ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    [​IMG]


    ธรรมะจากหลวงปู่แหวน

    เป็นบทความที่ติดไว้เตือนใจตัวเองบนโต๊ะทำงาน เมื่อใดที่ทุกข์เกิดขึ้น ก็ได้อาศัยข้อธรรมะนี้เตือนใจตัวเองให้ละวางทุกข์นั้น ความสงบเย็นแห่งธรรมะนี้ได้ช่วยให้ผ่านทุกข์ต่างๆ มาได้ด้วยสติและใจอันสงบเสมอค่ะ

    หวังว่าธรรมะนี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนนะค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใครที่กำลังมีทุกข์ ไม่ว่าในเรื่องใด ก็ขอให้ธรรมะจากหลวงปู่แหวนที่คัดลอกมานี้ ได้ช่วยให้เกิดความร่มเย็นในจิตใจ ผ่านพ้นทุกข์ได้ด้วยสติและใจอันสงบ เกิดปัญญาแก้ปัญหาได้ และปลูกสร้างศรัทธาให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปคะ

    หากท่านใดชอบใจ จะคัดลอกต่อเพื่อเผยแพร่ต่อๆ กันไป ก็ยินดี และขอร่วมอนุโมทนาด้วยค่ะ


    "การละอารมณ์"


    มรณาตัวนี้ตัวเดียว ทั้งโลกเต็มแผ่นดินนี้มีแต่มรณาทั้งนั้น เราก็คนหนึ่ง เราเกิดมาแล้ว มันต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกรูปทุกนาม มันเป็นกงจักรใหญ่ให้มนุษย์และสัตว์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในโลกอันนี้ ในไตรโลกทั้งสามนี้แหละ ไม่พ้นไปสักที

    ตัดอดีตอนาคตเป็นอันเดียวกัน อดีตอนาคตมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ทำดีก็ดี ทำร้ายก็ดี มุ่งอยู่ที่กามตัณหานี่แหละ ความพอใจก็ตัณหา ความไม่พอใจก็ตัณหา ภวตัณหาก็ดี วิภวตัณหาก็ดี ทั้งสามนี้ เหล่านี้ ละให้สิ้น มันเกิดขึ้นในใจ ก็นำออกจากจิตจากใจของตนเสีย

    ศีลห้า อยู่ที่ขาสอง แขนสอง หัวหนึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์ทั้ง 5 ปล่อยให้ผ่านไปผ่านมา ดีก็ไม่ว่า ไม่ดีก็ไม่ว่า เรื่องราวเต็มโลก เต็มบ้านเต็มเมือง เราก็วางเสีย ละเสีย ละอยู่ที่กายที่ใจตนนี่แหละ อย่าไปละที่อื่น

    การหอบอดีตและอนาคตมาหมักสุมไว้ในใจก็เป็นทุกข์ ตัดออกให้หมด หูของเรา ตาของเรา จมูกของเรา ก็เป็นปกติอยู่แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส กามารมณ์นนั้นต่างหาก ปล่อยให้เขาผ่านไปผ่านมา อย่าเอาหมักไว้ในใจ ใจของเราก็ไม่ได้ไปไหน มันก็ตั้งอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เราก็ตัดอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาออกเสีย ทำใจของเราให้สงบ มันก็ต้องวางหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งอดีตอนาคตอันใดที่ได้ยินมาพอแล้ว ได้เห็นมาพอแล้ว อยู่ทางโลกก็ดี อยู่คนเดียวก็ดี อันใดก็ดี วางอยู่ที่นี่แหละ ละอยู่ที่นี่แหละ ความหลงก็พอแล้ว โลภก็พอแล้ว โกรธก็พอแล้ว ความโศก ความเศร้า กิเลส ตัณหา ความพอใจ ความไม่พอใจ ก็ตัณหาแหละ ละมันเสีย


    "การสละออกจากใจ"


    จาโค ปฏินิสสัคโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย

    คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง

    เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ใจ ปล่อยผ่านไปเสีย

    ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้น เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่

    กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาทั้งหลาย ก็ไหลมาจากเหตุ ให้ละเสียให้หมด ให้ตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในทาน ตั้งอยู่ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปทางกาย ทางวาจา ทางใจ บาปอันใดยังอยู่ละเสียให้หมด กายทุจริต วาจาทุจริต ใจทุจริต นำออกให้หมด แล้วรักษากายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริตไว้ เมื่อนำทุจริตออกหมดแล้วจะเหลือแต่สุจริตธรรม ตั้งอยู่ในศีล กายก็เป็นศีล วาจาก็เป็นศีล ใจก็เป็นศีล เป็นธรรม เป็นมรรค เป็นผล ตั้งขึ้นในจิตในใจ ละวางทุจริตธรรม สุจริตธรรมตั้งอยู่แล้ว จิตก็เบาสบาย

    อดีตที่ล่วงไปแล้ว ยังหอบเอามาหมักไว้ในใจก็เดือดร้อน ต้องเอาศีลนั่นแหละนำออกให้หมด

    ธรรมปฏิบัติ เรื่องต้องน้อมเข้ามาสู่ใจ ให้รักษาพระไตรสรณคมน์ให้แน่นหนา รักษาพระไตรสรคมน์ให้ตลอดชีวิต รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ อย่าลืมตัว เอาใจนี้แหละเป็นผู้รู้ ให้พิจารณากาย ใจนี้ให้รู้แจ้ง

    หมายเหตุ : คัดลอกมาจากหนังสือ "ธรรมโอวาท 9 หลวงปู่อริยสงฆ์"
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097


    [​IMG]


    ความดีหรือบุญกุศลเปรียบเหมือนแสงไฟ

    ผู้ที่ทำบุญกุศลอยู่อย่างสม่ำเสมอเพียงพอ แม้จะเหมือนไม่ได้รับผลของความดี และบางครั้งก็เหมือนทำดีไม่ได้ดี ทำดีได้ชั่วเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้ก็เหมือนจุดไฟในท่ามกลางแสงสว่างยามกลางวัน ย่อมไม่ได้ประโยชน์ จากแสงสว่างนั้น

    แต่ถ้าตกค่ำมีความมืดมาบดบังแสงสว่างนั้นย่อมปรากฏขจัดความมืดให้สิ้นไป สามารถแลเห็นอะไรๆ ได้ เห็นอันตรายที่อาจมีอยู่ได้ จึงย่อมสามารถหลีกพ้นอันตรายเสียได้ ส่วนผู้ไม่มีแสงสว่างอยู่กับตน เช่นไม่มีเทียนจุดอยู่ เมื่อถึงยามกลางคืนมีความมืดมิด ย่อมไม่อาจขจัดความมืดได้ ไม่อาจเห็นอันตรายได้ ไม่อาจหลีกพ้นอันตรายได้

    ผู้ทำความดีเหมือนผู้มีแสงสว่างอยู่กับตัว ไปถึงที่มืดคับขัน ย่อมสามารถดำรงตนอยู่ได้ด้วยดีพอสมควรกับความดีที่ทำอยู่ ตรงกันข้ามกับผู้ไม่ได้ทำความดีซึ่งเหมือนกับผู้ไม่มีแสงสว่างอยู่กับตัว ขณะยังอยู่ในที่สว่าง อยู่ในความสว่างก็ไม่ได้รับความเดือดร้อน

    แต่เมื่อใดตกไปอยู่ในที่มืดคือที่คับขันย่อมไม่สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่าง สวัสดี ภัยอันตรายมาถึงก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่อาจหลีกพ้น คนทำดีไว้เสมอกับคนไม่ทำดีแตกต่างกันเช่นนี้ประการหนึ่ง

    การทำดีต้องไม่มีพอ ต้องทำให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอเพราะไม่มีใครอาจประมาณได้ว่าเมื่อใดจะตกไปในที่ มืดมิดขนาดไหน ต้องการแสงสว่างจัดเพียงใด ถ้าไม่ตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมายนัก มีแสงสว่างมากไว้ก่อน ก็ไม่ขาดทุน ไม่เสียหาย

    แต่ถ้าตกเข้าไปในที่มืดมิดมากมาย แสงสว่างน้อย ก็จะไม่เพียงพอจะเห็นอะไรๆ ได้ถนัดชัดเจน การมีแสงสว่างมากจะช่วยให้รอดพ้นจากการสะดุดหกล้มลงเหวลงคู หรือ ตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายจนถึงตายถึงเป็น

    อานุภาพของความดีหรือบุญกุศลนั้นเป็นอัศจรรย์จริง เชื่อไว้ดีกว่าไม่เชื่อ และเมื่อเชื่อแล้วก็ให้พากันแสวงหาอานุภาพของความดีหรือบุญกุศลให้เห็นความ อัศจรรย์ด้วยตนเองเถิด

    : แสงส่องใจ
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    แนะนำพระอริยสงฆ์และพระเครื่องดีในวันศุกร์ วันนี้มาเร็วหน่อย แต่เนื้อหาในวันนี้ถือว่าเป็นสุดยอดเช่นกัน และนับว่าเป็นพระดี พระขลังที่พวกชอบทางฤทธิ์เดชน่ามีพระเครื่องของท่านสะสมไว้ด้วยเช่นกัน พลังจิตของท่านนับว่าเป็นหนึ่งในยอดขุนพลแห่งยุคสมัยอันประกอบไปด้วย หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง และท่านองค์นี้ครับ ลองอ่านกันดู..

