ขอไม่เกิน 5 คำ สำหรับผู้ปฎิบัติเพื่ออริยบุคคล ผู้เงียบงัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somkiatfem, 11 กรกฎาคม 2017.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ก่อนจะเป็นดูบทความลิงค์นี้ก่อน

    http://palungjit.org/threads/องค์เครื่องบรรลุโสดา-โสตาปัตติยังคะ.614050/
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    "อย่า ทำ เพื่อ เป็น อะไร":)
     
  3. Dhamma2

    Dhamma2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2017
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +121
    ทาน ศีล ภาวนา สติ สตาร์ท (+สตางค์ทำบุญ)
     
  4. Dhamma2

    Dhamma2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2017
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +121
    1.สละ(ความชั่ว)
    2.สติ(รู้ทัน)
    3.สว่าง(มีปัญญา)
    4.สบง(ธงชัยพระอรหันต์ หรือเครื่องแบบนักบวช บวชใจดีสุด)
    5.สะสม (ความดี)
     
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    สังเกตให้มาก ยิ่งเราสังเกตตัวเองมากก็จะเห็นกิเลสมาก อีกอย่างคืออย่าคิดว่าเรารู้หมดแล้ว หรือไม่มีอะไรที่จะต้องรู้ ถ้าคิดแบบนี้ก็จะไม่ได้มีการสังเกตเพิ่มเติม ต่อไปก็ทำลายความเคยชิน หรืออนุสัยเพราะเป็นเสมือนกรอบครอบไม่ให้เราเห็นตามความเป็นจริง สุดท้ายเห็นโทษของกิเลศอย่างเป็นปัจจุบัน ถ้าไม่เห็นโทษอย่างร้ายแรง ถึงเห็นกิเลสก็ยังไม่คิดว่าต้องละ แต่ถ้าเห็นเหมือนเป็นงูพิษมีโทษมากก็จะอยากละ
     
  6. ชมทรัพย์

    ชมทรัพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    551
    ค่าพลัง:
    +248
    กาย อารมณ์ รู้ ขาดกัน
     
  7. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,962
    ค่าพลัง:
    +1,481
    สงบ ตื่น รู้ เอาสี่คำพอคับ
     
  8. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015


    สติแตกจริงๆ แล้วครับ คุณนพ
    ไอ้ที่ไปฝึกกับภพภูมิมา
    เค้าไม่ได้สอนให้คุณปล่อยวาง บ้างเลยหรือ
    เสียดาย คำว่าว ที่เคยกล่าวเอาไว้
    อุตส่าห์ ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่
    แต่พอเหลาลงไป ก็กลายเป็น บ้องกัญชา
    ปล่อยวางครับ ปล่อยวางๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  9. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เรื่อง นี้ ริว จะ ไม่ ยุ่ง

    ให้6คำ ^_^
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ตรูว่า มะรึงเมากัญชาอยู่หรือเปล่าวะ
    ธรรมดาครับ คนเมาเวลาใครถามก็จะบอกว่า
    '' ตรู ม่ายยยยย เมาวววววววว'' (เขียนตามน้ำเสียง)
    ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ''เหล้า''เขียนอย่างนี้นะน้อง
    ไม่ใช่ ''เหลา'' ภาษาไทยแค่นี้อย่าพลาดนะน้อง
    สติน้องๆ สติๆ จำให้มั่นนะ ไปฝึกมาใหม่นะ.

    ก่อนน้องจะเที่ยวมาว่าใคร น้องพิมพ์ให้มันถูกก่อนนะ
    ทำไมเหรอ คงคิดว่าผมกินเหล้าหรือครับตอนนี้ ๕๕๕
    สัญญาคุณ ทำไมมีแต่เหล้า
    และบ้องกัญชา เมื่อก่อนคุณชอบเป่า ๕๕๕๕
    ใจเย็นๆก่อน เห็นดาวเต็มท้องฟ้าหรือยัง....๕๕๕


    บอกตัวเองนะเรื่องปล่อยวาง
    กระทู้นี้ ผมคุยกับ มจด อยู่ ไม่ได้คุยกับคุณเลยในหน้าแรกนะ
    แล้วคุณมาอ้างอิงข้อความผมแต่แรกก่อน
    อย่าพูดเรื่องจะมีสติหรือสติถึงขั้นแตกอะไรเลย
    ว่าแต่คุณมีสติมีบ้างหรือเปล่าครับ ๕๕๕๕


    และถามตรงๆนะ ผมจะเป็นอะไรมันหนัก
    หัวพระญาติคุณหรือเปล่าครับ
    ใครสติแตกกันแน่ ไอ้กร๊วก ก็ตรูไม่ได้คุยกับมะรึง
    ตั้งแต่แรก ในกระทู้นี้
    มะรึง มาอ้างอิง หาพระญาติมะรึงเหรอตั้งแต่ต้น
    เจือกมีหน้ามาว่า คนอื่นๆว่า สติแตกอีก
    ไอ้เบือก...หัดดูตัวเองก่อนพูดบ้างนะ
    กระจอกจริงๆ ถ้าจะเก่งแต่ปาก ถุยยยยย....


