ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    505
    ค่าพลัง:
    +433
    ยาวไป ๆ ไปสู่อนาคตข้างหน้า
    :cool:

    Kryon Channelling - Berkeley Springs, WV - June 29 2014
    "The Physics of Consciousness - The Future Revealed"

    Kryon ตอนล่าสุดมาแล้วครับ มิตรรักนักอ่านทุกท่าน

    :z11
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441


    ขณะนี้ มันอาจดูเหมือนว่าคุณกำลังดกอยู่ในหล่มโคลน
    แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นหรอก คุณกำลังเตรียมความพร้อมที่จะเป็น "สปริง"
    เพื่อการกระโดดไปยังเส้นทางที่สูงขึ้น


    [​IMG]

    ข้อความจาก Mira สภาสูงพลีเอเดียนส์ (Pleiadian High Council)
    โดย Valerie Donner 9 ตุลาคม 2014

    ที่มา :Mira of the Pleiadian High Council via Valerie Donner: October 9, 2014 « Golden Age of Gaia

    ทักทายทุกท่าน ผมคือ Mira

    ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพบกับคุณในวันนี้
    ผมเข้าใจว่าบางส่วนของคุณต้องการข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นจากเรา

    เบื้องตัน ผมอยากจะบอกคุณทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับการทำงานของเรากับสภาบนโลก
    สิ่งที่กำลังจะมาถึงและสิ่งที่กำลังจะจางหายไปรอบๆโลกของคุณ
    เราตระหนักดี ถึงความปรารถนาของคุณสำหรับข้อมูลเช่นเดียวกับความจำเป็นที่จะต้องให้การสนับสนุนคุณ
    ในช่วงเวลาของความสับสนวุ่นวายและความไม่แน่นอนนี้

    มีเพียงบางส่วนในจำนวนมากมาย ที่ผมจะพอจะเปิดเผยได้ เพราะสถานการณ์มีความซับซ้อน
    และมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราทำงานตามคำร้องขอของผู้สร้าง
    เราทุกคนมีงานที่จะต้องทำเช่นเดียวกับคุณ เราจะเปิดเผยเฉพาะสิ่งที่เราได้รับอนุญาตในช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
    กรุณาเป็นคนไข้ที่ดีในขณะที่แผนการของพระเจ้ากำลังแผ่ขยายออกไป

    ลองมองที่รัฐบาลโลกของคุณดูสิ.
    คุณเคยคิดสักนาทีมั๊ยว่า คุณจะได้รับข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นต้องรู้สำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวันของคุณหรือไม่?
    ไม่อย่างแน่นอน พวกเขาจะบอกคุณก็เฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการให้คุณรู้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเรื่องเท็จ...

    พวกเขามีความตั้งใจที่จะปลูกฝังแต่การควบคุมและความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน
    ซึ่งนี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเรา เราเพียงแต่จะทำการติดต่อและแผ่ขยายความรักของเราสู่คุณ
    เราต้องการให้คุณรู้ว่า เรายินดีต้อนรับสำหรับโอกาสที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคุณ
    ที่จะมีชีวิตอยู่และเรียนรู้ซึ่งกันและกันในเอกภาพของชีวิต นี่คืออนาคตของพวกเรา

    เราวนเวียนอยู่ในช่วงมหายุคที่ผ่านมาโดยตลอด เรามาที่นี่ มาพร้อมกับรูปธรรมสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
    จากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ทั้งในกาแลคซีและในจักรวาล บางท่านอาจสังเกตเห็นเรา
    หรือรู้สึกว่าพลังงานของเรามีความ "แตกต่าง". เรากำลังทำให้เข้าพอดี
    เช่นเดียวกับลูกเรือภาคพื้นดินของเรา ที่พวกเขาได้ทำไปแล้ว ในชีวิตของพวกเขาทั้งหมด

    คุณรู้ไหมว่า เราได้ทำการตรวจสอบเงื่อนไขทั้งหมดในโลกแล้ว
    และเรามุ่งเน้นไปที่พลังงานของเราที่พวกคุณต้องการมากที่สุด เรายุ่งมากในตอนนี้
    และได้เรียกความช่วยเหลือเพิ่มเติม เรามีการรับสมาชิกเพื่อมาดูแลในสถานที่ที่มีสงครามและการต่อสู้
    เราปรารถนาจะช่วยยุติความขัดแย้งทั้งหมดในโลกนี้ หากสิ่งเหล่านี้ได้รับการอนุญาต
    แต่เราไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ทั้งหมด ตั้งแต่มนุษยชาติสร้างความบาดหมางกันมา
    ซึ่งนั้นจะกลายเป็นบทเรียน ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเหล่านี้

    หากเกิดกรณีที่จำเป็น หรือมันกลายเป็นความไม่แน่นอน...
    ด้วยว่าพวกเขากลายเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของโลก มาตรการที่รุนแรงจะถูกนำมาใช้
    เราได้เตรียมข้อกล่าวหาสำหรับผู้กระทำผิดต่างๆเอาไว้แล้ว และมันจะถูกแจ้งให้ทราบ
    เราทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันทั่วโลก เรารู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
    และเราตระหนักดีถึงแผนการอันคดเคี้ยวของพวกเขาเช่นกัน

    สำหรับสิ่งที่่เป็นด้านบวก เราจะเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกับคุณ ทุกภูมิปัญญาใหม่
    และการรักษาเยียวยาที่เกิดขึ้นในทุกๆระดับ แต่ละคนจะได้รับรางวัล เมื่อเกิดความสงบสุข ความรัก และจิตสำนึกที่สูงส่งเกิดขึ้น
    เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นและผู้คนจำนวนมาก ตระหนักถึงความเป็นหนึ่งกัน การทำงานร่วมกัน
    ที่เราจะต้องร่วมมือกันผ่าตัด และเราจะเฉลิมฉลองด้วยกัน

    คุณจะทำให้มีความคืบหน้าที่ดี ขณะนี้ มันอาจดูเหมือนว่าคุณกำลังดกอยู่ในหล่มโคลน
    แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นหรอก คุณกำลังเตรียมความพร้อมที่จะเป็น สปริง
    เพื่อการกระโดดไปยังเส้นทางที่สูงขึ้นของการอาศัยอยู่บนโลกและพระแม่ธรณี

    ผมคือ Mira และผมกำลังส่งมอบความรักให้กับคุณจากสภาสูง Pleiadian
    จำได้หรือไม่ว่า คุณเองก็เคยเป็นเจ้าแห่งการเลื่อนระดับขึ้นบนดาวเคราะห์จำนวนมากในการสร้าง เราอยู่กับพวกคุณเสมอ !

    Mead ; ผู้แปล

    -------------------------------------------------------------------------------------------------
    บางส่วนของข้อความจากสภาแกแล๊คซี่

    Update by Sheldan Nidle for the Spiritual Hierarchy and the Galactic Federation

    การจัดสรรเงินทุนยังคงเดินหน้าต่อไป เป็นขั้นตอนการย้ายจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง
    ที่เราจะข่วยดูแลกองกำลังรักษาความปลอดภัยเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการยักยอกเกิดขึ้นเมื่อเงินจะถูกโอนไปอีกที่หนึ่ง
    ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมและการเปลี่ยนแปลงไปสู่การกำกับดูแลใหม่จะเสร็จสิ้น
    เช่นเดียวกับหลักฐานต่างๆที่จะใช้เพื่อแยกวายร้ายเหล่านี้จากประชาชน

    ขั้นตอนนี้จะเกือบพร้อมแล้วที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ ในขณะที่ฝ่ายมืดจะไม่สามารถดำเนินงานลับที่จะเริ่มต้นสงครามใหญ่ได้อีก
    ที่มันจะกลายเป็นอ่อนแอในความรู้สึกของพวกเขา แต่พวกเขาก็จะทำสิ่งที่น่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ
    ที่จะยืดขั้นตอนการระดมทุนที่ใกล้จะเกิดขึ้นจริงออกไป ในการตีราคาของสกุลเงิน
    และการป้องกันการเริ่มต้นของการตั้งค่าสกุลเงินทั่วโลก เราหวังที่จะเข้าไปแทรกแซงในระดับที่ยิ่งใหญ่มาก
    แต่การรบกวนที่สร้างขึ้นในระบบการเงินยังคงชะลอตัว การกระจายของเงินทุนเหล่านี้จึงเกิดความล่าช้าที่คาดไม่ถึงที่เร็วๆนี้
    มันจะขยับตัวเพื่อให้ระบบการเงินใหม่สามารถมีความพร้อมในที่สุด

    นอกจากนี้ทางสภายังแจ้งว่า พวกเรากำลังถูกตระเตรียมโดยสวรรค์
    ที่จะกลายเป็นรูปธรรมที่สำคัญสำหรับระบบสุริยะนี้ต่อไป


    ที่มา : Mira of the Pleiadian High Council via Valerie Donner: October 9, 2014 « Golden Age of Gaia
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2014
  3. Isreal

    Isreal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    530
    ค่าพลัง:
    +1,327
    วันที่13กันยาที่ผ่านมา เราไปวัดแต่เช้า ช่วงนั้นอากาศขมุกขมัวทุกวัน
    ฝนตกหนักทุกวัน แต่เช้าวันนั้นอากาศดีมากๆ เราก็นึกขอบคุณ
    และชื่นชมอากาศ บรรยากาศรอบๆ ขอบคุณโลก ขอบคุณจักรวาล
    พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นลูกอะไรขาวๆยาวรีๆ
    ลอยนิ่งๆพักนึง คือแบบฟ้าไม่มีก้อนเมฆเลย ฟ้าสดมาก
    (ทีแรกก้นึกว่าบอลลูนตรวจอากาศ เห็นหลายๆคนชอบบอกยังงี้)
    เราก็เดินมองไปเรื่อยๆจนถึงปากซอยลูกนั้นมันก็ยังไม่หายไป
    แต่เคลื่อนไหวแบบเนิบๆเหมือนถูกลมเบาๆพัดให้กลิ้งช้าๆ
    ระหว่างที่นั่งรอหม่ำกาแฟไข่ลวก เราก็มองเค้าไปด้วย
    (ด้วยความสงสัยเราเลยใส่แว่นมองซะเลย)
    ก็ยังเห็นไม่ชัดอีก แต่เห็นว่าเค้าหมุนรอบตัวเอง360องศาเลย
    พื้นผิวเค้าสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนขาวจ้าไปหมด
    แต่พอจะเห็นตอนเค้าหมุนรอบตัวเองว่าบางจังหวะก็มีจุดดำๆบนผิวด้วย
    (ลักษณะที่ใกล้เคียงตอนหมุนคือเหมือนเราใช้โปรแกรม 3Dขึ้นแบบ
    แล้วสั่งให้ Morphรูปร่างอะค่ะ มันก็จะบิดๆไปทั้งก้อนพร้อมๆกันเลย)
    บางมุมก้เห็นเป็นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ซิการ์ แบนๆเหมือนเม็ดเลือด
    แล้วเค้าก็ค่อยๆลอยหายไปหลังเมฆขนนก(ที่มันบางๆเปนริ้วๆลอยสูงๆ)
    จับเวลาดูราวๆครึ่งชม.ได้ค่ะ เรามองคนอื่นก้ไม่มีใครสนใจเลย
    ไม่สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าเราแหงนมองอะไร ทั้งที่ปกติร้านกาแฟนั้น
    ก้รู้จักกันนะคะ มักจะชวนคุยชวนเล่น แต่วันนั้นไม่มีใครสนใจเราเลย
    ก้เอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ ตื่นเต้นดีที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก เพราะทุกที
    จะเจอเค้าในความฝันค่ะ
     
  4. A-jitta

    A-jitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +888
    Archangel Gabriel via Marlene Swetlishoff:
    The Quality of Love Known as Observing

    [​IMG]

    channeled by Marlene Swetlishoff, October 9, 2014,
    WELCOME! - The Rainbow Scribe

    ผู้แปล : อจิตตะ

    คุณคุณที่รัก:
    ขอให้พวกเรามาร่วมพูดคุยในเรื่องคุณลักษณะของความรัก
    ที่รู้จักกันในเรื่องของ “การสังเกตุ” (เฝ้าดู=ผู้แปล) กัน

    ขณะที่ได้ผ่านการเฝ้าดูถึงความแตกต่างในด้านหนึ่งของตัวตนที่อยู่ในโลกนี้
    และทำให้ตนเองเริ่มที่จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่ตนเองสามารถทำได้และสำคัญไปกว่า "การค้นพบตัวเอง"
    กระบวนการนี้จะร้องขอให้ตัวเองคอยเฝ้าดู
    และใช้ความคิดพิจารณาว่ามันได้เกิดอะไรขึ้นภายในตนเอง
    ซึ่งมันก็กลายเป็นความตระหนักรู้ของตนเอง....
    ดังนั้น...มันก็แค่คอยดูมันอย่างระมัดระวัง
    กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง
    และกับสิ่งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบกับโลกภายนอกชีวิตตน

    เพราะไม่มีอะไรที่จะอยู่นอกเหนือการตรวจสอบข้อเท็จจริงของตนเองจากการเฝ้าดูไปได้
    ทั้งในทุกความคิด ทุกความรู้สึก และทุก ๆ การกระทำ
    ที่ต้องมีการระมัดระวังในเรื่องของผลสะท้อนที่จะเกิดขึ้น....
    ส่วนการที่จะบรรลุผลได้นั้น ก็ด้วยการปลูกฝังในการฟังเสียงจากภายใน
    ที่เป็นสัญญาณแนวทางของตนเองที่ได้รับจากตัวตนที่สูงกว่าของตน....
    ที่จะมาชี้นำพวกเขา โดยผ่านทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจ
    และบนทางเลือกที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในชีวิตประจำวัน
    ซึ่งทุกคนต่างก็มี ความลุ่มลึก และมี สติปัญญา
    ในทุกสิ่งที่ตัวเองก็รู้อยู่แกใจทั้งหมด
    และก็รู้ดีว่าหัวใจของใครที่ปรารถนาที่จะสื่อสารกับพวกเขาให้ได้
    กับอีกหนึ่งของความต้องการของตัวเอง
    ที่ขอให้ตัวตนที่สูงกว่าของตนได้เข้ามาสู่จิตสำนึกตน
    เพื่อการเริ่มต้นเฝ้าดูทุกอย่างด้วยความตระหนักรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

    และเมื่อตัวเองได้จัดตั้งเส้นทางการสื่อสารโดยตรงด้วยเสียงภายในนี้ไว้ได้ในแต่ละวัน
    ก็จะมีการส่งสัญญาณให้แก่พวกเขา(higher self)ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
    หรือส่งให้แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการ synchonicities (ทำอะไรพร้อม ๆกัน, ตรงกัน=ผู้แปล)
    ที่พวกเขาทำให้ปรากฏขึ้นในชีวิตประจำวัน....