    หลวงปู่ญาท่านสวน ฉันทโร วัดนาอุด

    ปราชญ์แท้ ไม่คุยฟุ้ง อวดตน คนเก่ง ย่อมทะนง อยู่อย่างเงียบๆ
    [​IMG]


    ทำทานให้ สังโฆองค์เลิศ
    ย่าได้คึดคี่ค้อย ของน้อยสิเน่านูม
    (จงทำทานกับสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ(สุปฏิปันโน) อย่าได้คิดเสียดายปัจจัยให้ทาน เพราะหากเสียดายจะทำให้ผลทานไม่เกิด)
    จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องแปลกนะครับ เพราะมีบางคนคิดว่า สำเร็จลุน” ท่านก็คือพระองค์เดียวกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างที่หลายๆคนคิด ผมเองก็ไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้มากนัก ขออธิบายความตามที่ครูบาอาจารย์บางท่านเคยบอกครับ กล่าวคือ “สำเร็จลุน” ท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญาของเมืองลาว
    สมัย ก่อนลาวกับไทยมีการไปมาหาสู่กันเสมอดังนั้นจึงไม่แปลกครับที่เมืองลาวจะมี พระภิกษุชาวไทยเดินธุดงค์เข้าไปเพื่อศึกษาหาความรู้ ซึ่งสำเร็จลุนท่านก็คือเป้าหมายของพระเหล่านั้น
    ลูกศิษย์ของสำเร็จลุนที่มีชื่อเสียงในเมืองไทยขนาดที่ว่าหากขานรายชื่อขึ้นมา บรรดาท่านผู้สนใจในเรื่องพวกนี้ต้องร้องเสียงหลง เช่น"หลวงปู่เครื่อง ธมฺมจาโร" วัดเทพสิงหาร ตำบลนายูง อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี "หลวงปู่พรหมา เขมจาโร" วัดสวนหินผานางคอย ตำบลหนามแท่ง อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
    [​IMG]
    ในส่วนเรื่องของ หลวงปู่เทพโลกอุดร” มีความเชื่อกันว่ามีพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอเป็นพระผู้ดูแลพระพุทธศาสนาจนกว่าจะสิ้น การอธิษฐานจิตขอด้วยความปรารถนาอันนี้ได้บังเกิดผล กล่าวคือทุกวันนี้พระสาวกองค์นั้นยังไม่ได้ดับขันธ์ปรินิพพาน และยังคอยเฝ้าพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนามาจนถึงทุกวันนี้ สถานที่ที่ท่านอยู่ก็เป็นอีกมิติหนึ่งในโลกที่เราก้าวเข้าไปไม่ถึง
    พระ เกจิอาจารย์ พระปฏิบัติกรรมฐาน หรือฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรมในบางท่านก็จะเคยพบเห็นท่านมาหาเพื่อสอนหรือแนะนำ ในเรื่องของคาถาอาคมหรือการปฏิบัติธรรม ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านจะสอนให้แบบไหน ขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละคน บางทีท่านจะมาในลักษณะของพระภิกษุชราบ้าง เป็นเณรบ้าง ฯลฯ โดยคำว่า อุดร” แปลว่าเหนือ “เทพโลก” หมายถึงโลก ดังนั้นคำว่า"หลวงปู่เทพโลกอุดร" จึงหมายถึง"หลวงปู่ที่อยู่เหนือโลก"ครับ


    [​IMG]



    ผม ก็พ่นเท้าความไปเสียตั้งเยอะ ความจริงแล้วหลวงปู่ญาท่านสวน ท่านไม่ใช่ลูกศิษย์โดยตรงของสำเร็จลุนหรอกครับ เพราะเมื่อท่านเดินทางไปหาสำเร็จลุนแต่ไม่พบท่านจึงได้เดินทางกลับ และพระอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้หลวงปู่ญาท่านสวนคือ ญาท่านกรรมฐานแพง” แห่ง “วัดสะพือ” อำเภอพิบูล จังหวัดอุบลราชธานี
    สำเร็จลุนท่านมีศิษย์เบื้องขวา”คือ “ญาท่านกรรมฐานแพง” และศิษย์เบื้องซ้าย”คือ “ญาครูศรีทัศสุวรรณมาโจ”....
    กล่าวกันว่า ญาท่านกรรมฐานแพง” ท่านนี้ได้รับถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆของสำเร็จลุนเอาไว้ครบถ้วนและตัวท่านเองก็มีกฤษดาอภินิหารมากมายเช่นกันไม่แพ้องค์อาจารย์
    มีคำกล่าวว่า กระบี่อยู่ที่ใจ” จอมยุทธที่เก่งกาจสามารถหลอมรวมใจเข้าเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับกระบี่ได้แล้ว เวลาที่ต้องต่อสู้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่จริง เพียงแต่หยิบฉวยอะไรก็ได้หรือแม้แต่จะใช้เพียงฝ่ามือ มันก็คมกริบเหมือนใช้ดาบ
    ครับภายใต้ความเชี่ยวชาญและความเชื่อมั่นในวิชา มันคงไม่ได้เกิดมาง่ายๆแน่ หากทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเบื้องหลังมาจากความมั่นคงของจิตใจ


    [​IMG]



    ญาท่านกรรมฐานแพงบอกว่า ผู้ที่มาเรียนวิชาในสายนี้จะต้องถือสัจจะคือเมื่อเรียนเสร็จแล้วจะต้องบวชไม่สึก
    ว่า กันถึงเรื่องของการเรียนวิชาแล้วจะต้องบวชไม่สึกบ้าง ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความฉลาดของครูบาอาจารย์ยุคเก่า เป็นกุศโลบายในการดึงรั้งจิตใจผู้ที่จะเข้ามาเป็นศิษย์ แต่ทั้งหมดนี้ครูบาอาจารย์ท่านนั้นจะต้องมีความเชี่ยวชาญและเชื่อมั่นในวิชา ของตนว่าสามารถทำให้บังเกิดผลได้จริง เมื่อนำไปใช้สงเคราะห์คนก็สามารถช่วยเหลือคนให้สัมฤทธิ์ผลได้ดั่งตั้งใจ
    จริง อยู่ถึงแม้วิชาอาคมจะไม่สามารถช่วยให้คนกลุ่มนั้นเอาชนะกรรมหรือตัดรอนผลของ กรรมชั่วได้ แต่มันก็สามารถช่วยเหลือหรือบรรเทาในเรื่องบางเรื่องได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ การที่มันสามารถบรรเทาเรื่องบางเรื่องได้นั้น หากว่ากันตามตรรกะมันก็น่าจะมาจากวิชาอาคมที่ต่างประเภทกัน ลองมาอ่านดูครับว่าหลวงปู่ญาท่านสวนได้เรียนวิชาสายสำเร็จลุนจากญาท่าน กรรมฐานแพง มีอะไรบ้าง



    [​IMG]



