@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ?temp_hash=72521039cd2009f58c0c751d24a7d833.jpg



    #อ่านสักนิดเรื่องจริงที่ท่านควรรู้เกี่ยวกับหลวงตาม้า# ใต้เงา
    #เพราะอะไร#
    #ใครรักหลวงตาม้าต้องอ่านเรื่องนี้# ใต้เงา

    ... พักนี้หลายคนเป็นห่วงหลวงตา เพราะฟังจากน้ำเสียงและภาพ ที่แสดงธรรม เห็นถึงสภาวะที่ไม่ปกติของธาตุขันธ์.. หลายคนเป็นห่วงสอบถามมาด้วยความห่วงใยกันมากมาย

    .... #ลองจินตนาการตาม ถ้าตัวท่านอายุ 76 ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ไปแต่ละจังหวัด อากาศและอุณหภูมิก็แตกต่างเปลี่ยนแปลง แต่ต้องเดินทางไปด้วยแรงศรัทธาและหน้าที่ที่มีต่อศาสนาและครูบาอาจารย์เพื่อโปรดญาติโยม ในแต่ละที่ หลวงตาจะต้อง นั่งติดต่อกันยาวนานไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง พบปะกับญาติโยมที่มาด้วยแรงศรัทธา จำนวนมหาศาล กับสภาวะอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ เสี่ยงภัยต่อ สุขภาพในยุคนี้

    #ใต้เงาถามหลวงตาว่าเพราะอะไร ? ทำไมถึงไม่หยุด ..ทำไมถึงไม่พัก..ทำไปเพื่ออะไร ? หลายคนเคยสงสัย ทำไปเพื่ออะไร..เพราะทุกที่ที่ไป หลวงตาก็ไม่รับเงิน บางทีก็นำเงินที่คนทำบุญยกให้เจ้าภาพ เพื่อช่วยเขา เรื่องเงินทอง จึงไม่ใช่เรื่องที่มีสาระสำคัญสำหรับหลวงตา
    #ชีวิตหลวงตาเกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่น

    #ท่านจะหันมายิ้มและพูดคำสั้นๆว่า....#สวดมนต์

    ..คณะผู้ติดตาม ทีมงานจัดงานต่างๆ พยายามดูแลท่านอย่างดีที่สุดเพราะเป็นห่วงในเรื่องสุขภาพ ในยุคนี้ที่มีการระบาดของโรค

    ในบางที่เจ้าภาพก็พยายามที่จะดูแลหลวงตาอย่างดี ในการให้หลวงตาพักอยู่ในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับท่าน จนเกิดความขัดแย้งกับคนที่มารอพบหลวงตาจำนวนมาก เพราะไม่เป็นตามใจหวัง ..แต่ก็จำเป็นเพราะต้องการถนอมธาตุขันธ์ดูแลหลวงตา... พยายามจะให้หลวงตาอยู่ในเซฟโซน

    #หลวงตาก็ไม่ยินยอมทำตามเหตุผลง่ายๆที่เราอึ้งแล้วน้ำใสๆไหลออกจากตา....

    #หลวงตาตอบว่า มองไปที่คนเหล่านั้น..ที่เขามีแรงศรัทธาเดินทางมาจากหลายที่เพื่อมาหา หลวงตา
    จริงๆเขาไม่ได้มาหาหลวงตาหรอกนะ..แต่เขามาหาหลวงปู่ที่เขาเห็น..#หลวงตาเป็นแค่สื่อของพลังงานหลวงปู่แค่นั้นเอง..
    เมื่อเขามีแรงศรัทธาต่อหลวงปู่ และศรัทธาต่อความดีของเราและครูบาอาจารย์ ต้องการมาสวดมนต์ทำความดีกับเรา..และเราจะหนีไปนั่งอยู่ในห้องได้อย่างไร....

    เราจะหยุด เพื่อรักษาสุขภาพเรา โดยให้เขาเหล่านั้นเดินทางมาและมานั่งมอง#แค่ภาพเราเราอย่างนั้นเหรอ?

    เราจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เราบวชมาเพื่อสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวม เรามีหน้าที่ ในการเผยแผ่ ความดี และบารมีแห่งครูบาอาจารย์

    #เราจึงจะต้องเดินหน้าเพื่อสร้างประโยชน์

    #ถ้าเราเหนื่อยเราก็พัก...เราป่วยเราก็รักษา..เมื่อเราหายเราก็ทำต่อ...

    ...ทำเช่นนี้ไม่มีวันหยุดเพราะนี่คือสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมหาศาล... นี่คือทางที่หลวงตาเลือกเอง....

    #คำตอบแค่นี้ทำให้เราเข้าใจทุกสิ่ง ถึงแม้บางคนจะไม่เข้าใจว่า..
    ทำไมหลวงตาถึงไม่ดูแลตัวเอง แต่ทำเพื่อคนอื่นได้ขนาดนี้

    ..บางครั้งท่านก็ดุคนใกล้ตัวทั้งที่เขาเหล่านั้นเป็นห่วง

    ... #แต่เหตุผลของท่านนั้น...ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน..เป็นเหตุผล ที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน

    #ต้องขอขอบคุณเจ้าภาพทุกๆที่ ที่จัดงาน ในการดูแลและบริหารจัดการเพื่อให้หลวงตาได้มีความสะดวกและปลอดภัยที่สุด

    ถึงแม้บางทีผู้มาร่วมงานจะไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องป้องกันขนาดนี้...แต่เหตุผล ที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือ #รักและศรัทธาในท่านหลวงตาต้องการที่จะดูแลสุขภาพธาตุขันธ์ของหลวงตาให้ดีที่สุด..เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับเหล่าลูกศิษย์....

    ..เมื่อวานหลวงตา อยู่ที่กรุงเทพฯ..วันนี้นิมนต์ขอท่านเป็นกรณีพิเศษ เดินทางกลับโดยทางเครื่องบินเพื่อเป็นการถนอมธาตุขันธ์..

    #เพราะว่าได้นำพาท่านพบแพทย์ทางคณะแพทย์ ขอนิมนต์ให้ท่านงดใช้เสียงถนอมธาตุขันธ์เพราะการเดินทาง ที่ยาวนานการเปลี่ยนแปลงของอากาศ และ การเสื่อมของ ร่างกายที่เป็นไปตามวัยทำให้อวัยวะหลายๆอย่างไม่แข็งแรงดังเดิม
    จึงต้องการให้ท่านดูแลสุขภาพเพราะโรคที่หลวงตามีอยู่ประจำคือโรคปอด เนื่องจากท่านอยู่ที่ถ้ำมายาวนาน...เวลาหน้าหนาวท่านจึงจะมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อทางเดินหายใจ มีผลต่อการหายใจ

    #แต่ท่านไม่ได้ย่อท้อเพราะมุ่งเน้นในการสวดมนต์เพื่อสร้างประโยชน์ ...

    วันนี้นิมนต์ท่านเดินทางกลับทางเครื่องบิน ระหว่างทาง..ท่านนอนจำวัด ด้วยความเหนื่อยล้า..แต่ ในใจเป็นร้อย กับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องสร้างประโยชน์

    #หลวงตาสะดุ้งตื่นแล้วถามว่าถึงถ้ำแล้วเหรอ....
    ...จนเรายังอดขำไม่ได้ว่า..ขนาดหลวงตานอนจำวัดยังคิดแต่เรื่องสร้างประโยชน์...

    #หลวงตาตื่นมาแล้วบอกว่า...เย็นนี้เจอกันที่วัดถ้ำเมืองนะ...

    #นำเสนอเรื่องนี้ให้ท่านเห็นถึงความดีงามแห่งครูบาอาจารย์ ที่หลายคนไม่ทราบ..ความจริงแห่งครูบาอาจารย์ผู้เป็นผู้เสียสละ อย่างแท้จริงในการเผยแผ่ธรรมะความรู้และบารมีแห่งครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อศาสนา และสาธารณะ

    #นี่คือตัวอย่าง เพียงเสี้ยวหนึ่งของหลวงตาม้า กับเรื่องจริงที่ท่านไม่เคยรู้ และหากเรานำมาพิจารณาเปรียบเทียบกับตัวเราเอง..เราจะเห็นถึงประโยชน์ ในการใช้ชีวิตของเราเมื่อเทียบกับหลวงตา นั้นช่างน้อยนิด
    #แต่สิ่งนี้จะกลับกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เรา มุ่งมั่นทำความดีเพื่อเป็นประโยชน์เช่นดังที่ครูบาอาจารย์ได้เป็นต้นแบบนำทางไว้ให้

