nc_ohc=4Gd2NqwpIl8AX95viD7&_nc_ht=scontent.fbkk2-8.jpg
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    การปฏิบัติธรรมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสร้างสติให้เกิดแก่เรา เมื่อมีสติแล้วก็ต้องมีสมาธิรองรับด้วย

    การสร้างสตินั้นก็คือ สติที่ไปในกาย ได้แก่ ลมหายใจเข้าออกอย่างหนึ่ง การพิจารณาร่างกายอย่างหนึ่ง ลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นทั้งสมถกรรมฐาน คือการทำให้จิตใจของเราสงบระงับจาก รัก โลภ โกรธ หลง

    ขณะเดียวกันถ้าพิจารณาเป็น เห็นความเกิดดับของลมหายใจเป็นปกติ อย่างเช่นว่า หายใจเข้า...พอสุดก็ดับไปแล้ว หายใจออก...พอสุดก็ดับไปแล้ว มีความไม่เที่ยงเป็นปกติเช่นนี้ แม้แต่การที่ต้องทนหายใจอยู่ก็เป็นความทุกข์ ถ้าเราเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เพราะความไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ของลมหายใจเข้าออก ก็จะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

    ส่วนการที่เรามีสติไปในกาย คือ พิจารณาเห็นร่างกายของเราว่า ไม่ใช่แท่งทึบ ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน ภายนอก น้อยใหญ่ ที่เรียกว่าอาการ ๓๒ ซึ่งเป็นทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเช่นกัน ในส่วนของสมถกรรมฐานก็คือ การที่เรากำหนดคำภาวนาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น

    แต่ถ้าเราพินิจพิจารณาว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้งหลายเหล่านี้ มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ไม่ชำระสะสางแค่วันสองวันเราก็ทนไม่ได้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ผมก็หงอก ก็ขาว ก็หลุดร่วงไปได้ ขนในร่างกายก็หงอก ก็ขาว ก็หลุดร่วงไปได้ เล็บของเราก็งอกยาวออกมาเรื่อย ๆ ฟันของเราก็หลุดก็ร่วง หนังของเราก็เหี่ยวก็ย่นลงไปได้ทุกวัน ถ้าหากว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรปรวน แล้วเราไปยึดถือมั่นหมายว่าต้องไม่เปลี่ยนแปลง เราก็มีแต่ความทุกข์ใจ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เราจะบังคับบัญชาได้ เรียกว่า อนัตตา ถ้าหากว่าในส่วนนี้จัดเป็นวิปัสสนาญาณ

    สมถกรรมฐานสร้างสติสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อมีสติรู้เท่าทัน ราคะ โทสะ โมหะ ก็ไม่เกิดขึ้นกับเรา หรือว่าถึงเกิดขึ้น ก็อาศัยอำนาจของสมาธิ ระงับยับยั้งเอาไว้ได้

    ถ้าลักษณะเบื้องต้นเช่นนี้ ก็แปลว่าเราเองนั้นพยายามปิดหนทางสู่อบายภูมิ หรือว่าพยายามระงับหนทางไปสู่อบายภูมิของเรา เพราะว่าราคะ คือความรักหรือโลภนั้น ถ้าไม่มีสิ่งอื่นมาแทรกมาปน ก็จะทำให้เราเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย ถ้าโทสะนั้นพาเราลงไปเป็นสัตว์นรกเลย ส่วนของโมหะนั้นพาไปสู่เดรัจฉานภูมิ เป็นต้น

    ถ้าเรายังไม่สามารถที่จะระงับยับยั้งได้อย่างแน่นอน ก็จำเป็นที่จะต้องเลี้ยวไปหาอารมณ์พระอริยเจ้า ก็คืออารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ปิดอบายภูมิได้อย่างแน่นอน เราต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วยังต้องมีปัญญาประกอบ คือ เห็นว่าร่างกายนี้ก้าวเข้าไปหาความเสื่อม ก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าเกิดมาแล้วต้องตายเป็นแน่แท้ แต่ถ้าตายแล้วการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ หาอะไรที่เราบังคับบัญชาให้เที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้สักอย่างนั้น จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการความหลุดพ้นจากกองทุกข์ คือพระนิพพานเท่านั้น

