ความโหดร้ายทารุณในนรกบนดินต่อเพื่อนร่วมโลกของเรา-ดูเพื่อเป็นข้อคิด(โหดมากทำใจก่อนดู)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Wisdom, 9 พฤษภาคม 2007.

  1. ZyTon

    ZyTon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +377
    นี่ละเป็นยังไงละครับ เห้นแล้ว พวกที่กำลังกินเนื้อสัตว์อยู่ คุณอ้างว่าไม่ฆ่า ไม่บาป

    คุณเห็นสัตว์ที่ถูกฆ่า แล้วคุณจะให้วงจรของการฆ่าสัตว์มาขาย เป็นอย่างนี้ไปนานเท่าไร ถ้าไม่มีคนกิน(demand) ก็ไม่มีคนขาย(supply) หรอกครับ

    ถ้าคุณศึกษาระบบการตลาด คุณก็จะรู้ว่ามันเป็นจริงอย่างผมว่าไหม

    เว้นแต่คุณจะทำได้ไหมล่ะ ?


    คนที่บอกว่าตัวเองมีธรรมะ ศึกษาธรรมะ เวลาเห็นสัตว์เหล่านี้ โดนฆ่า ยังจะพูดเข้าข้างตัวเองเพื่อที่จะอยากกินเนื้อสัตว์อีกไหมครับ เพราะสัตว์ที่คุณกินทุกๆวันนี้ก่อนที่จะมาให้คุณกิน มันก็ต้องโดนฆ่าแบบนี้

    แล้วคุณจะเอามือปิดตาข้างหนึ่งบอกไม่รู้ไม่เห็น เราไม่ได้ฆ่า เราไม่บาปกันอีกไหม เพราะตัวคุณก็คือ 1ในปัจจัยที่ให้เขาฆ่ามาขายเพื่อให้คุณซื้อ นั่นเอง

    จะยอมรับกันไหมครับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2008
  2. ZyTon

    ZyTon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +377
    ทานเนื้อสัตว์เป็นบาปหรือไม่
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->(f) <TABLE class=tborder id=post19270 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 id=td_post_19270><HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->มีข้อให้คิดพิจารณา ว่าทำไมผู้มีอาชีพค้าขายสัตว์เพื่อฆ่า หรือเลี้ยงเพื่อ ฆ่า ต่างต้องประสพเคราะห์กรรมร้ายแรง จนถึงขั้นหายนะ ป่วยหนักจนพิการแม้แต่ลูกหลานต่างต้องรับผลกรรมหนักจ ากการทำปานาติบาต เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ พิกลพิการก็มากหลาย ดังที่มีข่าวอยู่เนือง ๆใน สื่อหนังสือพิมพ์หรือหนักสือกฎแห่งกรรม ของ ท่าน ท เลียงพิบุล กินเนื้อสัตว์ บาปหรือไม่

    แม้แต่ ศีลข้อ 1 ก็ระบุชัดเจน ถึงการไม่ฆ่า ไม่ทำลายชีวิต คนทานเนื้อจะรู้หรือไม่รู้ ต่างก็มีส่วนไม่มากก็น้อยในการทำให้เกิดวงจรการฆ่า การทำลาย

    และยังระบุถึงผลกรรม ต่อการทำปานาติบาต ก่อให้เกิดโรคภัยร้าย เจ็บป่วย อายุสั้น

    ----------------------------------------------------------------------คำตอบมีอยู่แล้วในท้ายบทความนี้
    มารู้จักศีลกันดีกว่า


    ชีวิต คือ.......
    ..........ความเป็นอยู่ที่ควรดำเนินตามหลักแห่งจริยธ รรมในการประพฤติที่ถูกต้องจึงจะมีความสุขเป็นส่งที่ม นุษย์ทกคนปรารถนาอันเป็นผลที่จะพึงได้ แต่จะเกิดผลได้จะต้องมีหลักการที่จะต้องปฏิบัติ
    ในทางพระพุทธศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สั่งสอนให้ม นุษย์ตั้งอยู่ในคุณธรรมขั้นพื้นฐานที่เหมาะสมแก่การป ระพฤติปฏิบัติ พระพุทธองค์จึงได้กำหนดวางแบบแผนแห่งการประพฤติปฏิบั ติไว้เป็นหลักฐาน แบบแผนที่พระพุทธองค์ได้วางไว้เป็นแนวทางแห่งการประพ ฤติปฏิบัติ คือ หลักของเบญจศีล หรือ ศีล ๕ ประการนั้นเอง
    การตั้งใจประพฤติปฏิบัติงดเว้นในศีล ๕ ประการนี้ ชื่อว่า เป็นการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย เบญจศีลนั้นเป็น จริยธรรมในระดับต้น หรือขั้นพื้นฐาน สำหรับให้มนุษย์ประพฤติความดีให้คงที่ ดังนั้นมนุษย์ทั้งหลายผู้ต้องการความสุข จะต้องพยายามปฏิบัติตามหลักแห่งเบญจศีลและหลักของเบญ จธรรมซึ่งเป็นหลักธรรมที่เป็นของคู่กัน
    การปฏิบัติตามหลักแห่งเบญจศีลนี้ได้เรียกว่า ผู้มีมนุษยธรรม คือเป็นผู้มีธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์


    การรักษาศีล



    รักษาศีลข้อที่ ๑ คือข้อ ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปังทังสัมมาฐิยามิ

    การรักษาศีลข้อนี้คือห้ามฆ่าสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งมนุษ ย์ด้วย การฆ่าสัตว์ทำให้ศีลขาดนั้นมีองค์ประกอบ ๕ อย่าง ดังนี้

    ๑. สัตว์นั้นมีชีวิต
    ๒. รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
    ๓. มีความตั้งใจที่จะฆ่า
    ๔. มีความพยายามที่จะฆ่า
    ๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

    เมื่อครบด้วยองค์ ๕ นี้ศีลจึงขาด แต่ถ้า ๑ - ๔ ศีลยังไม่ขาด แต่มีความเศร้าหมองไม่สมบูรณ์ การฆ่าสัตว์นั้นทำให้ศีลขาดเท่ากัน แต่บาปกรรมนั้นไม่เท่ากัน

    สมมุติว่าฆ่าสัตว์ตัวที่มีบุญคุณแก่เรา มีส่วนช่วยเหลือช่วยงานแก่เรา ทำประโยชน์ให้แก่เรา เช่น วัว ควาย ช้าง ม้า เป็นต้น ถ้าฆ่าธรรมดาก็มีบาปมากอยู่แล้ว ถ้าฆ่าด้วยความโกรธก็จะได้รับผลของบาปมากขึ้นเท่าตัว