    และคุณไม่ต้องมาห่วงอะไรผมหรอกนะครับ
    ผมรู้ว่า น้ำหน้าอย่างคุณ ที่ชอบปรามาสพระมีชื่อ
    แล้วไม่เจียม กระลาหัว เจียมความสามารถของตนเอง
    อย่างคุณ คงไม่มีวาสนาที่จะมีครูบาร์อาจารย์
    ทางภพภูมิมาสอนหรอกนะ ทำให้ทุกวันนี้
    เรื่องกรรมฐานของคุณ อยู่ในระดับควายเรียกพี่
    แต่ตัวเอง หลงตัวเองมาก คิดว่าตัวเองสำเร็จ
    ระดับเทียบเท่าพระเกจิอาจารย์
    แต่ความสามารถใช้งานได้แค่ห่างอึ่งอ่าง ถุยยยยยยยยยยยย
    ถ้าคิดว่าผมพูดผิดตรงนี้ มาพิสูจน์ไหมครับ
    จะได้นัดสมาชิกในนี้ไว้ให้แล้วไปเจอนะ
    บอกไว่ก่อนผมไม่เคย ว่าตัวเองเก่งนะครับ
    และไม่เคยปัญญาอ่อนเที่ยวประกาศว่า
    ตัวเองบรรลุธรรมเหมือนคุณนะครับ ๕๕๕๕
    พูดง่ายๆว่า ไม่มีการสร้างภาพเหมือนคุณนะ
    ภาษาไทยเข้าใจนะน้อง

    ลองมาท้าพิสูจน์ความสามารถทางจิตกับผม
    ตัวต่อไหมหละครับ ในระดับที่แสดงผลได้
    คือ ถ้าคุณทำอะไรได้ ก็ต้องให้คนอื่นๆรับรู้ได้เช่นกัน
    ไม่ใช่ มโนเอาเหมือนที่คุณเป็น ณ ปัจจุบันนะครับ
    แล้วมาดูกันว่า ใครสติแตก ถ้าผมไม่ได้เป็นอย่างคุณ
    คุณก็รับไปเต็มๆนะครับ ตอนนี้คุณก็เพี้ยนๆแล้วหละ

    ดูจากการแนะนำไม่ว่าสภาวะอะไร เอะอะ
    ก็อรูปฌาน เอะอะก็บรรลุ ๕๕๕๕๕ ขำดี..๕๕

    แต่ยังไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่คุณพิมพ์มันฟ้องนะครับ ๕๕๕๕ และให้
    เอากรรมฐานที่คุณ คิดว่าคุณเก่งที่สุดมาเลยนะครับ (^_^)

    คือสรุปนะ ๑.ผมไม่ได้ปัญญาอ่อน นึกว่าตัวเองบรรลุธรรม
    แล้วเที่ยวประกาศต่อชาวโลกว่าบรรลุธรรมเหมือนคุณ
    ช่างกล้าเนาะ ๕๕๕

    หรือคิดว่าตัวเองสำเร็จกรรมฐานแบบคิดเอาแบบคุณ
    คุณเองที่ประกาศว่า คุณสำเร็จอรูปฌาน มะรึงพูดป่าน
    ว่ามะรึงเก่งกว่า พระอาจารย์ มีชื่อ ย่อ ล. อีก
    แบบที่ไม่ต้องขึ้นรูปฌานมาก่อน
    แล้วว่าตัวเอง ประมาณเป็น ๑ ในล้านที่จะเกิดขึ้นได้
    ถามหน่อยว่า ถ้าคุณทำได้จริง
    แล้วทำไมความสามารถเรื่องพลังงานต่างๆ
    และความเข้าใจทางนามธรรมคุณ ถึงแค่ระดับหางอึ่งครับ
    ป่านนั้นยังคิดว่า ตัวเองบรรลุธรรมตัวเองเก่งอยู่ได้
    ไอฟายยยยยยยยย

    ปล.มาเจือกกับคนอื่นๆก่อน แล้วไม่ได้ดูเลย
    สงสัยข้อความที่ผมเขียนคงไปโดนคุณเข้าจังเบอร์ ๕๕
    คือ พวกปัญญาอ่อนสำเร็จกรรมฐานแบบคิดเอา
    ไร้ความสามารถทำได้จริง
    และที่ปัญญาอ่อนยิ่งกว่า คือ เที่ยวประกาศว่า
    ตัวเองบรรลุธรรม ๕๕๕๕๕๕
    ดีนะว่าฟันน้ำนมหมดแระ ไม่งั้นคงขำฟันร่วงและดังไป
    ถึงดาวอังคาร ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ทำไปทำมากระทู้นี้ เหมือน จขกท.จะกลายเป็นผู้เงียบงันไปแล้ว อิอิ หายไปเลย

    ขอแทรกหน่อย เพราะมีผู้กล่าวพาดพิงสติ สัมปชัญญะ แถมให้ เพราะมักมาคู่กัน ตามแบบเรียนท่านให้ความหมายสั้นๆว่า สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว แต่เพื่อให้เห็นภาพการเจริญสติ ขยายอีกหน่อย


    สติ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจหรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้อง (= ภาพฝึกฝนพัฒนาสติ) จำการที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้ (= ฝึกขึ้นบ้างพอสมควรแล้ว)


    สัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อม, ความรู้ตระหนัก, ความรู้ชัดเข้าใจชัด ซึ่งสิ่งที่นึกได้, มักมาคู่กับสติ


    สัมปชัญญะ ๔ ได้แก่
    ๑. สาตถกสัมปชัญญะ รู้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักว่าตรงตามจุดหมาย
    ๒. สัปปายสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าเป็นสัปปายะ หรือตระหนักว่าเกื้อกูลเหมาะกัน
    ๓. โคจรสัมปชัญญะ
    รู้ชัดว่าเป็นโคจร หรือตระหนักในแดนงานของตน
    ๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัวสภาวะ ไม่หลงใหล ไม่สับสนฟั่นเฟือน
     
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    มีข้อที่พึงกำหนดหมายและระลึกไว้อย่างสำคัญ คือ สัญญาและสติ ทำหน้าที่คนละอย่างในกระบวนการทรงจำ

