ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
  2. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    สวัสดีค่ะ

    ขอร่วมทำบุญกับทางทุนนิธิฯค่ะ

    จำนวนเงิน 1,500 บาท
    เงินจะเข้าบัญชี วันที่ 18 สิงหาคม 2552 ช่วงเย็นค่ะ
    เลขที่อ้างอิงของธนาคาร คือ 216491

    ขออนุโมทนากับทางคณะกรรมการและผู้ร่วมทำบุญทุกๆท่านค่ะ

    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญขออนุญาตแจ้งทาง pm กับพี่โสระค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2009
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    พระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) มหาโพธิสัตว์ นิยายฤาเรื่องจริง
    โดย รณธรรม ธาราพันธุ์


    พระ พุทธศาสนาสมัยเมื่อพระบรมศาสดาเสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพาน เกิดเหตุสาวกสงฆ์แบ่งแยกออกเป็นสองหมู่ หมู่หนึ่งค้านคำพระพุทธเจ้าบางส่วน ถือเอาคำสั่งเสียกับพระอานนท์ประโยคหนึ่งว่า หากภิกษุทั้งหลายเห็นว่าวินัยบางข้อเป็นอาบัติเล็กน้อย จักเพิกถอนเสียบ้างก็ได้

    เลยถอนกันใหญ่

    ไอ้นั่นก็จุกจิก ไอ้นี่ก็หยุมหยิม เลิก ๆ...!! พากันดีใจถึงกับเอ่ยว่า ดี ! เมื่อพระพุทธเจ้าเธอปรินิพพานเสียได้นั่นดี เพราะเมื่อเธออยู่สิ่งนั้นก็ห้าม สิ่งนี้ก็ไม่ควร บัดนี้เธอปรินิพพานเสียได้ก็ดีจะไม่มีใครมาคอยจู้จี้กวนใจ

    ผู้กล่าวคือ พระสุภัททะ

    อีกหมู่หนึ่งไม่ยอมค้านคำของพระพุทธเจ้าเลย ใคร่ถือเอาตามพระวาจาโดยไม่ละเมิดแม้สักข้อเดียว ปักมั่นในพระโอวาทประโยคหนึ่งว่า ภิกษุทั้งหลาย อย่าบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติ อย่าเพิกถอนในสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานตามนั้น

    พระองค์ปิดประตูทีเดียว

    ที่ตรัสอย่างนั้นแน่นอนเหลือเกินว่าทรงเห็นแล้วว่ากุลบุตรผู้มาใหม่ภายหลัง ไม่อาจทรงพระมหาสติมหาปัญญาได้ดังพระองค์ ทั้งยังอาจเป็นผู้มีกิเลสหนาอันเก่งแต่ปริยัติธรรม หากปล่อยให้บัญญัติพระวินัยหรือถอนทิ้งเสียได้ตามใจตน ไม่แคล้วคงถอนในสิ่งที่ตนมิชอบและบัญญัติไว้แต่สิ่งที่ตนชอบนั่นเอง

    จึงเกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่งในหมู่ภิกษุผู้เป็นพระอริยบุคคลทั้งสี่จำพวก และเหล่าภิกษุผู้ใฝ่ดีแม้ยังไม่บรรลุคุณธรรมใด ๆ ก็ตาม เป็นเหตุให้เกิดปฐมสังคายขึ้นโดยพระอรหันตเจ้าล้วน ๆ นำโดยยอดพระอรหันต์คือ พระมหากัสสปะเถรพระอานนท์

    สองพระองค์นี้มีอุปการคุณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด ทำให้เถราจารย์ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน สร้างรูปเคารพขึ้นวางคู่กันหน้าพระประธานในโบสถ์เพื่อเป็นการรำลึกคุณ หาใช่พระอัครสาวกซ้าย-ขวา คือ พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลาน์ ดังพระพุทธศาสนาฝ่าย หีนยาน ไม่

    ก็เพราะเกิดการแบ่งแยกเป็นพระสองกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่แยกออกไปจึงค่อย ๆ กลายเป็นมหายาน อันแปลว่า ยานที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเน้นการช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าตนเอง ทั้งมีศัพท์เรียกเป็นทางการว่า พระโพธิสัตว์ คือผู้บำเพ็ญอย่างปรารถนาพุทธภูมิ และเรียกกลุ่มชาวพุทธที่พากเพียรเพื่อให้ตนหลุดพ้นเสียก่อนจึงค่อยสอนคนอื่น ว่า หีนยาน แปลว่ายานอันคับแคบ กล่าวคือใจแคบพาตนหลุดพ้นไปโดยลำพังคล้ายเห็นแก่ตนก่อนค่อยนึกถึงผู้อื่นภายหลัง

    พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกับศาสนาอื่น ที่ต้องถูกจองล้างจองผลาญจากลัทธิ นิกาย หรือศาสนาใหญ่ ๆ ในโลกที่คลั่งอำนาจ จึงถูกทำลายอยู่บ่อยครั้งทั้งทางตรงคือ ฆ่าพระ เผาวัด และทางอ้อมคือ บั่นทอนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เห็นเป็นของไม่มีค่า เป็นเรื่องโง่งมงายด้วยวิธีการพูดต่าง ๆ

    พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจึงโต้ตอบคำกล่าวตู่เหล่านั้นด้วยกระบวนการสอนในทาง ศาสนาเช่นกัน อาทิ เมื่อศาสนาพราหมณ์แต่งเรื่องว่าอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์เป็น พุทธาวตาร คือ การอวตารลงมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนเวไนยสัตว์ คำกล่าวนี้พราหมณ์แต่งขึ้นเพื่อหมายกลืนกินชาวพุทธผู้ด้อยปัญญาว่า...

    ใน เมื่อพระพุทธเจ้าคือพระนารายณ์อวตารลงมาปฎิบัติภารกิจบนโลก ก็ไม่จำเป็นต้องถือพระพุทธเจ้าแล้วเมื่อพระองค์นิพพาน เพราะพระองค์ก็กลับคืนร่างไปเป็นพระนารายณ์ จึงควรบูชาพระนารายณ์เพียงองค์เดียวก็พอ ด้วยคำสอนอย่างนี้พุทธศาสนิกชนมากรายที่ยังไม่มีหลักของใจก็โอนสัญชาติไป เป็น สาวกไวษณพนิกาย จนหมดสิ้น

    ฝ่ายมหายาน จึงแก้ว่า อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี เทพ พรหม พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ดี ล้วนถือกำเนิดไปจากพระพุทธเจ้าองค์แรกสุดในสกลจักรวาล พระองค์เกิดเองเป็นเอง ไม่มีผู้ใดไปสร้างพระองค์ได้ เมื่อบังเกิดขึ้นแล้วก็ทรงสร้างทุกสิ่ง และแบ่งพุทธานุภาพออกเป็นพระพุทธเจ้าทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนเพื่อช่วย เหลืองานต่าง ๆ

    พระนามของท่านคือ พระอาทิพุทธะ

    และ <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- img039.jpg [ 82.42 KiB | เปิดดู 434 ครั้ง ] -->


    พระอาทิพุทธะ สร้างพระพุทธเจ้าที่ไม่มีตัวตนขึ้นโดยอำนาจแห่งฌานจึงเรียกพระพุทธเจ้าจำพวกนี้ว่า พระฌานิพุทธ มีด้วยกันจำนวนนับไม่ถ้วนองค์ ที่โดดเด่นรู้จักกันดีพระนามว่า พระอมิตาภพุทธเจ้า เรามักได้ยินหลวงจีนในหนังพูดกันบ่อย ๆ ว่า “อามิตตาพุทธ” นั่นแหละท่านละ

    ที่ ต้องเอ่ยนามบ่อย ๆ เพราะมหายานมีความเชื่อว่าการพูดชื่อพระองค์ถือเป็นการสวดมนต์อย่างหนึ่ง เมื่อสิ้นชีวิตแล้วพระองค์จะมารับดวงวิญญาณไปสู่โลกของพระองค์ที่ชื่อ ฮุดโจ๊วไซที หรือ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกนี้

    ส่วนพระพุทธเจ้าอีกจำพวกหนึ่งที่ถูก สร้าง ขึ้นจากพระอาทิพุทธะคือพระพุทธที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต เรียกพระพุทธเจ้าประเภทนี้ว่า มานุษิพุทธ ที่เรารู้จักกันดีก็คือ พระสมณโคดม หรือพระพุทธเจ้าที่เรากราบไหว้อยู่ทุกวันนี้แล

    ดังนั้นเมื่อพระอาทิพุทธะเป็น องค์สร้างทุกสิ่งในจักรวาล แม้เทพ พรหม โพธิสัตว์ทั้งปวงก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขไปจากพระองค์ พระนารายณ์ก็เช่นกัน เหตุนี้ ท่านทั้งหลายเอ๋ยไม่ต้องขวนขวายไปกราบใครดอก ไหว้พระอาทิพุทธะเพียงพระองค์เดียวก็ถึงกันหมด

    ยิ่งใหญ่ดีไหม ?
    เรียกศรัทธากลับมาได้เพียบก็แล้วกัน...!!