    แต่ถ้าสัตว์ตัวที่ถูกฆ่านั้นเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาใช้ ชาติ ก็จะได้รับผลของบาปนั้น ๑๐ เท่าทีเดียว เมื่อตายไปก็จะได้ลงไปสู่นรกทันที จะได้รับกรรมถูกไฟนรกแผดเผาให้เกิดความทุกข์ทรมานยาว นานทีเดียว เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็จะได้มาเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ให้เขาฆ่ามาเป็นอาหารหลายร้ายชาติ

    ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะยังมีวิบากกรรมติดตามมาสนองได้อีก เช่นทำให้อวัยวะไม่สมประกอบ จะทำให้ตาบอด หูหนวก ง่อยเปลี้ยเสียขา แขนหัก ขาขาด ปวดหลัง ปวดเอว ปวดตามร่างกาย หาความสุขไม่ได้เลย หรือเป็นโรคนานาชนิด ทำให้ชีวิตทนทุกข์ทรมาน หรือเกิดมาแล้วมีอายุสั้นพลันตายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ นี้คือผลกรรมที่ตามสนอง

    ถ้าฆ่าสัตว์อื่นที่ไม่มีบุญคุณแก่เรา ถ้าฆ่ามากไปก็ตกนรกได้ เมื่อพ้นจากนรกแล้วจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ทำให้ชีวิตหา ความสุขไม่ได้ อายุยังไม่ถึงกาลเวลาของอายุขัยก็ตายไปเสีย

    ถ้าฆ่าสัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดมาในชาติหน้าผลของบาปกรรมนั้นจะทำให้ร่างกายเศร้ าหมอง ผิวพรรณหยาบกร้านมีโรคผิดหนังประจำตัว มีการเจ็บป่วยเมื่อยตัวเป็นประจำ ดังที่ได้อธิบายมานี้เป็นผลบาปกรรมในการฆ่าสัตว์นั่น เอง



    การใช้ปัญญาพิจารณาในผลของบาปกรรมที่ผิดศีลข้อ ๑ นี้ ก็เพื่อให้เข้าใจในผลของกรรมที่ตามสนองให้ได้เกิดควา มกลัวในบาปกรรมนั้น ๆ ให้เกิดความสำนึกในชีวิตเขาและชีวิตเรา ที่มีความรักความหวงแหนในชีวิตเหมือนกับเรา

    สัตว์ทุกตัวตลอดเราด้วยก็ไม่อยากตายเพราะถูกฆ่าเหมือ นกัน ฉะนั้นจึงไม่ควรที่จะอ้างว่า สัตว์เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ แต่ถ้าจับตัวมนุษย์ที่ชอบพูดอย่างนี้ไปให้เสือกินไปใ ห้จระเข้กินดูซิเขาจะว่าอย่างไร สัตว์ทุกตัวมีความกลัวต่อความตายทั้งนั้น เห็นมนุษย์อยู่ที่ไหนก็ต้องหลบหลีกปลีกตัวเพื่อความป ลอดภัยแก่ชีวิตของเขา ถึงขนาดนั้นก็พ้นเงื้อมมือมนุษย์ใจบาปนี้ไปไม่ได้ พากันตามไล่ตามฆ่าเอามาเป็นอาหาร ไม่มีความเมตตาสงสารเขาบ้างเลย แต่ละวันมีความสะดุ้งหวาดผวากลัวต่อความตายอยู่ตลอดเ วลา ไม่กล้าที่จะออกหากินอะไรได้ตามใจ

    ถ้าเราตกอยู่ในสภาพอย่างนี้จะมีความทนทุกข์ทรมานขนาด ไหน ถึงอย่างไรก็ขอให้คิดถึงชีวิตเขาชีวิตเราดูบ้าง หัวอกเขาอย่างไรหัวอกเราก็เป็นอย่างนั้น ไม่ควรเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ให้ถือว่าเขาเป็นญาติเป็นเพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตายเหม ือนกันกับเรา มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจสูง แต่ขอให้สูงด้วยความรัก ให้สูงด้วยความสงสารต่อสัตว์ทั้งหลาย จึงจะชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรม ให้สัตว์อื่นได้พึ่งบารมีสมกับที่ว่ามนุษย์มีจิตใจสู งนี้ด้วยเถิด

    ถ้าเราใช้ปัญญาพิจารณาในลักษณะนี้อยู่บ่อย ๆ ใจเราก็จะค่อยเปลี่ยนแปลงไปในทางดี จะมีความเมตตาต่อสัตว์ มีความสงสารสัตว์มากขึ้น ในที่สุดเราก็จะไม่กล้าฆ่าสัตว์อีกเลย นี่คือมีปัญญาในการรักษาศีล หรือศีลเกิดขึ้นจากปัญญาก็ว่าได้

    ถ้ารับศีลมาแล้ว แต่ขาดปัญญาในการรักษา ศีลนั้นจะขาดหายไปโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้น สุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา ต้องเกิดมาก่อนศีลแน่นอน นี้คือสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาความเห็นชอบในการรักษาศีลนั้นเอง



    รักษาศีลข้อ ๒ คือ อะทินนา เวรมณี สิกขาปะทังสัมมาฐิยามิ

    ศีลข้อนี้ก็เกิดขึ้นจากปัญญาเช่นกัน จงใช้ปัญญาพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ว่า สิ่งของของคนอื่นเขาได้มาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อย ล้า หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินด้วยแรงงานด้วยหยาดเหงื่อของเขา เอง หวังว่าจะได้อาศัยปัจจัยเหล่านี้หล่อเลี้ยงชีวิตต่อไ ป มีความรักทะนุถนอมดูแลเพื่อหวังความสุขในทรัพย์สินเห ล่านั้น ถ้าเราไปลักไปปล้นเอาสิ่งของจากเขามาแล้ว เขาก็จะมีความเสียดาย คิดถึงสิ่งของของเขามาแล้ว เขาก็จะมีความเสียดาย คิดถึงสิ่งของของเขามากทีเดียว สมมุติว่ามีคนใดมาลักมาปล้นเอาสิ่งของของเราไป เราก็จะมีความเสียดายและคิดถึงเช่นกัน