    สัญญา
    กำหนดหมายหรือหมายรู้อารมณ์ไว้ เมื่อประสบอารมณ์อีก ก็เอาข้อที่กำหนดหมายไว้นั้น มาจับเทียบหมายรู้ว่า ตรงกันเหมือนกันหรือไม่ ถ้าหมายรู้ว่าตรงกัน เรียกว่าจำได้

    ถ้ามีข้อต่างก็หมายรู้เพิ่มเข้าไว้ การกำหนดหมาย จำได้ หรือหมายรู้อารมณ์ไว้ว่า เป็นนั่นเป็นนี่ ใช่นั่น ใช่นี่ (การเทียบเคียงและเก็บข้อมูล) ก็ดี สิ่งที่กำหนดหมายไว้ (ตัวข้อมูลที่สร้างและเก็บไว้นั้น) ก็ดี เรียกว่าสัญญา ตรงกับความจำในแง่ที่เป็นการสร้างปัจจัยแห่งความจำ

    ลักษณะสำคัญของสัญญา คือ ทำงานกับอารมณ์ที่ปรากฏตัวอยู่แล้ว กล่าวคือ เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้า จึงกำหนดได้ หมายรู้หรือจำได้ซึ่งอารมณ์นั้น


    สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่จะผ่านไปก็ได้

    สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ
    สติเป็น การริเริ่มเองจากภายใน โดยอาศัยพลังแห่งเจตนา หรือเจตจำนง ในเมื่ออารมณ์อาจจะไม่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นฝ่ายจำนงต่ออารมณ์ จึงจัดอยู่ในพวกสังขาร

    สัญญา บันทึกเก็บไว้ สติดึงออกมาใช้

    สัญญาดี คือ รู้จักกำหนดหมายให้ชัดเจน เป็นระเบียบ สร้างขึ้นเป็นรูปร่างที่มีความหมายและเชื่อมโยงกันดี (ซึ่งอาศัยความใส่ใจเป็นต้นอีกต่อหนึ่ง) ก็ดี สติดี คือมีความสามารถในการระลึก (ซึ่งอาศัยสัญญาดี และการหมั่นใช้สติ ตลอดจนสภาพจิตที่สงบผ่องใส ตั้งมั่น เป็นต้น อีกต่อหนึ่ง) ก็ดี ย่อมเป็นองค์ประกอบ ที่ช่วยให้เกิดความจำดี



    นายแดง กับ นายดำ เคยรู้จักกันดี แล้วแยกจากกันไป ต่อมาอีกสิบปี นายแดงพบนายดำอีก จำได้ว่า ผู้ที่ตนพบนั้นคือนายดำ แล้วระลึกนึกได้ต่อไปอีกว่าตน กับ นายดำ เคยไปเที่ยวด้วยกันที่นั่นๆ ได้ทำสิ่งนั้นๆ ฯลฯ การจำได้เมื่อพบนั้นเป็นสัญญา การนึกได้ต่อไปถึงเรื่องราวที่ล่วงแล้ว เป็นสติ

    วันหนึ่ง นาย ก. ได้พบปะสนทนา กับ นาย ข. ต่อมาอีกหนึ่งเดือน นาย ก. ถูกเพื่อนถามว่า เมื่อเดือนที่แล้ววันที่เท่านั้นๆ นาย ก. ได้พบปะสนทนากับใคร นาย ก. นึกทบทวนดู ก็จำได้ว่าพบปะสนทนากับ นาย ข. การจำได้ในกรณีนี้ เป็นสติ

    เครื่องโทรศัพท์ตั้งอยู่มุมห้องข้างหนึ่ง สมุดหมายเลขโทรศัพท์อยู่อีกมุมห้องด้านหนึ่ง นายเขียวเปิดสมุดหา เลขหมายโทรศัพท์ที่ตนต้องการ ระหว่างเดินไปก็นึกหมายเลขนั้นไว้ตลอด การอ่านและกำหนดหมายเลขที่สมุดโทรศัพท์ เป็นสัญญา การนึกหมายเลขนั้นตั้งแต่ละจากสมุดโทรศัพท์ เป็นสติ

    เมื่ออารมณ์ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ก็กำหนดหมายได้ทันที แต่เมื่ออารมณ์ไม่ปรากฏอยู่ และถ้าอารมณ์นั้นเป็นธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) ก็ใช้สติดึงอารมณ์นั้นมาแล้วกำหนดหมาย อนึ่ง สติสามารถระลึกถึงสัญญา คือดึงเอาสัญญาที่มีอยู่เก่ามาเป็นอารมณ์ของจิต แล้วสัญญาจะกำหนดหมายอารมณ์นั้น สำทับเข้าอีกให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือกำหนดหมายแนวใหม่เพิ่มเข้าไปตามวัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่งก็ได้
    ….
    อ้างอิง *
    อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตรับรู้ หรือสิ่งที่ถูกรับรู้ โดยอาศัยทวารทั้ง ๖ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ (ความนึกคิดต่างๆ)
    สติ ด้านหนึ่งแปลกันว่า recall, recollection อีกด้านหนึ่งว่า mindfulness
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ถ้าเรามองชีวิตในด้านสมมติ ดูเหมือนชีวิตของใครก็ของคนคนนั้น เจ้าตัวจะใช้ชีวิตตนยังไงก็แล้วแต่เจ้าของเอง แต่ถ้ามองชีวิตในด้านปรมัตถ์แล้ว ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงแท้ เพราะชีวิตก็คือชีวิตซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาของมัน

