ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    พหุลกถาโอวาท
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

    [​IMG]

    พหุลกถาโอวาท เมื่อเราจะประกอบความเพียรให้เกิดมีขึ้นในตัวของเรา ควรกำหนด ควรรู้ ควรเห็นและความเป็นอยู่ของจิตคือเรื่องสิ่งที่จิตของเรามันหลงอยู่ ให้รู้จักว่ามันหลง จิตหลงอะไร ติดข้องคาอะไร เราพากันค้นหาตัวหลงตัวคาในจิตของตนทันที แล้วรีบพยายามแก้ไขชำระสะสางในสิ่งเหล่านั้น ให้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นไปเพื่อทุกข์ หรือเป็นไปเพื่อปลดเปลื้องทุกข์

    เราควรตามรู้ตามเห็น เพราะเราต้องการอยากพ้นทุกข์ และตัวเราเป็นผู้รู้อยู่ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อทุกข์เพื่อโทษ เราจะปล่อยให้เราเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ตั้งหลายภพหลายชาติหลายกัปหลายกัลป์เช่นนั้นหรือ เราต้องรีบชำระสะสางอารมณ์สัญญาของเราที่ลุ่มหลงมัวเมาให้เกิดความรู้เท่าเอาทัน ให้นั่งพิจารณาดูว่า เราต้องการความสุขคือความพ้นทุกข์ ถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อความสุขแล้ว เราก็ต้องรักษาและปฏิบัติเอาใจใส่ในสิ่งเหล่านั้น ทำให้มากเจริญให้มากขึ้น

    สิ่งใดเป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นไปเพื่อโทษ ก็รีบชำระสะสางให้หมดสิ้นไปจากดวงใจของเรา ให้พึงเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอมิใช่ว่าเราไม่รู้ คือให้รู้ภายในจิตใจของตน อย่าส่งรู้ออกภายนอกจิตใจของตน ให้พากันดูให้พากันฟัง สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนครบบริบูรณ์

    ขณะนี้เราอยู่ในสมถกรรมฐาน คือความสงบ วางอารมณ์ภายนอกทังหมดได้ ไม่กำหนัดรักใคร่ยินดี ใจไม่หงุดหงิด ไม่ซึมเซา ไม่ท้อแท้ และไม่งมงาย เราอยู่ในวิปัสสนากรรมฐาน ก็ตัดหมด ตัดภพ ตัดชาติทั้งหลาย อารมณ์สัญญาที่เป็นไปตามกระแสโลกตัดหมด ไม่มีเหลือ เป็นเรื่องสมมตินิยมกันเท่านั้น จิตของเราเป็นวิมุติ หลุดพ้นไปหมด เรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่องทุกข์ เรื่องภัย ไม่มีอีกแล้ว นี้แหละเป็นข้อปฏิบัติ

    เพราะฉะนั้น ให้พากันพึงรู้พึงเห็นและเข้าใจในสัจธรรมให้เห็นแจ้งประจักษ์ในตัวของเรา เมื่อเรารู้แล้วเราจะได้มีศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใส หนักแน่นในข้อวัตรปฏิบัติมากยิ่งขึ้น และจะได้ประกอบวิริยะ ความพากเพียรกล้า ในการประพฤติในการปฏิบัติทุกข้อ จะไม่ย่อท้อในหน้าที่ของตน เราจะได้มีความหมั่นขยัน มีความอดทนต่อหน้าที่กาลต่อไป เราเห็นแล้วว่าสุขจริงๆ ทุกข์จริงๆ บุญบาปมีจริงให้พึงรู้พึงเข้าใจต่อไป ดังนี้

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.krusiam.com
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ยึดมั่น ถือมั่น อย่างมีปัญญา


    [​IMG]

    ที่ฉลาด ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น เพื่อความพ้นทุกข์ ผู้ที่ยังยึดมั่น ถือมั่นอยู่ โดยมีทุกข์ ก็ต้องเป็นผู้รู้ ว่าการยึดศีล ยึดธรรม ยึดวินัย ยึดหลักประพฤติ เพื่อการประพฤติ ละ หน่าย คลาย จางอย่างมีผลอยู่นั้น ย่อมตั้งตนอยู่ในความลำบากบ้าง แต่ก็มีการคลาย จาง ผู้ยึดมั่น ถือมั่นเช่นนั้น เรียกว่า ผู้เพ่งเพียรอยู่ และ มีมรรค - มีผล ผู้หลง จะยึดมั่น ถือมั่น โดยไม่มีปัญญา แล้วมีทุกข์อยู่ในตน ผู้นั้น ชื่อว่า "ผู้อวิชชา หรือโง่อยู่ ผู้ยึดมั่น ถือมั่น ย่อมทุกข์ ด้วยประการฉะนี้ แม้ทุกข์อย่างไร้ผล หรือทุกข์อย่างมีผล ...

    ส่วนผู้ที่ยึดมั่น ถือมั่น อย่างไม่มีทุกข์นั้น คือ พระอริยเจ้า ท่านยึดศีล ยึดธรรม ยึดวินัย เพื่อตน เพื่อผู้อื่น โดยเฉพาะตนเองนั้น ปฏิบัติศีลก็ดี ธรรมก็ดี วินัยก็ดี หลักเกณฑ์ต่างๆ ก็ดี ได้โดยง่าย ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก และ ไม่มีทุกข์ การยึดมั่น ถือมั่นในศีล ในธรรม ในวินัย ในหลักเกณฑ์ต่างๆ อันพึงเป็นไป ด้วยความสามัคคี สันติภาพ ผู้ยึดได้ โดยไม่ทุกข์ จึงคือ อริยเจ้าผู้รู้เท่าทัน และ ผู้มีกำลังใจอันแข็งแรง ปราศจากธุลี การยึดมั่น ถือมั่น อย่างไม่มีทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่า ประโยชน์ต่อตน ต่อโลกมนุษย์ ...


    ส่วนผู้ที่ยังยึดมั่น ถือมั่น ไม่วาง และไม่มีผล เต็มไปด้วยทุกข์ นั้นคือ ผู้ยังเป็นปุถุชน หรือ ยังเป็นผู้ที่ยังโมหะ ยังอวิชชา ยังไม่มีทางคลี่คลาย เพราะฉะนั้น แม้ผู้นั้น จะฉลาดขึ้น ในคราใด จงปล่อยวาง เสียทั้งสิ้น ไม่ยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งนั้นเสียเลย เราจะเห็นการพ้นทุกข์ ในปัจจุบันทันที
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ต้นหาย กำไรสูญ
    (พระอาจารย์มั่น)


    [​IMG]

    ต้นหาย กำไรสูญ เปรียบเสมือนคนเราบางคนที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน จะประกอบการค้าขาย หรือทำกิจการงานอะไรก็ดี ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวและแก่เฒ่าแก่ชราในที่สุด และถึงพร้อมด้วยความร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุข สร้างบ้านสร้างเรือน สร้างหลักฐานได้อย่างมั่นคง ตลอดจนสร้างเกียรติยศ สร้างชื่อเสียง จนได้ลาภ ทุกสิ่งทุกอย่าง

    แต่คนบางคนที่กล่าวถึงเหล่านี้ เมื่อถึงกาลเวลาอันสมควร ซึ่งที่จริงก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับทรัพย์สมบัติในทางโลกที่ได้สร้างสม มามากแล้ว ก็ควรจะหยุด เพื่อรีบสร้างสมสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ในบั้นปลายของชีวิตให้มากที่สุดเท่า ที่จะกระทำได้บ้าง
    แต่เขาเหล่านั้นก็หาได้มีความหยุด ความยั้ง ความละ ความปล่อย ความวาง ในทรัพย์สมบัติที่หามาได้เหล่านั้นไม่ มุ่งหน้าที่จะคิดอ่านประกอบกิจการงานให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงว่า สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ความตายก็จะต้องมาถึงเข้าอย่างแน่นอน

    ในที่สุดร่างกายของเขาก็ถึงซึ่งความแตกดับจริงๆ และย่อยยับสูญหายไป ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนหามาได้ไว้ในโลกนี้ให้กับคนอื่นทั้งหมด ไม่สามารถที่จะนำเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นติดตามตนไปได้แม้แต่นิดเดียว โดยที่ตนเองมิได้ประกอบคุณงามความดีในทางสร้างสมในสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ให้มากเท่าที่ควรเลย ซึ่งตนเองก็มีโอกาสและโชคดีอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็มิได้กระทำลงไป จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของเขา

    เปรียบเสมือน ต้นหายกำไรสูญ ต้นก็คือ ร่างกายและทรัพย์สมบัติที่หามาได้ทั้งหมด กำไรก็คือ บุญกุศลหรือสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ แทนที่จะได้ก็ไม่ได้ และถ้าใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปในทางที่ไม่ดีผิดศีลธรรมอีกด้วยแล้ว หรือ ยึดในทรัพย์สมบัติที่หามาได้นั้นมากเกินไป ก็ยิ่งจะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ต้นก็หาย กำไรก็สูญ ชีวิตนี้ก็ขาดทุน
     
  4. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ร่วมทำบุญเดือนนี้ครับ ดังรายละเอียดดังนี้ครับ วันที่ 22/04/52 เวลา 11:49 สถานที่ A01305 ลำดับที่ 4092 A จำนวนเงิน 200.00 ขอร่วมโมทนาบุญด้วยนะครับ (เอก อิน เอ โต้ง ปอนด์ นุช ต้นกล้า) ปล.เดือนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสไปอีกแล้วครับ พอเห็นประกาศวันก็ดีใจนึกว่าจะได้ไปสักทีครับ แต่เมื่อวานเพื่อนที่เรียนโทรมาบอกให้ไปที่ม.อาทิตย์นี้ครับ อาจารย์เรียกให้ไปครับเลยอดเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2009
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097


    [​IMG]

    กายของเรานี้เป็นของพ่อแม่ให้มาทั้งหมด เจ้าของเดิมก็คือพ่อแม่นั่นเอง มาจากข้าวสุกขนมสดที่พ่อแม่เคี้ยวกิน เป็นเลือดเป็นเนื้อเป็นน้ำเหลือง หรือเป็นการป้อนข้าวป้อนน้ำนมให้เราจนเจริญเติบโตมาถึงทุกวันนี้ ร่างกายของเรานี้จึง

    ไม่ใช่ของใครเลย นอกจากของพ่อแม่

    ฉะนั้น เราอย่าคิดโกรธเกลียดพ่อแม่เลย อย่าได้คิดถกเถียงดื้อรั้นด่าตีพ่อแม่เลย เพราะการกระทำ เช่นนั้นล้วนเป็นการเนรคุณและเป็นบาปกรรมที่ใช้ไม่หมดลบล้างไม่ได้ มีเพียงบุญกุศลเท่านั้นที่จะให้พ่อแม่ ให้แต่ความดีอย่างเดียวสำหรับพ่อแม่ ให้พูดดีอย่างเดียว ให้ทำดีอย่างเดียวจึงจะเป็นการตอบแทน ถ้าพูดไม่ดีทำไม่ดีก็มีแต่เวรมีแต่กรรม มีแต่หนี้สินอยู่ตลอดเวลา วันนี้เรามาชดใช้บุญคุณของพ่อแม่ ด้วยการมาภาวนาให้จิตของเราหยุดคิดหยุดนึก สงบใจสักพักหนึ่ง ตั้งอกตั้งใจให้สบาย ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกังวลอะไร เอากายวาจาใจของเราที่ดีที่พ่อแม่ให้มานั้นให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ…ทำสมาธิให้ใจของเราสงบเย็นสักห้านาทีสิบนาที เช่น "พุท" ลมหายใจเข้า "โธ" ลมหายใจออก ทำความรู้สึกไว้ ที่สองช่องจมูกของเรา จำใบหน้าจำจมูกของเราไว้จนกว่าใจของเราจะว่าง สว่าง เฉย เป็นดวงเดียว จิตของเราจะได้ผ่องใสเบิกบานรื่นเริงบันเทิงใจ ทำบุญกุศลถึงใจเรา

    ถ้าเราไม่สงบเราจะไม่รู้เลยว่า พระคุณของพ่อแม่นั่นมีมากมายเพียงไร พอใจสงบแล้าเราระรู้เลยว่าบุญคุณของพ่อแม่นั้นมี่มากสุดที่จะพรรณนา สุดที่จะประมาณได้ จึงเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระพรหมของบุตร

    พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะอะไร?