    ถ้าสามารถกำหนดใจของเรา ให้ยกขึ้นสู่อารมณ์เช่นนี้ได้อย่างเที่ยงแท้มั่นคง ท่านก็จะก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันที่ปิดอบายภูมิ ไม่ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็ทนทุกข์ยากแค่ ๗ ครั้งหรือ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็จะก้าวล่วงจากความทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    เพราะฉะนั้น...ทุกท่านเมื่อพินิจพิจารณามาถึงจุดนี้ ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์เช่นนี้เอาไว้ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออก ก็ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกไป ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป
    อย่าไปดิ้นรนให้พ้นจากสภาพนั้น และอย่าอยากให้เข้าถึงสภาพนั้น เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ส่วนอื่นปล่อยให้เป็นไปตามสภาวธรรม
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    y1blHeukQ8rSaJqiUhLUX9BjWxdex1gRupHaSLSrMrT&_nc_ohc=8nG_Scr8mcAAX_RTUAw&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    1f64f.png วิธีจับภาพพระพุทธเจ้าที่ได้ผลสูงสุด 1f64f.png
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    1f31f.png อันนี้ขอแนะนำไว้หน่อยหนึ่งคือว่า
    #อย่าหลงกายเกินไป จงอย่าบังคับกายว่าต้องนั่งแบบนั้น ต้องนั่งแบบนี้ ห้ามนอน ห้ามยืน ห้ามเดิน อันนี้ไม่ถูก
    เรื่องทางกายนี่
    ต้องคิดว่าเรายังไม่ใช่พระอรหันต์
    #แต่ความจริงพระอรหันต์
    ท่านก็ต้องการความสุขของร่างกายเหมือนกัน
    อย่าฝืนกาย ถ้าฝืนมันจะปวดเมื่อยขึ้นมาแล้ว
    สมาธิจะไม่ทรงตัว
    1f31f.png #ถ้าเราทำอยู่ทึ่กุฏิของเราเอง
    หรือว่าทำที่บ้านของเราละก็ นั่งตามสบาย
    นอนตามสบาย
    จะนั่งก็ได้ จะนอนก็ได้ จะยืน จะเดินก็ได้
    #การนั่งจะนั่งในลักษณะไหนก็ได้
    แต่โปรดอย่าเหยียดเท้าไปทางพระพุทธรูปก็แล้วกัน
    จะนั่งเก้าอี้ก็ได้ นั่งห้อยขา เอนกายก็ได้
    อันนี้ไม่เลือก วิธีปฏิบัติจงอย่าให้เครียด
    ถ้าเครียด ผลจะเสีย
    1f31f.png #หลังจากนั้นเอาตาดูพระพุทธรูป จำทั้งองค์
    ไม่ต้องจำมาตั้งแต่เศียร หน้าผาก คอบ้าง
    อันนี้ไม่ต้องทำตามที่เขาอธิบายกัน
    เคยได้ยินว่า
    ให้จับส่วนบนมานิดหนึ่งก่อน
    ดูเกศจับเกศได้เลยลงมาถึงหน้าผาก
    อันนี้ไม่จำเป็น
    องค์ท่านไม่กว้างเกินวงตาเรา
    แสงสว่างของวงตาของเรากว้างกว่าพระพุทธรูป
    ฉะนั้น #จับทีเดียวเต็มองค์เลย
    ลืมตาดูให้ชัด ตั้งใจจำภาพแล้วก็หลับตา
    พร้อมกันนั้นก็ใช้คำภาวนา
    1f31f.png #คำภาวนาว่าอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน
    เพราะในที่นี้พูดกลาง ๆ จะภาวนาว่า พุทโธ
    สัมมาอรหัง หรืออิติสุคโต อะไรได้ทั้งหมด
    หรือจะภาวนา นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ
    รู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย
    รู้คำภาวนาไปด้วยในตัวเสร็จ
    และ #จิตก็จำภาพ เมื่อจับภาพได้
    นึกถึงภาพให้มีความสว่างตามสมควร
    ต่อมาถ้ารู้สึกว่าภาพเลือนไปจากใจก็ลืมตาดูใหม่
    จำได้แล้วก็หลับตานึกถึงภาพพร้อมกับภาวนากับรู้ลมหายใจเข้าออก
    1f31f.png ถ้าหลับ ๆ ลืม ๆ เข้าใจว่าทำได้แน่แล้ว ก็เข้าที่พัก
    เข้าที่นอนก็ได้ นอนแบบสบาย
    จิตใจน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และ #นึกถึงภาพที่เราจำได้จนกว่าเราจะหลับไป
    ที่ใช้คำว่าจนกว่าจะหลับไปนี่มีประโยชน์
    แต่บังเอิญถ้าเกิดอารมณ์กลุ้ม
    มีอารมณ์ฟุ้งซ่านมากเกินไป ทำไป ๆ ไม่นานนัก
    #จับภาพได้ไม่ทรงตัว
    จิตมันฟุ้งซ่านจนคุมไม่อยู่
    อย่าฝืน เลิกเสียเลย
    ถือว่าระยะนั้นเอาเท่านั้น
    จาก : หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๓ (หน้าที่ ๗๓) โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    ถาม : พระปางเปิดโลกมีอานุภาพด้านใดครับ ?