    เมื่อตัวเองได้มีการเชื่อมโยงกับมุมมองที่สูงกว่าของตนเองแล้ว
    ตน(one)ก็จะสังเกตุไว่า มีความรู้สึกของการถูกกระตุ้น
    เพื่อให้มันได้เคลื่อนผ่านชีวิตที่ท้าทาย
    อย่างสงบเยือกเย็นและเต็มไปด้วยดุลยภาพ
    ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยในสิ่งทีพวกเขาทำอีกด้วย....
    เพราะตน (one) เกิดจากที่ที่เต็มไปด้วยความรัก
    ที่มีความสมดุลย์และมีสุขภาพที่ดีอยู่ภายในตน

    พวกเขา(highter self)จะสังเกตุดูในความไว้วางใจของตน(one)
    ว่ามีความปรารถนาอย่างจริงใจแค่ไหนในการตอบรับของตัวตนที่สูงกว่า
    ที่อนุญาตให้พวกเขามาอยู่ในเส้นทางของแรงบันดาลใจได้

    พวกเขาจะเฝ้าดูว่าแนวทางนั้นเป็นความสุขที่บริสุทธิ์ที่พวกเขานำมา
    โดยพวกเขาจะเฝ้าดูในการทำสิ่งที่เป็นแนวทางที่ตัวตนที่สูงกว่าของพวกเขาส่งมา ว่ามันรู้สึกดีแค่ไหนกัน...
    ซึ่งหากมันรู้สึกดี....นั่นแหละคือแนวทางของตัวตนที่สูงกว่าของเขา
    แต่ถ้ามันรู้สึกแย่....นั่นต้องไม่ใช่แนวทางอย่างแน่นอน

    และโดยการเฝ้าดูทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา
    พวกเขาก็จะเห็นว่า ใครคือผู้ที่มีความมุ่งมั่นในการที่จะเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงกว่าของพวกเขา
    ที่จะมาปลุกความเป็นอัจฉริยะภายในตัวพวกเขาอย่างแท้จริง
    แล้วพวกเขาก็จะไปเกาะขอบเวทีไว้อย่างเหนียวแน่นและไร้ขีดจำกัด
    ในความคิดสร้างสรรค์ และคำแนะนำที่ไร้ตำหนิ
    ซึ่งเต็มไปด้วยไหวพริบปฏิภาณที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาแต่ละคนในแต่ละวัน

    พวกเขาจะสังเกุตได้ว่า ในด้านที่สูงกว่าของพวกเขาต้องการให้พวกเขารู้ว่า
    พลังอำนาจของพวกเขามันแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขารู้ยิ่งนัก
    ว่าพวกเขา.... คือสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณที่มีประสบการณ์ของมนุษย์
    ที่มีการขยายตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    และกำลังเปลี่ยนแปลงในเรื่องของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
    ซึ่งเป็นการเพิ่มความตระหนักรู้มากขึ้น ๆ ว่าจริง ๆ แล้ว....พวกเขาเป็นใคร

    พวกเขาจะสังเกตุเห็นว่า สิ่งที่พวกเขาต้องรับรู้ด้วยตนเองของเส้นทางใหม่นี้
    เป็นส่วนหนึ่งของการค้นพบที่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมีมาอยู่ก่อนแล้ว
    พวกเขาจะเริ่มตระหนักรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาได้ชื่นชมคนอื่นนั้น
    แท้จริงภายในตัวพวกเขาก็มีอยู่แล้วเช่นกัน
    เพียงแค่พวกเขาต้องที่จะเริ่มต้นที่จะเข้าถึงมันก็เท่านั้น....

    พวกเขาเริ่มตระหนักรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาไม่เคยห่วงใยผู้อื่นนั้น
    มันก็อยู่ภายในตัวพวกเขาเช่นกัน
    และพวกเขาเพิ่งจะมีความต้องการที่จะยอมรับ เรียนรู้ และปล่อยมันให้ตายไปเสีย

    พวกเขาจะสังเกตุเห็นในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้และต้องการจะทำ
    ว่าเมื่อพวกเขาเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือ
    ไม่ว่าในด้านความซื่อสัตย์และความสัตย์จริงที่เป็นของพวกเขาเอง
    แล้วทุกอย่างในชีวิตของตน(one)นั้นก็จะปรากฏออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ และอย่างที่มันควรจะเป็น

    พวกเขาจะไม่เสียใจ ว่าพวกเขาเป็นใครที่ผ่านมา
    พวกเขากำลังเป็นใครอยู่
    และพวกเขากำลังจะเป็นใครในกาลข้างหน้า
    จะมีก็แต่รับรู้และยอมรับว่าทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต
    และเป็นกระบวนการของการเจริญเติบโตของพวกเขา

    พวกเขาจะสังเกตุเห็นว่าสิ่งที่พวกเขาหรือใครบางคนได้ทำไป
    ซึ่งนำความทุกข์และความเจ็บปวดมาให้นั้น
    มันจำเป็นต้องได้รับการอภัยอย่างแท้จริง
    เพราะนั่นคืออิสระภาพของพวกเขาในการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่

    พวกเขาจะสังเกตุเห็นถึงความต้องการในการปรับเปลียนพฤติกรรม
    และนิสัยอันแสนเลวร้ายของพวกเขาด้วยการหยุดการส่งออกภายนอก
    โดยพวกเขาจะจัดการเปลี่ยนแปลงไปทีละอย่างทีละอย่าง
    และจัดการในการเอาชนะตนเองให้ได้

    และด้วยการสังเกตุพฤติกรรมเหล่านี้
    พวกเขาก็จะเริ่มต้นด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ
    ที่จะละลายพฤติกรรมและนิสัยที่เลวร้าย
    อีกทั้งโปรแกรมที่ชอบคิดไปในทางลบนั้นออกเสีย
    แล้วพวกเขาก็จะเริ่มต้นก้าวไปข้างหน้ากับทิศทางที่ดีสูงสุด
    ด้วยศักยภาพสูงสุดของพวกเขา....

    พวกเขาจะสังเกตุได้ว่า ไม่มีใครสามารถบีบบังคับ
    ให้พวกเขาทำหรือเชื่อในสิ่งใดได้แล้ว
    พวกเขาตัดสินใจที่จะเปิดใจให้กว้าง
    และรู้ว่า การจำกัดในเรื่องของความเชื่อที่ฝังอยู่ภายในจากอดีตของพวกเขานั้น
    จะคอยเฝ้าระวังการติดต่อที่พวกเขามีต่อตัวตนที่สูงกว่า
    และคอยหยุดยั้งประสบการณ์ที่ดีทั้งหลายที่จะเข้ามาในชีวิตของพวกเขา
    พวกเขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่
    ที่จะพยายามปลดปล่อยความเชื่อ (ที่จำกัด)นี้ออกไป....
    ดังนั้น....ในแต่ละวันพวกเขาจะโฟกัสอยู่ที่แรงกระตุ้นในเชิงบวกที่พวกเขาต้องการทำ
    และมีความมุ่งมั่นที่จะบูรณาการมันร่วมไปกับวันเวลาในแต่ละวันของพวกเขา

    พวกเขากำลังสังเกตุเห็นว่าการผ่านวันเวลาของพวกเขา
    กับการแสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณของพวกเขานั้น
    เป็นการอนุญาตให้หัวใจของพวกเขาได้รับการเติมทุกสิ่ง
    ที่แสนวิเศษรอบๆตัวพวกเขาและกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเขา
    และนั่น คือ “การเปิดประตูไปสู่การเชื่อมโยงกับความเบิกบานที่ไม่มีขีดจำกัดของพวกเขา”

    พวกเขาจะรักษาความเป็นศูนย์กลางให้อยู่ภายในหัวใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    และโฟกัสไปยังความสงบสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งที่มีความสมดุลย์
    และสามารถที่จะเข้าถึงภูมิปัญญาของตัวตนที่สูงกว่าของพวกเขาเพิ่มขึ้นได้

    พวกเขาจะเฝ้าดูด้วยจิตวิญญาณที่สงบนิ่งที่เป็นอยู่อย่างธรรมชาติ
    เพราะนั่นคือที่ที่พวกเขาจะพบกับความสมดุลย์
    และจากการตอบสนองทางอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา
    ซึ่งพวกเขาก็ได้เรียนรู้แล้วว่าพวกเขาสามารถติดต่อกับตัวตนที่สูงกว่า
    ในเวลาที่พวกเขาอยู่กับปัจจุบันขณะ
    และกับช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อยอดีตที่กำลังฉายไปสู่อนาคต

    คำว่า ปลดปล่อย มันหมายถึงการยอมจำนนต่อความกลัว
    ต่อความกังวลและความไม่มั่นคงทั้งหมด
    และเชื่อในพระเจ้าและจักรวาลที่จะทำให้ทุกสิ่งเดินหน้าไปได้
    ด้วยการเข้าไปสู่ภายในและโฟกัสในสิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ
    แล้วพวกเขาก็จะอนุญาตให้ภูมิปัญญาภายในตัวเองที่เป็นธรรมชาติ
    ได้ไหลไปตามกระแสของความตื่นรู้ของพวกเขา
    ซึ่งก็จะนำมาซึ่งความสงบสุขและเบิกบานยิ่งขึ้น
    รวมถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งก็จะอยู่ร่วมกับชีวิตประจำวันของพวกเขาตลอดไป....


    ก่อนที่ฉันจะไป....ฉันขอให้คุณคุณจงฝึกตัวเอง
    ให้มีอุปนิสัยในการสังเกตุสิ่งที่เป็นสิ่งดีดีในชีวิตของพวกคุณ
    และจงแสดงความขอบคุณต่อสิ่งนั้น ๆ ด้วย....





     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    สุริยุปราคาบางส่วน 24 ตุลาคม 2557

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากเน็ต)

    อุปราคาครั้งสุดท้ายของปีเป็นสุริยุปราคาบางส่วน
    เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2557 ตามเวลาประเทศไทย
    แต่ประเทศไทยไม่เห็นสุริยุปราคาในวันนี้

    สุริยุปราคาเริ่มขึ้นเมื่อเงามัวของดวงจันทร์แตะผิวโลกในเวลา 02:38 น.
    กึ่งกลางคราสเกิดขึ้นเวลา 04:45 น. จุดที่เห็นดวงอาทิตย์แหว่งลึกที่สุด
    อยู่ในทะเลทางตอนเหนือของแคนาดา โดยดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ร้อยละ 81
    ของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงอาทิตย์ จากนั้นสิ้นสุดสุริยุปราคา
    เมื่อเงามัวออกจากผิวโลกในเวลา 06:52 น.

    บริเวณที่เห็นสุริยุปราคาบางส่วน ได้แก่ ตะวันออกเฉียงเหนือของรัสเซีย
    เกือบทั้งหมดของทวีปอเมริกาเหนือ (ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม
    ตามเวลาท้องถิ่น) และทางเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก

    ที่มา: อุปราคาในปี 2557
    ..........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2014
  6. Vking

    Vking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    474
    ค่าพลัง:
    +1,555
    รู้ว่าเสี่ยง... แต่คงต้องขอลอง .. อารมณ์ฮัมเพลงค่ะ :)

    คือ มีอาการนึงที่เป็นบ้าง และก็ไม่รู้ความหมายหรอก จนกระทั่งคุณชยุตเล่าว่า อาการที่มีความคิดวนเวียนอยู่ในหัว ว่าควรจะทำอะไร นั่นคือสิ่งที่เราควรจะทำ ควรจะแสดงออกมา ไม่งั๊น ก็วนเวียนคิดอยู่อย่างนั้น

    โอยยย... สิ่งที่คิดวนเวียนอยู่ในหัวเรานั้น เป็นเรื่องพิสดารพอสมควรนะ
    แบบว่า... เอาอีกละ ทำไมเราจะต้องทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการขายหน้า เสี่ยงต่อคนจะหาว่าบ้ามั๊ย เกิดเค๊าปฏิเสธล่ะ ... อายมั๊ยเนี่ย แล้วต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างน้า....

    สุดท้ายก็ตัดสินใจทำไปตามนั้น

    พอทำไปแล้ว ก็รู้สึกโล่งจริง ๆ อืม... คิดว่าใช่นะ

    นึกถึงคำพูดของคุณชยุตด้วย เหมือนเป็นการยืนยัน
    ก็ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ
     
  7. ธนนรินทร์

    ธนนรินทร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +16
    ความฝันแปลก

    เมื่อวานก่อนฝันว่ามีคนมาบอกเกี่ยวกับวงโคจรทุก 121,000ปี แล้วก็สดุ้งตื่น
    แล้วตัวเลข 121,000ก็วนเวียนในความคิดตลอด เลยลองค้นในกูเกิ้ล
    ได้คำตอบจากเว็บนึงเกี่ยวกับดาว Gliese 204 ไม่รู้ว่าเค้าต้องการสื่ออะไร
    อยากให้ผู้รู้ช่วยหน่อยครับ

    ขอบคุณครับ
     
  8. A-jitta

    A-jitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +888
    [​IMG]

    ARCHANGEL GABRIEL 2014
    http://trinityesoterics.com/2014/10/...y-october-23-2014/
    Daily Message ~ Thursday October 23, 2014
    วันที่โพสท์ _Friday , October 24, 2014
    ผู้แปล : อจิตตะ

    หากคุณต้องการสร้างความเคลื่อนไหวในความสงบสุขให้แก่โลกใบนี้ละก็
    สิ่งแรกที่สุดคือ คุณเองต้องค้นพบความสงบสุขของตนเอง
    เพราะเมื่อคุณได้เชื่อมต่อด้วยความความสงบสุขของตัวคุณเอง
    ด้วยสวรรค์และแสงสว่างของคุณเอง
    คุณก็จะเห็นในสิ่งที่คุณปรารถนาจะได้เห็น


    และเมื่อคุณแต่ละคนได้เชื่อมต่อกับ“ที่เป็นอยู่ภายใน(beingness inner)
    และปล่อยให้มันได้ส่องประกายออกมาก
    โลกของคุณจะเต็มไปด้วยแสงที่ส่องสว่าง
    และทำให้โลกเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    คุณจะไม่สามารถต่อต้านกับสิ่งที่คุณไม่พึงประสงค์
    และไม่สามารถสู้เกินกำลังเพื่อจะให้เกิดความสงบสุข
    แต่คุณจะสามารถแสดงออกกับพลังงานเท่าที่คุณปรารถนา
    จนกว่าคลื่นพลังกลุ่มของแสงสว่างที่ได้รับการแปลงจะลุกโชติช่วงสุกสว่าง
    และยินยอมให้การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติเกิดขึ้น....