    หลวงปู่ญาท่านสวนได้ศึกษาวิชากรรมฐาน วิชาการเดินธาตุต่างๆ” เช่นแม่ธาตุอันได้แก่ นะ โม พุทธ า ยะ ธาตุ ๔ ได้แก่ นะ มะ พะ ธะ ธาตุกรณี ได้แก่ จะ ภะ กะ สะ แก้วสี่ดวง ได้แก่ นะ มะ อะ อุ เรียนรู้เรื่องการปลุกเสกวัตถุมงคลให้เกิดฤทธิ์ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เรียนรู้เรื่องของวิชาการลงตะกรุดต่างๆ วิชาอื่นๆ ก็เช่น การฝังเข็มทองคำซึ่งมีเข็มกลุ่ม ๓๒ เล่มและเข็มโทน ๑ เล่ม การเข้าแผ่นทองคำเปลว การสร้างพระราหูอมจันทร์ เสื้อยันต์ ถักเชือกมงคล วิชาการทำน้ำพระพุทธมนต์ ๗ บ่อ ฯลฯ.....
    หลวงปู่ญาท่านสวนบอกพวกเราว่า สรรพวิชาต่างๆในสายสำเร็จลุน ที่ญาท่านกรรมฐานแพงได้รับการถ่ายทอดมาจากสำเร็จลุน ได้ถ่ายทอดมายังท่านจนหมดสิ้น ยกเว้นวิชาสุดท้ายเป็นสุดยอดทางเมตตา ก็ เพราะว่าผู้ที่จะเรียนวิชานี้จะต้องไปหารังผึ้งร้างมาทำเป็นเสื่อปูรองนั่ง ให้ได้ ๒ คนคืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดและลูกศิษย์ผู้ที่รับการถ่ายทอด จึงจะสามารถถ่ายทอดวิชากันได้หลวงปู่ท่านได้ใช้เวลาหาอยู่หลายปีแต่กว่าจะ ได้ญาท่านกรรมฐานแพงก็มรณภาพไปเสียก่อน
    นอก จากการเรียนรู้จากครูบาอาจารย์แล้ว หลวงปู่ยังได้ศึกษาวิชาตามคัมภีร์ใบลานซึ่งเป็นของครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่บันทึกไว้ นอกจากนั้นภายหลังที่หลวงปู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านสำโรง แล้ว ยังคงมีอาจารย์ฆราวาสผู้มีอาคมขลังท่านหนึ่งได้ไปมาหาสู่กับท่าน ซึ่งอาจารย์ท่านนี้อดีตเคยบวชและปรนนิบัตรรับใช้สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯอยู่นานหลายปี ซึ่งเข้าใจว่าอาจารย์ฆราวาสท่านนี้น่าจะถ่ายทอดวิชาให้กับหลวงปู่ด้วย.....


    [​IMG]



    คนโบฮานสอนกันว่า ไผเคยจำได้หือบ่
    วาสนาชาตาแต่พุ้น บุญนำยู้กระจั่งหมาน
    ไผผู้เคยทำบุญไว้ ในปางแต่ชาติเก่า
    คนจั่งชั่นหละเด้อพี่น้อง บุญนำอุ้มเพิ่นจังดี....
    (โบราณท่านว่าบุญบารมีเก่าเท่านั้นที่จะช่วยให้เราเจริญรุ่งเรือง ควรทำบุญไว้ให้ดี)
    เชื่อกันว่าในปัจจุบันนี้คุณไสยต่างๆยังคงมีการกระทำกันอยู่ โดยเฉพาะคุณไสยของเขมรถือว่าแรงมาก ขลังมาก ส่วนมากคุณไสยที่ทำกันก็เพื่อต้องการให้ไปประทุษร้ายแก่ผู้อื่นที่เป็นศัตรู ให้ถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าในบางรายที่ยังไม่ถึงคราวและมีครูบาอาจารย์ที่ดีและเก่ง ก็จะสามารถที่จะแก้ไขได้ทัน
    มีพระภิกษุหนุ่มบวชใหม่รูปหนึ่งโดนคุณไสยเล่นงานได้มาให้หลวงปู่ญาท่านสวนรักษา เรื่องราวมีอยู่ว่า
    สมัย ที่พระรูปนี้ยังไม่บวช เคยไปทำงานที่จังหวัดศรีสะเกษ ตอนนั้นยังมีความห้าวอยู่มาก พอเหล้าเข้าปากก็ชอบส่งเสียงโวยวาย จนมีเรื่องมีราวกับคนในพื้นที่ ต่อมาไม่นานพระรูปนี้ก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย กล่าวคือมีอาการเจ็บปวดที่หลังเป็นอย่างมาก ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจก็ไม่พบสิ่งที่ผิดปกติ
    เมื่อ เดินทางไปรักษาที่ไหนก็ไม่หาย สุดท้ายโยมแม่ของท่านจึงต้องพึ่งพาการรักษาในเชิงไสยศาสตร์ จากการตรวจสอบโดยผู้เชียวชาญไสยศาสตร์ก็พบว่าพระรูปนี้โดนกระทำคุณไสยด้วย หมอเขมร จะต้องหาครูบาอาจารย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าจึงจะสามารถแก้การกระทำนี้ได้
    โดยโยมแม่ของท่านได้พาท่านตระเวณไปรักษามาหลายทีก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ สุดท้ายมี คนแนะนำว่าให้มาหาหลวงปู่ญาท่านสวน วัดนาอุดม เมื่อมาถึงจึงได้เข้าไปกราบเรียนท่านให้ทราบ หลวงปู่ทราบเรื่องก็หัวเราะด้วยอารมณ์ดีและถามกลับมาว่ารู้ได้อย่างไรว่า เป็นคุณไสย โยมแม่ของท่านจึงตอบว่ามีคนเขาบอก หลวงปู่ก็หัวเราะขึ้นอีกและเรียกตัวท่านไปถามอาการ เมื่อทราบว่าเจ็บปวดตรงจุดไหน ท่านจึงเอามือมาแตะตรงที่ปวดและหลับตากำหนดจิตสักครู่ เมื่อลืมตาขึ้นมาท่านจึงพยักหน้าพร้อมบอกว่าใช่


    [​IMG]



    การรักษาจึงได้เริ่มดำเนินขึ้นโดย หลวงปู่ให้ท่านนอนคว่ำแล้วเอาใบพลูที่กินกับหมากมาซ้อนกัน ๓ ใบ ยกขึ้นพนมไว้ในมือ หลับตากำหนดจิตสักครู่ท่านจึงเป่าลงบนใบพลูทั้ง ๓ ใบ เป่าอย่างนั้นอยู่ ๓ ครั้ง จึงเอาใบพลูทั้ง ๓ ใบมาวางแปะบริเวณที่ท่านปวดแล้วเอามือกดทับไว้ ปากท่านก็ภาวนาพระคาถาอยู่แล้วท่านก็เป่าลงบนใบพลู ๓ ครั้ง
    ตอน นั้นพระองค์นี้มีความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้น โดยเฉพาะตรงบริเวณดังกล่าวเหมือนมีวัตถุอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวอยู่ใน บริเวณนั้น สักพักหลวงปู่ญาท่านสวนท่านก็ค่อยๆกอบกำเอาใบพลูขึ้นทีละนิด ทีละนิด คล้ายๆกับกำลังถอนต้นหญ้า ขณะที่ปากของท่านก็ยังท่องบ่นภาวนาไปเรื่อยๆ เมื่อท่านกำใบพลูเต็มกำมือของท่าน ก็มีความรู้สึกเหมือนว่าหลวงปู่ญาท่านสวนกำลังรวบรวมพลังและดึงใบพลูนั้นออก จากหลังของพระองค์นั้น
    ความ รู้สึกของท่านเหมือนว่าหลวงปู่ญาท่านสวนกำลังถอนต้นหญ้า หากแต่นี่มันไม่ใช่ต้นหญ้าแต่มันเป็นการดึงถอนเอาวัตถุสิ่งหนึ่งซึ่งมัน กำลังทิ่มแทงติดอยู่กับหลังของท่านออกมา และเมื่อหลวงปู่ญาท่านสวนได้ทำการถอนออกมาแล้ว อาการเจ็บปวดของท่านจึงหายเป็นปลิดทิ้ง
    เมื่อหลวงปู่ญาท่านสวนให้พระองค์นั้นลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงยกมือที่กำใบพลูขึ้นแล้วค่อยๆคลี่ออกดู...
    ปรากฏ ว่าทุกคนที่นั่งดูถึงกับตกตะลึงเพราะว่าในใบพลูนั้นมีวัตถุสิ่งหนึ่งซึ่ง เป็นไม้ดำขนาดใหญ่ประมาณ ๑ ซม. ยาวประมาณ ๔ ซม. มีลักษณะแหลมคมเป็นเสี้ยน พระองค์นั้นตกใจรีบเอามือขึ้นจับบริเวณที่หลวงปู่ดึงออกมาด้วยเข้าใจว่ามัน คงจะเป็นรูแน่ๆ แต่ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวไม่มีน่องรอยอะไรเลย เนื้อหนังยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง........จากนั้นหลวงปู่ญาท่านสวนจึงได้ทำ การรดน้ำมนต์ให้พระองค์นั้น


    [​IMG]



    ครับ ในโลกปัจจุบันที่เริ่มแบน คนไม่น้อยคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเหลวไหล ไสยศาสตร์และวิธีการรักษาโรคแบบนี้จึงถูกต่อต้าน ถึงขนาดบางท่านอาจจะคิดว่าผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้อาจเป็นแค่คนเพี้ยนๆก็ได้
    แต่ อีกนัยหนึ่งหากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเราล่ะ เมื่อเรารักษาจนหมดหนทางแล้ว เราจะยอมนอนป่วยตายไปพร้อมกับความหมดหวัง หรือเราจะยอมรักษาโดยวิธีที่คนอื่นว่าเหลวไหลล่ะครับ แต่ที่แน่ๆ...
    พระองค์นี้ท่านหายป่วยจริง คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นกับตาจริงๆ...