    ตอบ : ตั้งใจบูชาก็ พุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดชมีอำนาจมาก แต่บางคนเชื่อว่า บูชาพระปางเปิดโลกแล้วช่วยให้เส้นทางชีวิตสะดวกสบายกว่าปางอื่น ก็แล้วแต่เขาจะเชื่อถือกัน

    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

    ..........................

    ถาม : ในขณะที่เราอาราธนาวัตถุมงคล เราจะสามารถรับรู้ได้ถึงกระแสของวัตถุมงคลนั้น ๆ ถ้าหากว่าเราไม่ได้พกวัตถุมงคล เราสามารถนึกถึงกระแสเหล่านั้นได้หรือไม่ครับ ?

    ตอบ : ได้..แต่คุณสามารถนึกแบบมีคุณภาพได้นานสักเท่าไรไม่ทราบ ?

    ถาม : การอาราธนาวัตถุมงคลให้ได้ผลเต็มที่ ต้องทรงสมาธิระดับใดในการอาราธนาครับ ?

    ตอบ : สมาบัติ ๘

    เรื่องของวัตถุมงคลวัดท่าขนุนนั้น ส่วนหนึ่งที่อาตมาขอพระท่านไว้เสมอก็คือ ถ้าหากว่ากฎของกรรม หรือวาระของกรรมเข้ามาถึง ขอให้รอดชีวิตไว้ ถึงทรัพย์สินจะเสียหายก็ไม่เป็นไร คือคนเราถ้าเอาตัวรอดได้ ทรัพย์สินอื่นก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าหากว่าถึงแก่ชีวิตไป โอกาสที่จะแก้ตัวก็ไม่มี

    โดยเฉพาะวัตถุมงคลรุ่นล่าสุด ที่พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ท่านมาสงเคราะห์ ญาติโยมส่วนหนึ่งก็มัวแต่ไปหาที่เป็นเนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อทองคำ อันนั้นอาตมาถือว่าขาดปัญญาไปหน่อย เนื้อเงิน เนื้อนาก เนื้อทองคำ แม้ว่าจะมีส่วนของมหาสะท้อนอยู่ แต่ถ้าคุณใช้วัตถุมงคลเนื้ออื่นที่ราคาถูกกว่า แล้วภาวนาคาถามหาสะท้อน ก็มีผลเหมือนกันนั่นแหละ ตะเกียกตะกายไปหาแต่ของแพงกัน อาตมาเองสมัยก่อนไม่พกสักชิ้นหนึ่ง ภาวนาคาถามหาสะท้อนอย่างเดียวก็มีผลเหมือนกัน