    สงคราม ทางจิตวิทยาเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน ในทุกศาสนา ทุกนิกาย ประมาณได้ว่าฝ่ายมหายานเปรียบดังแม่ทัพนายกองแบบรบตาต่อตาฟันต่อฟัน ขนาดทำรูปพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ถือมีด หอก ดาบ แหลน หลาว กินเลือดร้อยกะโหลกเป็นมาลัยไม่ต่างไปจากเทพในศาสนาพราหมณ์ หรืออื่น ๆ ทั้งนี้เพื่อข่มขวัญและบอกให้รู้ว่าทางเราก็มีภาค ปราบ ขืนแหย่เข้ามาพวกเอ็งต้องวิบัติเหมือนปีศาจที่ถูกพระโพธิสัตว์ปราบเรียบ ที่สำคัญเป็นกำลังใจแก่ชาวพุทธผู้มีจิตเปราะบางว่า อย่ากังวลเลยใครก็คิดร้ายทำอันตรายเรามิได้ ด้วยมีบารมีพระแม่เจ้าปางพันมือ ปราบมารคุ้มครองอยู่

    สบายใจแล้วก็มีศรัทธาทำบุญต่อไป

    แต่ ฝ่ายหีนยานประมาณได้ว่าเป็นที่ปรึกษาผู้ชาญฉลาด ลับสติปัญญาให้กล้าแกร่งฟาดฟันกิเลสตัณหาให้ขาดสะบั้นออกจากจิตใจ แล้วจึงประกาศธรรมแห่งพระพุทธเจ้าได้อย่างอาจหาญไม่หวาดหวั่นกับสิ่งใดแม้จะ ถูกซักถามถึงเรื่องจิตขั้นหลุดพ้นในเมื่อผู้แสดงธรรม บริสุทธิ์ แล้วด้วยดี

    มหายานสร้างพระโพธิสัตว์ให้ถือมีด ดาบ หอก ฯลฯ เป็นอาวุธ
    หีนยานสร้างพระอริยเจ้าให้ถือ พระธรรม เป็นอาวุธ


    มหายาน เล่าต่ออีกว่า เมื่อพระอมิตาภพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในจักรวาล ท่านก็ทำหน้าที่โปรดชาวมนุษย์ตามคำสั่งขององค์ผู้สร้างคือพระอาทิพุทธะ เมื่องานท่านมากก็จำต้องหาผู้ช่วย ถ้าเป็นยุคเราก็เรียก เลขานุการ

    พระอมิตาภพุทธะจึง สร้างพระโพธิสัตว์ขึ้นมากมายเพื่อแบ่งเบาภาระ ทว่าโดดเด่นเป็นอันมากอยู่สององค์ซึ่งเป็นผู้ช่วยซ้าย-ขวา เบื้องซ้ายพระนามเป็นสันสกฤตว่า พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ หรือ ไต้ซีจี้ผ่อสัก เป็นพระโพธิสัตว์ที่ไม่ค่อยมีใครได้รู้จัก หากเป็นพระผู้ทรงฤทธานุภาพเป็นยิ่งเพราะสามารถพานายช่างจิตรกรขึ้นไปยัง สวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก อันเป็นที่อยู่เฉพาะของชาว โพธิสัตว์ เท่านั้น เพื่อจะได้วาดภาพพระพุทธเจ้าจากพระองค์จริงได้เหมือนไม่ผิดเพี้ยน

    เฮี้ยนจริง ๆ

    ส่วนเบื้องขวาทรงพระนามว่า พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือ กวนซีอิมผ่อสัก อันเรารู้จักกันดีในนามเจ้าแม่กวนอิม โพธิสัตว์องค์นี้นับว่ามีความใกล้ชิดกับพระอมิตาภเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าพระอมิตาภปรารถนาให้องค์กวนอิมเป็น ธรรมทายาท สืบสานเจตนารมย์ต่อจากท่าน

    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- ixin re1.jpg [ 11.25 KiB | เปิดดู 303 ครั้ง ] -->


    และเจ้าแม่กวนอิมก็ เคารพเทิดทูนพระผู้สร้างของท่านมาก เห็นได้จากบนมวยเกศาของท่านไม่ว่าจะอวตารเป็นปางใด ย่อมมีรูปพระพุทธองค์น้อยประดับอยู่เหนือเกล้าเกศาแสดงถึงความเคารพเทิดทูน และความกตัญญูอย่างยิ่ง

    พระพุทธองค์น้อยนั่นแหละ...พระอมิตาภพุทธเจ้า

    จากที่ผมศึกษาพระพุทธศาสนามาแต่ยังเล็ก อ่านไปอ่านมาบางคราวก็เกิดวิจิกิจฉาว่าตกลงพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพเจ้าทั้งปวงนั้น ท่านสร้างเราขึ้นมาในโลกกลม ๆ ใบนี้...

    หรือเราสร้างท่านกันแน่ ?

    คิดไปคิดมาพอให้ปวดหัวเล่นก็เลิกคิด ครั้นโตพอรู้ความก็เริ่มได้ยินครูบาอาจารย์บ้าง ฆราวาสผู้ทรงธรรมบ้าง กล่าวถึงเทพองค์นั้นองค์นี้ให้หูผึ่ง และที่ผึ่งจนกาง...เห็นจะไม่พ้น...

    เจ้าแม่กวนอิม

    สมัยหนึ่งได้อ่านบันทึกและคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกันดีกับท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ ที่ต้องคุยเพราะนายพลท่านนี้เป็นอีกผู้หนึ่งที่ฝึกฝนสมาธิจิตจนสงบนิ่งควร แก่การงาน ควรแก่การพบเห็นผู้อยู่ต่างภพภูมิได้อย่างน่าทึ่ง และวาระหนึ่งท่านก็ได้พบพระโพธิสัตว์กวนอิม
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- .ท. สมาน วีระไวทยะ saman re1.jpg [ 11.13 KiB | เปิดดู 303 ครั้ง ] -->

    ท่านนายพลเล่าว่าท่านมักทำสมาธิเมื่อมีเวลาว่างเสมอ โดยเฉพาะก่อนนอนจะนั่งเป็นชั่วโมง ๆ ทุกวัน วันหนึ่งขณะจิตสงบได้พบหญิงสาวนางหนึ่งเหาะลอยมาในอากาศ แวดล้อมด้วยหมู่เมฆสวยงามนัก สตรีท่านนั้นแต่งตัวด้วยชุดจีนพื้นขาวมีลายดอกสีแดงปักห่าง ๆ ใบหน้ายิ้มละมัยเปี่ยมด้วยเมตตา
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- +เง็กนึ้ง guanim re2.jpg [ 19.3 KiB | เปิดดู 303 ครั้ง ] -->

    ครั้นเอ่ยวาจาน้ำเสียงก็ไพเราะดุจระฆังเงินก้องกังวานทั่ว ท่านแนะนำองค์ว่าท่านคือ เจ้าแม่กวนอิม ที่มานี้เพราะสวรรค์เห็นในคุณความดีที่นายพลสมานได้กระทำมาตลอดชีวิต และยังเข้าพระกัมมัฏฐานภาวนาโดยสม่ำเสมอ มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในเทวโลกจึงมีบัญชาให้องค์อวโลกิเตศวรนำคำพรมาให้ จากนั้นท่านก็ให้พรเป็นภาษาจีนแต่ไม่ยาวเท่าใด และท่านก็กล่าวลา

    เมื่อออกจากสมาธิท่านนายพลก็ไม่แน่ใจว่าตนเกิดนิวรณ์ไปเองหรือเปล่า ด้วยท่านนั้นนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่สุด รู้จักแต่พระไทย ไม่เคยสนใจในเรื่องเจ้าแม่กวนอิมหรือเจ้าจีนที่ไหนเลย ครั้นคิดไม่ตกท่านก็วางเฉยต่อเหตุการณ์

    ไม่นานเท่าใดนัก ขณะท่านทำสมาธิในอีกวาระหนึ่งองค์กวนอิมก็ มาพบอีกครั้ง คราวนี้ทรงชุดขาวปักลายคล้ายปล้องไผ่และใบไผ่เป็นสีทอง ชายผ้าทั้งแขนเสื้อและคอเสื้อขลิบด้วยด้ายทองเป็นประกายระยิบระยับงามตา ทั้งการแต่งองค์และวงพักตร์ในครั้งนี้งดงามกว่าหนก่อนมากนัก ท่านนายพลถึงแก่ตะลึงด้วยไม่นึกว่าจะพบท่านอีกเป็นคำรบสอง

    ท่านปรารภว่า เรา คือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาครั้งนี้เพื่อยืนยันว่าท่านมิได้ฝันเพ้อหรือเกิดนิวรณ์ในจิตแต่อย่างใด หนก่อนเรานำพรจากสวรรค์มาให้ตามโองการ เมื่อท่านไม่แน่ใจเราจึงต้องมาอีกครั้ง และครั้งนี้เราจะประทานอักษรให้แก่ท่านด้วย

    แล้วองค์กวนอิมก็คลี่ม้วนผ้าแดงปักดิ้นทองเป็นตัวอักษรจีนอยู่ภายในให้ดู พร้อมกับอ่านให้ฟังอย่างชัดเจน

