ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วิธีเจริญจิตภาวนา (ตามวิธีหลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วิธีเจริญจิตภาวนา (ตามวิธีหลวงปู่ดุลย์ อตุโล)

    1. เริ่มต้นอิริยาบถที่สบาย
    ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และรู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร หรือ รู้ "ตัว" อย่างเดียว รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ "รู้อยู่เฉยๆ" ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นตามธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเ อง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ว่ามีความแตกต่างกันอย ่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ จากนั้น ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอ รักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

    ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆ ไป

    ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้นจะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดีก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

    ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"

    การบริกรรม "พุทโธ" เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียรทำลายกำลังใจในการเจ ริญจิตในคราวต่อๆ ไป แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอ น ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของ พุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมด าบที่ข้าฟฟศึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธา ตนเองเลย เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเองเพราะคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้นๆ

    "บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครบริกรรมพุทโธ"

    2. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว
    ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่ออารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไปมาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้นเพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต)

    "ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสาม คือ ราคะ โทสะ โมหะ"

    3. อย่าส่งจิตออกนอก
    กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไปก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิตให้ยกไว้ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจก ับมัน)

    "ระวัง จิตไม่ให้คิดเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ 6"

    4. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป
    เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าถึงปัจจัยของอารมณ์ ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไป เรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ

    "คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยการคิด"

    5. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต
    เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่ก ำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติสังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจพฤติของจิตได้อย่างละเอียดลออตามขั้นต อนเข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่า เกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนั่นเอง ไปหาปรุง หาแต่ง หาก่อ หาเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กท ี่สุดภายในจิตได้

    "คำว่า แยกถอดรูป นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง"

    6. เหตุต้องละ ผลต้องละ
    เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใ ดๆ ทั้งสิ้น จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น

    "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"

    7. ใช้หนี้--ก็หมด พ้นเหตุเกิด
    เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้น ก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี ้กรรมกันอีก เพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีก ไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า "พ้นเหตุเกิด"

    8. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร
    เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)



    http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=1251
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระอุดมลาภ-หลวงปู่ฟัก

    หลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->วันหนึ่งขณะหลวงปู่ฟักภาวนาอยู่
    ได้ปรากฎพญานาคขึ้นมาในนิมิต
    แจ้งต่อหลวงปู่ว่า มีหินเขียวจะถวาย
    เป็นหินที่เป็นของหลวงปู่ และพวกเขาเหล่าพญานาคได้ดูแลอยู่
    ให้หลวงปู่ไปเอาหินที่อยู่ ณ. แม่น้ำโขง ที่อ.เชียงของ จ.เชียงราย
    หลังจากหลวงปู่ตรวจสอบกับทางกลุ่มหาหินและช่างแกะพระที่เชียงราย
    ก็ไม่ปรากฎว่ามีหินขนาดใหญ่อย่างที่หลวงปู่บอก
    หลวงปู่จึงขึ้นไปเชียงของด้วยตนเอง
    หลังจากกลุ่มช่างแกะหินขับเรือพาวนหลวงปู่ก็ชี้นิ้วบอกสถานที่
    ก็พบหินเขียวก้อนใหญ่มหิมาตามนิมิตทุกประการ
    เป็นที่แปลกใจของกลุ่มช่างมาก
    เพราะเขาวนหาบริเวณที่หลวงปู่บอกหลายหนแต่ไม่เคยพบหินก้อนมหึมาก้อนนี้เลย
    หลังจากได้หินมาจึงให้ช่างแกะสลักเป็นพระนาคปรก, หลวงพ่อพุทธองค์ดำ,
    หลวงปู่สาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต, ท่านพ่อกงมา จิรปุญโญ,
    ท่านพ่อลี ธัมมธโร และหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    โดยรูปเหมือนครูบาอาจารย์ทั้ง5องค์เป็นขนาดเท่าองค์จริง
    ฟังแล้วหินคงก้อนมหิมาจริงๆ<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->หลังจากนั้นเศษหินที่เหลือได้นำไปแกะเป็นพระพุทธรูปบูชาขนาด 9นิ้วบ้าง
    7นิ้วบ้าง 5นิ้วบ้าง 3นิ้วบ้าง
    และเศษเล็กเศษน้อยก็นำมาแกะเป็นสมเด็จ
    และพระพิมพ์สามเหลี่ยมอย่างท่านพ่อลี
    สำหรับพระบูชา ช่างได้คิดราคาพิเศษต่ำกว่าปกติในเวลานั้น
    โดยค่าบูชาพระพุทธรูปขนาด 9นิ้ว 8,000บาท
    7นิ้ว 6,000 บาท 5นิ้ว2,800 บาท และ3นิ้ว 1,000บาท
    ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นค่าแรงของนายช่างทั้งสิ้น
    ส่วนพระสมด็จและพระสามเหลี่ยมหลวงปู่ท่านแจกฟรี
    ต่อมาเมื่อหินที่เหลือหมดแต่มีลูกศิษย์อยากได้อยู่มาก
    ช่างจึงได้ของหลวงปู่นำหินชนิดเดียวกันจากแหล่งเดียวกัน
    คือแม่น้ำโขงเขตเชียงของมาแกะพระ
    ซึ่งหลวงปู่ก็อนุญาตและกำชับให้เป็นหินชนิดเดียวกันจากแม่น้ำโขงเขตเชียงของเท่านั้น<!--colorc--><!--/colorc-->