    ดังนั้น...เอาวัตถุมงคลรุ่นไหนก็ได้ เพราะว่าอาตมาเอาไปเข้าพิธีใหม่ทั้งหมดเลย เพียงแต่ว่าท่านที่ต้องการอานุภาพมหาสะท้อน ก็ไปเสาะหาแต่เนื้อแพง ๆ กัน

    วัตถุมงคลชุดนี้ ที่ขอพระท่านไว้หลัก ๆ เลยคือ
    ✔️ ความคล่องตัวในการเป็นอยู่...จุดนี้ต้องใช้ประกอบกับพระคาถาเงินล้าน
    ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน...เหล่านี้ต้องประกอบกับ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ
    ✔️ แล้วก็ป้องกันในเรื่องของโรคระบาด...ให้ภาวนาว่า ทุกขา ทุกขัง ปะติฏฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ
    ✔️ ส่วนด้านอื่น ๆ ที่ท่านให้มาเยอะแยะไม่ต้องไปสนใจ เอาหลัก ๆ แค่นี้ไว้ก่อน

    พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้วัตถุมงคลสองชุดที่อาตมาหวงก็คือ ตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร กับเหรียญพญาเต่ามังกรเงินล้านเนื้อเขียวเหล็กไหล เหตุที่หวงเพราะว่าวัตถุมงคลสองชนิดนี้ เข้าพิธีพลิกชีวิต เข้าพิธีสะท้านไตรภพ เข้ากรรมฐานรอบปกติสองรอบ แล้วก็เข้ากรรมฐานล่าสุดที่พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์สงเคราะห์อีกรอบหนึ่ง

    ดังนั้น...ที่หวงเพราะว่าเก็บไว้เป็นไม้ตายสุดท้าย เผื่อว่าไม่มีวัตถุมงคลที่พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ท่านสงเคราะห์แล้ว จะได้ใช้ชุดนี้แทน โดยเฉพาะเหรียญที่มีหน้าเงิน หน้าฝาบาตร ขาฝาบาตร พวกนี้ต้องปั๊มถึงแปดครั้งด้วยกัน ต้องบอกว่าพระอาจารย์เทพท่านมีกำลังใจดีมาก ของทำยากราคาแพงปานนั้น ก็อุตส่าห์สั่งทำ แล้วมอบให้กับอาตมาทั้งหมดเลย บอกว่าสร้างถวายครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์อย่างอาตมาจึงต้องสร้างถวายคืนท่านไปบ้าง"

    ตอนนี้เหรียญพญาเต่าเรือนรุ่นเขียวเหล็กไหล อาตมายังหวงอยู่ ยังไม่ให้เอาออก เพราะว่าอันนั้นเข้าพิธีพลิกชีวิต เข้าพิธีสะท้านไตรภพ เข้ากรรมฐาน ๓ วัน สองรอบกับรอบพิเศษอีก ๑ รอบ"

    พระอาจารย์กล่าวว่า "เหรียญหรือผ้ายันต์พญาเต่ามังกรเงินล้านเปิดโลกพลิกชีวิต ถ้าคนอ่านอักษรขอมออก จะเห็นว่ามี

    ✏️ พระคาถาหัวใจพระเจ้า ๑๖ พระองค์ มีพระคาถาเงินล้าน มีคาถาพญาเต่าเรือน มีคาถาเมตตา นะสิวัง พรหมา ของหลวงพ่อกวย อันนี้เมตตาทางค้าขายโดยเฉพาะ

    คาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง คราวนี้บางทีเขาเพิ่มให้อีก ๑๖ พระองค์ คือ อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง อะสุนะอะ