    “กวนอิมไต้ซือ ซี่สื่อ ฮกลกหงีเทียนสื่อ”

    อ่านแล้วก็ทำกิริยายื่นม้วนผ้านั้นให้ ท่านนายพลรับมาอย่างซาบซึ้งในกรุณา เจ้าแม่ยังสั่งอีกว่า ท่าน จะจำได้ขึ้นใจทั้งคำอ่านและอักษร จากนี้จงหาผู้รู้หนังสือจีนให้เขาเขียนลงกระดาษแดงด้วยอักษรสีทองแล้วใส่ กรอบบูชาไว้ จะบังเกิดโชคลาภ ปราศจากภัยอันตรายแก่ผู้บูชาด้วยอำนาจแห่งเรา และยังสามารถสวดบริกรรมโองการสวรรค์นี้ได้อยู่เรื่อย ๆ จะได้รับพรอันประเสริฐจากเทวโลก ทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากเราพระโพธิสัตว์กวนอิม แล้วท่านก็จากไป

    เมื่อท่านนายพลออกจากสมาธิ น่าประหลาดว่าท่านสามารถจำลักษณะตัวอักษรและการออกเสียงได้หมดทั้งที่ท่านพล โทสมานไม่รู้หนังสือจีนเลย และท่านก็ไปจ้างซินแสแถวเยาวราชให้เขียนหนังสือนี้ใส่กรอบบูชาไว้เพื่อระลึก ถึงคุณแห่งพระแม่กวนอิม และยังเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้ทำไว้บูชาที่บ้าน ได้สวดตามเพื่อความเป็นสิริมงคลเสมอ

    นี่เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ผมเชื่อถือในท่านมาก่อนหน้า เมื่อผู้ที่ผมเชื่อใจยังยอมรับถึงความมีอยู่จริงของเจ้าแม่กวนอิม ผมก็เริ่มคล้อยตาม...
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- img038.jpg [ 65.25 KiB | เปิดดู 434 ครั้ง ] -->

    วันหนึ่งขณะที่พระเดชพระคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินทสุวัณโณ) วัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี กำลังเจริญภาวนาอยู่ในพระอุโบสถ ท่านนิมิตเห็นคนจีนแต่งชุดอย่างชาวจีนโบราณเข้ามาแสดงคารวะท่านแปดคน
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- .gif [ 70.83 KiB | เปิดดู 302 ครั้ง ] -->

    ทั้งแปดแนะนำตัวเองว่าเป็น แปดเซียน ในลัทธิเต๋าที่คนทั่วไปนับถือบูชา ที่มาวันนี้เพราะรับบัญชาจากองค์อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ให้มานิมนต์พระคุณเจ้าเป็นสาวกในพระองค์ท่าน ขณะที่พูดก็ยื่นชุดจีวรอย่างพระจีนถวายแด่หลวงปู่โต๊ะ ท่านแปลกใจนักแต่ก็มิได้สนใจไม่ว่าทั้งแปดจะอ้อนวอนอย่างไรท่านก็เพิกเฉยเสีย นานพอสมควรทั้งแปดเซียนก็ลากลับไป

    ถึงตรงนี้ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า เขามีตัวตนจริง ๆ นะ ที่วาดไว้ตามถ้วยโถเครื่องเคลือบต่าง ๆ นี่เขามีจริง

    จากวันนั้น ปรากฏว่าแปดเซียนมาอ้อนวอนหลวงปู่ทุกวันขอให้รับชุดครองอย่างพระจีนและลงใจเป็นสาวกในเจ้าแม่กวนอิม โป๊ยเซียนมาตลอดเจ็ดวัน หลวงปู่ก็ปฏิเสธไปทั้งเจ็ดวันเช่นกัน

    แต่วันนี้มาแปลก เซียนทั้งแปดเข้ามาแบบไม่เร่งรัดอะไรบอกเพียงพระคุณเจ้าตัดสินใจหรือยัง หลวงปู่โต๊ะก็ตอบปฏิเสธอีก แปดเซียนจึงว่า วันนี้พระแม่กวนอิมเสด็จมาด้วย ประทับรออยู่นอกโบสถ์ พอเซียนอ้างดังนี้หลวงปู่ก็กำหนดจิตเฉยเสียไม่สนใจ

    ไม่นานก็ได้ยินเสียงเซียนเรียกให้ลืมตา เมื่อท่านมองดูก็เห็นสตรีนางหนึ่งในอาภรณ์ขาวสะอาด ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม ทั้งยังมีรัศมีที่โอภาสสว่างไสวไปตลอดทั้งอุโบสถ

    สตรีที่บอกว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมได้ พูดจาชักจูงหลวงปู่ด้วยตัวเองตลอดเวลา ท่านเล่าว่าเสียงเจ้าแม่นั้นไพเราะนัก น้ำเสียงก็อ่อนโยน จิตท่านน่ะปฏิเสธแต่ร่างกายไม่รู้เป็นอย่างไรไปเผลอรับชุดพระจีนซึ่งเป็น กางเกงมาสวมได้ถึงเข่าก็ระลึกได้ จึงรีบถอดโยนทิ้งไป

    เจ้าแม่ก็รวบรัดเลยว่าบัดนี้หลวงปู่โต๊ะเป็นสาวกในองค์ท่านแล้ว ต่อไปนี้เมื่อถึงเทศกาลกินเจหลวงปู่ต้องฉันเจทุกคราวไปตลอดเวลา 10 วัน ว่าแล้วก็ลาหายไปพร้อมแปดเซียน
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- .jpg [ 19.2 KiB | เปิดดู 302 ครั้ง ] -->

    หลวงปู่ปกติไม่ฉันเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่แล้ว แต่การกินเจเป็นเรื่องละเอียดมาก พระผู้บิณฑบาตเลี้ยงชีพจะไปสั่งรายการอาหารญาติโยมอย่างไรได้ ท่านก็ทำเฉย ๆ พอถึงเทศกาลเจซึ่งท่านไม่ฉัน ปรากฏว่าท่านล้มป่วยหนักไม่น่าเชื่อ ครั้นพ้นเทศกาลสิบวันท่านก็หายป่วย หลวงปู่ทดลองอย่างนี้อยู่ราว 3 ปี ท่านก็แน่ใจได้ว่าเป็นด้วยอำนาจองค์กวนอิม ท่านต้องมีบุพกรรมเกี่ยวพันกันมาก่อนแน่นอน

    ปีต่อมาท่านจึงเริ่มฉันเจและท่านก็ไม่ป่วยจริง ๆ ส่วนชุดพระผู้ใหญ่ฝ่ายจีนนิกาย ท่านเปรยกับเจ้าแม่ว่าท่านไม่รู้จะหาที่ไหน เจ้าแม่ก็ว่าไม่ต้องกังวลท่านจะให้ศิษย์นำมาถวาย ไม่นานก็มีชายจีนคนหนึ่งเอาชุดพระจีนมาถวายหลวงปู่โดยบอกว่า ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมสั่งให้เอาจีวรมาถวายหลวงปู่วัดประดู่ฉิมพลี

    หลวงปู่โต๊ะจึง ห่มแต่จีวรพระจีนที่เป็นตาราง ๆ ทับลงบนจีวรอย่างพระไทยซึ่งท่านครองไว้เรียบร้อยแล้วภายในทุกวัน และจะห่มเมื่อใกล้เวลาจำวัดเท่านั้นพอรุ่งก็ถอดออก ท่านว่าไม่อยากให้ใครเห็นจะไม่ดี
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- .jpg [ 8.26 KiB | เปิดดู 301 ครั้ง ] -->

    เหตุนี้ชาวจีนจึง ขึ้น หลวงปู่โต๊ะมากเล่าลือกันไปว่าหลวงปู่โต๊ะสำเร็จเป็น เซียน แล้ว ที่จริงผมอยากบอกว่าหลวงปู่น่ะ เลยเซียน ไปแล้วด้วยซ้ำ

    ถ้าเชื่อหลวงปู่ ก็ต้องเชื่อว่าเจ้าแม่กวนอิมมีจริง แม้จะผิดหลักกาลามสูตรอยู่บ้าง วาระนี้ผมก็ยอม ด้วยผมเชื่อในหลวงปู่โต๊ะสุดหัวใจ
    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]

    <!-- img040.jpg [ 53.76 KiB | เปิดดู 431 ครั้ง ] -->

    เคยมีศิษย์คนหนึ่งนำรูปบูชาของเจ้าแม่กวนอิมไปถวาย พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา อธิษฐานจิต ท่านเอาดินสอพองมาขีดเขียนอักขระบนองค์เจ้าแม่อยู่นาน และแม้เป็นแค่ดินสอพองแต่กลับทะลุลงจับในเนื้อพระได้จนถึงวันนี้แม้ผ่านมา นานนับสิบ ๆ ปีน่าอัศจรรย์

    ต่อข้อถามถึงการมีอยู่ของพระโพธิสัตว์กวนอิม หลวงปู่ดู่ท่านได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่อธิบายอะไร หากเปรยขึ้นเพียงว่า

    “อ้อ ! เจ๊น่ะเหรอ”