    เพราะพ่อแม่มีความรักอันบริสุทธิ์ใจ พร้อมที่จะให้อภัยแก่ลูกเสมอ ส่วนพ่อแม่เป็นพระพรหมของลูกก็คือเป็นผู้ประเสริฐต่อชีวิตลูก อะไร ๆ ก็เสียสละได้ทุกอย่างเพื่อลูก

    ทุกวันนี้เราเป็นพ่อคนแม่คน เราได้สำนึกแล้วว่าเรารักลูกมากเพียงไร พ่อแม่ก็รักเรามากเพียงนั้น เมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ เราไม่เคยรู้ถึงความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่แสดงออกมา เพราะเรายังไม่รู้เดียงสาเราจึงมองไม่ออก แต่เราจะมองเห็นการแสดงออกถึงความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อเราได้ก็เมื่อ ตอนที่เรามีลูก เราอุ้ม เรากอด เราจูบ เรากระวนกระวาย เราคอยดูแลตลอดวันตลอดคืนอย่างไร นั่นแหละ!พ่อแม่ของเราก็ทำเช่นนั้นกับเราเหมือนกัน เราห่วงใยลูกเราอย่างไร พ่อแม่ก็ห่วงใยเราเมื่อตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ อย่างนั้น เหมือนกัน คนจะคิดได้ก็ตอนที่ตนเองมีลูกนะ ถ้าคิดไม่ได้ก็สายเสียแล้วก็กลายเป็นคนเนรคุณไม่รู้คุณพ่อแม่

    ส่วนมากคนเราจะรักแต่ลูกตัวเอง รักแต่หลานตัวเอง ไม่เคยย้อนกลับไปดูพ่อแม่ตัวเองว่าพ่อแม่ก็รักเราเพราะเราเป็นลูก พ่อแม่ของเราก็รักเราเหมือนเรารักลูกนั่นเอง ถ้าคิดได้อย่างนี้เราจะมองเห็นเลยว่า อ๋อ! เวลาเราอุ้มท้องลูก เราห่วงใยกังวลอยู่ตลอดวันตลอดคืน ตอนที่แม่อุ้มท้องเราก็คงห่วงใยกังวลตลอดวันตลอดคืนไม่ต่างอะไรกันแน่นอน

    เรื่องนี้เราคิดได้หรือยัง? …เราคิดถึงบุญคุณพ่อแม่ได้หรือยังว่าท่านทำอะไรให้เราบ้าง…มากน้อยแค่ไหนใน ชีวิตนี้ ตั้งแต่อุ้มท้องมาเก้าเดือน เลี้ยงดูจนถึงทุกวันนี้ พ่อแม่ให้อะไรเราบ้าง…คิดได้หรือยัง? แล้วเราได้ให้อะไรแก่พ่อแม่หรือยัง?

    ยังเลย! เราให้แต่ลูกของเรา ให้แต่สามีภรรยาของเรา เรายังไม่เคยย้อนกลับไปให้แม่ของเราเลย เพราะเราลืมบุญคุณ เราไม่ได้คิดว่าพ่อแม่เลี้ยงดูรักเรามากถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

    เราคิดได้แต่เพียงว่าเรารักลูกของเรา อยากจะให้ลูกของเรา แต่เราไม่เคยคิดว่าพ่อแม่ก็ให้เราอย่างนี้มาก่อน มันเป็นกงกรรมกงเกวียนที่ปิดบังหัวใจมนุษย์ให้นึกไม่ออก ให้หลง ให้งงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถออกจากทุกข์ได้ ไม่เหมือนพระอรหันต์ ไม่เหมือนพุทธเจ้า ไม่เหมือนผู้กตัญญูรู้คุณ จะมองออกเลยว่า…ใช่! เรายอมรับ เรารักลูกของเราอย่างไร พ่อแม่ก็รักเราอย่างนั้น เราเสียสละให้ลูกของเราอย่างไร พ่อแม่ก็เสียสละให้เราอย่างนั้น เจ็บแทนลูกได้ ตายแทนลูกได้…แต่เมื่อลูกโตแล้วก็ไม่เคยคิดที่จะเสียสละให้พ่อแม่อย่างนั้น เลย กลับเถียงกลับว่ากลับ มองพ่อแม่ในแง่ไม่ดี

    กลับไม่เข้าใจพ่อแม่ หาว่าคนแก่เป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าพ่อแม่เป็นแผ่นเสียงตกร่อง พูดแล้วก็พูดอีกเป็นหนังเก่าฉายแล้วก็ฉายอีกเราก็มานั่งบ่นนั่งว่าพ่อแม่เอา จุดที่พ่อแม่นี่เองมาย้อนพ่อแม่ให้เจ็บช้ำใจ พอเรามีลูก เราก็เป็นแผ่นเสียงตกร่องต่อไปอีก หนังเก่าฉายใหม่เหมือนกัน เป็นกงเกวียนกำเกวียนไม่มีผิดเลย ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

    ถ้าเราไม่อยากให้เป็นกงเกวียนกำเกวียน ก็ต้องไม่ว่าพ่อแม่ นิ่งเฉยเสีย ยอมอดทน ถือว่าเป็นเรื่องของคนแก่ เป็นพ่อคนแม่คนก็ต้องบ่นอย่างนี้เอง เพราะความรักความห่วง ถ้าไม่รักไม่ห่วงไม่มีบ่นเลย ที่บ่นที่ด่าลูกก็เพราะความรักความห่วง กลัวลูกจะไม่ได้ดี

    เมื่อเราคิดได้อย่างนี้เราจะทะนุถนอมพ่อแม่เหมือนเรารักลูกเลย เราทะนุถนอมลูกของเราเท่าไร เราก็ทะนุถนอมพ่อแม่ของเราเท่านั้น อันนี้จึงว่าเป็นบุคคลฉลาด เป็นบุคคลประเสริฐที่รู้บาปบุญคุณโทษว่าพ่อแม่รักเราอย่างไร…มีอยู่วันหนึ่ง อาตมาไปงานศพที่จังหวัดสมุทรสาคร ลูกสาวเป็นพยาบาล แม่ผ่าตัดแล้วเป็นโรคหลงลืม กินไม่รู้นอนไม่รู้ ไม่รู้จักลูก ลูกคนอื่น ๆ พยาบาลไม่ได้เพราะไม่มีเวลา ลูกคนหัวปีเลยเอาแม่ไปเลี้ยง แม่เหมือนกลับกลายเป็นเด็กอีกครั้ง เสื้อผ้าก็ต้องนุ่งให้ ต้องช่วยอาบน้ำเช็ดอุจจาระปัสสาวะ

    คิดดูซิ! แม่ทำอะไรไม่ได้เลย แม่ช่วยตัวเองไม่ได้ กินข้าวก็กินเองไม่ได้ ต้องให้ลูกคอยป้อน เขาปรนนิบัติแม่อยู่ ๔-๕ ปี กตัญญูมากเลย เขาบอกว่าทำให้เขาได้ซึ้งในบุญคุณของพ่อแม่ ทำให้เขาได้กลับมาตอบแทนพ่อแม่เหมือนตอนที่พ่อแม่ได้เลี้ยงเขามาสมัยเด็ก ๆ ไม่ต่างกัน ลูกหลาย ๆ คนทำให้แม่คนเดียวไม่ได้ แต่ทีทำให้ลูกๆ ของตัวเองกลับทำได้ แล้วเขาก็ทำบุญอุทิศให้แม่เป็นพันเป็นหมื่น นิมนต์พระมาถวายอาหารทั้งอำเภอเลย

    นอกจากนั้นยังให้ทุนการศึกษาเด็กยากจน ให้ทุนอาหารเด็กนักเรียนอีกไม่ใช้จะเลี้ยงพ่อแม่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการทำบุญให้พ่อแม่อีก คนเราถ้าเป็นอย่างนี้แล้วลูกหลานก็คล้อยตาม ต่อไปพอเราแก่หรือเจ็บป่วย ลูกหลานก็ต้องเลี้ยงดูและพยาบาลเราอย่างนี้

    คนเราทุกวันนี้มีวิชาความรู้มากยิ่งไกลจากพ่อแม่มาก ยิ่งศึกษาสูงเท่าไร ยิ่งทอดทิ้งพ่อแม่มากขึ้นเท่านั้น ต่อไปพ่อแม่จะต้องเดียวดาย เพราะเขาไม่ศึกษาธรรมะ เขาไม่ศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนา…เรื่องกตัญญูรู้คุณ เขามัวศึกษาแต่ความเจริญทางวัตถุ เขาจะต้องทอดทิ้งให้เราเป็นคนแก่ที่ไร้สาระ ถูกทอดทิ้งให้ลำบาก

    สมัยก่อน คนเราไม่ได้มีการศึกษาอะไรกันมาก คนจะรักพ่อรักแม่ ดูแลพ่อแม่ยันตาย ถ้าเราศึกษามากเท่าไรเราต้องศึกษาธรรมะมากเท่านั้น ให้ธรรมะเจริญในใจของเราจนเกิดความรู้ความเข้าใจ เราจะได้ไม่ทอดทิ้งผู้มีพระคุณ

    วันนี้โยมระลึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่ได้หรือยังว่าท่านให้อะไรแก่เราบ้าง…แล้วอะไรล่ะที่เราให้พ่อแม่ได้บ้าง?

    ความสบายใจที่พ่อแม่ต้องการ เราให้ท่านหรือยัง?

    พ่อแม่นั้นหวังเพียงอย่างเดียวคือ…ให้ลูกเจริญ ที่เคี่ยวเข็ญทุกวันนี้ก็เพราะอยากให้ลูกเจริญอยากให้ลูกรวย อยากให้ลูกมีการศึกษาดีมีงานทำ ไม่อาภัพเหมือนคนอื่น คืออยากให้ได้ดีความปรารถนาของพ่อแม่ไม่มีอะไรมากไปกว่าให้ลูกได้ดี แก้วแหวนเงินทองก็ไม่อยากได้จากลูก มีแต่อยากจะเอาไปให้ลูกให้มากขึ้น

    เรื่องเหล่านี้ทำไมเราจึงคิดไม่ได้?…อะไรปิดบังใจเราอยู่?…ทำไมเราจึงเสียสละให้พ่อแม่ไม่ได้?…อะไรปิดบังใจ

    เราอยู่?…เราสละให้ลูกของเราได้ แล้วทำไมเราสละให้พ่อแม่ของเราไม่ได้..พ่อแม่ของเราก็เหมือนกัน ท่านสละให้เราได้ แต่ทำไมสละให้พ่อแม่ของตัวเองไม่ได้?…มันก็คงจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกกระมัง!