    [​IMG]


    ผมเคยสอบถามครูบาอาจารย์หลายรูปว่าเวลาปลุกเสกพระเขาทำอย่างไรกันบ้าง แล้วเราจะรู้ได้ไหมว่าเวลาเสก ท่านเสกกันจริงหรือเปล่า
    บาง ท่านตอบว่าเวลาที่เสกพระ พอกำหนดจิตได้สมาธิดีดีก็จะเกิดเป็นแสงวูบเข้าไปคลุมกองวัตถุมงคลนั่นคือได้ เสกสำเร็จแล้วบางท่านก็ว่าเวลาพุทธาภิเษกพระ มันก็เหมือนกันการขับรถแข่ง องค์ไหนเก่งสมาธิจิตดีดีก็จะวิ่งเร็ว บางขณะเข้าช่วงโค้งก็มีการเบียดกัน ฯลฯ
    หลวง ปู่ญาท่านสวน ได้ชื่อว่าเป็นพระผู้มีจิตที่ละเอียด สมาธิจิตของท่านถือว่าเยี่ยมมาก ไม่ว่าใครจะอยู่ไกลแค่ไหน หรืออธิษฐานอะไรในใจ ท่านสามารถกำหนดจิตล่วงรู้ได้หมด อาจจะเรียกได้ว่าบรรดาผุ้ที่เคารพเลื่อมใสในตัวท่านและเข้ามากราบไหว้ เกือบจะครึ่งหนึ่งทีเดียวที่มีนิมิตเห็นท่านมาปรากฏให้เห็น
    ว่ากันว่า จิตใสก็เป็นบุญ จิตขุ่นก็เป็นบาป ผู้ใดตามดูจิต โดยความเป็นธรรม ผู้นั้นพ้น ห้วงของมาร...”
    พระอาจารย์ชิง ธัมมทินโน เจ้าอาวาสวัดไตรมิตร อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า..
    ท่าน ได้นำพระกริ่งและพระชัยวัฒน์ รุ่นปฐวีธาตุ ไปให้หลวงปู่ญาท่านสวนปลุกเสกให้ หลังจากพูดคุยกันสักพักพระอาจารย์ชิง จึงได้นำพระทั้งหมดมาจัดวางไว้ตรงหน้าหลวงปู่ญาท่านสวน พร้อมโยงด้ายสายสิญจน์มาให้หลวงปู่ญาท่านสวน
    เมื่อ หลวงปู่ฯได้รับสายสิญจน์แล้วท่านจึงมองมาที่วัตถุมงคลทั้งหมดแล้วค่อยๆเข้า สู่สมาธิ พระอาจารย์ชิงเล่าว่า หลวงปู่ญาท่านสวนท่านนั่งนิ่งมาก นิ่งจนขนาดที่ทำให้พระอาจารย์ชิงอยากรู้ว่าหลวงปู่ท่านปลุกเสกอย่างไร
    พระ อาจารย์ชิงท่านจึงได้เข้าสมาธิเอาจิตตามเข้าไปดูว่าท่านปลุกเสกอย่างไร แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปก็โดนรัศมีของหลวงปู่ญาท่านสวนเหวี่ยงกระเด็นออกมา ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอขมาและขออนุญาตเข้าไปดูใหม่ ก็สามารถดูได้



    [​IMG]



    อาตมา ได้เห็นลำแสงพวยพุ่งออกจากฝ่ามือของท่าน แล้ววิ่งไปตามเส้นด้ายสายสิญจน์ สว่างเหมือนลำแสงของหลอดไฟนีออนและวิ่งไปสปาร์คที่กองพระกริ่งพระชัยวัฒน์ เกิดเป็นแสงสว่างไสวมากและคุมอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานเกือบครึ่งชั่วโมง...”
    หลังเสร็จสิ้นการอธิษฐานจิต หลวงปู่ญาท่านสวนได้มองเล็งมายังท่านพร้อมกับอมยิ้มแล้วพูดกับท่านว่า
    เป็นพระหนุ่มนี่ ใจร้อนเน๊อะ...”
    พระอาจารย์ชิง ท่านได้แต่ยิ้มรับและยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร หลวงปู่ญาท่านสวนท่านได้พูดกระแทกตรงใจท่านอีกว่า
    ถ้าอยากทำเป็น ก็หมั่นฝึกเอาทำเอา ไม่นานเดี๋ยวก็เป็นเอง..”


    [​IMG]



    ปราชญ์แท้ ไม่คุยฟุ้ง อวดตน
    คนเก่ง ย่อมทะนง อยู่อย่างเงียบ
    คนดีย่อม ไม่ยกตน ข่มท่าน
    คนโง่ อวดรู้ดี มีทั่วภพ....
    หลวง ปู่ญาท่านสวน ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่มากไปด้วยความมีเมตตา หลวงปู่ฯมักจะออกโปรดญาติโยมและศิษยานุศิษย์อย่างไม่ยอมแพ้แก่ความเหน็ด เหนื่อย เรียกว่าสงเคราะห์กันจนญาติโยมพอใจ บางครั้งบรรดาลูกศิษย์ทนไม่ไหวจึงได้เขียนป้ายห้ามรบกวนเพื่อให้ท่านได้พัก ผ่อนตามคำสั่งของแพทย์ แต่เมื่อหลวงปู่เห็นท่านก็จะให้เอาออกทันที โดยท่านให้เหตุผลว่า


    [​IMG]



    บาง คนเขาอาจจะเดินทางมาไกล เขาอาจจะมีเรื่องเดือดร้อนที่อยากจะให้เราช่วยเหลือ หรือเขาอาจจะต้องรีบกลับเพราะเขาอยู่ไกล ส่วนเราอยู่ที่นี่จะพักผ่อนเมื่อไรก็ได้...”
    หลวง ปู่มักจะสอนให้พวกเรารู้จักความเตตา ความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รู้จักเสียสละความสุขส่วนตนและไม่เห็นแก่ความสุขสบาย โดยตัวท่านเองจะเป็นแบบอย่างให้พวกเราได้เห็น เช่นการให้ความสงเคราะห์โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หลวงปู่ให้ความเสมอภาคกับทุกตนเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย เด็กหรือผู้ใหญ่ ท่านเต็มใจให้ความสงเคราะห์ทั้งหมด
    อันว่าโลกีย์นี้ บ่มีแนวตั้งเที่ยง
    มีแต่ตายแตกม้าง ทลายล่มเกลื่อนหาย
    อันว่าความตายม้าง ไกลกันเจียระจาก
    ครั้นบ่ม้มโอฆกว้าง สิเที่ยวพ้ออยู่เลิง
    (โลก นี้เป็นโลกไม่แน่นอน มีเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดและดับอยู่อย่างนี้เสมอไป ต่อเมื่อพ้นวัฏฏะ คือความหมุนจนไปได้ จึงจะหยุดการเวียนว่ายการตายเกิด)


    [​IMG]


    ใน ช่วงปลายปี ๒๕๔๘ สุขภาพหลวงปู่เริ่มอ่อนเพลียเพราะท่านฉันอาหารไม่ค่อยได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาท่านจึงอยู่ภายในการดูแลของคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด จนถึงเช้าของวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๙ เวลา ๐๖.๓๐ น.ซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอังคารและเป็นวันครูของท่าน หลวงปู่จึงได้ปล่อยวางสังขารด้วยอาการสงบ สิริอายุ ๙๕ ปี ๖ เดือน ๖ วัน ๗๕ พรรษา...
    ร่ม โพธิ์ร่มไทรใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา คอยปกคลุมให้ความชุ่มชื่น ร่มเย็น เป็นที่พักพึงแก่เหล่าสรรพสัตว์และศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ได้ปล่อยวางละสังขาร ร่มโพธิ์ ร่มไทรที่ล้มลงด้วยอายุ กาลเวลาที่ตรากตรำ เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมโทรมและดับไป...
    สัจธรรมมีหลักว่า สังขารร่างกาย ความตายล้วนตกอยู่ในวิสัย เป็นสิ่งธรรมดาที่ทุกคนหาหนีพ้นได้ไม่...”
    ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด
    เคยมีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงปู่ญาท่านสวนว่า
    หลวงปู่ลงอะไรไว้ในวัตถุมงคล ทำไมถึงได้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
    ท่านเมตตาตอบกับเขาว่า...
    ลงด้วยหัวใจพระพุทธเจ้า
    ลูกศิษย์กราบเรียนถามต่ออีกว่า
    อะไรคือหัวใจพระพุทธเจ้าครับ
    หลวงปู่ท่านยิ้มและเมตตาตอบว่า
    ทำความดี ละเว้นความชั่ว...”