    ให้คิดถึงหัวอกเขาหัวอกเราดูบ้าง เพราะของทุกอย่างใคร ๆ ก็มีความหวงแหนด้วยกันทั้งนั้น ไม่อยากให้คนใดมาลักเอาทรัพย์สินจากตัวเราไป เมื่อเราคิดได้อย่างนี้เราก็จะไม่กล้าไปลักเอาสิ่งขอ งของผู้ใดทั้งสิ้น ศีลข้อนี้ก็จะอยู่เป็นคู่ของกายของใจเราตลอดไป นี้คือผู้มีปัญญาฉลาดในการรักษาศีล



    ต้องใช้ปัญญาอบรมใจตัวเอง และสอนใจตัวเองอยู่เสมอ ให้คิดถึงบาปกรรม ที่จะตามสนองในชาติหน้าว่า จะเกิดในสถานที่ทุกข์จนขาดแคลนมาก ความสะดวกความสบายในทรัพย์ไม่มีเลย ตลอดที่อยู่อาศัยบ้านเรือน ที่จะซุกหัวนอนก็ไม่มี อาหารการกินสิ่งที่ดี ๆ มีโอชารสจะไม่ได้กินเลย มีแต่ไปหาเก็บเอาอาหารในถึงขยะกินไปพอประทังชีวิตเท่ านั้น จะหางานหาเงินพอจะเป็นไปได้ก็ไม่ได้ พอจะก็มีไม่มี เหมือนคำว่า นกคาบมา อีกาคาบหนี

    ถึงจะมีทรัพย์สินอยู่บ้างแต่ก็จะถูกคนมาลักคนมาปล้นจ ากตัวเราไป หรือเกิดความฉิบหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ก็ผลของกรรมในการลักเอาสิ่งของของคนอื่นมาเป็นของ ตน ให้เราพิจารณาในลักษณะนี้อยู่บ่อย ๆ ใจก็จะค่อยเห็นโทษภัยที่จะมาถึงตนทีหลัง ใจก็จะเกิดความละอายและเกิดความกลัวต่อกรรมชั่วมากขึ ้น นี้เรียกว่าตนเตือนตนด้วยตนเอง ฉะนั้นผู้รักษาศีลก็ต้องมีปัญญาในการรักษาดังนี้



    ศีลข้อ ๓ คือข้อ กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทังสัมมาฐิยามิ

    ศีลข้อนี้ก็ต้องมีปัญญารักษาเช่นกันใช้ปัญญาพิจารณาว ่าเราเป็นมนุษย์ รู้จักความละอายในการกระทำของตนเอง ไม่ควรประพฤติตัวเหมือนสัตว์ดิรัจฉาน เพราะสัตว์ดิรัจฉานไม่มีปัญญาไม่มีความละอายในความปร ะพฤติ เขาจึงทำกันไปแบบภาษาสัตว์ ใครเป็นพ่อใครเป็นแม่ใครเป็นลูกเขาไม่ถือกัน จะล่วงเกินเมียใครลูกใครเขาก็ไม่ละอาย

    เขาไม่รู้จักสิ่งที่ควรหรือไม่ควร นี่เราเป็นมนุษย์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม มีสติมีปัญญาที่ดี รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงไม่ควรฝึกตัวเอาแบบอย่างของสัตว์ดิรัจฉาน ความพอดีของมนุษย์คือผัวเดียวเมียเดียวก็พอแล้ว ถ้ามาฝึกตัวเหมือนสัตว์ เกิดชาติหน้าก็จะได้ไปเกิดเป็นสัตว์อีกต่อไป ดังภาษิตว่า มนุสฺสติรจฺฉาโน ถึงร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นเหมือนสัตว์ดิรัจฉาน เมื่อตายไปก็จะได้ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานต่อไป

    เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์วิบากกรรมก็ยังตามมา กรรมจะบันดาลให้ได้แต่คนนอกใจ ถ้ามีสามี สามีก็จะนอกใจ ถ้ามีภรรยา ภรรยาก็จะนอกใจ ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน เผลอเมื่อไร เป็นอันเกิดเรื่องทันที ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ จะไม่มีความสุขในครอบครัวนั้นเลย มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งตีกันฆ่ากันเดือดร้อนวุ่นวายกันไ ปหมด

    นี้คือบาปกรรมตามสนองผู้ชอบล่วงละเมิดศีลข้อกาเมฯ ฉะนั้นเราเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงมีสติปัญญาที่ดี ก็ให้มีศีลข้อนี้ประดับใจประดับกาย ใช้เป็นอุบายสอนใจอยู่เสมอ ๆ อีกสักวันหนึ่งใจก็จะเกิดความสำนึกตัวมีความละอายในก ารกระทำในสิ่งที่ผิดจากจารีตประเพณี

    นี้คือรักษาศีลด้วยปัญญา ถ้าปัญญาได้อบรมสอนใจตัวเองอยู่บ่อย ๆ อย่างนี้ ผู้นั้นจะไม่ผิดศีลข้อกาเมฯ นี้อย่างแน่นอน



    ศีลข้อที่ ๔ คือข้อ มุสาวาทา เวรมณี

    ศีลข้อนี้จะขาดไปเพราะคำพูด ฉะนั้นก่อนจะพูดต้องตรึกตรองใคร่ครวญในคำพูดให้ดีเสี ยก่อนจึงพูดออกไป ว่าการพูดในประโยคนี้จะเกิดความเสียหายกับตัวเองและค นอื่นหรือไม่ ถ้าเราพูดความไม่จริงออกไปจะเกิดความรู้สึกแก่ผู้รับ ฟังอย่างไร หรือเราได้รับฟังคำพูดไม่จริงจากคนอื่น

    ในความรู้สึกของเราก็จะขาดความเชื่อถือจากคนนั้นทันท ี หรือพูดส่อเสียดเบียดบังเปรียบเปรยในลักษณะเสียดแทงใ ห้คนอื่นไม่สบายใจ การพูดออกไปอย่างนี้จะก่อให้เกิดความแตกแยกกัน สมมุติว่าแต่ก่อนมามีความรักกันมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน เหมือนกับว่าฝากเป็นฝากตายกันได้ มีความเคารพเชื่อถือกันมาตลอด ไปไหนไปด้วยกันอยู่ด้วยกัน

    ความรักสมัครสมานสามัคคีมีต่อกันอย่างมั่นคง เป็นเพื่อนสนิทมิตรที่รักต่อกันมาแล้วตาม เมื่อได้รับฟังคำพูดที่ไม่จริง หรือเป็นคำพูดส่อเสียดเปรียบเปรยไปในทางทีเสียหาย ความรักกันความไว้ใจกันที่เคยมีมาทั้งหมดนั้นก็พังทล ายลงทันที ความสามัคคีที่เคยมีต่อกันมาก็แตกแยกกัน แต่ก่อนเคยแสดงกิริยาในความรักความเคารพต่อกัน และมีความเชื่อถือต่อกันมายาวนานก็ตาม ความรู้สึกทั้งหมดนี้ก็หมดสภาพไป