    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->แต่หลังจากมีพวกจิตอกุศลได้โจมตีหลวงปู่ว่าหลวงปู่ขายพระสร้างโบสถ์บ้าง ขายพระกินบ้าง
    หลวงปู่ก็ไม่ได้วิตกกังวลเพราะท่านไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว
    พระบูชาทุกองค์มีค่าพระนั่นคือค่าแกะพระที่มีตู้ใส่แยกต่างหาก
    แถมท่านยังต้องเสียเงินมาจ่ายค่าแกะพระองค์เล็กเพื่อแจกฟรีอีกด้วย
    แต่อย่างไรก็ตามหลวงปู่เห็นว่ามันมากเกินไปก็จะเกินงาม
    จึงให้ยุติการสั่งพระหินแกะ ถ้าที่วัดยังเหลือก็จะเป็นส่วนที่คนสั่งแล้วยังไม่ได้มาเอา<!--colorc--><!--/colorc-->


    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->สำหรับพระหินแกะหลวงปู่ว่ามีพญานาครักษา
    และท่านเองจะเรียกว่าพระหยกบ้าง พระหินบ้าง
    จริงๆแล้วถ้าทิ้งหินเขียวชนิดนี้ต่อไปอีกนานแสนนานหินชนิดนี้จะเป็นหินหยก
    เป็นตระกูลเดียวกันแต่อายุยังไม่ถึง
    ปาฏิหารที่ได้ยินมามีเยอะครับส่วนใหญ่เป็นเรื่องโภคทรัพย์แทบทั้งสิ้น<!--colorc--><!--/colorc-->


    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->ผมเองก็ทันได้พระบูชาขนาด7นิ้วมา2องค์(ของเพื่อนองค์)
    วันที่ได้พระมายังตกใจเพราะหนักมาก และ2องค์โต๊ะหมู่ผมคงรับน้ำหนักไม่ไหว
    แต่โชคดีที่ฐานถอดได้ผมจึงเอาแต่องค์พระขึ้นบูชา
    และนำฐานพระมาไว้ที่หลังตู้ที่ห้องนอน
    ที่ฐานพระและองค์พระจะมีหมายเลขเขียนด้วยหมึกเมจิ
    เพื่อสะดวกในการจับคู่พระ
    ที่ผมได้มาเป็นหมายเลข6และ11
    พอเอามาตั้งหลังตู้ที่ห้องนอนก็มองเห็นเลขแต่กลับหัวครับ
    เลข6กลายเป็น9
    แต่เลข11ยังเหมือนเดิม
    จึงเห็นเลขเรียงกันเป็น911
    คงไม่ต้องบรรยายครับ
    งวดนั้น911ไม่ต้องกลับ
    แม้ผมจะไม่เล่นหวย แต่นี้นับเป็นประสบการณ์ดีๆที่เกิดขึ้น
    และทำให้ผมมั่นใจจริงๆว่าพระหยก(หินเขียว)หลวงปู่ฟักชุดนี้
    อุดมไปด้วยบารมีทางโภคทรัพย์จริงๆ<!--colorc--><!--/colorc-->


    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->
    และถ้าใครไปกราบหลวงปู่ฟัก ถ้าโชคดีอาจได้พระสมเด็จหรือพระสามเหลี่ยม
    แต่หลวงปู่จะกำชับให้เอาไปแขวน

    ถ้าเอาไปไม่แขวนถือว่าโกหกพระ

    และหลวงปู่ท่านมักจะบอกว่า

    เป็นของค้ำคูณรักษาให้ดี

    ของค้ำคูณคือของที่ช่วยค้ำชูอุดหนุนดวงชะตาครับ

    และหากใครหาปฐวีธาตุหลวงปู่คำพันไม่ได้ก็น่าจะรีบขวนขวาย
    ไปกราบและขอพระหยกหลวงปู่
    เพราะหลวงปู่บอกว่า

    พระหยกนี้นะมีพญานาครักษาทุกองค์

    แต่ผมไม่ทราบว่าจะกันนิวเคลียร์ได้อย่างปฐวีธาตุรึเปล่า

    ปัจจุบันหลวงปู่ฟัก พำนักอยู่ที่วัดพิชัยพัฒนาราม (เขาน้อย สามผาน)
    อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ท่านเป็นพระที่เมตตามากๆครับ
    ท่านเป็นพระที่อุดมไปด้วยโภคทรัพย์เป็นอันมาก
    ไปกราบท่านรับรองไม่ผิดหวังครับ

    นำมาจาก

    http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=467
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2009
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ภูมิจิต ภูมิธรรม ท่านขนาดไหน ดูเอาเองครับ กระทู้นี้สรรหามาฝากให้ดูแค่นี้ล่ะ แค่แนะนำพระดีที่น่ากราบไหว้กันเท่านั้นเองครับ