    #ขอความสงบและสันติจงเกิดแก่ตัวท่าน

    #ใต้เงาวิริยธโร

    #หลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    7jNaMiobZbojgqMcMb7Rle7n7ZBl6NH5fZIItk5JGAIy&_nc_ohc=htDb0wm7EGIAX8G9Rh3&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    มนุษย์ใฝ่ฝันจะเอาชนะความตายมาทุกยุคทุกสมัย ยิ่งผู้ที่เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจ ก็ยิ่งกลัวตาย ตัวอย่างคือฮ่องเต้ของจีนหลายท่านด้วยกัน พอมีอำนาจวาสนา มีศักดานุภาพแผ่ไพศาล สิ่งที่คิดก็คืออยากจะมีชีวิตเป็นอมตะ แบบเดียวกับเจงกีสข่าน ส่งกองทัพยึดผืนแผ่นดินทั้งเอเซียและยุโรปกว้างใหญ่ไพศาล ก็แสวงหาบุคคลที่จะทำให้ตนเองเป็นอมตะ

    คิวชู่กีที่เป็นนักพรตลัทธิช้วนจิน มีฉายาว่าผู้อมตะ ชื่อเสียงโด่งดังมาก เจงกีสข่านส่งทูตมาเชิญให้ไปช่วยสอนวิธีทำให้เป็นอมตะ พอเจอหลักการปฏิบัติธรรมเข้าเจงกีสข่านก็ไปไม่รอด แต่เจงกีสข่านเป็นคนรู้จักของดี เมื่อเห็นว่าหลักปฏิบัติอย่างนี้เป็นไปได้จริง ก็เลยส่งเสริมลัทธิเต๋า โดยเฉพาะลัทธิช้วนจิน จนกระทั่งลัทธินี้เจริญรุ่งเรืองไปทั่วแผ่นดินจีนสมัยนั้น ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมลงไปมาก

    หลักการปฏิบัติหลัก ๆ ก็คืออานาปานสติ พูดง่าย ๆ ว่าสร้างอภิญญาให้เกิด แล้วใช้กำลังอภิญญาปรับธาตุปรับร่างกายตัวเอง แล้วจะอยู่ไปทำอะไร ? อยู่ไปวันหนึ่งก็ทุกข์เพิ่มขึ้นวันหนึ่ง มีวันไหนไม่ปวดท้องเข้าห้องน้ำห้องส้วมบ้างไหม ? มีวันไหนที่เราไม่หิวบ้าง ? ระยะนี้มีวันไหนที่ไม่ร้อนบ้าง ? แต่เขาก็ยังอยากจะอยู่กัน

    นึกถึงหลวงปู่มั่น ท่านพยายามไม่ให้ลูกศิษย์ยึดติดแม้แต่กายสังขารของท่าน ลูกศิษย์มรณภาพเผาเสร็จกระดูกเป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นเผาเสร็จกระดูกเป็นกระดูก ขี้เถ้าเป็นขี้เถ้า ผ่านไปเนิ่นนานหลายสิบปี ลูกศิษย์มรณภาพเผาแล้วเผาเล่า ท่านนั้นก็อัฐิเป็นพระธาตุ ท่านนี้ก็อัฐิเป็นพระธาตุ ของหลวงปู่มั่นเป็นกระดูกเป็นขี้เถ้าเหมือนเดิม

    จนกระทั่งท้ายสุดคนลังเลสงสัยกันมาก ๓๐ กว่าปีผ่านไปอัฐิหลวงปู่มั่นถึงกลายเป็นพระธาตุ เพราะคนจะเริ่มปรามาสครูบาอาจารย์มากขึ้นแล้ว ท่านไม่ต้องการให้คนยึดติดกับสังขารร่างกายของท่าน จึงไม่ได้อธิษฐานทิ้งไว้ให้

    การที่อัฐิเป็นพระธาตุนั้นเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเจ้าของร่างกายอธิษฐานทิ้งไว้ให้ สาเหตุที่ ๒ คือพระท่านสงเคราะห์ให้ เพื่อรักษากำลังใจของคนส่วนใหญ่

    ถามว่าทำไมกระดูกถึงเป็นพระธาตุ ? เหตุกระดูกเป็นพระธาตุได้เพราะว่าสภาพจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ได้รับการขัดเกลาด้วยธรรมะจนสะอาดบริสุทธิ์ถึงที่สุด สภาพร่างกายซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของจิต ก็เลยพลอยได้รับการขัดฟอกธาตุขันธ์ไปด้วย ถ้าเจ้าของไม่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ หรือเจตนาจะไม่ให้เป็น ก็จะไม่เป็นพระธาตุ

    เรื่องกายสังขาร ถ้าหากว่ามรณภาพแล้วไม่เน่า ยังไม่แน่ว่าจะใช่พระที่ปฏิบัติดีจนถึงที่สุดจริง ๆ เพราะการที่ร่างกายไม่เน่านั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ท่านที่ตั้งใจทิ้งกายสังขารเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องยึดโยงกำลังใจของลูกศิษย์ อธิษฐานให้เป็นเช่นนั้น ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะบรรลุมรรคผลจริง ๆ

    ส่วนที่สอง คือการกินว่านยาบางอย่าง ทำให้ร่างกายคงกระพัน ไม่เน่าได้ ส่วนที่สาม ใช้คาถาบางบทเสกข้าวกินเป็นประจำทุกวัน ตายแล้วจะไม่เน่า ง่าย ๆ ก็คือพระอภิธรรม ๗ บท แต่ว่าควรจะเสกก่อนกินข้าวสักครึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นจะหิวเป็นลมไปก่อน เพราะนานกว่าจะเสกจบ

    ดังนั้น ถ้าเป็นเรื่องของกายสังขารยังไม่สามารถจะวัดได้ แต่ถ้าเรื่องอัฐิวัดได้ว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติปฏิบัติชอบจริงหรือไม่ เพราะท่านผ่านการฟอกธาตุขันธ์ไปจริง ๆ อัฐิมักจะแปรเป็นพระธาตุเอง ต้องบอกว่าโบราณเก่ง บางทีลูกหลานทำผิดแล้วผิดเล่า พ่อแม่โกรธจนด่า “ไอ้นี่ชั่วจนเข้ากระดูกดำ” ก็ขอให้ดูในมุมกลับว่า ถ้าดีจนถึงที่สุดก็กระดูกเป็นแก้วเหมือนกัน

    ท่านใดดูข่าวรูปหล่อโลหะมีโครงกระดูกพระอยู่ข้างในบ้าง ? ถ้าลักษณะอย่างนั้นเจ้าของตั้งใจเอง คนอื่นทำให้ไม่ได้ ขอบอกว่าถ้าได้กสิณ ๑๐ ก็เป็นเรื่องเล็ก ถ้าไม่ได้กสิณ ๑๐ ก็ทำไม่ได้ เอาตัวเองเข้าแทนโครงสร้างข้างใน

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    o-DXkRzZz3rr6ZDuSl58L3eA2dVklmjibhResYN9qeHr&_nc_ohc=oKi2tjWJ1CgAX_FHezA&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    เปิดดูไฟล์ 5521323

    สำนักปฏิบัติธรรมอุดมทรัพย์ วัดอโศการาม


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเห็นนักบวชในศาสนาตกนรกเกิดความสงสัยจึงถามท่านพญามัจจุราชว่า “นักบวชที่เทศน์สอนชาวบ้านเรื่องนรกสวรรค์ได้ ทำไมต้องตกนรก” ท่านจึงตอบว่า “ก็ดีแต่สอนชาวบ้านแต่ตัวเองไม่ได้ปฏิบัติตนตามที่สอนเขา บอกให้คนอื่นทำดีแต่ตัวไม่ทำด้วย อย่างนี้ลงนรกหมดและก็มีโทษหนักมาก”
    *หมายเหตุ_ท่านเจ้าคุณฯ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว สาธุสาธุสาธุ


    “เป็นนักบวชตกนรกง่ายกว่าเป็นโยม”

    ท่านว่ายทวนน้ำเคยเล่าเรื่องการบวชให้ฟังนานแล้วว่า เป็นนักบวชตกนรกง่ายกว่าเป็นโยม เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณบวชเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นนักบวช นั่นเท่ากับเป็นการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าคุณสมัครใจจะมาเป็นผู้ละกิเลส คนอื่นจึงได้มอบอาหาร มอบยา มอบเครื่องนุ่งห่ม มอบที่อยู่อาศัยให้ เพื่อที่ผู้ที่มาบวชจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับการทำมาหากิน เป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่มาบวชมุ่งทำหน้าที่ละกิเลสไปเพียงอย่างเดียว