    ถึงจะมีภาระหน้าที่พูดคุยกันก็ไม่สนิทสนมกันเหมือนที ่เคยเป็นมา ถึงจะมีกิริยาออกมาในทางที่ดีต่อกันอยู่ก็ตาม ส่วนตัว อกิริยา ที่เจ็บใจฝังลึก ๆ ในความรู้สึกนั้นยังมีอยู่ อีกสักวันหนึ่งก็จะหาช่องทางระบายอารมณ์แห่งความแค้น นี้ออกไปให้ได้ จะเพ่งเล็งหาจุดอ่อนซึ่งกันและกันออกมาตอบโต้กัน ถ้าพูดต่อหน้าไม่ได้ก็ต้องพูดลับหลัง อาศัยคนใดคนหนึ่งเป็นสุขภัณฑ์เป็นผู้รับถ่ายเท ระบายความในในที่ไม่พอใจกับคนคนนั้น ด้วยวิธีใดก็จะระบายออกมาอย่างเต็มที่ นี้เรียกว่าพูดโจมตีกันลับหลัง หรือกล่าวคำนินทาว่าร้ายออกมาให้สนใจ

    เมื่อเริ่มต้นเป็นมาอย่างนี้ ต่อไปนี้จะเกิดความอิจฉาตาร้อนต่อกัน หาคำพูดที่จะเอาชนะกันด้วยวิธีต่าง ๆ ในที่สุดก็กลายเป็นพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อกันไปไม่มีที ่สิ้นสุด



    ศีลข้อที่ ๕ คือ สุราเมระยะ มัชปมา

    ศีลข้อนี้ก็มีความสำคัญอยู่มากทีเดียว จึงได้บัญญัติเอาไว้ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นทีหลัง เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ยาม้า เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ใจเกิดความลืมตัว กล้าทำกล้าพูดในสิ่งที่ไม่ควรทำควรพูด

    ถ้าเมาลงไปเมื่อไรจะไม่คิดถึงในคุณธรรมที่ดีงาม จะฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหกมดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเหลวไหลไม่มีสาระ หมดความละอาย จะทำจะพูดอะไรไม่มีความสำนึก ไม่มีความรับผิดชอบในการทำการพูดของตนเอง

    ตามปกติแล้วมนุษย์เรามีนิสัยบ้าบอคอแตกอยู่ในตัวอยู่ แล้ว เมื่อได้เสพสิ่งที่ว่ามาผสมลงไป ใจก็จะเกิดเป็นบ้าเพิ่มขึ้นหลายท่า มีกิริยาทางกาย กิริยาทางวาจา ที่แสดงออกมานั้นไม่น่าดูไม่น่าฟัง ดังเห็นกันอยู่ในที่ทั่วไป ย่อมก่อเหตุก่อภัยขึ้นมานานาประการ เกิดความเสียหายให้แก่ตัวเองและคนอื่นเป็นอย่างมาก

    จะเป็นผู้นำในครอบครัวหรือเป็นผู้นำในการบริหารงานต่ าง ๆ ไม่ได้เลย พวกขี้เมาทั้งหลายนี้จะพัฒนาในสิ่งใดให้ดีขึ้นไม่ได้ เลย มีแต่จะก่อให้เกิดความหายนะล้มเหลวล่มจม เสียหายในทรัพย์สินเงินทอง ไม่รู้จักในการเก็บรักษาและไม่รู้จักหาสมบัติเข้ามาเ พิ่มเติม มีแต่จ่ายให้หมดไป ไม่รู้อนาคตของตนเองว่าจะเป็นไปอย่างไร การกระทำของคนประเภทนี้ นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลายไม่มีความสรรเสริญอีกต่อไป ในชาติหน้าเขาก็จะได้รับกรรมชั่วอย่างแน่นอน



    เมื่อคนประเภทนี้ตายไปย่อมลงสู่อบายอย่างหลีกเลี่ยงไ ม่ได้ เมื่อได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์วิบากกรรมย่อมตามมาให้ผ ล เช่นเป็นคนที่เสียจริตผิดมนุษย์ธรรมดา ที่เรียกว่าคนไม่เต็มบาทนั่นเอง คนประเภทนี้จะเห็นกันอยู่ทั่วไป คนพวกนี้หารู้ตัวไม่ว่าแต่ก่อนได้ทำกรรมอะไรมา ไม่รู้ตัวเลยเพราะกรรมมาปิดบังเอาไว้ เมื่อใครไม่อยากเป็นคนประเภทนี้ในชาติหน้า ในชาตินี้ก็อย่ากินเหล้าเมายาดังที่ได้อธิบายมาแล้ว หรือเคยกินอยู่แล้วก็ขอให้ลดน้อยลง ๆ จนน้อยที่สุด และจะไม่กินต่อไปจนตลอดวันตาย

    ถ้าคิดไว้อย่างนี้ ก็เริ่มจะเป็นคนดีได้บ้าง ถ้าไม่กินจริง ๆ ก็จะเป็นคนดีมีคุณค่าแก่ตัวเอง



    ดังที่ได้อธิบายวิธีในการรักษาศีล ๕ มานี้เป็นเพียงหลักการเท่านั้น ส่วนวิธีการและระเบียบในการรักษาศีลนั้นเราจะตั้งขึ้ นมาเอง ตามปกติแล้วการจะรักษาศีล ๕ ให้มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์พร้อมกันทั้ง ๕ ข้อนั้นรักษาได้ยากมาก เพราะสติปัญญาศรัทธาความเพียรเรายังไม่พร้อม การรักษาศีลกับการรับศีลนั้นต่างกัน การรับศีลนั้นรับเอาเวลาไหนก็ได้ แต่ถ้ารับไปแล้วไม่รักษาจะหาคุณค่าจากศีลได้อย่างไร จะรับศีลวันหนึ่งหลาย ๆ ครั้งย่อมทำได้แต่ก็เป็นพิธีรับศีลเท่านั้นเอง ส่วนการรักษาศีลนั้นต้องมี สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรให้พร้อม

    เริ่มต้นจะรักษาศีลสัก ๑ - ๒ ข้อก็ได้ เพื่อฝึกความพร้อมของตัวเองให้มีความกล้าหาญขึ้น จะรักษาศีลข้อใดข้อหนึ่งก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นจะรักษาเรียงตามตำรา ศีลข้อไหนที่จะรักษาได้ง่ายที่สุดก็ต้องรักษาข้อนั้น จะทิ้งช่วงในการรักษาห่างกันอย่างไร ก็ให้อยู่กับความสามารถของตัวเราเอง ต่อไปจะเพิ่มการรักษาข้อไหน ก็ให้เราเลือกเอง