    [​IMG]



    ครับ กับคำตอบของหลวงปู่ญาท่านสวนที่ทำให้พวกเราได้เกิดสติปัญญา ว่าท่านมิได้มุ่งเน้นให้พวกเรายึดติดกับวัตถุมงคลซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกมาก เกินไป จนลืมนึกไปถึงการปฏิบัติ คือ การทำความดี ละเว้นความชั่ว” อธิบายความได้เห็นภาพชัดเจนว่า
    ตัวเราต่างหากเป็นผู้ปฏิบัติ วัตถุมงคลไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ แก่นแท้แห่งความศักดิ์สิทธิ์จริงๆแล้วอยู่ที่การปฏิบัติของเรา
    ความดีเท่านั้นจะสามารถคุ้มครองเราไปได้ทุกภพทุกชาติ
    เพราะ เมื่อเราตายจากโลกนี้ไปแล้ว วัตถุมงคลก็ไม่สามารถเอาไปได้และมันจะไปตกอยู่กับผู้ใดก็ไม่มีใครทราบ และที่สำคัญคือมันไม่สามารถติดตามไปคุ้มครองเราถึงภพชาติหน้าได้หรอก ครับ....
    “ทำวันนี้ให้ดี ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง
    อนาคตของเรา อยู่ที่ความเพียรของเรา



    [​IMG]
    เอกสารอ้างอิง – หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศล พระครูอาทรพัฒนคุณ(ญาท่านสวน ฉันทโร)
    ขอบพระคุณ – คุณชัยวิทย์ มาลาคำ ที่กรุณาให้ใช้รูปภาพและบทความ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับข้อมูล เพื่อนต่อ กับคำแนะนำ และคุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจครับ



    บทความจาก
    �š�ä����ٻ�Ҿ�� Google ����Ѻhttp://www.oknation.net/blog/home/blog_data/9/20009/images/yatan/14.jpg

     
  4. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ลูกอมหลวงปู่ปันหยุดจองแล้วครับเพราะของมีไม่ถึงสิบลูก ท่านใดจองลูกอมหลวงปู่ปันไว้ คงได้ท่านละ1ลูกครับ แบ่งๆกันไปหลายๆท่านจะได้ของดีราคาถูกไว้บูชา ได้ทั้งบารมีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ หลวงปู่ปัน วัดแม่ยะ ในราคาเลขมงคล99บาทครับ ทุกบาทสตางค์เข้าทุนนิธิฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2009
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พอดีเพิ่งเห็นรูปในกระทู้ของหมวดพระเครื่องอยู่กระทู้หนึ่ง รู้สึกสะดุดตา แถมโพสท์อิทธิคุณหลักของพระองค์นี้เป็นอย่างดี จึงนำมาลงให้พอเป็นเรื่องที่ให้เฉียดต้นงิ้วกัน อุปเทห์การใช้พระองค์นี้ เพิ่งทราบมาจากพี่ใหญ่ที่บอกว่า "เอ็งต้องถอดพระหรือเครื่องรางอื่นที่ติดตัวออกให้หมด และทดลองแขวนเดี่ยว ก็น่าจะเป็นอย่างที่เค้าบอกมา" มีไว้แล้ว 1 องค์ แต่ไม่ใช้ เนื้อหาหนึกดี หาได้ตามแผงแบกะดิน ท่าพระจันทร์ องค์ละไม่เกิน 10.- บาทมั๊ง แต่อย่าเผลอไปจับท่านยามจิตสงบล่ะ จี๊ด สะใจดี ดูให้ดี จำให้แม่น แบกะดินนี่ล่ะ กาเมฯ เต็มกำลัง ต้นงิ้วอยู่แค่เอื้อมจริงๆ (ต้องขอโทษท่านที่มีศีลครบ วันนี้ขอเผื่อพวกที่ขาดศีลข้อ 3 ครับ) ส่วนสมเด็จที่ผู้โพสท์ ได้ลงไว้ในกระทู้ อย่าดูถูกเชียวนา...บางองค์คุ้นๆ ตา คุ้นๆ มือ เช่นกัน แต่ความรู้ผมแค่หางอึ่ง สู้ทำบุญให้สงฆ์อาพาธไม่ได้สบายใจกว่ากันครับ แต่ถ้าเห็นท่านก็เก็บๆ ไว้บ้าง ราคาไม่เกิน 10.-บาท เช่นกัน เอาสักองค์สององค์ก็ยังดี วันหนึ่งจิตเราดี ถ้าเป็นของวังหน้า หรือวังหลวงจริง ก็จะรู้ได้เอง เก็บไว้มาก ยามมีชีวิตก็ใช้แค่องค์เดียว ยามตาย ก็มีในปากแค่ไม่เกิน 10.-บาท เก็บไว้คลำๆ ถือว่าเป็นการฝึกความตั้งใจมั่นของตัวเองไม่มากก็จะดีครับ ถือว่าเป็นการพัฒนาความสามารถทางจิตของตนเองได้ทางหนึ่งเช่นกัน


    "องค์นี้เป็นสุดยอด...ของสุดยอดพระขุนแผนครับ
    ...ต้องบอกกล่าวกันหน่อยครับ...องค์นี้ไม่ใช่มาจากกรุวังหน้าครับ (สาเหตุนี้ผมถึงไม่โพสฯ ปะปนกับพระสมเด็จฯ ข้างบน)
    เอาลงให้ดูเพื่อที่จะได้มีเรื่องเล่าครับ...ท่านผู้เป็นเจ้าของบอกว่า มีองค์นี้ติดตัวไว้ไปเที่ยว(คืน)ไหน ไม่เคยกลับบ้านมือเปล่าครับ..."


    [​IMG] [​IMG]<!-- google_ad_section_end --> __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://img183.imageshack.us/img183/3098/detail2somdej.jpg&imgrefurl=http://palungjit.org/threads/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25AF-%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2-%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588-%25E0%25B9%2592-%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2586%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%259A.181611/&usg=__rQU0R2SdU6OGMPwM672iYUNmRTo=&h=1627&w=800&sz=421&hl=th&start=118&tbnid=mPZ4nVOeMsCANM:&tbnh=150&tbnw=74&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%26gbv%3D2%26ndsp%3D20%26hl%3Dth%26sa%3DN%26start%3D100
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2009
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ตามนักปั่นจักรยานไปดูภาพในพระอุโบสถของวัดที่ได้ชื่อว่า "วัดพระแก้ววังหน้า" กันดีกว่า ภาพดูสวยอลังการดี

    "ชาวคณะนักปั่นเคลื่อนตัวออกจากวัดโพธิ์ ไปตามเส้นทางถนนมหาธาตุ เลี้ยวเข้าถนนหน้าพระลาน ผ่านมหาวิทยาศิลปากร เลี้ยวซ้ายตามเส้นทางข้างสนามหลวง แล้วเลี้ยวเข้าถนนราชนี เพื่อเข้าชม "วังหน้า"


    หลัง จากแยกย้ายกันไปจอดเทียบจักรยานตามสะดวก และเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว คุณต่อและคุณนัทได้นำทุกท่านขึ้นบันไดไปยังด้านหน้าของอุโบสถวัดบวรสถานสุธา วาส ซึ่งคำว่า "บวร" หมายถึง "วังหน้า" นั่นเอง และบริเวณพื้นที่แห่งนี้ คือวัดซึ่งอยู่ในพื้นที่ประทับของวังหน้า เป็นตำแหน่งรองมาจากพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้น โดยมีอาณาบริเวณของวังหน้าเดิมตั้งแต่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาลัยนาฏศิลป์ รวมถึงตอนเหนือของท้องสนามหลวง ซึ่งเมื่อก่อนนั้นมีเพียงครึ่งเดียว ก็คือถึงช่วงที่มีถนนผ่ากลางในปัจจุบัน โดยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการยกเลิกตำแหน่งวังหน้า จึงรื้อถอนอาคารที่อยู่ในส่วนของสนามหลวงออก สนามหลวงจึงมีขนาดใหญ่เท่ากับที่เห็นในปัจจุบัน

