@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    53613724_1107103972830982_6351458922213146624_n.jpg?_nc_cat=111&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg





    การเจริญภาวนานั้นเป็นกิจทางใจ
    จะต้องผ่านนิมิต อาศัยนิมิต หนีไม่พ้นนิมิตแน่นอน.

    การเห็นของจริงด้วยตาเนื้อนั้น เป็นแต่เพียงเริ่มต้น ของเรื่องที่จะนำมาพิจารณาเท่านั้น แต่การเจริญสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานนั้นเป็นกิจทางใจ แม้จะเห็นธรรม ณ เบื้องหน้าซากศพ ก็เป็นการเห็นด้วย"ใจ" หาใช่เห็นธรรมด้วยตาเนื้อไม่ และการเห็นสิ่งที่น้อมนำมาพิจารณาสภาวธรรมด้วยใจนั้น ก็คือ นิมิต นั่นเอง

    เรียกว่า หนีไม่พ้นนิมิต ในทางปฏิบัติแล้ว จะต้องผ่านนิมิตเสมอไป ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ได้เห็น ถ้าไม่เห็น ก็จะอ้างว่าเห็นแจ้งในสภาวะจริงของธรรมชาติที่เป็นจริงไม่ได้ ก็มีแต่ท่องจำเอาจากตำราเท่านั้น

    พระพุทธองค์ก็มิได้ปฏิเสธนิมิต ในการเจริญภาวนาธรรม และยังได้ประทานพระบรมพุทโธวาท มีมาในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง เล่มที่ ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ข้อ ๕๓๓ หน้า ๑๓๒ ความว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญบริบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธินิมิตอัพยัคคนิมิต (คือนิมิตแห่งจิตอันมีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน) มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์.

    จากตัวอย่างที่ยกมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ได้พิจารณาดูว่า จากการเจริญภาวนาโดยไม่ใช้ ไม่อาศัย หรือ ไม่ผ่านนิมิตนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่เพียงใด และถ้าหากยังไม่แน่แก่ใจ อาตมาก็จะยกเอาพระพุทธภาษิต มีมาในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ ฉักกนิบาต อังคุตตรนิกาย ข้อ ๓๓๙ หน้า ๔๗๒-๔๗๓ (คำแปลจากกนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ของกองตำราคณะธรรมทานไชยา พ.ศ. ๒๕๑๔, หน้า ๒๘๕-๒๘๖) ความว่า

    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ที่พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ๆ, ยินดีในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ๆ, ตามประกอบความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ๆ, เป็นผู้พอใจในหมู่, ยินดีในหมู่, ตามประกอบความพอใจในหมู่ อยู่แล้วหนอ เธอนั้นจักมาเป็นผู้โดดเดี่ยว ยินดียิ่งในความสงัดเงียบนั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่เป็นผู้โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้วจักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ได้ถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตวิปัสสนาจิตแล้ว จักยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ทำสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จักยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ทำสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้

    เมื่อไม่ละสัญโญชน์ทั้งหลายแล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งนั้น ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่มีได้เลย.

    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ที่ไม่พอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ๆ, ไม่ยินดีในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ๆ, ไม่ตามประกอบความพอใจในความคลุกคลีกันเป็นหมู่ๆ, ไม่เป็นผู้พอใจในหมู่, ไม่ยินดีในหมู่, ไม่ตามประกอบความพอใจในหมู่ อยู่แล้วหนอ เธอนั้นจักมาเป็นผู้โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความสงัดเงียบนั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อเป็นผู้โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความสงัดเงียบแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตและวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิตและวิปัสสนาจิตแล้ว จักยังสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อทำสัมมาทิฏฐิแห่งวิปัสสนาให้บริบูรณ์แล้ว จักยังสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อทำสัมมาสมาธิแห่งมรรคและผลให้บริบูรณ์แล้ว จักละสัญโญชน์ทั้งหลายได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้

    เมื่อละสัญโญชน์ทั้งหลายได้แล้ว จักทำนิพพานให้แจ้งได้นั้น ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้แล.

    จะเห็นได้ว่า การเจริญภาวนา จะต้องผ่านนิมิต อาศัยนิมิต แน่นอน

    ____________

    พระราชพรหมเถร
    หลวงปู่วีระ คณุตฺตโม
    อดีตรองเจ้าอาวาส
    และพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
    _____________
    ที่มา
    หนังสือสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานเบื้องต้น
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ?temp_hash=e1b4e38c12228c27c3f73ff09560c084.jpg




    เคารพเงินหน่อย แล้วเงินจะมาหาเราเอง

    ถาม : ที่หลวงพ่อเคยกล่าวว่า “เคารพเงินหน่อย แล้วเงินจะมาหาเราเอง ถ้าไม่ให้ความเคารพเลยเขาก็ไม่อยากมา” อยากทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดครับที่การเคารพเงิน จึงทำให้เงินอยากมาหาเรา ?

    ตอบ : อย่าลืมว่ารูปบนเงินคือในหลวง ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นอกจากมีเทวดารักษาองค์ท่านแล้ว

    เพื่อนฝูงที่เป็นเทวดายังเยอะแยะไปหมด ถ้าเราให้ความเคารพท่าน เทวดาชอบใจก็อยากจะมาอยู่กับเรา

    อาตมาเจอหลายคนทำเงินเหมือนเศษขยะ ขยุ้ม ๆ ยัดใส่กระเป๋า หยิบออกมาแต่ละทีนึกว่าผ้าขี้ริ้ว ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็จนทั้งชาติ..! จะจัดให้เรียบร้อยสักนิดยังไม่มีเลย

    ถาม : บนธนบัตรจะมีรูปพระมหากษัตริย์ไทย และบนเหรียญจะมีรูปวัดอยู่ การนำเงินใส่กระเป๋าเงินและเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงจะมีโทษปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ?
    ตอบ : ถ้าคิดก็เป็น ถ้าไม่คิดก็ไม่เป็น เพราะว่าเงินถ้าไม่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วคุณจะเอาไปใส่ไว้ที่ไหน ? เขาเรียกว่าอยู่ดี ๆ ก็หานรกให้ตัวเอง เป็นเรื่องที่น่าทำเป็นอย่างยิ่ง..!

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๒
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    *********************************************************



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    53267007_2064553473597775_260636929261830144_n.jpg?_nc_cat=101&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    อดทนทำความดีต่อไป

    พระอาจารย์กล่าวว่า "ชีวิตฆราวาสมีแต่ความเครียด ร่างกายก็ทรุดโทรมเร็ว ส่วนพระจะเครียดอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำดีแล้วไม่ได้อย่างใจ หลายท่านไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว “อดทน” เป็นคำแรกของโอวาทปาฏิโมกข์

    ส่วนใหญ่พระสมัยนี้ความอดทนน้อย ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนพระท่านปฏิบัติภาวนามา ๓๐ ปี ไปจุฬามณีได้เขาแตกตื่นกันทั้งจังหวัด ๓๐ ปีเชียวนะ สมัยนี้พระบวช ๓ เดือนไม่ได้ดีก็ทำท่าจะสึกกันหมดแล้ว เอาสัก ๓ ปีก่อน ไม่ต้องถึง ๓๐ ปีหรอก ถ้าทุ่มเทจริง ๆ ๓ ปีนี่ต้องเห็นหน้าเห็นหลัง

    วันก่อนโยมก็มาบ่น อยู่ ๆ ความดีก็ลดลง ฟุ้งซ่าน คิดถึงแต่เรื่องชั่ว ๆ ชวนให้กินข้าวเย็นอย่างนี้ ลูกหลานที่เคยอยู่ในโอวาทก็กวนโมโห หงุดหงิด โกรธ ถึงเวลาสอนลูกสอนหลานก็เผลอเสียงดัง เขาก็สงสัยว่าเป็นอะไร บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากมายหรอก เขาเรียกว่ากิเลสตีกลับ เพราะว่าเราไปเผลอปล่อยให้หลุดจากการภาวนา เผลอหลุดนี่อย่าไปคิดว่าจะหลุดเฉพาะตอนเราลืมตาตื่น หลุดตอนหลับก็ได้ กว่าจะรู้ตัวกิเลสก็ครอบเต็มที่แล้ว ลืมตาตื่นขึ้นมากิเลสก็เริ่มใส่เลย

    พวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นกันทุกคน ล้มแล้วก็ลุก ลุกแล้วก็ไปต่อ พยายามหน้าด้าน ตื๊อเข้าไว้ ทำความดีถ้าหน้าไม่ด้านพอไปไม่รอดหรอก"

    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๑
    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    c_oc=AQlnXz24OEs3qroPgT8QGPSm2HdT_hEFVmjH2yuaQLHZzEAsckMz6F38vER9hZXd-Ok&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg คนที่ด่าพระครูบา เราอย่าไปโกรธไปเกลียดเขานะเพราะเราเกิดมาเพื่อให้เขาด่า...รู้ไหม ถ้าเราดีจริงก็ไปนิพพานแล้ว"

    ธรรมโอวาท ครูบาพ่อบุญชุ่ม ญาณสํวโร
    --------------------------------------------------------------------

    ฝากไว้หน่อยนะโยม ขี้เหล้ากินเหล้า กินแล้วขาดสติ มาด่าเรา แล้วมันก็กลับบ้านไปนอน เรามีสติแท้ๆ ถูกขี้เหล้าด่า แต่กลับไปนอนไม่หลับ เอาแต่คิดถึงคำด่ามัน แต่ถ้าไม่คิดอะไรแล้ว ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง คนเราถ้าไม่คิดก็ไม่มีอะไร แต่คิดก็มีอยู่ตรงนั้น "เอาออกก็เบา เอาเข้าก็หนัก ยิ่งออกก็ยิ่งเบายิ่งเข้าก็ยิ่งหนัก" แบกเยอะก็หนักเยอะ แบกน้อยก็หนักน้อย ไม่แบกก็ไม่หนัก ยิ่งแบกก็ยิ่งหนัก ยิ่งแบกก็ยิ่งทุกข์ ไม่แบกก็ไม่ทุกข์

    ธรรมโอวาท พระครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ?temp_hash=12f237cb39788c4371a1d645c50cd1c1.jpg

    ฝากไว้ให้คิดก่อนจะสายเกินไป ช่วงนี้กระแสการเมืองมาแรง จนหลายคนเอาเกิดอาการร่วมในความรักชาติ
    หลวงตาพูดบ่อยว่า กรรมที่หนักคือกรรมที่มีต่อศาสนาและผืนแผ่นดิน เพราะว่าเป็นกรรมสาธารณะกรรมที่มีผลต่อคนหมู่มากและกรรมที่มีผลกระทบต่อสัญลักษณ์ ฝากไว้ให้พิจารณาหากใครที่กำลังหาผลประโยชน์ต่อศาสนาและพื้นแผ่นดินแอบอ้าง ศาสนา สถาบัน หรือพระ ทำมาหากิน ช่วงนี้มีกระแสมาเยอะมากเรื่องวัตถุมงคล ต่างๆ มากมายในสังคม โปรดพิจารณาอย่าได้เพลิดเพลินกับความอยากกับเงินเพียงน้อยนิดที่ท่านได้รับจากการหลอกลวงคน รวมถึงเงินแผ่นดินต่างๆที่สูญเสียไปเพราะความอยากและความโลกส่วนบุคคล เพราะกรรมหนักที่ท่านจะต้องเสวยและต้องรับนั้นมันแสนที่จะทรมานอย่างที่จะบรรยายออกมาได้ หลวงตาบอกว่า ใครจะใหญ่เกินกรรม กรรม เป็นเรื่องของบุคคลที่ทำ ทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้นตัวแปรแค่เวลาแค่นั้นเอง หากเราคิดได้ก็ดี คิดไม่ได้มันเป็นเรื่องของบุคคล กรรมใคร กรรมมัน หลวงตาถึงจะเน้นให้เราสวดมนต์ภาวนาเพื่อให้เกิดกำลังเปลี่ยนความเคยชินที่ไม่ดีเป็นความเคยชินที่ดีก็คือสติในการยับยั้งสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีๆให้เป็นความเคยชินที่ดีเป็นพฤติกรรมที่ดีๆในชีวิต

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    สาวค่าตัว 400 ล้านแต่ใส่ รองเท้าหลักร้อย ขับแต่รถจักรยานไฟฟ้าไปทำงาน ชาวเน็ตลั่นเอาเงินไปไหนหมด ก่อนรู้ที่มาที่ไป น้ำตาไหลทันที

    Lo.png


    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า จ้าว ลี่ หยิ่ง (Zhao Li ying) ดาราสาวจีนวัย 30 ปี ที่เมื่อก่อนไม่เคยมีใครรู้จัก เป็นตัวประกอบที่ขนาดจะดื่มน้ำยังโดนดุด่า แต่ปัจจุบันเธอโด่งดังจนกลายเป็นที่อิจฉาของผู้คน

    และนี่ก็เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่เธอได้รางวัล ราชินีหน้าจอ ภาคฤดูร้อน โดยการแสดงของเธอในตอนมีรายได้กว่า 700,000 บาท นี่แสดงว่า การถ่ายละครหนึ่งเรื่องของเธอก็สามารถซื้อบ้านได้ 1 หลังแล้วสินะ

    เมื่อปี 2015 จ้าว ลี่ หยิ่ง เธอได้ถือหุ้นจำนวน 1,418,700 หุ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 14 ของ Hai Run Movies & TV Production บริษัทจำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในบรรดาดาราก็คือ ดาราสาว Sun Li

    เมื่อไม่นานมานี้เอง ก็มีการจัดอันดับ จ้าว ลี่ หยิ่ง ก็มีค่าตัวสูงถึง 390 ล้าน กลายเป็นดาราที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประเทศจีน อยู่ในลำดับที่ 10 นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะกระโดดมาไกลถึงเพียงนี้ ด้วยความที่เป็นคนติดดิน ไม่ค่อยมีข่าวเสียๆหายให้เห็นมากนัก

    โดยแฟนคลับของเธอก็ออกมาเผยว่า ตั้งแต่แอบถ่ายรูปเธอมา ไม่เคยเห็นเธอใช้กระเป๋าแบรนด์เนมเลย นี่คือเรื่องจริง เพราะในความเป็นจริงเราจะคุ้นหูคุ้นตาที่จะเห็นดาราใส่เสื้อผ้าที่หรูๆ มีราคาไม่หลักพัน ก็หลักหมื่น แสน ล้าน

    แต่ จ้าว ลี่ หยิ่ง ทั้งชุดของเธอราคาแค่หลักร้อยเกือบพันเท่านั้น ทำเอาแฟนคลับไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง หลายครั้งที่ไปออกรายการก็จะใส่ชุดที่ทางรายการจัดให้ ขนาดรองเท้าก็เป็นของทีมงาน

    ขนาดมีข่าวว่าเธอจะไปขึ้นเครื่องบิน จ้าว ลี่ หยิ่ง ก็ไม่เหมือนดาราคนอื่นที่ต้องเลือกที่นั่งเฟิร์สคลาส แต่กลับมายืนเข้าแถวเหมือนคนธรรมดาทั่วไปในที่นั่งชั้นประหยัด ไม่ได้ทำตัวแตกต่างจากคนธรรมดามากนัก

    ทีมงานยังบอกว่า ในตอนที่ถ่ายละครก็กินอาหารธรรมดา เป็นคนติดดินมาก ไม่น่าล่ะ ถึงเป็นที่รักใคร่ของแฟนคลับ

    t1-1.jpg
    หลายคนคงรู้ว่าเธอมีเท้าที่เล็ก ทำให้ทีมงานหาเบอร์รองเท้าขนาดของเธอยากมาก

    ทั้งๆที่เธอมีรายได้มากมายขนาดนี้ ทำไมไม่สั่งทำรองเท้าขนาดเบอร์พิเศษของเธอไปเลย แต่เพราะเธอต้องเปลี่ยนรองเท้าบ่อยๆ ออกงานแต่ละทีรองเท้าก็ไม่เหมือนกัน หากจะต้องสั่งทำก็น่าเสียดาย ที่จะใส่ได้แค่ ครั้งสองครั้ง ทำให้เธอคิดว่าเปลืองเงินไม่สั่งทำ

    t2-1.jpg
    มีคนถามเธอว่า “ในปีๆหนึ่งเธอสามารถทำรายได้มากมาย ทำไมถึงได้ประหยัดขนาดนี้? จำเป็นต้องประหยัดขนาดนี้เลยหรอ? แล้วเงินที่หาได้ไปไหนหมดแล้ว?”