    18e8fd13b330e44b53cbbfd4fd6ea87d.jpg

    ความสัมพันธ์ระหว่างขันธ์ต่างๆ

    ขันธ์ ๕ อาศัยซึ่งกันและกัน

    รูปขันธ์ เป็นส่วนกาย นามขันธ์ทั้งสี่ เป็นส่วนใจ มีทั้งกายและใจ จึงจะเป็นชีวิต

    กาย กับ ใจ ทำหน้าที่เป็นปกติ และประสานสอดคล้องกัน ชีวิตจึงจะดำรงอยู่ได้ด้วยดี ตัวอย่าง เช่น กิจกรรมของจิตใจ ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับโลก ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยอาศัยอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งต้องกาย ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย

    อารมณ์ทั้งห้าก็ดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ดี ต่างก็เป็นรูปธรรมอยู่ในรูปขันธ์ คือ เป็นฝ่ายกาย

    ในที่นี้ จะพูดเน้นด้านจิตใจ โดยถือกายเป็นเสมือนอุปกรณ์สำเร็จรูปที่สร้างขึ้นมารับใช้กิจกรรมของจิตใจ ถือว่า จิตใจเป็นศูนย์กลางแห่งกิจกรรมของชีวิต มีความกว้างขวาง ซับซ้อนและลึกซึ้งมาก เป็นที่ให้คุณค่าและความหมายแก่ชีวิต และเกี่ยวข้องโดยตรงกับพุทธธรรม

    นามขันธ์ ๔ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และส่งอิทธิพลเป็นปัจจัยแก่กัน การเกิดขึ้นของนามขันธ์ทั้งสี่เหล่านั้น ตามปกติจะดำเนินไปตามกระบวนธรรมดังนี้

    "เพราะผัสสะ (ตา หู ฯลฯ + รูป เสียง ฯลฯ + วิญญาณ) เป็นปัจจัย การเสวยอารมณ์ (เวทนา) จึงมี บุคคลเสวยอารมณ์ใด ย่อมหมายรู้อารมณ์นั้น (สัญญา) หมายรู้อารมณ์ใด ย่อมตริตรึกอารมณ์นั้น (สังขาร)..." * ( ม.มู.๑๒/๒๔๘/๒๒๕...กระบวนธรรมที่ครบถ้วนของความที่อ้างนี้ ดูในตอนว่าด้วยอายตนะ)

    ตัวอย่าง นาย ก. ได้ยินเสียงระฆังกังวาน (หู + เสียง + วิญญาณทางหู) รู้สึกสบายหูสบายใจ (= เวทนา) หมายรู้ว่า เป็นเสียงไพเราะ ว่าเป็นเสียงระฆัง ว่าเป็นเสียงระฆังอันไพเราะ (= สัญญา) ชอบใจเสียงนั้น อยากฟังเสียงนั้นอีก คิดจะไปตีระฆังนั้น อยากได้ระฆังนั้น คิดจะไปซื้อระฆังอย่างนั้น คิดจะลักระฆังนั้น ฯลฯ (= สังขาร)

    พึงสังเกตว่า ในกระบวนธรรมนั้น เวทนามีบทบาทสำคัญมาก อารมณ์ใดให้สุขเวทนา สัญญาก็มักกำหนดหมายอารมณ์นั้น ยิ่งให้สุขเวทนามาก ก็จะกำหนดหมายมาก และเป็นแรงผลักดันให้คิดปรุงแต่งทำการต่างๆ เพื่อให้ได้เสวยสุขเวทนานั้นมากขึ้น

    ความเป็นไปอย่างนี้ เรียกได้ว่าเป็นกระบวนธรรมง่ายๆ พื้นๆ เบื้องต้น เป็นแบบสามัญหรือแบบพื้นฐาน

    ในกระบวนธรรมนี้ เวทนาเป็นตัวล่อและชักจูงใจ เหมือนผู้คอยเสนอ ให้เอาหรือไม่เอาหรือหลีกเลี่ยงอะไร สัญญาเหมือนผู้สะสมเก็บข้อมูลหรือวัตถุดิบ สังขารเหมือนผู้นำเอาข้อมูลหรือวัตถุดิบนั้นไปใช้ปรุงแปรตระเตรียมทำการ วิญญาณเหมือนเจ้าของงาน ใครทำอะไรคอยรับรู้ไปหมด เป็นทั้งผู้เปิดโลกให้มีการทำงาน และเป็นผู้รับผลของการทำงาน *

    ในกระบวนธรรมนี้ มีความซับซ้อนอยู่ในตัว มิใช่ว่าเวทนาจะเป็นตัวชักจูงผลักดันขันธ์อื่นฝ่ายเดียว ขันธ์อื่นก็เป็นปัจจัยแก่เวทนา เช่น เสียงดนตรี เสียงเพลงเดียวกัน คนหนึ่งได้ยินแล้ว สุขเวทนาชื่นใจ

    อีกคนหนึ่ง รู้สึกบีบคั้นใจเป็นทุกข์ หรือคนเดียวกันนั่นแหละ สมัยหนึ่ง ได้ยินแล้วเป็นสุข ล่วงไปอีกสมัยหนึ่ง ได้ยินแล้วเป็นทุกข์

    หลักทั่วไปคือ ของที่ชอบ ที่ต้องการ ตรงกับความปรารถนา เมื่อได้ประสบก็เป็นสุข

    ของไม่ชอบ ขัดความปรารถนา เมื่อได้ประสบก็เป็นทุกข์

    ในกรณีเช่นนี้ สังขาร คือ ความชอบ ไม่ชอบ ปรารถนา เกลียดกลัว เป็นต้น เป็นตัวปรุงแต่งเวทนาอีกต่อหนึ่ง