    คุณคือฑูตแห่ง “ความรักและความสงบสุข” ในโลก
    และเป็นผู้นำทางพลังงานทั้งหลายด้วยพลังอำนาจของความเปลี่ยนแปลง
    ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  9. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความสื่อสารจาก The Team
    เรื่อง: สนามพลังงานของแสงโคฮีเรนท์ (Field of Coherent Light)


    วันที่: 16 ตุลาคม 2014
    ผู้รับสาส์น: Peggy Black
    ที่มา:Morning Messages

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    พวกเรามาอยู่ที่นี่เพื่อที่จะมาเฉลิมฉลองให้กับความสง่างามของพวกคุณ
    พวกเรายอมรับในความกล้าหาญของพวกคุณ ในฐานะที่พวกคุณเป็นรูปธรรมชีวิตที่มีความรู้สึกนึกคิด
    และเป็นรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ ที่มาอยู่ในร่างกายเนื้อนี้ และมาอยู่ในมิติที่หนาแน่นทึบตัน
    ซึ่งมีความท้าทายอย่างมากแห่งนี้ แต่พวกเราก็สังเกตเห็นว่าการมาอยู่ในร่างกายเนื้อแบบนี้
    มันก็มีความน่าพิศวง และมีความน่าพึงพอใจ, มีความสุข และมีความรักอย่างลึกซึ้งปะปนอยู่ด้วย

    นี่แหละคือสิ่งที่พวกคุณกำลังจดจ่ออยู่ในขณะนี้หละ อย่างที่มันควรจะเป็น
    แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ยังอยากจะเตือนความจำของพวกคุณอยู่ต่อไปอีกว่า
    ที่พวกคุณมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อที่จะมาเปลี่ยนรูปแบบความสั่นสะเทือนของ
    พลังงานแห่งอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายให้ดีขึ้น
    เพราะว่ามันคือสิ่งที่ก่อเกิดเป็น “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก”
    (the collective consciousness)


    นี่คือภาระหน้าที่ของพวกคุณที่จะต้องทำทุกๆชั่วโมง, ทุกๆวัน
    และจะต้องทำไปจนตลอดชีวิตอีกด้วย
    เพราะว่าพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างหลากมิติ
    และนี่แหละคือข้อความที่พวกเราส่งมาโดยตลอด
    และนี่แหละคือข้อความของผู้ประเสริฐทั้งหลาย,
    ของนักปราชญ์ทั้งหลาย และของคุรุในอดีตทั้งหลาย


    ที่พวกคุณมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะมาเติม “แสงสว่างที่มีความตระหนักรู้” (conscious light)
    ให้กับมิติและโลกแห่งความเป็นจริงที่หนาแน่นทึบตันแห่งนี้


    ซึ่งคำว่า “แสงสว่างที่มีความตระหนักรู้” (conscious light) ที่พวกเราหมายถึงนี้
    ก็คือสภาวะแห่งจิตใจและหัวใจที่เป็นบ่อเกิดของความคิด, คำพูด และความรู้สึกแห่งความประทับใจ, แห่งความสุข,
    และแห่งความรู้สึกขอบคุณนั่นเอง ซึ่งความสั่นสะเทือนเหล่านี้ก็จะไปทำให้พลังงานของ “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก”
    มีความมืดและทึบน้อยลงกว่าเดิม และที่พลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก มันมืดและทึบอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เพราะว่า
    ชาวโลกผู้ที่ไม่ตระหนักรู้ว่าผลกระทบของคำพูด, ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองนั้นมีมากมายแค่ไหน
    ได้พากันผลิตแต่พลังงานของอารมณ์ความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงป้อนเข้าไปให้กับมันนั่นเอง
    และก็เกิดจาก “พลังงานแห่งการต่อต้าน” ของชาวโลกบางคนด้วย เพราะว่าถ้าใครรู้สึกต่อต้านหรือไม่ชอบอะไรมากๆแล้ว
    ก็เท่ากับว่าคนๆนั้นกำลังไปเพิ่มพลังงานให้กับสิ่งที่ตัวเองกำลังต่อต้านหรือไม่ชอบนั้นอยู่
    และก็เท่ากับว่าพวกเขากำลังใช้พลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ของตัวเอง ในฐานะที่เป็นรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง
    ไปในทางที่ผิดอยู่ด้วย

    ที่พวกคุณเรียกตัวเองว่า “รูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง” (Light Being หรือ Being of Light) นั้น
    จริงๆแล้วพวกคุณไม่รู้หรอกว่าความจริงมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งสักวันหนึ่งเมื่อมนุษยชาติวิวัฒน์ไปได้ไกลมากกว่านี้แล้ว
    เรื่องนี้จะกลายเป็นความจริงที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ซึ่งพวกเราก็ได้เคยบอกพวกคุณไปแล้วหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
    เพราะว่าพวกเรารู้ว่าพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างจริงๆ
    และพวกเราก็จะตอกย้ำให้พวกคุณตระหนักรู้ถึงความจริงในข้อนี้อีกต่อไปด้วย

    สิ่งมีชีวิตทุกๆชนิดล้วนมีแสงสว่างและก็กำลังเปล่งแสงสว่างออกมาจากข้างในด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    ซึ่งก็รวมถึงเซลของสิ่งมีชีวิตสีเขียวทุกๆชนิด, เซลของสิ่งมีชีวิตที่สามารถเจริญเติบโตได้ทุกๆชนิด,
    สัตว์ทุกๆชนิด และรวมถึงมนุษย์ด้วย ต่างก็กำลังเปล่งแสงสว่างออกมาจากข้างในด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    ซึ่งเป็นแสงสว่างเรืองรองที่มีความเข้มข้นต่ำๆที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
    แต่ชาวโลกบางคน ที่ได้ยินยอมให้พรสวรรค์หลากมิติของตัวเองตื่นขึ้นมาแล้ว
    ก็จะสามารถมองเห็นแสงสว่างเรื่องรองอ่อนๆที่เปล่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้
    และยิ่งมีพวกคุณจำนวนมากเท่าใด ที่ได้เปิดพรสวรรค์ที่ว่านี้ของตัวเองขึ้นมาแล้ว
    ความจริงในเรื่องนี้ก็จะกลายไปเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเท่านั้นด้วย

    ความเป็นไปได้ที่เซลในร่างกายของพวกคุณจะสามารถเปล่งแสงสว่างที่สามารถมองเห็นได้ออกมานั้น
    ได้กลายเป็นเรื่องที่สงสัยกันมานานหลายปีแล้ว ในแวดวงวิทยาศาสตร์ของพวกคุณ
    แต่ว่าในตอนนี้มันได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งและได้มีเครื่องมืออย่างหนึ่ง
    ที่ทำให้สามารถมองเห็นแสงสว่างเรืองรองที่เปล่งออกมาจากเซลต่างๆได้แล้ว
    ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของพวกคุณเรียกเจ้าแสงสว่างเรืองรองที่เปล่งออกมาจากเซลนี้
    ว่า “ไบโอโฟตอนอีมิชชั่น” (Biophoton emission)


    ดังนั้น สำหรับผู้ที่ต้องการข้อพิสูจน์อะไรบางอย่าง เกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามนุษย์โลกทุกๆคน
    คือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างหละก็ ตอนนี้มันได้กลายมาเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า
    เจ้า biophoton emission ดังกล่าวนี้ คือคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพืช และสัตว์ทุกๆชนิด
    แต่สำหรับผู้ที่ตื่นรู้แล้วทั้งหลาย เช่นพวกคุณเป็นต้น ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้
    ก็จะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดเลย

    แสงสว่างที่เซลเปล่งออกมานี้คือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นที่รู้จักกันในนามของ “พลังชี่” หรือ “พลังปราณ”
    หรือก็คือสิ่งที่ปราชญ์ยุคโบราณเรียกกันว่า “กายแห่งแสงสว่าง” ชนิดต่างๆนั่นเอง
    และในตอนนี้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็เริ่มที่จะค้นพบความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

    แสงสว่างดังกล่าวนี้คือส่วนหนึ่งของเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณ แสงสว่างไบโอโฟตอนดังกล่าวนี้
    คือรูปแบบหนึ่งและคือแรงโคฮีเรนท์อย่างหนึ่ง (coherent force) ของการติดต่อสื่อสาร
    ระหว่างส่วนต่างๆของร่างกายเนื้อของพวกคุณ, ระหว่างเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    และระหว่าง DNA ของพวกคุณ มันทำหน้าที่เป็นเครือข่ายหลักสำหรับการติดต่อสื่อสารของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ
    และมันก็ทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการทุกๆ “กระบวนการของชีวิต” (life process) ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆด้วย

    (หมายเหตุ: โคฮีเรนท์ หรือ Coherent หมายถึงความสม่ำเสมอกัน และเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ
    จึงทำให้มีความเข้มข้นสูงตามไปด้วย เช่น แสงเลเซอร์เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็น Coherent Light อย่างหนึ่ง – ผู้แปล)

    แสงโคฮีเรนท์ (coherent light) หรือแสงสว่างที่มีความเข้มข้นสูงและเป็นระเบียบนี้
    หรือก็คือสนามพลังงานไบโอโฟตอนนี้ จะแทรกซึมอยู่ในร่างกายเนื้อของสิ่งมีชีวิต
    และก็จะห่อหุ้มกายเนื้อของสิ่งมีชีวิตเอาไว้อยู่
    และมันก็จะทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการของชีวิตทุกๆกระบวนการ
    ของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆด้วย มันคือสนามพลังงานของคลื่นความถี่
    และความสั่นสะเทือนที่แผ่กระจายออกมารอบๆกายของสิ่งมีชีวิต
    และมันก็จะถ่ายทอดสัญญาณต่างๆไปสู่ทุกๆส่วนของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆด้วย
    เพื่อกระตุ้นกระบวนการทางชีวเคมี หรือเพื่อยับยั้งกระบวนการทางชีวเคมี
    ภายในสิ่งมีชีวิตนั้นๆ แล้วแต่กรณี

    ทุกๆส่วนของร่างกายเนื้อของพวกคุณ จะมีการติดต่อสื่อสารกับแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา
    ซึ่งมันจะมีสักวันหนึ่งที่วงการแพทย์ของพวกคุณ จะรู้ซึ้งถึงความสำคัญของไบโอโฟตอนของเซล
    และของ DNA ของร่างกายเนื้อที่ว่านี้ เพราะว่าการตระหนักรู้ถึงสถานะของแสงสว่างดังกล่าวนี้ของเซล
    จะสามารถชี้บ่งได้ว่าเซลนั้นๆกำลังมีสุขภาวะที่ดีอยู่ หรือว่ากำลังป่วยอยู่ได้

    พวกคุณเองก็สามารถที่จะเริ่มต้นรับรู้ถึง “แสงสว่างที่มีความตระหนักรู้” อันนี้ได้ด้วย
    เพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของพวกคุณเอง แล้วจากนั้นก็จงเริ่มต้นทำให้ไบโอโฟตอนของร่างกายเนื้อ
    และของเซลในร่างกายเนื้อของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาเสีย ด้วยการจินตนาการว่าเซลผิวหนังของพวกคุณ
    รวมทั้งดวงตาทั้งสองข้างของพวกคุณคือ “ทางเข้าของแสงสว่าง” จงทำให้มั่นใจว่าตลอดทั้งวันของพวกคุณ
    พวกคุณได้เติมพลังให้กับดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง และได้เติมพลังให้กับผิวหนังของตัวเอง
    ด้วยการป้อนแสงสว่างจากธรรมชาติให้กับเซลผิวหนังของตัวเองอยู่เสมอ ไม่ใช่แสงสว่างจากคลื่นความถี่
    หรือแสงสว่างจากไฟฟ้า หรือแสงสว่างจากแหล่งกำเนิดแสงสว่างใดๆที่มนุษย์สร้างขึ้น

    จงตั้งใจจินตนาการว่า และจงตั้งใจยินยอมให้ แสงสว่างที่มาสัมผัสกับผิวหนังของพวกคุณ
    แพร่ผ่านผิวหนังของพวกคุณลงไปได้ แล้วไปทำให้ตัวของพวกคุณเอง เติมเต็มไปด้วยแสงสว่างโคฮีเรนท์
    ที่มีพลังอำนาจในการเยียวยารักษาและเป็นพลังชีวิตนี้ ให้จินตนาการว่าระลอกคลื่นของแสงสว่างนี้
    กำลังเอิบอาบเซลทุกเซลและ DNA ทุก DNA ที่อยู่ภายในร่างกายเนื้อของพวกคุณอยู่
    ซึ่งภายในระลอกคลื่นของแสงสว่างนี้ก็จะมีข้อมูลข่าวสารแห่งความมีชีวิตชีวาและความมีสุขภาวะที่ดีบรรจุอยู่ด้วย