    ถ้าเรามีลูกมีหลานต่อไปก็คงจะต้องทำกันอย่างนี้เรื่อยไป ไม่มีใครตอบสนองบุญคุณด้วยการทำให้เราสบายใจเลย

    เราจะต้องคิกกันให้มากเรื่องอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้ เราเกิดมามีพ่อมีแม่ มีผู้มีพระคุณให้เรา ไม่ใช่ไม่มีใครให้เรา บางคนถึงพ่อแม่จะไม่เคยเลี้ยงดูเรามา แต่อย่างน้อยเลือดเนื้อกายใจนี้ท่านก็ให้เรามา เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นพระคุณสูงสุดแล้ว เรามีปากเอาไปชมเชยพ่อแม่ เอาไปสรรเสริญพ่อแม่ เอาไปเรียกพ่อแม่กินข้าวกินน้ำไม่ใช่มีปากเอาไว้เถียงพ่อแม่ เอาไปด่าว่าพ่อแม่ให้เจ็บช้ำใจ เรามีตาเอาไปมองดูแลพ่อแม่ให้พ่อแม่มีความสุข ไม่ใช่เอาตาไปค้อนไปควักพ่อแม่ให้เจ็บช้ำ ไม่ไปมองพ่อแม่เหมือนไร้ความหมาย ก็ขอให้เราได้เข้าถึงความเป็นพ่อแม่ที่ดีกันทุกคน..

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บุคคล ๒ จำพวก คือ มารดาและบิดานี้ เราไม่กล่าวว่าจะตอบแทนคุณให้สิ้นสุดได้ง่าย

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บุตรที่ปฏิบัติมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง ปฏิบัติบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่งอยู่จนตลอดอายุร้อยปี บุตรนั้นได้ปฏิบัติด้วยปัจจัยสี่ ด้วยการอบกลิ่น การนวด การอาบน้ำ และการดัดกาย มารดาบิดาได้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่บนบ่าของบุตรนั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่นับว่าตอบแทนคุณบิดามารดาให้สิ้นสุดได้ หรือแม้บุตรจะพึงสถาปนามารดาบิดาไว้ในราชสมบัติของแผ่นดินด้วยแก้ว ๗ ประการก็ยังไม่ชื่อว่าได้ตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาให้สิ้นสุดได้เลย

    ข้อนี้เพราะเหตุใด? เพราะเหตุว่า…มารดาบิดาเป็นผู้มีคุณมาก เป็นผู้รักษาชีวิตบุตรไว้ เป็นผู้เลี้ยงบุตร เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ผู้ใดชักชวนมารดาบิดาซึ่งไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธามั่นคง ชักชวนมารดาบิดาผู้ไม่มีศีลให้ตั้งมั่นในศีล ชักชวนมารดาบิดาผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางที่ถูกต้องได้ ภิกษุทั้งหลาย!…ด้วยการตอบแทนบุญคุณดังกล่าวนี้ ชื่อว่าบุตรได้ตอบแทนคุณมารดาบิดาแล้ว"


    หลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ
    วัดสังฆทาน


    ขอขอบคุณ คติธรรมวันล่ะนิดๆ โดย Mthai.com
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    พระคุณแม่

    ร้อยดวงดาวส่องแสงพราวบนราวฟ้า
    แทนมาลาน้อมบูชาศรัทธามั่น
    ในองค์คุณพุทธศาสดาจอมราชันย์
    พระคุณอันยิ่งใหญ่ให้ธรรมมา
    น้อมดวงจิตพิศพระธรรมคือคำสอน
    ให้สังวรในชีวิตทั่วทิศา
    มีธรรมะอยู่ใกล้ชิดติดอุรา
    พระธรรมมาจะช่วยอำนวยพร
    น้อมดวงใจกราบองค์พระสงฆ์เจ้า
    เหนือเศียรเกล้านำพระธรรมมาพร่ำสอน
    นำชีวิตพบพระธรรมนิรันดร
    ประนมกรกราบไหว้เทิดบูชา


    ขอความสุขความเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นในธรรมในความดี จงปรากฏบังเกิดมีแก่ญาติโยมสายบุญผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านทุกคนเทอญ วันนี้จะมากล่าว เรื่องพ่อแม่ลูก สักหน่อย คุณโยมที่สนใจใฝ่ธรรมส่วนใหญ่อยากฟังไม่มีวันเบื่อ ยิ่งฟังก็ยิ่งสบายใจ นั่นคือบัณฑิต ไม่อิ่มไม่พอในการฟังธรรม ถึงแม้นบางครั้งกิเลสยังไม่สิ้น ยังทำบาปทำผิดบ้างแต่ก็น้อยลง เพราะรู้ผิดชอบชั่วดีหมดแล้ว ส่วนใหญ่จึงมีแต่ความศรัทธาจะบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มีแต่กำลังใจจะสร้างบารมีปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น

    แต่สิ่งที่เป็นห่วงก็คือ ลูกหลานเยาวชนวัยรุ่นของญาติโยมที่ไม่ได้มาฟังธรรม ไม่ได้มาสดับตรับธรรมเทศนา แล้วลืมคุณพ่อคุณแม่ ลืมคุณศีลลืมคุณธรรม ลืมทำความดี แล้วก็ทำบาปหนักอย่างไม่กลัวอะไร ทำผิดอย่างสนุกสนานหัวร่อต่อกระซิก เพราะไม่เชื่อ เพราะไม่ได้ศึกษา คนเราเรียนอะไรจะรู้อันนั้น ศึกษาเรื่องไหนมากๆ ใส่ใจบ่อยๆ จะเก่งเรื่องนั้น

    ฉะนั้น เมื่อลูกได้ทำ ได้พูด ได้คิด ล่วงเกินพ่อแม่ ทำบาปกับพ่อแม่ ซึ่งมันจะมีอิทธิพลทำให้ชีวิตมืดบอด แต่งงานมีลูกหลานๆ ก็จะพาลต่อเราอีก กรรมมันต่อเนื่อง ที่เราทำกับพ่อกับแม่อย่างไร ผลก็มาถึงเราหลายสิบเท่า จะต้องทุกข์ลำบากหนักใจร้อนใจเพราะลูกของตน หรือเพราะแฟนของตนเองอีก ฉะนั้น อิทธิพลของการทำบาปกับพ่อแม่นั้น มีอิทธิพลส่งผลยาวนาน ยิ่งพ่อแม่เสียใจช้ำใจมากเท่าไหร่ ลูกคนนั้นก็จะมี “อาถรรพ์ชีวิต” ติดตามไม่จืดจางเลยชาตินี้ทั้งชาติ แม้จะมีฐานะดีเพียงใด แม้จะรุ่งเรืองในทรัพย์สมบัติเกียรติยศเพียงใด แม้จะมีอำนาจเพียงใด แต่พลังแห่งความมืดก็ไม่เคยทิ้งบุคคลนั้น มักจะมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจ เจ็บใจช้ำใจอยู่เป็นประจำ อิทธิพลของการทำกับพ่อแม่นั้น ความศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยเสื่อมจากโลกไม่ว่ายุคไหนสมัยใด

    ถ้าลูกคนไหนรู้ว่าพ่อแม่รักมาก ดูแลมาก เอาใจมาก แล้วลูกก็พูดดี ทำดี คิดดี กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่มาก ลูกคนนั้นก็จะประสพผลทันตาในสิ่งที่ดีที่เจริญ แม้นจะจนจะยาก จะร่ำจะรวยก็มีความสงบสุข จนก็พออยู่ได้ รวยก็ไม่มีใครมาทำให้ร้อนใจ ชีวิตจะอบอุ่นจะซึ้งใจสบายใจ นี้คืออิทธิพลของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ลูกได้ทำกับท่าน เพราะฉะนั้น วันนี้ตั้งใจมาพูดเรื่องนี้โดยตรง เรื่องธรรมะอื่นๆ พูดมานานแล้วขอหยุดไว้นะโยม เรื่องพ่อแม่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่จริงๆ การเนรคุณมีอำนาจพอที่จะทำให้ลูกวิบัติ มีอำนาจพอที่จะทำให้โลกนี้เดือดร้อนปั่นป่วน หากใครฆ่าพ่อแม่มาก่อนปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอย่างไรก็บรรลุธรรมไม่ได้

    เดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ
    อุบัติเหตุจะเกิดทั่วทุกทิศา
    มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ
    เกิดนิมิตพิสดารทั่วบ้านเมือง
    คือเหตุการณ์เห็นชัดในบัดนี้
    ทุกถิ่นที่มองดูก็รู้เรื่อง
    โลกบอบช้ำระส่ำระส่ายระคายระเคือง
    และรุ่งเรืองล้นหลามด้วยความเลว
    เป็นเหตุการณ์อันวิบัติแก่สัตว์โลก
    ต้องทุกข์โศกอกตรมความล้มเหลว
    และลุกลามเร็วไวเหมือนไฟเปลว
    สู่ห้วงเหวมหึมาที่น่ากลัว
    ส่วนมนุษย์สุจริตไร้พิษสง
    และมั่นคงในศีลธรรมไม่ต่ำชั่ว
    ความเร่าร้อนในโลกันต์ไม่พันพัว
    รักษาตัวรอดได้สบายดี
    <!-- / message --><!-- sig -->
    __________________


    ขอขอบคุณ

    http://images.google.co.th/imgres?i...A1%E0%B9%88&gbv=2&ndsp=18&hl=th&sa=N&start=18
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ภาพประกอบบ้านพักคนชราในปัจจุบัน จะเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูกอาจจะหนึ่งคนหรือหลายคน นั่งเหม่อลอยอย่างหมดความหวังครับ หลายคนที่มีแม่อยู่ดีแล้ว อย่าทิ้งแม่น๊ะ สงสารท่าน


    -- ลูกสาวที่เรียนจบปริญญาขอตัดแม่ตัดลูก --

    ขอยกตัวอย่างลูกสาวคนหนึ่งที่เรียนจบปริญญา พ่อแม่เลี้ยงดูทะนุถนอมส่งเรียนจนจบ วันหนึ่งไปงานเลี้ยง แม่เผลอพูดอะไรไปไม่ทราบไม่ถูกใจ พูดแค่สองสามคำ แต่บังเอิญไปพูดต่อหน้าแขก ก็เลยสลัดมือแม่ ขอตัดแม่ตัดลูกแต่เพียงเท่านี้ แล้วก็หลบไปร้องไห้ โอ้ ! ทำความดีเอาใจลูก พูดเพราะกับลูกกี่แสนครั้งกี่พันวันกี่หมื่นวัน ความดีนั้นยิ่งใหญ่กี่สิบปีตั้งแต่อยู่ในท้อง หวังดีต่อลูกไม่เคยจืด แต่เผลอพูดผิดพลาดไปบ้างเพราะความหลงลืม เพราะความไม่เหมาะไม่สม พูดผิดพูดไม่ดีไม่กี่คำ แต่ความดีที่มากมายนั้นโดนเลิกหมดสิ้น ถูกตัดขาดแม่ลูก

    เจ้าประคุณเอ๋ย ! โถชีวิตหนอ ! ความดีที่ยิ่งใหญ่กับความชั่วเล็กนิดเดียวชั่งใจไม่ได้เชียวหรือ ว่าอะไรควรไม่ควร ลูกทำผิดพูดผิดแม่เจ็บใจกี่ครั้ง แต่ยอมอภัยให้ลูกเสมอ แม่เป็นฝ่ายผิดบ้างครั้งสองครั้ง ตัดขาดแม่ลูกเชียวเลยหรือ ? อ๋อ ! รางวัลที่แม่ได้รับจากลูกที่ท่านรักที่ท่านห่วงที่สุดในชีวิตเป็นอย่างนี้หรือ ? บุคคลผู้ฉลาดเห็นความดีส่วนใหญ่ต้องเคารพบูชา ความไม่ดีส่วนน้อยทิ้งไปเถิดอย่าใส่ใจ

    ลูกหนอลูก ! ไม่เคยคิดเลยหรือว่า เราได้เกิดมาในโลกอาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด อาศัยขนมนมเนยที่ท่านป้อนที่ท่านให้ ที่ท่านดูแลท่านเลี้ยงรักษา ขาดบิดามารดาที่ท่านชุบเลี้ยงเราหมดสิทธิ์ได้ลืมตามองดูโลก เพราะเราเกิดมาตัวเล็กตัวน้อยไม่มีความสามารถที่จะดูแลตนเองได้