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=../../../../bg/c.gif height=87>
    </TD><TD bgColor=#ffd013>
    หลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD background=../../../../bg/c.gif rowSpan=9><TABLE width="86%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>

    [​IMG]


    </TD></TR><TR><TD>
    ประวัติหลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม
    <TABLE width="52%" align=center><TBODY><TR><TD>
    หลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม
    วัดพิชัยพัฒนาราม (เขาน้อย สามผาน) อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อลี ธมฺมธโร และหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน หลวงปู่เป็นผู้ชำนาญในการเข้าฌาณ มีจิตเมตตาเป็นสาธารณะ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013>
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013>
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013>
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013 height=551> </TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD background=../../../../bg/c.gif><TABLE width="88%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="1%" height=473>
    </TD><TD width="99%">

    <TABLE width=500><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    พระธาตุชุดนี้ แปรสภาพจากข้าวก้นบาตร ของหลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม
    ซึ่งพระในวัดสันติธรรม ได้เก็บไว้บูชา เมื่อครั้งท่านเมตตามาแสดงธรรมในงานนิทรรศการพระธาตุวัดสันติธรรม ปี ๒๕๕๐ ซึ่งต่อมาระยะหนึ่งได้เกิดมีองค์พระธาตุปรากฏอยู่ในกระปุกที่เก็บข้าวก้นบาตรของหลวงปู่นั้น
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD bgColor=#ffd013> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffd013> </TD><TD background=../../../../bg/c.gif><TABLE width=500 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=20>
    พระธาตุข้าวก้นบาตร หลวงปู่ฟัก สนฺติธมฺโม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://images.google.co.th/imgres?i...1%E0%B8%BA%E0%B9%82%E0%B8%A1&gbv=2&hl=th&sa=G
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ชาวทุนนิธิฯ และผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม หากมีโอกาสไปช่วยทำบุญที่วัดนี้ด้วยครับ วัดนี้ไม่ดัง เลยมีของดีครับ

    <TABLE style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 0px; PADDING-TOP: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="WORD-WRAP: break-word" width="99%"><IMG height=8 alt=">" src="http://www.suankhlang.com/ipb//style_images/liberate/nav_m.gif" width=8 border=0> พระหลวงปู่ทิมวัดพระขาวแท้ๆที่ยังเหลือ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    [​IMG]

    <!--coloro:#A0522D--><!--/coloro-->ผมได้ข่าวจากคนวงใน(ของหลวงปู่สวัสดิ์)
    ว่าหลวงปู่ทิมท่านตามให้วัดโล่ห์เร่งพระเพื่อที่ท่านจะได้อธิษฐานให้
    และก็ตามจนพบ
    หากใครอยากได้พระหลวงปู่ไว้สักการะบูชา
    แบบว่าไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นพิเศษ
    รุ่นนิยม รุ่นโคตรนิยม
    เอาแค่ท่านเสกจริงๆก็พอแล้วผมขอแนะนำ
    พระของวัดโล่ห์นี้หละครับ
    เสกจริง
    แถมไม่ต้องเสียเงินไปเช่าแพงด้วย
    รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่<!--colorc--><!--/colorc-->

    วัดโล่ห์

    ขอขอบคุณ


    http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=501
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2009
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ความรักของแม่ไก่

    พอสว่าง แม่ไก่ลุกขึ้นยืน หลังจากนอนกกลูกเล็กๆไว้ใต้ปีกตลอดทั้งคืน แล้วชวนลูกออกหากินโดยคุ้ยเขี่ยอาหารให้ลูกตัวน้อยๆคอยวิ่งรับเหยื่อจากแม่ เมื่ออิ่มหนำทั่วกันแล้ว ชักเหนื่อย แม่ไก่ก็ให้ลูกๆมาซุกอยู่ใต้ปีกเพื่อให้ปลอดภัย

    โอ..ความรักของแม่ ช่างลำบากด้วยการเลี้ยงลูก

    แต่พอลูกไก่ที่เติบโตใหญ่ หากินได้เองแล้ว ก็จะพ้นจากอกแม่ไก่ไป และไม่มีลูกไก่ตัวไหนเลยที่จะเลี้ยงแม่ไก่ตอบแทนคุณ อนิจจา แม่ไก่ที่น่าสงสาร ......

    พ่อ แม่ ของเราก็เหมือนกับแม่ไก่ โดยต้องลำบากเลี้ยงเราจนเติบใหญ่ ทั้งเหนื่อยกาย เหนื่อยใจมากมาย แต่จะมีลูกสักกี่คนที่จะเลี้ยงดูท่านตอบแทนบ้าง

    "จงเอาอย่างแม่ไก่ ที่ไม่ยอมทิ้งลูก"
    "แต่อย่าเอาอย่างลูกไก่ซึ่งโตแล้วก็ทิ้งแม่ของตน"

    พ่อแม่ของเรา มีเพียง ๒ เท่านั้น และจะอยู่เพื่อให้เราเลี้ยงท่านไม่นานนักหรอก

    : คติธรรมจากแสงธรรม
    : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อุฏฐายี) สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๖