    หากเมื่อใดที่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเนื้อของพวกคุณ เกิดเสียสมดุลขึ้นมา หรือ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา
    ก็ให้เอิบอาบส่วนนั้นๆด้วยคลื่นความถี่แห่งการบำบัดรักษาของแสงสว่างนี้ เพียงแค่เรียกมันมาใช้งานเท่านั้นเอง
    โดยการรู้สึกถึง หรือ จินตนาการว่าพลังงานของแสงสว่างอันนี้กำลังสร้าง, กำลังซ่อม,
    และกำลังปรับปรุงแก้ไขให้ส่วนที่เสียสมดุลส่วนนั้น กลับคืนมาสู่สมดุลใหม่อีกครั้งหนึ่งอยู่

    ให้พวกคุณหายใจเข้าลึกๆพร้อมๆกับจินตนาการว่า พวกคุณกำลังหายใจเอาแสงสว่างเข้าไปอยู่
    แล้วจากนั้นก็ให้จินตนาการต่อไปอีกว่าแสงสว่างที่พวกคุณหายใจเอาเข้าไปนั้น
    กำลังเข้าไปเติมเซลทุกๆเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณ ให้เต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างอยู่
    จนทำให้พวกมันมีระดับความสั่นสะเทือนของแสงสว่างโคฮีเรนท์สูงมากขึ้นกว่าเดิม

    และเมื่อใดที่พวกคุณมองดูความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าของแต่ละวัน ก็ให้พวกคุณจินตนาการว่า
    ตัวเองกำลังดูดซับเอาแสงอาทิตย์มาเติมเต็มและมาเพิ่มพลังให้กับเซลในร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่
    และจงรู้ไว้ด้วยว่า “อาหารที่มีชีวิต” (เช่นพวกผักสด และผลไม้สด เป็นต้น – ผู้แปล) ที่พวกคุณรับประทานเข้าไปนั้น
    ก็มีอนุภาคของแสงสว่างอยู่ในนั้นด้วย ดังนั้น เวลาที่พวกคุณรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไป
    ก็ขอให้พวกคุณคิดว่าตัวเองกำลังรับประทานแสงสว่างอยู่ ซึ่งด้วยการทำเช่นนี้ก็จะช่วยให้
    และก็จะส่งผลให้ “กายแห่งแสงสว่าง” (light body) ของพวกคุณมีความแข็งแกร่งและมีความสว่างไสวมากขึ้นกว่าเดิมได้

    จงฝึกฝนเป็นประจำทุกวัน และวันละหลายๆครั้ง เพื่อหยุดความคิดแล้วสัมผัสรู้ถึง, หรือรู้สึกถึง หรือจินตนาการว่า
    มีแสงสว่างกำลังหลั่งไหลเข้ามาสู่กลางกระหม่อมของพวกคุณเองอยู่ จนทำให้เซลทุกๆเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณ
    เติมเต็มไปด้วย หรือหล่อเลี้ยงไปด้วย แสงสว่างแห่งชีวิต และแสงสว่างที่ค้ำจุนชีวิตอยู่

    พวกคุณคือรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง เพราะฉะนั้นแล้ว จงเริ่มต้นนำเอาความสว่างไสวของตัวเองออกมาใช้ให้มากกว่านี้ได้แล้ว
    จงเริ่มต้นมองให้เห็นว่าตัวเองคือรูปธรรมชีวิตที่มีแสงสว่างเจิดจ้าได้แล้ว และจงรู้ไว้ด้วยว่าทัศนคติของพวกคุณ
    ก็สามารถที่จะส่งผลกระทบต่อปริมาณแสงสว่าง ที่จะมีอยู่ในเซลแต่ละเซล และที่จะมีอยู่ภายในส่วนต่างๆ
    ของร่างกายเนื้อของพวกคุณเองได้ด้วย

    จงยกระดับความสั่นสะเทือนของตัวเองให้สูงขึ้น โดยการเลือกอารมณ์ความรู้สึกที่จะทำให้หัวใจของพวกคุณ
    รู้สึกร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาได้จริงๆ จงถามตัวเองว่าคำพูดไหน, ความคิดไหน และความรู้สึกไหนบ้าง
    ที่จะทำให้พวกคุณรู้สึกสว่างไสวขึ้นมาได้? และการกระทำไหนบ้างที่จะทำให้พวกคุณรู้สึกสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้?

    จงหมั่นสังเกตความรู้สึกของตัวเอง และจงฝึกฝนที่จะเป็นคนมองโลกในแง่ดี ซึ่งการฝึกฝนเช่นนี้
    ก็จะช่วยให้สนามพลังงานไบโอโฟตอนของพวกคุณ ซึ่งก็คือความสว่างไสวเรืองรองที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณ
    และก็คือแสงสว่างที่เป็นแก่นแท้ของเซลแต่ละเซลในร่างกายเนื้อของพวกคุณเอง มีมากขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นได้

    ลายเซนต์ทางพลังงานของพวกคุณ ก็สามารถที่จะบ่งบอกถึงระดับคลื่นความถี่ของตัวพวกคุณเองได้ด้วย
    ซึ่งพวกคุณทุกๆคนก็คงเคยพบหรือเคยสัมผัสกับใครบางคนที่สามารถแผ่พลังงานแสงสว่างออกมาได้จริงๆกันมาบ้างแล้ว
    ซึ่งผู้ที่ตื่นรู้แล้วเหล่านี้ คือตัวอย่างของสิ่งที่สามารถเป็นไปได้สำหรับรูปธรรมชีวิตหลากมิติทุกๆคน
    (มนุษย์ทุกๆคนคือรูปธรรมชีวิตหลากมิติ – ผู้แปล) พวกคุณคือพลังงานอันบริสุทธิ์
    พวกคุณคือสนามพลังงานของแสงโคฮีเรนท์ (coherent light) ที่กำลังอยู่ในร่างกายเนื้อนี้
    และแก่นแท้ของพวกคุณก็คือแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ (divine light)

    แสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ (divine light) ที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณแต่ละคนนี้ จะไปเชื่อมต่อกับ
    และจะไปติดต่อสื่อสารกับทุกผู้ทุกนาม ในสนามพลังงานไบโอโฟตอนระดับโลกต่อไป
    ซึ่งก็เป็นสนามพลังงานของแสงโคฮีเรนท์ชนิดหนึ่งด้วยเช่นเดียวกัน

    จงแผ่ส่งแสงสว่างของตัวพวกคุณออกไป สู่สนามพลังงานแห่งจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกดังกล่าวนี้
    โดยการสร้างภาพนิมิต หรือโดยการใช้จินตนาการ เพราะว่าทุกๆครั้งที่พวกคุณกระตือรือร้น
    และตั้งใจแผ่ส่งแสงสว่างของตัวเองออกไปสู่จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก (the collective consciousness) นี้
    ก็เท่ากับว่าพวกคุณกำลังทำให้มันมีความแข็งแกร่งมากขึ้นอยู่ และกำลังทำให้มันมีความตระหนักรู้แห่งแสงโคฮีเรนท์มากขึ้นอยู่

    และเมื่อใดก็ตามที่พวกคุณได้พบกับคนอื่น ก็ขอให้พวกคุณจินตนาการไปว่า สนามพลังงานไบโอโฟตอนของพวกคุณเอง
    กำลังติดต่อสื่อสารกับ และกำลังถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารกับสนามพลังงานไบโอโฟตอนของคนๆนั้นอยู่
    ให้ฝึกฝนโดยการจินตนาการให้เห็นแสงสว่างที่อยู่ภายในตัวของผู้อื่นด้วย ให้รับรู้ถึงแสงสว่างของพวกเขา
    เพราะว่าทุกๆครั้งที่พวกคุณทำเช่นนี้ มันก็จะไปช่วยให้เซลทุกๆเซลในร่างกายเนื้อของพวกเขามีความแข็งแรงมากขึ้น
    และมีชีวิตชีวามากขึ้น

    ที่รักทั้งหลาย พวกเรานับถือพวกคุณในสิ่งที่พวกคุณเป็น และพวกเราก็นับถือพวกคุณในสิ่งที่พวกคุณกระทำด้วย
    เพราะว่าพวกคุณได้พากันมาให้บริการอยู่ในเกมสามมิติ (hologame) แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง
    และพวกคุณก็กำลังนำเอาความจริงเรื่องนี้เข้าไปสู่แมทตริกซ์ของคนทั้งโลกอยู่จริงๆ
    และรวมถึงพวกคุณก็กำลังนำเอาพลังงานแห่งการถ่ายทอดนี้ เข้าไปสู่ทุกผู้ทุกนามที่พวกคุณได้เจอะเจออยู่จริงๆ

    ขอพวกคุณจงได้รับพรจากความพยายามของพวกคุณเอง พวกเราอยู่ที่นี่เสมอ
    และพวกเราก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่พวกคุณทุกเมื่อ ถ้าพวกคุณเรียกหาพวกเรา

    The 'team'
    ……………………..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Biophoton-3.jpg
      Biophoton-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.9 KB
      เปิดดู:
      1,809
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  10. Liinping

    Liinping สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +9
    แมลงปอก็เห็นข้อความแบบอาตแมวมาบ่นๆเค้าแบบนี้บ่อยๆเหมือนกันจร้าอาตแมว ประโยคข้อความแบบเดียวกับอาตแมวบอกเรย ที่ว่านึกว่าจะวิวัฒน์การไปถึงไหนแล้ว....ถ้าอาตแมวมองว่าหมกหมุ่นทำไมอาตแมวไม่มองว่าพวกเขาตั้งใจเรียนตื่นตัวตลอดเวลาละจ้า .คำว่าวิวัฒนาการหมายถึงวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่จะเป็นไปพร้อมเพรียงกัน โดยสังเกตุจากภาพรวมน่ะจร้า เรื่องที่เขาเอามาโพสประจำก้เพื่อเป็นประโยชนกะพวกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลง จะเรียกได้ว่าสาหัสอยุทีเดียวเพราะต้องใช้ชีวิตประจำวันไปพร้อมกับอาการทั้งหลายทั้งมวล อ่านดีดีมันก้ไม่ได้ต่างจากที่อาตแมวเรียนมานะคับ อย่ามองว่ามันต่างกันเพราะไม่ตรงกะความเชื่อของเราเรยคับลองพิจารนา
     
  11. Liinping

    Liinping สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +9
    อาตแมวเข้าใจผิดนะคับผมหมายถึงประโยคคำพูดของคุณมันซ้ำกับคนอื่นที่เคยออกมาแสดงความคิดเห็นแบบเหมือนเปี๊ยบผมไม่ได้ปกป้องแต่ความเชื่อก้มีข้อดีของเขานะ ความเชื่อของกลุ่มนี้เหมือนเขามีวิทยุ แล้วมีคนคอยบอกเส้นทาง ส่วนรุปธรรมก้พอมองเห็นนะคือคนส่วนใหญ่มีปัญญา แยกแยะเองได้ไม่โดนสื่อชักนำ คุณธรรมสูง ขึ้น ความคิดเริ่มเคลื่อนไหวไปในทางความสุขความสงบสันติ .การทุจริตคอรัปชัดคดโกงเอาเปรียบทำได้ยากแต่ที่มันมีเหตุสยดสยองพักนี้มันสูงขึ้นแบบพรวดเดียวทำให้อีกด้านก้ดาร์กแบบรุนแรงตามมา ยุคนี้คล้ายๆกับระบบคอมพิวเตอร dos แล้วจะบังคับใช้คำว่าบังคับเรยเปลี่ยนเปนโปรแกรม java แค่นี้มันก้โอเครขึ้นเยอะแล้วนา ขนาด3g ยังทำโลกเปลี่ยนไปเยอะแยะ(ห้ามพุดว่าความเจริญทางโลกนะเปรียบเทียบเฉยๆ)เรย พูดเปรียบเทียบก้ประมาณว่าอยุ่ในสภาวะที่เหมาะสมที่จะเดินไปข้างหน้าต่อ
    ไม่เสียเปล่าหรอกครับ ...ไม่ได้มาเถียงด้วยนะแต่เห็นว่าเข้าใจผิดว่าเราบ่นว่านายมาโพสหลายรอบ แต่รุปธรรมที่นายต้องการจะเหนมันก้มีให้เหนอยุ่นะแสดงความคิดเหน คงไม่มีใครจะโต้เถียงในกระทู้นี้ละมั้งเถียงกันมาเนินนาน
     
  12. A-jitta

    A-jitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +888
    You are becoming the clearest and brightest light you can be

    [​IMG]

    THE HILARION’S WEEKLY MESSAGE 2014
    HILARION 2014 - The Rainbow Scribe
    October 26-2nd November, 2014
    วันที่โพสท์ _Tue ,28/10/2014

    ผู้แปล: อจิตตะ

    Lightwalker ผู้โอบกอดแสงสว่างที่ได้เทียบท่าแล้วบนโลก
    มีจำนวนมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน....
    พวกเขาแต่ละคนได้พยายามที่จะรักษาความเป็นธรรมชาติ
    ด้วยการทำสิ่งที่ประกอบไปด้วยความเมตตาให้แก่พวกเขาเองในแต่ละวัน
    ซึ่งก็เป็นเพียงรางวัลเล็ก ๆน้อยๆที่ทำให้เขาได้เห็นและรับรู้ได้....

    พวกคุณทั้งหมดกำลังเรียนรู้ถึงความจำเป็นในการรักตัวเอง
    เพื่อการก้าวไปข้างหน้ากับเส้นทางจิตวิญญาณของคุณ

    เพราะการรักตัวเองเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ
    ในการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของผู้คนโดยรวม
    ทั้งยังช่วยให้แต่ละคนมีความสมดุล
    และความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งภายในและโลกรอบ ๆ ตัวพวกเขา
    ซึ่งนั่นก็เป็นการฝึกในการช่วยให้ตน(one)ได้รักษาระดับความมั่นคง
    และมีความตั้งมั่นที่จะอยู่ให้ได้กับโลกภายนอกที่ยังคงมีการระเบิดอารมณ์ใส่กัน....