    ตำแหน่งวังหน้าที่ เลิกไปสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยมีวังหน้าพระองค์สุดท้ายคือพระโอรสของพระปิ่นเกล้า มีพระนามว่ากรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ หลังจากนั้นจึงได้มีการสถาปนาตำแหน่งพระบรมโอรสาธิราชขึ้นมาแทน โดยมีเจ้าฟ้าวชิรุณหิตเป็นพระองค์แรก ยังมีเกร็ดเรื่องราวเกี่ยวกับวังหน้า และสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอีกพอสมควร ซึ่งคุณนัทได้กรุณาบอกเล่าให้พวกเราได้ทราบกัน อย่างกับนั่งชมรายการ "บางอ้อ" ประมาณนั้น

    อุโบสถ วัดบวรสถานสุธาวาสที่อยู่ต่อหน้าเราในวันนั้น ถือได้ว่าเป็นสถานที่่ซึ่งน่าสนใจ และมีความสวยงาม ตลอดจนเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งมากมาย และที่สำคัญคือ.. ภายในอุโบสถแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้เข้าชมบ่อยนัก และในวันนั้นพวกเราชาวนักปั่นได้รับความกรุณา ให้เป็นหนึ่งในคณะที่ได้มีโอกาสเข้าชื่นชมความงาม... อันสุดอลังการ"

    [​IMG]
    > ภายในอุโบสถวัดวังหน้า ที่ยังคงเก็บรักษาความวิจิตรสวยงามของภาพจิตกรรมฝาผนังเอาไว้อย่างสมบูรณ์

    ความ สวยงามภายในอุโบสถคือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม และยังคงสภาพเดิมอย่างมาก วาดเป็นเรื่องราวตำนานพระพุทธสิหิงค์ เร่ิมเขียนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อจนถึงรัชกาลที่ ๔ และมีการซ่อมแซมเพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่องราวที่ทำให้พวกเราถึง "บางอ้อ" อีกครั้งคือ ภาพวาดของทหารฝรั่งที่ปรากฏอยู่บนฝาผนัง ซึ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน และมีเกร็ดน่าทึ่งเรื่องหนึ่งคือ ชุดของทหารที่ใส่ให้เห็นในภาพนั้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงคิดขึ้น เป็นเสื้อใส่แบบปิดตั้งแต่คอ และกำหนดให้มีคำเรียกว่า "ราชาแพทเทิ่น" ( ราชา + Pattern ) หรือ "แบบหลวง" แต่คนไทยไม่สะดวกที่จะอ่านออกเสียง จึงได้มีการเรียกเป็นคำว่า "ราชปะแตน" แทน อืม..อย่างนี้นี่เอง

    [​IMG]
    > รวมบันทึกภาพประวัติศาสตร์ของเหล่านักปั่น ที่ยากนักจะได้มีโอกาสเช่นนี้

    < อ่านความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัดพระแก้ววังหน้าได้ที่นี่ >

    คนบางคนเข้าใจว่า "วัดพระแก้ววังหน้า" เป็นวัดพระศรัรัตนศาสดารามที่มี "พระแก้วมรกต" ประดิษฐานอยู่ เลยทำให้สับสนปนเป ถึงเรื่องพระพิมพ์สกุลวัดพระแก้ว หรือพระพิมพ์สกุลวังหน้า ว่าเป็นของ ร.1 บ้าง หรือ ร.3 บ้าง ก็ว่ากันไป เพราะท่านก็มีวังหน้าเป็นอุปราชจริงๆ เช่นกัน แต่หากดูภาพจิตรกรรมอย่างที่ผู้โพสท์ได้ลงไว้ให้อ่าน ก็คงเป็นข้อมูลว่าเป็นของวังหน้าในสมัย ร.5 ที่สมัยนั้นวิทยาการต่ีางๆ ของชาวต่างชาติน่าจะหลั่งไหลเข้ามามาก รวมถึงกรรมวิธีในการทำเครื่องลายครามและกังไสที่ท่าน อ.ประถมฯ ได้ค้นคว้าไว้ที่พอจะบอกได้ว่าได้เฟื่องฟูที่สุดด้วยครับ พระพิมพ์สมเด็จวังหน้า หรือวังหลวง ก็น่าจะเป็นผลิตผลของวิทยาการนี้ซึ่งถือเป็นปฏิมากรรมร่วมสมัยด้วยเช่นกัน ผิดถูกอภัยด้วย เพราะลำพังแค่เหตุการณ์ในปัจจุบันยังโง่อยู่เลย แต่หากอนุมานตามจิตที่เป็นกลางแล้ว ความเป็นไปได้ ก็โขทีเดียว เพราะสมัยก่อน พระพิมพ์ต่างๆ ส่วนมากทำมาจากเนื้อดิน ว่าน หรือไม่ก็โลหะผสมธาตุต่างๆ แทบทั้งสิ้น พระพิมพ์ที่ทำมาจากเนื้อปูน เนื้อกังไส หรือเนื้อผงต่างๆ ที่พอมีความรู้มาที่สร้างกันเป็นจำนวนมากๆ ก็เห็นมีแต่สมัย ร.4 หรือ ร.5 เป็นต้นมาแทบทั้งนั้น อย่างที่บอกครับ โง่จริงๆ เรื่องการค้นคว้า และถือว่าเป็นความโง่ส่วนตัว หากจะมีข้อแนะนำ ขอทางหลัีงไมค์ครับจะได้หายโง่ และลบโพสท์นี้ทิ้งทันที

    ปล.ขอลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระขุนแผนเคลือบแห่งวัดใหญ่ชัยมงคล ของอโยธยาศรีรามนครที่หายาก (ที่ผมมีแต่ของกรุวัดท่าการ้อง สะใจดีทั้งรูปทั้งนามเหมือนกันครับ)

    [​IMG]

    Name : พระขุนแผนเคลือบ
    Details : พิมพ์แขนอ่อน พระหลักในตำนานตัวจริง หายากกว่าพระสมเด็จครับติดรางวัลที่ ๑ งานใหญ่บางลำภูชั้น8 เมื่อวันที่18 พค.ที่ผ่านมาครับ ราคา 1,700,000
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เช้าวันอาทิตย์อย่างนี้ ขออัญเชิญรูปปฏิมากรรมของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ผู้มีคุณต่อครอบครัวของผมมาลงในกระทู้เป็นสิริมงคลครับ

    [​IMG]
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ "กข" ที่นานทีจะพบเห็น

    [​IMG]

    สมเด็จ วัดระฆัง พิมพ์ "กข" สมัยก่อนคนเล่นเป็นของวัดประสาทแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ครับจริงๆแล้วเป็นของ ท่านเจ้าคุณที่ยงวัดระฆัง (ปัจจุบันเป็นรักษาการณ์เจ้าอาวาสวัด) ท่านเป็นพระเกจิทางสายวัดระฆังโดยตรง ได้สร้างวัตถุมงคลไว้บ้างพอสมควร องค์นี้เป็นพระสมเด็จ ก ข (กอ ขอ) เนื้อผงขาว แก่ปูน คล้ายๆกับของหลวงปู่หินที่แก่ปูนเหมือนกัน สมเด็จ ก ข จะเป็นพระที่ท่านสร้างในสมัยยุคต้นๆ (สมัยหลวงปู่นาคยังมีชีวิตอยู่)โดยได้นำผงเก่าสมเด็จ วัดระฆังที่ชำรุดแตกหัก ผสมลงในเนื้อพระครับแล้วนำเข้าปลุกเสกฯในพิธีสำคัญๆ ของวัดระฆัง เช่น พิธีรุ่น 100 ปี วัดระฆัง และพิธีปลุกเสกฯพระของหลวงปู่นาค และหลวงปู่หิน ครับก่อนนำออกแจกจ่ายให้แก่ลูกศิษย์และผู้มีจิตศรัทธา

    บทความจาก

    http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.siamamulet.net/phpboard/boardimages/00210185.jpg&imgrefurl=http://www.siamamulet.net
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    [​IMG]