    เจ๊ แปลว่า พี่สาว หลวงปู่ดู่ก็ปรารถนาพุทธภูมิ ผู้ปรารถนาเช่นนี้มีศัพท์เรียกว่า พระโพธิสัตว์ แปลว่าผู้ข้องอยู่ในความรู้ ผู้ประสงค์ความรู้แจ้ง คือการตรัสรู้นั่นเอง เมื่อทั้งสองท่านประสงค์ในเป้าหมายเดียวกัน การที่หลวงปู่เรียกพระแม่กวนอิมเชิงหยอกว่า เจ๊ อาจหมายได้ว่าองค์กวนอิมสร้างบารมีอยู่ก่อนท่าน เป็นผู้ปรารถนาจุดหมายเดียวกันหากลงมือบำเพ็ญก่อนหลังเท่านั้น ท่านเลยยกพระแม่กวนอิมเป็นพี่สาวในทางธรรม

    หลักอาวุโส-ภันเต

    ราวปี พ.ศ.2539 แม่ชีซูง้อ แซ่เอ็ง ศิษย์ในพระเดชพระคุณพระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้อาราธนาหลวงพ่อให้เดินทางไปโปรดโยมบิดา-มารดาและญาติมิตร ณ ประเทศสิงคโปร์ ทัวร์นั้นมีศิษย์ติดตามไปหลายคน

    ตอนหนึ่งของการเดินทางแม่ชีซูง้อได้พาหลวงพ่อจรัญไปชมรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่และศักดิ์สิทธิ์เป็น 1 ใน 3 องค์ที่ชาวสิงคโปร์นับถือมาก ขณะเดินชมสถานที่ซึ่งจัดแต่งอย่างสวยงามนั้น จู่ ๆ หลวงพ่อจรัญได้สั่งศิษย์ผู้ชายซึ่งถือย่ามท่านอยู่ให้เอาซองปัจจัยในย่ามของท่านทั้งหมดใส่ลงตู้รับบริจาคที่ตั้งอยู่ใกล้กับองค์เจ้าแม่กวนอิม และสั่งให้ศิษย์ที่ไปด้วยทั้งหมดลงมือทำบุญทันที กำชับอีกว่าทำบุญแล้วจงอธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนาอย่างสูงสุดในชีวิตเดี๋ยวนี้

    ทุกคนแม้งงกับเหตุการณ์แต่เชื่อหลวงพ่อนี่แน่นอนที่สุด จึงรีบควักปัจจัยหย่อนลงตู้บริจาคเป็นโกลาหล เมื่อทำบุญเสร็จและกลับมายังบ้านพัก ท่านเมตตาเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายว่า ขณะที่ท่านยืนพิจารณารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมอยู่นั้น ได้เห็นเทพธิดาองค์หนึ่งลอยออกมาจากองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณอย่างชาวจีนซึ่งสวยงามมาก แสดงคารวะต่อท่านและยิ้มแย้มยินดี

    หลวงพ่อกำหนด เห็นหนอ ก็ทราบได้ทันทีว่าเทพธิดาองค์นี้เป็นเทพเจ้าระดับสูง มีบุญญาภินิหารมากนัก บำเพ็ญบารมีมาทาง สัจจะวาจา ทำให้เป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ เมื่อให้พรใครย่อมเป็นไปตามนั้นทุกประการ ที่มารักษารูปจำลองเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เพราะรับบัญชาจากพระแม่กวนอิมโดยตรงเพื่อโปรดมนุษย์

    และขณะนั้นเทพเจ้าองค์นี้ก็ปรารถนาจะอำนวยพรแก่หลวงพ่อและชาวคณะ ท่านจึงรีบทำทานบารมีและสั่งคณะศิษย์ให้ทำตาม เพื่อสร้าง กรรมพัวพัน อันจะเปิดโอกาสให้พรที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นจริงขึ้นมา เป็นมงคลแก่คณะศิษย์ที่ติดตามไปตลอดชีวิต

    สุดยอดไหมล่ะกับหลวงพ่อวัดอัมพวัน ?

    เรื่อง เหล่านี้คือความจริงที่ผมได้มีโอกาสรับรู้ นับว่าเป็นสิริแก่ตนอย่างยิ่ง แม้จะไม่มีญาณรู้เห็นด้วยตน ชั้นชั่วแต่ได้ผู้ทรงญาณยืนยัน ผมก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ผมหายสงสัยได้ในเรื่องเจ้าแม่กวนอิม ไม่เพียงเพิ่มพูนศรัทธาในท่าน ยังเลื่อมใสไปถึงท่านผู้เมตตาแจ้งข่าวเหล่านั้นด้วย หลวงปู่โต๊ะ อินทสุวัณโณ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม และ ท่านพลโทสมาน วีระไวทยะ

    ขอกราบขอบพระคุณครับ.
    http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic98.html

     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ยืนยันเช่นเดิม เหลืออีก 3 เหรียญ ใครอยู่จนงานเลิก นับ 1-3 เฉพาะผู้มาใหม่โดยไม่เคยมาที่กิจกรรมของ รพ.สงฆ์มาก่อน ใครยกมือ ก่อนให้เลย
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ธรรมะสวัสดีสุดสัปดาห์จากทุนนิธิฯ โดยหลวงพ่อจรัญ สร้างสรรค์รูปภาพและบทความจากคุณลูกโป่ง แห่งเวบ
    หน้าหลัก�-�ธรรมจักร :: เว็บธรรมะออนไลน์

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=krD2u7wCPQk"]YouTube - สอนวิปัสสนากรรมฐานโดยหลวงพ่อจรัญ ตอนที่ 1/9[/ame]



     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พลังจิตฝ่ายไสยดำนั้นมีจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โดยเฉพาะทางเขมร แต่พลัีงคุณพระคุณเจ้าของฝ่ายอริยสงฆ์ของเราก็ใช่ย่อย รวมทั้งคุณความดีของเรา ที่ประกอบด้วย ทาน ศีล และภาวนา อันเป็นพลังบุญจะช่วยคุ้มครองป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่างพระของท่านหลวงพ่อฤาษีฯ ที่ได้ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปฐม มาช่วยเสกให้ในพระสมเด็จองค์ปฐม 1 หรือสมเด็จองค์ปฐมวัดโขงขาว ที่ยังมีราคาไม่แพงเป็นต้น ในเรื่องนี้ผมได้เคยถามพี่ใหญ่ในทุนนิธิฯ ในเรื่องที่เครื่องรางของผมที่เก็บไว้กับตัวตลอดเวลาแม้ยามนอนก็วางไว้หัวเตียง เกิดแตกร้าวและปริออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ พี่ใหญ่บอกว่า เอ็งถูกพวกที่ไม่ชอบเอ็งเล่นงาน แต่ปู่โต(ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) พรหมรังสี ฯลฯ) ท่านช่วยไว้ ไอ้คนทำโดนเข้าตัวเองบาดเจ็บไปว่ะ ตั้งแต่นั้นมา ไอ้คนที่จ้างให้หมอเขมรทำ (ผมพอจะรู้ตัวคนทำ) มันเดินก้มหน้างุด ไม่ยอมสบตากับผม แถมตัวเองต้องเดินห้อยแขนเพราะแขนเดาะไปเกือบเดือนหลังจากที่เครื่องรางของผมปริ โดยไม่ยอมบอกกับผมถึงสาเหตุที่ทำให้แขนเดี้ยง ผมจึงเชื่อว่าพลังฝ่ายต่ำนี้มีจริง แต่เดี๋ยวนี้ไม่กลัว เพราะพี่ใหญ่บอกว่า พระที่เอ็งแขวน (พระ "ปิยบารมี" ที่ทุนนิธิฯ แจกให้ฟรี สำหรับผู้ที่ทำบุญมายาวนานนั้น สามารถกันพลังที่ไอ้พวกผีบ้านี้ทำขึ้นได้ เพราะพระที่แจกให้นี้ สำเร็จได้ด้วยบารมีของท่านองค์ใหญ่พร้อมท่านต่างๆ ในภัทรกัปป ที่ได้เมตตามาทำให้นั่นเอง) คลิปวีดีโอ ต่อไปนี้ ดูเหมือนโหดมาก แต่ขอให้ตั้งใจดูไม่ใช่การทรมานสัตว์แต่เป็นการแสดงวิชาในฝ่ายไสยดำ เฉลยว่ามันสุดยอดมาก ไก่ไม่ตาย แถมลุกขึ้นวิ่งซะอีก เอากะมัน ถ้ามันเล่นปาหี่ให้เราดู ก็ถือว่ามันเก่งมากทีเดียวมาลองดูกัน...


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8J4doFTOBy8]YouTube - คาถา อาคม เขมร ...สุดยอดมาก ต้องดู!!![/ame]
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นี่ก็เป็นเรื่องเร้นลับยากที่จะอธิบายอีกเรื่องหนึ่งครับ "กะลาตาเดียว"

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=yrh62pS0108]YouTube - หมอดู กะลาหมุน (ไสยศาสตร์และพลังจิต)[/ame]


     
  8. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    เอาบุญมาฝากทุกๆท่านครับ


    วันนีี้ไปทำบุญวันเกิดหลวงพ่อที่วัดอัมพวัน บารมีท่านล้นออกมาถึงถนนสายเอเซีย รถติดเป็นกิโลเลยครับ ต้องจอดรถไว้ที่ถนนใหญ่เป็นจำนวนมากรวมทั้งผมด้วย กว่าจะได้ภาพนี้มาต้องใช้ความพยยายามอย่างมากเลยครับ

    อดทนหนอ......อดทนหนอ............