    ถ้ามาบวชแล้วไม่ทำหน้าที่ของพระ คือละกิเลส นั่นเท่ากับเป็นการหลอกลวงผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นการทำให้ให้ผู้อื่นหลงเข้าใจว่าเป็นผู้ละ แท้จริงแล้วเป็นเพียงคนโกนหัวห่มผ้าเหลืองที่ผ่านการบวชตามประเพณีเท่านั้น ดังนั้น อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ที่ผู้อื่นสละให้จึงเป็นการสละแก่ผู้ที่ไม่ทำหน้าที่ละกิเลส แต่หลอกลวงว่าเป็นผู้ละกิเลส ไม่ต่างอะไรกับการโกหกหลอกลวงเขาเพื่อให้ได้ทรัพย์สินมา จึงเป็นกรรมที่จะพาไปสู่อบายภูมิ และผู้นั้นจะต้องมาใช้เขาคืนในภายหน้า แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่พระรูปนั้นบรรลุธรรมไม่ว่าขั้นหนึ่งขั้นใดแล้ว พระรูปนั้นจะเปลี่ยนเป็นเนื้อนาบุญให้เขาในทันที

    การบวชพระนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อบวชแล้วมาปฏิบัติให้ตัวเองเป็นพระที่แท้จริงนั้นยาก ท่านว่ายทวนน้ำจึงไม่แนะนำให้บวชเล่น ๆ บวชตามประเพณี หรือตามความเชื่อ ไม่อย่างนั้นขาข้างนึงก็ก้าวไปสู่ในอบายภูมิตั้งแต่มาบวชแล้ว ถ้าจะบวชขอให้ออกมาบวชอย่างจริงจัง ปล่อยวางภาระหน้าที่ทางโลก และปฏิบัติด้วยการย้อนดูตน จับผิดตน ดัดสันดานตน ละกิเลสให้เต็มที่ โดยไม่จำต้องศึกษาตำรา แต่ให้ศึกษาจิตตนเองนั่นคือ “ปริยัติ” ที่แท้จริง เมื่อผู้บวชทำการดัดสันดานตนเอง (ละกิเลส) นั่นคือการ “ปฏิบัติ” และเมื่อดัดสันดานตนเองไปเรื่อย ๆ ได้ถึงจุดหนึ่งจิตจะมีกำลังดันกิเลสออกไปเองโดยอัตโนมัติ อันเป็นผลของการปฏิบัติ คือ “ปฏิเวธ” ขึ้นมาในสักวัน

    ถ้ามาบวชแล้วมากิน ๆ นอน ๆ บวชมาสะสมทรัพย์สิน บวชมาทำพิธีต่าง ๆ บวชมาทำให้ผู้อื่นงมงาย ไม่ได้บวชเพื่อเอาเวลามาย้อนดูตน จับผิดตน ไม่ดัดนิสัยตน (ไม่ละกิเลส) สู้อย่าบวชเสียจะปลอดภัยจากอบายภูมิมากกว่า
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    St-ffef2sKk1pjQOCJ9hJvfsR5vnrLQJEh3vCzdZJg7J&_nc_ohc=bynSyVG7tosAX9RC1-g&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    -----------------------------------------------

    #ปกิณกธรรมรำลึก
    เรื่องที่ ๖ หมดเรื่องคุย

    สวัสดีลูกเพจที่รักทุกท่านครับ วันนี้แอดตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวสั้นๆ ที่ได้จดบันทึกจากพระอาจารย์เอมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์และความสุขใจให้กับลูกเพจอย่างแน่นอน หากผิดพลาดประการใด แอดขอน้อมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ... ท่านเล่าว่า

    สมัยที่อาตมายังเป็นเด็ก มีวันหนึ่งเดินทางไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม แล้วโชคดีได้พบหลวงปู่ครูบาธรรมชัย และหลวงปู่มหาอำพัน ทั้งสองรูปมีผิวพรรณที่งดงามอย่างยิ่ง จนไม่อาจละสายตาไปได้...

    หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ท่านมีผิวกายผุดผ่อง ใบหน้านวลสว่างเหมือนพระจันทร์ กิริยาอาการสงบเรียบร้อยงดงาม ใครเห็นก็สุขใจ ส่วนหลวงปู่มหาอำพันท่านก็งดงามไม่แพ้กัน มีผิวกายขาวใส งามเหมือนหินอ่อน มองไม่เบื่อเลย…

    วันนั้นหลวงปู่ทั้งสองนั่งอยู่ใกล้กัน ท่านมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ต่างมองต่างยิ้มเป็นระยะๆ โดยไม่คุยกันเลยแม้แต่คำเดียว..!

    ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูว่าหลวงปู่ทั้งสองนี้จะคุยอะไรกันบ้าง แต่สุดท้ายนั่งอยู่เป็นชั่วโมงท่านก็ไม่พูดอะไรเลย จนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงขึ้นพัก ท่านก็ไหว้ลากันแล้วแยกย้ายไป จุดนี้เป็นความคาใจของเด็กน้อยในวันนั้น...

    วันต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงลงรับแขก ท่านจึงได้ตอบสิ่งที่อยู่ในใจของเด็กน้อยให้ฟังว่า “คนเขาไม่มีกิเลส เขาก็ไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว” หลวงพ่อพูดแค่นี้ แล้วหันมามองหน้าพอให้สะดุ้ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน...

    คำตอบของหลวงพ่อ จึงทำให้เราสรุปได้ว่า พระสุปฏิปันโนหรือผู้ห่างไกลจากกิเลส ท่านก็เหมือนคนที่เต็มสมบูรณ์ในทุกๆเรื่องแล้ว ไม่มีข้อสงสัย หรือเรื่องใดที่อยากรู้อยากเห็น อยากคุยแบบปุถุชนอย่างพวกเรา..! เพราะท่านมีความสงบและความว่างเป็นอารมณ์ แค่มองหน้ากันก็เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดคำใดๆ…

    พระอาจารย์เอท่านว่า เรื่องนี้เป็นความประทับใจของท่าน ที่มีต่อจริยาของครูบาอาจารย์ ท่านจึงจดจำและนำมาเล่าให้ลูกศิษย์ตาดำๆอย่างแอดได้ฟังบ้าง… หวังว่าปกิณกธรรมรำลึกตอนนี้ จะสร้างความรู้สึกที่ดีๆให้กับลูกเพจทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ ไว้โอกาสหน้าถ้าได้ฟังอะไรดีๆมาอีก แอดจะขออนุญาตพระอาจารย์เพื่อนำมาเล่าสู่กันฟังครับ สวัสดี


    ภาพประกอบ : (จากซ้ายไปขวา) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา หลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ครูบาธรรมชัย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    NwJcEMRlXdfj1nKaqqH7Nu6kjqW5eky5UWtrDoplEjJb&_nc_ohc=wEpSFFbi13EAX-mN5TI&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #การรู้เห็นไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

    การนั่งทำสมาธิภาวนาจุดสำคัญคือ #การสงบของใจ เรื่องอื่นเป็นของแถม #ของแถมชนิดที่ต้องการหรือไม่ต้องการเขาก็ต้องให้มา ซื้อรถเขาก็ต้องให้ล้อมาแน่ ๆ ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตาหาล้อรถ ขอให้ซื้อรถให้ได้ได้ล้อรถแน่ #ท่านถึงว่าให้เราภาวนาอย่างเดียว #พอถึงเวลาจิตมันทรงสมาธิได้ #มันจะรู้เห็นเอง

    การรู้เห็น ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป #เพราะว่าเราอาจไปยึดติดกับมันก็ได้ #ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า #การปฏิบัติที่แท้จริง #คือการทำให้หมดสิ้นซึ่งกิเลส คราวนี้มันจะหมดสิ้นได้เท่าไร มันจะละได้เท่าไร อยู่ที่ความสามารถของเรา เรื่องอื่นเป็นเรื่องที่เขาแถมมาให้ #สำคัญที่สุดตรงนั้น #คือเพื่อความสุขในปัจจุบัน ให้จิตของเราไม่ฟุ้งซ่าน..
    ———————————————————-
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ที่มา www.watthakhanun.com
    ———————————————————-
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดพุทธบริษัท #วัดพุทธบริษัท
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #แบ่งปันธรรมะ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ต้นโพธิ์