    จนกระทั่งในงานเลี้ยงการกุศล BAZAAR ปี 2017 (เป็นงานเลี้ยงของดาราที่ร่วมกันทำกุศล) ทำให้แฟนคลับหลายคนเข้าใจแล้วว่า ทำไม จ้าว ลี่ หยิ่งถึงไม่มีเงินไปซื้อรองเท้า เสื้อผ้าแพงๆ ,นั่งเครื่องบินราคาแพง,สั่งทำรองเท้าขนาดพิเศษ

    นั่นเป็นเพราะว่าเธอเอาเงินไปทำกุศลเป็นส่วนมาก โดยเธอบริจาคครั้งละกว่า 3,500,000 บาท (ยังมีครั้งอื่นที่ไม่ได้ออกข่าวอีก) แต่ไม่เคยบอกต่อสื่อหรือให้สัมภาษณ์ที่ใดมาก่อนเลย จนกระทั่งมีคนจ้องอยากรู้เรื่องราวของเธอและมาพบว่ากุศลในครั้งนี้

    t3-1.jpg
    ก่อนที่เรื่องการทำดีของเธอจะดัง เธอก็บริจาคให้ครอบครับของหน่วยดับเพลิงที่เสียสละเพื่อประชาชนจนได้รับบาดเจ็บในครั้งแรกบริจาคไปมากกว่า 2,500,000 บาท

    หลังจากที่เธอโด่งดังเป็นพลุแตกแล้วก็ยังไม่ลืมที่จะกลับไปเป็นห่วงเป็นใยคนเหล่านั้น ยังบริจาคเงินให้กับหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของตนเองเพื่อสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน แต่ก็เก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้เงียบโดยที่ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งนักข่าวต่างสงสัยว่าทำไมเธอถึงประหยัดขนาดนี้

    เรื่องราวทั้งหมดรู้จากเพื่อนในหมู่บ้านที่ถ่ายรูปมาขอบคุณเงินที่เธอบริจาค จนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้นักข่าวไปขุดคุ้ยและสืบมาได้ ทำให้แฟนคลับเข้าใจว่า เงินของเธอหายไปไหนหมด แต่หลายคนไม่เข้าใจเธอก็จะมีข่าวโจมตีเธอบ้าง

    แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอหวั่น เพราะเธอไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อยุ่ดี ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินเพื่อทำความดี เธอไม่ค่อยขับรถหรูออกมา มีแต่ขี่รถจักรยานไฟฟ้า

    ส่วนรถยนต์ก็จะมี รถบ้าน GMC RV และรถยนต์หรูหรา Mercedes-Benz G-class เมื่อเทียบกับรายได้ของเธอที่ตอนนี้ขึ้นถึง 400 ล้านแล้วนับว่าไม่ได้มีรถอะไรมากมายเลย คนในกองถ่ายเข้าใจดีว่า โดยส่วนมากจะชอบเห็นเธอขี่รถจักรยานไฟฟ้ามาถ่ายละคร แต่ถ้าเป็นงานใหญ่ๆเธอก็จะมีคนช่วยขับรถ หรือบางทีก็ขับรถมาเอง

    t4-1.jpg
    โดยนักข่าวบอกว่ารายละเอียดการบริจาคของเธอนั้นหายากมาก เพราะเธอบริจาคเป็นความลับ และคิดว่าเงินที่เธอนำไปทำกุศลนั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ แต่ขอนำเสนอเท่าที่หามาได้ก่อน

    ส่วนตัวเธอไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องการบริจาคหรือการทำกุศล เธอค่อนข้างจะเก็บเรื่องแบบนี้ให้เป็นความลับ ทำให้นักข่าวไม่ได้บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับเธอมาเลย

    ไม่เป็นไรนะ ได้แค่นี้ก็ถือว่าน่าชื่นชมมากแล้ว

    คนที่มีค่าตัวมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่เห็นชีวิตที่หรูหรา มิน่าละการงานของเธอถึงได้รุ่งแบบนี้ หวังว่าความดีของเธอจะทำให้เธอเป็นคนดีแบบนี้ตลอดไป

    อ่านแล้วทำให้หวนคิดว่าแล้วตนเองละ เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้วหรือยัง ไม่ต้องบริจาคเงินมากมายเหมือนเธอก็ได้ แค่เป็นคนดีของสังคม เท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้ว !!








    https://www.thaismiletopic.com/arch...7G91r3eqYtukjwEJsnyCa5hppn9eRFRS756FceplEjCUA
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    น่าคิดประการหนึ่งว่า....หลายกรณีที่คนจำนวนมากยังหลงปลื้มใจกับสถานะที่ตนหวังจะโปรดสรรพชีวิต หรือ คำยกย่องเป็น... แต่ แก่นแท้ของเมตตากรุณาในใจ อาจยังสู้ดาราจีนตามโพสข้างบนยังไม่ได้ ยังไม่สามารถทำด้วยใจเกินร้อยเหมือนคนยากจนที่มีเงินเพียงสิบบาทแต่ให้เป็นทานสาธารณะได้ ทั้งหมด พร้อมจะหาใหม่ด้วยแรงของตน
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ?temp_hash=6ec8af366a4bdd2cc2ea29256855f939.jpg



    เหตุที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระชนมายุเพียง ๘๐ ปี

    โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    สำหรับวันนี้ ก็จะขอเทศน์เป็นการตัดอายุ....เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูได้ทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า....

    “ภิกขเว..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น”

    หมายความว่า คนทุกคนและสัตว์ทุกประเภท ที่เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร้เมื่ออายุ 80 ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จดับขันธ์ คือ "ตาย" ในตอนนี้ไซร้ก็ปรากฏว่า มีอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาเคยเทศน์ไว้ว่า...คนที่มีการคล่องในอิทธิบาท 4 คือ....

    ฉันทะ ความพอใจ
    วิริยะ ความเพียร
    จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการงานที่ทำ
    วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องในอิทธิบาท 4 ในด้านของการปฏิบัติธรรม ผู้ที่คล่องจริง ๆ ในอันดับต้น ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าที่คล่องรองลงมาก็คือ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ท่านทั้งสองประเภทนี้ คือพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ถ้ามีอิทธิบาทไม่ครบถ้วนบริบูรณ์จะบรรลุ คือ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานไม่ได้

    แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องในอิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่งหรือกัลป์หนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมานิพพาน เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ได้อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของอตีตังสญาณ แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกนี้ต้องสงสัย เพราะว่าไม่ได้ญานวิเศษ จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี เหตุผลก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....

    อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย...ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ ทรงบำเพ็ญบารมีใกล้จะถึงปรมัตถบารมี พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ..เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วยเป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจนทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาท่านบิดาก็ตายเหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตนเป็นคนประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำหรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำอาบท่า กินน้ำบริโภคอาหาร เสร็จแล้วก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

    ในคราวนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์ แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหลเพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่ แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

    เจ้ารากษสตัวนี้ ปรากฏว่าถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้ารากษสตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล

    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า.. เจ้ารากษสขึ้นมาอาละวาด เจ้ารากษสตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้ารากษสจะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

    พระราชาก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือให้ไปสู้กับเจ้ารากษส ไปดักอยู่ปากปล่องของรากษสที่จะขึ้นมา ถ้ารากษสขึ้นมา ก็จะฆ่ารากษส ให้ตาย แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษสมีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชาจะไปฆ่ารากษส ก็กลายเป็นอาหารของรากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขานำกลับไปกินเป็นอาหาร

    ต่อมาพระราชาเห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้รากษสได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบรากษส พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า...เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่ เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

    แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่ารากษสได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดีก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุมก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ ที่มีความสามารถเข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้ ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้หาได้ยาก

    ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า...คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่ารากษส ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น มอบทองคำเท่าลูกฟักสำหรับผู้รับอาสา

    ต่อมาพระราชาก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่ารากษสให้ตายได้ ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสาให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่าไปพลาดพลั้งถูกรากษสฆ่าตาย ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

    ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา วันนั้น ก็ปรากฏว่าหน่อพระบรมโพธิสัตว์จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้าเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจากอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า

    ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่ารากษสได้ พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนผู้อาสาเป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่ารากษสไม่ได้ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว และถ้าฆ่าได้ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียวหาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้างไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเราตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

    เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสาแล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์ เข้าไปเฝ้าแล้ว พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่ารากษสได้หรือ

    พระโพธิสัตว์ก็บอกว่ามั่นใจ ต่อไปพระราชาถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่ารากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ก็ตอบว่า ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่าด้วยมือเปล่า พระราชาก็หนักใจ แต่ว่าเขาขันรับอาสาตามนั้นก็ต้องปล่อยไป เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของรากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อนนำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่รากษสจะขึ้น ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่รากษสจะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำก็ขึ้นมาพอดี พอรากษสขึ้นมาไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้รากษสคอหักตาย

    รากษสแหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์มี "กงจักร" ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่าคราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้ามีกงจักรสีแดง จึงได้พูดว่า....