    ใครยังไม่เคยไปกราบท่านและอยากไป ท่านจะลงรับแขกทุกๆวัน 10โมงเช้าและบ่าย2โมง

    โมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN5082.JPG
      DSCN5082.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.6 MB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 สิงหาคม 2009
  9. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,697
    ขอร่วมทำบุญกับทางทุนนิธิฯครับ

    จำนวนเงิน 299 บาท โอนเงินแล้วครับ 20.30 น. วันนี้ครับ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    สุขสดใส..ถ้าใจสงบ

    หากพูดถึงความสุขสดใสในชีวิต..
    หลายคนคงปรารถนาและต้องการ..

    หลายคนพยายามที่จะแสวงหา..
    ความสุขสดใส..
    เพื่อมาเติมเต็มในชีวิต..

    แต่เชื่อหรือไม่ว่า..
    ความสุขสดใสในชีวิต..
    เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ..ที่หลายคนมองข้าม..
    นั่นคือ..ความสงบภายในจิตใจเท่านั้นเอง..

    เราพยายามที่จะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ..
    เพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิต..
    แต่ลืมที่จะเติมเต็มความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ..
    ที่เกิดจาก..ความสงบ..

    เพียงเราสูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ..
    ในช่วงขณะใดขณะหนึ่ง..
    ที่เราเกิดความรู้สึกท้อแท้..สิ้นหวัง..
    เหนื่อยล้า..หมดหวัง..
    ลองพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ดู..
    เราจะรู้สึกและสัมผัสได้..
    กับความสุขสงบภายในชั่วพริบตา..

    หลายครั้งที่เราเหน็ดเหนื่อย..
    จากเรื่องราวในชีวิต..
    ลองหาที่พึ่งภายในจิตใจดูบ้าง..
    แล้วเราจะได้พบความสุขสงบภายใน..
    เป็นความสุขสดใสในชีวิตที่แท้จริงของเรา..

    คงไม่ยากเกินไป..
    ถ้าเราจะลองลงมือสร้างความสุขสงบภายในจิตใจ..
    เพียงแค่เรามี..ลมหายใจ..

    เราก็จะสามารถ..
    สร้างความสุข..ความสงบที่ยิ่งใหญ่..
    ในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี..

    อย่ามัวแต่รอ..
    หรือมัวแต่ชักช้า..อยู่ร่ำไป..
    จงรีบสร้างความสุขสงบภายในจิตใจของเรา..
    เพียงเรามีสติ..และรู้จักใช้ลมหายใจ..เท่านั้นเอง..

    เพราะความสุขสงบที่แท้จริง..
    ไม่ได้แสวงหาจากที่ไหนไกล ๆ เลย..
    แต่เริ่มจากตัวของเราเอง..
    เพียงแค่เรามีลมหายใจ..
    ความสุข-ความสงบก็จะเกิดขึ้นกับเราได้ทุก ๆ วินาที..



    บทความ..โดย..ชายน้อย..
    ที่มา : dhammathai.org
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]



    พ้นจากความทุกข์ได้ก็เพราะใจ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

    พระพุทธเจ้าท่านสอนน้อยนิดเดียว

    ไม่ ได้สอนมากหรอกสอนให้เห็นใจของตนเท่านั้นแหละเป็นพอ เรียนมากรู้มาก ถ้าไม่เห็นใจของตนเองแล้วละก็หมดเรื่อง เรียนมากรู้มาก ส่งออกไปเลยไม่รู้ตัวว่า นั่นน้ำมันซัดไป ผู้เรียนน้อย เรียนรู้ใจ ให้รักษาใจให้มั่นคงได้ก็เป็นพอแล้ว

    จะพ้นจากความทุกข์ได้ก็เพราะใจ
    คือ เรารักษาใจของเราไม่ให้น้ำซัดไป ถ้าหากเรารักษาใจได้จริงๆ จังๆ
    จะให้มันโกรธก็ได้ จะไม่ให้มันโกรธก็ได้ จะอยู่เฉยๆก็ได้


    ลองคิดดูเถอะ สบายใจไหม มันจะโกรธแล้วไม่โกรธ มันจะสบายใจไหมละ หรือว่าไม่สบาย
    ไฟไหม้เผาบ้านที่อยู่ของเรามันจะสบายที่ไหน

    เอาชนะคนอื่นมันเป็นอย่างนั้นแหละ
    ถ้าเอาชนะตนเองสงบนิ่งเฉยไม่มีโกรธ
    มีแต่สบาย ทุกคนก็สบายไปหมด


    ทำอะไรๆ ก็หาความสบายด้วยกันทั้งนั้นแหละ หาเงินหาทองข้าวของสมบัติอะไรทั้งหมด
    หาความสบายทั้งนั้น ทางโลกเขาว่า คนไม่รู้จักโกรธ คือ คนไม่มีจิตใจ อยู่เฉยๆ
    มันจะมีดีอะไร อย่าไปเชื่อคำพูดของเขา จะเสียคน

    เราเชื่อตัวของเราเองดีกว่า กิเลสเหล่านี้ คือ โลภ โกรธ หลง เป็นต้น
    ของเรามีเยอะแต่เราไม่เอามาใช้ เพราะมันทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์ เราไม่เอามาใช้ดีกว่า


    : กิเลส วัดหินหมากเป้ง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๕
    : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คนเราเพียงแต่รับศีล แต่ไม่ได้รักษาศีล
    (หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)


    [​IMG]






    ผลงานของคุณลูกโป่งเจ้าประจำแห่งเวบ
    http://www.dhammajak.net


     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    นำมาเล่าจากคุณลูกโป่งเช่นกัน

    [​IMG]

    พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จําจากเจ้าไม่อยู่นาน
    จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน

    ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
    แค่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป

    ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
    คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน

    ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตาช่วยอาทร
    ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

    เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
    ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน

    เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
    หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม

    ขอโทษถ้าทําผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม
    ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย

    ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้
    วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง



    อ.สุนทรเกตุ
     
  14. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    <TABLE class=ms10 width=570 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=570>ระบบทำรายการตามคำสั่งของท่านเรียบร้อย ธนาคารขอขอบคุณที่ใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง</TD></TR><TR><TD align=middle width=570>Your request has been done. Thank you for using TMB Internet Banking. </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- <hr width="570" color="#AAAAFF" align="center"> --><TABLE class=ms10 cellPadding=2 width=560 bgColor=#f2f2e6 border=0><TBODY><TR><TD align=left width="50%"> ชื่อผู้ทำรายการ Transfered By</TD><TD align=left width="50%">บุรักษ์ ศาลากิจ</TD></TR><TR><TD align=left> วัน/เวลา ทำรายการโอน Transfer Date/Time</TD><TD align=left>17/08/2009 09:46:19 AM</TD></TR><!-- From Account --><TR><TD align=left> ชื่อบัญชีส่วนตัวผู้โอน From Account Nickname</TD><TD align=left>aaa01</TD></TR><TR><TD align=left> ชื่อบัญชีผู้โอน From Account Name </TD><TD align=left>นาย บุรักษ์ ศาลากิจ </TD></TR><!-- To Account --><TR><TD> ธนาคารผู้รับโอน To Bank</TD><TD>ธ.กรุงศรีอยุธยา - BAY</TD></TR><TR><TD> ชื่อบัญชีผู้รับโอน To Account Name</TD><TD>PRATOM F. </TD></TR><TR><TD> เลขที่บัญชีผู้รับโอน To Account No. </B></TD><TD>348-1-23245-9</TD></TR><TR><TD align=left> จำนวนเงินโอน Amount ( Baht )</TD><TD align=left>2,000.00</TD></TR><TR><TD align=left> ค่าธรรมเนียมการโอน Transfer Fee</TD><TD align=left>0.00</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=ms10 width=560 bgColor=#d8d8b1 border=0><!-- Confirmation Reference #--><TBODY><TR><TD align=left width="50%"> หมายเลขอ้างอิงรายการ Reference No.</TD><TD align=left width="50%">tmbi989392 </TD></TR><TR><TD align=left width=270> หมายเลขอ้างอิงระหว่างธนาคาร ORFT Ref. No.</TD><TD align=left width=290>250477152707</TD></TR></TBODY></TABLE>

    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพและพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด


    และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า ไม่รู้ ไม่มี ไม่สำเร็จ จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด



    ~~~~~~~~:::::<<>>:::::~~~~~~~~

    หลังจากที่ได้ทำทาน รักษาศีล ๕ (ครบ ๑ วัน) เจริญภาวนา นั่งสมาธิกรรมฐาน
    เราควรจะอธิษฐาน ๕ อย่างนอกเหนือจากกรวดน้ำและแผ่เมตตาจิต โดยมีใจความดังนี้
    ๑.ขอให้เกิดมาในประเทศที่สมควร
    ๒.ขอให้เกิดมาแล้วเจอพระพุทธศาสนา
    ๓.ขอให้เกิดมาแล้วขอให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมได้
    ๔.ขอให้เกิดมาแล้วได้เป็นผู้ทำบุญมาก
    ๕.ขอให้เกิดมาแล้วได้สดับตับฟังธรรมมาก
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    มหัศจรรย์แห่งชีวิต...
    หลักคิดจากท่าน ว.วชิรเมธี