    พระสมเด็จนี้จัดสร้างโดยลพ.สุพจน์ นามเต็มของท่านคือ "พระครูพุทธมนต์วราจารย์" ท่านเป็นพระแบบว่าเก่งเงียบ ท่านมีวิชาลบผงสร้างผงจากตำราโบราณของวัดสุทัศน์ (ตำราโบราณของพระครูลมูล วัดสุทัศน์) เป็นสหายธรรมกับหลวงปู่นาคและหลวงปู่หินวัดระฆัง จึงได้รับมอบผงสมเด็จวัดระฆังที่แตกหักเป็นจำนวนมาก ท่านเป็นหนึ่งในเกจิที่ร่วมปลุกเสกพระยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ และงานพุทธาภิเษกใหญ่ ๆ เช่นพิธีวัดประสาทฯ ปี 06 พิธีปลุกเสกพระประจำจังหวัดชลบุรี ปี 09 ที่วัดป่าชลบุรี ก็มีชื่อของท่านในทำเนียบพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับการนิมนต์มาร่วมพิธีปลุก เสกด้วย สมเด็จพิมพ์นี้สร้างที่วัดสุทัศน์ฯ เมื่อปี 84 (พิธีอินโดจีน) โดยลูกศิษย์ของท่านนำพระสมเด็จวัดระฆังที่แตกหักจำนวนมากและไม่ได้ใครสนใจมา ถวายท่าน ท่านจึงนำพระเหล่านั้นมาบดเป็นผงละเอียดและได้แกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่ และได้กราบเรียนสมเด็จพระสังฆราชแพเพื่อขออนุญาตนำพระเข้าปลุกเสกในพิธีนั้น พร้อม ๆ กับวัตถุมงคลต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงได้มอบให้แก่ลูกศิษย์ตลอดจนทหาร ตำรวจ และข้าราชการต่าง ๆ ที่ต้องไปราชการสงครามในสมัยนั้นเพื่อไปเป็นมงคล ปรากฎว่า "ประสบการณ์ดีเยี่ยม" พอข่าวนี้แพร่ออกไปปรากฎว่ามีประชาชนต่างมาทยอยขอพระสมเด็จจากท่านจำนวนมาก ซึ่งท่านก็มอบให้ด้วยความเต็มใจจนหมด จึงเรียกได้ว่าพระชุดนี้ "ดีนอก ดีใน" จริง ๆ
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ภูมิปัญญาท่าน ว.

    [​IMG]


    ก ข สอนธรรม ฉบับของ ว.วชิรเมธี.


    <table class="tablebg" cellspacing="1" width="100%"> <tbody><tr> </tr> <tr> <td align="center"> [​IMG]


    </td> </tr> </tbody></table> อักษรไทย : : อักษรธรรม

    ก. เอ๋ย ก กรรม : : อย่าทำชั่ว


    ข. เอ๋ย ข ขันติ : : จงดำริรักษาอย่าถ่ายถอน


    ข. เอ๋ย ข ขวด : : ถ้าเลิกดวดเหล้าได้จะไม่ทุกข์


    ค. เอ๋ย ค ความคิด : : รู้จักคิดเป็นระบบจะสบศานติ์


    ค. เอ๋ย ค คน : : ควรฝึกตนให้มีค่าน่ายกย่อง


    ฆ. เอ๋ย ฆ ระฆัง : : ควรปลูกฝังเสียงระฆังแห่งสติ


    ง. เอ๋ย ง เงิน : : อย่าจ่ายเกินหน้าตักจะเดือดร้อน


    จ. เอ๋ย จ จิต : : สติวันละนิดจิตแจ่มใส


    ฉ. เอ๋ย ฉ ฉัน : : อย่าเกลียดกันคนอื่นว่าต่ำต้อย


    ช. เอ๋ย ช ชม : : อย่าหลงคารมจนประมาท


    ซ. เอ๋ย ซ ซื่อ : : อย่านับถือคนโกงจงซื่อสัตย์


    ฌ. เอ๋ย ฌ ฌาน : : ฝึกจิตให้เบิกบานด้วยฌานสี่


    ญ. เอ๋ย ญ หญิง : : หากดีจริงเก่งจริงไม่แพ้ชาย


    ฎ. เอ๋ย ฎ ฎีกา : : พระราชาทรงธรรมนำมาอ่าน


    ฏ. เอ๋ย ฏ ปฏิญญา : : คือสัจจาศักดิ์สิทธิ์อย่าคิดลืม


    ฐ. เอ๋ย ฐ ฐาน : : ฐานตึกคืออิฐ ฐานชีวิตคือความดีงาม


    ฑ. เอ๋ย ฑ มณโฑ : : อย่ามัวโชว์แต่รูปร่างจนสร้างทุกข์


    ฒ. เอ๋ย ฒ ผู้เฒ่า : : แต่ละก้าวคือแบบอย่างของลูกหลาน


    ณ. เอ๋ย ณ เณร : : ต้องเติบโตเป็นปิ่นนักปราชญ์


    ด. เอ๋ย ด ดี : : คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี เป็นคนดี = ชีวิตที่ดี


    ต. เอ๋ย ต ตัวตน : : เกิดเป็นคนควรกำจัดให้หมดสิ้น


    ถ. เอ๋ย ถ ถิ่นกำเนิด : : อย่าแค่เกิดรูปกายแล้วหายหัว


    ท. เอ๋ย ท ทหาร : : อย่าระรานประชาชนให้ทนทุกข์


    ธ. เอ๋ย ธ ธง : : สามสีไตรรงค์ ชาติ ศาสนา มหากษัตริย์


    น. เอ๋ย น นอบน้อม : : คือเสน่ห์ย้อมจิตใจให้คนรัก


    บ. เอ๋ย บ บัณฑิต : : คมความคิดต้องแหลมคมสมสรรเสริญ


    ป. เอ๋ย ป ปัญญา : : อย่าฉลาดเกินหน้าตัว "สติ"


    ผ. เอ๋ย ผ ผิด : : แม้น้อยนิดอย่าดูดายแก้ไขเสีย


    ฝ. เอ๋ย ฝ ฝึกฝน : : ค่าของคนคือเป็นสัตว์ที่ฝึกได้


    พ. เอ๋ย พ พอดี : : คำคำนี้คือลายแทงแห่งความสุข


    ฟ. เอ๋ย ฟ ฟุ่มเฟือย : : อย่าเพิกเฉยจนกลายเป็นนิสัย


    ภ. เอ๋ย ภ ภูมิพล : : พระคือฝนหกฟ้ามาโลมดิน


    ม. เอ๋ย ม มโนมัย : : ฝึกขี้ "ม้าหัวใจ" ให้ปราดเปรียว


    ย. เอ๋ย ย ยุ่ง : : หากกิเลสไม่ปรุงไม่ยุ่งสักเรื่อง


    ร. เอ๋ย ร รัก : : จงตระหนักรักอะไรไม่เท่า เรารักดี


    ล. เอ๋ย ล หลอก : : คนกลับกลอกหลอกแยบยลยิ่งกว่าผี


    ว. เอ๋ย ว วิชา : : คืออาภรณ์ประดับอาภรณ์อันเลอค่า


    ศ. เอ๋ย ศ ศักดิ์ศรี : : มนุษย์ทุกคนล้วนมีอย่าดูหมิ่น


    ษ. เอ๋ย ษ ฤาษี : : จะให้ดีต้องเลิกใบ้หวย


    ส. เอ๋ย ส สันติ : : สันติเริ่มที่ใจใช่สงคราม


    ห. เอ๋ย ห หักห้าม : : รู้จักปรามห้ามจิตอย่าคิดชั่ว


    ฬ. เอ๋ย ฬ บาฬี : : ภาษานี้รักษาพุทธพจน์ (ภาษาใช้บันทึกพุทธดำรัส)


    อ. เอ๋ย อ อัคคี : : ไฟสามกองนี้ (โลภ โกรธ หลง) ต้องกำจัด


    ฮ. เอ๋ย ฮ ฮา : : หัวเราะฮ่าฮ่า คือยาอายุวัฒนะ



    คัดลอกจาก...จั่นเจา
    <!-- m -->http://www.tamdee.net/db/forum_posts.as ... 4da1ef898f<!-- m -->
     
  11. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    เผื่อพี่เสือสนใจอยากจะร่วมทำบุญตรงนี้นะคะ

    http://larndham.net/index.php?showtopic=35314&st=0

    วันนี้ผมและครอบครัวได้ไปกราบ หลวงปู่มหาเจิม ปญฺญาพโล ซึ่งเจริญอายุถึง 93 พรรษาแล้ว ที่วัดสระมงคล นครปฐม มาครับ

    ได้ทราบจากผู้ดูแลหลวงปู่ว่า สิ่งที่จำเป็น ได้ใช้ประโยชน์ในการดูแลหลวงปู่ซึ่งอาพาธอยู่มาก ๆ คือ
    1. แผ่นรองซับ ขับถ่าย (ที่ใช้อยู่ยี่ห้อ ANAN อันอัน แบบรองปูซับ (ไม่ใช่แบบนุ่งเป็นแพมเพิส)
    2.ยาสวนทวาร U-ENEMA แบบเป็นขวด
    3.สำลี ม้วน ๆ
    4.น้ำมะเขือเทศ แบบ 100% และ เกลือน้อย ๆ

    จึงขอบอกบุญ สิ่งของเพื่อใช้อุปัฏฐาก หลวงปู่มหาเจิม โดยแนะนำให้ไปถวายที่วัดท่านด้วยตนเอง น่าจะเหมาะสมสุด โดยควรไปตอนเช้า ๆ สัก 7-8 โมงเช้าครับ

    แผนที่การเดินทาง
    http://www.geocities.com/luangpujerm/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009
  12. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับวันนี้ครอบครัวผมได้โอนเงินจำนวน 500 บาททำบุญสงฆ์อาพาธประจำเดือน
    สิงหาคม 2552 ครับ
     
  13. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    โอนวันที่ 09/08/09 (เวลา12:56 น.)
     
