@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ความเข้าใจที่ถูกต้อง "เรื่องการส่งวิญญาณ, การปรับภพภูมิ"



     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ?temp_hash=9786fc6b60821c3713a85d0cff7d053c.jpg





    อมตวัชรวจีหลวงปู่วัดปากน้ำ


    พระอริยสาวกทั้งหลายนั้น
    ฐานะเดิมก็เป็นปุถุชนนี้เอง
    แม้องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็เช่นกัน
    มิใช่ เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน
    แต่ที่เลื่อนขึ้นสู่ฐานะเป็นพระอริยะได้
    ก็เพราะการปฏิบัติเท่านั้น.

    เมื่อเรารู้แนวปฏิบัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวก ดังกล่าวมาข้างต้นนี้แล้ว เรามีหน้าที่จะต้องพิจารณาไตร่ตรองดูว่า เราจะทำอย่างไร

    เราเพียงท่องจำ"อิติปิ โส ภควา" ไว้กระนั้นหรือ
    หรือจะพยายามนึกคำแปลไว้ให้เข้าใจด้วย
    และระลึกถึงพระคุณเหล่านี้เนืองๆดังนี้หรือ
    เราไม่พึงกระทำอะไรยิ่งไปกว่านี้หรือ

    ในปัญหาเหล่านี้
    ขอให้เราส่งใจไประลึกถึงพระโอวาทในเรื่องบูชา
    บูชามี ๒ อย่าง
    #อามิสบูชา คือ บูชาด้วยเครื่องสักการะอย่างหนึ่ง
    #ปฏิบัติบูชา คือ บูชาด้วยการปฏิบัติอย่างหนึ่ง

    ในการบูชาทั้ง ๒ อย่างนี้
    พระองค์ทรงสรรเสริญว่า ปฏิบัติบูชาดีกว่าอามิสบูชา เมื่อคิดทบทวนดูเหตุผลในพระโอวาทข้อนี้แล้ว เราจะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า พระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกเรามีความเพียรพยายามปฏิบัติเจริญรอยตามพระองค์ มากกว่าที่จะมามัวบูชาพระองค์อยู่ หาไม่พระองค์จะตรัสเช่นนั้นทำไม

    และโดยนัยย์อันนี้เอง จึงเป็นที่เห็นได้ว่า แม้เวลานี้ จะเป็นกาลล่วงมาช้านานจากที่พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อห้ามว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามจะไม่ได้รับผลอย่างที่ท่านได้รับ นอกจากคำกล่าวอ้างของคนเกียจคร้าน ข้อนี้มีคำว่า"#อกาลิโก" ในบทธรรมคุณนี้เอง เป็นหลักฐานยันอยู่ว่า ธรรมของพระองค์ ผู้ใดปฏิบัติตามย่อมเกิดผลทุกเมื่อ ไม่มีขีดคั่น

    พระอริยสาวกทั้งหลายนั้น
    ฐานะเดิมก็เป็นปุถุชนนี้เอง
    แม้องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็เช่นกัน
    มิใช่ เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน
    แต่ที่เลื่อนขึ้นสู่ฐานะเป็นพระอริยะได้
    ก็เพราะการปฏิบัติเท่านั้น
    แนวปฏิบัติอย่างไหนถูก
    พระองค์สอนไว้ละเอียดหมดแล้ว
    ปัญหาจึงเหลือแต่ว่า
    พวกเราจะปฏิบัติกันจริงหรือไม่เท่านั้น.

    _______________
    เทศนาธรรมจาก

    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
    _______________
    ที่มา
    เรื่อง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
    ๒๗ พฤศจิกายน ๒๔๘๘ ถึง ๓ มีนาคม ๒๔๘๙
    ________________
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ๓ กุมภา รำลึกวันมรณภาพหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ


    หลวงพ่อได้บอกแก่ศิษยานุศิษย์เมื่ออายุได้ ๗๐ ปี ว่าอีก ๕ ปีข้างหน้า ท่านจะละสังขาร ต่อมาอีกราว ๓ ปี ท่านเริ่มอาพาธเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องกว่า ๒ ปีเศษ แม้ว่าจะอาพาธ ท่านก็มิได้แสดงอาการรันทดใจใดๆ เลย ท่านยังคงต้อนรับแขกด้วยอาการยิ้มแย้มเสมอ เวลาจะลุกจะนั่งท่านไม่พอใจให้ใครไปช่วยเหลือ ท่านพอใจทำเอง ผู้อื่นคอยตามเพื่อช่วยเหลือเวลาท่านเซไปเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๒ เวลา ๑๕.๐๕ น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำภาษีเจริญ สิริอายุได้ ๗๔ ปี ๓ เดือน ๒๔ วัน พรรษา ๕๓

    ประวัติหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
    พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำ กรุงเทพฯ พระเถราจารย์ผู้มีตบะบารมีแก่กล้า พระวิปัสสนาจารย์กลางกรุงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้พระเครื่องหรือพระของขวัญที่หลวงพ่อสดได้สร้างไว้ ด้วยอิทธิคุณและเรื่องเล่าขานที่ปรากฏอยู่เนืองๆ ทำให้ในปัจจุบันนี้มีราคาค่านิยมที่สูงและขยับขึ้นเรื่อยๆ จัดเป็นพระในฝันของใครหลายๆคน

    แชร์เผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชาเพื่อประโยชน์แก่อนุชนผู้ใคร่ต่อการศึกษาต่อไป สาธุๆ สังฆัง นะมามิ

    ประวัติโดยสังเขปหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
    ชาติภูมิ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เดิมมีชื่อว่า “สด มีแก้วน้อย” เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๔๒๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บ้าoสองพี่น้อง ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรีก่อนอุปสมบท ได้เรียนหนังสือเมื่อเยาว์วัยกับพระภิกษุซึ่งเป็นน้าชาย ณ วัดสองพี่น้อง ต่อมาได้ศึกษาอักษรสมัยที่วัดบางปลา อ.บางเลน จ.นครปฐม

    เมื่ออายุ ๑๔ ปี โยมบิดาถึงแก่กรรม ท่านดำเนินการค้าสืบต่อจากบิดา จนถึงอายุ ๒๒ ปี และปี ๒๔๔๙ ได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้อง โดยมีพระอาจารย์ดี วัดประตูศาล เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อเหนี่ยง อินฺทโชโต เป็นพระกรรมวาจารย์, พระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “จนฺทสโร”

    อุปสมบทแล้วจำพรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง ๑ พรรษา เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่ง และหลวงพ่อเนียม ในระยะเวลาสั้นๆ ปวารณาพรรษา แล้วเดินทางมาจำพรรษา ณ วัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ เพื่อเล่าเรียนพระปริยัติธรรมต่อไป สมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) กับ สมเด็จพระวันรัต (เผื่อน)
    สรุปแล้วท่านเคยศึกษาสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานในสำนึกต่างๆ ดังนี้
    ๑. พระอาจารย์โหน่ง วัดสองพี่น้อง ๒. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย ๓. พระมงคลทิพยมุนี (มุ้ย) วัดสามปลื้ม ๔. พระอาจารย์ดี วัดประตูศาล ๕. พระสังวรานุวงษ์ (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม ๖. พระครูญาณวิรัต (โป๊) วัดเชตุพนวิมลมังคลาราม ๗. พระอาจารย์สิงห์ วัดละครทำ ๘. พระอาจารย์ปลื้ม วัดเขาใหญ่

    การศึกษาของหลวงพ่อสด จากอาจารย์ตามข้างต้นนี้ อยู่ในระยะเวลาประมาณ ๑๐ ปี จากปีที่ท่านอุปสมบทในปี ๒๔๔๙-๒๔๕๙

    เมื่อสมเด็จพระวันรัต (เผื่อน) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ องค์ต่อจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอภาษีเจริญ จ.ธนบุรี ท่านมีความประสงค์ที่จะให้หลวงพ่อสดมีวัดอยู่เป็นหลักเป็นฐาน จึงหวังเอาตำแหน่งเจ้าอาวาสผูกหลวงพ่อไว้กับวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงวัดหนึ่ง เพื่อไม่ให้เร่ร่อนโดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

    อีกต่อไป
    ปี ๒๔๕๙ หลวงพ่อสดจึงรับบัญชาออกจากวัดพระเชตุพน ไปเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ในปี ๒๔๖๓

    เมื่อแรกที่ท่านมาปกครองวัดปากน้ำ วัดมีสภาพกึ่งร้าง ท่านได้เริ่มสร้างความเจริญให้วัด โดยกวดขันพระภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด สอนสมถวิปัสนากัมมัฏฐาน ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ตั้งสำนักเรียนทั้งนักธรรมและบาลี สร้างโรงเรียนปริยัติธรรมที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น จนวัดปากน้ำมีความเจริญขึ้นมาโดยลำดับ กลายเป็นศูนย์กลางปฏิบัติธรรมและการศึกษาบาลี ปฏิบัติสมถ-วิปัสสนากรรมฐาน

    สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ (พ.ศ.๒๕๐๒ -๒๕๐๘) ได้เขียนไว้ว่า
    “หลวงพ่อวัดปากน้ำใช้คำว่า “ธรรมกาย” เป็นสัญลักษณ์ของสำนักกัมมัฏฐาน วัดปากน้ำ ทีเดียว เอาคำว่า “ธรรมกาย” ขึ้นเชิดชู ศิษยานุศิษย์รับเอาไปเผยแพร่ทุกทิศ”
    อีกตอนหนึ่งท่านเขียนเล่าว่า
    “คำว่า “ธรรมกาย” นั้นย่อมซาบซึ้งกันแจ่มแจ้ง เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำได้มรณภาพแล้ว กล่าวคือ เมื่อทำบุญ ๕๐ วัน สรีระสังขารของพระคุณท่าน คณะเจ้าภาพได้อาราธนาเจ้าคุณพระธรรมทัศนาธร วัดชนะสงคราม มาแสดงธรรม

    เจ้าคุณพระธรรมทัศนาธร ได้ชี้แจงว่า คำว่า “ธรรมกาย” นั้นมีมาในพระสุตันตปิฎก ท่านอ้างบาลีว่า ตถาคต ๘๘ วาเสฏฐ เอตํ ธมฺมกาโยติ วจนํ ซึ่งพอจะแปลความได้ว่า “ธรรมกายนี้เป็นชื่อของตถาคต ดูกรวาเสฏฐะ” ทำให้ผู้ฟังเทศน์เวลานั้นหลายร้อยคนชื่นอกชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนกราบสาธุการแด่เจ้าคุณพระธรรมทัศนาธร และประหลาดใจว่า ทำไมเจ้าคุณพระธรรมทัศนาธรจึงทราบประวัติ และการปฏิบัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำได้ถูกต้อง

    ผู้เขียน (สมเด็จพระสังฆราชปุ่น) เรื่องนี้ก็แปลกใจมาก เมื่อแสดงธรรมจบลงจากธรรมาสน์แล้วจึงถามผู้แสดงธรรมว่า คุ้นเคยกับหลวงพ่อวัดปากน้ำหรือ จึงแสดงธรรมได้ถูกต้องตามเป็นจริง