    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5887
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงพ่อชา หลวงพ่อมุม (จากข้อเขียนของอำพลตั้งแต่ปี 36)



    เสี่ยจิวเป็นผู้หนึ่งที่เคารพเลื่อมใสในหลวงพ่อมุม และหลวงพ่อชา ตัวเขาเองแขวนพระกริ่ง ศก.ของหลวงพ่อมุม ส่วนภรรยาแขวนล็อคเกตหลวงพ่อชา

    เขาบอกว่า
    “ผมศรัทธาหลวงพ่อมุมมานานแล้ว ตะกรุดเงินที่หลวงพ่อมุมจารด้วยมือท่านเองผมก็มี แต่ผมให้ภรรยาแขวนหลวงพ่อชา เพราะว่าเย็นสบายดีกว่า”

    เข้าทำนองหลวงพ่อมุมรุ่มร้อน ส่วนหลวงพ่อชาเยือกเย็น

    จริงหรือไม่ก็ให้เป็นความเห็นของเสี่ยจิวจะเห็นไป

    เสี่ยจิวเป็นคนภาคกลาง จังหวัดไหนไม่ทราบ ไม่ได้ถาม มาทำอาชีพในศรีสะเกษ แล้วย้ายเข้าเมืองอุบลฯ ปัจจุบันอยู่ช่องเม็ก ประตูเมืองไทยลาว

    อยู่ตั้งแต่สมัยแรกที่เริ่มเปิดใหม่ ๆ เคยโดนลูกหลวงจากระเบิดเข้าหลังบ้าน ทุกอย่างพังพินาศหมด

    แปลกที่ถังแก๊สกลับไม่เป็นอะไร ถ้าถังแก๊สระเบิดด้วยก็น่ากลัวยิ่ง

    เขาว่าพระเขาดี เขาเชื่อพระมั่นคงมาก

    เขาเล่าเรื่องความน่าอัศจรรย์ทางล่วงรู้วาระจิตหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วของหลวงพ่อชาไว้เรื่องหนึ่ง จะได้บันทึกไว้เสียตรงนี้

    เพื่อนของเขาเป็นชาวไทยเชื้อสายจีนเหมือนกันเป็นผู้ชอบทำบุญกับพระที่มีชื่อ เป็นมงคล เช่น ชื่อมี ชื่อมาก ชื่อมั่น ชื่อคง ชื่อเงิน อะไรทำนองนั้น พอถูกชวนไปทำบุญที่วัดหนองป่าพงกับหลวงพ่อชา เขาก็อ้างว่าวัดหนองป่าพงรวยแล้ว ไปทำกับวัดจน ๆ ดีกว่า แต่ขัดเพื่อนไม่ได้ต้องเดินทางมาวัดหนองป่าพงในที่สุด

    เมื่อเข้าประตูวัดไป เห็นหลวงพ่อชากำลังกวาดลานวัดอยู่พอดี ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร หลวงพ่อชาก็พูดขึ้นก่อน
    “ไม่อยากมาแล้วมาทำไม”

    เพื่อนเสี่ยจิวถึงกับร้องครางในใจ เป็นอันว่าเกิดเลื่อมใสหลวงพ่อมาแต่นั้น

    พูดถึงชื่อที่เป็นมงคลดูเหมือนคนจีนจะชอบกันมากเป็นคตินิยมประจำเชื้อชาติก็ว่าได้

    แต่แท้จริงแล้วชื่อเป็นเพียงของสมมุติเท่านั้น

    มงคลไม่ได้อยู่ที่ชื่อ

    เช่นว่าถ้าเราจะเรียกเหี้ยว่าพญามังกรทอง หรืออะไรก็สุดแต่จะเรียกให้ไพเราะแก่ใจตน เรียกไปแล้วมันก็คงเป็นเหี้ยอยู่เหมือนเก่านั่นแหละ

    ถ้าผมเกิดมีอันได้บวชเป็นพระ และบวชได้จนตลอดชีวิต ก่อนบวชผมจะเปลี่ยนชื่อตัวเองเสียใหม่ อาจชื่อเฮงก็ได้ ลูกศิษย์ลูกหาจะได้เรียกว่าหลวงพ่อเฮง หลวงพ่อเซ็งลี้ฮ้อ ทำนองนั้น ผมคงได้ลูกศิษย์ที่ถือเอาชื่อเป็นมงคลมากมาย

    ก็นั่นแหละครับที่เรียกว่าความเห็น คนเราแต่ละคนเห็นอะไรไปตามแต่จะเห็น ไม่ว่ากัน

    ดูไปที่วัตถุมงคลที่ทุกวันนี้มีการสร้างอย่างมากมายหลายสำนัก

    การตั้งชื่อวัตถุมงคลก็ล้วนแต่ตั้งเพื่อเอาใจผู้ศรัทธาประเภทนี้ เปิดหนังสือพิมพ์รายวันก็จะเห็น นี่เป็นเรื่องความเชื่อถือในชื่อที่เป็นมงคล