    ใช้เวลาไม่นานนักเราก็จะมีศีล ๕ ได้อย่างสมบูรณ์ การรักษาศีลด้วยวิธีนี้จะไม่มีการเสื่อม และศีลก็ไม่ขาดด้วย เพราะมีสติปัญญาในการรักษา มีศรัทธาความเชื่อมั่นว่า กรรมชั่วย่อมเกิดขึ้นจากผู้ไม่มีศีล ความเพียรพยายามจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ก็เพี ยรพยายามอยู่เสมอ ดังคำว่าความเพียรอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น นี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบระดับศีล ๕ นั่นเอง



    ศีล ๘ มีความแตกต่างกันดังนี้ สำหรับศีลข้อกาเมฯ ในศีล ๕ นั้น ศีล ๘ ให้เปลี่ยนเป็นอพรหมจริยาฯ ศีลข้อนี้ไม่เหมือนศีลข้อกาเมฯ เพราะศีลข้อกาเมฯ ร่วมกันได้เฉพาะคู่สามีภรรยาของตัวเอง ส่วนศีลข้ออพรหมจริยานั้นร่วมไม่ได้เลย ถ้าร่วมศีลก็ต้องขาดไป บางแห่งห้ามผู้หญิงและผู้ชายยื่นสิ่งของให้กัน ถ้ายื่นสิ่งของต่อมือกันถือว่าศีลขาด บางแห่งก็ว่ายื่นสิ่งของต่อมือกันได้ศีลไม่ขาด เพราะไม่ได้ร่วมกัน ศีลข้อนี้ห้ามร่วมกันเท่านั้น ทั้งสองอย่างนี้จะปฏิบัติต่อศีลข้อนี้อย่างไร

    ให้พิจารณาด้วยความเหมาะสมก็แล้วกัน ข้อสำคัญอย่าได้เกิดสีลพตปรามาสความลูบคลำความสงสัยใ นศีลของตน เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นเมื่อไร ความเศร้าหมองของใจย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น หรือทำให้ศีลขาดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง



    ศีลข้อที่ ๖ วิกาลโภชนาฯ

    ห้ามรับประทานอาหาร หรือสิ่งของที่จะแทนอาหารได้นับแต่ตะวันบ่ายไปแล้ว ขณะนี้ยังมีผู้ไม่เข้าใจในศีลข้อนี้เป็นจำนวนมาก คำว่าอาหารก็คืออาหารที่เรารับประทานกันตามปกตินั้นเ อง จะรับประทานได้แต่เช้าถึงเที่ยงเท่านั้น ถ้าตะวันบ่ายแล้วรับประทาน ศีลข้อนี้ขาดไป คำว่าอาหารรวมทั้งอาหารเสริมด้วย เช่น โอวัลติน นมสด นมส้ม นมกล่อง นมกระป๋อง ที่เขาผสมแป้งมันถั่วต่าง ๆ ไว้แล้ว ตลอดทั้งน้ำเต้าหู้ที่ผสมถั่วต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ถ้ารับประทานในตะวันบ่ายเมื่อไร ศีลจะขาดทันที เพราะเป็นอาหารเสริมสำเร็จ จึงไม่ควรรับประทานสิ่งเหล่านี้



    ศีลข้อที่ ๗ นัจจคีตวาฑิตะ - มาลาฯ

    ตามปกติแล้วเป็นศีลคนละข้อกัน แต่นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายพิจารณาเห็นสมควรเอามารวมกั น วิธีรักษาก็ใกล้เคียงกัน การรักษาศีลข้อนัจจคีตวาฑิตะฯ นั้นห้ามมีการเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน ให้เกิดความสนุกสนานร่าเริงอันเป็นเหตุเกิดความลืมตั ว เช่น ร้อง รำ ทำเพลง ดีด สี ตี เป่า เป็นต้น คำว่า ร้อง คือตะโกนเสียงยาว ๆ ทำเป็นเสียงเล็กเสียงใหญ่ เรียกว่าร้องโห่ คำว่า รำ คือ เต้นรำในท่าต่าง ๆ หรือรำเป็นบทเป็นกลอน เพื่อความสนุกเพลิดเพลินหรือเรียกว่าหมอลำ คำว่า ทำเพลง คือร้องเพลงในบทเพลงต่าง ๆ ที่เห็นกันในที่ทั่วไป คำว่า ดีด คือดีดพิณหรือกีตาร์ คำว่า สี คือสีซอ คำว่า ตำ คือ ตำฆ้อง ตีกลอง ตีระนาคฆ้องวง เป็นต้น คำว่า เป่า คือ เป่าขลุ่ย เป่าแคน เป่าปี่ หรือเป่าอะไรก็ตาม ถ้าเพื่อความเพลิดเพลินไม่ได้เลย ข้อห้ามในศีลข้อนี้ คือห้ามทำอะไรเป็นสื่อเพื่อความสนุกรื่นเริงนั่นเอง



    บทข้อ มาลาคันธวิเลปนะฯ

    การรักษาศีลในบทนี้ คือห้ามแต่งตัวประดับประดา ทัดดอกไม้ ทาหน้า เจิมหน้าในลักษณะต่าง ๆ อันเป็นสิ่งจะก่อให้เกิดความรักสวยรักงาม และหลงตัวเองว่าเราสวยอย่างนี้ เรามีความงามอย่างนั้นไป และจะก่อให้เกิดความหลงรูปกายของตัวเอง และจะทำให้ไปหลงรูปกายของคนอื่นด้วย แต่ถ้าหากมีกิจในสังคม ที่จะต้องไปร่วมกับเขา ก็ให้รู้ว่า ปริสัญญู ในสังคมเขาแต่งตัวอย่างไร เราก็แต่งตัวไปตามนั้น เราไม่ได้ติดใจในการแต่งตัวของเรา แต่เราทำเพื่อสังคมบางครั้งบางคราวเท่านั้น การทำลักษณะอย่างนี้ศีลไม่ขาด