    พระอาจารย์ปิ่น พระอาจารย์ทองฮวด พระสงฆ์ผู้มีคุณต่อแผ่นดิน ถูกผกค.ฆ่าทารุณที่ภูพาน --
    กล่าวโดยย่อ : ท่านพระอาจารย์ปิ่น และท่านพระอาจารย์ทองฮวด ศิษย์ “หลวงปู่ฝั้น” สองพระสงฆ์ผู้มีคุณต่อแผ่นดิน เป็นพระนักพัฒนา จึงทำให้ผกค.เกิดความสงสัยว่าท่านเป็นฝ่ายราชการ และทำร้ายท่านอย่างทารุณจนถึงแก่มรณภาพ ในปีพ.ศ. ๒๕๒๔ บนเทือกเขาภพูาน
    ลำดับเหตกุารณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จับพระสงฆ์สามเณร จากคำบอกเล่า ของพระอาจารย์ เดช ฌานรโต พระผู้อยู่ในเหตุการณ์
    ย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๓ หลังจากงานวางศิลาฤกษ์เจดีย์และพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจกิายน พ.ศ.๒๕๒๓ เหล่าพระเณรต่างแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม
    พระอาจารย์ปิ่น และพระอาจารย์เดช ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก็จะออกแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรมเช่นกัน โดยมีนายเซ็ง สกุลทอง เจ้าของร้านเซ็งพาณิชย์ซึ่งขายของชำ ได้ไปรับพระอาจารย์ทั้งสอง ที่วัดป่าอุดมสมพร และไปส่งที่ท่ารถบ้านสร้างค้อ เพื่อจะขึ้นรถโดยสารต่อไปที่ถ้ำผากง ในเขตหมู่บ้านสานแว้โดยไปอยู่ปฏิบัติธรรมกับพระอาจารยท์องฮวดและคณะระยะหนึ่ง จนใกล้วันครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร คณะพระเณรจึงได้ออกเดินธุดงค์โดยเลือกที่จะใช้เส้นทางมาที่บ้านแก้งนาง และผ่านไปที่บ้านนาหลัก เพื่อจะเข้าไปร่วมงานที่วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โดยคณะพระเณรที่ออกเดินธุดงค์มานั้นประกอบไปด้วย
    ๑. พระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    ๒. พระอาจารย์ทองฮวด ฐานวโร วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร
    ๓. พระอาจารย์ทับ ธมฺมปทีโป วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ๔. พระอาจารย์เดช ฌานรโต วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
    ๕. สามเณรพรชัย นิ่มสวัสดิ์ (เวช) วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร (ลูกศิษย์พระอาจารย์ทองฮวด)
    ๖. สามเณรสุพจน์ ................ วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร (ลูกศิษย์พระอาจารย์ทองฮวด)
    ๗. สามเณรอุทัย จันใด (น้องชายพระอาจารย์ทับ) วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    พระสงฆ์สามเณร จำนวนทั้งหมด ๗ รูป ได้ออกเดินทางจากบ้านสานแว้ไปบ้านแก้งนาง (ต.กกดุม กิ่งอ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร) และพักที่บ้านแก้งนาง ๑ คืน โดยได้พักที่ศาลาวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งในขณะนั้นหมู่บ้านละแวกนี้เป็นเขตพื้นที่อิทธิพลของพวกผกค. (พื้นที่สีแดง) เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ (ตรงวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๒ ปีวอก) พอฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านแก้งนางแล้วจึงได้ออกเดินธุดงค์เพื่อไปที่บ้านนาหลัก การเดินทางนั้น เดินทิ้งระยะห่างกันพอสมควร เพื่อจะได้สะดวกแก่การภาวนา มีบางช่วงก็หลงกันบ้าง จึงได้เป่ามือเป็นเสียงสัญญาณบอกกัน ซึ่งอาจทำให้พวกผกค. เกิดความระแวงก็ได้ว่าเป็นพวกทหารที่มาสอดแนม ต่อมาในเวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัด ซึ่งต้นเสียงนั้นอยู่ห่างไปประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เมตร แต่คณะก็ยังเดินทางต่อไปจนมาพบพวกผู้ชาย ๖ คนกำลังอาบน้ำอยู่ (ซึ่งคาดว่าเป็นพวกผกค.) พระอาจารย์ทองฮวดจึงได้สอบถามถึงเส้นทางที่จะไปบ้านนาหลัก เขาตอบว่า “ไปทางนี้แหละ ไม่ทันค่ำก็จะถึง” พอเดินต่อมาได้อีกประมาณ ๑๐๐ เมตร พวกผกค. ที่อาบน้ำอยู่ก็ได้วิ่งตามมา และร้องบอกให้หยุด พร้อมกันนั้นก็มีพวกผกค. ติดอาวุธจำนวนประมาณ ๒๐ คน ได้ออกมาจากที่ซุ่มและมาล้อมไว้ทุกด้าน แล้วได้ขอค้นตัว ตรวจบริขาร ซึ่งพวกผกค.ได้ยึดใบสุทธิพร้อมทั้งนาฬิกาพกของพระเณรทุกรูป และได้พูดขอให้คณะพระเณรพักค้างคืนกับพวกเขาหนึ่งคืน จากนั้นพวกผกค. ได้พาคณะพระเณรเดินหลบไปข้างทางซึ่งไม่ไกลมากนัก และเขาให้พักรอบๆจอมปลวกที่อยู่ในที่นั้นและจัดการกางกลดให้เรียบร้อย จวนเวลาพลบค่ำก็มีผกค. ประมาณ ๑๐๐ คนเศษมาถึง จากนั้นพวกเขาได้จัดน้ำร้อนและนำกาแฟน้ำตาลที่สามเณรถือมา ชงถวาย ในขณะที่กำลังฉันน้ำร้อนนี้ สังเกตเห็นพวกผกค.ส่วนใหญ่ได้ประชุมหารือกัน หลังจากฉันน้ำร้อนเสร็จ พวกนั้นก็ประชุมกันเสร็จพอดีแล้วมีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เก็บกลดเลยสหาย” และพวกเขาก็จัดการเก็บกลดและบริขารอย่างรวดเร็ว พวกหนึ่งก็มาจับมือพระเณรไพล่หลัง และมัดด้วยเชือกแต่ไม่แน่นมากนัก พอให้เดินได้สะดวก จากนั้นพวกเขาก็ให้สัญญาณเพื่อออกเดินทางในคืนนั้นเลย อาศัยไฟฉายของแต่ละคนเพื่อส่องทาง โดยมีพวกเขาเดินนำหน้าและตามหลังพระทุกองค์ ส่วนบาตรและบริขารเขาสะพายไปให้ซึ่งทางที่เขาพาเดินไปนั้นเป็นทางป่า ต้องมุดบ้าง ข้ามกิ่งไม้บ้าง การเดินเป็นไปด้วยความเงียบสงบ แทบจะไม่มีเสียงพูดคุยกันเลย เดินกันอยู่นานจนประมาณเที่ยงคืน อาศัยสังเกตจากแสงของพระจันทร์พวกเขาจึงสั่งให้พัก ซึ่งที่นั่งพักเป็นพลาญหินกว้าง โดยพวกเขาได้ปูผ้ายางให้นั่งห่างๆกัน แต่ยังพอได้ยินเสียงกันบ้าง และทุกรูปจะมีคนของเขานั่งคุมและคอยซักถามด้วยหนึ่งคน จากนั้นก็มีหัวหน้าผกค. ๒ คน จะเดินมาสอบถามพระเณรทุกรูป โดยใช้เวลาซักถามไปประมาณ ๑ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็พาคณะพระเณรออกเดินทางต่อไปจนประมาณ ๐๔.๐๐ น. จึงได้หยุดพักและให้อยู่ร่วมกัน โดยพวกผกค.ได้ก่อกองไฟล้อมคณะพระเณรไว้จนกระทั่งสว่าง ผกค.ส่วนใหญ่ก็หลบไป เหลืออยู่ประมาณ ๘-๑๐ คน ที่คอยควบคุมพระเณร
    เมื่อสว่าง (เป็นวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔) ก็มีผกค. มาถามว่าจะฉันกาแฟ หรือนมไหม พระก็ตอบว่า “ไม่ฉัน จะฉันข้าวครั้งเดียว” ประมาณ ๐๘.๐๐ น.เขาก็จัดภัตตาหารมาให้ มีข้าวเหนียว ๒ กระติบ และยำปลากระป๋อง ๒ ถ้วย (สำหรับ พระ ๑ ถ้วย เณร ๑ ถ้วย) ก็ฉันพออิ่ม หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ผกค.ก็มานิมนต์พระอาจารย์ทองฮวดไปคุยกับหัวหน้าของเขา พร้อมนำบริขารไปด้วยทั้งหมด ต่อมาเวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. ก็ได้มานิมนต์พระอาจารย์ปิ่นไปคุยกับหัวหน้าอีก และนำบริขารของท่านไปด้วยเช่นกัน โดยสังเกตว่าพระอาจารย์ปิ่นได้ถูกพาเดินไปเส้นทางเดียวกันกับพระอาจารย์ทองฮวด ในระหว่างที่นิมนต์พระอาจารย์ทองฮวดและพระอาจารย์ปิ่นไปนั้นได้มีพวกผกค. ทยอยมาพูดคุยสอบถามพระเณรที่เหลือเป็นชุดๆ ชุดละประมาณ ๑๐ คน รวมทั้งหมดกะว่ากว่า ๑,๐๐๐ คน โดยเขาสอบถามแต่ละรูปเกี่ยวกับประวัติ เรื่องโยมพ่อโยมแม่ ว่าเคยเป็นตำรวจบ้างหรือไม่ พวกเขาได้เล่าให้ฟังถึงลัทธิอุดมการณ์ของเขา และพูดโจมตีนายกรัฐมนตรีและสถาบันศาสนา พระมหากษัตริย์และได้กล่าวหาโจมตีว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่า เป็นผู้นำแผ่นทองคำที่หุ้มยอดองค์พระธาตุพนมไปขาย (พระธาตุพนมหัก เมื่อ ๑๔ ส.ค. ๑๘)
    พอประมาณ ๑๖.๐๐ น. ก็ได้มานิมนต์พระอาจารย์เดช ฌานรโต (อายุ ๒๗ ปี พรรษา ๗) พระอาจารย์เดชถามว่า “จะให้เอาบริขารไปด้วยไหม” เขาตอบว่า “ไม่ต้องเอาไป ให้เอาแต่กระติกน้ำไป” โดยนำท่านไปไม่ห่างจากบริเวณนั้นเท่าใดนัก และท่านได้นั่งคอยอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีหัวหน้าผกค.มา ๒ คน อายุประมาณ ๕๐ ปี ลักษณะน่าจะเป็นข้าราชการ ได้มาสอบถามท่านว่า “มาจากไหน บวชที่ไหน บวชเมื่อไร พ่อแม่เคยรับ ราชการตำรวจ ทหารไหม” หลังจากที่ท่านตอบคำถามเขาแล้วตอนท้ายพระอาจารย์เดชก็ถามถึงพระอาจารย์ปิ่นและพระอาจารย์ทองฮวด ว่าอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า “ได้ส่งกลับวัดไปก่อนแล้ว ส่วนท่านและคณะขอนิมนต์ให้อยู่พักค้างคืนกับพวกผมอีกสัก ๑ คืน พรุ่งนี้จะให้สหายไปส่ง” จากนั้นเขาจึงพากลับมาที่พัก ซึ่งเวลาใกล้ค่ำแล้ว ก็มานิมนต์พระอาจารย์ทับไปสอบถามอีก แต่ใช้เวลานานไม่เท่ากับพระอาจารย์เดช พอมืดก็พาพระอาจารย์ทับกลับมาที่พัก และพักอยู่ด้วยกันจนเช้า
    ในเช้าวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ เวลาประมาณ ๐๗.๓๐น. ก็ได้มานิมนต์สามเณร ๓ รูปไปสอบถามอีก โดยไปทีละรูป ก็ถามคำถามเหมือนๆกัน เมื่อสอบถามเสร็จทุกรูปแล้ว เขาก็แก้เชือกที่มัดข้อมือออก พร้อมทั้งคืนใบสุทธิและนาฬิกาพกให้ทั้งหมด
    เวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. พวกผกค. ก็นำข้าวเหนียว ๒ กระติบ กับแกงไก่ใส่กะหล่ำปลีมาถวาย ขณะที่กำลังฉันอยู่กได้ยินเสียงพวกผกค. พิมพ์เอกสาร ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นใบผ่านทาง และบัตรอวยพรวันขึ้นปีใหม่ เมื่อฉันเสร็จ แต่ละรูปก็ได้รับใบผ่านทางและบัตรอวยพร ซึ่งบัตรอวยพรนั้นให้ไปแจกใครก็ได้ พร้อมปัจจัยถวายรูปละ ๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่ารถเดินทาง แต่ทุกรูปไม่รับปัจจัย เพราะไม่มีไวยาวัจกรถือปัจจัย เขาจึงนำปัจจัยกลับคืนไป ระหว่างที่อยู่ในความควบคุมของผกค. ก็พูดคุยด้วยอัธยาศัยไมตรี ไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด ก่อนออกเดินทางพวกผกค. ประมาณ ๒๐ คนได้จัดแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง และยกมือไหว้คณะพระเณรทุกคน และได้จัดกำลังจำนวน ๑๑ คนเพื่อตามมาส่งที่หมู่บ้านพร้อมกับสะพายถุงบาตรมาให้ด้วย ระหว่างทางพวกผกค. ได้เล่าให้ฟังว่ามีพวกผกค.ผู้หญิง และพวกเด็กๆตั้งแต่อายุ ๑๑ ปีอยู่ด้วย แต่พวกเขาไม่อนุญาตให้มาเจอพระ พอใกล้ถึงเขตหมู่บ้านได้ยินเสียงคนฟันไม้ พวกผกค. จึงได้ลากลับไป ซึ่งพระอาจารย์เดชได้พูดกับเขาว่า “เอาให้ชนะนะ” เส้นทางที่ผกค. มาส่งนั้นไม่ใช่เส้นทางที่จะไปบ้านนาหลัก แต่เป็นเส้นทางที่จะไปบ้านค้อ ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอคำชะอี กับอำเภอมุกดาหาร เขตจังหวัด ........... พระเณรจึงเดินทางต่อ พอเกือบถึงหมู่บ้านก็มาพบรถ ๖ ล้อ ซึ่งไปขนฟืนที่ทุ่งนา จึงขอโดยสารมากับเขา และเขาได้มาส่งที่วัด ซึ่งอยู่กลางทุ่งนาและมีกอไผ่ล้อม เมื่อเข้าไปที่วัด ไม่พบว่ามีพระเณรอยู่ทราบภายหลังว่าเจ้าอาวาสได้กลับไปเยี่ยมญาติ คณะได้พักอยู่ที่วัด ๑ คืน ในตอนกลางคืนก็มีชาวบ้านประมาณ ๒๐ คนได้มาร่วมทำวัตรสวดมนต์ โดยมีพระอาจารย์ทับและพระอาจารย์เดชเป็นผู้พาทำวัต ร ส่วนเณรทั้งสามรูปป่วยเป็นไข้มาลาเรียมาตั้งแต่ก่อนถูกควบคุมตัวจึงพักอยู่
    หลังจากทำวัตรเสร็จแล้วได้พูดคุยและบอกชาวบ้านว่าพรุ่งนี้จะเดินทางต่อไปยังมุกดาหาร ซึ่งชาวบ้านบอกว่ามีรถโดยสารที่จะไปอำเภอมุกดาหารเพียงเที่ยวเดียวและจะออกในตอนเช้า หลังจากนั้นชาวบ้านส่วนใหญจึงลากลับบ้าน เหลือพักค้างคืนที่วัด อยู่ประมาณ ๔-๕ คน
    ตอนเช้าวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ พระเณรได้ออกบิณฑบาตในหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่มีบ้านอยู่ประมาณ ๑๐๐ หลังคาเรือน หลังจากบิณฑบาตเสร็จแล้วได้กลับมาฉันที่วัด มีชาวบ้านประมาณ ๑๕-๒๐ คนได้ตามมาถวายจังหัน และเรี่ยไรปัจจัยเพื่อเป็นค่ารถ โดยปกติแล้วรถโดยสารจะออกจากหมู่บ้านประมาณ ๐๖.๐๐ น. แต่วันนี้รถได้รอรับพระเณรจนถึงเวลา ๐๙.๐๐ น. เพื่อไปส่งที่อำเภอมุกดาหาร โดยมีโยมในหมู่บ้านถือปัจจัยตามไปส่งถึงอ.มุกดาหารด้วย ๑ คน พอดีพระอาจารย์เดชมีตั๋วแลกเงินของไปรษณีย์อยู่ ๑ ใบ ราคา ๕๐ บาท ท่านจึงให้โยมนำไปแลกที่ทำการไปรษณีย์อำเภอมุกดาหาร เพื่อนำไปใช้เป็นค่ารถจากอำเภอมุกดาหารไปสกลนคร ซึ่งค่าโดยสารในขณะนั้นคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓๐ บาท ยังเหลืออยู่อีก ๒๐บาท โยมที่ติดตามมาจึงได้ฝากปัจจัยที่เหลือให้คนขับรถโดยสาร รถโดยสาร(เป็นรถของบริษัทสหมิตร)ได้มาส่งที่สถานีขนส่งจังหวัดสกลนคร และได้เดินทางต่อด้วยรถโดยสารประจำทางสายสกลนคร-อุดรธานี
    คณะพระเณรมาถึงวัดป่าอุดมสมพรประมาณ ๑๕.๐๐ น. เห็นพระเณรที่วัดกำลังกวาดตาดกันอยู่ สอบถามได้ความว่าพระอาจารย์ปิ่นและพระอาจารย์ทองฮวดยังมาไม่ถึง พระอาจารย์เดชได้พักรออยู่ที่วัดป่าอุดมสมพรและช่วยเตรียมงาน จนกระทั่งถึงวันครบรอบวันมรณภาพของหลวงปู่ฝั้น คือวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๔ ก็ไม่เห็นว่าพระอาจารย์ทั้งสองกลับมาที่วัด จึงได้กราบเรียนเหตุการณ์กับท่านพระครอูดุมธรรมสนุทร (พระอาจารย์แปลง สุนทโร เจ้าอาวาสวัดป่าอุดมสมพร) จากนั้นพระอาจารย์แปลงจึงได้บอกผู้ใหญ่บ้านบะทอง เพื่อไปแจ้งให้ทางอำเภอพรรณานิคมทราบ เมื่อนายอำเภอทราบแล้วจึงได้รายงานไปยังฝ่ายทหารค่ายกฤษณ์ สีวะรา จากนั้นทางฝ่ายทหารได้ตามมาสอบถามที่วัด โดยนำแผนที่มาสอบถามเส้นทาง เพื่อหาข้อมูลสถานที่ที่พระอาจารย์ทั้งสองหายตัวไป ซึ่งทราบว่าน่าจะเป็นบริเวณห้วยทราย หลังจากนั้น ๑-๒ วัน ก็ได้นิมนต์พระเณรทั้ง ๕ รูปไปที่ค่ายกฤษณ์ สีวะรา เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อฝ่ายทหารทราบเรื่องพระอาจารย์ปิ่น และพระอาจารย์ทองฮวด ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว จึงได้นำเครื่องบินไปประกาศให้ฝ่ายผกค. ปล่อยตัว และทางการก็ได้นำมวลชนไปกดดันผกค. ที่บ้านสานแว้ ต่อมาการเดินขบวนได้ขยายจำนวนมากขึ้นทั่วทั้งจ.สกลนคร เป็นผลให้ผกค. สกลนครสลายตัว และออกมอบตัวเพื่อพัฒนาชาติไทยตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น
    -- ภาคผนวก --
    เดิมพระอาจารย์ทองฮวดอยู่ที่วัดหนองไผ่ ท่านออกเดินธุดงค์ไปที่บ้านสานแว้ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งมีถ้ำผากงที่หลวงปู่กงมา จิรปุณฺโญ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และองค์อื่นๆ
    พระอาจารย์ทองฮวดได้เคยเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ในสมัยนั้นคือ นายสายสิทธิ พรแก้ว เพื่อขอรับ บริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค เช่น ข้าว เสื้อผ้า ยารักษาโรค ไปแจกให้ชาวบ้าน และได้เคยขอรับจากวัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน กรุงเทพฯด้วย จึงทำให้ผกค. เกิดความสงสัยว่าท่านเป็นฝ่ายราชการ
    ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างยุติลงแล้ว พระครูโศภณขันติพลากร (พระอาจารย์แจ๋ว ขนฺติพโล) วัดถ้ำพระผาป่อง บ้านขัวสูง ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งวัดของท่านอยู่ในละแวกหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุท่านได้ติดตามหาข้อมูลจนมาพบกับคนที่อยู่ในเหตกุารณ์ และได้เล่ารายละเอียดให้ท่านฟังว่า พวกผกค.ได้ลงมือทำร้ายหัวหน้าคณะพระธุดงค์ทั้งสอง ในวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยใช้ด้ามเสียมทุบตีที่บริเวณท้ายทอยจนถึงแก่มรณภาพ เสร็จแล้วจึงได้นำร่างของท่านทั้งสองไปฝังไว้ในหลุมเดียวกัน ใกล้กับบริเวณน้ำตกห้วยเรา ซึ่งเป็นสาขาของห้วยทราย หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไป พวกผกค.เกรงว่าจะมีคนมาพบหลักฐาน จึงได้นำศพของท่านอาจารย์ทั้งสองขึ้นมาเผา และนำอัฐิที่เหลือของท่านทิ้งลงน้ำตกแห่งนั้น
    แม่ชีสุนีย์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่อุปัฏฐากท่าน ซึ่งขณะนี้ประจำอยู่ที่สำนักชีวัดโคกเสาขวัญ เป็นคนเก็บรูปของท่านพระอาจารย์ทองฮวด
    ข้อสังเกตเรื่องผกค. กับการใช้ยุทโธปกรณ์ และการแต่งกาย
    ๑. ปืนอาก้าหรือ ปืนเอ็ม ๑๖ หรือ อาร์พีจี เป็นอาวุธประจำกายทุกคน
    ๒. ลูกระเบิดมีคนละประมาณ ๔ -๕ ลูก (ทำจากจีนแดง)
    ๓. กระติกน้ำ
    ๔. นาฬิกาข้อมือ
    ๕. ปืนพก (มีเฉพาะระดับหัวหน้า)
    ๖. เป้สนาม (มีเฉพาะระดับหัวหน้า)
    ๗. รองเท้ารัดส้น หรือรองเท้าแตะ
    -- ประวัติพระอาจารย์ทองฮวด --
    เดิมพระอาจารย์ทองฮวดนั้นเป็นชาว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ท่านได้เคยบวชมหานิกายในครั้งแรก ตอนหลังจึงเปลี่ยนญัติมาเป็นธรรมยุตนิกาย ได้ฉายาว่า ฐานวโร พระอาจารย์ทองฮวดมีอุปนิสัยชอบแสวงหาที่วิเวก และมักจะออกปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ปิ่นเสมอๆ ต่อมาท่านได้รับเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านหนองไผ่ ต.ดงมะไฟ อ.เมือง จ.สกลนคร และจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองไผ่นั้นเรื่อยมา จนมาถึงตอนที่มีเหตุการณ์ที่ท่านมรณภาพลงนั้น ท่านมีอายุรวม ๔๐ ปี พรรษาที่ ๑๒
    -- ประวัติพระอาจารย์ปิ่น --
    พระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม เป็นชาวลพบุรีเกิดที่ ต.โคกตูม อ.เมือง บิดาชื่อ นายพวง พุ่มอรุณ มารดาชื่อ นางลูกอินทร์ พุ่มอรุณ ในขณะที่เกิดเหตุนั้นท่านอายุ ๓๙ ปี ๑๙ พรรษา โดยบวชในปีพ.ศ.๒๕๐๕ ที่วัดมณีชลขัณฑ์ ต.พรหมาศาสตร์ อ.เมือง จ.ลพบุรี หลังจากการคัดเลือกทหารแล้วเสร็จ ได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดลพบุรี๑ ปี แล้วเดินทางไปจำพรรษาที่ จ.จันทบุรีอีก ๑ ปีในปีพ.ศ.๒๕๐๖ ต่อไปได้เดินทางมายัง จ.สกลนครในปีพ.ศ.๒๕๐๗ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม ต่อมาออกพรรษาในปีพ.ศ.๒๕๐๙ ได้ออกธุดงค์ทางภาคเหนือนานเป็นเวลา ๕ ปี แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดป่าอุดมสมพรอักครั้งหนึ่งในปีพ.ศ.๒๕๑๕ จนกระทั่งมรณภาพ