    จะได้เสริมให้ตนเองร่ำรวยและมีโชคลาภมาก ๆ

    เชื่อผมเถิดครับ เรื่องโชควาสนาบารมีของคนเรานั้น ไม่มีทางเหมือนกัน ขนาดหลวงพ่อเจ๋งๆ บอกหวยตรงๆ คนไม่ถูกยังมี คนถูกก็มี คนถูกเยอะถูกน้อยอีกต่างหาก

    ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อหรือเกี่ยวกับอะไรเลย ขึ้นอยู่กับตนเองทั้งนั้น

    สมัยหนึ่งผมเป็นหนี้มากไม่รู้จะหาเงินใช้หนี้เขาอย่างไร กัดฟันแทงหวยสามตัวเป็นเงินก้อนใหญ่ คิดว่าถ้าถูกเป็นหมดหนี้แน่นอน

    หวยก็คิดเอาเองไม่มีอาจารย์บอกใบ้ เรียกว่าแทงส่งเดช ไม่ต้องดักหน้าดักหลัง กลับตัวหรือโต๊ด จนเจ้ามือตกใจ บอกให้ผมลดจำนวนเงินแทงลง ผมก็ไม่ยอมยังคงแทงตามจำนวนเงินเดิม และให้เจ้ามือไปหาที่ออกตัวเองเอง เขาก็รับ พอถึงวันหวยออก ทายสิครับว่าผมถูกไหม

    ไม่ถูก

    หลวงพ่อคำพันธ์ โฆษปัญโญ ได้บอกผมภายหลังที่ผมหมดตัวกับหวยว่า
    “เหมือนเราตีเช็คไป ถ้าไม่มีเงินฝากในธนาคารแล้วเช็คมันก็เด้ง หวยก็เหมือนกัน เราต้องทำบุญทำทานมาก ๆ”

    คุณพิบูลย์ เจ้าของท่าทรายในเมืองเชียงใหม่ เดี๋ยวนี้ร่ำรวยมาก แต่เดิมยากจนมาก่อน ได้ให้ข้อคิดแก่ผมว่า
    “ขณะนี้ในตระกูลของผม มีผมรวยที่สุด ทุกคนยังยากจนอยู่ ผมเอาน้องชาย เอาพี่ ๆ น้อง ๆ มาทำงานด้วย สิ่งแรกที่ผมสอนเขาคือสอนให้ทำบุญ พาเขาเข้าวัด ตั้งโรงทานแจกทาน และทำบุญไปเรื่อย ๆ เมื่อทำบุญเป็นแล้วผมจึงสอนธุรกิจให้ เชื่อผมเถิดครับ ทำบุญน่ะยิ่งทำยิ่งรวย ดูผมเป็นตัวอย่าง ผมไม่มีอะไรเลย แต่ผมทำบุญตลอดมา เดี๋ยวนี้ผมทำแบบใหม่ คือ 10 เปอร์เซ็นต์จากผลกำไร ผมเอาไปทำบุญหมด”

    น่าคิดนะครับ

    เวลานี้คุณพิบูลย์มีเงินกี่ร้อยล้าน ผมไม่กล้าคำนวณ แต่ตอนเริ่มต้นชีวิตของคุณพิบูลย์นั้นได้เงินเดือนแค่ 700 บาท

    คุณพี่ธนิต สโมสร สถาปนิกใหญ่ เป็นคนชอบทำบุญเช่นกัน นั่งรถไปด้วยกันเห็นคนแก่ท่าทางน่าสงสารเดินอยู่ข้างทาง สั่งรถให้จอดกึก วิ่งลงไปให้คนแก่ 300 บาท เพราะว่าสงสาร คิดว่าแกคงลำบาก คนแก่คนนั้นไม่รู้ว่าคิดอย่างไร แกพูดว่า
    “ตั้งแต่เดินออกจากบ้านมา นึกอยู่แล้วว่าวันนี้ต้องได้เงิน”

    คุณพี่ธนิตหัวเราะชอบใจใหญ่

    บางทีคนแก่คนนั้นอาจเป็นผู้ชอบทำบุญเหมือนกันก็ได้ เลยได้เงินตั้ง 300 ส่วนคุณพี่ธนิตผมเห็นท่านสุขสบายดี งานก็เยอะ เงินก็มาก ไม่ขาดมือ

    นี่ผมลื่นไถลมาเรื่องทำบุญตั้งนาน กลับลำมาที่เรื่องของวัตถุมงคลหลวงพ่อชากับหลวงพ่อมุมดีกว่า

    มีวัตถุมงคลอยู่รุ่นหนึ่ง ที่หลวงพ่อชาและหลวงพ่อมุมได้ปลุกเสกร่วมกัน ก็เหรียญ 5 พระอาจารย์ ของสมาคมศิษย์เก่าเบ็ญจมะมหาราชนั่นแหละครับ

    ระหว่างงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อชา มีผู้เดินทางมาจากทั่วสารทิศจำนวนนับแสน