    <!--Main-->

    ๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
    ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
    ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

    ๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
    (๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
    (๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
    (๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
    (๔) ขออย่าให้ตายในสงคราม ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

    ๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดีี?
    ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
    ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
    ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

    ๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
    งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
    รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
    อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

    ๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
    โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
    คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
    คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
    ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

    ๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
    (๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
    (๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
    (๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
    ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

    ๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
    เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
    แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

    ๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
    (๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
    (๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
    (๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
    สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

    ๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
    โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
    คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
    คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
    เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
    ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

    ๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
    (๑) หางานใหม่
    (๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
    (๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
    (๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
    จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

    ๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
    คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
    คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
    แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

    ๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
    ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
    แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
    แทนที่จะไถ่โคกระบือ
    คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

    ๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
    ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
    ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

    ๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
    มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
    ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
    ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

    ๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
    (๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
    (๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
    (๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

    ๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
    (๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
    (๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
    จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
    (๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
    คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

    ๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
    (๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
    (๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
    (๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
    เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

    ๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
    (๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
    (๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
    (๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

    ๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
    ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
    ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

    ๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
    ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
    ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน



    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=donation&month=06-08-2009&group=4&gblog=4

     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    พรใดที่เฮียฯ คิด จงสัมฤทธิ์ ดังใจหวัง
    ทั้งรูป-นาม แม้ผ่านไป ไม่จีรัง
    แต่บุญยัง ตามข้ามภพ นบพระพุทธองค์

    ขออนุโมทนาและสาธุบุญกับเฮียปอฯ ด้วยครับ...

    [​IMG]

    (รูปพระพุทธรูปองค์นี้ ผมมักใช้รูปท่านระลึกเป็นพุทธานุสสติแห่งการสงบใจในการนั่งสมาธิ หรือทำกิจอื่นที่เกี่ยวกับการฝึกสมาธิมาโดยตลอด ใบหน้าท่านจะอิ่มเอิบ แสงสว่างๆ น้อยๆ ชวนให้สบายตาและควรค่าแก่การสงบใจ ในการสลับกันเพ่งระหว่างพระพุทธรูป กับแสงสว่างบริเวณที่พระอุระท่านตลอด แบบมาเร็วไปเร็วติดตาดีครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2009
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ทุก ๆ คนขอให้พากันพิจารณาถึงเรื่องทุกข์ คนใดถ้าไม่เอาทุกข์มาเป็นอารมณ์[/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]ไม่มีทางที่จะพ้นจากทุกข์ได้ คนเราถ้าหากไม่เห็นทุกข์ด้วยตนเองแล้ว มันจะเห็นทางพ้นจากทุกข์ได้ที่ไหน[/FONT]
    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC]พุทธานุสสติ[/FONT][FONT=Angsana New, AngsanaUPC]
    เทศน์ ณ วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
    วันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒
    [/FONT]​

    [FONT=Angsana New, AngsanaUPC] วันนี้จะเทศนา อนุสสติ จงตั้งสติกำหนดจิตฟังให้ดี อนุสสติมี ๑๐ อย่างนั่นคือ
    ๑. พุทธานุสสติ
    ๒. ธัมมานุสสติ
    ๓. สังฆานุสสติ
    ๔. สีลานุสสติ
    ๕. จาคานุสสติ
    ๖. เทวตานุสสติ
    ๗. มรณานุสสติ
    ๘. กายคตานุสสติ
    ๙. อานาปานุสสติ
    ๑๐. อุปสมานุสสติ