    ความรู้ที่เรียนมาประเสริฐหรือเปล่าหนอ ? จะเอาตัวรอดหรือไม่ ชาตินี้ทั้งชาติมีสิทธิ์อยู่ในโลกแต่จะมีความสุขไหม ? ปากที่แม่ให้มาเพื่อพูดเพื่อทานข้าว เอาปากอันนั้นมาด่ามาว่าแม่ให้เจ็บช้ำน้ำใจรึ ? ตาที่แม่ให้มาเพื่อดูโลก เอาตาดวงนั้นมาถลึงใส่แม่รึ ? เพราะคนอื่นๆ ที่รักเราชอบเราเค้าชอบจริงหรือเปล่า แล้วชอบนานไหม หนุ่มสาวรักกันชอบกันเพราะถูกใจ เพราะช่วยเหลือกัน เพราะหน้าตาสะสวยอยู่ในวัยที่งดงาม แต่พอเกิดอุบัติเหตุมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ขาหักแขนหัก หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ หนุ่มนั้นสาวนั้นยังรักเราอยู่ไหม ? สำหรับพ่อแม่แล้ว แม้ลูกจะมีอาการครบ ๓๒ หรือไม่ งามเหมือนเดิมหรือขี้ริ้วขี้เหร่เพราะเหตุการณ์สิ่งใดมาผันแปรชีวิตให้เปลี่ยนไป พ่อแม่ก็ยังคงรักลูกอยู่เสมอ

    ลูกอย่าเคืองอย่าโกรธโทษผิดๆ
    ต้องพินิจด้วยปัญญาอย่าหลีกหนี
    ที่พ่อแม่รักเจ้าเท่าชีวี
    เลี้ยงลูกมาจนบัดนี้เพื่ออะไร
    มิหวังให้ตัวเจ้าทุกข์ยากเข็ญ
    หวังให้เจ้าเปี่ยมเต็มทุกสมัย
    คุณธรรมนำรอดตลอดไป
    เพราะความดีจะคุ้มภัยตลอดกาล
    พ่อแม่ส่งเงินทองให้ลูกใช้
    จงตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือ
    หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ
    เพื่อยึดถือเอาไว้ใช้เลี้ยงกาย
    อันพ่อแม่มีแต่จะแก่เฒ่า
    จะเลี้ยงเจ้าเรื่อยไปนั้นอย่าหมาย
    ใช้วิชาช่วยตนไปจนตาย
    ลูกสบายแม่กับพ่อก็ชื่นใจ


    ลูกชายอายุ ๓๐ ปีคนหนึ่ง แม่อายุ ๖๐ ปี ลูกเป็นอัมพาต แม่ยังมาเช็ดอุจจาระปัสสาวะ ยังมาอุปัฏฐากรับใช้ ไม่มีเงินเดือนเงินดาวน์เลย

    โอ้น้ำใจแม่ช่างล้ำเลิศประเสริฐพร้อม
    แม่ถนอมโอบเอื้อช่วยเกื้อหนุน
    เฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาด้วยการุณย์
    โอ้พระคุณแสนล้ำเลิศประเสริฐเอย


    พ่อแม่ที่สมบูรณ์ คือ เป็นพ่อก็คือทำหน้าที่ของพ่อดูแลลูกอย่างดี ก็คือเป็นพ่อที่สมบูรณ์ เป็นแม่ก็คือทำหน้าที่อย่างดีให้ความอบอุ่นช่วยเหลือเกื้อกูลป้องกันภัยลูกทุกอย่าง ก็คือเป็นแม่ที่สมบูรณ์ ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ที่ทิ้งขว้างลูกไม่ใส่ใจใยดี อันนั้นไม่ใช่พ่อแม่ที่ถูกต้อง ไม่ใช่พ่อแม่โดยสมบูรณ์ เป็นพ่อแม่ที่ไม่ประเสริฐ แต่ถ้ากล่าวพรรณนาถึงพระคุณพ่อแม่ที่สมบูรณ์ที่ถูกต้องก็มีมากมายเสียเหลือเกิน

    ขออนุโมทนาลูกที่กำลังตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐากพ่อแม่ในขณะนี้ บางท่านเหลือแต่แม่ บางท่านเหลือแต่พ่อ แต่บางท่านพ่อแม่สิ้นไปหมดแล้ว ก็จงรู้คุณผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเราในปัจจุบัน ความกตัญญูอยู่ในใคร คนนั้นจะมีแต่ความเจริญ ขอให้กตัญญูเพื่อความดีจริงๆ อย่าแอบแฝงด้วยความไม่บริสุทธิ์ และขออนุโมทนาลูกชายท่านหนึ่งที่กำลังบวชบูชาพระคุณพ่อแม่ ลูกชายท่านนี้เคยติดยาม้ายาบ้าแล้วเลิก แล้วมาบวชปฏิบัติธรรม พ่อแม่จึงกำลังปีติดีใจอยู่ตอนนี้ และก็ดีใจกับตัวอาตมาเองด้วย ที่อาตมาได้บวชทำให้แม่พ่อสบายใจ พ่ออาตมาก็ได้บวชด้วยกัน ปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว เหลือแต่แม่ ก็ดีใจกับบุญตัวเองที่ไม่ทำให้แม่น้ำตาตกเสียใจเพราะความประพฤติไม่ดีของเรา และดีใจกับลูกอีกหลายคนตอนนี้ เป็นคนจีนบ้าง คนไทยบ้าง กำลังดูแลพ่อแม่อย่างดีที่บ้าน

    การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่นี้ยากเหลือเกินจะให้หมดสิ้น เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า “แม้นบุตรธิดาใดแบกพ่อแม่อยู่บนบ่าทั้งสองซ้ายขวา ให้อุจจาระปัสสาวะรดราดบนบ่า ป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างดีไม่ให้ลำบาก มอบรัตนะคือแก้ว ๗ ประการ มอบสมบัติในแผ่นดินให้พ่อแม่ครอบครองดูแลอย่างนั้นตลอด ๑๐๐ ปี ก็ไม่สามารถจะตอบแทนบุญแทนคุณของท่านให้หมดสิ้นได้ เพราะบุญคุณของท่านยิ่งกว่านั้น” อันนี้คือข้อเปรียบเทียบ ก็ไม่มีใครหรอกจะแบกพ่อแบกแม่ไว้บนบ่าใช่ไหมโยม แต่ท่านเปรียบเทียบว่า อย่าว่าแต่เลี้ยงดูธรรมดาเลย ให้ไปไหนมาไหนถ้าท่านขี่อยู่บนบ่านั่งอยู่บนบ่า ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำให้เราต้องลำบากขนาดนั้น ก็ตอบแทนบุญคุณของท่านไม่หมด

    แต่ว่าถ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณของท่านให้หมด ก็คือ ผู้เป็นลูกที่ได้บวชเรียนเขียนอ่านศึกษาธรรมนั้น ขอให้แนะนำพ่อแม่ที่ไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธาเชื่อบาปบุญคุณโทษ ท่านไม่รู้จักให้ทาน ก็แนะนำเหตุผลให้ท่านรู้จักทำบุญให้ทาน ท่านไม่รู้ไม่มีปัญญา ก็แนะนำชี้แจงบอกแนวทางให้ท่านรู้ให้ท่านเข้าใจ

    ส่วนลูกที่เกิดมาแล้วมีพ่อแม่รักเป็นห่วงมาก แต่กลับทำลายพ่อแม่ เนรคุณพ่อแม่ อนาคตก็จะไปเกิดในท้องแม่ใจยักษ์ ใจมาร ใจxxxมโหด ไร้ความเมตตาปราณี ส่วนในชาตินี้ก็จะเจอ “แฟน” ที่ไม่ดี เจอ “ลูก” ที่ดื้อด้าน ทำการงานก็มีแต่เรื่องร้อนใจ ลงทุนอย่างไรก็ไม่มีกำไรเลย “คำสาป” อยู่ในตัวเราเสมอเพราะทำให้พ่อแม่นั้นช้ำใจ


    เมื่อวันก่อน คุณโยมท่านหนึ่งมาหาอาตมา บอกว่าอยากให้ลูกบวชเพราะอายุครบ ๒๕ ปีแล้ว เป็นห่วงกลัวจะเป็นอะไร ลูกขอรถคันที่ ๑ ก็ให้คันที่ ๒ ก็ให้ ผลาญสมบัติของพ่อแม่เยอะแล้ว เที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนาน ให้บวชก็ไม่รับปาก มีโอกาสวันเกิดเลยมาเลี้ยงอาหารเพล อาตมาก็เลยถามว่าลูกชาย จำได้ไหมตอนนี้ใครรักเราที่สุด ?... ลูกชายคุณโยมท่านนั้นก็บอกว่า ย่า แม่ และคุณตาครับ... คนที่รักเราที่สุดนั้น เราทำอะไรให้คนที่รักเราได้ชื่นใจบ้าง ? เพื่อนฝูงที่จูงเราไปเที่ยวเตร่เฮฮาสนุกสนาน เพื่อนคนนั้นช่วยเหลืออะไรเราไว้บ้างหรือยัง เพื่อนฝูงถือว่ามีคุณความดีแก่เราน้อย แต่ผู้ที่มีความรักมีบุญคุณยิ่งใหญ่ เราไม่ทำตามท่านซะบ้างเลยรึ กราบแม่ดูซิ กราบย่าดูซิ กราบเป็นไหม

    ลูกชายคุณโยมท่านนั้นก็เลยกราบแม่ และก็กราบย่า ทำให้น้ำตาเจ้ากรรมของแม่หลั่งไหลออกมา ก็ความดีนั่นแหละโยมท่านเอ๊ย จิตใจมันสะทกสะท้านหวั่นไหวนะ น้ำตาหลั่งไหลก็เพราะความดีที่ลูกมากราบมาไหว้ มาขอโทษแม่ซะ ขอโทษย่าซะ ถ้าสิ่งใดลูกล่วงเกิน ทำอะไรสักอย่างให้คนที่รักเราได้ชื่นใจตอนท่านมีชีวิตหน่อยได้ไหมลูก ก็ยังไม่ได้ยินเสียงรับปาก แต่พอ ๓ วันต่อมาก็ปรากฏว่า แม่ส่งข่าวมาว่าลูกจะบวชให้แล้ว สาธุ

    โอ้ พระคุณเหนือเกล้าของลูกเอ๋ย
    ลูกไม่เคยลืมบุญคุณของแม่นี้
    สุดซาบซึ้งถึงค่าความปราณี
    ที่แม่มีต่อลูกจิตผูกพัน
    ลูกจะแทนคุณได้อย่างไรหนอ
    เพื่อให้พอเพียงบุญคุณของแม่นั้น
    ลูกบวชเรียนเพียรพากมากอนันต์
    แต่ดูมันเล็กน้อยด้อยเกินไป
    อันพระคุณของแม่นี้มีค่าล้น
    ลูกสุดค้นสรรหาคำปราศรัย
    หาคำอื่นหมื่นแสนในแดนใด
    จะยิ่งใหญ่เกินมารดาหาไม่มี
    คำว่า “แม่” นั้นยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ
    สุดจะเทียบเทียมได้ในโลกหล้า
    เพราะแม่นั้นให้กำเนิดเกิดลูกมา
    คุณของค่าน้ำนมหาใดปาน
    คำว่าแม่มีแต่ให้มิคิดรับ
    แม่ให้ทรัพย์ให้วิชาให้อาหาร
    ให้ชีวิตให้ความคิดให้วิญญาณ
    สุดประมาณจะนับได้มากมายจริง