    หลายคนมาซื้อหนังสือรวมภาพและประวัติพระเครื่องของหลวงพ่อชา

    นอกจากมาซื้อหนังสือแล้วมักถามว่ามีพระเครื่องของหลวงพ่อด้วยไหม

    ผมตอบว่าไม่มี ความจริงมี แต่ผมขายให้ไม่ได้

    เพราะว่าเดี๋ยวนี้พระเครื่องของหลวงพ่อมีราคาแพงมาก

    ผมเองก็ซื้อเขามาในราคาแพงเหมือนกัน จึงอยากเก็บไว้เองมากกว่า แต่ผมแนะนำให้ไปเอาเหรียญ 5 พระอาจารย์ เพราะว่ายังมีเหลืออยู่มากและราคายังไม่แพง

    แต่เดี๋ยวนี้ทางสมาคมขยับราคาขึ้นไปอีกแล้วนะครับ เป็นเหรียญละ 50 บาท

    ใครสั่งซื้อไปให้เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ไม่ใช่ราคา 20 เหมือนก่อน

    พูดถึงหนังสือรวมภาพและประวัติพระเครื่องของหลวงพ่อชานั้น ถือได้ว่าเวลานี้มีอยู่เพียงฉบับเดียวที่รวบรวมพระเครื่องของท่านไว้ได้ครบ ถ้วนที่สุด ยังไม่มีใครทำซ้ำซ้อนออกมา

    เพราะว่าถ้าจะมีผู้ทำก็ต้องอาศัยข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ และอาศัยภาพจากหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนใหญ่

    เรื่องที่จะหาพระเครื่องของหลวงพ่อมาถ่ายภาพเองนั้นยากมาก

    หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเล่มเดียวที่ยังไม่มีใครทำตามออกมา เสียแต่ว่าผู้อยากได้ออกจะลำบากสักหน่อย ต้องสั่งซื้อทางไปรษณีย์เท่านั้น

    เคยมีผู้ถามว่าทำไมไม่วางจำหน่าย

    ความจริงเคยวางจำหน่ายตามแผงทั่วไปมาแล้วครั้งหนึ่ง ทุกวันนี้เก็บกลับคืนจากแผงหนังสือทั่วประเทศหมดแล้ว จะเอาไปวางซ้ำอีกก็น่าเกลียด คงเพียงโฆษณาเพื่อให้ผู้ที่ยังไม่ได้ ยังไม่มี สั่งซื้อเอาเท่านั้น

    แผงหนังสือในเมืองอุบลฯ หลายแผงได้ติดต่อมาเหมือนกัน อยากได้ไปวางประจำแผง ผมเห็นว่าพอเป็นไปได้ เพราะว่าอยู่ในจังหวัดอุบลฯ อยู่ในพื้นที่ซึ่งพออนุโลมได้ จึงตัดสินใจมอบให้ไป แต่ก็ไม่ทุกแผง คงให้เฉพาะแผงที่ต้องการ และได้ติดต่อมาเท่านั้น

    ท่านที่นึก ๆ อยากได้ไว้มั่ง ไม่อยากได้มั่ง ให้ทำใจนึกเสียใหม่เถิดครับ เพราะว่าหนังสือเหลืออยู่ราว ๆ 2 พันเล่มเท่านั้น หมดแล้วไม่รู้ว่าจะได้พิมพ์อีกเมื่อไหร่

    ที่สำคัญคือเป็นการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับพระเครื่องหลวงพ่อชาที่คนไม่รู้ว่า ท่านมีอย่างถูกต้องที่สุด สามารถใช้เป็นตำราชี้นำในการพิจารณาพระเครื่องหลวงพ่อชาได้

    สำหรับผู้สั่งซื้อทางไปรษณีย์แล้วไม่ได้รับหนังสือนานเกินไป ให้จดหมายทวงถามไปได้ที่คุณสุรจรรยา สุวานิโช เพราะว่าบางทีการส่งอาจมีเหตุขัดข้อง อย่างเช่น คุณณรงค์ งามพาณิชย์วัฒน์ หนังสือส่งไปแล้วแต่ถูกตีกลับ เพราะว่าไปรษณีย์บอกว่าไม่มีเลขที่บ้านนี้ คุณณรงค์ถ้าอ่านพบ ให้ติดต่อส่งที่อยู่ไปใหม่ด้วย


    [​IMG]...[​IMG]

    ส่วนพระเครื่อง 5 พระอาจารย์ ที่มีหลวงพ่อชาและหลวงพ่อมุมปลุกเสกนั้น สามารถสั่งซื้อได้ที่ คุณสุพรรณี สุวรรณกูฏ เลขาฯ สมาคมศิษย์เก่าฯ โรงเรียนเบ็ญจมะมหาราช อ.เมือง จ.อุบลฯ 34000 ราคาเหรียญละ 50 บาท บวกค่าส่งอีก 10 บาทด้วย

    ทีนี้มาที่วัดปราสาทเยอของหลวงพ่อมุมบ้าง ทุกวันนี้ยังมีพระเครื่องของหลวงพ่อมุมตกค้างอยู่เหมือนกันเป็นพระผงรูปพระ นาคปรกศิลปทวารวดี ด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อมุม สร้างไว้แต่ปี 2520 สาเหตุที่เหลืออยู่นั้น ท่านเจ้าอาวาสวัดปราสาทเยอ ได้บอกว่า พอหลวงพ่อมุมมรณภาพ ก็ได้เก็บพระทั้งหมดไว้ทันที งดจำหน่าย พระเลยเหลืออยู่