    คาถานี้ครูบาอาจารย์ทางสายหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อกวย ท่านใช้สืบ ๆ กันมา เสกของในร้านให้ค้าขายดี ส่วนพระคาถาเงินล้าน พวกเรารู้กันอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ในพระคาถาเงินล้านก็ยังมีหัวใจพญาเต่าเรือนพิทักษ์ทรัพย์ คือ นาสังสิโม อยู่ด้วย"

    "บางทีญาติโยมอาจจะมองข้ามสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง ก็คือผ้ายันต์พญาเต่ามังกรเงินล้านฯ ถ้าอาตมาบอกว่าติดอยู่ในกุฏิตัวเอง ๒ ผืน โยมอาจจะตกใจ เป็นรุ่นเก่าที่ท่านพระครูปฐมสาธุวัฒน์ หรือท่านอาจารย์เทพนำไปถวายตอนวันเกิด ๖๐ ปี ๑ ผืน แล้วก็เป็นรุ่นใหม่ที่สร้างพร้อมกับเหรียญพญาเต่ามังกรเงินล้านเปิดโลกพลิกชีวิต ตั้งแต่ติดคู่กันในกุฏิ แต่ละเดือนอาตมารับเงินเป็นสิบล้าน แต่จ่ายเท่าไรไม่บอก...!

    "อาตมาเองก็เอาเหรียญตัวอย่างเลี่ยมใส่เป้ ทำไมต้องใส่เป้ ? เป็นเป้ใส่โน้ตบุ๊ก ถึงเวลาไปสอนหนังสือก็ต้องสะพายไป เดินทางก็ต้องสะพายไป จึงติดเป้เอาไว้ด้วย เพราะว่าการที่พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์จะมาสงเคราะห์โดยพร้อมเพรียงกันนั้น ตั้งแต่อาตมาเกิดมายังไม่เคยได้ยิน และไม่คิดว่าพระองค์ท่านจะเมตตาสงเคราะห์ถึงขนาดนั้น

    ตอนนั้นอาตมาแค่ตั้งใจน้อมใจระลึกถึงแต่ละพระองค์ท่านด้วยความเคารพ เพราะว่าเป็นการสวดคาถาสรรเสริญพระคุณของทั้ง ๒๘ พระองค์

    ปรากฏว่าท่านเสด็จมานั่งเรียงกันเป็นแถว ท้ายสุดก็กราบทูลไปว่า ถ้าเวลาปลุกเสกวัตถุมงคลอื่น ๆ ขอให้ท่านสงเคราะห์แบบนี้ได้ไหม ? ท่านบอกว่า "ได้...แต่ต้องเข้ากรรมฐานอีก ๓ วัน" เอ้า...สามวันก็สามวัน ถ้าหากว่าระดับนี้มา ต้องเข้ากรรมฐานสัก ๓๐ วันก็คุ้ม เพียงแต่อาตมาไม่มีเวลาเยอะขนาดนั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นรับสั่ง ๓๐ วันก็เอา ดีที่พระองค์ท่านขอแค่ ๓ วัน"

    "วัตถุมงคลจำนวนมาก ทั้งวัดมีเท่าไรอาตมาขนไปเข้าพิธีนี้จนหมด โดยเฉพาะพระพุทธรูปใหญ่ ๆ เล็ก ๆ อยู่ในห้องประมาณ ๑๐๐ กว่าองค์ ให้ออกในเว็บไป ๔ - ๕ องค์แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพระสำคัญ

    อีกชุดหนึ่งที่อยู่ในย่ามเป็นปกติเลย เป็นพระแก้วบ้าง พระหินบ้าง พระหยกบ้าง พระอัญมณีบ้าง น่าจะหลายสิบองค์ บางคนเห็นย่ามอาตมาสงสัยว่าทำไมหนักแท้ ? เฉพาะพระพุทธรูปก็เป็นสิบแล้ว แต่เป็นองค์เล็ก ๆ เท่านิ้วมือบ้าง สองนิ้วมือบ้าง เป็นงาช้างบ้าง เป็นแก้วบุษยรัตน์บ้าง เอาไว้ผลิตสตางค์ไม่ทันแล้วจะเอาออกมาจำหน่าย ตราบใดที่ยังทัน ต้องเก็บเอาไว้ก่อน ไม่รู้ว่าโอกาสที่ท่านจะสงเคราะห์แบบนี้จะมีแบบนี้อีกไหม ?