    อนุสสติแต่ละอย่างๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นกัมมัฏฐานอันลึกซึ้งถึงที่สุดทั้งนั้น ในสมัยก่อน ท่านทำได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน แต่พวกเรามาทำในสมัยนี้ไม่สำเร็จมรรคผลนิพพาน คือว่าเราทำไม่ถึงอนุสสตินั่นเอง เมื่อของดีๆ มีราคาสูงไปตกกับคนไม่รู้จักใช้ มันก็เลยไม่มีคุณค่าอะไร
    อนุสสติ
    คือ เครื่องระลึกถึงของดี เราไม่มีดีในตัวเราจึงต้องเอาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือศีล ซึ่งเป็นของดีของท่านมาเป็นเครื่องระลึก เมื่อนำเอาของท่านมาระลึกแล้ว ก็จะซาบซึ้งเข้าถึงใจ ของดีเหล่านั้นก็จะเกิดมีในตัวของตน หรืออนุสสติก็จะเกิดมีขึ้นในตน เพราะฉะนั้นจงตั้งใจฟังอนุสสติต่อไป
    พุทธานุสสติ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เพียงแต่นึกถึงพุทโธๆ เท่านั้นแหละ ถ้าหากใจเป็นพุทโธ ใจถึงพระพุทธเจ้า เข้าแดนพระพุทธเจ้า เข้าเขตของพระพุทธเจ้าแล้ว ความพิสดารมันกว้างขวาง จิตอันนั้นไม่ใช่ปุถุชน จิตอันนั้นเป็นของบริสุทธิ์ จะเห็นคุณของพระพุทธเจ้า
    ถ้าหากยังไม่ถึงแดนของพระพุทธเจ้า เขตพระพุทธเจ้า ไม่เข้าถึงส่วนของพระองค์ มันก็ยังไม่เห็นคุณของพระองค์อยู่อย่างเดิมนั่นเหละ จะว่าพุทโธๆ สักเท่าใดก็เหมือนนกแก้วนกขุนทอง ว่าไปอย่างนั้นเอง
    การที่จะเข้าถึงและเห็นคุณพระพุทธเจ้านั้น เมื่อนึกพุทโธอย่าเป็นเพียงแต่นึกถึงพุทโธ ท่านพรรณนาถึงพุทโธ หรือพระคุณของพระพุทธองค์ไว้ตั้ง ๙ บท มี อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นต้น
    คำว่า ภควา หมายความว่า พระองค์เป็นผู้มีส่วน คือ มีส่วนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่พระองค์จะต้องได้รับและพระองค์ก็ได้รับไว้แล้ว
    เปรียบเหมือนกับบุตรธิดาที่เกิดมาในตระกูล ควรจะได้รับมูลมรดกด้วยกันทุกคน แล้วก็ได้รับส่วนแบ่งนั้นไปอย่างเรียบร้อย ชอบตามกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะนำไปประกอบอาชีพได้ตามฐานะของตน บางคนก็เจริญดี บางคนก็ไม่เจริญ เป็นธรรมดาของปุถุชน ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระองค์ได้รับส่วนของพระพุทธเจ้า ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมเจริญรุ่งเรืองเหมือนกันทุกๆ พระองค์ เว้นแต่จะเจริญไปองค์ละแบบ ดังที่พระองค์พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ไว้ว่า
    พระพุทธเจ้าชื่อ วิปัสสี ผู้มีจักษุ ผู้มีสิริ
    พระพุทธเจ้าชื่อ สิกขี ผู้มีปกติอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง
    พระพุทธเจ้าชื่อ เวสสภู ผู้มีกิเลสอันชำระล้างแล้ว ผู้มีตบะ เป็นต้น
    ดังนั้นเมื่อเรานึกถึงภควา ( เป็นผู้มีส่วน ) เท่านี้ ก็จะเห็นแจ้งตลอดไปหมดทั้ง ๙ บท เพราะพระองค์เป็นผู้มีส่วนเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ฉะนั้นบทอื่นๆ ตั้งแต่ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นต้นไป ซึ่งแปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้เองชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้วรู้แจ้งโลกทั้งสาม เป็นผู้ทรงหัดบุรุษและเทวดาอันไม่มีใครเหมือนพระองค์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้จำแนกแจกธรรม ( แก่เขาเหล่านั้น ) พระคุณเหล่านี้ล้วนแต่เกิดจากบท ภควา ทั้งสิ้น
    เรามาระลึกพระคุณเพียงบท ภควา เท่านี้แหละ เช่นระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ที่ล่วงลับไปแล้วในอดีตไม่มีที่สิ้นสุด คนเกิดขึ้นมาในโลกมากแสนมากเหลือที่จะคณานับ ต้องมีคนหนึ่งนั่นแหละที่คิดแตกต่างกันขึ้นคือ คิดเอ็นดูสงสารมนุษย์ชาวโลก เห็นสัตว์ทั้งหลายตกทุกข์ได้ยากมัวเมาอยู่กับทุกข์ เพลิดเพลินอยู่กับทุกข์โดยสำคัญว่าสุข สงสารเอ็นดูปรารถนาอยากจะสอนเขา ท่านปรารถนาพุทธภูมิ อุตส่าห์สละเลือดเนื้อเชื้อไขความสุขส่วนตัว บำเพ็ญเพียร มี ทาน ศีล เป็นต้น เรียกว่า บารมี ๑o ทัศน์ ให้สมบูรณ์ เพื่อที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เรามาระลึกถึงคุณของพระองค์ มี เมตตาคุณ ปัญญาคุณ เท่านั้นแหละ คุณความดีนั้นก็จะแผ่ซ่านเข้าไปถึงจิตใจ เมื่อจิตใจได้รับเอาคุณของพระพุทธเจ้า คุณธรรมอันนั้นมาปรากฎแก่ใจ เห็นชัดแจ่มแจ้งขึ้นในใจ เมตตา กรุณา และปัญญาคุณของพระองค์จะปรากฎมากมายเหลือที่จะคณานับ อันส่วนที่เราได้รับนี้น้อยนิดเดียว แต่ก็นับว่าดีอักโข ถึงแม้ว่าเราได้รับขนาดนี้ เห็นประจักษ์แจ้งชัดขึ้นมาในใจของตนเพียงแค่นี้ ก็เรียกว่า แสงสว่างของพระพุทธเจ้าฉายเข้ามาสู่ดวงใจของเราแล้ว ไม่ต้องพูดพรรณนาคุณมากมาย ได้สักอันหนึ่งก็พอ ท่านเป็นผู้มีส่วน เราก็มีส่วนได้นิดหนึ่งก็นับว่าดีอักโข
    บทที่จะกล่าวต่อไปว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัดกิเลสอะไรต่างๆ นั้นไม่ต้องพูดถึงหรอก ถูกต้องหมดทุกอย่างจะว่าอะไรก็ถูก ตัดจากกิเลสบาปธรรมก็ถูก ไกลจากกิเลสก็ถูก วางกิเลส ทิ้งกิเลส ก็ถูกอันเดียวกันนั่นแหละ ว่าตามภาษาตัวหนังสือเลยไม่มีที่สิ้นสุด
    ในเมื่อผู้ละแล้วผู้ถอนแล้ว เข้าถึงคุณของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์แล้ว ย่อมเห็นคุณของพระองค์แจ้งชัด แน่วแน่อยู่เช่นนั้น อันนี้แหละเรียกว่า ถึงคุณพระพุทธเจ้า การถึงถึงคุณพระพุทธเจ้าต้องถึงอย่างนี้ ไม่ใช่ถึงด้วยการว่าบทต่างๆ เป็นข้อเป็นคำไป ว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ไม่ต้องพิจารณาอย่างนั้น พิจารณาให้เห็นชัดในบทว่า เรามีส่วนในความเป็นมาของพระองค์แม้จะน้อยนิดเดียวก็พอแล้ว ดังที่พระพุทธองค์ทรงอุทานในวันตรัสรู้ว่า ธรรมนี้เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย
    จกฺขํ อุทปาทิ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองได้เกิดขึ้นแล้ว ( คือมองเห็นโล่งไปหมด มองเห็นเหตุเห็นผล เช่น มองดูมนุษย์ที่เกิดมาเพราะกรรม ตัณหา อวิชชา เป็นต้นเหตุ ตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ขาดอาหารก็ดับไปอย่างนี้เป็นต้น )
    วิชฺชา อุทปาทิ นี้เป็นความรู้อันไม่ใช่สาธารณะทั่วไปแก่บุคคลอื่น รู้เฉพาะตนเองเท่านั้น จึงหมดสงสัยในธรรมทั้งปวง
    ปญฺญา อุทปาทิ เมื่อพิจารณารอบๆ ไปทุกแง่ทุกมุมทั้งภายนอกภายในแล้วเห็นว่าตรงกับเหตุผลความเป็นจริงทุกประการ ยิ่งเชื่อมั่นหมดความสงสัย ไม่มีอันใดจะปกปิดเหลือไว้อีกแล้ว
    อาโลโก อุทปาทิ โลกเป็นอันเปิดสว่างแจ้งโล่งไปหมด คือ สัตว์ในพื้นปฐพีนี้มีกิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ อย่างไร พระองค์ย่อมทรงรู้ทั้งหมด จึงเรียกว่ารู้แจ้งโลก ไม่มีอะไรปกปิดกำบัง
    ดังนั้นพวกเราจะเข้าถึง พุทธภูมิ คือ ภูมิของพระพุทธเจ้าด้วยการที่เราสงบ เราตั้งสติกำหนดจิตให้สงบเท่านี้แหละ พระพุทธเจ้าก็ทรงทำอย่างนี้ พระองค์ทรงสอนอย่างนี้ พระสาวกก็สอนอย่างนี้ ตั้งสติกำหนดจิตที่ส่งส่ายไม่ให้ส่งส่ายเท่านั้น เมื่อจิตอยู่นิ่งแล้วก็รู้จักว่าจิตอยู่ นับว่าเป็นเบื้องต้นของความรู้ แต่ก่อนเราไม่รู้จักจิต อยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่รู้ คราวนี้เรากำหนดจิตให้อยู่ สติควบคุมจิตอยู่ที่เดียว เรารู้แล้วว่าจิตของเราอยู่ ไม่ใช่ของทำง่ายๆ ต้องฝึกฝนอบรม
    ถ้าคุมสติรักษาจิตใจให้อยู่ในอำนาจของตนแล้ว มันจะไปไหนเล่า อันความรู้ความฉลาดสามารถรู้สิ่งทั้งปวงทั้งหมด ก็ออกไปจากอันนี้ จะไปรู้ที่ไหนไปรู้อะไรอีก ที่ไปรู้อะไรๆ ก็ออกไปจากจิตอันนี้แหละ พระองค์ทรงรู้ต้นตอบ่อเกิดของกิเลสทั้งปวงหมด เรานั้นอยากจะรู้นั่นรู้นี่ เห็นนั่นเห็นนี่อะไรต่างๆ ถ้าหากจิตของตนไม่อยู่นิ่ง มันไม่เห็นหรอก พระองค์ทรงเข้ามารู้ที่นี่เสียก่อน เมื่อเราเข้าถึงอันนั้นจึงเรียกว่าเข้าถึงภูมิของพระพุทธเจ้าส่วนหนึ่งเข้า ถึงแดนของท่าน พอได้ติดนิดหนึ่งก็เอาละเท่านั้นก็พอแล้ว จงยินดีพอใจในอันนั้น นานๆ เข้ามันหากค่อยรู้ขึ้นมาค่อยเห็นขึ้นมา
    การรักษาจิตไว้ตรงนั้นไม่ใช่ของง่ายๆ เพราะจิตไม่ใช่เป็นของเป็นตนเป็นตัว ไม่ใช่จะเอาเชือกผูกอย่างผูกวัวผูกควาย จิตมันกวัดแกว่ง จิตมันดิ้นรนกระเสือกกระสนไปมา หากเรายังไม่รู้ว่าจิตมันกวัดแกว่ง จิตดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่เป็นนิจแล้ว มันก็จะไปตามของเก่าอยู่อย่างนั้น อย่างที่เคยเทศน์ให้ฟังแล้วว่า จิตมันคิดของเก่า
    คิดดูซี วันหนึ่งๆ มันคิดอะไรบ้าง เราลืมของเก่าของตนเองต่างหาก มันคิดวนไปเวียนมาอยู่กับของเก่านี่แหละ คิดเกี่ยวกับลูกกับหลาน คิดเกี่ยวกับบ้านกับช่อง คิดเกี่ยวกับสิ่งของวัตถุทั้งปวงหมด คิดกับหมู่กับเพื่อนกับพี่กับน้อง กับญาติกับวงศ์ ก็คิดของเก่านั่นแหละ แต่ไหนแต่ไรมาก็คิดแต่เรื่องเหล่านี้แหละ คิดถึงสมบัติพัสถาน หาอยู่หากิน คิดกับเรื่องเหล่านี้แหละทุกๆวันไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย แล้วยังจะคิดต่อไปอีก ถ้าหากว่าเรารักษาจิตไม่อยู่ อันนี้เป็นแดนมนุษย์แดนปุถุชน แดนพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น แดนพระพุทธเจ้าต้องสงบ มีสติควบคุมจิตอยู่ตลอดเวลา แดนของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนั้น
    ธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงก็แสดงออกไปจากนั่นแหละ ออกไปจากอะไร ออกไปจากจิต จิตที่มันคิดมันนึกส่งส่าย พระองค์จึงเทศนาอันที่มันส่งส่ายวุ่นวายอยู่นั่น ไม่ใช่อันอื่นหรอก พระองค์ทรงบอก ให้ละมันเสียแล้วอยู่ด้วยความสงบ นี่แหละให้รักษาไว้ ก็เท่านี้เองจะไปแสดงที่ไหน เทศน์ก็เทศน์อันเดียวนั่นเอง จึงเรียกว่าเทศน์ของเก่า ของเก่าที่ไม่รู้แล้วรู้รอดกันสักที เทศนาไปก็ไม่จบสักที พระองค์ทรงเทศนา ๔๕ ปี ก็เทศนาของเก่าอยู่นี้แหละ ที่เราแสดงถึงเรื่องพระคุณของพระองค์นี้ ก็คุณอันเก่านั่นแหละ อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็ของเก่านั่นแหละ
    พระพุทธเจ้าองค์นี้เกิดขึ้นมาแล้ว เทศนาพรรณนาถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าองค์ที่ล่วงลับไปแล้วแต่ละพระองค์ตลอดชีวิตของพระองค์ก็ไม่หมดสิ้น พระคุณอเนกอนันต์ ถ้าพูดถึงเรื่องราวมันก็มากมายกว้างขวางจึงว่า ให้รวมจิตลงให้มั่นเป็นหนึ่งได้เสียก่อน รักษาใจให้อยู่ให้สงบ ควบคุมจิตให้อยู่อันเดียวเท่านั้น ส่วนพิศดารอื่นๆ ก็แล้วแต่นิสัยของตน อย่าไปอยากเป็นอย่างท่านที่รู้มากๆเลย คนเรามิใช่เป็นอย่างเดียวกันทุกคน คนนับเป็นหมื่นเป็นแสน จะเป็นอย่างนั้นสักคนเดียวก็ทั้งยาก
    พระสาวกของพระพุทธเจ้า ท่านยังจัดไว้หลายประเภท ประเภทที่ได้สำเร็จแล้วไม่อยากพูดก็มี ประเภทที่ได้สำเร็จแล้วพูดเฉพาะหมู่เพื่อนกันเองก็มี ประเภทที่ได้สำเร็จแล้วพูดมาก จนมีผู้ปฏิบัติตาม จนกระทั่งได้สำเร็จตามก็มี ประเภทที่ได้สำเร็จแล้วรู้เหตุรู้ผล รู้เรื่องรู้ราวแตกฉานทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขัดข้องก็มี พวกท่านเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ได้ปฏิบัติตนให้ถึงความสงบ จิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวทั้งนั้น มิใช่อยากเป็นแต่ฝึกหัดจิตไม่สงบอย่างพวกเรา ความอยากเลยไม่สำเร็จตามปรารถนา
    เหตุนั้นจึงว่า อย่าไปมัวเมาหลงของเก่าเลย ท่านสอนตรงจิตสงบอยู่อันหนึ่งอันเดียว และรักษาจิตให้อยู่อันเดียวนั่นแหละ ตรงนี้แหละสำคัญที่สุด ที่จะเทศนาถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องเทศน์อันนี้ให้รู้จักอันนี้เสียก่อน จึงจะเทศน์ให้กว้างขวางออกไปได้
    วันนี้เทศน์เท่านี้แหละ เอวํฯ
    [/FONT]​
    www.thewayofdhamma.org