    ?temp_hash=012902ffcbbab704c9d9c889a11fd826.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ...พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ข่าวที่ค่อนข้างแน่ชัด คือเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อที่จะเอาไปปล่อยทำลายประเทศอื่น แต่ไม่รู้ว่าทำหลุดท่าไหน ถึงได้เล่นจนเละไปทั้งโลกขนาดนั้น

    เราจะสังเกตว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ทำไม่รู้ไม่ชี้เรื่องไวรัส แล้วอีกอย่างหนึ่ง บริษัทที่ผลิตวัคซีนรายแรก ๆ เตรียมไว้แต่แรกแล้ว

    ถ้าหากว่าคนเขาถามหา ก็จะขายวัคซีนตัวนี้ แต่ปรากฏว่าวัคซีนเอาไม่อยู่ ก็ถือว่ากรรมสนอง ตอนนี้บางประเทศติดเชื้อมากกว่าใครเพื่อนเลย ส่วนประเทศที่เขาตั้งใจให้ทหารไปปล่อยเชื้อ ปรากฏว่าเขาป้องกันทัน ปิดเมืองเลย

    เหตุที่รู้ว่าเป็นการตัดต่อพันธุกรรม เพราะว่ามีไวรัสเอดส์ปนอยู่ด้วย ก็คือไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกัน จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักการแพทย์ เขาพยายามสืบหา

    เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไวรัสจะพัฒนาตัวเองข้ามสายพันธุ์ได้ขนาดนั้น ท้ายสุดก็ไปได้ข้อมูลจากทหารหญิงคนแรกที่ป่วยด้วยเชื้อโควิด เจ้านั่นสารภาพ บอกว่าหลุดมาจากในห้องแล็บทางต้นสังกัดก็เงียบ ข่าวนี้กูไม่เถียง เถียงไปก็แพ้ เงียบเสียดีกว่า"