    สมัยพ่อ สมัยปู่ ก็คือหลวงพ่อฤๅษีฯ หลวงปู่ปาน บารมีท่านสูง พระพุทธเจ้าเสด็จมาสงเคราะห์ ๑ องค์ ๒ องค์ ๓ องค์ ๔ องค์ ๕ องค์ บารมีส่วนตัวของท่านก็เหลือเฟืออยู่แล้ว มาน้อยก็เท่ากับท่านมีมาก ของเรารุ่นลูกบารมีไม่มี ถึงขนาดต้องเข็นเอาสมเด็จปู่มาช่วยตั้ง ๒๘ พระองค์"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    วัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี
    จากเก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๓

    .....................

    ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างพระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องจักรพรรดิ เนื้อเงิน สูง ๑๕๕ ซ.ม. เนื้อทองคำ สูง ๗๒ ซ.ม. ๓,๕๐๐ บาท พร้อมรับเหรียญเต่า เนื้อเขียวเหล็กไหล หน้ากากเงิน หัว ขา หาง ทองฝาบาตร ปั๊มประกอบ ๘ ครั้ง
    เข้าพิธีพลิกชีวิต พิธีสะท้านไตรภพ กรรมฐาน ๓ วันปี ๖๒ - ๖๓ และ กรรมฐานพิเศษ ๓ วัน ตามลิงค์ :

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8027

    ร่วมทำบุญบูชาผ้ายันต์พญาเต่ามังกรเงินล้านฯ



    ร่วมเป็นเจ้าภาพทุนการศึกษาพระภิกษุสามเณร ๔๐๐ บาท พร้อมรับเหรียญพญาเต่ามังกรเงินล้านเปิดโลกพลิกชีวิต เข้ากรรมฐานพิเศษ ๓ วัน

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8029
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    วินัยเเปลง

    พระสงฆ์ที่มีพระวินัยเป็นเครื่องปฎิบัติ เพราะมาจากร้อยพ่อพันเเม่ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เสมือนกับดอกไม้ที่นำมาร้อย ให้เป็นพวงเดียวกัน มีลักษณะสวยงามเป็นที่ชื่นใจกับผู้ที่พบเห็นเเละเป็นประโยชน์เเก่ตนเอง


    อาจารย์ศุภรัตน์เคยปรารภกับหลวงปู่ดู่ เกี่ยวกับพระที่ประพฤติผิดวินัย ไม่สมณะสารูปหลวงปู่ดู่
    ท่านบอกว่า " ท่านบอกว่าท่านไม่ถือวินัย ท่านถือวินอก ถ้าวินัยท่านผิด เเต่เป็นวินอก ท่านเลยบอกว่าท่านไม่ผิด "

    พูดถึงความละเอียดเกี่ยวกับวินัยของหลวงปู่ดู่ ตอนที่ท่านจะจารเหรียญเงิน เเละทองคำรุ่นดวงโพธิสัตว์ท่านพูดกับอาจารย์ศุภรัตน์ว่า " ต้องขอโอกาสเเก่ข้าด้วย เพราะการจารเหรียญทองคำนั้นจะมีบางส่วนต้องหลุดไปพระมีราคาบาทเดียว จะได้ไม่มีเวรมีภัยเเละไม่ผิดวินัย "

    6qhCx7g1GBrhWF5m0y_uVTB&_nc_ohc=OMp6TZmJCbkAX8O79DB&tn=ntkX8_79axLjp9Cm&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg

    **********************************************************************

     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...