    อาตมาอยากจะบอกอย่างนี้นะคุณโยม ลูกที่อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่มากเกินไป หากไม่ระวังจิตขาดสติเพราะคุ้นเคยกับท่านมากเกินไป พอด่าก็ด่า พอดุก็ดุ พอพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำได้ก็พูด ไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่บังเกิดเกล้าเจ็บใจขนาดไหน เห็นท่านไม่ตอบโต้ นึกว่าท่านไม่เป็นไร ให้อภัยเราได้คงไม่ว่าอะไร ที่แท้ท่านก็แอบกล้ำกลืนน้ำตาอยู่ในห้องนอนคนเดียวก็มี อยู่ใกล้พระอรหันต์ไม่เห็นคุณของพระอรหันต์... อยู่ใกล้พระพรหมไม่เห็นคุณของพระพรหม... อยู่ใกล้พระเทพไม่เห็นคุณของพระเทพ... อยู่ใกล้พระอาจารย์ไม่เห็นคุณของพระอาจารย์... น่าหวาดเสียวนะ อยู่ใกล้ท่านแล้วขาดสติ เพราะล่วงเกินกับท่านครั้งหนึ่ง บาปยิ่งกว่าล่วงเกินคนอื่นสิบครั้งยี่สิบครั้ง คนอยู่ใกล้พ่อแม่จึงมีคุณยิ่งใหญ่ และก็มีโทษมหันต์ด้วย ถ้าระวังตัวก็จะมีคุณบุญบารมียิ่งใหญ่ ถ้าไม่ระวังใจก็จะมีบาปมหันต์เช่นเดียวกัน

    <!-- / message --><!-- sig -->__________________


    ขอขบคุณ

    http://images.google.co.th/imgres?i...A1%E0%B9%88&gbv=2&ndsp=18&hl=th&sa=N&start=18

     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ยามนี้มีคนพูดเรื่องชาติไทยกันมาก เลยขอลงเอกลักษณ์ของชาติมาให้อ่านกันก่อนครับ


    ต้นไม้...ดอกไม้...ประจำชาติไทย
    <TABLE width="80%"><TBODY><TR><TD width="100%"> จากอดีตที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพยายามหลายครั้งในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้ชักชวนให้ประชาชนสนใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชักชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ
    [​IMG] กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้และสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวข้องกับประเพณีไทยและประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอครั้งนั้นไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ สัตว์ ดอกไม้ ที่คนไทยคุ้นเคยและพบเห็นบ่อย เช่น พระปรางค์วัดอรุณฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เช่นเดียวกับ ต้นราชพฤกษ์ และ ช้างเผือก ยังคงถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติตลอดมา
    ปี พ.ศ.2530 มีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศจำนวน 99,999 ต้น ทุกวันนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่มากมายทั่วประเทศไทย
    ข้อสรุปเรื่องสัญลักษณ์ประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจน กระทั่งช่วงปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกครั้ง และมีข้อสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม และการพิจารณาที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย
    เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะมีความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน คือ เป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้เป็นต้นไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน ทนทาน ปลูกขึ้นได้ดีทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อต่างกันในแต่ละภาค เช่น ลมแล้ง คูน อ้อดิบ ชัยพฤกษ์เป็นไม้มงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆ เช่น ลงหลักเมือง ลงเสาเอก ทำคฑาจอมพลและยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนชัยพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งทั้งต้น ช่อดอกมีรูปทรงสวยงาม สีเหลืองอร่ามเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกจากนี้ความงามของช่อดอกและความหมายที่ดียังถูกจำลองแบบประดับไว้บนอินทรธนูของข้าราชการพลเรือนอีกด้วย


    เอกสารอ้างอิง
    • พืชพรรณไม้มงคล ส.พลายน้อย บริษัท รวมสาส์น (1977) จำกัด
    • เดลินิวส์วาไรตี้ พงษ์พรรณ บุญเลิศ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2544
    • ไม้ต้นประดับดอก ชุดคู่มือคนรักต้นไม้ วชิรพงศ์ หวลบุตตา สำนักพิมพ์บ้านและสวน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    โดยทั่วไป “วันชาติ” มักจะหมายถึง วันเฉลิมฉลองที่ประเทศนั้นๆ ได้รับอิสรภาพ เป็นเอกราช หรือเป็นวันสถาปนาประเทศ รัฐ ราชวงศ์ วันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ วันเกิดประมุขของรัฐ หรืออาจจะเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่นๆ แต่มักจะถือเป็นวันหยุดประจำของชาติ ซึ่ง “วันชาติ” ของแต่ละประเทศจะเป็นวันใด ก็ขึ้นอยู่กับการกำหนดของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศโมร็อกโก]] ตรงกับวันที่ 2 มีนาคม สหรัฐอเมริกา ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม ฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคม อินโดนีเซียตรงกับวันที่ 17 สิงหาคมบราซิล]]ตรงกับวันที่ 7 กันยายน และเคนย่าตรงกับวันที่ 12 ธันวาคม เป็นต้น
    “วันชาติ” ของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีเพียงวันเดียว แต่ก็มีบางประเทศเช่นกันที่มี “วันชาติ” มากกว่าหนึ่งวัน ทั้งนี้เพราะประเทศนั้นๆ อาจจะนับวันที่ได้รับเอกราชหรือวันที่ปลดแอกจากการเป็นอาณานิคม และวันที่มีการสถาปนาการปกครองขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะมิใช่วันเดียวกัน แต่เป็นวันสำคัญเสมือนวันชาติเท่าๆกัน เช่น ประเทศปากีสถาน จะมีวันชาติตรงกับวันที่ 23 มีนาคม ที่เขาเรียกว่า “Republic Day” และวันที่ 14 สิงหาคม เป็น “Independence Day” ส่วนฮังการี ก็มีถึง 3 วันคือ วันที่ 15 มีนาคม 20 สิงหาคม และ 23 ตุลาคม สำหรับจีน นอกจากจะมีวันชาติตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม แล้ว ที่ฮ่องกง อันเป็นเขตปกครองพิเศษของจีน ที่มีขึ้นหลังจากอังกฤษ คืนเกาะ ฮ่องกง ให้จีนก็มีการเฉลิมฉลองวันที่ตรงกับวันสถาปนาการปกครองพิเศษนี้ขึ้น ในวันที่ 1 กรกฎาคม อีกด้วย
    [แก้ไข] ความเป็นมาของวันชาติไทย

    [​IMG]

    สำหรับประเทศไทย เราเคยได้มีการกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็น “วันชาติ”ของไทย ด้วยถือว่าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย โดยได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง “วันชาติ” ลงวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 โดย พ.อ.พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และได้มีการเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน ครั้งแรกในปีพ.ศ. 2482 ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
    วันที่ 24 มิถุนายน เป็น “วันชาติ” ของไทยอยู่นานถึง 21 ปี ครั้น วันที่ 21 พฤษภาคม 2503 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง เรื่อง ให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย โดยให้เหตุผลว่า
    ด้วยคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นว่า ตามที่ได้กำหนดให้มีการเฉลิมฉลองวันชาติไทยในวันที่ 24 มิถุนายน นั้น ได้ปรากฏในภายหลังว่า มีข้อที่ไม่เหมาะสมหลายประการ ในด้านประชาชนและหนังสือพิมพ์ก็ได้เสนอแนะให้พิจารณาในเรื่องนี้หลายครั้งหลายคราว คณะรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา โดยมีพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
    คณะกรรมการนี้ได้พิจารณาแล้ว เสนอความเห็นว่า ประเทศต่างๆได้เลือกถือวันใดวันหนึ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับชนในชาติต่างๆกัน โดยถือเอาวันประกาศเอกราช วันอิสรภาพ วันตั้งถิ่นฐาน วันสาธารณรัฐ วันสถาปนาพระราชวงศ์บ้าง ซึ่งไม่เหมือนกัน แต่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ โดยทั่วไปนั้น ได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติ เช่น ประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น
    แม้ประเทศไทยเราเองก็ได้ถือเอาวัน[[พระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยมาแล้ว เพิ่งจะมากำหนดเอาวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ เพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในระยะหลังนี้เองคณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามขนบประเพณีของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นหลักการสมัครสมานสามัคคีรวมจิตใจของบุคคลในชาติโดยทั่วกัน จึงสมควรจะถือเอาวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์เป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทยต่อไป โดยยกเลิกวันชาติ ในวันที่ 24 มิถุนายนเสีย
    ดังนั้น นับแต่ปี พ.ศ. 2503 ประเทศไทยจึงได้ถือเอาวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันชาติ” ของไทย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    [แก้ไข] กิจกรรมวันชาติ

    ตามปกติ การจัดงาน “วันชาติ” ของประเทศต่างๆก็จะมีกิจกรรมและรูปแบบแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ก็มักจะมีการกล่าวสุนทรพจน์ การจัดขบวนพาเหรดเฉลิมฉลอง การจุดพลุดอกไม้ไฟอย่างเอิกเกริก รวมไปถึงการแสดงมหรสพต่างๆ เป็นต้น แต่ในประเทศไทย เนื่องจากวันชาติ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา และวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งมีกิจกรรมเฉลิมฉลองอยู่แล้ว กอปรกับประเทศไทยยังไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครมาก่อน และคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างที่เห็นกันอยู่ปัจจุบัน
    ดังนั้น “วันชาติ” ของเราจึงดูเหมือนไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก เพราะชาวไทยทุกหมู่เหล่าล้วนตัองการจัดกิจกรรมเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของแผ่นดิน” มากกว่าประเด็นอื่น อย่างไรก็ดี หากเราจะระลึกว่าวันนี้ ก็เป็น “วันชาติ”ของไทยด้วย แล้วจัดกิจกรรมต่างๆที่จะแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อ “ประเทศชาติ” ด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และความเสียสละมาอย่างยาวนานเช่นไร ก็อาจจะทำให้ วันนี้ มีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    - คุณอมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
    - คอลัมน์รู้ไปโม้ด หนังสือพิมพ์ข่าวสด
    - วิกิพีเดีย
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พบกันวันเสาร์มีของดีมาแนะนำกันอีกแล้วครับ


    ผู้สืบทอดตะกรุดโสฬสมงคลแห่งวัดสะพานสูง

    สิ้นหลวงพ่อทองสุข และหลวงปู่ผันแล้วดูเหมือนจะหาผู้สืบตำราโสฬสสายตรงได้ยากยิ่ง...

    แต่ก็ยังพอที่จะมีสายตรงที่พอจะเชื่อถือได้คือหลวงปู่วาส สีลเตโช...

    หลวงปู่วาส สีลเตโช ได้อุปสมบทที่วัดสะพานสูงในสมัยที่มีหลวงปู่กลิ่นเป็นเจ้าอาวาสวัดสะพานสูงแต่เมื่อ
    ท่านบวชได้ไม่นานนักหลวงปู่กลิ่นก็มรณภาพ...

    ในตอนหลังหลวงปู่วาสจึงมาเริ่มเรียนคาถาอาคมโดยเป็นลูกศิษย์อาจารย์แปลก ร้อยบาง ซึ่งเป็นลูกศิษย์โดยตรงหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสี่ของศิษย์ที่ช่วยหลวงปู่เอี่ยมจารตะกรุด อันได้แก่ แหยม-คง-กลิ่น(เข้าใจว่าคือหลวงปู่กลิ่น)-แปลก


    หลวงปู่วาส ได้ศึกษาวิชาการทำตะกรุดโสฬส ของสายวัดสะพานสูง ในแต่ละไตรมาส ท่านจะทำตะกรุด โดยจารแผ่นตะกั่วบ้าง ทองแดงบ้าง เงินบ้าง ตามแต่ลูศิษย์จะหามาให้ โดยท่านจะจารเองทีละดอก แต่การจารของท่านจะแปลกโดยที่จะเอาแผ่นทองแดงมาวาง ซ้อนกันเป็นจำนวน 5-10 แผ่น โดยจะจารแผ่นบนสุด โดยหน้าแรกท่านจะลง ยันต์ มหาโสฬสมงคล เมื่อลงเสร็จก็จะเอาไปวางไว้ข้างใต้ จนกว่าจะลงครบทุกแผ่น ในว่าเป็นเคล็ดวิชาปัดตลอด หลังจากนั้นก็จะกลับด้านลงด้านหลังเป็น อิติปิโสพุทธคุณถอยหลัง จะทำเช่นเดียวกับหน้าแรก หลังจากลงจนครบ ท่านจะนำมาถักเชือก.