    ช้าก่อน..ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร หากท่านฆ่าเราเราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุสองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่งก็ได้ หากว่าท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า.. เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาตเข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ก็กระทืบศีรษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย

    นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่งก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องในอิทธิบาท 4

    แต่ว่าที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่ารากษสตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องนิพพานในอายุยังสั้น

    ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมภาพในฐานะพรสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ทั้ง 3 ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงเห็นธรรมนั้น ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ..เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    c_oc=AQnk1e3-toIz78XNwFzuCalIFlpp6zXoH9zite0DPkLMLOScevuLY9DTwR_NKrQfi68&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    โบราณเขาบอกว่า...

    เมื่อตอนต้นเดือนพระอาจารย์ได้กล่าวถึงบุคคลท่านหนึ่งซึ่งมีวิสัยพุทธภูมิ ที่พอเห็นเพื่อนลำบากก็ไปช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าพอไปช่วยแล้วกลายเป็นตัวเองเดือดร้อนแทน

    หลวงพ่อจึงได้กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า อยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปทำอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ารักใคร่กันจนปานจะกลืนกินแล้วจะปฏิเสธไม่ได้

    ภาษิตเขาบอกว่า ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าได้ไว้ใจนัก เพราะมักสร้างความเดือดร้อน เนื่องจากช้างตัวมันใหญ่ บางทีมันก็ไม่รู้ว่าแรงชนิดเบา ๆ ของมันสามารถทำให้คนถึงตายได้ ส่วนงูเห่าถึงจะเล็กแค่ไหนมันก็กัดตายเหมือนกัน ส่วนข้าเก่า คนที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ ถ้าเราให้ความไว้วางใจเขามาก ถ้าถึงวาระที่ความโลภเข้ามาพอดี บางทีมันขนหมดบ้าน ข้าเก่าที่ดังที่สุดคือ 'เกรียงไกร เตชะโม่ง' ขนเพชรจากซาอุฯ นั่นเขาไว้ใจขนาดเข้านอกออกในได้หมด

    หลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดไร่ขิง ท่านมีภาษิตประจำใจอยู่ว่า วิสฏฺเฐปิ น วิสฺสเส แม้บุคคลใกล้ชิดก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะเราไม่รู้ว่าอกุศลกรรมจะเข้ามาดลใจช่วงไหน แล้วคนที่ยิ่งใกล้ชิดเราเท่าไร ก็จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่เราได้มากเท่านั้น

    ส่วนเรื่องเมียรักนั้นขอวงเล็บว่าผัวรักด้วย พอกันทั้งคู่ ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เพราะฉะนั้นก็พอ ๆ กัน เราไว้ใจเขา...เขาไม่ไว้ใจเรา หรือเราไม่ไว้ใจเขา...เขาไม่ไว้ใจเรา ยุ่งกันตายชัก

    หลวงปู่จันทร์ วัดเจดีย์หลวง สมัยท่านเป็นเจ้าคุณพระเทพกวี วัดป่าดาราภิรมย์ ท่านบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณจะพบแต่คนพาลทั้งเมือง คนประเภทนี้ถ้าเห็นว่าเราโง่ก็จะกอบโกยไม่รู้จักเลิก เพราะอยากโง่ให้มันเอง ส่วนคนไม่รู้จักบุญคุณ นอกจากจะกินบนเรือนแล้ว ยังขี้รดบนหลังคาอีกต่างหาก

    ดังนั้น เรื่องอะไรก็ตามถ้ามาจากโบราณ ก็แปลว่าเป็นภูมิปัญญาที่สังเคราะห์แล้ว โดนกันมาจนนับรุ่นไม่ถ้วนแล้ว จึงกลายเป็นภาษิตที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ได้"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม วัดท่าขนุน
    เทศน์ที่บ้านอนุสาวรีย์
    วันอาิทิตย์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    c_oc=AQmrktZCNmDfa_SOeAYR6I5QQiDJrAa9dg7vcVp2D-FzluSUwFtRXkaHDWRN1i6SUyo&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา
    สถานที่ดี ครูบาอาจารย์ดี ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่นั่นจะดี

    สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ท่านบอกว่าที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นต้องมีปลา ที่ไหนมีคนดี ที่นั่นก็มีคนชั่ว แต่ถ้าที่ไหนดีมาก ๆ แล้วมีคนชั่ว แสดงว่าชั่วถึงที่สุด

    ได้ยินแล้วสยอง..น่าสงสารนะ..อย่าไปโกรธ อย่าไปเคืองอะไรเลย เก็บไว้ในใจก็หนักใจเปล่า ๆ สิ่งที่เขาทำ คิดเสียว่าเขาทำเดี๋ยวเขาก็ได้รับโทษของเขาทีหลัง ถ้าหากว่าเราเห็นข้อบกพร่องของเขา ก็แปลว่าเราอยู่ในจุดที่สูงกว่า ไม่ควรที่จะลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับ รัก โลภ โกรธ หลง ของเขา ก้าวขึ้นมาให้สูง ๆ หนีให้พ้นไปไกล ๆ

    เขาไม่ได้ชั่วหรอก เขาทำดี แต่ว่าดีแค่นั้น เขาเพราะเขาคิดว่าดีจึงได้ทำ แต่คราวนี้ว่าดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา ไม่ใช่ดีโดยมาตรฐานของส่วนรวม และไม่ใช่ดีโดยมาตรฐานของพระพุทธเจ้า แค่ดีของเขา

    ฉะนั้น..บุคคลประเภทนี้เรียกว่า ยังมีอวิชชา คือ ความมืดบอดอยู่เป็นปกติ เมื่อมีความมืดบอดอยู่เป็นปกติ ก็นับว่าเป็นผู้ที่น่าสงสาร เหมือนกับคนหลงทาง ไม่ได้หลงทางเปล่า เขามั่นใจว่าทางของเขาถูก พยายามจะดึงเราไปอีกด้วย ถ้ารู้ก็หลบเสีย ไม่ไปกับเขาด้วย

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี อ.ทองผาภูมิ ต.ท่าขนุน

    ภาพ และที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ตัดความโกรธ

    ทีนี้ถ้าความโกรธมันเกิดขึ้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หาทางตัดในอาการตรงกันข้ามเหมือนกัน ความโกรธมีความประสงค์อยู่อย่างหนึ่งคือ อยากคิดประทุษร้ายบุคคลอื่น อยากจะตีเขาบ้าง อยากจะด่าเขาบ้าง อยากจะทำร้ายเขาบ้าง อยากจะฆ่าเขาบ้าง แล้วเราก็มานั่งคิดดูว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้มีความทุกข์ย่ำแย่อยู่แล้ว เราไม่ประทุษร้ายเขา เขาก็มีความทุกข์ เขาก็มีความลำบาก เราไม่พิฆาตทำร้ายเขา เขาก็เจ็บช้ำ มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีความแก่ มีความกลัดกลุ้มใจ เพราะความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกคนก็ไม่มีความสุข มีความทุกข์อยู่แล้ว ถ้าเราจะไปฆ่าเขาให้ตายจะมีประโยชน์อะไร เพราะเขาก็จะต้องตายอยู่แล้ว ถ้าคิดอย่างนี้ใจมันยังไม่สบาย องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ให้พิจารณาว่า เขากับเรามีความรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน นี่เราจะไปนั่งสร้างศัตรูเพื่อประโยชน์อะไร คนที่โกรธชาวบ้าน ทำใจให้เป็นภัยกับชาวบ้าน คือคิดประทุษร้ายเขาเป็นการสร้างศัตรู เมื่อเรามีศัตรูมากเพียงใด ความทุกข์มันก็มีมากเพียงนั้น เพราะอะไร เพราะไปทางไหนก็ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปไหนมีคนรักเรา มีเพื่อนมาก เราก็มีความสุขมาก ถ้าเรามีศัตรูมาก เราก็มีความทุกข์มาก เพราะความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เพราะระวังศัตรูจะทำร้ายเขา