    จึงอย่าได้ลืมว่ามันวิเศษสุดเพียงใดในความเป็นคุณ
    และสิ่งที่คุณสมควรจะได้รับก็คือสิ่งที่ดีที่สุดในโลกทั้งหมด


    พวกคุณส่วนใหญ่ได้รับการดาวน์โหลดเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากจักรวาล
    ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีการผสมผสานเพื่อการดูดซึม
    และกับการโฟกัสไปกับการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
    ด้วยการสังเกตุในสิ่งที่จะนำมาซึ่งความสุข
    และขจัดกิเลสตัณหาของคุณออกไป
    ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มันได้มีการพิจารณามาอยู่หลายเดือนแล้วละนะ
    จึงง่ายขึ้นในการจัดการกับมันในขณะนี้
    และจากที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุ
    ที่ทำให้คุณได้เรียนรู้ในการใช้พลังอำนาจของคุณ
    ในรูปแบบของความรักและวิธีการสร้างสรรค์
    ซึ่งก็จะทำให้วันข้างหน้าของคุณนั้นดียิ่งขึ้นต่อไป....

    คุณจะมีความรู้สึกสดใหม่ สงบ และมีความเบิกบาน
    และตอนนี้ก็พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่วิเศษสุดในชีวิตบนโลกใบนี้
    คุณจะจัดทักษะ ปัญญา และ ความรู้ทั้งหลายที่ดีดี เพื่อใช้ในการนี้
    ซึ่งก็จะเป็นการขยายความเป็นไปได้ของคุณให้กว้างยิ่งขึ้น

    พวกคุณทุกคนได้รับการปลดปล่อยความเศร้าเสียใจที่มีต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา
    และความทุกข์ที่เป็นรูปแบบที่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อคุณอีกต่อไปออกไป
    แต่ที่ฝังอยู่ลึกๆในจิตสำนึกของคุณเองนั้น มันก็คงจะยังมีบ้างละนะ....

    ซึ่งในการดาวน์โหลดพลังงานใหม่ในครั้งนี้
    ก็เป็นครั้งสุดท้ายของการปลดปล่อย
    ที่จะนำไปสู่ความรู้สึกที่สดใหม่ เพื่อการเริ่มต้นใหม่นี้อีกครั้ง...


    ชีวิต ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
    ดังนั้น....แนวทางจะเผยออกมาตามความปรารถนาของจิตวิญญาณคุณ
    เพราะทุกประสบการณ์ที่คุณได้รับนั้น
    ได้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยขยายการตื่นรู้ของคุณ
    เพื่อให้คุณสามารถโอบกอดความรักและภูมิปัญญาในระดับสูง
    ที่จะทำให้ทุกๆประสบการณ์ที่คุณได้รับแล้วนั้น
    เป็นเครื่องนำทางให้คุณเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด
    และเป็นผู้ที่ความรักความเมตตาอย่างที่คุณเป็นอยู่ในขณะนี้
    ทั้งเพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนความคิดให้เป็นไปในทางบวก
    และให้มีความลุ่มลึกกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น....

    พวกคุณทุกคนสามารถทำฝันให้กลายเป็นจริงได้
    ทั้งในโลกส่วนตัวของคุณและโลกภายนอกรอบ ๆ ตัวคุณ
    ที่คุณได้ร้องขอความเชื่อมั่นและความมั่นใจในตัวคุณเอง
    ที่จะไม่ให้สิ่งใดมาขวางเส้นทางเดินของคุณไปได้....

    จงมองและเรียนรู้ทุกๆประสบการณ์เพื่อเพิ่มการเรียนรู้ให้แก่พวกคุณเอง
    ซึ่งก็เป็นเวลาที่คุณจะได้ส่องแสงสว่าง
    ไปพร้อมกับเรื่องที่น่าตื่นเต้นของการเปิดใช้งานของเส้นทางใหม่นี้
    และนี่เป็นเรื่องที่ต้องเปิดใจกัน
    ที่จะทำให้คุณได้เห็นศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดที่อยู่ภายในตัวคุณ
    ที่มีต่อทุกสิ่งที่คุณปรารถนาที่จะสร้างสรรค์และรู้แจ้ง
    ที่คุณได้ประสบความสำเร็จภายในอาณาจักรของความเป็นไปได้ของคุณอยู่ในขณะนี้


    ขีดความสามารถทั้งด้านอารมณ์และความรู้สึก
    ได้ตื่นตัวขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต
    และด้วยมุมมองในด้านจิตวิญญาณ
    ชีวิตย่อมไม่มีอะไรที่จะตัดสินได้ว่า มันผิด
    เพราะเพียงแค่ยอมรับว่าคุณเป็นใคร
    และเมื่อใดที่แน่ชัดแล้วว่าคุณเป็นใคร
    คุณก็พบว่าชีวิตนี้มันช่างอัศจรรย์กับการเปลี่ยนแปลงที่น่ามหัศจรรย์
    กับความประจวบเหมาะ(synchronicity) และกับแผนการนั้นๆ
    ซึ่งความหนักแน่นและความรับผิดชอบ
    ที่คุณได้แสดงออกมานานแสนนานแล้วนั้น
    ก็จะให้ความช่วยเหลือคุณได้เป็นอย่างดี....

    ฉนั้น....จงฟังคำแนะนำที่มาจากจิตวิญญาณคุณเองต่อไป
    ด้วยการโฟกัสไปที่จุดมุ่งหมายด้วยความมุ่งมั่น ด้วยทักษะ
    และมีความแน่วแน่ที่จะเข้าถึงพวกเขาให้ได้
    แล้วคุณก็จะกลายเป็นผู้ได้รับความชัดเจนที่สุด
    ทั้งยังเป็นแสงที่สามารถส่องได้สว่างที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้


    พวกเรารู้สึกซาบซึ้งกับความรู้แจ้งที่ได้เข้ามาสู่ชีวิตของพวกคุณแล้วทุกคน
    ....คุณได้มาถูกทางแล้วนะ และทั้งหมดก็จะออกมาดีอีกด้วย....



    Until next week…
    I AM Hilarion
     
  13. A-jitta

    A-jitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +888
    "ถึงแม้จะมีเพียงคนเดียวที่ยังไม่เข้าใจ ก็ควรต้องให้เหตุผลเพื่อให้ได้พิจารณากัน....."

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มาสองพันห้าร้อยกว่าปี
    ในเรื่องหลักใหญ่คือ ทุกข์ หรือ อริยะสัจสี่
    พระเยซูทรงแสดงเรื่อง ความรัก มาเป็นพันปี
    โมเสส ให้ตั้งมั่นในบัญญัติสิบประการมาแสนนาน
    อีกทั้ง ขงจื้อ เหลาจือ และสารพัดผู้นำทางจิตวิญญาณ
    ทั้งครูบาอาจารย์จากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่งที่ได้นำมาขยาย
    จนถึงทุกวันนี้....ดูเหมือนมันยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราว
    ที่ศาสดาทั้งหลายทรงสอนอยู่ดี....

    แล้วมาดูความอยากและความเห็นแก่ตัวของผู้คนทั่วโลกซินะ
    ว่ามันได้ลดน้อยลง หรือ เพิ่มมากขึ้น....
    ทุกวันนี้ การรบราฆ่าฟันกันเอง เบียดเบียนกันเองมันเกิดขึ้นในทุกกลุ่มทุกศาสนา
    โดยที่คำสอนของศาสดาทั้งหลายก็ยังคงวนเวียน
    อยู่กับหลักคำสอนเดิม ๆ เพราะคำสอนเหล่านั้นมันจริง(Truth)
    เพียงแต่มิได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการบอกเล่า
    หรือการถ่ายทอดเท่านั้น....

    ข้อความที่แปลมาให้อ่านกันนี้....หากตั้งใจอ่านให้ดีดีโดยไม่มีอคติ
    และเปิดใจให้กว้างๆเข้าไว้ กว้างเท่าฟ้าเลยก็ยิ่งดี....
    แล้วจะเห็นชัดเลยว่า เขาก็ได้บอกเรื่องที่ศาสดาทั้งหลายได้บอกนั่นแหละ
    เพียงแต่ต่างวิธีการเท่านั้น....
    ซึ่งหลายๆคนที่ได้อ่านมาหลายปี ก็คงพอทราบได้....

    ดังนั้น....เพื่อให้เกิดความสุขแก่ทุกคน....
    เลือกได้เลยนะ ....ว่าชอบหรือไม่ชอบที่จะเข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้
    หากคิดว่ามันไม่เหมาะกับตน ก็ไม่ต้องไปอ่านไปสนใจมัน(ให้เกิดทุกข์ไปเปล่า ๆ)
    แต่หากคิดว่ายังมีความน่าสนใจอยู่ในกระทู้นี้ก็เข้ามาอ่านก็แล้วกัน....ดีไม๊?

    ชีวิตใครใครก็เลือกได้ทั้งนั้น....เลือกเถอะนะ...

    ขอให้โชคดี
    อจิตตะ....

     
  14. talkjoss

    talkjoss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +2,252
    [​IMG]
    ขอบคุณครับ "รักโดยปราศจากเงื่อนไข"
     
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุโมทนากับท่านด้วย
    ที่ท่านสามารถตัดใจไปได้ซะทีนะครับ



    .........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2014
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บทแปลคำสอนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ (แปลจากภาษาอังกฤษ)
    เรื่อง: การรู้แจ้ง และ ความไม่รู้ (Enlightenment and Ignorance)


    บรรยายที่: Formosa, Taipei
    วันที่: 1 ธันวาคม 1986 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

    ที่มา: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=839325472778558&set=gm.10152794055306740&type=1&pnref=story

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    ตอนที่ 1: "นิทานเรื่องสองพี่น้อง"


    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งซึ่งมีฐานะร่ำรวยมาก เขามีบุตรชายอยู่ 2 คน
    ซึ่งบุตรชายทั้ง 2 คนนี้ของเขา มีระดับสติปัญญาและมีความร่ำรวยเสมอเหมือนกันหมด
    เพราะว่าทั้งคู่กำเนิดขึ้นมาและเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและในสภาพแวดล้อมที่
    พรั่งพร้อมไปหมดทุกอย่างเหมือนกัน

    อยู่มาวันหนึ่งบุตรชายผู้น้องเกิดมีแรงบันดาลใจให้อยากจะออกไปใช้ชีวิตในแบบอื่นดูบ้าง
    ดังนั้น เขาจึงบอกพ่อของเขาว่าเขาอยากจะออกไปผจญภัยโลกภายนอกดูบ้าง
    เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆให้กับตัวเอง

    ซึ่งในโลกภายนอกนั้น เขาก็ได้พบกับความทุกข์ยากมากมาย
    และเขาก็ได้พบกับปัญหาอุปสรรค์ต่างๆมากมายด้วย
    แต่ในขณะเดียวกันเข้าก็ได้เรียนรู้ความจริงต่างๆมากมายด้วยเช่นเดียวกัน
    เพราะฉะนั้นแล้วเขาจึงมีภูมิปัญญามากขึ้น มีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น
    และมีความสามารถมากขึ้นตามไปด้วย

    เพราะเขารู้ว่าจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ต่างๆอย่างไร
    และเขาก็ได้ค้นพบศักยภาพต่างๆของตัวเองอีกด้วย
    ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีความสามารถเหล่านั้นอยู่
    เพราะว่าเขาเคยอาศัยอยู่แต่ในครอบครัวที่พรั่งพร้อมไปซะหมดทุกอย่าง
    และมีคนคอยรับใช้อยู่ตลอดเวลาในทุกๆเรื่อง ดังนั้นเขาจึงสามารถได้ในทุกๆสิ่งที่เขาต้องการ
    โดยแทบจะไม่ต้องกระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่า
    ตัวเขาเองนั้นมีความสามารถอะไรอยู่บ้าง

    แต่หลังจากที่เขาได้ออกไปผจญภัยและใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกแล้ว
    เขาจึงได้ค้นพบว่าตัวเขาเองมีความสามารถและมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งอยู่มากมาย
    ดังนั้น เขาจึงมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆๆเพราะว่าเขาค่อยๆตระหนักรู้ถึง
    พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง

    แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้รู้ความจริงในข้อนี้
    เขาก็ต้องพบกับความทุกข์มากมายเสียก่อน
    จนในที่สุด เมื่อเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด
    จนทำให้เขาต้องป่วยหนัก, หมดเนื้อหมดตัว, ไม่มีใครดูแล, และไม่มีบ้านอยู่
    เขาจึงคิดว่า “ฉันไม่สามารถที่จะเป็นแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ฉันจะต้องกลับบ้าน
    เพราะว่าที่บ้านฉันจะมีชีวิตที่สุขสบายมากกว่านี้
    ดังนั้น ทำไมฉันจึงจะต้องออกมาอยู่ข้างนอกและใช้ชีวิตดุจขอทานอย่างนี้ด้วยเล่า?”

    และในชั่วขณะนั้นเอง เขาก็โหยหาที่จะกลับบ้าน
    และเขาก็ได้ติดต่อกับครอบครัวของเขา

    และเมื่อเขาได้กลับบ้านในท้ายที่สุดแล้ว พ่อของเขาก็มีความรู้สึกปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างมาก
    และก็ให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น และพ่อของเขาก็ได้มอบเสื้อผ้า, อาหาร
    และของขวัญที่ดีที่สุดให้กับเขา และก็ได้จัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับการกลับมาของเขาด้วย

    ในตอนนั้น พี่ชายคนโตของเขาได้ถามพ่อของเขาว่า
    “แล้วผมหละครับพ่อ? พ่อยังไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้กับผมเลย
    และก็ไม่เคยมอบอะไรพิเศษให้กับผมเลย! ทำไมหละ?
    ผมศรัทธาพ่อมาโดยตลอด และผมก็ไม่เคยจากพ่อไปไหนเลย!
    ผมมาหาพ่อทุกวันๆและก็อยู่ใกล้ๆพ่อด้วย แต่พ่อก็ไม่เคยให้อะไรกับผมเลย”

    แล้วพ่อของเขาก็บอกเขาว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อมี ก็เป็นของลูกสองคนพี่น้องหมดแล้วนี่”

    คราวนี้ สภาวะการณ์ของทั้งสองพี่น้องก็กลับคืนมาสู่สภาพเดิมเหมือนดังแต่ก่อนแล้ว
    เพราะว่าชายผู้น้องไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลย เขายังคงร่ำรวยอยู่เหมือนเดิม
    เพียงแต่ว่าเขาไปได้อะไรบางอย่างเพิ่มเข้ามาเท่านั้นเอง ซึ่งพี่ชายของเขาไม่ได้สิ่งนั้นด้วย

    เธอคิดออกไหมว่าสิ่งนั้นคืออะไร?