    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม
    ๒๕๖๓
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    temp_hash-cd97dfdd90b64f08e446661f72e75706-jpg.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    1KHry416svEt9PuADybP87kpyeXuRtLyco4eBm2lFL3b&_nc_ohc=jMgiUH_QiQEAX-pGwRr&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    1f344.png ทะเลบุญ 1f344.png
    1f34f.png "...ทะเลบุญ คือ สภาพที่เปรียบเสมือน “ศูนย์รวมของบุญ” อันมากมายมหาศาล ไม่มีขอบเขตจำกัด
    1f34f.png ผู้ที่จะสามารถตักตวงบุญได้ จะต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติในส่วนที่จะเกิดบุญอย่างใดอย่างหนึ่งใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ จึงจะสามารถตักตวงบุญจาก “ทะเลบุญ” ได้ ยิ่งผู้ที่สามารถเข้าถึงความละเอียดประณีต...ในการปฏิบัติธรรม ก็สามารถที่จะเข้าถึงการตักตวงบุญ...ที่ละเอียดประณีต ในทำนองเดียวกันได้
    1f34f.png ทะเลบุญ อยู่ที่ ... “ศูนย์กลางกาย” ที่มีอยู่ภายในตัวของทุกคน
    ยิ่งกลางของกลางกาย ยิ่งเข้าสู่ทะเลบุญ...ที่ละเอียดยิ่งขึ้น
    1f34f.png เหตุที่ ทะเลบุญ อยู่ที่ “ศูนย์กลางกาย” เพราะว่า เป็นที่ตั้งของกำเนิดธาตุธรรมเดิมของมนุษย์ อันเป็นจุดที่รวม ทั้งบุญที่ได้กระทำสะสมมาแล้ว...นับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นศูนย์กลางกาย และ ใจ ... ในการกำจัดกิเลสภายในให้หมดสิ้นไปสู่มรรค ผล นิพพาน
    1f34f.png เป็นที่รวมของ...กายในกาย ณ ภายใน และ ใจ ตั้งแต่กายสุดหยาบจนถึงละเอียด นับแต่กายมนุษย์ จนถึงกายที่ละเอียด ณ ภายใน เข้าไปจนถึง กายพระ หรือ กายธรรม ที่เรียกว่า “ธรรมกาย” ซ้อนอยู ณ ภายใน
    1f34f.png การจรดใจที่...ศูนย์กลางกาย เท่ากับการจรดใจถูกตรงกับ...ศูนย์กลางองค์พระ ซึ่งเป็นที่รวมของ “ทะเลบุญ” นั่นเอง
    1f34f.png นอกจากนี้ “ศูนย์กลางกาย” หรือ “ทะเลบุญ” ยังเป็นที่ตั้งของ “ใจ” คือ “ เห็น จำ คิด รู้ ”
    1f34f.png เป็นที่ตั้งแห่งสติอยู่ ขณะหลับและตื่นของมนุษย์
    เป็นจุดเริ่มต้น และ จุดสุดท้ายของชีวิต คือ มาเกิด และ จะไปเกิด...จะเริ่มจากจุดนี้
    1f34f.png “ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗” จึงเป็นที่รวมของความสำคัญที่ได้กล่าวมาแล้ว
    บุญกุศลที่จะเกิดขึ้น จึงอยู่ที่...ความสามารถ ความบริสุทธิ์ ของแต่ละคน
    ที่จะเข้าถึง “ทะเลบุญ” หรือ “ศูนย์กลางกาย” ... มากน้อยเพียงใด
    1f34f.png การเข้าถึงทะเลบุญ โดยการบำเพ็ญบุญกุศลใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ เมื่อก่อนจะกระทำ ขณะกระทำ และ หลังจากกระทำ
    จึงให้เอาใจจรดลงไปที่ ... ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อยู่เสมอ
    ซึ่งจะตรงกับ ... ทะเลบุญ
    ผลบุญที่ได้รับ ก็จะบังเกิดแก่ผู้กระทำมากน้อย...ตามความละเอียดประณีตของใจ
    1f34f.png โดยเฉพาะการปฏิบัติเจริญภาวนาตามแนว “วิชชาธรรมกาย” ที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จนฺทสโร) ท่านแนะนำให้เอาใจไปตั้งไว้ “ฐานที่ ๗” ซึ่งเป็น “ศูนย์กลางกาย” ตรงกับ “ทะเลบุญ”
    ย่อมได้รับผลบุญโดยตรง...ตามระดับภูมิธรรมที่ “เข้าถึง” และ “ปฏิบัติได้” ..."

    1f64f.png โอวาทธรรม 1f64f.png
    พระเทพญาณมงคล (หลวงป๋า)
    (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    WGCFgoScPmvi7BhUYvAsEsaN7YvHMkRVWlIYMvK9jQ6w&_nc_ohc=q21qgypodw0AX93Z67x&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    LwxdCjsN8xRKzODuCr39T9l7V9_X7x7T7onj3MmqeM8U&_nc_ohc=605DgUbLAV0AX84vggS&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    หลวงปู่โลกอุดร

    พระอาจารย์นิลเอารูปหลวงปู่โลกอุดรมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ใหญ่โลกอุดรถือว่าเป็นตำนานลึกลับที่คนจำนวนมากได้พบ แต่ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าท่านไปอย่างไรมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับบุญสัมพันธ์แต่เก่า ท่านจะไปสงเคราะห์เอง

    อาตมาไล่ตามท่านอยู่ ๔-๕ รอบ แต่ตามท่านไม่ทัน หวุดหวิด ๆ ทุกครั้ง ตอนหลังท่านบอกว่าไม่ต้องเสียเวลาตามท่านหรอก งานของท่านเยอะอยู่แล้ว แค่เก็บคนในสายของท่านก็ทำไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ของอาตมานั้นนอกสายจนเกินไป อย่าไปรบกวนท่านเลย

    ท่านเป็นตัวอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่มีความคล่องตัวในอิทธิบาท๔ สามารถอธิษฐานอายุให้อยู่เป็นกัปได้ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ถึงเวลาคนก็ไปรบกวนท่าน พอกวนมาก ๆ เข้าท่านก็ตายเสียทีหนึ่ง เผาเสร็จสรรพก็ไปโผล่ที่อื่นต่อ พวกที่คิดว่าตายก็จบแล้ว ไม่ไปกวนท่านอีก

    หลวงปู่ใหญ่ท่านปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วตัดสินใจปุบปับเลี้ยวเข้าหามรรคหาผล บริวารยังเพลินอยู่จึงตามไม่ทัน ก็เลยต้องมาคอยเก็บ ถ้าใครมีบุญสัมพันธ์สร้างบารมีร่วมกันมาแต่ปางก่อน ท่านก็จะไปสงเคราะห์เอง"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๑
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    https://palungjit.org/attachments/1...2/?temp_hash=ace7934ee790cfdc5ae4dbc25b165fa7




    หลวงปู่ฯ เคยเล่าว่า...สมัยที่เป็นฆราวาส ท่านจนมาก ไม่มีเงินจะทำบุญเลย

    ท่านไปนั่งตากแดดเป็นชั่วโมงๆจนเหงื่อท่วมกาย

    แล้วเดินไปที่โบสถ์ ไปที่หลังพระประธาน น้อมเอาศีรษะที่ชุ่มเหงื่อ พร้อมสองมือแนบลง ที่หลังพระประธาน และ กล่าววาจา ว่า

    ข้าพเจ้า ไม่มีทานอันใด มาถวาย

    ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเหงื่อจากการตากแดดขอถวายเป็นพุทธบูชา

    ในขณะ เมื่อสิ้นคำอธิษฐานนั้น แผ่นดินถึงกับสะเทือน ในมหาปฏิญาณ ของหลวงปู่ฯ ในสมัยนั้น
    ..........................................

    พระเทพวิสุทธิญาณ(หลวงปู่ไพบูลย์ สุมังคโล)สำนักสงฆ์เทพนิมิตสุดเขตสยาม บ้านห้วยเม็ง อ.เชียงของ จ.เชียงราย

    พระมหาเถระ ผู้มีจิตเมตตา หาที่สุดมิได้

    (พระมหาโพธิสัตว์ ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า จะเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคต)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    xQ881PLGiUsYS46oEQR75fWgo1MHEAedtlP9dgcV04NR&_nc_ohc=vHb3TMpkgnYAX_q-0Gb&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    "ถ้าหลวงพ่อชอบ ผมถวายเลยครับ" พระครูเทพ (พระครูปฐมสาธุวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดสี่แยกเจริญพร กล่าวขึ้นก่อนพิธีพุทธาภิเษก...

    ของชิ้นที่ว่าก็คือ "#งาช้างกำจัด" เป็นปลายงาชิ้นใหญ่กว่าฝ่ามือเสียอีก..! ที่สุดยอดกว่านั้นก็คือ #แกะสลักเป็นรูปพระพิฆเณศวรทรงช้าง ฝีมือระดับบรมครู งามสุดใจจริง ๆ...

    อาตมาเพิ่งจะซื้อ "#พระพิฆเณศวรปางเสวยสุข" แกะสลักมาจากกระดูกกรามช้าง ซึ่งจำหน่ายอยู่ที่ ศูนย์คชศึกษา บ้านตากลาง จังหวัดสุรินทร์ ได้ไม่นาน #ก็มาพบของสวยชิ้นนี้ที่พระครูเทพเอามาเข้าพิธี...