    ❄️❄️นี่ล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ให้แก้อาการโทสะด้วยอาศัยเมตตาบารมี คือหนึ่ง คิดไว้เสมอว่าทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน เราจะไปฆ่าเขาเราจะไปทำร้ายเขาเพื่อประโยชน์อะไร ให้ทำใจของเราให้รู้จักอภัยกับบุคคลผู้ทำความผิด คิดเสียว่าคนที่ทำความผิดทุกคนน่ะ ทำด้วยความเข้าใจผิด ความหลงผิด เพราะทุกคนต้องการความสุข ไม่มีใครต้องการความทุกข์ แต่ที่ทำกันอย่างนี้เพราะอาศัยอำนาจแห่งโมหะจริต คือความคิดผิดเข้ามาครอบงำใจ จึงได้ทำไปอย่างนั้น ถ้าเราจะคิดกันง่าย ๆ ก็เรียกว่าเขาทำไปด้วยอำนาจของความโง่ ไม่ใช่ไปทำด้วยอำนาจของความฉลาด ถ้าเขามีความฉลาดจริง ๆ ก็ไม่มีบุคคลใดต้องการเป็นศัตรูกับใคร เพราะการเป็นมิตรมีความสุขกว่า เมื่อเราคิดว่าเขาโง่เสียอย่างเดียว เราก็สบายใจ ถ้าเขาจะโกรธก็ปล่อยให้เขาโกรธไปคนเดียว การตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง

    ☀️☀️ทีนี้คนที่มีความโกรธน่ะพระพุทธเจ้ากล่าวว่า โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ความโกรธมันมีอาการเผาผลาญให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุขกายสุขใจ ลองคิดถึงในการให้อภัยที่เรียกว่าอภัยทาน ใครเขาจะว่าอย่างไร ใครเขาจะด่าอย่างไร เขาจะทำแบบไร ก็ถือว่าช่างเถอะ ปล่อยไป เราไม่ตอบสนอง ไม่ช้าเขาก็เลิกไปเอง แต่ว่าคิดอย่างนี้ไม่ไหว ยังทานอำนาจของความโกรธไม่ไหว ใจมันยังโกรธอยู่ อย่างนี้มีอีกแบบหนึ่ง สำหรับพระโบราณาจารย์ท่านแนะนำให้อุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเลย ว่าบุญใดที่เราทำแล้ว จะมีผลกับเราเพียงใด เราขออุทิศกุศลทั้งหมดให้กับเขา ขอให้เขามีความสุข ที่ทำอย่างนี้ก็คิดว่าเวลานี้เขาตายจากเราไปแล้ว อย่างนี้ใจของท่านก็จะคลายลงไปได้ แต่การทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะไปแช่งให้เขาตาย คือเป็นการระงับอารมณ์ร้ายจากใจของเรา คิดว่าเวลานี้เขาตายไปแล้วเป็นผี อุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเลย หรือว่าถ้าหากว่าใครว่าบังสุกุลได้ก็ว่าบังสุกุลเสียก็ได้ ว่า อนิจจา วตะ สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปสโม สุโข ไม่ต้องแปล ว่าอย่างนี้ก็คิดว่าเวลานี้เขาตายไปแล้ว เราบังสุกุลเสียแล้ว ถ้าทำอย่างนี้อารมณ์ใจมันก็จะเบาลงได้ ลองทำดูก็แล้วกัน มีผลดีเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของพระโบราณาจารย์ท่านสอนไว้
    ***************************************************

    จาก... คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๔๒
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    มีลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นนักปฏิบัติได้มาเจอกับอาจารย์ศุภรัตน์ ที่หน้ากุฏิหลวงปู่ดู่ ท่านกำลังถวายข้าวพระอยู่ อาจารย์ศุภรัตน์เลยให้เขานั่งดูสักครู่ เขาบอกว่าหลวงปู่กำลังถวายพระพุทธเจ้า อยู่บนวิมารเเก้วมีพระมากมาย อาจารย์ศุภรัตน์เลยบอกว่าถ้าเห็นพระเเล้วทำอย่างไรต่อ เขาบอกไม่รู้ อาจารย์ศุภรัตน์เลยพูดว่าหลวงปู่ดู่บอกไว้ถ้าเจอพระให้อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เขาก็ทำตามเเละบอกหลวงพ่อองค์นี้ไม่น่าจะธรรมดาเพราะตอนที่ท่านประสิทธิพระเครื่องให้เขาเห็นเเต่งตัวเเบบเทวดา พอลืมตามาเห็นท่านยิ้มๆ

    เจอกันครั้งหลัง เขาบอกว่าที่มาพบ หลวงปู่ท่านเป่าหัวให้สว่างไป7วัน คุยกันไปคุยกันมาอาจารย์ศุภรัตน์เลยให้เขานั่งดูลูกเเก้วมหาจักรพรรดิ ( เเก้วสารพัดนึก ) เขานั่งสักครู่เเล้วบอกว่าตรงกลางลูกเเก้วเห็นเป็นเเสงสว่าง เลยให้เขาเดินจิตไปไหว้พระพุทธเจ้าจนถึงพระพุทธรูป4องค์ พอถึงองค์ที่5 พออธิษฐานก็เห็นพระหน้าตัก20 วา ตามที่หลวงปู่บอกไว้กับอาจารย์ศุภรัตน์ให้เขาอธิษฐานเข้าไป ในองค์พระเขาเห็นพระศรีอาริย์ นั่งตรงกลาง หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ขวา หลวงปู่ดู่อยู่ซ้ายมือพระศรีอารีย์ อาจารย์ศุภรัตน์บอกว่าให้อธิษฐานว่า หลวงพ่อทวด กับ หลวงพ่อดู่ เป็นองค์เดียวกันหรือไม่ หรือท่านจะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายขวาของพระศรีอารีย์ในอนาคต อธิษฐานเสร็จเขาบอกว่า เห็นทั้ง 3 องค์ มารวมเป็นหลวงปู่ดู่ เเสดงว่าทั้ง3องค์เป็นองค์เดียวกัน

    ตั้งเเต่นั้นมาเขามีความเคารพหลวงปู่ดู่อย่างมาก เพราะจากประสบการณ์ที่ลูกเเก้วมหาจักรพรรดิ์เเสดงให้เขารู้เห็นด้วยตนเอง

    มีลูกศิษย์หลวงปู่ดู่คนหนึ่ง เป็นคริสต์ เเต่ได้มาปฎิบัติขณะที่นั่งปฎิบัติที่กรุงเทพฯหลวงปู่ทวดได้มาโปรดในนิมิต เมื่อหลวงปู่ยกมือขึ้นประทานพรเขาเห็นรูปผีเสื้อตรงกลางฝ่ามือเขารีบขับรถจากกรุงเทพมาหาหลวงปู่ดู่ที่วัด หลังจากกราบหลวงปู่เเล้วเขาก็ขอดูเห็นเป็นรูปผีเสื้อจริงหลวงปู่ดู่ท่านบอกว่าหลวงปู่ทวด ไม่ใช่ข้าเเสดงท่านเป็นครูบาอาจารย์ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ เออโมทนาสาธุด้วย"

    หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านเเถบวัดสะเเก เป็นผู้หญิงปฎิบัติเก่ง อยากเห็นพระศรีอารูย์มาก จึงขอหลวงปู่ทวดช่วยพาไปวิมารพระศรีอาริย์เมื่อไปถึงเขาบอกหลวงพ่อว่าเป็นเหมือนโรงลิเกประดับประดาอย่างสวยงาม หลวงปู่ทวดบอกว่าเเก่รอประเดี๋ยว พระศรีอาริย์ท่านจะออกมาจากฉากคอยดู ให้ดีหลวงปู่ทวดหายไปสักครู่ก็มีพระศรีอาริย์เดินออกมาจากฉาก พอพระศรีอาริย์หายไป เป็นหลวงปู่ทวดเดินมา เธอเลยถามหลวงปู่ทวดว่าไหนละพระศรีอาริย์ หลวงปู่ทวดบอกว่าเเก่ก็ดูเองซิสลับกันไปมาเช่นนี้ จนปฎิบัติเสร็จเขาก็มาเล่าให้หลวงปู่ดู่ฟังท่านก็พูดกับอาจารย์ศุภรัตน์ว่า " คนเราบางทีต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณ " เเก่เลยงงว่าใครคือพระศรีอาริย์ " เเล้วเเกละว่าเป็นใคร " ท่านพูดเเล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503








    จะตามมาเอง


    หลายปีมาเเล้ว อาจารย์ศุภรัตน์เเละคณะได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่วักสะเเก ก่อนที่จะลาสิกขาเข้าสู่เพศฆราวาส ได้นัดเเนะกับเพื่อนพระภิกษุที่จะสึกด้วยกัน๓องค์ เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนสึกว่า พวกเราจะไปกราบให้หลวงปู่ดู่พรมน้ำมนต์เเละให้พร ขณะที่หลวงปู่ดู่รดน้ำมนต์ให้พรอยู่นั้นพวกเรานึกอธิษฐานอยู่ในใจว่า " ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภผลพูนทวี มีกินมีใช้ไม่รู้หมดจะได้เเบ่งไว้ทำบุญมากๆ "

    หลวงปู่ดู่ท่านหันมามองหน้าอาจารย์ศุภรัตน์ ที่กำลังคิดละเมอเพ้อฝัน ถึงความร่ำรวยก่อนที่จะบอกว่า " ท่าน ที่ คิดนะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ เเล้วเรื่องที่ท่านคิดนะจะตามมาทีหลัง "
    อาจารย์ศุภรัตน์รู้สึกตกใจที่ท่านล่วงรู้ความคิดของเราได้ เพราะพวกเราคุยกันที่กุฏิว่าฤกษ์สึกสำคัญเสมือนกับเราเกิดใหม่เเละอาจารย์ศุภรัตน์ได้กราบเรียนหลวงปู่สี วัดสะเเก ท่านบอกว่าฤกษ์ดีมากดังนั้นตอนที่ท่านพรมน้ำมนต์เราอธิษฐานขอความร่ำรวย จะได้นำเงินไปทำบุญกัน ซึ่งทุกองค์เห็นดีด้วยเมื่อได้ยินท่านเตือนจึงอธิษฐานถึงพระพุทธเจ้า ทำใจสบายๆภายหลังจากสึกเเล้ว หลวงปู่ดู่บอกกับอาจารย์ศุภรัตน์ว่านึกเช่นนี้ถูกเเล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เราหวังจะสำฤทธิ์ผล " ตอนนี้อย่าเพิ่งสงสัย ทำไปก่อนผลจะตามมาเอง "

    หลวงปู่ดู่ท่านชิงพูดขึ้นเพราะอาจารย์ศุภรัตน์นึกเถียงในใจ ท่านให้เราหลับหูหลับตาภาวนา เเล้วผลจะเกิดขึ้นได้อย่างไร "

    " คนมีปัญญา เเม้ถูกผูกมัดอยู่ พอพูดในเรื่องใดก็จะหลุดได้ในเรื่องนั้น "
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    อภิญญาเริ่มปรากฎเป็นสาธารณะ





    "ถ้าจำไม่ผิด...เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ไปงานประจำปีที่วัดท่าซุง หลังจากเจริญพุทธมนต์แล้ว รับไทยธรรมเสร็จก็มีการให้ญาติโยมใส่ย่ามพระ อาตมาเอาย่ามไปก็วางให้โยมเขาใส่ สักพักหนึ่งทางวัดก็เอาถุงผ้าโปร่งใส่พานมาให้โยมใส่แทน #อาตมาเองในเมื่อวางย่ามแล้วก็ไม่เอาออกวางไว้อย่างนั้นแหละ โยมที่มาก็เลยใส่ถุงผ้าในพานแล้วก็ใส่ย่ามอีก กลายเป็น ๒ เด้ง ก็เลยรับมาเยอะกว่าชาวบ้านเขาหน่อย ถ้ามัวรอถุงผ้าของทางวัดก็จะได้เด้งเดียว #เงินจำนวนนี้อาตมาเอาลงหล่อพระทองคำไปเรียบร้อยแล้ว"

    อาตมาไปประชุมสัมมนากับศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ #พอแนะนำตัวว่าอาตมาคือพระครูวิลาศกาญจนธรรม #เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ด็อกเตอร์ธาวิษ ถนอมจิตศ์ กระโดดเหยง “#หลวงพ่อเล็กใช่ไหมครับ ?” “ใช่” “ผมเพิ่งจะโอนเงินไปร่วมหล่อพระกับหลวงพ่อเมื่อไม่นานมานี้เอง” แล้วเอ็งก็ไม่รู้จักข้าเลยนะ นั่งอยู่ติดกันแท้ ๆ ถ้าไม่แนะนำตัวจะรู้จักไหมนั่น ?

    ท่านจบด็อกเตอร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการท่องเที่ยวแบบบูรณาการ พอดีว่าท่านจบจากนิด้า ส่วนอาตมามีอาจารย์ที่นิด้าหลายคน ก็เลยคุยกันถูกคอดี #โดยเฉพาะอาจารย์ที่ลูกศิษย์ลงความเห็นว่าติ๊งต๊องอย่างศาสตราจารย์ด็อกเตอร์กฤษ #เพิ่มทันจิตต์ คนไปว่าท่านติ๊งต๊องเพราะท่านมาถึงท่านจะบอกเลยว่า ในอดีตคุณเคยเป็นอะไร เคยมีความสัมพันธ์อะไรกันมา ผมถึงต้องมาสอนคุณ เจออาจารย์แบบนี้เข้าลูกศิษย์บางคนรับไม่ได้ เลยว่าท่านอาจารย์ติ๊งต๊อง

    ส่วนอาตมาท่านอาจารย์เจอหน้าก็บอกว่า “#ท่าน...#เราเคยทำงานร่วมกันภายใต้เศวตฉัตรของในหลวงรัชกาลที่ ๕” ท่านอาจารย์ก็แม่นนี่หว่า..! เจอหน้ากันครั้งแรกก็บอกเลย คนเขาเลยว่าอาจารย์กฤษเป็นอาจารย์ติ๊งต๊อง แต่ความจริงที่ท่านพูดมาใช่ทั้งนั้นแหละ #ต้องบอกว่านิด้านั้นเป็นแหล่งซ่อนเสือซ่อนมังกร"

    "อาจารย์อีกคนก็คือรองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์สมพร แสงชัย #ปัจจุบันนี้ท่านพกพระกริ่งพิชัยสงครามของวัดท่าขนุน ท่านบอกว่าท่านจับวัตถุมงคลมามากมายมหาศาล #มีวัตถุมงคลชิ้นนี้พลังงานมากที่สุด อยากรู้ว่าใครเสก เพื่อนที่เอาพระกริ่งพิชัยสงครามไปให้ก็พามาเจอหน้าอาตมา ท่านอาจารย์ก็นั่งงง เพราะว่าสมัยที่ทำพระกริ่งพิชัยสงครามอาตมาเพิ่งจะอายุไม่เท่าไร

    ตรงจุดนี้เป็นจุดได้เปรียบของลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง #เพราะว่าเรารู้จักพระพุทธเจ้า #พอถึงเวลาก็ขอบารมีท่านให้สงเคราะห์ #ไม่ต้องเสกเองถ้าหากว่าคุณขอบารมีเป็น ทำได้ถูกต้อง ทำอะไรก็ขลัง เพราะฉะนั้น...ท่านอาจารย์จากนิด้า ๒ ท่านที่คุ้นเคยกัน ล้วนแต่มีความสามารถพิเศษแบบนี้ทั้งคู่