    ในระหว่างที่ถักเชือกท่านก็จะว่าคาถากำกับอีก หลังจากที่ได้แล้วท่านก็จะนำมาจุ่มรัก และผอกผงพุธคุณโสฬสอีก กว่าจะได้แต่ละดอกใช้เวลานานมาก...




    [​IMG]


    ไปกราบไปทำบุญกับหลวงตากันนะครับ ตอนนี้ยังมี

    ตะกรุด เหรียญรุ่นแรก รุ่นสอง รูปเหมือนหล่อโบราญ มเหศวร และ พระปิดตา ครับ



    ดังนั้นใครที่อยากได้ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม แล้วหาไม่ได้ให้รีบไปหาตะกรุดของหลวงปู่วาส มาบูชาแทนได้เลย ปัจจุบันปีนี้หลวงปู่วาส อายุ 95 พรรษาแล้วสังขารอาจจะไม่สะดวกต่อการรับแขก บางครั้งอาจจะต้องรับประทานยาและพักผ่อนบ้าง แต่ผมรับรองครับว่าใครที่ศรัทธาสายวัดสะพานสูงมากราบหลวงปู่แล้วรับรองไม่ผิดหวัง

    Credit ข้อมูลการสร้างตะกรุดโสฬสมงคลจาก ศูนย์พระดอทคอม...


    คัดบางส่วนมาให้อ่านกันจากสวนขลังดอทคอมครับ รีบไปเด้อ...ทางไปทางนี้ครับ

    จากตลาดรังสิตไปแยกสวนสมเด็จสะพานนวลฉวีข้ามสะพานนวลฉวี วิ่งตามถนน 345 เลี้ยวซ้ายเข้าราชพฤกษ์ ไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกไปสะพานพระราม4

    เลี้ยวซ้ายเข้าถนนชัยพฤกษ์ ไม่ไกลมากจะเจอท่างเข้าวัด จุดสังเกตมีประตูระบายน้ำและสะพานลอยคนข้าม

    เข้าซอยไปไม่ไกลก็จะเจอวัดสะพานสูง วัตถุมงคลมี 2 ที่ คือของวัดและของหลวงตาวาส ถ้าต้องการบูชา

    ของหลวงตาให้ไปที่กุฎิท่านอยู่หลังห้องน้ำยาวๆ ห้องของท่านอยู่ชั้น2 ขึ้นไปกราบท่านได้เลยครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    องค์ละ 300.- บาท ไปช่วยท่านทำบุญกันครับ หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านเสกให้เอง ทำบุญกับทางวัดแล้วอย่าลืม ทำบุญให้ทุนนิธิฯ ด้วยน๊ะครับ มาช่วยพระสงฆ์อาพาธ 7 รพ. ด้วยกัน คณะกรรมการฯ จะได้มีกำลังใจ ขวนขวายหาสิ่งดีๆ หรือแนะนำพระขลังมาให้ท่านได้บูชากันเรื่อยๆ พรุ่งนี้หากไม่ติดภารกิจใดๆ เวลา 7.30-8.00 น.ขอเชิญไปร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯ ในกิจกรรมประจำเดือนเมษายน โดยการถวายสังฆทานอาหารที่ทุนนิธิฯ จัดเตรียมไว้ที่ รพ.สงฆ์ด้วยกันครับ โดยคาดว่าจะถวายสงฆ์ที่อาพาธที่ตึกกัลยาณิวัฒนาพระไม่ต่ำกว่า 150 รูป ซึ่งจำนวนพระที่แท้จริงบ่ายนี้ถึงทราบ (พร้อมกันที่ร้านอาหารของ รพ.สงฆ์ด้านขวามือของประตูทางเข้า จะนำนมกล่องหรือผลไม้มาร่วมใส่พร้อมกับอาหารกล่องที่ทุนนิธิฯ เตรียมไว้ก็ได้ครับ)



    <TABLE class=ipbtable cellSpacing=0><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=center width="99%">



    </TD></TR><TR><TD class=post2 vAlign=top>










    [​IMG]




    </TD><TD class=post2 id=post-main-6058 vAlign=top width="100%"><!-- THE POST 6058 -->[​IMG]





    [​IMG]



    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->พระเจ้าเพชรศรีมุงเมือง..... วัดศรีมุงเมือง อ.ดอยสะเก็ต จ.เชียงใหม่



    องค์จำลองพระหลวพ่อเพชร พระศักดิ์สิทธิ์ของวัดศรีมุงเมือง เนื้อทองผสม



    ได้เข้าพิธี 3 วาระ....อธิฐานจิตโดยท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร ทุกครั้ง



    1.เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2550 พิธีสร้างพระบูชาหลวงพ่อเพชร ขนาด 5 และ 9 นิ้ว ของวัด

    2.เข้าพรรษา ปี 2551 งานพิธีเททองสร้างเจดีย์ 12 ราศี
    3.วันที่ 16 มกราคม 2552 พิธีฉลองเจดีย์ไทลื้อ ที่วัดศรีมุงเมือง





    วัตถุมงคลพระเจ้าเพชรศรีมุงเมืองนี้ ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อธิฐานจิตให้ทุกครั้ง



    และขณะนี้ทางวัดศรีมุงเมือง ได้ทำการสร้างมหาวิหารไทลื้อ ยังขาดปัจจัยอีกมาก จึงนำพระชุดนี้ออกให้กับประชาชนทั่วไปได้บูชากันครับ



    และหากท่านผู้ใดมีความประสงค์จะทำบุญร่วมกันสร้างมหาวิหารไทลื้อ




    ปัจจัยทำบุญ 300 บาท เป็นเจ้าภาพกระเบื้องมุงหลังคา...จะได้รับพระเจ้าเพชร 1 องค์ ครับ




    ติดต่อได้โดยตรงที่พระครูใบฏีกาอรรถสิทธิ์ ชินวังโส (เจ้าอาวาส)



    หรือโทร 053-865552, 086-115-5287 หรือ


    โอนเงินเข้าธนาคารกรุงเทพ สาขาดอยสะเก็ด ชื่อบัญชี วัดศรีมุงเมือง บัญชีสะสมทรัพย์เลขที่ 486-037270-7






    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  12. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    วันนี้ร่วมทำบุญ 200 บาทครับ อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • slip250452.gif
      slip250452.gif
      ขนาดไฟล์:
      9.5 KB
      เปิดดู:
      76
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    โมทนาในบุญที่ทำ และสาธุในกุศลที่เกิดขึ้นกับคุณ nathapat ด้วยครับ ทำมาประจำทุกเดือนศรัทธาเหนียวแน่น ยังผลให้เกิดความมั่นคงในฐานของบุญครับ พิจารณาในบุญที่ทำศีลก็จะเกิดเอง ไม่ต้องเที่ยวไปขอศีลที่ใคร เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้างถึงจะเกิดเป็นบุญกุศล เป็นอย่างที่ พระอาจารย์ณรงค์ วัดบ้านเพ ท่านเทศน์ให้ฟังจริงๆ ครับ


    [​IMG]
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    จากผลของความตั้งใจมั่น เราได้อะไรเพิ่มบ้าง


    หลักการทำสมาธิเบื้องต้น

    หลักการทำสมาธิเบื้องต้น
    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    http://www.dhammajak.net/samati/samati1/s101.php

    สมาธินี้ได้มีอยู่ในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ในสิกขาสามก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ในมรรคมีองค์แปดก็มีสัมมาสมาธิเป็นข้อสุดท้าย และในหมวดธรรมทั้งหลายก็มีสมาธิรวมอยู่ด้วยข้อหนึ่งเป็นอันมาก ทั้งได้มีพระพุทธภาษิตตรัสสอนไว้ให้ทำสมาธิในพระสูตรต่างๆ อีกเป็นอันมาก เช่น ที่ตรัสสอนไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอบรมสมาธิ เพราะว่าผู้ที่มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วย่อมรู้ตามเป็นจริงดั่งนี้ ฉะนั้น สมาธิจึงเป็นธรรมปฏิบัติสำคัญข้อหนึ่งในพระพุทธศาสนา

    แต่ว่าสมาธินั้นมิใช่เป็นข้อปฏิบัติในทางศาสนาเท่านั้น แต่เป็นข้อที่พึงปฏิบัติในทั่วๆ ไปด้วย เพราะสมาธิเป็นข้อจำเป็นจะต้องมีในการกระทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการดำเนินชีวิตทั่วไปหรือทางด้านปฏิบัติธรรม มีคนไม่น้อยที่เข้าใจว่าเป็นข้อที่พึงปฏิบัติเฉพาะในด้านศาสนา คือสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างเป็นภิกษุ สามเณร หรือเป็นผู้ที่เข้าวัดเท่านั้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ก็จะได้กล่าวถึงความหมายของสมาธิทั่วไปก่อน

    สมาธินั้น ได้แก่ ความตั้งใจมั่นอยู่ในเรื่องที่ต้องการให้ใจตั้งไว้เพียงเรื่องเดียว ไม่ให้ใจคิดฟุ้งซ่านออกไป นอกจากเรื่องที่ต้องการจะให้ใจตั้งนั้น ความตั้งใจดั่งนี้เป็นความหมายทั่วไปของสมาธิ และก็จะต้องมีในกิจการที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรียนศึกษา หรือว่าการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ในการเล่าเรียนศึกษา จะอ่านหนังสือก็ต้องมีสมาธิในการอ่าน จะเขียนหนังสือก็ต้องมีสมาธิในการเขียน จะฟังคำสอนคำบรรยายของครูอาจารย์ก็ต้องมีสมาธิในการฟัง ดั่งที่เรียกว่าตั้งใจอ่าน ตั้งใจเขียน ตั้งใจฟัง

    ในความตั้งใจดังกล่าวนี้ก็จะต้องมีอาการของกายและใจประกอบกัน เช่นว่าในการอ่าน ร่างกายก็ต้องพร้อมที่จะอ่าน เช่นว่าเปิดหนังสือ ตาก็ต้องดูหนังสือ ใจก็ต้องอ่านด้วย ไม่ใช่ตาอ่านแล้วใจไม่อ่าน ถ้าใจไปคิดถึงเรื่องอื่นเสียแล้ว ตาจับอยู่ที่หนังสือก็จับอยู่ค้างๆ เท่านั้น เรียกว่าตาค้าง จะมองไม่เห็นหนังสือ จะไม่รู้เรื่อง ใจจึงต้องอ่านด้วย และเมื่อใจอ่านไปพร้อมกับตาที่อ่านจึงจะรู้เรื่องที่อ่าน

    ความรู้เรื่องก็เรียกว่าเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง คือ ได้ปัญญาจากการอ่านหนังสือ ถ้าหากว่าตากับใจอ่านหนังสือไปพร้อมกัน ก็จะอ่านได้เร็ว รู้เรื่องเร็ว และจำได้ดี ใจอ่านนี่แหละคือใจมีสมาธิ คือหมายความว่าใจตั้งอยู่ที่การอ่าน
    ในการเขียนหนังสือก็เหมือนกัน มือเขียน ใจก็ต้องเขียนด้วย การเขียนหนังสือจึงจะสำเร็จด้วยดี ถ้าใจไม่เขียน หรือว่าใจคิดไปถึงเรื่องอื่น ฟุ้งซ่านออกไปแล้วก็เขียนหนังสือไม่สำเร็จ ไม่เป็นตัว ใจถึงต้องเขียนด้วย คือว่าตั้งใจเขียนไปพร้อมกับมือที่เขียน