    โดยปกติแล้วอาตมาจะไม่ "แย่งของรัก" ของใคร จึงไม่ตอบคำของพระครูเทพ เมื่อถวายเครื่องบวงสรวง กราบขอบารมีพระ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ ทำการเสกวัตถุมงคล ช่วงท้ายของพิธี "#ท่านพี่" ก็มาปรากฏตัว #แต่ไม่ได้มีเศียรเป็นช้าง ซ้ำยังหล่อกว่า "โอ๊ปป้า" อีก..!

    "#จำคาถาบูชาพระพิฆเณศวรได้ไหม ?" แหม..ถามแบบนี้ดูถูกสมองกันชัด ๆ

    "โอม ศรี คเณศายะ นะมะหะ" ถึงไม่เคยรับประทานสุกร ก็เคยเห็นสุกรมาบ้างนะเว้ย..!

    "#นั่นแหละ..ต่อด้วย สัพพะธะนัง สัพพะโภคัง ประสิทธิ เม"

    "#แล้วบอกผมทำไมวะ ?" อีกฝ่ายยิ้มแบบ "หล่อมาก"

    "เผื่อว่าจะได้ใช้ #ถ้าภาวนาแบบนี้แล้วพี่จะมาช่วย"

    พี่ท่านน่าจะคิดผิด #ไอ้น้องตัวแสบถึงซื้อรูปของพี่ไป #ก็ทิ้งให้นอนเอ้เต้เสวยสุขอยู่ที่ห้องพักใน "อาคารปฐมา" เท่านั้น ถึงจะเอาเข้ากรรมฐาน ๓ วันมาแล้วก็เถอะ...

    "หลวงพ่อเลือกเอาเลยครับ จะเอาเหรียญทองคำกี่เหรียญก็ได้" หลังจากพรมน้ำมนต์และถวายข้าวตอกดอกไม้บูชาแล้ว พระครูเทพก็ยกวัตถุมงคลมาเสนอทั้งถาด...

    อาตมาหยิบเอาเหรียญพญาเต่ามังกรพลิกชีวิต เนื้อทองคำขนาดใหญ่และเล็ก มาอย่างละ ๑ เหรียญ #พระครูเทพหยิบพระพิฆเณศวรงาช้างกำจัดถวายมาด้วย...

    "#เขาขอบูชาผมแสนหนึ่งผมยังไม่ปล่อย #หลวงพ่อช่วยผมมามากแล้ว #ผมขอถวายบูชาครูเลยครับ"

    "#พี่บอกแล้ว #เผื่อว่าจะได้ใช้" เออ..ถึงเวลาจะเรียกให้ช่วยลูกศิษย์ทั่วโลกซะให้เข็ด..!

    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๔
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ห้องพระ

    กรรมเป็นหนึ่งใน 4 แห่งอจินไตย สิ่งที่ไม่ควรคิด ไม่ควรพิจารณา เพราะไม่อาจเข้าใจได้ในวิสัยของปุถุชน นั่นคือ "กรรมวิสัย" วิสัยแห่งกรรม ผลแห่งกรรมนั้นยุติธรรม มั่นคง เกินกว่าพิจารณาทำความเข้าใจได้
    ขอเพียงแค่มั่นใจได้ว่ากรรมนั้นส่งผลแน่
    ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วชัวร์เสมอ...
    ถ้ากำลังคิดว่าทำไมทำดียังไม่เห็นได้ดอกผล รอเถอะ ไม่มีกรรมใดไม่ส่งผล
    หรือถ้ารอว่าทำไม บางคนทำชั่วยังสุขสบายอยู่เลย นั่นก็ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องแคลงใจ
    ไม่มีใครใหญ่เกินกรรมหรอก...
    และหากรอว่าแล้วกรรมดี เมื่อไหร่ส่งผล ทำไมยังไม่ส่งผล ขอให้พิจาณาดูว่า
    ทุกๆ สิ่งมีวันเวลา มีไทม์ไลน์ของมัน
    ต้นไม้ ดอกไม้ ดอกผลจะงอกเงย
    หากรอให้เป็นไปตามกฏธรรมชาติก็ย่อมต้องอดทนรอตามฤดูกาล ตามกลไก
    แต่หากต้นไม้ดอกไม้ ที่หมั่นดูแล รดน้ำ พรวนดิน
    เรากำหนดโชคชะตาด้วยตัวของคุณเอง
    สิ่งไหนที่มีโอกาสมากกว่ากัน
    การสวดมนต์ภาวนาทำความดี
    นี่แหละคือการรดน้ำ พรในดิน ใส่ปุ๋ย ไล่แมลง กันวัชพืช
    - มณี นพรัตน์
    =AZUw_zvR2IaGt9shdhBRYVZ3TKMff0iaaK43MCv0iv3VsB5D1TnzFKYTAiUBKNhizUJphjNqOUv4bHKbR7y1bQvMJpE3LSNaOiid4oiLQ7zVzHxcf0WoT_JeoUJMgv6_0wNAWodUcnsijSN8n0Hk06vOeGD2VLUHe-1Up-pRIa-HikewKkOU0iYRbG88Mg7L_E0&__tn__=EH-R'] HqD876uSgeSC41uLEBmXBV2rlCHWsrPqp4rd3AEme__a&_nc_ohc=RJ5mZsACxsYAX-hRxEi&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    uisOxDook6P5-dkITx132bOGsmMZ_-cNYUPXMQpxp817&_nc_ohc=pJyegD9i0G8AX_t5NhE&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พรุ่งนี้ วันศุกร์ ที่ 29 มกราคม 2564
    เป็นวันดีมีมงคลนะครับ มีไม่บ่อยครั้ง
    ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ ที่มี 3 ดาว (อมฤตโชค)
    และที่สำคัญเป็นมหาเศรษฐีฤกษ์ เพราะระบายสีเหลือง
    สูงกว่าสิทธิโชค (1ดาว) และมหาสิทธิโชค (2 ดาว)
    เหมาะในการทำการใดๆ ที่เป็นมงคลสิ่งดีงามอย่างยิ่งครับ
    กราบสาธุ
    ที่มาภาพส่วนตัว จากปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ พ.ศ. 2564 (ปีฉลู อธิกามาส ปรกติวาร) วัดท่าขนุน

    *หมายเหตุ ทำดีไม่มีฤกษ์ก็จริง แต่ถ้าจะข้ามถนนข้ามทางก็ต้องระวังจราจรที่วุ่นวาย รอข้ามในเวลาที่ถนนโล่ง ดีกว่าข้ามในเวลารถขวักไขว่ที่อันตราย หมาวิ่งตัดหน้า หรืออะไรกีดขวางทางจราจร อันอาจจะเกิดภัยกับเราได้ เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    L5RxBg1OrWukd_XpFCc4X48YIdELhSQMaP9Bag13XcXR&_nc_ohc=eJpHrls0J5UAX9b4rwv&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    OpaDCoIzyZKTjowaXK0I4QPIXkGOKQYfidEzVAr7udeqD7Z0FEzoXZuE3bBtXAzXetxIwvo-&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ภิกษุทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืน สังขารทั้งหลาย เป็นสิ่งที่หวังอะไรไม่ได้
    ภิกษุทั้งหลาย! ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ก็พอแล้วเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอแล้วเพื่อจะคลายกำหนัด พอแล้วเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้...
    ภิกษุทั้งหลาย! ในข้อความนั้น ใครจะคิด ใครจะเชื่อว่า ปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุจักลุกไหม้ จักวินาศ จักสูญสิ้นไปได้ นอกเสียจาก พวกมีบทอันเห็นแล้ว


    ***************************************************

     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    " หากจะสร้างรูปพระสงฆ์ให้คนได้กราบไหว้บูชาแล้ว ให้ทำรูปสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังจะดีมาก
    เพราะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้น มีลูกศิษย์ที่เป็นเทวดามากที่สุด
    คนที่กราบไหว้ขอพรจากสมเด็จพระพุฒาจารย์โตทั่วบ้านทั่วเมืองจำนวนไม่น้อยที่ลูกศิษย์ซึ่งเป็นเทวดาของสมเด็จท่านได้จัดการแทนให้ อันจะเป็นกุศลและประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว "
    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    Cr.ภาพจากวัดระฆังโฆสิตาราม กทม.

    ?temp_hash=f1f6fb9eca404ad12890a8ecd9fdfb2b.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
    ถาม : ทำบุญอย่างไรจึงจะไม่ให้คนที่เสียชีวิตไปแล้วโดนหมอผีมารังแก ?
    ตอบ : ถวายสังฆทานให้ไป ถ้ารับสังฆทานไปแล้วเขาจะมีกำลังเท่ากับเทวดา หมอผีที่ไหนก็เล่นเทวดาไม่ได้หรอก มีแต่จะโดน "ตื้บ" มีอยู่จำพวกหนึ่งประเภทถึงเวลาก็จะเรียกไปใช้งาน พวกนั้นต้องสั่งสอนให้เข็ด รีบ ๆ ถวายสังฆทานให้คนตายไปเยอะ ๆ เลย

    เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,467
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...