    พระธรรมทัศนาธร ตอบว่า “อ้าว ไม่รู้หรือ ผมติดต่อกับท่านมานานแล้ว หลวงพ่อวัดปากน้ำข้ามฟากไปฝั่งพระนครแทบทุกคราวไปหาผมที่วัดชนะสงคราม และผมก็หมั่นข้ามมาสนทนากับเจ้าคุณวัดปากน้ำ การที่หมั่นมานั้นเพราะได้ยินเกียรติคุณว่า มีพระเณรมาก แม้ตั้ง ๔-๕๐๐ รูป ก็ไม่ต้องบิณฑบาตฉัน วัดรับเลี้ยงหมด อยากจะทราบว่า ท่านมีวิธีการอย่างไรจึงสามารถถึงเพียงนี้และ ก็เลยถูกอัธยาศัยกับท่านตลอดมา”

    สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๔๖๔ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ “พระครูสมณธรรมทาน”
    …พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระภาวนาโกศลเถร”
    ….พ.ศ.๒๔๙๔ ได้รับพระราชทานพัดยศชั้นเปรียญ
    …พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ “พระมงคลราชมุนี”
    …พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระมงคลเทพมุนี”

    อาพาธและมรณภาพ พระมงคลเทพมุนี หรือหลวงพ่อสด เริ่มอาพาธด้วยโรคความดันโลหิตสูง ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๙๘ มีอาการขึ้นๆ ลงๆ พล.ร.จ.เรียง วิภัตติภูมิประเทศ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลทหารเรือ เป็นแพทย์ประจำตัวดูแลรักษา

    หลังจากได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “พระมงคลเทพมุนี” เมื่อปี ๒๕๐๐ อาการของโรคเพิ่มมากขึ้น แต่กำลังใจของท่านนั้นเข้มแข็ง ไม่แสดงอาการรันทดใจใดๆ การต้อนรับแขกด้วยอาการยิ้มแย้มเสมอ

    หลวงพ่อสด อาพาธได้ประมาณ ๒ ปีเศษ จึงถึงแก่กาลมรณภาพด้วยอาการอันสงบ ณ ตึกมงคลจันสร เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ เวลา ๑๕.๐๕ น. สิริอายุได้ ๗๕ ปี พรรษา ๕๓

    เพจ: #ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญาครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม


    ?temp_hash=80db037ea7110d5a9b0f764e4d3a9986.jpg

    ******************************************************************************************



     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    KbxJlznx7WrmbuZGJpBRKLwbkrDVnQt3LgP2BWxMHKkUVMvbjhtCwD12G-SwvDWA1gfQVDtw&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.jpg



    ฝันดี


    หลวงตาครับเมื่อคืนผม ฝันเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าท่านมาตัดแว่นที่ร้านด้วยครับ
    ฝันดีนะนั่น
    ฝันเหมือนจริงมาก มีมหาดเล็กมาดูแลที่ร้าน ให้ในหลวงท่าน เซ็นต์ลงนามให้ ท่านดูหนุ่ม ใส่ชุดราชการสีน้ำเงิน นั่งหลังตรง ดูสง่า
    ผมไม่ได้ ฝันแบบนี้มานานมาก หมายถึงอะไรครับ
    ฝันเห็นในหลวง เอ็งก็จะมีโชคไง
    สาธุครับ ใกล้หวยออกด้วย มี 9 แน่ๆ หลวงตา

    แล้วฝันร้าย ฝันดี มีความหมายไหมครับ
    จิตสุดท้ายของเราไง คิดดีก่อนนอน ก็ฝันดี ตายไปสวรรค์ ตายก็ไปเกิดที่ดีๆ คิดร้ายก่อนนอน ก็ฝันร้าย ไปที่ไม่ดี
    ผมจำได้ละ หลวงตาเคยบอกผม ถึงว่าเราต้องสวดมนต์ ภาวนาก่อนนอน ให้ จิตดีไว้ ฝึกตาย ไปที่ดีๆ
    แล้วฝันเห็นในหลวงนี่ ตามรอยพระโพธิสัตว์ไปใช่ไหม หลวงตา
    อืม นั่นแหล่ะ
    กราบสาธุ ครับหลวงตา

    โพสต์นี้ ไม่ใบ้หวย แต่ถ้าถูก ก็ขอให้เจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลก และ ต่อยอดสร้างบารมี ทางธรรม ยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    +++ คาถาบรรเทาความทุกข์เศร้าในชีวิต +++

    พระอาจารย์กล่าวว่า "คาถาอีกบทหนึ่งนั้น #หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียนมาจากหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ท่านบอกว่าเอาไว้สำหรับคนที่กำลังกลัดกลุ้ม #มีแต่ความทุกข์ #มีแต่ความเศร้าในชีวิต ท่านบอกว่าให้ภาวนาคาถานี้ แล้วจะทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงและหายไปจากชีวิตของเรา

    ตัวคาถาว่า “ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน โหตุ สัพพะทา” คาถาค่อนข้างจะยาว แต่ถ้าใครเคยสวดมนต์ทำวัตรเป็นประจำ #จะรู้ว่าบทนี้แหละที่เวลาเจริญพุทธมนต์ #พระภิกษุสงฆ์ใช้เป็นบทส่งเทวดากลับ เพียงแต่ต่อท้ายด้วย โหตุ สัพพะทา เท่านั้น ท่านให้ภาวนาไปเรื่อย ความทุกข์ ความเศร้าหมองต่าง ๆ จะค่อยหมดไปจากใจของเราเอง

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ของเรา #ท่านทำแล้วเกิดผล #จึงนำมาสั่งสอนต่อ ๆ กันมา ถ้าเรามีความเชื่อ มีความเลื่อมใส เป็นคนมีสัจจะ ทำอะไรทำจริงจังและสม่ำเสมอ #ก็สามารถที่จะทำแล้วเกิดผลได้ง่ายความจริงคาถานั้น มาจากภาษาบาลีว่า กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว ซึ่งหมายความว่า #คำพูดทุกคำก็คือคาถานั้นเอง"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๕