    เขาก็มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น, มีความเฉลียวฉลาดเพิ่มมากขึ้น,
    มีภูมิปัญญาเพิ่มมากขึ้น, มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น
    และก็รู้จักตัวเองมากขึ้นหนะสิ ดังนั้น เขาจึงเข้าใจตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
    ถูกต้องไหม๊?

    ในทางกลับกัน พี่ชายคนโตของเขาซึ่งเป็นเหมือนกับลูกที่ถูกพ่อแม่ตามใจมาโดยตลอด
    ก็จะมีความสุขเพลิดเพลินอยู่แต่กับชีวิตที่สะดวกสบาย แต่ก็นั่นแหละคือทั้งหมดที่เขามีหละ
    เพราะว่าไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริงเลย เพราะว่าเขามีฐานะร่ำรวยเช่นเดียวกัน
    กับที่น้องชายของเขามี แต่เขาขาดภูมิปัญญา และบัดนี้น้องชายของเขา
    ก็ยังมีความเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่างอีกด้วย และก็ยังรู้จักและเข้าใจตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
    และก็ยังมีอิสระพึ่งพาตนเองได้อีกด้วย แต่ว่าชายผู้เป็นพี่นั้นกลับไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย

    (หมายเหตุ: นิทานที่ท่านอาจารย์เล่าเปรียบเปรยมานี้
    ช่างเหมือนและตรงกับเรื่องราวเกี่ยวกับ “การเดินทางของจิตวิญญาณ”
    ที่ข้อความจากต่างมิติทั้งหลายบอกเอาไว้เหลือเกิน เพราะว่า “ผู้เป็นพ่อ” นั้น
    ก็คือ The Supreme Creator หรือ The Source หรือ พระผู้สร้าง
    หรือ แหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง หรือพุทธะ หรือเต๋า หรือชื่ออะไรก็ตามแต่
    ที่แต่ละชนชาติ แต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละความเชื่อ แต่ละศาสนา และแต่ละภาษาจะเรียกขานกัน

    ส่วนลูกๆนั้นก็หมายถึง “วิญญาณ” (Spirit) และ “จิตวิญญาณ” (Soul) ทั้งหลาย
    ที่ถูกแบ่งภาค หรืออวตาร หรือ copy ออกมาจากแหล่งกำเนิดนั่นเอง – ผู้แปล)

    .........................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2014
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บทแปลคำสอนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ (แปลจากภาษาอังกฤษ)
    เรื่อง: การรู้แจ้ง และ ความไม่รู้ (Enlightenment and Ignorance)


    บรรยายที่: Formosa, Taipei
    วันที่: 1 ธันวาคม 1986 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

    ที่มา: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=839325472778558&set=gm.10152794055306740&type=1&pnref=story

    ตอนที่: 2

    มันเป็นความจริงที่ว่า “พุทธะ” ยังไงก็คือ “พุทธะ” อยู่วันยังค่ำ
    (เพราะว่าแก่นแท้หรือจิตเดิมแท้ของเราคือพุทธะจิต – ผู้แปล)
    แต่เราจะสามารถรู้ถึงความจริงในข้อนี้ได้
    ก็ต่อเมื่อเราได้ผ่านขั้นตอนของการเป็นเวไนยสัตว์มาแล้วเท่านั้น
    มิเช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราคือพุทธะ

    เพราะว่าถ้าปราศจากขั้นตอนการเกิดมาเป็นเวไนยสัตว์แล้ว
    ถึงแม้ว่าเราจะยังเป็นพุทธะอยู่ก็ตาม เราก็จะไร้ประโยชน์
    เพราะฉะนั้นแล้ว เราจึงจำเป็นจะต้องมาเรียนรู้ในโลกแห่งมายาการแห่งนี้
    เพื่อที่จะมาเรียนรู้การเป็นมนุษย์โลก เพื่อที่จะมาเรียนรู้ว่า
    เราจะสามารถเอาชนะปัญหาอุปสรรค์และสถานการณ์ที่เจ็บปวดได้อย่างไร
    และเพื่อที่..ในท้ายที่สุดแล้ว เราจะได้เข้าใจว่า “ความสุข” คืออะไรกันแน่

    เราจำเป็นจะต้องมาเรียนรู้เรื่อง “ความไม่จีรังยั่งยืน” (ephemeral) เสียก่อน
    เพื่อที่เราจะได้รู้ว่า “ความเป็นนิจนิรันดร์” (eternity) นั้นเป็นอย่างไร
    เราจำเป็นจะต้องมาเรียนรู้เรื่อง “ความไม่รู้หรืออวิชชา” (ignorance)
    ของโลกใบนี้ซะก่อน ก่อนที่เราจะสามารถเข้าใจได้ว่า
    “ภูมิปัญญา” (wisdom) นั้น เป็นอย่างไร

    และดังนั้น ตราบใดที่เธอยังเรียนไม่จบ
    ถึงแม้ว่าเธอจะยังเป็น “พุทธะ” อยู่ก็ตาม
    แต่เธอก็จะเป็น “พุทธะผู้ไม่รู้” (ignorant Buddha)
    แต่ว่าเธอก็จะค่อยๆกลายเป็น “พุทธะผู้รู้แจ้ง”
    (enlightened Buddha) หรือกลายเป็น
    “พุทธะที่แท้จริง” (true Buddha)
    อย่างที่เคยเป็นมาแต่ดั้งเดิมแล้วได้ เมื่อเวลาผ่านไป

    เรามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมพรั่งสมบูรณ์อยู่แล้ว มาตั้งแต่ต้น
    ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นจะต้องไปรอคอยให้ตัวเองรู้แจ้งซะก่อน
    แล้วถึงจะได้มันมาแต่อย่างใดเลย
    เพียงแต่ว่าเราแค่ไม่รู้เฉยๆว่าเรามีมันอยู่แล้วเท่านั้นเอง

    ระหว่างก่อนและหลังการรู้แจ้งนั้น มันไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย
    เพราะว่าเรายังจะมีพลังอำนาจอันนั้นอยู่เหมือนเดิมตลอดเวลา
    ยกเว้นแต่ว่าก่อนที่จะรู้แจ้งนั้น เราแค่ไม่รู้เฉยๆว่า
    เรามีพลังอำนาจอันนั้นอยู่ เท่านั้นเอง

    เอาหละทีนี้ เธอก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ทำไมพระศากยมุนีพุทธเจ้า
    ถึงได้ตรัสเอาไว้ว่า “ความทุกข์คือปัญญา”
    และว่า “เวไนยสัตว์ทั้งหลายล้วนคือพุทธะ”
    ซึ่งพระองค์ไม่ได้กล่าวเท็จเลย และวันนี้ฉันก็จะอธิบายให้เธอเข้าใจว่า
    พระองค์หมายความว่าอย่างไร,
    ว่าทำไมพุทธะทั้งหลายถึงคือเวไนยสัตว์ได้
    และว่าทำไมพุทธะทั้งหลายถึงจำเป็นจะต้องลงมาเกิดบนโลกใบนี้
    เพื่อที่จะมาเป็นเวไนยสัตว์
    และเพื่อที่จะมาทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสแบบนี้ด้วย?

    ความจริงก็คือว่า “ความทุกข์” นั้น
    จริงๆแล้วมันไม่ใช่ “ความทุกข์” จริงๆหรอก
    เพราะว่าเราแค่กำลังเรียนรู้บทเรียนอยู่เท่านั้นเอง

    ซึ่งมันก็เหมือนกับการเรียนรู้อยู่ในโรงเรียนนั่นแหละ
    ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล หรือโรงเรียนประถม หรือมัธยม
    หรือมหาวิทยาลัยก็ตาม แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ
    “สิ่งท้าทาย” ด้วยกันหมดทั้งสิ้น

    แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราได้เรียนรู้วิชชาต่างๆไปมากมายแล้ว
    เราก็จะฉลาดมากขึ้น และเมื่อเราโตขึ้นเราก็จะก้าวหน้าไปถึงจุดที่เราคู่ควร
    และเราก็จะเป็นอิสระเป็นที่พึ่งของตนเองได้
    เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราจึงจำเป็นจะต้องมาเรียนรู้
    หาไม่แล้วเราก็จะไม่รู้ว่าเรามีความสามารถอะไรอยู่บ้าง

    และถ้าเวไนยสัตว์ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นพุทธะโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
    และมีจิตเดิมแท้เป็นพุทธะอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงมีคนพูดว่า
    เพศหญิงไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้หละ?
    มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย! เพราะว่าการเป็นพระพุทธเจ้านั้น
    ก็คือการบรรลุความเป็นพุทธะนั่นเอง มันไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย

    นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม ฉันจึงได้บอกเธอไปหลายครั้งหลายหนแล้วว่า
    ทั้งวิถีทางนอกศาสนา และวิถีทางตามความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาทั้งหลาย
    ล้วนแล้วแต่เป็นวิถีทางแห่งจิตวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น
    และว่า..ทั้งคนดีและคนชั่วต่างก็เป็นพุทธะด้วยกันทั้งสิ้น
    เพราะว่าจริงๆแล้ว มันไม่มีทั้งความดีและความชั่ว

    แต่ว่าคำพูดนี้ ก็เป็นคำพูดที่พูดออกมาจากมุมมองที่สูงที่สุดแล้วหนะนะ
    ซึ่งตราบใดที่เรายังไปไม่ถึงระดับนี้หละก็ เราก็ยังจำเป็นจะต้องเรียนรู้ต่อไปอยู่
    และเราก็ยังจำเป็นจะต้องทำกุศลกรรมอยู่ เราจะไม่สามารถพูดได้ว่า
    “เพราะว่าความดีและความชั่วมันไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย
    ดังนั้น ฉันจึงไม่จำเป็นจะต้องไปเรียนรู้อะไรเลย
    และเพราะว่าฉันคือพุทธะอยู่แล้ว ดังนั้น ฉันจึงไม่จำเป็นจะต้องไปฝึกฝนอะไรเลย”
    เราจะต้องไม่คิดเช่นนี้นะ!

    จริงอยู่..จิตเดิมแท้ของเราคือพุทธะ
    แต่ว่าเราก็ยังจะต้องฝึกฝนด้านจิตวิญญาณของเราอยู่ดี
    เพราะว่าเรายังไม่ได้ประจักษ์ชัดอย่างแท้จริงว่าเราคือพุทธะ
    ซึ่งการที่เธอเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกเธอไปทั้งหมดนี้ ก็เพราะว่าเธอเชื่อในตัวฉัน
    แต่ว่าจริงๆแล้วเธอก็ยังไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยตัวเธอเองจริงๆเลย
    ดังนั้นเธอจึงจำเป็นจะต้องฝึกฝนด้านจิตวิญญาณของเธออยู่
    มิเช่นนั้นแล้วเธอก็จะพบกับความทุกข์มากมาย

    เพราะว่าก่อนที่เราจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองนั้น
    เราก็จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เมื่อมีใครมาด่าว่าเรา
    แม้ว่าจะเพียงน้อยนิดสักแค่ไหนก็ตาม, และเราก็จะเกลียดคนที่เกลียดเรา
    เพราะว่าเรายังไม่ได้ประจักษ์ชัดว่า
    เวไนยสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นพุทธะด้วยกันหมดทั้งสิ้น
    เพราะเรายังไปไม่ถึงระดับที่ว่า สามารถปฏิบัติต่อทุกสรรพชีวิต
    ได้อย่างเท่าเทียมกันหมด โดยปราศจากการแบ่งแยกหรือเลือกปฏิบัติ


    นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไม เราจึงจำเป็นจะต้อง
    เดินตามวิถีทางแห่งจิตวิญญาณต่อไปอยู่
    จนกว่าหัวใจของเราจะนิ่ง และจนกว่าเราจะสามารถมองเห็นว่า
    เวไนยสัตว์ทั้งหลายคือตัวเราเอง
    ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้วเราจึงจะสามารถพูดได้ว่า
    เราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองแล้ว

    ………………………………….
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    “การเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริงของเราเอง
    จะเชื่อมโยงเราให้เข้ากับพลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์
    ที่มีอยู่แล้วภายในของตัวเราเอง”


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    เมื่อใดที่เราสามารถเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเองได้มากขึ้นแล้ว
    เมื่อนั้นคุณงามความดีและความสวยงามทั้งหลายที่มีอยู่แล้วภายในตัวเรา
    ก็จะเปิดเผยตัวมันเองออกมามากขึ้นตามไปด้วย

    เพราะว่าเราคือสิ่งนั้น เราคือคุณงามความดี
    และคือความสวยงาม และเราก็คือสัจธรรมด้วย

    ซึ่งพวกมันจะเปิดเผยตัวมันเองออกมาให้เราได้ประจักษ์
    เพราะว่าพวกมันจะออกมาจาก “ภายใน” ของเราเอง
    แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนรากฐานของสิ่งเหล่านั้น
    หรือสำแดงสิ่งเหล่านั้นออกมาผ่านทางการกระทำที่ประเสริฐหรือมีศิลปะ

    ธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้นคือความสวยงาม และคือคุณงามความดี
    ดังนั้น มันจึงเป็นการง่ายที่จะเนรมิตคุณสมบัติเหล่านี้ออกมาสู่โลกทางกายภาพ
    ถ้าเราเดินอยู่บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่
    การค้นพบแก่นแท้ดั้งเดิมของตัวเราเอง

    นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณทั้งหลาย
    จึงสามารถที่จะเชื่อมต่อกับตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าของตัวเองซึ่งอยู่ภายใน
    ซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งการสร้างสรรค์ที่มีอยู่แล้วภายในตัวของพวกเขาเองได้มากกว่า
    และนั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย
    (ในการเนรมิตสิ่งต่างๆให้กลายเป็นจริงในโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพนี้ – ผู้แปล)
    เพราะว่ามันจะเป็นไปเองตามธรรมชาติและอย่างมีเหตุมีผล


    --- Spoken by Supreme Master Ching Hai ---

    Videoconference: Premier of English Edition of “Celestial Art”
    Los Angeles, California, USA - December 12, 2008
    (Originally in English)
    DVD # 852
    ...............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    บทแปลคำสอนของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ (จาก Videotape #489)

    ณ.Hsihu Center, Formosa, Taipei,
    วันที่: 12 กรกฎาคม 1995
    ที่มา: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=838903182820787&set=gm.10152792388721740&type=1&theater

    “จงสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป แล้วเธอจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมา”

    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)


    คุรุส่วนใหญ่มักจะบอกเราเสมอว่าถ้าเราสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป เราก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างมา
    และในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลก็ยังมีกล่าวเอาไว้ว่า “ผู้ใดที่หวงแหนชีวิตตนเอง ผู้นั้นก็จะสุญเสียมันไป แต่ผู้ใดที่ยอมเสียสละมันไป
    ก็จะได้มีชีวิตอยู่ชั่วนิจนิรันดร์”

    ฉันใดก็ฉันนั้น “ถ้าเราไม่รู้สึกยึดติด หรือไปผูกติดตัวเองเอาไว้กับสิ่งใด
    หรือกับใครจริงๆจังๆแล้ว ในโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมาหาเราเองจริงๆ”


    แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เราตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆในโลกใบนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว
    เราก็จะคอยวิ่งตามเพื่อไขว่คว้าเอามันมาอยู่ตลอดไป แล้วเราก็จะเหนื่อย
    และจะต้องทุ่มเทกำลังความคิดความสามารถอย่างมาก แล้วปัญหาสารพัดชนิดก็จะมารุมเร้าเรา
    แล้วเราก็จะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว

    ความจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ฉันพูดตามประสบการณ์จริงของฉันเองด้วยนะ
    เพราะว่าเมื่อใดที่เราค้นหาแต่เพียงอาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้นแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ
    แม้แต่ในเวลาที่เราไม่ต้องการมันเลยก็ตาม แต่มันก็ยังจะมาหาเราอยู่ดี จากที่ไหนก็ไม่รู้
    แต่มันก็จะหาทางมาหาเราเองจนได้ บางครั้งเราไม่ต้องการมันเลย แต่เราก็ต้องยอมรับมันเอาไว้
    ดังนั้นมันก็เลยเป็นการยากมากๆด้วยเช่นกัน มันยากจริงๆที่จะบอกปัดอะไรซักอย่างไป
    พวกเราเข้มงวดในเรื่องนี้มาก ซึ่งก็เป็นเรื่องดีสำหรับฉัน ไม่เช่นนั้นแล้วของขวัญทั้งหลาย
    ก็คงจะวางเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมดแน่ๆเลย

    ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกเอาไว้ว่า “ฉันไม่รับของขวัญนะ!” แต่แล้วผู้คนก็พากันทิ้งพวกมันเอาไว้ที่นั่น แล้วก็วิ่งหนีไป
    แล้วจากนั้น ฉันผู้น่าสงสาร! ก็เลยจำเป็นจะต้องเก็บพวกมันเอาไว้ แล้วก็เอาไปมอบให้คนอื่นๆต่อไป
    เพราะว่าถ้าเก็บพวกมันเอาไว้จะมีประโยชน์อะไร เพราะว่าฉันไม่ได้ต้องการอะไรเลยจริงๆ

    มันก็ตลกดีนะ! อย่างที่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเอาไว้ว่า
    “ผู้ที่มีอยู่แล้ว ก็จะยิ่งมีมากขึ้นไปอีก ส่วนผู้ที่ไม่มีอะไรเลย ก็จะยิ่งมีน้อยลงไปกว่าเดิม”
    แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเธอไม่มีอะไรเลย เธอก็จะยิ่งมีน้อยลงไปอีกจริงๆหรอกนะ
    เพราะว่ามันแค่หมายความว่า เมื่อใดที่เธอไม่มีอะไรเลยจริงๆแล้ว
    เธอก็มักจะต้องการมันมากที่สุด เธอจะต้องการมัน และเธอก็จะรอคอยมัน
    แล้วพลังงานแห่งความต้องการนี้ ก็จะเป็นเหมือนกำแพงที่คอยสกัดกั้น
    ไม่ให้สิ่งต่างๆเข้ามาหาเธอได้


    ในทำนองเดียวกัน เราก็จำเป็นจะต้องฝึกฝนปฏิบัติ
    ตามวิถีทางแห่งจิตวิญญาณของเราเองต่อไป อย่างจริงใจ
    แต่เราจะไม่กระทำไปด้วยความอยากหรือกระหายที่จะบรรลุ
    และเราก็จะไม่เอาอย่างนักปฏิบัติจิตที่ปฏิบัติไป
    เพื่อเป้าหมายทางด้านวัตถุนิยมอีกด้วย (materialistic spiritualists)


    ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาหาเราเองอย่างเป็นธรรมชาติ เราอาจจะสวดอ้อนวอนถึงพระผู้เป็นเจ้าก็ได้
    แต่เราก็จะสวดด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีความโลภ และไม่มีความต้องการใดๆทั้งสิ้น

    มันมีข้อแตกต่างที่เล็กน้อยมากๆอยู่ระหว่างสองอย่างนี้! ซึ่งถ้าเธอสามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่าง
    “ความปราถนาที่จะหลุดพ้น” กับ “ความอยาก หรือ โหยหาที่จะหลุดพ้น”
    หรือที่จะมีปัญญา หรือที่จะรู้สัจธรรม ได้หละก็ เธอก็จะรู้ว่าระหว่าง “ความปราถนาที่จะรู้แจ้งสัจธรรม”
    กับ “ความกระหาย หรือละโมบที่จะรู้แจ้งสัจธรรม” นั้น มันมีเส้นบางๆขีดแบ่งเอาไว้อยู่

    ดังนั้น ถ้าเราไม่หาความเหมาะสมพอดีให้กับตัวเองในเรื่องนี้แล้ว เราก็อาจจะก้าวข้ามไปอยู่อีกฟากหนึ่งของเส้นก็ได้

    แต่บางครั้งมันก็เป็นการดีเหมือนกันนะที่เราจะก้าวข้ามไปอยู่อีกฟากหนึ่งของเส้นบ้าง
    ซึ่งก็คือฟากที่มีความปราถนาด้านจิตวิญญาณมากกว่านั่นเอง เพราะว่าในวันนั้นเราจะทำสมาธิได้ดีมากๆ
    แต่ว่าเราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสวดอ้อนวอนด้วยความกระหายอยากเช่นนั้นทุกวันๆก็ได้
    แต่เราจะสวดเฉพาะเวลาที่เรากำลังตกที่นั่งลำบากเท่านั้น (ท่านอาจารย์แสดงท่าทางผ่านสายตาที่เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา)
    เพราะว่าบางครั้งเมื่อสถานการณ์มันดูมืดมน หรือเมื่อสิ่งต่างๆมันดูมืดครึ้มหรืออึมครึม
    เธอก็จะต้องสวดอ้อนวอนอย่างเอาจริงเอาจังต่อ “คุรุ” ที่อยู่ภายในตัวของเธอ แล้วมันก็ได้ผล ซึ่งมันจะได้ผลเสมอ

    ก่อนที่ฉันจะมารับ “ภาระกิจ” นี้ มีน้อยครั้งมากๆที่ฉันได้พบว่า “คุรุ” ไม่ตอบรับคำสวดอ้อนวอนของเรา
    เพราะว่าคุรุที่อยู่ภายในตัวเธอเอง จะไม่ค่อยปฏิเสธคำสวดอ้อนวอนของเธอหรอก
    แต่ถ้าเมื่อใดที่คุรุปฏิเสธคำขอของเราแล้วหละก็ สำหรับฉันแล้ว นั่นก็หมายความว่าคำขอนั้นๆของฉันอาจจะไม่ดีก็ได้
    ซึ่งหลังจากนั้นฉันก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

    ในบางครั้งคุรุก็จะนำบางสิ่งบางอย่างออกไปจากเรา ซึ่งก็จะทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
    เพราะว่าเราจะคิดว่า “ท่านคุรุไม่แคร์เราเลย แม้ว่าจะรู้ว่าเราชอบมันอยู่ก็ตาม แต่ทำไมยังพรากมันไปจากเราอยู่อีกหละ?”
    แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าเธอจะมาพบทีหลังว่า
    เธอมีความสุขมากที่ท่านกรุณาช่วยกำจัดมันออกไปให้เธอแล้ว มันจะเป็นแบบนั้นแหละ

    ฉันไม่สามารถรับประกันกับเธอได้ว่า เมื่อเธอสวดอ้อนวอนต่อท่านคุรุแล้ว ท่านจะช่วยหาสามีดีๆหรือภรรยาดีๆ
    ที่เป็นคนหน้าตาดีและซื่อสัตย์จริงใจมากๆให้แก่เธอหรือเปล่า เพื่อที่เธอจะได้มีความสุข ไม่เลย!
    เพราะว่าราคามันสูงมากๆ งานนี้มันยากมากๆ ถ้าเธอต้องการ เธอก็จะได้ แต่เธอก็จะต้องลงมือทำเองเพื่อให้ได้มันมา
    อย่าเอาแต่พูดว่า “ท่านคุรุเจ้าขา โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย!” หละ เพราะว่าท่านคุรุไม่สามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงในเรื่องแบบนี้ได้
    เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับ “กรรม” ด้วย

    มันจะมีเรื่องของ “กรรม” เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอนั่นแหละ กับคนทุกคนที่จะมาเป็นคู่สามี-ภรรยากัน,
    หรือที่จะมาเป็นพ่อ-แม่-ลูกกัน หรืออะไรทำนองนี้ มันจะมีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ
    ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่ามันจะเป็นกรรมชนิดใดเท่านั้นเอง และนั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้สัมพันธภาพของเธอมีรสหวานหรือรสเปรี้ยวหละ

    แต่ถ้าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอไม่ต้องการเลยหละก็ นั่นก็ OK เช่นเดียวกัน
    เพราะว่าท่านคุรุก็สามารถที่จะขจัดมันออกไปให้เธอได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมันจะรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำไป
    เพราะว่าการช่วยกำจัดมันออกไป จะเร็วกว่าการช่วยรักษามันเอาไว้

    แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดมาพร้อมกับกรรมชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่แล้ว
    ซึ่งเป็นกรรมที่ติดข้ามมาตั้งแต่ก่อนที่เราจะเกิด ดังนั้น เราจึงพยายามที่จะไปมีสัมพันธภาพกับคนแบบนั้นแบบนี้
    เพื่อที่จะทำให้พลังอำนาจด้านร่างกาย, ด้านจิตวิญญาณ และด้านจิตใจของเราเข้มแข็งมากขึ้น
    เพื่อที่จะทำให้เราสามารถทำงานต่อไปในโลกใบนี้ได้ ดังนั้น เราจึงมีความต้องการมันเหลือเกิน

    แต่ว่าก็มีผู้คนมากมายที่ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งหนีจากมันไป
    และกลายไปเป็นพระนักบวชและนางชีไป หรือกลายไปเป็นอาสาสมัครเพื่อทำงานอะไรบางอย่าง โดยการทุ่มเทเวลา,
    ทุ่มเทความอ่อนเยาว์ และทุ่มเทพลังงานของตัวเองไปกับเป้าประสงค์ที่มีความหมายมากกว่าในชีวิตแทน
    ซึ่งการทำเช่นนั้นก็จะทำให้กรรมในเรื่องนี้ถูกกันออกไปด้วย

    บุคคลเหล่านี้คือคุนที่มีความเข้มแข็งมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร
    ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง หรือจากเบื้องหลังก็ตาม
    เพราะว่าพวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง

    แต่ว่าสำหรับคนอื่นๆแล้ว พวกเขาอาจจะพบว่าชีวิตนี้ช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก และไร้ความหมายเสียเหลือเกิน
    ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใครซักคนที่จะมาแบ่งปันทุกข์-สุขด้วยกัน, หรือมาช่วยแบ่งเบาปัญหาชีวิตด้วยกัน

    ซึ่งนั่นก็ถูกต้องแล้ว และทั้งสองกรณีก็ถูกต้องด้วยกันทั้งคู่ เพราะว่าสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ลำพังคนเดียว
    ก็จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมากขึ้น โดยการทำงาน หรือโดยการเสียสละ
    หรือโดยการมุมานะพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตของตนเองให้สำเร็จ ส่วนผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับคู่ครองนั้น
    ก็สามารถที่จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมากขึ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยการอาศัยความเข้มแข็งของกันและกันนั่นเอง
    ดังนั้น ทั้งสองกรณีนี้ต่างคนก็จะมีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วยกันทั้งคู่ แต่ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน

    พระเจ้าจะเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลนให้เราเสมอ
    ดังนั้นถ้า “ภายใน” ของเราได้รับการสนับสนุนพลังอำนาจจากท่านคุรุแล้ว
    ชีวิตของเราก็จะไม่มีวันทุกข์ยากหรือทุกข์ทนมากจนเกินไปนัก
    ดังนั้นเวลาเราทำสมาธิ เราก็จะไม่ต้องการสิ่งใดจริงๆจังๆมากนักในชีวิตนี้
    และวันแต่ละวันของเราก็จะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นและง่ายดาย
    และเราก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความยึดมั่นถือมั่นน้อยกว่าเดิม
    และเราก็จะมองคนอื่นๆด้วยสายตาที่มีความต้องการน้อยลงกว่าเดิมด้วย

    นั่นแหละคือสิ่งที่ดีมากๆที่จะได้จากการฝึกฝนเชื่อมต่อกับพลังอำนาจที่อยู่ภายในตัวเราเองหละ
    ซึ่งสักวันหนึ่งความปราถนาของเราก็จะหมดไปอย่างสิ้นเชิง แล้วเราก็จะรู้สึกปิติสุขอยู่ข้างในอย่างล้นเหลือ
    และเราก็จะรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์เหลือเกิน จนกระทั่งว่า ถ้าคนอื่นๆไม่กำลังต้องการเราอยู่หละก็
    เราก็จะไม่เที่ยวออกไปมองหาปัญหาเองอย่างเด็ดขาด เราจะไม่ออกไปมองหาคนที่เราจะให้ความช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำไป
    อย่างเช่น ออกไปพูดว่า “ว้าว! เธอดูแย่จังเลยนะ ฉันจะช่วยเธอเองนะ” เป็นต้น

    ไม่เลย..ไม่เลย! เพราะว่าเราจะแค่อยู่สบายๆของเราอย่างนั้นแหละ และไม่ว่าเราจะช่วยเหลือเขา
    หรือไม่ช่วยเหลือเขาก็ตาม หรือไม่ว่าเราจะพูดหรือไม่พูด หรือจะสอนหรือไม่สอนก็ตาม
    เราก็ยังจะ OK ดีอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าเราได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์
    และได้ในสิ่งที่เราต้องการจากภายในของเราเองจนหมดสิ้นแล้ว
    ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นจะต้องอาศัยสิ่งภายนอกใดๆเพื่อมาเป็นแรงกระตุ้น, หรือเป็นแรงจูงใจ,
    หรือเป็นเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึงแต่อย่างใดเลย และเราก็จะไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาความเมตตากรุณาจากใคร
    หรือพึ่งพาความรักจากใครแต่อย่างใดเลยด้วย ไม่เลย!