    ศีลข้อที่ ๘ อุจจาสยนะฯ

    ในศีลข้อนี้ ห้ามนั่งนอนในที่สูงใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี ศีลข้อนี้เดิมเป็นศีลของสามเณรและสามเณรี เมื่อมาถึงในยุคนี้ไม่มีสามเณรี (หมายถึงผู้หญิงบวชรักษาศีล ๑๐) แต่มีผู้หญิงต้องการจะออกบวช นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายเห็นสมควรให้รักษาเพียงศีล ๘ เท่านั้นและสมควรว่าศีลข้ออุจจาสยนะฯ นี้ให้รวมอยู่กับศีล ๘ ด้วย ในคำว่าห้ามนั่งนอนในอาสนะใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลีนั้น มีคำถามว่า ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ก็ตาม แต่ภายในยัดด้วยของอย่างอื่น เช่นใบไม้ เศษผ้า ฟองน้ำ เหล่านี้จะนั่งนอนได้ไหม ข้าพเจ้าก็จะตอบว่าได้ เพราะภายในไม่ได้ยัดนุ่นและสำลี จะยัดด้วยอย่างอื่นไม่เป็นไร ให้ข้อสังเกตว่า ทำไมจึงห้ามอย่างนี้ จะตีความหมายไว้ ๓ ประเด็น ๑. จะทำให้ติดที่นอนมากเกินไปจนลืมตัวลืมเวลาในการภาวนา ปฏิบัติ เพราะที่นอนอ่อนนุ่มอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวไม่อยากจะลุก ขึ้นปฏิบัติภาวนา นี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในศีลข้อนี้ ๒. เป็นเพราะที่นั่งที่นอนดีเกินไป และเป็นสิ่งที่หายากมากในยุคนั้น แต่ถ้ามีแล้วจะทำให้ติดในที่นอนนั้น จะออกไปเที่ยวธุดงค์ภาวนาปฏิบัติในที่ต่าง ๆ ก็จะเกิดความกังวลในใจเรื่องสถานที่หลับนอน กลัวจะนั่งไม่เป็นสุข นอนไม่สบาย จึงได้ห้ามนั่งนอนในอาสนะที่ยัดด้วยนุ่นและสำลี นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งในการห้ามในศีลข้อนี้ ๓. เมื่อติดใจในการนั่งนอนอย่างนี้ ก็จะเกิดลืมตัวไปได้ ก็จะแสวงหานุ่นและสำลีมาทำเป็นที่นอนเป็นการใหญ่จนเก ิดติดใจจนลืมตัว ในช่วงนั้นถ้าหากใจมีความกำเริบในเรื่องราคะตัณหาเกิ ดขึ้น ก็จะเอาที่นอนเป็นนิมิตหมาย สมมุติไปในเรื่องอารมณ์ที่มีความกำหนัด อยากจะสัมผัสนั่นสัมผัสนี่ไป และสมมุติไปต่าง ๆ นานานอกขอบเขต ในที่สุดก็อยู่ไม่ได้รีบสิกขาลาเพศไปเสีย การเป็นไปในลักษณะนี้ย่อมเป็นไปได้ ถ้าสติปัญญาไม่ดีก็จะเพิ่มปัญหากับสิ่งเหล่านี้ให้เก ิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้นการสัมผัสทางกายในลักษณะนี้ก็มีผลสะท้อนเข้าถึ งใจได้ การห้ามในศีลข้อนี้ก็เพื่อตัดกระแสไฟแห่งราคะแต่ต้นม ือนี้ก็เป็นไปได้เช่นกัน



    ดังได้อธิบายวิธีการรักษาศีลมาในหมวดศีล ๕ และ ศีล ๘ นี้คิดว่านักปฏิบัติทั้งหลายพอจะเข้าใจ ถ้าเป็นศีล ๒๒๗ ของพระก็ต้องศึกษาวินัยให้เข้าใจ คำว่าศึกษาก็หมายถึงสุตมยปัญญา คือปัญญาในขั้นศึกษาตามปริยัตินั่นเอง ถ้าไม่มีปัญญาในการศึกษาจะเข้าใจในอาบัติได้อย่างไร อาบัติหนัก เมื่อต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นพระทันที ไม่มีกฎหมายรองรับสู้คดีเหมือนในยุคนี้ เพราะรู้อยู่แก่ใจตัวเอง อีกอาบัติหนึ่งอยู่ปริวาสกรรมจึงพ้นจากอาบัติได้ อาบัติอีกอย่างหนึ่ง ต้องแสดงอาบัติ คือประจานตัวเองรับสารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์หรือบุคคล จึงพ้นจากอาบัติได้ ฉะนั้นการรักษาศีลจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ก็ตาม ก็ต้องมีสติปัญญาในการรักษาทั้งนั้น แม้แต่ทรัพย์สมบัติทางโลกก็ต้องมีปัญญาในการแสวงหา และมีปัญญาในการเก็บรักษาด้วย ศีลก็เช่นกัน เมื่อรับจากพระท่านมาแล้วก็ต้องมีปัญญาในการรักษาเช่ นกัน



    การรักษาศีลนั้นมิใช่ว่าจะรักษาเพียงกายและวาจาเท่าน ั้น เพราะต้นของศีลจริง ๆ แล้วอยู่ที่ใจ เรียกว่า เจตนา ส่วนรักษากายวาจานั้นเป็นเพียงให้เกิดกิริยาสวยงามให ้เหมาะสมกับเพศที่แสดงออกมาภายนอกเท่านั้น ที่จริงแล้วศีลมีต้นเหตุอยู่ที่ใจ จึงเรียกว่า มูลฐานของศีลมี ๓ อย่าง ๑. ใจกับกาย ๒. ใจกับวาจา ๓. ใจ กาย วาจา ฉะนั้นใจจึงเป็น หลักใหญ่ให้ศีลเกิดขึ้น คำว่ารักษาศีลก็คือปัญญาความรอบรู้ในศีลของตนจึงจะรั กษาได้ จึงเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ คือปัญญาความเห็นชอบ ความรอบรู้และฉลาดในการรักษาศีล สัมมาสังกัปโป คือใช้ปัญญาดำริพิจารณาตรึกตรองในศีลข้อนั้น ๆ ว่าจะรักษาอย่างไรศีลจะมีความบริสุทธิ์บริบูรณ์ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ คำว่า ชอบคำเดียวนี้ก็มีความหมาย คือต้องมีปัญญาพิจารณาก่อนจึงพูด จึงเป็นวาจาชอบ มีปัญญาพิจารณาก่อนจึงทำงานนั้นจะไม่ผิดพลาด จึงเป็นการงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ คือ มีปัญญารอบรู้ในการเลี้ยงชีวิต จะหาอย่างไรจึงจะได้มาด้วยความชอบธรรมและเลี้ยงชีวิต อย่างชอบธรรม ฉะนั้น ปัญญาในสัมมาทิฏฐิจึงเป็นขั้นเริ่มต้นที่สำคัญ ถ้าเริ่มต้นถูกต้องชอบธรรมอันดับต่อไปก็จะถูกต้องชอบ ธรรม และจะเป็นแนวทางที่ชอบธรรมจนถึงที่สุด ถ้าเห็นผิดในขั้นเริ่มต้นนี้ ต่อไปก็จะเห็นผิดไปเรื่อย ๆ และเห็นผิดจนถึงที่สุดเช่นกัน ฉะนั้นการเรียนปริยัติ ต้องตีความหมายให้ชัดเจน ให้เข้าใจในเหตุผลและหลักความจริงอย่างแจ่มแจ้ง จึงจะไม่มีปัญหาในการภาวนาปฏิบัติต่อไป.