    หมายเหตุ : พระท่าน"ตรัส" ให้หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน(ศิษย์หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง) จัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 และวันที่ 6 กรกฎาคม 2562 ณ วัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี ปีนี้ มี 2 ครั้งครับ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์ (โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    (ยกมาจาก"พ่อสอนลูก") ปรารถนาพุทธภูมินี่เหนื่อย ฉันเคยเป็นพุทธภูมิมาก่อน ฉันรู้ว่าพุทธภูมิสู้ทุกอย่าง งานทุกอย่าง ถ้าลาพุทธภูมิปั๊บอารมณ์ตัด ถ้าตัดก็ไม่ได้ทิ้งงานนะ แต่อารมณ์ต่างกันแต่เสริมขึ้น อารมณ์มุ่งเข้าตัดกิเลสตรง เพราะพุทธภูมิไม่ตัดกิเลส พุทธภูมิทรงฌานมากกว่า หนักไปในเรื่องฌาน พอใช้วิปัสสนาญาณมากเข้าอารมณ์มันเบาลง มันต่างกัน

    พระโพธิสัตว์นี่ พระอรหันต์ไม่ยอมนั่งหน้านะถ้ารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ ถ้าอารมณ์เข้มปั๊บพระอรหันต์ไม่นั่งหน้า แม้พวกนั้นบวชหนึ่งวัน พระอรหันต์บวช ๑๐๐ วัน เขาไม่นั่งหน้าพระโพธิสัตว์ เขารู้ค่า คนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องปฏิบัติเลยอรหันต์ พระสาวกปกติบำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขยกับแสนกัปเท่านั้น พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าจิตของเขาถึงปรมัตถบารมี เขาเลยอสงไขยสองอสงไขยมาแล้วต้องเป็นอสงไขยที่ ๔ จึงจะเป็นปรมัตถบารมี พระโพธิสัตว์เหมือนพวกเรียนวิชาครู เรียนมาเพื่อเป็นครู จะต้องเข้มแข็ง ถ้าไปโดนศรัทธาธิกะ ต้องหวด ๘ อสงไขย ถ้าวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขย

    ฉันนี่วิริยาธิกะ ทำงานทุกอย่าง สบายไม่มี สาวกภูมิก็พุ่งจริตอย่างเดียว แต่สาวกภูมิสำหรับพวกฉันนี่ เป็นวิริยาธิกะหมด พวกตามเป็นวิริยาธิกะ เฉพาะลูก ๘๐,๐๐๐ กว่าแล้ว พวกไม่คิด เป็นกองทัพใหญ่เลย ถ้ายกมารวมกันนี่หลายแสน กองทัพนะ ลูกฉันน่ะมีบ้าทุกคน ตีฉิบหายหมด บ้าเหมือนพ่อมัน

    เมื่อกี้นั่งคุยกับแม่ศรี อยู่พักหนึ่ง เขาทำภาพเก่าๆคือว่า คนนี้เขาต้องดึงภาพเก่ามาให้เห็นนะเพื่อเป็นการสั่งสอนแนะนำคน โยมท่านพูด บอก "เออ...ลูกคุณ ลูกกับพ่อก็เหมือนกัน แม่พ่อก็แบบเดียวกัน ลูกก็แบบพ่อกับแม่" เราก็ไม่รู้ว่าท่านพูดว่ายังไง แม่ศรีก็ทำตาม บอก "ดูซิ ลูกผู้หญิง ลูกผู้ชายมันบ้าเหมือนพ่อ มันบ้าเหมือนแม่หมด" พ่อแม่มันชอบรบใช่ไหม พ่อแม่คว้าดาบเข้าไป ลูกจะคว้าอีโต้ได้ไง ก็ไปตามเข้าป่าไป ก็รบกันแหลกมานาน พวกนี้จึงต้องใช้พวกวิริยาธิกะ นี่ต้องผ่านหนักทุกอย่างหมด ไม่มีอะไรเบา งานทุกอย่างเต็มไปด้วยความลำบาก

    พวกเราที่นั่งๆอยู่ที่นี่ทั้งหมด ท่านถึงพูดได้ว่าไปหมด เพราะกำลังเลย กำลังนี่เลยแล้ว แต่ว่าจุดใดจุดหนึ่งที่จะเข้าถึงมันยังขาดอยู่นิดเดียวเพราะอารมณ์ไม่ถึง ทุกอย่างมันเลยหมด มันเต็มหมด อย่างพวกเรานี่ขาดอันเดียว คือ ขาดอารมณ์ตัดสิน ทำไมจึงขาดอารมณ์ตัดสิน ขาดเพราะว่าอารมณ์เวลานั้นมันยังไม่ถึง เพราะที่ผ่านมานี่ การรบก็ดี การบริหารก็ดี มันมีกรรมบังอยู่หนุนอยู่ พอถึงจุดนั้นปั๊บตัด ๒ เดือนมันหลุดเลย ง่ายนิดเดียว ฉันรู้แล้วว่ามันง่าย

    พระโพธิสัตว์จริงๆ เวลานี้มีเกือบแสนที่เต็มอัตรา เต็มอย่างพระศรีอาริย์น่ะ เต็มคอยคิว นั่งยิ้มอยู่ชั้นดุสิต ปรารถนาพุทธภูมิ ยังไม่พบพระพุทธเจ้าพยากรณ์ ยังไม่ถือว่ามีคติแน่นอน ต้องพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์น่ะ มีคติแน่นอน ถ้าเป็นปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ๔ อสงไขยกับแสนกัป ศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกับแสนกัป วิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป สบายมาก อยากเป็นไหม