    ……………………….................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lady-02.jpg
      lady-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.2 KB
      เปิดดู:
      2,287
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2014
  20. A-jitta

    A-jitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +888
    Archangel Gabriel:
    The Quality of Love Known as Revealment,


    [​IMG]

    channeled by Marlene Swetlishoff,
    October 30, 2014,
    WELCOME! - The Rainbow Scribe
    ผู้แปล : อจิตตะ

    ขอให้พวกเรามาร่วมพูดคุยในเรื่องคุณลักษณะของความรัก
    ที่รู้จักกันในเรื่องของ “การเปิดเผย” กัน

    ธรรมชาติภายในของแต่ละคน ต่างก็มีความโปร่งใส เปิดเผย
    ที่คอยโน้มน้าวให้ไปสู่จุดหมายของสัจจะ
    ซึ่งเป็นการแสดงออกของจิตวิญญาณที่มีอยู่จริงที่อยู่ภายในตัวของพวกเขา
    ทั้งภายในโลกของวิญญาณ ในจิตสำนึก
    และในความรู้สึก รวมถึงอารมณ์ในการดำรงอยู่ของวิญญาณ
    ที่แต่ละคนต่างก็พากันดิ้นรนเพื่อที่จะหาความสมบูรณ์แบบให้แก่ชีวิตของพวกเขา
    ทั้งยังคอยค้นหาว่าใครนะที่จะแสดงถึงอุดมคติอันสูงส่งของความรัก
    ในความเมตตา ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ไม่แบ่งแยก
    และมีความงดงามเป็นที่น่าเคารพนับถือ….

    ความปรารถนาของพวกเขาคือการค้นหาและเชื่อมโยงกับความสมบูรณ์แบบ
    ซึ่งเป็นความปรารถนาที่เกิดขึ้นในส่วนลึกลงไป
    ที่ต้องการจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงและวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ
    ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ในตัวพวกเขา


    วิญญาณเหล่านี้ได้ขับเคลื่อนให้แต่ละคนคอยแสวงหาตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาด้วยนะ
    และหลังจากที่ได้ค้นหามานานกับความสมบูรณ์แบบนี้
    ด้วยปัจจัยภายนอกทั้งหมดทั้งมวลของพวกเขา
    …..การเปิดเผย ก็เกิดขึ้น…..
    พวกเขาได้ตระหนักว่า …ความสมบุรณ์แบบที่พวกเขาเที่ยวตามหานั่นน่ะ
    มันอยู่ใกล้พวกเขานิดเดียว และก็เป็นชีวิตที่จริงแท้ของพวกเขาอีกด้วย

    ความสมบูรณ์แบบที่พวกเขาเที่ยวตามหานั่น
    แท้ที่จริงมันก็อยู่ภายในตัวของพวกเขาเองนั่นแหละ…


    เพราะเมื่อตน (one) ได้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตสำนึกของวิญญาณ
    ก็จะรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ภายในนั้น (inner being)
    มันอยู่เหนือกว่าอัตตาตัวตนของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา.....
    ซึ่งการมีชีวิตอยู่เพียงแค่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดนั่น
    ก็ไม่ใช่ที่สุดของความหมายในการบรรลุ
    และกลับกลายเป็นว่าวิวัฒนาการของมนุษย์
    ก็ไม่ใช่การปรับตัวของพืช สัตว์ หรือ มนุษย์
    เพื่อความอยู่รอดอย่างเหมาะเจาะและสอดคล้องกับธรรมชาติ....
    แต่ในแง่มุมที่สำคัญที่สุดคือ วิญญาณ ได้ค่อย ๆ เผยออกมาว่า

    การเคลื่อนไหวของกายเนื้อนี้
    มันเป็นอะไรที่มากกว่าการวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏและความตาย


    เพราะจุดมุ่งหมายของประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ในแบบฉบับ โลกๆ นี้
    มันก็คือการเผยตัวของจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน
    และด้วยระบบวิวัฒนาการทั้งหมดที่มีความพยายามที่จะทำให้เกิดการวิวัฒน์ขึ้น
    จากแค่เป็นไปตามธรรมชาติ ไปสู่การปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์แบบของจิตวิญญาณ....

    ซึ่งเมื่อ การเปิดเผย นี้ได้มาถึง
    ชีวิตของผู้นั้นก็จะมีเป้าหมายที่สูงขึ้น...


    และการเปิดเผยของชีวิตและความเป็นอยู่นี้ก็จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
    คล้ายนั่งอยู่ในสนามเด็กเล่นที่บรรดาความยุ่งยากทั้งหลายวิ่งผ่านไปๆ
    ซึ่งในขณะที่แต่ละคนกำลังเพิ่มความสมบูรณ์แบบด้วยการวิวัฒนาการมากยิ่งขึ้น
    พวกเขาจะรู้ ว่าพวกเขาต้องการสถานะการณ์ที่เหมาะสมกับวิญญาณของพวกเขา
    กับการแสดงออกในความเป็นธรรมชาติของพวกเขา
    และแหล่งกำเนิดของศักยภาพและความแข็งแกร่งที่ไม่มีสิ้นสุดของพวกเขา
    ซึ่งหากปราศจากโอกาสของประสบการณ์นี้
    สิ่งสมบูรณ์อันประเสริฐสุดของพระเจ้า
    ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ การเสียสละ และการหยั่งรู้
    รวมถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไขก็จะถูกเปิดเผยได้ไม่เต็มที่….

    และเมื่อใดที่ตน (one) ได้เปิดกว้างกับความเป็นไปได้ที่ว่าวิญญาณของพวกตนนั้นมีอยู่จริง
    และยอมรับความเป็นไปได้ที่ว่าแต่ละคนเป็นอะไรที่มากไปกว่าการมีกายเนื้อ
    มีความคิดและมีความรู้สึก….
    เมื่อนั้นแหละ พวกเขาก็จะเริ่มตระหนักรู้ว่า พระเจ้ามีอยู่ในตัวของพวกเขา….
    เขาจะรู้สึกรับรู้ได้ถึงสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
    และกับทุกชีวิตที่อยู่ในโลกของพวกเขา
    พวกเขาเริ่มที่จะรักพี่น้องของเขาอย่างปราศจากเงื่อนไขและพร้อมในเรื่องของการให้อภัย
    ทั้งยอมรับ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเข้าใจในความรู้สึกของผู้อื่นว่าเป็นอย่างไร

    พวกเขาจะค้นหาที่จะเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับของชีวิต
    และรับรู้รสชาติของความไม่สิ้นสุด
    ซึ่งท้ายที่สุด พวกเขาก็รู้ว่าความจริงมันอยู่เบื้องหลังของทุกสิ่งทุกอย่างนั้น
    พวกเขาจะค้นหาความเป็นธรรมชาติของปัญญาของพวกเขาเอง
    และชัดแจ้งในความเป็นจริงที่อยู่เหนือกว่าโลกของวัตถุ
    ความสุขที่ผิวเผิน ความว้าวุ่น และเจ็บปวด….
    มันจะถูกเปิดเผยแก่พวกเขา ว่าการบูรณาการที่แท้จริงนั้นจะปรากฏ
    เมื่อความรู้สึกตัวและความไม่รู้สึกตัวมันมาบรรจบกัน
    แล้วตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก็จะเริ่มสร้างรูปลักษณ์
    ผ่านสภาวะของการถูกครอบงำแต่เก่าก่อน
    ที่เป็นเงื่อนไขในบุคลิคภาพของพวกเขาออกไป….

    ซึ่งการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันจะเป็นพยานต่อปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของพวกเขาเอง
    และปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อโลกภายนอกรอบๆตัวพวกเขานั้นด้วย
    ซึ่งก็เหมือนกุญแจอันล้ำค่าที่จะพาพวกเขาขับเคลื่อนไปข้างหน้าสู่การหยั่งรู้ด้วยตนเอง
    ค้นพบตัวเอง เข้าใจตัวเอง เติบโตในจิตวิญญาณ และเพิ่มขีดความสามารถด้วยตนเอง…

    เมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นภายในของพวกเขา
    มีความสอดคล้องกับบทบาทของภายนอกที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา
    พวกเขาก็จะเริ่มรู้ว่า พวกเขานั้นเป็นบริบทหนึ่งในส่วนประกอบที่ใหญ่กว่าสิ่งทั้งหมดทั้งมวล
    พวกเขาจะเริ่มรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีต่อโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่
    ว่าพวกเขาต่างก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน
    และพวกเขาจะสัมผัสได้กับทุกขณะของการเปิดเผย
    ต่อเมื่อพวกเขารับรู้ถึงความงดงามอันบริสุทธิ์และความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกสรรพสิ่ง

    ความรักและการเชื่อมโยงอย่างเงียบ ๆกับโลกแห่งธรรมชาติของพวกเขา
    จะทำให้พวกเขาสัมผัสกับโลกแห่งงานศิลปะ ดนตรี
    และวรรณกรรมต่าง ๆ ที่จะออกมาจากส่วนลึกของแหล่งพลังงาน
    ที่เผยให้เห็นมิติมากขึ้น ซึ่งนั่นก็ล้วนมาจากประสบการณ์ชีวิต

    และเมื่อใดที่พวกเขาได้เห็นตัวตนที่แท้จริงที่สะท้อนสู่โลกรอบตัวพวกเขา
    นั่นแหละ คือ ชั่วขณะหนึ่งของการเปิดเผย
    และเป็นชั่วขณะเวลาของความคิดริเริ่มของการรับรู้
    ที่ตน (one) ได้ตรงเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของพวกเขา
    โดยไม่ต้องใช้ลักษณะพิเศษที่เกินไปจากการรับรู้ตามปกติของพวกเขาแต่อย่างใด
    ซึ่งรูปแบบของการรับรู้นี้ จะเป็นการเปิดเผยที่ผ่านการให้ความเคารพต่อผู้อื่น
    ผ่านความรักในธรรมชาติ และ ความห่วงใยต่อผู้อื่นที่อยู่ในส่วนลึก
    เพื่อการอยู่ร่วมกันของมวลมนุษยชาติ….

    ผู้ที่จิตสำนึกได้มีการตื่นรู้แล้วคือผู้ที่มีพลังอำนาจ
    ในการรับรู้ความจริง(สัจจะ = ผู้แปล)ทั้งของตนเองและผู้อื่น
    และนี่อาจเป็นที่ที่ตน (one) สามารถเหลือบดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพระเจ้าได้
    อีกทั้งภายในก็ได้มีการพิจารณาใคร่ครวญ และทำให้เกิดความเข้าใจของการเปิดเผย
    และยินยอมให้พลังงานที่ได้รับการกลั่นกรองแล้วนั้นได้ผ่านไปได้ตลอด....

    ผู้คนทั่วไปต่างก็พากันปรารถนาและคิดถึงแต่เรื่องความรักบนสรวงสวรรค์
    แต่กับผู้มีจิตที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่ละวัน ก็ได้แต่ปรารถนาที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ที่จะทำให้ชีวิตดีกว่าที่เป็นอยู่
    ซึ่งแต่ละคนต่างก็กำหนดการรับรู้ของพวกเขาที่มีต่อโลกด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา
    โดยผ่านแนวทางที่ละเอียดอ่อนในการจัดกองกำลังทั้งภายในและภายนอก
    (ภายในตนเอง และปัจจัยภายนอก = ผู้แปล)

    และในการเปิดเผยที่ได้เกิดขึ้นภายใน
    พวกเขาตระหนักดีว่าพวกเขาไม่สามารถสัมผัสกับเบื้องบนได้
    หากไม่รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ภายในตัวพวกเขาเอง
    และพวกเขาเห็นว่าพวกเขาและพี่น้องไม่สามารถรักซึ่งกันและกันได้
    หากปราศจากการยอมรับของจิตสำนึกในความสงบสุข
    และจากความรักของความเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกชีวิต

    พวกเขาได้เข้าถึงซึ่งความรัก ที่เป็นความสุขอย่างยิ่ง
    และเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์สามารถจะบรรลุถึง
    ซึ่งมากเกินกว่าที่พวกเขาใฝ่ฝันซะอีก....

    ก่อนที่ฉันจะจากไป.... ความปรารถนาของฉันคือ
    ขอให้คุณมีความสุขกับธรรมชาติที่งดงาม
    และกับการเปิดเผยถึงความเป็นพระเจ้าในตัวคุณ...
    .


    I AM Archangel Gabriel
     

แชร์หน้านี้

Loading...