    ตอนอาตมาเรียนปริญญาเอก ท่านอาจารย์สมพรเป็นอาจารย์พิเศษ เขาเชิญท่านมาสอน เจอหน้ากันท่านอาจารย์ก็ประกาศเลย บอกว่า "ผมเองมาเป็นอาจารย์ แต่ในจำนวนลูกศิษย์ทั้งหมดในที่นี้ มีพระอาจารย์ของผมอยู่ด้วย" #สรุปว่าทั้งสองคนผลัดกันเป็นอาจารย์ #ผลัดกันเป็นลูกศิษย์

    เรื่องพวกนี้ทำให้เห็นชัดว่า #ในส่วนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าอภิญญาจะปรากฏเป็นสาธารณะเริ่มชัดขึ้น แต่ว่าสำคัญตรงที่ว่า ท่านที่รู้ก็มักจะโดนควบคุมว่าพูดได้แค่ไหน แสดงออกได้แค่ไหน"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๒

    -------------------
    ?temp_hash=eaf66ed9fa7ea320ff0bde2d59c14794.jpg




    วิชชา ๓

    ๑. ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ความรู้จักระลึกชาติหนหลังได้ ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างบุรุษคนหนึ่งที่ออกจากบ้านของตนไปเยี่ยมบ้านนั้นบ้านนี้ แล้วก็กลับมาบ้านของตน ก็รู้ระลึกได้ว่าตนออกจากบ้านไปบ้านนั้น เดินยืนนั่งนอนพูดเป็นต้นอย่างนั้น ๆ ออกจากบ้านนั้นไปบ้านโน้นก็ไปทำไปพูดอย่างนั้นๆ ออกจากบ้านโน้นกลับมาสู่บ้านของตน

    ๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จักจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่า บุรุษขึ้นไปสู่ปราสาทที่ตั้งอยู่ที่ถนนสามแพร่ง มองลงมาก็เห็นหมู่มนุษย์หมู่คน เดินออกจากบ้านบ้าง เดินเข้าบ้านบ้าง นั่งอยู่ที่ทางสามแพร่งบ้าง เดินไปตามถนนบ้าง

    ๓. อาสวักขยญาณ ความรู้จักทำอาสวะให้สิ้น คือญาณที่เป็นเหตุสิ้นไปอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ริมสระน้ำที่ใสสะอาด ก็มองเห็นก้อนกรวดหอยโข่งเป็นต้นอยู่ในน้ำ มองเห็นปลาว่ายไปว่ายมาอยู่ในน้ำ

    วิชชา ๘ ประการ (โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)


    ๑. มโนมยิทธิ

    (เริ่ม ๘๐/๒) มโนมยิทธิญาณ คือความรู้จักแสดงฤทธิ์ นิรมิตมโนมัยกายคือกายที่สำเร็จจากใจ มโนมยะ มโนมัย แปลว่าสำเร็จจากใจ อิทธิแปลกันว่าฤทธิ์ ตามศัพท์แปลว่าความสำเร็จ ก็คือน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปที่สำเร็จจากใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปที่สำเร็จจากใจ มีอินทรีย์ที่สมบูรณ์ คือเหมือนมีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายและมีมนะคือใจ ซึ่งเป็นอินทรีย์ ๖ ของกายใจบุคคลนี้ ตรัสเปรียบเหมือนอย่างว่าชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง

    ๒. มโนมัยกาย กายทิพย์

    ในเมืองไทยนี้ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐานและสนใจในวิชชานี้ ท่านตั้งชื่อเรียกว่ากายทิพย์ ส่วนกายธรรมดาซึ่งประกอบขึ้นด้วยธาตุดินน้ำไฟลมเรียกว่ากายเนื้อ กายทิพย์นี้ก็คือมโนมัยกาย หรือมโนมัยรูป ซึ่งท่านได้แสดงเอาไว้ในประวัติพระพุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าโดยปรกติเสด็จไปด้วยกายเนื้อ แต่ในบางคราวเสด็จไปด้วยกายทิพย์ หรือมโนมัยกายนี้

    ๓. อิทธิวิธิญาณ

    อิทธิวิธิญาณคือความรู้จักวิธีแสดงฤทธิ์ ก็คือน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ด้วยวิธีต่างๆ ตามที่น้อมจิตไปว่าจะแสดงวิธีไหนอย่างไร ดังที่ท่านแสดงไว้เช่น คนเดียวเป็นมากคนหลายคนเป็นคนเดียว ปรากฏตัวหายตัว เดินทะลุฝากำแพงภูเขา เหมือนอย่างเดินไปในที่ว่าง ดำดินโผล่ขึ้นเหมือนอย่างดำน้ำโผล่ขึ้น ดำน้ำ เดินบนน้ำเหมือนเดินบนแผ่นดิน ไปในอากาศได้เหมือนนก ดั่งนี้เปนต้น ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างช่างหม้อ หรือลูกศิษย์ของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อได้เตรียมดินไว้ดี ก็ปั้นภาชนะดินต่างๆ ได้ตามต้องการ

    ๔. ทิพยโสตญาณ

    ทิพยโสตญาณ ญาณคือความหยั่งรู้ด้วยทิพยโสต หูทิพย์ น้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตญาณ ก็ฟังเสียงได้ ๒ อย่างคือเสียงทิพย์ หรือเสียงมนุษย์ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลทั้งที่ใกล้ เหมือนอย่างคนเดินทางไกลได้ยินเสียงสังข์เสียงตะโพน ก็รู้ว่านี่เป็นเสียงสังข์เสียงตะโพน ในที่ใกล้บ้างที่ไกลบ้างที่ผ่านไป ทิพยโสตญาณนี้เป็นวิชชาที่ ๔

    ๕. เจโตปริยญาณ

    เจโตปริยญาณความรู้จักกำหนดใจของผู้อื่นได้ คือน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ ก็กำหนดรู้ใจได้ อ่านใจได้

    ๖. ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ

    ความรู้จักระลึกชาติหนหลังได้ ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างบุรุษคนหนึ่งที่ออกจากบ้านของตนไปเยี่ยมบ้านนั้นบ้านนี้ แล้วก็กลับมาบ้านของตน ก็รู้ระลึกได้ว่าตนออกจากบ้านไปบ้านนั้น เดินยืนนั่งนอนพูดเป็นต้นอย่างนั้นๆ ออกจากบ้านนั้นไปบ้านโน้นก็ไปทำไปพูดอย่างนั้นๆ ออกจากบ้านโน้นกลับมาสู่บ้านของตน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณนี้เป็นวิชชาที่ ๖

    ๗. จุตูปปาตญาณ

    ความรู้จักจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาตินั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่า บุรุษขึ้นไปสู่ปราสาทที่ตั้งอยู่ที่ถนนสามแพร่ง มองลงมาก็เห็นหมู่มนุษย์หมู่คน เดินออกจากบ้านบ้าง เดินเข้าบ้านบ้าง นั่งอยู่ที่ทางสามแพร่งบ้าง เดินไปตามถนนบ้าง จุตูปปาตญาณนี้เป็นวิชชาที่ ๗

    ๘. อาสวักขยญาณ

    ความรู้จักทำอาสวะให้สิ้น คือญาณที่เป็นเหตุสิ้นไปอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานทั้งหลาย ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ริมสระน้ำที่ใสสะอาด ก็มองเห็นก้อนกรวดหอยโข่งเป็นต้นอยู่ในน้ำ มองเห็นปลาว่ายไปว่ายมาอยู่ในน้ำ



    ปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

    อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี ๖ อย่าง คือ

    ๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้

    ๒. ทิพพโสต มีหูทิพย์

    ๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้

    ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้

    ๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์

    ๖. อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป

    อภิญญา ๕ ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ ๖ มีเฉพาะในพระอริยบุคคล

    ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล(https://th.wikipedia.org/wiki/อภิญญา)

    ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ (ความแตกฉาน ๔)

    ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือ ความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่น ได้แก่

    ๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉาน ในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร

    ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉาน ในธรรม สามารถสรุปข้อความได้อย่างกระชับเก็บความสำคัญได้หมด

    ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉาน ในนิรุตติ คือแตกฉานเรื่อง ภาษาต่าง ๆ

    ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉาน ในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง

    ที่มา : พระไตรปิฏก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค หน้า 87 ข้อ [๑๘๖] เป็นต้นไป



    http://www.84000.org/tipitaka/read/?10/66

    อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/ฌาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    +++ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม +++

    พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา วันที่ ๓ เมษายน เสียงหม้อแปลงไฟฟ้าในวัดท่าขนุนระเบิด...ตูม...! #ไฟดับเกือบทั้งวัด พระท่านก็ไปดูสาเหตุกัน สักพักหนึ่งก็ไลน์มาบอกว่า “หลวงพ่อ...บ่างบินไปเกาะฟิวส์สายไฟแรงสูง ก็เลยระเบิด” อาตมาออกไปดู #ปรากฏว่าไม่ใช่บ่าง #แต่เป็นกระรอกบิน จึงบอกพระท่านว่า ถ้าบ่างปีกจะกว้างกว่านี้ ขณะเดียวกันหางก็มีติ่งอยู่นิดเดียว แต่หางฟู ๆ แบน ๆ แบบนี้เขาเรียกว่ากระรอกบิน

    เป็นความซวยของเขาเอง #เพราะว่าบินอยู่ทุกวัน อาตมาขอให้เขาหุ้มสายไฟ เพราะว่าถึงเวลาหน้าฝนลมแรง ถ้ากิ่งไม้แกว่งไปกระทบสายไฟเปลือย ๆ จะช็อตเอา หุ้มสายไฟหมด มีตรงฟิวส์ที่หุ้มไม่ได้ ทุกวันกระรอกก็ลงถูกที่ #แต่วันนี้ลงผิด #ไปลงไปโดนฟิวส์พอดี เกรียมได้ที่กำลังกินเลย ประมาณ Medium...!

    ที่พูดไม่ได้นึกถึงกระรอกบินปิ้งหรอก ที่พูดเพราะประมาณ ๓๐ นาทีที่ไฟดับ พระทั้งวัดออกมานอกกุฏิกันหมดเลย ไฟฟ้าดับไม่มีพัดลมใช้ #มีแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั่งทำงานหน้าตาเฉย เพราะว่าเปิดพัดลมใส่ตัวก็เป็นไข้ ถ้าเปิดแอร์ก็คัน ใช้อะไรไม่ได้สักอย่าง จึง เคยชินกับอากาศปกติ คนอื่นร้อนกันแทบตาย #แต่อาตมาห่มผ้านอน..!"

    เพราะฉะนั้น..ถ้าเราปล่อยให้เทคโนโลยีหรือเครื่องอำนวยความสะดวกเป็นทุกอย่างในชีวิตของเรา ไม่ต้องอะไรหรอก #แค่ไฟฟ้าดับเราก็แย่แล้ว #ทำอะไรไม่ได้แล้ว สำหรับอาตมา ถ้าไฟฟ้าดับ ไมโครเวฟใช้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน เตาไฟฟ้าใช้ไม่ได้ก็ช่างหัวมัน มีแก๊สก็หุงข้าวได้ ไม่มีแก๊สก็หุงด้วยถ่าน ไม่มีถ่านก็หุงด้วยฟืน ไม่มีหม้อ ไม่มีไห ก็หุงด้วยกระบอก ไม่มีกระบอกก็ห่อผ้าชุบน้ำฝังดิน เอาดินกลบแล้วก่อไฟเผาก็ได้กินเหมือนกัน

    #สรุปว่าถ้าโยมไปกับอาตมามีสิทธิ์ตาย #เพราะทำอะไรไม่เป็น โบราณถึงบอกว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ความรู้ทุกประเภทถึงเวลาสามารถช่วยเราได้ ดังนั้น..พอมีงานอบรมแต่ละที ส่วนใหญ่แล้วอาตมาจะไปด้วยตัวเอง บางทีเขาถามว่า หลวงพ่อยังต้องมาด้วยตัวเองอีกหรือ ? ส่งตัวแทนมาก็ได้ ส่งตัวแทนไป พอเขียนรายงานมาก็ไม่ละเอียดเหมือนกับไปฟังเอง"

    ดังนั้นความรู้ต่าง ๆ หาใส่ตัวไว้ เขาเรียกว่า สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษาเรียนรู้ เรียนมาก ฟังมาก จำได้มาก #หลังจากนั้นถ้าเอาไปขบคิดจนแตกฉาน นำไปใช้งานได้ เรียกว่า #จินตมยปัญญา จำไว้นะ ไม่ใช่จินตา จินตานั้นบาลีผิด หลังจากนั้นถ้าหากเอาไปตรึกตรอง #จนกระทั่งรู้เห็นตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นหลักธรรมที่แท้จริง เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ถ้าหากว่าได้ภาวนามยปัญญา #สภาพจิตยอมรับนี่หากินได้ตลอดชาติ ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และอีกหลายชาติด้วยถ้ายังเกิดอยู่

    ถามว่าทำไม ? อย่างเช่นว่าเราเห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ ธรรมดาร่างกายเราต้องแก่ ธรรมดาร่างกายเราต้องป่วย ธรรมดาต้องหิว ธรรมดาต้องกระหาย ธรรมดาต้องร้อน ธรรมดาต้องหนาว #ถ้าเราเห็นธรรมดาก็ไม่ไปดิ้นรน ถ้าไม่เห็น ไปดิ้นรนก็ทุกข์ คราวนี้การที่เราจะไม่ดิ้นรน #ไม่ได้แปลว่าปล่อยวางแบบไร้ปัญญา พยายามหาทุกช่องทางแล้ว ถ้าทำไม่ได้ถึงจะปล่อยวาง

    สรุปว่ายังไม่ทันที่จะเริ่มปฏิบัติธรรมเลยก็ว่าไปยาวแล้ว #เห็นเทคโนโลยีตัวเดียวจากการถ่ายรูปแค่นั้นก็บ่นไปครึ่งชั่วโมงแล้ว สรุปว่าฟังแล้วจำได้ไหมว่าเริ่มจากไหน ? ลืมไปแล้ว เอาประโยคสุดท้ายก็แล้วกัน การฟังต้องจับประเด็นให้ได้ว่าประเด็นหลักที่พูดคืออะไร แล้วแตกย่อยออกไปกี่สาขา"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๒
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,642
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    “อย่าอยู่กับตราบาป”

    คนเรานั้น ไม่มีหรอกที่จะไม่เคยทำผิดพลาด หลวงปู่ดู่ท่านยังพูดว่า “คนเราเป็นอยู่ด้วยบาปทั้งนั้น ขนาดว่าเดินไปเดินมาเหยียบมดเหยียบแมลงตายก็บาปแล้ว” แม้แต่อยู่เฉยๆ นั่งคิดปรุงให้จิตเศร้าหมอง บาปก็เกิดแล้ว (ทางธรรมท่านนิยมใช้คำว่าอกุศล เพราะให้ความหมายชัดกว่าคำว่าบาป) ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะบาปน้อยที่สุด

    บาปกรรมในอดีต เป็นสิ่งให้เราเรียนรู้และพึงสำรวมระวังมิให้เกิดอีก แต่บาปกรรมในอดีตมิใช่สิ่งที่เราจะมายึดฝังแน่นเป็นตราบาปทำร้ายจิตใจตนเองให้บอบช้ำจมอยู่กับทุกข์อย่างไม่รู้จบ

    หลวงปู่สอนวิธีลดความทุกข์ที่ไม่จำเป็นด้วยการ “หมั่นดูจิต รักษาจิต” เวลาเผลอไปจมอยู่กับความผิดในอดีตอย่างที่เคยคุ้นชิน ก็ให้พยายามมีสติดูจิต รู้จิตโดยเร็ว แล้วใช้ปัญญาอบรมจิต สอนจิต เพื่อชำระความเศร้าหมองออกจากใจเรา กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ และมีความปลอดโปร่งโล่งใจให้ได้โดยเร็ว เพราะความเศร้าหมองขุ่นมัว ถ้าครอบงำจิตนานเท่าใด สุขภาพจิตก็เสียไปมากเท่านั้น



    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...