    คัดลอกจากหนังสือสัมมาทิฏฐิ
    โดย หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ


    เฉลยคำตอบ
    กระเพาของคนไงครับ เพราะมีซากศพนับล้านๆร่างอยู่ในนั้น


    "ชีวิตใครใครก็รัก ไม่ว่าคนหรือสัตว์
    ทำไม ถึงต้องเบียดเบียนกัน"

    เป็นมนุษย์ เป็นได้ด้วยใจสูง
    เหมือนหนึ่งยูง มีดีที่แววขน
    เข้าใจต่ำ เป็นได้แต่เพียงคน
    ย่อมเสียที ที่ตนได้เกิดมา
    (พระพุทธทาส ภิกขุ)

    (ที่มา จากหนังสือธรรม และบทความธรรมของวัพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร พิษณุโลก http://mcu.rip.ac.th/watraj/sil1.in.html
    และรวมทั้งขอบคุณพี่ผ่องศรี ประกรแก้ว ที่ส่งบทความดีๆมาฝากครับ)



    แก้ที่แต่ละคนด้วยการ ที่เราแต่ละคน ไม่เป็นต้นเหตุของการเบียดเบียน และเหตุของการเบียนใหญ่ที่สุด คือการกิน




    *********************************************

    ในปัจจุบันมีข้อยืนยันจากการวิจัย งานวิชาการแพทย์ โดยแพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก หลากหลายมหาวิทยาลัยชื่อดัง นานาชาติ ต่างมีข้อมูล คล้าย ๆ กัน ว่า อาหารเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดโรคร้าย แรง หลาย ๆ ชนิด ต่อมนุษย์ เช่น มะเร็ง ร้าย โรคหัวใจ ไขมันอุดตัน มีผู้ป่วยกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก และเสียชีวิตปีละกว่า 50 ล้านคน ดังเอกสารอ้างอิงจาก สถาบันมะเร็ง แห่ง สหรัฐ สมาคมโรคหัวใจแห่ง สหรัฐ สถาบันสุขภาพนานาชาติ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ทานเนื้อสัตว์เป็นบาปหรือไม่โพสโดย คุณ terryh

    http://palungjit.org/showthrea...510#post936510 (good)
     
  3. ZyTon

    ZyTon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +377
    ถาม ทานเนื้อสัตว์เป็นบาปหรือไม่ ?


    ตอบ บาปครับ ถ้าไม่พิจารณาก่อนกิน ดังนี้



    การกินอาหารเนื้อสัตว์กินเพื่อโดยความอยาก เพื่อความอร่อยของลิ้น การกินจึงมีส่วนในผลกรรมของบาปกรรมที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พิจารณาก่อนกินอาหารเข้าไป

    ส่วนตัวผมคิดว่า บุคคลใดพิจารณาได้ด้วยใจก่อนกิน บุคคลนั้นจะไม่มีส่วนบาปจากการกินเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่ามาให้เราซื้อ แต่ฃบุคคลใดไม่พิจารณา กินเพื่อความมัวเมาในอาหาร ในรส ก็มีส่วนบาปอย่างแน่นอนครับ เหมือนอย่างที่เขาบอกว่า " คนฆ่า 70 คนกิน 30 " นั้นคือบาปกรรมที่จะได้รับ เช่นเป็นโรคต่างๆ จากเนื้อสัตว์ที่กิน ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก โรควัวบ้า ฯลฯ แม้แต่โรคมะเร็ง โรคต่างๆที่มากับเนื้อสัตว์นี่ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งของคนกินเนื้อสัตว์มิใช่หรือ?

    ส่วนคนที่ไม่อยากมีส่วนในบาปกรรมที่กินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วครับ

    บทพิจารณาอาหารก่อนรับประทาน (แบบปฎิสังขาโย) เหมาะสำหรับ พุทธบริษัท ๔ (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)

    (หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส ( สำหรับ ภิกษุสวด))

    ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ, เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วรับประทาน

    เนวะ ทวายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลินเพลิดสนุกสนาน

    นะ มะทายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน, เกิดกำลังพลังทางกาย

    นะ มัณฑะนายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

    นะ วิภูสะนายะ, ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

    ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา, แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกาย,

    ยาปะนายะ, เพื่อความเป็นไปได้ของอัตตภาพ,

    วิหิงสุปะระติยา, เพื่อควาสิ้นไปแห่งการลำบากทางกาย

    พรัหมะจะริยานุคคะหายะ, เพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์,

    อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฎิหังขามิ,
    ด้วยการทำอย่างนี้, เราย่อยระงับเสียได้ ซึ่งทุกขเวทนาเก่า,คือความหิว

    นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ, และไม่ทำทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดให้เกิดขึ้น,

    ยาตรา จะ เมา ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ,
    อนึ่ง, ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพนี้ด้วย, ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย, และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย, จักมีแก่เราดังนี้


    /////////////////////////////////////////////

    แต่ถ้าอยากมัวเมาในการกินแล้ว ไม่บาปการในกินแนะนำว่า ให้กินมังสวิรัติ ครับ (good)
     
  4. appyLuny

    appyLuny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +206
    ดูละเอียดแล้ว รู้สึกสะเทือนใจมากๆ ค่ะ ที่จริงเคยได้ดูคลิปแบบนี้มาตลอด 1 ปีแล้ว และตั้งแต่นั้นได้บริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง -0- หรือถ้าจะบริโภคก็จะบริโภคแต่ยี่ห้อที่มาจากโรงงานที่มีวีธีการล้มสัตว์ที่เจริญแล้ว(ไม่ทรมาน) ปัจจุบันนี้ก็ไม่ค่อยรับประทานเนื้อสัตว์ ค่ะ ผอมลง และอิ่มบุญขึ้นด้วย รู้สึกว่าเกิดมาบนโลก เราต้องแบ่งปันความเมตตาให้กับทุกชีวิต เพราะมันจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา ถึงคนอื่นไม่รู้ ไม่ยกย่องเรา แต่เราก็สบายใจ และไม่มีบาปติดตัว มันเป็นความสุขทางจิตวิทยาและศาสนาอย่างหนึ่ง อยากให้ทุกคนเมตตากับสัตว์ เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโอกาศน้อยกว่าเรา แต่ถ้าไม่มีสัตว์ในโลก ก็เหมือนกับไร้สิ่งเติมเต็มในโลกนี้
     