    เป็นสาวกภูมิก็พอแล้ว รีบไปดีกว่า แต่อย่าไปขัดคอกันนะ ถ้าคนที่เขามีวิสัยพุทธภูมิอยู่ก็พูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิไม่มีความเป็นพระอริยะ มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด หมายความว่า ถ้าบารมียังต่ำขั้นฌานโลกีย์ ยังคุมไม่ถึงฌานขั้นต้น ฌานก็ไม่มั่นคง ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมี ก็ปลอดบ้างไม่ปลอดบ้าง ถ้าเป็นปรมัตถบารมีนี่ปลอดหมด กว่าจะเลื้อยแต่ละบารมีนี่ โอ้โฮ ฉันลองดูแล้ว

    สำหรับท่านที่บำเพ็ญตนปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นการก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล การปรารถนาพุทธภูมิเป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการซื้อสัตว์ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ทุกข์ของชาวประชาทั้งหลายเป็นภาระของเรา เขาทำกำลังใจกันแบบนี้

    หมายความว่า เราจะทุกข์แค่ไหนนั้นมันเป็นเรื่องของเรา ไม่มีความสำคัญ จิตใจของเรานั้น เราคิดว่าเราจะพ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเราช่วยเหลือความสุขแก่บรรดาประชาชนที่มีความทุกข์ ถ้าเราเปลื้องทุกข์เขาได้ เราก็เป็นคนหมดทุกข์ เราสร้างให้เขาเป็นคนมีความสุขได้เราก็เป็นคนมีความสุข จิตใจของพระโพธิสัตว์มีอารมณ์อย่างนี้ แต่ทว่าให้เป็นไปตามบารมี

    บารมีของพระโพธิสัตว์นั้น แม้จะเป็นการเริ่มต้นแห่งการปรารถนาพุทธภูมิ กำลังใจเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาปรานี ก็จะมีบริษัทมาก จะมีบริวารมาก เป็นการฝึกกำลังใจของนักปฏิบัติเพื่อจะได้ซ้อมกำลังใจของเราว่ามีความหนักแน่นเพียงใด

    นักปรารถนาพุทธภูมิจะต้องมีทั้งขันติและโสรัจจะ ขันติ อดทนต่อความยากลำบากทุกประการ เพื่อความสุขของปวงชน โสรัจจะ แม้จะกระทบกระทั่งทำให้ใจตนไม่สบายเพียงใดก็ตาม ก็ทำหน้าแช่มชื้นไว้เสมอ นี่ก้าวแรกสำหรับพุทธภูมิ และกำลังใจอีกส่วนหนึ่งที่จะเว้นไม่ได้นั่นคือ พระนิพพาน จงอย่าคิดว่าถ้าจิตเราเกาะพระนิพพานแล้วความเป็นพุทธภูมิจะหายไป ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ต้องถือว่า เป็นผู้มีกำลังใจต่ำ ก้าวไม่ถึงก้าวสำคัญของพุทธภูมิ

    พุทธภูมิจะต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราเป็นผู้ที่ต้องการพระนิพพาน อารมณ์ใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำในด้านวิปัสสนาญาณ ต้องเกาะให้ติด และมีกำลังจิตใช้ปัญญาพิจารณาไว้เสมอ เพื่อความสุขของจิต เพื่อปัญญาเลิศแล้ว ก็มีจิตตั้งไว้เสมอว่า ถ้าหากจิตของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเมื่อไหร่ เมื่อนั้นบารมีของเรานั้นไซร้ จะเข้าเต็มเปี่ยมในขั้น พุทธวิสัย ชื่อว่า การที่เราจะเข้าพระนิพพานคนเดียว เราไม่เข้าใจ มองไว้เข้าใจว่า บุคคลใดที่มีความทุกข์ในโลกที่ยังมีความฉลาดไม่พอ บุคคลนั้นเราเองจะเป็นผู้อุ้มเขาไปสู่แดนเอกันตบรมสุขคือพระนิพพาน

    อันนี้ เป็นกำลังใจของท่านที่ปรารถนาพระโพธิญาณ

    พุทธภูมิมีจุดดึงมาก เพราะเกี่ยวกับครู มีหน้าที่ในการเป็นครู การที่จะเป็นครูเขานี่ จะต้องลำบาก ทุกอย่างจะต้องผ่านหมด พวกพุทธภูมินี่ถ้าไม่จบกรรมฐาน ๔๐ กอง ยังไม่ไปหรอก ต้องล่อกันมาเป็นแสนชาติเลย ไม่ใช่ชาติเดียวนะ ไม่ใช่ชาติสุดท้ายก็ได้ ๔๐ ไม่ใช่ ต้องว่ากันมาเป็นแสนชาติ สังเกตดูพระพุทธเจ้า ท่านได้อภิญญามาตลอด ท่านเหาะตลอด

    เมื่อสัก ๒ - ๓ เดือนที่ผ่านมา ฉันป่วยหนัก งานของฉันก็หนักขึ้นมา จะเร่งให้มันเสร็จ ค่าใช้จ่ายสูงมาก วันนั้นก็วิตกว่า ถ้าอาการอย่างนี้ก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ แต่ว่างานจะคั่งค้างหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับเรา เราอยู่เราทำ ตายก็ตายไป หมดเรื่องหมดราว ก็ปรากฏว่าวันนั้นพระท่านมา ท่านเรียกประชุมพระโพธิสัตว์ทั้งหมด แล้วท่านก็บอกว่า พระโพธิสัตว์ทุกองค์ก็ขอให้ช่วย ก็เป็นอันว่าพระศรีอาริย์ท่านร่วมด้วย