    ในการฟังก็เหมือนกัน หูฟัง ใจก็ต้องฟังไปพร้อมกับหูด้วย ถ้าใจไม่ฟัง แม้เสียงมากระทบหู ก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ใจจึงต้องฟังด้วย ใจจะฟังก็ต้องมีสมาธิในการฟัง คือ ตั้งใจฟัง

    ดั่งนี้จะเห็นว่า ในการเรียนหนังสือ ในการอ่าน การเขียน การฟัง จะต้องมีสมาธิ
    ในการทำการงานทุกอย่างก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการงานที่ทำทางกาย ทางวาจา แม้ใจที่คิดอ่านการงานต่างๆ ก็ต้องมีสมาธิอยู่ในการงานที่ทำนั้น เมื่อเป็นดั่งนี้จึงทำการงานสำเร็จได้ ตามนัยนี้จะเห็นว่าสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นต้องมีในการทำงานทุกอย่าง นี้เป็นความหมายของสมาธิทั่วไป และเป็นการแสดงว่าจำเป็นต้องมีสมาธิในการเรียน ในการงานที่พึงทำทุกอย่าง

    ต่อจากนี้จะได้กล่าวถึง สมาธิในการฝึกหัด ก็เพราะว่าความตั้งใจให้เป็นสมาธิดังกล่าวนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการฝึกหัดประกอบด้วย สมาธิที่มีอยู่ตามธรรมดา เหมือนอย่างที่ทุกคนมีอยู่ยังไม่เพียงพอ ก็เพราะว่ากำลังใจที่ตั้งมั่นที่ยังอ่อนแอ ยังดิ้นรนกวัดแกว่ง กระสับกระส่ายได้ง่าย โยกโคลงได้ง่าย หวั่นไหวไปในอารมณ์ คือ เรื่องต่างๆ ได้ง่าย และทุกคนจะต้องพบเรื่องราวต่างๆ ที่เข้าไปเป็นอารมณ์ คือเรื่องของใจ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือทางอายตนะทั้ง ๖ อยู่เป็นประจำ

    เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้มีความรักใคร่บ้าง ความชังบ้าง ความหลงบ้าง เมื่อจิตใจมีอารมณ์ที่หวั่นไหว และมีเครื่องทำให้ใจหวั่นไหวเกิดประกอบขึ้นมาอีก อันสืบเนื่องมาจากอารมณ์ดังกล่าว ก็ยากที่จะมีสมาธิในการเรียน ในการทำงานตามที่ประสงค์ได้

    ดังจะพึงเห็นได้ว่า ในบางคราวหรือในหลายคราว รวมใจให้มาอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังคำสอน ไม่ค่อยจะได้เพราะว่าใจพลุ่งพล่านอยู่ในเรื่องนั้นบ้าง ในเรื่องนี้บ้าง ที่ชอบบ้าง ที่ชังบ้าง ที่หลงบ้าง จนรวมใจเข้ามาไม่ติด เมื่อเป็นดังนี้ก็ทำให้ไม่สามารถจะอ่าน จะเขียน จะฟัง ทำให้การเรียนไม่ดี

    ในการงานก็เหมือนกัน เมื่อจิตใจกระสับกระส่ายไปด้วยอำนาจของอารมณ์และภาวะที่เกิดสืบจากอารมณ์ ดังจะเรียกว่ากิเลส คือ ความรัก ความชัง ความหลง เป็นต้น ดังกล่าวนั้น ก็ทำให้ไม่สามารถที่จะทำการงานให้ดีได้เช่นเดียวกัน ใจที่ไม่ได้หัดทำสมาธิก็จะเป็นดั่งนี้ และแม้ว่าจะยังไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามารบกวนให้เกิดกระสับกระส่าย ดังนั้นความตั้งใจก็ยังไม่สู้จะแรงนัก ฉะนั้น จึงสู้หัดทำสมาธิไม่ได้

    ในการหัดทำสมาธินั้นมีอยู่ ๒ อย่างคือ หัดทำสมาธิเพื่อแก้อารมณ์และกิเลสของใจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อฝึกใจให้มีพลังของสมาธิมากขึ้น
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ยอดพระสงฆ์ที่อาพาธและนอนพักรักษาตัวที่ตึกกัลยาณิวัฒนา รพ. สงฆ์ สำหรับการถวายสังฆทานอาหารเช้าที่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในส่วนกลางของทุนนิธิฯ เช็คครั้งสุดท้ายก่อนเที่ยงวันนี้ มีจำนวนประมาณ 180 รูป ครับ ทุนนิธิฯ ยังขาดขนม และนมสำหรับถวายท่านอีกมาก หากท่านใดไปร่วมกิจกรรม ช่วยนำไปเพิ่มด้วยก็จะดีครับ

    ดูรายละเอียดการจัดกิจกรรมของทุนนิธิฯ และบทความทั้งหมดที่ผ่านมา

    http://www.vcharkarn.com/vblog/34941/1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2009
  16. tippow

    tippow สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    สาธุ ... อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
    อยากทำบุญด้วย แต่กำลังทรัพย์ ยังไม่พอเท่าที่ควร
    หากมีก็จะมาทำบุญแน่ๆค่ะ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มาเถอะครับ ใจมาแล้วก็ได้บุญแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือให้มากระทำเอา ได้อีก 30 % ส่วนอีก 20 % ไว้รอให้มีทรัพย์อย่างที่บอกก่อน ส่วน 30 % นี้ ทางทุนนิธิฯ ได้จัดสังฆทานอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งอาหารและขนม ตะกี้เพิ่งไปซื้อเค้กกล้วยหอมมา 540 ชิ้น พระ 180 รูป ตึก 6 ชั้น แค่เดินถวายทีละชั้นลงมาก็เหนื่อยแล้ว มาครับมาเลยไม่ต้องมีทรัพย์นี่ล่ะ มาช่วยกันประเคนพระ มารับบุญรับพรกัน คนไกลเค้าถวายปัจจัยไว้แล้วเค้าได้บุญตั้งแต่จบเงินถวาย เราคนใกล้มาทำให้เจตนารมย์เค้าครบร้อยกัน หากเค้าดูรูปแล้วเห็นเราถวายแทนเค้าๆ ก็ไดบุญเพิ่มอีกต่อหนึ่งด้วย หากมากันน้อยเค้ามองดูแล้วไม่คุ้มกับที่เค้าไว้วางใจ จิตก็จะพลอยเศร้าหมอง คงไม่ดีสำหรับผู้บริจาคครับ ไม่มีเงิน หรือมีเงินน้อยไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดจริงๆ มาแล้วจะรู้เองครับว่าอารมณ์บุญเป็นยังไง...


    ภาพบางส่วนอีกเช่นกันครับ

    11. และรับพรพระด้วยครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    12. และเริ่มช่วยกันถวายอาหารฉันเช้าครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    13. พระที่ท่านอาพาธครับ

    [​IMG]

    14. มาต่อกันซักนิดครับ

    ช่วยกันถวาย และรับพรพระครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  18. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ฮีต 12 ครอง 14