    ถึงตอนนี้วัดต้องการปัจจัยบูรณะอารามจึงตัดสินใจนำออกจำหน่ายเป็นรอบที่สอง

    ใครสนใจให้สั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์ ส่งตั๋วแลกเงิน 50 บาทต่อพระ 1 องค์ไปที่พระอธิการเลื่อน อานนโท เจ้าอาวาสวัดปราสาทเยอเหนือ ต.ปราสาทเยอเหนือ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ รหัสไปรษณีย์กรุณาตรวจค้นเอง เพราะผมไม่ทราบ เมื่อทางวัดได้รับตั๋วแลกเงินแล้ว จะจัดส่งพระให้ทางไปรษณีย์เช่นกัน

    อาจระบุลงไปในจดหมายสั่งซื้อว่าต้องการพระสมเด็จนาคปรก หลังรูปเหมือนหลวงพ่อมุม ทางวัดก็คงเข้าใจ และส่งพระให้ได้ถูกต้องตามที่ต้องการ

    รายละเอียดเกี่ยวกับหลวงพ่อมุม คุณพันฤทธิ์ได้เขียนไว้แล้ว ไม่รู้ว่าลงพิมพ์หรือยัง แต่ก็เขียนไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสาธยายซ้ำอีก

    พระรุ่นนี้ไม่ใช่ของแพง ราคาถูก แต่เป็นของดีราคาถูก

    ให้มีไว้ติดตัวแล้วสบายใจได้ เพราะหลวงพ่อมุมนั้นท่านไม่ใช่จะเก่งธรรมดา

    อภินิหารทางช่วยเหลือผู้ประสบภัยมีมากและไว้ใจได้แน่ที่สุด

    ซำบายดีครับ






    ---------------------------------------------------------------------------------
    งานเขียนของคุณอาอำพล เจน ....... หนังสือศักดิ์สิทธิ์ฉบับที่ 246
    วันที่ 1 เมษายน 2536
    http://www.ampoljane.com/main/index.php?type=review&area=1&p=articles&id=61

    เหรียญนี้ผมเคยนำไปให้พระกรรมฐานสายหนองป่าพงท่านดู ท่านหยิบดูถามอย่างปากคอสั่น โยมได้มายังไง เหรียญนี้สุดยอดนา ตอนเสกร่ำลือกันทั้งอุบลฯ ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างที่คุณอำพลว่าไว้ ว่าแล้วท่านก็ขอผมไป 1 องค์ ผมก็เลยขอเกสาธาตุของหลวงปู่ชามาบ้างท่านก็ให้ นับว่าแลกกันครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันอาทิตย์หน้า 26/4 นี้แล้ว จะเป็นวันที่ทำกิจกรรมในรอบเดือนของทุนนิธิฯ ที่ รพ.สงฆ์เหมือนเช่นเคย พรุ่งนี้จะได้มีการประชุมคณะกรรมการกัน หลังจากที่ได้หยุดกันยาวๆ มาแล้ว คงจะเบลอๆ กัน จึงต้องออกมาเตือนเรื่องบุญเรื่องกุศลกันครับ ใครจะยังไงก็แล้วแต่ แต่พระสงฆ์ท่านก็มีเจ็บป่วยทุกวันครับ ท่านใหม่ที่เข้ามาดูในหมวดพระเครื่อง-วัตถุมงคลแล้ว หากได้มีโอกาสเข้ามาดูในกระทู้นี้ ขอเรียนเชิญทำบุญช่วยสงฆ์อาพาธด้วยเช่นกัน กระทุ้นี้ไม่มีพระให้เช่า ถ้าแจกก็แจกให้ฟรี หรือถ้าแนะนำพระที่ดูแล้วข้างในดี ก็จะแนะนำให้ ที่สำคัญก็คือหากมัวแต่เช่าหาพระไว้คุ้มครอง แต่ศีลไม่หนักแน่น บุญไม่ทำ ทานไม่บริจาค พระท่านก็ไม่เอาด้วยแน่ครับ สำหรับประมาณการงานบุญในการบริจาคเดือนนี้คร่าวๆ ดังนี้ครับ

    1. รพ.สงฆ์

    - ซื้ออาหารถวายเป็นสังฆทานเช้า 5,000.-
    - บริจาคซื้อโลหิต 7,500.-
    - บริจาคซื้อเวชภัณฑ์เข้าส่วนกลาง 7,500.-

    รวม 20,000.-

    2. รพ.ในส่วนภูมิภาค

    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.-
    ผ่านกองทุนหลวงปู่เทสก์
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพพราช (ปัว) จ.น่าน 6,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-

    รวม 35,000.-


    3. เครื่องดูดเสมหะ

    ยังไม่มี รพ.ใด ขอรับบริจาคมา จึงยังคงรอไว้ก่อน แต่มางานบุญใหญ่ของท่านหลวงปู่แฟ๊บ วัดป่าดงหวาย จ.สกลนคร ที่ ขอบริจาคผ่านลูกศิษย์ขอให้ทุนนิธิฯ สมทบทุนบริจาคซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์สำหรับใช้ที่ รพ.ที่ท่านอุปถัมภ์อยู่ ที่ อ.นาหว้า จ.นครพนม โดยจัดทำเป็นผ้าป่าของทุนนิธิฯ ซึ่งคณะกรรมการฯ ประชุมกันแล้วเห็นควรสนับสนุนท่าน โดยทำบุญผ้าป่าให้ท่าน 10,000.- และจะได้ให้ทางวัดส่งใบอนุโมทนาบัตรมาให้ในภายหลังครับ