    พระโพธิสัตว์มีเยอะนะ พระโพธิสัตว์จริงๆ เวลานี้มีเกือบแสนที่ยังติดแอ้เต็มอัตราอยู่เยอะแยะ เต็มอย่างพระศรีอาริย์น่ะ เต็มคอยคิด นั่งยิ้มอยู่ชั้นดุสิต วันที่ท่านเรียกประชุม พระโพธิสัตว์ไม่น้อยเลยนะ ขนาดเต็มที่แล้วนี่สวยจริงๆ แพรวพราวเป็นระยับ ทั้งเต็มและไม่เต็มท่านเรียกมาหมด ท่านบอก "ให้ช่วยกันนะ งานของฉันเอง" ทุกองค์ก็เลยรับ (ถ้าลูกหลานระลึกถึงและขอให้ท่านสงเคราะห์) ก็ทำได้เลย
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    51694317_2216583235247930_961620319758450688_n.jpg?_nc_cat=105&_nc_ht=scontent.fbkk5-3.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    51739593_319285055383037_3160315182110998528_n.jpg?_nc_cat=109&_nc_ht=scontent.fbkk5-1.jpg

    เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในวงของผู้ปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านได้ให้โอวาทเตือนผู้ปฏิบัติไว้ว่า

    “การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้า ย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฏฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน”

    การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือท่านที่มีศีล มีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า

    ดังนั้น #หากเห็นใครทำความดี #ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัด ต่างสำนัก หรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุดเท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า

    “แล้วเราล่ะ ถึงที่สุดแล้วหรือยัง?”
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    51762707_2218906265015627_8553959971698507776_n.jpg?_nc_cat=104&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    "ปกติเวลาเทพบุตร เทพธิดาจะจุติลงมาเป็นมนุษย์ ทุกองค์มีความตั้งใจ จะลงมาสร้างคุณงามความดี เพื่อยกภูมิของตน..ให้สูงขึ้น

    แต่พอมาเป็นมนุษย์...จะลืมและหลงไปในอบายมุขในโลก ไม่สร้างกรรมดีตามที่ตั้งใจ ซ้ำกลับต้องตกต่ำลงกว่าที่ตนเคยเสวยสุขอยู่เสียอีก

    บนสวรรค์เมืองแมนแดนสวรรค์ท่านว่า สุขทุกขณะจิต .. ส่วนผู้เสวยบาปต้องลงนรก ลำพังความเดือดร้อนจากไฟนรก ก็แสนสาหัส ไม่ต้องถูกลงทัณฑ์ ทรมาน ชาวนรกก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่แล้ว ... ในนรกท่านก็ว่าเป็นทุกข์ไม่มีเวลาสุข ทุกขณะจิตเช่นกัน

    พวกเราเองเป็นอย่างไร สว่างมา สว่างไป หรือ สว่างมา มืดไป หรือ มืดมา สว่างไป หรือ มืดมา มืดไป

    ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่หามาจากโลกนี้ ยศตำแหน่งหน้าที่การงาน คำสรรเสริญติชม ทุกสรรพเสียง ความสุขรื่นรมย์ทุกประการ คนรัก สัตว์เลี้ยง สิ่งของที่สะสม ห่วงหาอาลัย สุดท้ายคืนโลกหมด เหมือนฝันไปจำต้องตื่น

    เหมือนอายุงานที่จำต้องเกษียณ ประกันชีวิตที่ทำชาตินี้ ควรเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเอาไปใช้ในชาติหน้าได้จริง...

    "โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป "
    วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503





    หม้อยาไทย โอสถ
    เผยแพร่เมื่อ 11 ธ.ค. 2018

    ข้อห้ามที่สำคัญในการใช้มีดหมอ ๑. หากไม่โดนรังแกหรือถูกทำร้ายจนน้ำตาเป็นสายเลือด ไม่ควรเอามีดหมอเป็นอาวุธไปทำร้ายใครอย่างเด็ดขาด เพราะว่าแผลที่ถูกมีดหมอแทงจะรักษาไม่หาย นอกจากจุดธูปบอกกล่าวครูบาอาจารย์ แล้วเอาด้ามมีดหมอฝนกับฝาละมี เอาน้ำนั้นมาดื่มและทาที่แผลถึงจะรักษาหายได้ ๒. ห้ามเอามีดหมอไปเคาะหัวใครเล่น เพราะว่าอาจจะทำให้ผู้นั้นถึงกับเป็นบ้าหรือปัญญาอ่อนได้ ๓. อย่าเอามีดหมอไปชี้หน้าใคร เพราะว่าเหมือนเป็นการสาปแช่งผู้นั้นให้ชีวิตล่มจม ๔. ห้ามเอามีดหมอไปเคาะที่เสาเอก ฝาบ้าน หรือ ศาลพระภูมิ เพราะว่าจะทำให้เจ้าที่ หรือเทพยดาที่ดูแลบ้านเรือน ไม่สามารถอยู่ที่นั้นต่อไปได้ ๕. ต้องวางมีดหมอไว้ในที่สูง ไม่ควรเอาวางไว้ทิศปลายเท้าอย่างเด็ดขาด (อาตมาใช้ติดย่ามและเอาไว้ใต้หมอน) รวบรวมข้อมูลโดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วันอังคารที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ เพิ่มเติม คาถารักษาโรค "ทุกขา ทุกขัง ปะติฏฐิตัง สัมปะฏิจฉามิ" ใช้มีดหมอสับไล่ลงไปทางปลายเท้าที่หันไปทางทิศตะวันตก จะทำน้ำมนต์ให้ดื่มและอาบด้วยก็ได้ คาถาถอนคุณไสย "ภะสัมสัมวิสะเทภะ" เอามีดหมอแตะศีรษะแล้วภาวนาขับไล่ หรือเอามีดหมอจุ่มทำน้ำมนต์ให้ดื่มก็ได้ คาถาขับผี "นะโมพุทธายะ" หมอแผนไทยใจเพชร
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    i_0pD_m1MFd7vKiR92WBBxLNt0s1qxIx-DSlBONXnZpgBiKG3kahC741aqkXh6PIuQKwFmrg&_nc_ht=scontent.fbkk5-4.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    ?temp_hash=66270148c5bfdd95b21a522fd6953f21.jpg