    1. เดือนเจียง(เดือนอ้าย) บุญเข้ากรรม บุญเข้ากรรมเป็นกิจกรรมของสงฆ์ เรียกว่า เข้าปริวาสกรรม โดยให้พระภิกษุสงฆ์ที่ต้องอาบัติ (กระทำผิด) สังฆทิเสส ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์เพื่อเป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน แล้วปรับตัวประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระวินัย พิธีเข้าปริวาสกรรมกำหนดไว้ 9 ราตรี กำหนดให้พักอยู่ในสถานที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน (อาจเป็นบริเวณวัดก็ได้) โดยมีกุฎิชั่วคราวเป็นหลังๆ พระภิกษุสงฆ์เข้าปริวาสกรรมคราวหนึ่งๆ จะมีจำนวนเท่าใดก็ตาม แต่ต้องบอกดพระภิกษุสงฆ์จำนวน 4 รูปไว้ก่อนว่าตนเองจะเข้ากรรม และเมื่อถึงเวลาออกกรรมจะมีพระสงฆ์ 20 รูป มารับออกกรรม เรียกว่า สวดอัพภาณ แปลว่า รับกลับเข้าพวก พิธีทำบุญเข้ากรรมไม่ถือว่าเป็นการล้างบาป แต่เป็นการวารณาตนว่าจะไม่กระทำผิดอีก ส่วนกิจของชาวพุทธในบุญเข้ากรรมนี้คือการหาข้าวขงเครื่องอุปโภค บริโภคถวายพระ เชื่อว่าจะได้บุญมาdกว่าการทำบุญตักบาตรทั่วไป
    2. เดือนยี่ บุญคูณลาน การทำบุญคูณลาน จะทำเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ในพิธีนี้จะมีการทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระประพระพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่ชาวบ้านลานข้าว ที่นาและตอข้าวบริเวรใกล้ลานข้าวถือว่าเป็นศิริมงคล ทำให้ข้าวในนาอุดมสมบูรณ์ เจ้าของนาจะอยู่เป็นสุข ฝนตกต้องตามฤดูกาลข้าวกล้าจะงอกงามและได้ผลดีในปีต่อไป เมื่อเสร็จพิธีทำบุญคูณลานข้าวแล้วชาวบ้านจึงจะขนข้าวใส่ยุ้งและเชิยขวัญข้าวคือแม่โพสพไปยังยุ้งข้าวและทำพิธีสู่ขวัญกับสู่ข้าวเล้า(ยุ้ง)ข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลต่อไ
    3. เดือนสาม บุญข้าวจี่ เป็นการทำบุญในช่วงเทศกาลวันมาฆบูชา ชาวบ้านจะมาร่วมกันทำบุญตักบาตรในตอนเช้า ตอนค่ำจะมีการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ ชาวบ้านจัดเตรียมข้าวจี่แล้วนำไปถวายพระภิกษุสามเณรที่วัด เมื่อพระฉันเสร็จแล้วมีการฝังเทศน์ฉลองข้าวจี่และรับพร มูลเหตุที่มีการทำบุญข้าวจี่ ซึ่งเป็นอาหารที่คนยากจนกินเป็นประจำ ไปถวายพระพุทธเจ้า พลางคิดว่า ขนมแป้งข้าวจี่เป็นเพียงขนมของทาสที่ต่ำต้อยพระพุทธองค์คงไม่ฉัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้จิตใจของนาง จึงทรงฉันแป้งข้าวจี่ต่อหน้านาทำให้เกิดความปีติดีใจ ครั้นตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ชาวอีสานจึงได้แบบอย่างในการทำแป้งข้าวจี่ ทำบุญข้าวจี่ ถวายพระมาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน
    4. เดือนสี่ บุญพระเวส (บุญพระเวสสันดรหรือบุญมหาชาติ) คำนี้ออกเสียงว่า ผะเหวด เป็นสำเนียงของชาวอีสานที่มาจากคำว่า พระเวส ซึ่งหมายถึงพระเวสสันดร การทำบุญผะเหวด เป็นการทำบุญและฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดก หรือเทศน์มหาชาติ ซึ่งมีจำนวน 13 กัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระเวสสันดร ผู้ซึ่งบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ด้วยการให้ทานหรือทานบารมีในชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาเสวยชาติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า บุญพระเวสเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ของชาวอีสาน นิยมทำกันทุกหมู่บ้าน ด้วยความเชื่อว่าหากได้ฝังเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียว อานิสสงส์จะดลบันดาลให้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งเป็นยุคแห่งความสุข ความสมบูรณ์ตามพุทธคติที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล
    5. เดือนห้า บุญสงกรานต์ (บุญสรงน้ำ) เป็นการทำบุญวันขึ้นปีใหม่ของไทยแต่โบราณ นิยมทำในเดือนห้าเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายนถึงวันที่ 15 เมษายน คำว่า สงกรานต์ เป็นคำสันสกฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในที่นี้หมายถึง พระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศรีหนึ่งเป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่ การทำบุญสงกรานต์จะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ ผู้ใหญ่
    ผู้เฒ่าผู้แก่ นอกจากนี้ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตรก่อพระเจดีย์ทรายและมีการละเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานนานตลอดทั้ง 3 วัน
    6. เดือนหก บุญบั้งไฟ บุญบั้งไฟเป็นงานสำคัญของชาวอีสานก่อนลงมือทำนา ด้วยความเชื่อว่าเป็นการขอฝนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข ในงานจะมีการแห่บั้งไฟ และจุดบั้งไฟเพราะเชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณขึ้นไปบอกพญาแถน ให้ส่งน้ำฝนลงมา ระหว่างที่มีการจุดบั้งไฟชาวบ้านจะมีการเซิ้งอย่างสนุกสนาน การทำบุญบั้งไฟนับเป็นการชุมนุมที่สำคัญของคนในท้องถิ่นที่มาร่วมงานบุญกันอย่างสนุกสนานเต็มที่ มีการนำสัญลักษณ์ทางเพศมาล้อเลียนในขบวนแห่บั้งไฟ โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องหยาบคาย การทำบุญบั้งไฟนี้บางทีจะตรงกับประเพณีบุญวันวิสาขบูชาด้วย
    7. เดือนเจ็ด บุญซำฮะ (บุญชำระ) เป็นการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีเป็นเสนียดจัญไรอันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง เป็นการปัดเป่าความชั่วร้ายให้ออกจากหมู่บ้าน ชาวบ้านจะพากันเก็บกวาดบ้านเรือนให้เรียบร้อยเป็นการทำความสะอาดครั้งใหญ่ในรอบปี สิ่งที่ไม่ ดีทั้งหลายให้ขจัดออกไป เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในหมู่บ้าน มูลเหตุที่มีการทำบุญซำฮะ เนื่องมาจากสมัยพุทธกาลมีโรคห่า (อหิวาตกโรค) ระบาดมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากที่เมืองไพศาลี พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาโปรดทำให้เกิดฝนห่าใหญ่มาชำระบ้านเมือง มีการสวดปัดรังควานและประพรมน้ำมนต์ตามหมู่บ้าน และแก่ชาวบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลนอกจากทำบุญซำฮะแล้วยังมีการทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ ผีบ้าน ผีเมือง ผีปู่ตา ผีตาแฮก (ผีประจำไร่นา) และเซ่นสรวงหลักเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงผู้มีพระคุณเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข
    8. เดือนแปด บุญเข้าพรรษา การเข้าพรรษเป็นกิจของภิกษุสามเณรที่จะต้องอยู่เป็นประจำในวัดใดวัดหนึ่งตลอด 3 เดือน กำหนดเอาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ห้ามมิให้พระภิกษุสามเณรไปพักแรมคืนที่อื่น การทำบุญเข้าพรรษาเป็นประเพณีทางศาสนาโดยตรง จึงคล้ายกับภาคอื่นๆ ในประเทศไทย ในพิธีจะมีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ สามเณร มีการฟังธรรมเทศนา ชาวบ้านจะหล่อเทียนขนาดใหญ่ถวายวัดเป็นพุทธบูชาและเก็บไว้ตลอดพรรษา การทำเทียนถวายวัดในช่วงเทศกาลเข้าพรรา มีความเชื่อแต่โบราณว่า หากใครทำเทียนไปถวายวัด เมื่อเกิดชาติใหม่ ผู้นั้นจะได้เสวยสุข หากมิได้ขึ้นสวรรค์แต่เกิดบนโลกมนุษย์ผู้นั้นจะมีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญาไหวพริบเป็นเลิศ ประดุจแสงเทียนอันสว่างไสว
    9. เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านจากันทำข้าวปลาอาหารคาวหวานพร้อมหมากพลูตั้งแต่เช้ามืดห่อใส่ใบตอง เรียกว่า ข้าวประดับดิน นำไปวางไว้ตามโคนต้นไม้ในบริเวณวัด เพื่อให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นมากิน เพราะเชื่อว่าในช่วงเดือนเก้าผู้ที่ล่วงลับแล้วจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมาท่องเที่ยวได้ ในพิธีบุญข้าวประดับดิน ชาวบ้านจะวางข้าวประดับดินไว้พร้อมจุดเทียนบอกกล่าวให้มารับเอาอาหารและส่วนบุญนี้ จากนั้นชาวบ้านจะเอาอาหารไปทำบุญตักบาตรถวายทานแด่พระภิกษุสามเณร สมาทานศีล ฟังเทศน์และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
    10. เดือนสิบ บุญข้าวสาก เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย โดยมีการทำสลากให้พระจับ เพื่อที่จะได้ถวายของตามสลากนั้น เป็นการทำบุญที่ต่อเนื่องจากพิธีในเดือนเก้าเพราะถือว่าเป็นการทำบุญส่งล่วงลับไปแล้วที่ได้ออกมาท่องเที่ยว ให้กลับสู่แดนของตน ในเดือนสิบนี้ชาวบ้านจะนำห่อข้าวสากไปวางไว้บริเวณวัดพร้อมจุดเทียนและบอกให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วมารับอาหารและผลบุญที่อุทิศให้
    11. เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา จัดทำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นการทำบุญที่สืบเนื่องมาจากบุญเข้าพรรษาในเดือนแปด ที่พระภิกษุสามเณรได้เข้าพรรษาเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ดังนั้น ในวันที่ครบกำหนดพระภิกษุสามเณรเหล่านั้นจะมารวมกันทำพิธีออกวัสสาปวารณา วันนี้เป็นวันที่ภิกษุสามเณรมีโอกาสมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงกันที่วัด ชาวบ้านถือว่าเป็นวันสำคัญและเป็นระยะที่ชาวบ้านหมดภาระในการทำนาไร่อากาศในช่วงนี้จะเย็นสบายจึงถือโอกาสมาร่วมกันทำบุญ มีการตักบาตรถวายภัตตาคารแด่พระภิกษุ สามเณร มีการกวนข้าวทิพย์ถวาย รับศีลสวดมนต์ฟังเทศน์และถวายผ้าจำนำพรรษา ตอนค่ำจะมีการจุดประทีปโคมไฟในบริเวณวัดและหน้าบ้าน บางท้องถิ่นอยู่ใกล้บริเวณแม่น้ำจะมีการไหลเรือไฟ (ล่องเฮือไฟ) เพื่อเป็นการบูชาคารวะแม่คงคา บางแห่งมีการแข่งเรือยาวเพื่อความสนุกสนานและสามัคคีร่วมกันในงานอีกด้วย
    12. เดือนสิบสอง บุญกฐิน เป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน งานบุญนี้มีระยะเวลาทำตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 มูลเหตุที่มีการทำบุญกฐินนั้น มีเรื่องเล่าว่า มีพระภิกษุจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ระหว่างการเดินทางนั้นยังเป็นช่วงหน้าฝนและระยะทางไกลจึงนำให้ผ้าจีวรของพระภิกษุเหล่านั้นเปียกน้ำเปรอะเปื้อนโคลนไม่สามารถหาผ้าผลัดเปลี่ยนได้ พระพุทธเจ้าได้เห็นถึงความยากลำบากนั้น จึงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังออกพรรษาชาวบ้านจึงได้จัดผ้าจีวรนำมาถวายพระภิกษุในช่วงเวลาดังกล่าว จนกลายเป็นประเพณีทำบุญกฐินมาจวบจนปัจจุบัน ก่อนการทำกฐินเจ้าภาพจะต้องจองวัดและกำหนดวันทอดกฐินล่วงหน้า เตรียมผ้าไตรจีวรพร้อมอัฐบริขารและเครื่องไทยทาน มีการบอกบุญแก่ญาติมิตร ตอนเช้าในพิธีจะแห่ขบวนกฐินเพื่อนำไปทอดที่วัดและแห่กฐินเวียนประทักษิณรอบอุโบสถ 3 รอบ จึงทำพิธีถวายผ้ากฐินจากปุยฝ้ายจนสามารถนำไปทอดให้เสร็จภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาเริ่มทำเชื่อว่าจะได้บุญมากกว่าอย่างอื่น

    http://gotoknow.org/blog/vnuntana/42273
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ได้ทำกิจกรรมทุนนิธิฯ เสร็จสิ้นแล้ว รูปถ่ายทั้งหมดจะได้ทยอยลงมาให้ชมกัน ในส่วนกิจกรรมเสริมคือการแจก พระ "ปิยบารมี" นั้น ได้ทยอยแจกให้ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับไปแล้วพร้อมกับซีดีที่เป็น e-book พร้อมรูปภาพและวีดีโอในแผ่นเดียวกัน ความลับต่างๆ ได้ถือว่าถูกเปิดเผยแล้ว จึงขอนำภาพที่อยากให้พิจารณากันในระหว่างการทำพิธีหล่อพระ ที่เห็นภาพตอนแรกๆ คณะกรรมการฯ ก็ตกใจเพราะแดดเปรี้ยงร้อนมาก แต่พอได้เวลาหล่อตามวาระฤกษ์ เมฆดำที่เราเรียกว่าเมฆเจ้าประจำมาที่ตั้งท่ารอก็มาบดบังดวงอาทิตย์ให้มีแต่ความเย็นสบาย มาทุกทีที่หล่อตามฤกษ์ หล่อเสร็จก็สลายตัวไปเร็วมาก ทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้จึงนำภาพมาให้ดูกันครับ

    [​IMG]

    เป็นภาพก่อนทำพิธี

    [​IMG]


    เป็นภาพขณะทำพิธี


    อัดอั้นตันใจไว้ 1 ปี ไม่กล้าเผยแพร่กลัวหาว่าบ้า แต่เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่หล่อ และการหล่อแต่ละครั้ง ไม่มีราชวัตร ฉัตรธง คงมีแต่ดอกไม้คือดอกบัวเป็นหลัก พร้อมกับผลไม้ต่างๆ ไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้ามาร่วมพิธี มีแต่พี่ใหญ่ที่ถือเป็นฌาณลาภีบุคคล และเป็นครูอาจารย์ท่านหนึ่งที่เกี่ยวพันกับหลายๆ คนในทุนนิธิฯ และผู้ที่มาทำบุญในสายบุญนี้เป็นประจำดำเนินการให้ โดยเฉพาะความเกี่ยวพันกับ "ท่านองค์ใหญ่" ตามรายละเอียดในซีดีที่แจกให้ เป็นผู้ดำเนินการขอบารมีจาก "ท่านองค์ใหญ่" ให้เท่านั้น ไม่มีการซื้อขายพระที่ทำ มีเพียงเจตนาที่จะทำแล้วแจกฟรีให้กับผู้ที่ทำบุญประจำผ่านทุนนิธิฯ เท่านั้น ด้วยคำพูดที่ว่า "พวกเราจะได้มีกินมีใช้" และ "ต่อไปภายหน้าจะได้ไม่ลำบากกัน" เพียงเท่านั้น...คือเจตนารมย์ในการสร้างพระ "ปิยบารมี" ครั้งนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    เสียดายมากครับที่ไม่ได้ไป ยังไงขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...