    แต่ที่กล่าวอย่างนี้ ความจริงมีสัญญาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในตัว คือสังขารปรุงแต่งสัญญาไว้ แล้วกลับมามีอิทธิพลต่อเวทนา

    ตัวอย่างที่อาจจะชัดกว่า เช่น เคยเห็นคนที่รักที่นิยมชมชอบทำอากัปกิริยาบางอย่าง ก็กำหนดหมายเอาไว้ว่า อย่างนี้สวย น่ารัก

    เห็นกิริยาอาการบางอย่างของบางคนแล้วไม่ชอบ กำหนดหมายไว้ว่าอย่างนี้ น่าหมั่นไส้ (สัญญา)

    ต่อมาเห็นกิริยาอย่างที่นิยมหมายไว้ว่า สวย น่ารัก หรืออย่างที่หมายไว้ว่าน่าชัง น่าหมั่นไส้ ก็สบายตาชื่นใจ หรือเดือดร้อนตาบีบคั้นใจ (เวทนา) แล้วชอบหรือโกรธ (สังขาร) ไปตามนั้น
    ………
    ที่อ้างอิง *
    *คัมภีร์วิสุทธิมัคค์ เป็นต้น เปรียบเทียบว่า รูปเปรียบเหมือนภาชนะ เวทนาเหมือนโภชนะ สัญญาเหมือนกับข้าว สังขารเหมือนผู้ปรุงอาหาร วิญญาณเหมือนผู้บริโภค; หรือรูปเหมือนเรือนจำ เวทนาเหมือนการลงโทษ สัญญาเหมือนโทษ สังขารเหมือนเจ้าหน้าที่ผู้ลงโทษ วิญญาณเหมือนนักโทษ (วิสุทธิมัคค์ 3/58 ฎีกา. 227)
     
  14. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ต่อ

    ที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น เช่น งานบางอย่าง หรือการเล่าเรียนบางอย่าง เป็นสิ่งยากลำบาก หากลำพังจะต้องทำหรือเล่าเรียนขึ้นมาโดดๆแล้ว ก็จะต้องเกิดทุกขเวทนา แล้วก็ส่งผลต่อไปให้ไม่อยากทำไม่อยากเรียน

    แต่หากมีเครื่องล่อมาให้ ก็อาจกลับสนใจและตั้งใจเรียนต่อไปได้

    เครื่องล่อนี้ อาจเป็นเวทนาที่เป็นสุขในปัจจุบัน เช่น วิธีการที่ให้สนุกสนานบันเทิง เป็นต้น หรืออาจเป็นสิ่งซับซ้อนเนื่องด้วยการกำหนดหมายเกี่ยวกับสุขเวทนาในอนาคต เช่น รางวัล ความสำเร็จของงาน ประโยชน์แก่ชีวิตตน แก่ผู้อื่นหรือแก่ส่วนรวม เป็นต้น

    แล้วแต่จะปรุงด้วยสังขารฝ่ายใด เช่น ด้วยตัณหา ด้วยมานะ หรือด้วยปัญญา เป็นอาทิ ซึ่งจะส่งผลสะท้อนกลับมาทำให้การทำงาน หรือการเรียนนั้น เกิดมีความหมาย มีค่า มีความสำคัญขึ้นแก่ผู้ทำหรือผู้เรียน แล้วแต่งให้เขากลับได้รับสุขเวทนาในขณะที่เรียนหรือทำงานนั้นด้วย แม้อาจมีทุกขเวทนาทางกาย แต่ภายในใจมีสุขเวทนาเป็นโสมนัสอาบอยู่ ทำให้เล่าเรียนหรือทำงานนั้นแข็งขันต่อไป


    เมื่อระฆังโรงเรียนกังวานขึ้นในเวลาเย็น นักเรียนทั้งหลายได้ยิน (วิญญาณ) รู้สึกเรื่อยๆ ต่อเสียงนั้น (เวทนา) เพราะชินชาอยู่ทุกวัน ต่างก็รู้กำหนดหมายว่า เป็นสัญญาณเลิกเรียน (สัญญา)

    เด็กคนหนึ่ง ดีใจ (สุขเวทนา + สังขาร) เพราะจะได้เลิกเรียนไม่ต้องนั่งปวดเมื่อยและจะได้ไปเล่นสนุกสนาน (สัญญาซ้อน)

    เด็กอีกคนหนึ่ง เสียใจ (ทุกขเวทนา+สังขาร) เพราะจะต้องหยุดบทเรียนอันมีคุณค่า ขาดประโยชน์อันพึงได้ หรือเพราะจะต้องกลับไปพบกับผู้ปกครองที่แสนจะน่ากลัว (สัญญาซ้อน)

    โดยนัยนี้ กระบวนธรรมตลอดสาย เริ่มแต่วิญญาณที่รับรู้เป็นต้นไป จึงล้วนสัมพันธ์กันเป็นเหตุปัจจัยซับซ้อน ร่วมเสริมสร้างบุคลิกภาพ และกำหนดชะตาชีวิตของแต่ละบุคคลให้เป็นไปต่างๆ และให้แตกต่างจากกันและกัน

    ในกระบวนธรรมนี้ สังขารนั่นแหละเป็นตัวปรุงแต่งและสังขารนั้น ซึ่งมีเจตนาเป็นตัวแทน ก็คือชื่อตัวหรือชื่อที่เรียกกันในครอบครัวของคำว่ากรรม