  14. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    เห็นพี่พันวฤทธิ์แนะนำขออนุญาตนำมาบ้าง
    เนื่องจากวันนี้ผมได้บูชาหนังสือประมวลภาพพระเครื่อง-วัตถุมงคลพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดูลย์-อตุโล-สุรินทร์ มาครับ 4ทั้งเล่ม มีรูปต่างๆเยอะมากครับ ไม่แพงด้วยครับ
    ใครสนใจก็ลองดูรายละเอียดกันเองนะครับ
    ที่ ประมวลภาพพระเครื่อง วัตถุมงคล พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จ.สุรินทร์

    เอามาฝากลูกศิษย์หลวงปู่ด้วยกันครับ ผมพอได้แล้วยังขอเพิ่มอีก2เล่มเลยครับ
    เอ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    เข้าไปดูในเวบหนึ่ง มีผู้ประมูลตัดหน้าไปซะแระราคาปิด 65.-บาท เอง (ราคาเริ่มต้น 55.-) เสียดายไม่งั้นนำไปฝากคนไกลจากอเมริกาข้างบนข้างๆ หมาน้อยสักองค์ รอไปก่อนก็แล้วกัน
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    พวกพี่ๆ คณะกรรมการฯ ขออนุโมทนาและสาธุบุญกับน้อง jirautes ด้วยครับ เอาไว้ถ้ามีอะไรดีๆ จะ pm ไปหาเน๊อะ

    [​IMG]



     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เอ้า..น้องเอฝากมา ใครสนใจเชิญได้ครับ ลองเข้าไปดูในลิงค์ เห็นว่าราคาจะเขยิบขึ้นไปอีก ดีครับหากใครมีของๆ ท่าน จะได้เทียบเคียงได้ว่ารุ่นไหน ส่วนของผม ให้พี่ใหญ่ตรวจทางนามแทน เอาแค่คุ้มตัวได้พอแล้ว ไม่อยากรู้ว่ารุ่นไหน ถ้าทันท่านอธิษฐานจิตล่ะก็ ดีทั้งหมดครับ (เผอิญผมมีรูปหล่อรุ่นแรกและเหรียญท่านอยู่แล้วพร้อมมีหนังสือคำสอนของท่านให้อ่านขัดเกลากิเลสอีก 1 เล่มน้อย คราวนี้เลยขอผ่านครับ)
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ได้ฟังคำสอนของท่านทาง mp3 มาหลายคืนแล้ว ท่านเทศน์สอนได้ดีมาก โดยเฉพาะเรื่องภพภูมิ วันนี้เลยได้ถามถึงคำสอนของท่านในเรื่องพรหมชั้นต่างๆ กับการเจริญกรรมฐานประเภทต่างๆ ที่ส่งผลให้ไปอุบัติเป็นพรหมในที่แห่งนั้นกับพี่ใหญ่ ปรากฏว่าตรงกัน และได้ทราบว่าท่านไม่มาเกิดอีกแล้ว ดีใจเช่นกันที่ชาตินี้ได้มีโอกาสคุยเปิดใจกับท่านสองต่อสองยามที่เรายังอยู่ในช่วงของเวทนาจากโรคไต ท่านเทศน์ให้ฟังจนน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกับเป่ากระหม่อมและลูบที่ศรีษะให้เป็นกำลังใจ ทุกวันนี้ยังนึกถึงท่าน พอๆ กับหลวงปู่อ่อนสา และหลวงปู่เหรียญ ท่านองค์นี้ครับ

    [​IMG]

    มนุษย์ตกนรกหมกไหม้ เพราะความเบียดเบียน
    เพราะความไม่เกรงกลัวต่อบาป
    เพราะไม่ละอายต่อบาป
    เพราะไม่รู้จักกาลไม่รู้จักเวลา
    การเกิดเป็นคนมิใช่เป็นได้ง่าย ๆ
    บุญกรรมของมนุษย์แต่งให้มนุษย์เกิด
    จึงเป็นกัมมปัจจโย กรรมเป็นผู้ปรุงแต่ง
    ให้เป็นหญิงเป็นชาย ขี้ริ้วขี้เหร่ ให้ยากจน และร่ำรวย
    วิปากะปัจจโย เมื่อกรรมสร้างแล้ว ให้ผลแล้ว
    ทำให้มนุษย์หูหนวกตาบอด
    บ้าใบ้เสียจริตอดยากปากแห้ง ขาดศรัทธา ขาดปัญญา
    จะให้ตรัสรู้มรรคผลนิพพานก็ไม่ได้ เพราะนิสัยไม่มี วาสนาไม่มี
    จำให้ทุกคนสร้างนิสัย สร้างวาสนา
    สร้างปัญญา สร้างบารมี ดุจการปลูกผลหมากรากไม้
    ไม่เป็นหมากเป็นผลในวันนี้ ก็จะเป็นในวันพรุ่งนี้
    หรือมะรืนนี้ หรือในวันต่อ ๆ ไป


    การสร้างบุญญาวาสนาบารมีก็เหมือนกัน
    ไม่บรรลุรู้แจ้งแทงตลอดในวันนี้
    ในชาตินี้ก็จะเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยในชาติหน้าภพต่อ ๆ ไป


    หลวงพ่อคำพอง ติสฺโส
    วัดถ้ำกกกู่
    จ.อุดรธานี




     
  19. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    แหะ แหะ _/\_
     
  20. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <table style="display: block;" id="story_body" width="100%" align="center"> <tbody> <tr><td>
    [​IMG]

    ใครที่ยังลังเล ที่จะตอบแทนพระคุณพ่อ-แม่ อ่านไว้ซะนะ

    เวลาที่มีไม่มาก รีบๆ เข้า

    > > >เรื่องจริงจาก รร.อัญสัมชัญ

    แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......

    เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร"

    ครูที่มีจิตวิทยาสูงในการสอนเด็ก

    รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!

    ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539

    "มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ"

    โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร

    ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้

    เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ

    เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์

    ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน

    หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว

    อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก

    เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้

    หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง

    ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย...

    แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก

    เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปีเมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา

    "ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา"

    น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

    มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม

    เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการ เรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว

    หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย

    ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก

    มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้............





    วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2536หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...

    ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล

    ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน

    ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน

    ส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก

    ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม

    คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า

    ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย

    แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง

    ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่

    และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

    "ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร"

    มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน

    ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ "ลูกชาย" ของคุณแม่ท่านนั้น

    "ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร"

    คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย

    ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...

    ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที

    แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...

    แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม ่ขาดสะบั้นลง!



    คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที

    ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...

    ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็ก
    จนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด



    ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
    มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...

    คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงาน

    พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!

    คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!

    สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที

    ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป

    ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ

    มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า

    "นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ"

    "กล้าหาญมาก" เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า

    หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า

    มิสมองหน้า "ลูกชาย" ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า

    "นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
    ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ"

    เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง

    "วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชม และยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา"

    "จริงครับๆ ใช่ครับๆ" เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน

    "มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อนไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ"

    มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของแต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด

    มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า

    "ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ"

    เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ

    ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่า
    หากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?

    เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง

    ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด

    หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจ

    ของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

    เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว "ลูกชาย" เข้าไปคุยอีกครั้ง

    "วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ"

    เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า

    "ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ"

    รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่

    บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย

    กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย


    .........ก่อนไม่มีแม่ให้กอด..........
    </td> <td width="30"></td></tr></tbody></table> <script type="text/javascript"> <!-- playSound(); showPoll(); //--> </script>
     

แชร์หน้านี้

Loading...