    อรรถกถาอสทิสทาน สู่ตำนานอุสสาภิเสกส้อมย้อมยกมหาเถรราชครู

    ปกติไม่ค่อยชอบถามตบปากโหนกระแสใคร?อะไร? แต่มีโยมหลายท่านกระซิบเข้ามา ทั้งนักวิชาเกินที่พูดเอาสนุกปากสักแต่ถ่มน้ำลายคายน้ำหมากเหยียบรากเหง้า บ้างก็เอาแต่ยกผลงานตัว แต่ก็ช่างเถอะ เข้าประเด็น

    อสทิสทาน ทานอันหาผู้เสมอด้วยมิได้ ท่านกล่าวว่าในยุคแห่งพระสัพพัญญูกาลพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็จะปรากฏเพียงแค่หนเดียวเท่านั้น ในครั้งพุทธกาลแห่งพระสักยพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตรดูทานของชาวเมืองว่ารุ่งเรืองประการไร จึงทรงทราบว่าทานแห่งชาวประชาในพระนครยากที่จะหาเสมอด้วยได้ ทรงปรารภเหตุอันทรงประสงค์ที่จะถวายทานอันหาผู้เสมอด้วยมิได้แก่พระนางมัลลิกาเทวี ครั้งนั้นพระนางมัลลิกาก็ปลอบพระทัยว่า"ทูลฝ่าละอองธุลีพระบาท อันพระราชาพ่ายแพ้แก่ชาวนครท่านเคยเห็นแต่ที่ไหน?" แล้วจึงทูลวิธีถวายทานด้วยประณีตวัตถุอันยากแก่หมู่นรากรบุคคลชนทั่วไปจะหามาได้ อันประกอบด้วย ทรงสร้างมณฑปสำหรับนั่งภายใน เศวตฉัตร ช้างเพื่อชูเศวตฉัตร ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อย่างละ500 แม้แต่การถวายก็วิจิตรพิสดารเช่นว่า ทรงสร้างเรือทองคำแปดลำให้ขัตติยะราชนารีบดเครื่องหอมกระเจียกจันถวายใส่ให้เต็ม ครั้นจะถึงกาลสมัยที่จะถวาย ดำริพระทัยจะยืนช้างตัวดุร้าย ณ ที่ใดจึงจะเป็นระเบียบ ก็ครุ่นคิดถึงพระองคุลีมาล จำพาช้างไปจัดกระบวนแถวให้เป็นแนว ณ ที่ใกล้พระองคุลีมาลนั้น ลำดับนั้นมานะอันยากที่จะหักหาญเสมอเช่นกษัตริย์ก็สมมโนรสประสงค์ในทาน ทรงถวายซึ่งทรัพย์มีประมาณสิบสี่โกฏิ ถวายเศวตฉัตร บัลลังก์ตั่งนั่ง เชิงบาตร ตั่งรองพระบาท เป็นต้น ครั้งนั้นพระพุทธองค์ตรัสว่า"ทานที่พระองค์ถวายดังห้วงน้ำอันเต็ม สามารถยังใจของชนให้เลื่อมใสได้หรือ" แล้วทรงปรารภถึงมหาอำมาตย์ชื่อว่า กาฬะและชุณหะ ผู้เห็นต่างในการถวายทานของพระเจ้าปเสนทิโกศล รวบรัดตัดตอนมาถึงเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสสัมโมทนียกถา พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถวายเครื่องทั้งที่เป็นกัปปิยะคือสมควรแก่สงฆ์และอกัปปิยะคือไม่สมควรแก่สงฆ์ ครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ดูกรามหาบพิตร นั่นเป็นทานอันสมควรทีเดียว เป็นทานอันไม่อาจหาผู้เสมอ สามารถถวายเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแต่ครั้งเดียวเท่านั้น ทานนั่นชื่อ อสทิสทาน"

    วัฒนธรรมจารีตแห่งแผ่นดินล้านนาแต่อดีตมา กระทำจารีตอันใดมักเลียนแบบตามที่ปรากฏในธัมม์หรือคัมภีร์ไม่ว่าจะที่อ้างในปิฎกหรืออรรถกถา เช่นว่า โขงสืบชะตา อิงมาแต่ในเรื่องอายุวัฑฒนกุมาร การเบิกพระเนตรไขตาพิมพาสารูปเจ้า ก็อิงมาแต่ปฐมสมโพธิกถา ยาวมาถึงอุสสาภิเสกส้อมย้อมยกมหาเถรราชครู ทั้งหมดนี้นั้น เพียงเพื่อเป็นทิฏฐานุคติให้เป็นไปในอุปนิสัยหรือการสั่งสมเพื่อปรารถนาจักได้กระทำทานเยี่ยงนั้นในอนาคตกาลเบื้องหน้า แต่แล้วทานและกิจทั้งนั้นก็มิได้เป็นไปเพราะการขวนขวายจัดแจงแต่งชื่อเสนอผลงานของรูปท่านสวาทุครูบาตนนั้นๆ แต่หากเป็นจำเพาะแรงศรัทธาของสาธุชนที่พร้อมใจยกยอถวายเป็นสักการะบูชา อันว่าสวาทุครูบาจะไม่รับได้หรือไม่? ก็ตอบว่าได้ แต่โดยเมตตาธรรมเพื่อสนองเจตนาไม่ให้เกิดโทมนัสในทานแก่ศรัทธาดังในเรื่องอสทิสทานที่กาฬะและชุณหะอำมาตย์กระทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเคืองพระทัยข้างต้นนั้น รูปท่านก็คงดำริด้วยประการฉะนี้