    [​IMG]



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2009
  18. ต้นแก้ว

    ต้นแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,569
    ได้โอนเงินทำบุญทุนนิธิสงเคราะห์พระภิกษุอาพาธ 300 บาท 18/08/52 เวลา 12.30 น. อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  19. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ทำให้การรวบรวมบุญล่าช้าไปหน่อยนะครับ...แต่จะไม่ให้พลาด
    09.23 น.ได้โอนปัจจัยทำบุญเพื่อการทำบุญในทุนนิธิสงฆ์อาพาธและอื่นๆที่คณะกรรมการเห็นสมควรแห่งบุญ
    ด้วยปัจจัยที่ส่งเพื่อการทำบุญนี้ จำนวน 1100 บาท
    เหล่าเพื่อนกันทุกท่านได้หาปัจจัยนี้...ได้มาอย่างเหนื่อยยาก
    แต่ทั้งหมดก็เต็มใจที่ได้ร่วมบุญสงฆ์อาพาธแห่งนี้ แม้ไม่ใช่จำนวนที่มากมายอะไร
    แต่ทั้งหมดทำด้วยจิตด้วยใจ...ของเขาเหล่านั้นทั้งหลาย
    ขอพลานิสงฆ์ผลแห่งบุญของการอุปปัฏฐากพระเจ้าพระสงฆ์ซึ่งประหนึ่งอุปปัฏฐากพระพุทธองค์นี้
    ขอเพื่อนๆทั้งหลายแม้ตัวข้าพเจ้าเองตลอดจนครอบครัวของเขาและข้าฯ....
    จงเป็นผู้รุ่งเรืองเจริญ รู้ธรรมเห็นธรรม ขึ้นชื่อว่าความข้องขัดอย่าได้มี
    ขอความสำเร็จจงบังเกิดมี แก่เขาเหล่านั้นด้วยเถิด.....
    ตลอดถึงผลแห่งบุญอันยิ่งใหญ่นี้...คณะศรัทธาในทุนนิธิฯแห่งนี้ทั้งหมด จงมีส่วนแห่งบุญนี้ทุกท่านทุกคน..นะครับ
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    คำว่าภาวนานี้ ได้แก่สงบจิตสงบใจ ไม่ให้ใจวุ่นวาย
    คิดถึงบ้านเรือน คิดถึงลูกหลาน วุ่นวายไปภายนอก
    ให้พากันระลึกถึงมรณภัย มรณกรรมฐานมันใกล้เข้ามาทุกวันทุกคืน
    ไม่ใช่ว่าเราอยู่ที่เก่า สังขารธรรมทั้งหลาย รูปร่างกายของเราทุกคน
    มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมไปสิ้นทุกวันคืน
    แม้ผู้ที่ยังเด็กยังหนุ่ม ก็อย่าประมาทมัวเมาว่าข้าพเจ้าไม่แก่
    การตายไม่เฉพาะแต่คนแก่ บางคนคนหนุ่มนั้นตายก่อนคนแก่ก็มี
    คนแก่ยังยืนยาวคราวไกลไปก็มี ทุกคนจงระลึกถึงมรณภัยคือความตาย
    ไม่มีทางหลบหลีก แม้หลบหลีกได้ว่า ในเวลาเราหนุ่มแน่น กำลังดีไม่ตาย
    เมื่อถึงวัยแก่วัยชราก็ไม่มีทางหลบ จำเป็นต้องแตกดับทำลาย


    แต่ผู้ใดภาวนาดี ละกิเลสความโกรธหมดไป ละกิเลสความโลภหมดไป
    ละกิเลสความหลงหมดไป ผู้นั้นก็ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนประการใด
    แม้ความตายมาถึงเข้า ท่านก็ยอมตาย คือ ท่านเห็นแล้วว่า
    ตายเป็นเรื่องของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
    มันกระจัดกระจายไปเขาก็เรียกว่าตาย ใช้การไม่ได้
    เขาก็เรียกว่าตาย จิตใจมันไม่ได้ตาย
    จิตใจไม่ได้ตายนั้น ย่อมส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า
    แม้พระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราว่าท่านดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว
    มันก็เป็นแต่ว่าดวงจิตดวงใจของท่านส่วนหนึ่ง
    ร่างกายของท่านแตกดับไป แต่จิตใจเป็นของไม่ตาย
    แต่จิตนี้เมื่อละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หมดไปแล้ว
    ออกจากจิตใจไปแล้ว เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องใส
    จะอยู่ที่ใดเป็นอะไร ก็ชื่อว่าอยู่ในนิพพาน
    ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์เป็นร้อน
    อย่างสามัญชนคนเราทั่วไป
    คนเราทั่วไปที่มันทุกข์มันร้อนอยู่ ก็คือว่ากิเลสทางตา
    ได้แก่ รูป ตาเห็นรูปก็เกิดกิเลส หูได้ยินเสียงก็เกิดกิเลส
    เพราะกิเลสมันยังไม่ดับ จึงจำเป็นต้องตั้งอกตั้งใจภาวนา
    อย่ามีความท้อถอย ผู้ใดท้อถอยชื่อว่าเป็นผู้มัวเมา
    จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
    ยุ่งเหยิงอยู่ด้วยกิเลสกาม วัตถุกาม


    ตั้งแต่วันนี้ไป ให้พากันตัดบ่วงห่วงอาลัย

    อารมณ์สัญญาที่คิดถึงบ้านถึงเรือน ถึงลูกถึงหลาน
    ถึงอะไรต่อมิอะไรให้ตัดขาด ว่าสถานที่เรานั่งสมาธิภาวนาอยู่นี้
    เท่ากันกับว่าเป็นสถานที่วิเศษ เป็นทางที่จะให้เราทุกคนละกิเลสให้หมดไปสิ้นไปได้
    ถ้าตั้งใจภาวนา แต่ไม่ใช่ว่าสถานที่จะมาละกิเลสให้เรา
    ใจเรานี้แหละภาวนาละกิเลสเอาเอง

    กิเลสนั้น เมื่อผู้ใดเลิกได้ละได้แล้ว ไม่เลือกว่าเณร ไม่เลือกว่าพระ
    ไม่เลือกว่าจะสมมุติว่า เป็นธรรมยุต เป็นมหานิกาย อะไรก็ได้ทั้งนั้น
    ไม่ใช่สมมุตินั้นละกิเลส
    การละกิเลสมันเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละดวงจิตดวงใจ
    ผ้าขาวผ้าเหลืองไม่ได้มาละกิเลสให้
    สถานที่ก็ไม่ได้มาละกิเลสให้แก่เรา จิตใจเรานั้นเองเป็นผู้ละกิเลส


    ลานธรรมจักร &bull; แสดงกระทู้ - จิตพระอริยอยู่เหนือกิเลส
     

แชร์หน้านี้

Loading...