    ดังนั้น กรรมซึ่งเป็นชื่อประจำตำแหน่งหรือชื่อที่ออกงานของสังขาร จึงถูกกล่าวขวัญถึงอย่างเป็นผู้มีบทบาทอันสำคัญยิ่งว่า "กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย ให้ต่างๆออกไปคือ ให้ทรามและให้ประณีต" * (ม.ม.12/581/376) "หมู่สัตว์เป็นไปเพราะกรรม" * (ขุ.สุ.25/382/453)
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สัตว์ "ผู้ติดข้องอยู่ในรูปารมณ์ เป็นต้น" สิ่งที่มีความรู้สึก และเคลื่อนไหวไปได้เอง รวมตลอดทั้งเทพ มาร พรหม มนุษย์ เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน และสัตว์นรก ในบาลีเพ่งเอามนุษย์ก่อนอย่างอื่น ไทยมักเพ่งเอาดิรัจฉาน

    (รูปารมณ์ - อารมณ์คือรูป = รูป+อารมณ์)
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่า "เจตนา" สักเล็กน้อย เจตนาในทางธรรม มีความหมายละเอียดอ่อนกว่าที่เข้าใจกันทั่วไปในภาษาไทย กล่าวคือ ในภาษาไทย มักใช้เจตนาต่อเมื่อต้องการเชื่อมโยงความคิดที่อยู่ภายใน กับ การกระทำที่แสดงออกมาในภายนอก เช่นว่า พูดพลั้งไป ไม่ได้เจตนา หรือเขากระทำการโดยเจตนา เป็นต้น

    แต่ในทางธรรม คือตามหลักกรรมนี้ การกระทำ การพูด ที่แสดงออกภายนอกโดยจงใจ ก็ดี ความคิดต่างๆ แม้เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น ๆ ชั่วครู่ชั่วขณะแล้วผ่านไปๆ ภายในจิตใจ ก็ดี การคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ก็ดี ความรู้สึกและท่าทีของจิตใจต่อสิ่งต่างๆ ที่ได้ประสบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่ระลึกหรือนึกขึ้นมาในใจ ก็ดี ล้วนมีเจตนาประกอบอยู่ด้วยทั้งสิ้น

    เจตนาจึงเป็นเจตจำนง ความจงใจ การเลือกอารมณ์ของใจ ตัวนำที่หันเหชักพาทำให้จิตเคลื่อนไหวโน้มน้อมไปหา หรือผละไปจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมุ่งไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เป็นหัวหน้าเป็นผู้จัดการ หรือเจ้ากี้เจ้าการของจิตว่าจะเอาอะไรไม่เอาอะไร กับเรื่องใดอย่างไร เป็นตัวการจัดแจงแต่งวิถีทางของจิต และในที่สุดก็เป็นตัวการปรุงแต่งจิตนั้น ให้เป็นไปต่างๆ

    เมื่อเจตนาเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็คือกรรมเกิดขึ้นทีหนึ่ง เมื่อกรรมเกิดขึ้นแล้ว ก็มีผลทันที เพราะเมื่อเจตนาเกิดขึ้น ก็คือมีกิจกรรมเกิดขึ้นในจิตแล้ว จิตมีการเคลื่อนไหวหรือไหวตัวแล้ว

    แม้เป็นเพียงความคิดอะไรเล็กน้อย ซึ่งถึงจะไม่มีผลอะไรสำคัญ แต่ก็ไม่ ไร้ผลเสียเลย อย่างน้อย ก็เป็นละอองกรรมอันละเอียดที่สั่งสม หรือพอกเข้าไว้เป็นเครื่องปรุงแต่งคุณสมบัติของจิตอยู่ภายใน

    เมื่อมากขึ้น เช่น จิตเสพความคิดนั้นบ่อยๆ หรือความคิดนั้นรุนแรงขึ้นจนออกมาภายนอก ผลก็แรงขึ้นขยายออกมาเป็นลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ เป็นต้น

    ยกตัวอย่าง เช่น เจตนาในการทำร้าย ไม่ ต้องพูดถึงกรรมร้ายแรงถึงขั้นจะฆ่าคน แม้แต่การทำลายสิ่งของที่เล็กๆ น้อยๆ เหลือเกิน ถ้าทำด้วยเจตนาทำร้าย คือประกอบด้วยโทสจิตหรือมีความโกรธ อย่างคนฉีกกระดาษด้วยความฉุนเฉียว ทั้งที่กระดาษนั้นไม่มีคุณค่าสำคัญ อะไร แต่ย่อมมีผลต่อสุขภาพจิต หาเหมือนกันไม่ กับ การฉีกกระดาษของคนที่ทำด้วยจิตปกติ โดยรู้ว่า จะไม่ใช้กระดาษนั้นแล้ว

    เมื่อทำการอะไรๆ ด้วยเจตนาอย่างนั้นบ่อยๆผลแห่งการสั่งสมก็จะปรากฏชัดยิ่งขึ้น และอาจขยายกว้างออกไปในระดับต่างๆโดยลำดับ

    เปรียบเหมือนฝุ่นละอองที่ปลิวเข้ามาในห้องทีละเล็กละน้อยอย่างที่มิได้สังเกตเลย ย่อมไม่มีส่วนใดที่ไร้ผลเสียเลย

    แต่ผลนั้นจะสำคัญแค่ไหน นอกจากเป็นไปตามความแรงและปริมาณของสิ่งที่สั่งสมแล้ว ยังสัมพันธ์กับคุณภาพ และการใช้งานของจิตในระดับต่างๆ อีกด้วย