  5. ธนานุวัตร

    ธนานุวัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    224
    ค่าพลัง:
    +968
    น่าสงสารมากครับ ถ้าคิดจะลอกหนังสัตว์ทำไมไม่ฆ่าเขาให้ตายไปเลยดีกว่าที่จะมาทรมานกันแบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมสนับสนุนนะครับที่ให้ฆ่าที่ให้ลอกหนังเขา แต่ให้ผมดูสภาพแบบนี้แล้วมันรับไม่ได้ หดหู่ใจมากๆ
     
  6. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ดีใจที่ทำให้หลายๆท่านเกิดเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์มากขึ้นครับ ^^
     
  7. บัวพ้นน้ำ

    บัวพ้นน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +198
    น่าสงสารอ่ะค่ะ มุกไม่อยากแสดงความคิดเห็นเท่าราย ร้องไห้ด้วย เศร้าใจจิงๆ เราเกิดมาร่วมโลกกันแท้ๆ แต่เหตุใดเค้าจึงกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ ขอบพระคุณพี่ที่นำมาให้ชมนะคะ
     
  8. หญ้าคา

    หญ้าคา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +138
    ปกติผมไม่กินเนื้อวัวหรือเนื้อสัตว์ใหญ่ แต่ก็ใช้ว่าผมเป็นคนดี จริงๆผมชอบกินแต่กินทีไรมันสำลอกออกทุกทีก็เลยเลิกกิน ตั้งแต่ได้อ่านเว็ปพลังจิตผมก็รักษาศีล๕บางวันก็เต็ม100บางวันก็50 50 อนุโมทนาสาธุที่นำมาให้ดูช่วยทำให้คนเลวๆอย่างผมสลดใจได้มากๆสาธุ
     
  9. naei

    naei Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +94
    สาธุ เห็นแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ยังติดในรสอาหารที่ทำจากซากชีวิตของสัตว์ร่วมโลกกับเราอีกหรือ


    ผมดูแล้วสะเทือนใจ อนาจใจ นี่แหละ ที่เค้าบอกว่า มนุษย์จะทำดีได้ ก้อทำได้แบบสุด ๆ ถ้าจะทำเลวทราม ก้อจะทำได้แบบสุด ๆ เหมือนกัน

    เรามาร่วมตัดวงจรวิบากกรรมแบบนี้ ด้วยการทานมังสวิรัติกันเถอะครับ
    แล้วคุณจะรู้ว่า การที่เรามีลมหายใจเข้า-ออก ยังชีวิตกายเรานี้อยู่ได้ โดย ไม่เอาชีวิตสัตว์อื่น มาต่อชีวิตเรา จะเบากายเบาใจขนาดไหน

    (แต่ถ้ากินมังสวิรัติ จนเป็นปกติ ปิติตรงนี้ มันก็จะหายไปเอง แต่ถ้าวิเคราห์เมื่อไร มันจะรู้สึกว่า ตัวเองเดินมาถูกทางแล้ว ถูกทางธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว)

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. sarantip

    sarantip Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +88
    อยากให้มนุษย์ทั้งโลกมีจิตใจอ่อนโยน
    ต่อเพื่อนสัตว์โลกที่เกิดมาโดยพวกเค้า
    และเราต่างก็ใช้พลังงานเหมือนกับเรา
    เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ถ้าพวกเค้าคิดเหมือนกับคนที่อยู่ในเวปนี้
    ไม่ต้องขอให้เลิกแต่ให้ละก็ยังดีกรรมจะได้เบาบางลง
     
  11. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +1,061
  12. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เฮ้อ สัตว์โลก
     
  13. angeltk229

    angeltk229 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,584
    ค่าพลัง:
    +6,912
    ก็อุตส่าห์ทำใจก่อนดูแล้วแต่แล้วก็ทำใจไม่ได้ลงคงขาดอุเบกขามากไปมั้งเห็นแล้วจิตตกเลย
     
  14. เบญจกูล

    เบญจกูล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +377
    เฮ้อ มนุษย์
     
  15. walaphako

    walaphako ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,165
    ค่าพลัง:
    +1,599
    อนุโมทนาสาธุค่ะ เป็นคนนึงที่ดูได้แป๊บเดียวค่ะ ทำใจไม่ได้ค่ะ
     
  16. Bkkianmar

    Bkkianmar Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +55
    น่าสงสารจังเลยอ่ะ
    ตัดสินใจคลิกเข้ามาดู
    เพื่อจะได้มีสติ เพราะนี่คื่อความจริง

    ปลาโลมาน่าสงสารมากๆ
    ทะเลเป็นสีแดงเลยอ่า แปลว่าต้องเลือดไหลเยอะแน่ๆ
    เจ็บน่าดูเลย
    ไม่ไหวแล้น อยากกินผักแต่หมูมันอร่อยนี่หว่า
     
  17. เซียนเหินทะยานคลื่น

    เซียนเหินทะยานคลื่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +312
    ไอพวกคนรวยที่บ้าผ้าขนสัตว์ดูให้ดีๆๆเบียดเบียนไปกี่ชีวิต
    ดูแล้วของขึ้นหวะ
     
  18. HS4OFL

    HS4OFL เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +1,382
    สัตว์โลกยอมเป็นไปตามกรรม
    แต่ทุกวันทำไมคนเราฆ่ากันง่ายจัง
     
  19. Aosta

    Aosta สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +2
    อยากจะบอกว่าดูคลิปเเรกเเล้วร้องไห้ค่ะ... ดูไปไม่ถึงครึ่งต้องปิดค่ะ สลดมากๆ

    ยิ่งตอนที่คนกำลังถลกหนังสัตว์เเบบสดๆ.......น้ำตาไหล สะอื้นเลยค่ะ นั่งดูอยู่...น้ำตาไหล อยากจะรู้จังว่าจิตใจเขาทำด้วยอะไรกันหนอ ทำไมถึงโหดเหี้ยมขนาดนี้...
     

แชร์หน้านี้

Loading...