    และสุดท้ายนี้ ขอยกวาทะแห่งท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ที่ว่า"เราอย่าไปตกเป็นทาสของนิกาย" คือไม่ควรเลยที่จะมาห้ำหั่นกันเพียงเพราะความเห็นต่าง #สุบมงคำหรือจะสู้กำพัดงาช้าง

    ******************************

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    +++ ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัวทิพจักขุญาณจะเสื่อม +++

    พระอาจารย์ กล่าวว่า "#หมอดูที่แม่นที่สุดในประเทศไทยท่านหนึ่งบอกว่า#ลายมือคนเปลี่ยนทุก ๑๕ วัน ที่คุณว่าเปลี่ยนทุกอาทิตย์นี่แสดงว่าเร็วเกินไป นอกตำราไปไกลแล้ว

    #เรื่องของการดูดวง ดูลายมือ เต็มที่ดูได้ประมาณ ๖๐% ขนาดที่เต็มที่ได้ ๖๐% ก็ยังมีบางท่านดูได้เหมือนตาเห็น บอกได้เลยว่าวันนั้นเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้น #ถ้าหากดูโดยทิพจักขุญาณ #ดูได้เต็มที่ไม่เกิน ๘๐% #แต่ทิพจักขุญาณผิดง่ายที่สุด ที่ผิดง่ายเพราะว่าไปปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามา บางคนเห็นหน้าแล้วไม่ชอบใจ บางคนโดนซักถามมากๆ แล้วเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา ตามที่ หลวงพ่อวัดท่าซุง เคยแนะนำว่า #ผู้ที่ใช้ทิพจักขุญาณในการดูหมอ #อย่าดูต่อหน้าลูกค้า ส่วนใหญ่ลูกค้าพวกนี้ได้คืบจะเอาศอก

    ท่านบอกว่า #อย่าให้เขาซักถามเฉพาะหน้า การซักถามเฉพาะหน้า ถ้ากำลังใจไม่ทรงตัว ถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น #ทิพจักขุญาณจะเสื่อม..เพี้ยน..#ดูแล้วผิดพลาดได้ ..

    ท่านแนะนำว่า #ให้คนดูทำสมาธิอยู่ในห้องพระ #แล้วให้เขาเขียนคำถามเข้ามา จำกัดไว้เลยว่าคนละไม่เกิน ๕ คำถาม เป็นต้น แล้วคิดให้แพงไปเลยนะ ถ้าคิดถูกๆ เดี๋ยวเขามากวนบ่อย #เรื่องทิพจักขุญาณ #ถ้าหากว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องจริงๆ #จะผิดพลาดมากมหาศาลเลย #แต่ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง #จะสามารถดูได้ถึง ๘๐% แต่ขณะเดียวกัน ๒๐% ที่เหลือก็คือพวกกำลังใจเกินมนุษย์มนา บอกว่าไม่ดีอย่างไรก็ไม่ฟังหรอก ทำจนดีได้ ถ้าประเภทนั้นก็ช่วยไม่ได้"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
    0plydfovxzlelk9oo78cuzcyjpuy4gdgirwa9wc5t-f0w4z0r6cdlpqulbyiad_lb__w-_nc_ht-scontent-fbkk5-7-jpg.jpg

    ปัญญาวิมุตติกับเจโตวิมุตติต่างกันอย่างไร

    ถาม : ปัญญาวิมุตติกับเจโตวิมุตติต่างกันอย่างไรคะ ?
    ตอบ : ปัญญาวิมุตติ ใช้การพิจารณาจนสภาพจิตยอมรับ ระหว่างการพิจารณาสมาธิจะค่อยๆ ดิ่งลึกทรงตัวไปตามลำดับ พอถึงระดับที่ใช้งานได้ก็จะตัดกิเลสตรงส่วนนั้นไปเลย ส่วน เจโตวิมุตติ เป็นการใช้กำลังใจข่มกิเลส ถ้าข่มอยู่ในระยะที่ยาวนานพอ กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้ ก็ดับลงไปได้เหมือนกัน เหมือนเราเอาหินทับหญ้าไว้นานๆ หญ้าก็ตายไปเอง

    แต่ทั้งสองอย่างนี้ถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะช้า ปัญญาวิมุตติเหมือนอย่างกับคนมีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือแต่กำลังน้อย จะยกอาวุธขึ้นตัดฟันอะไรก็ลำบาก ส่วนคนที่เป็นเจโตวิมุตติเป็นคนที่กำลังมากแต่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือดังนั้น..ทั้งสองอย่างควรจะทำร่วมกัน ก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว แล้วก็คลายออกมาพิจารณา ถ้าพิจารณาจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว จะย้อนกลับไปภาวนาโดยอัตโนมัติ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จะได้เร็วกว่า

    ถาม : เหมือนกับสมถะกับวิปัสสนา ?
    ตอบ : เจโตวิมุตตินั่นสมถะเต็มๆ เลย ปัญญาวิมุตตินั่นแหละวิปัสสนา

    ถาม : เพื่อนบางคนรู้ว่าเรานิ่ง เขาก็ดูถูกว่าอยู่แต่สมถะแล้วไม่ไปไหนต่อ
    ตอบ : บอกเขาว่า “ไม่ถึงไหนก็ช่างมัน ขอให้ฉันไม่โกรธเวลาแกปากเสียก็พอ” เรื่องอย่างนี้ถ้าเพื่อนไม่สนิทนี่โกรธกันเลยนะ



    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,646
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,503
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...