    ฝุ่นละอองปลิวลงจับท้องถนน กว่าจะทำให้รู้สึกสกปรก ก็ต้องมีปริมาณมากมาย
    ฝุ่นละอองปลิวลงบนพื้นเรือน แม้น้อยกว่านั้น ก็รู้สึกสกปรก
    ฝุ่นละอองน้อยกว่านั้น ลงจับโต๊ะเขียนหนังสือ ก็สกปรก และรบกวนงาน
    น้อยกว่านั้นอีก ลงจับกระจกเงาส่องหน้า ก็รู้สึกเปื้อนและกระทบการใช้งาน
    ธุลีละอองนิดเดียวลงจับแว่นตา ก็รู้สึกได้และทำให้การเห็นพร่ามัวได้
    ฯลฯ
    รวมความว่า เจตจำนงคือเจตนา หรือกรรมนั้น แม้เล็กน้อย ก็มิได้ไร้ผล อาจอ้างพุทธศาสนสุภาษิตว่า

    กรรมดีหรือชั่วทุกอย่างที่คนสั่งสมไว้ ย่อมมีผล ขึ้นชื่อว่ากรรม แม้จะนิดหน่อย ที่จะว่างเปล่าไปเลย ย่อมไม่มี” *(ขุ.ชา.27/2054/413 – แต่ไม่พึงสับสนกับเรื่องกรรมที่ไม่ให้ผลในระดับวิถีชีวิตภายนอก) และว่า
    กรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว ย่อมไม่สูญเปล่าเลย” * (ขุ.ชา.28/864/306)
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ต่อ

    อย่างไรก็ตาม ผลทางด้านกรรมนิยามในระดับจิตใจนี้ คนจำนวนมากคอยจะมองข้าม ไม่เห็นความสำคัญ จึงขอเพิ่มการเปรียบเทียบ ด้วยข้ออุปมาเกี่ยวกับน้ำอีกสัก ๒ อย่าง

    - น้ำสะอาดและน้ำสกปรก มีหลายระดับ เช่น น้ำครำในท่อระบายโสโครก น้ำในแม่น้ำลำคลอง น้ำประปา และน้ำกลั่นสำหรับผสมยาฉีด เป็นต้น

    น้ำครำพอใช้เป็นที่อาศัยของสัตว์หลายอย่างได้ แต่ไม่เหมาะแก่การใช้ อาบ ไม่อาจใช้กินหรือทำกิจที่ประณีตอื่นๆ

    น้ำในแม่น้ำลำคลอง ใช้อาบน้ำซักผ้าได้ แต่ก็ยังไม่เหมาะที่จะใช้ดื่ม

    น้ำประปาใช้ดื่มกินได้ แต่จะใช้ผสมยาฉีดยังไม่ได้ เมื่อมีแต่น้ำประปาและกิจที่ใช้ไม่มีส่วนพิเศษออกไป น้ำประปานั้นก็พอแก่ ความประสงค์ แต่ถ้ามีกรณีพิเศษเช่นจะผสมยาฉีด ก็เป็นอันติดขัด

    ทั้งนี้ เปรียบได้กับจิตที่มีคุณภาพต่างๆกัน โดยความหยาบประณีตขุ่นมัวและสะอาดผ่องใสกว่ากัน เนื่องมาจากกรรมที่ได้ประกอบสั่งสมไว้

    ถ้ายังใช้งานในสภาพชีวิตอย่างนั้นๆ ก็อาจยังไม่รู้สึกปัญหา

    แต่เมื่อล่วงผ่านกาลเวลา และวัยแห่งชีวิตไป อาจถึงโอกาสที่ต้องใช้จิตที่ประณีตยิ่งขึ้น ซึ่งกรรมปางหลัง จะก่อปัญหาให้ อาจติดขัดใช้ไม่ได้หรือถึงกับเน่าเสียไปทีเดียว

    - น้ำกระเพื่อม และสงบเรียบ มีหลายระดับ ตั้งแต่น้ำในทะเลมีคลื่นโตๆ

    น้ำในแม่น้ำที่มีคลื่นจากเรือยนต์

    น้ำในลำธารที่ไหลริน

    น้ำในสระที่ลมสงบ จนถึงน้ำในภาชนะนิ่งปิดสนิท

    แต่บางกรณีจะใช้น้ำมีคลื่นกระเพื่อมกระฉอกบ้าง ก็ได้ แต่บางกรณีอาจต้องใช้น้ำสงบนิ่งอย่างที่แม้แต่วางเข็มเย็บผ้าลงไปก็ลอยนิ่ง อยู่ได้นาน

    คุณภาพของจิตที่หยาบและประณีต ซึ่งสัมพันธ์กับการใช้งาน และการเข้าถึงคุณวิเศษต่างๆ ที่ชีวิตจะเข้าถึงได้ ก็พึงเข้าใจโดยทำนองนั้น
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    แต่เมื่อล่วงผ่านกาลเวลา และวัยแห่งชีวิตไป อาจถึงโอกาสที่ต้องใช้จิตที่ประณีตยิ่งขึ้น ซึ่งกรรมปางหลัง จะก่อปัญหาให้ อาจติดขัดใช้ไม่ได้

    ตัวอย่างเล็กๆประกอบความเข้าใจ

    เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก .... ทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้าย เคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมาก บางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย
     
  19. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,612
    ค่าพลัง:
    +3,015


    เอาเลยครับ ด่าผมได้เต็มที่เลยครับ
    ระบายมันออกมา ใจจะได้โล่งๆว่างๆมั่ง
    แต่อาการอยากสอนคนอื่น ของคนเรา
    มันก็จะกลายเป็นการสร้าง ภพชาติ อีกอย่างหนึ่ง
    ไม่ควรจะให้มัน เหลืออยู่ใน ก้นบึ้งของจิตใจ
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขอบคุณครับ ไม่น่าจะเรียกว่า ด่านะครับ
    เรียกว่า พูดความจริงครับ เถียงผมและพิสูจน์
    มาซิครับว่า ผมพูดตรงไหนไม่จริงครับ
    มีแต่คุณยิ่งพูดเข้าตัวเอง ๕๕๕๕
    เรียกว่า ปลาตายน้ำตื้น (อุตสาห์สร้างภาพไว้ซะสูง)
    คุณก็ไม่กล้าอีกนั่นหละ เพราะคุณมัน
    ประเภทจอมปลอม ทั้งด้านปฏิบัติ
    และเรื่องสภาวะจิตที่บรรลุธรรมไงครับ
    ปัญญาหามันคือตัวคุณนั่นหละครับ
    จะยังรักษาภาพจอมปลอมหลวงโลก
    ที่มันมาปิดบังตัวเองอีกต่อไปหรือไม่

    แล้วคุณต้องไม่ลืมนะครับ
    ว่าผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่ง
    ผมไม่เคยว่าตัวเองบรรลุอะไรและเป็นคนดีอะไร
    ผมไม่เคยที่จะเป็นอาจารย์ใครนะครับ
    แต่คุณกลับดิ้น ทุรน ทุราย สติแตกไปเอง
    เพราะอะไรนั่นหรือครับ
    เพราะคุณมันมีภาพ สร้างภาพไว้
    เยอะ เลยเป็นพวกขี้อิจฉาไงครับ.

    กรรมฐาน สภาวะที่คุณแนะนำ
    ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่เคยแซะคุณ
    มีคนที่เค้าทำได้ ตั้งหลายคนเคยแซะคุณ
    แต่คุณมันก็ยังปัญญาอ่อน เชื่อในสิ่ง
    ที่ตัวเองคิดเอาเอง ทั้งๆที่ทำไม่ได้จริง
    พิสูจน์ไม่ได้จริง (ถามจริงๆแค่นี้ มีสมองคิดอะไร
    หรือกระตุ้นต่อมสะตอสร้างภาพยังไม่ได้อีกหรือครับ)

    อาการอยากสอนคนอื่นๆ
    ผมถามว่าคุณหรือผมที่เป็นครับ
    คุณต้องเข้าใจนะ ว่าการปล่อยให้พวกปัญญาอ่อน
    คิดว่าตัวบรรลุธรรม และพวกปัญญาอ่อน
    ที่สำเร็จกรรมฐานจากการคิดเอาแบบคุณ
    มาแนะนำคนอื่นๆแบบมั่วๆผลจะเป็นอย่างไร
    ตรงนี้ต่างหากครับ ที่มันสร้างภพสร้างชาติให้คุณ

    และก็ที่สำคัญนะ เวลาผมแนะนำใคร
    ผมไม่ได้ไปพูดกับคุณ ไม่ได้ไปพาดพิงคุณ
    แต่คุณ มันเจือก มาโชว์โง่ ก๊อบข้อความมาว่าผมก่อน
    ถามจริงๆ ผมไปเกี่ยวอะไรกับคุณ
    ถ้าคุณมีดีจริง ก็แนะนำไปซิ
    แต่อ่านดูก็รู้ว่า คิดเอาทั้งนั้น เอาแต่กรรมฐานระดับสูงๆ
    เท่ห์หล่อๆ เอาแต่ธรรมะสูงๆระดับบรรลุ
    แต่ไม่มีในตัวเอง และทำสำคัญคือทำไม่ได้เอง
    แล้วจะมาแนะนำ มาพูดหาพระญาติคุณหรือครับ

    ปล.ไม่ต้องมาเสนอหน้ามาสอนหรือ
    แนะนำอะไรผมหรอกนะ
    เอาตัวเองให้มันรอดก่อนเหอะ
    ผมทำอะไรได้ผมพอรู้ตัว และไม่เคยคิดว่า
    ตัวเองเก่งหรือดีอะไร แต่รู้ว่าคุณ
    มีความสามารถจริงแค่ไหน...พึ่งระลึกไว้บ้างนะ
    ไม่ใช่ที่คน อย่างคุณจะมาพยายามสร้างภาพกับผม
    บอกตามตรง ตรูไม่สนใจมะรึงหรอก
    พ่อนักปฏิบัติสายคิดวิเคราะห์สญาน
    ผู้มีความคิดวกวนเหมือนปลาในอ่าง
    พ่อนักปฏิบัติสายบรรลุธรรมเดาสญาน
    ที่ต้องเที่ยวประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าตัวเอง
    บรรลุธรรม สั้นๆเลยนะ ถุยยยยยย
    เพราะผมแค่คนธรรมดาครับ
    เข้าใจที่พี่พูดนะน้อง.....

    กรรมที่น้องไปปรามาสพระมีชื่อ
    แล้วคิดว่าตัวเอง เจ๋ง กว่าออกสื่อ โห้เจ๋งวะ
    วิบากมันแรงนะน้อง...
    จำคำพูดพี่ไว้นะ
    น้องเหมือนจะไปถูกทางแต่ก็หลงทางตลอดเวลา
    และจะมีความคิดวกวนแบบนี้
    เหมือนปลาว่ายในอ่างแบบนี้ต่อไปนั่นหละ
    ความเข้าใจทางสภาวะและนามธรรมน้องจะไม่ถูกทางซักที
    เรื่องความสามารถทางจิต ที่น้องพยายาม
    สร้างภาพพูดว่า สำเร็จระดับจิตธาตุ ๕๕๕๕
    ไม่ต้องพูดหรอก
    ชาตินี้ให้ทั้งชาติก็อยู่แค่ระดับคิดเอาเองสญานหละ
    สำหรับน้อง
    โชคดีนะครับ

    จบนะ.....(^_^)
     

แชร์หน้านี้

Loading...