    4. กิจกรรมอื่นๆ

    แจกพระทุนนิธิฯ ซึ่งเป็นพระกำลังใจ 2 หรือพระ "ปิยบารมี" ให้แก่ผู้ที่ทำบุญผ่านทุนนิธิฯ ประจำ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ ตั้งไว้ โดยจะมอบให้ที่ รพ.สงฆ์ ในบางส่วน ซึ่งรายชื่อทั้งหมดได้รวบรวมไว้แล้ว พร้อมกับซีดี "ปฐมเหตุแห่งการจัดสร้าง" ไว้ให้เป็นความรู้ถึงเบื้องหลัง ชนิด "เหนือโลก" และ "พิสดาร" ไว้ให้ทราบด้วย หรือหากการจัดทำซีดี ไม่สามารถจัดทำได้ทัน ก็จะทยอยส่งพระให้ทางไปรษณีย์โดยไม่คิดมูลค่าด้วยครับ

    ดังนั้น เงินบริจาคของทุนนิธิฯ ในเดือนเมษายนนี้ ในข้อ 1+2+3 จึงเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 65,000.-ครับ

    สุดท้าย หากมีข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมหลังจากการประชุม ผมจะได้นำมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งครับ


    พันวฤทธิ์
    19/4/52
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    "บาปบริสุทธิ์" กับ "สังฆทาน"



    อยากทำบุญกับพระอรหันต์จะทำอย่างไร

    จากที่ได้ศึกษาธรรมะจากพระไตรปิฎก และได้พบธรรมะเรื่องหนึ่งในพระสูตร มีใจความว่า ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสกคนหนึ่งอยากจะทำบุญกับพระอรหันต์ แต่ไม่สามารถรู้ว่าพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์จึงเกิดความสงสัย จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าเพื่อสอบถาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่อุบาสกผู้นั้นว่า “การที่เราจะรู้ว่าพระองค์ไหนเป็น พระอรหันต์นั้น เราจะต้องอยู่ใกล้ชิดท่าน และก็ฟังธรรมะจากท่านบ่อยๆ เราก็จะสามารถรู้ได้ แต่ถ้าเราไม่มีเวลาใกล้ชิด และไม่มีเวลาฟังธรรม แต่อยากทำบุญแล้วให้ได้ผลบุญมากเทียบเท่ากับพระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นต้องไปทำ สังฆทาน “

    การทำบุญสังฆทาน

    ในปัจจุบันนี้ การทำบุญสังฆทาน ชาวพุทธเข้าใจผิดมานานกว่า 20 ปี โดยนำของใส่ถังแล้วไปถวายพระ 1 รูปบ้าง, 2 รูปบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญสังฆทานที่ผิด ได้บุญต่ำ บางครั้งแทบจะไม่ได้บุญเลย และแถมยังได้บาปอีกด้วย ถ้าเราถวายเงินแล้วพระรับกับมือหรือครอบครองเงินนั้นไว้กับตัวเพราะเราไปทำให้พระต้องอาบัดผิดศีล ถ้ายิ่งไปถวายสังฆทานตอนหลังเที่ยงยิ่งบาปหนักเข้าไปอีก

    เพราะฉะนั้น การทำบุญสังฆทานที่แท้จริง คือ การทำบุญสูงสุดด้านอาหาร
    โดยมีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องดังนี้

    1. ต้องเป็นอาหารที่พระฉันได้ในเวลานั้น และต้องถวายก่อนเที่ยง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ การที่เราถวายภัตตาหารเพลพระนั่นเอง (ส่วนของที่เป็นถังๆ หรือของอย่างอื่น เป็นได้แค่เพียงบริวารสังฆทานเท่านั้น)

    2. ต้องกล่าวคำถวายสังฆทาน ดังนี้
    อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โณ ภันเตภิกขุสังโฆ อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะฯ (ในหัตถบาสใช้ อิมานิ นอกหัตถบาสใช้ เอตานิ )
    หมายเหตุ ในคำกล่าวถวายนั้น ถ้าไม่มีคำว่า ภิกขุสังฆัสสะ ถือว่าการถวายนั้นไม่ไช่ การถวายสังฆทาน

    3.พระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปจึงจะรับสังฆทานได้ (พระ 4 รูป เรียกว่า ครบสงฆ์) เพราะคำว่าสังฆทานนั้นแปลว่า เป็นทานที่ถวายแด่สงฆ์ เป็นบุญสูงสุดด้านอาหาร ฉะนั้นพระ 1 รูป, 2 รูป, 3 รูป ไม่สามารถรับสังฆทานได้ เป็นบาป และถือว่าหลอกลวง เพราะไม่ไช่สงฆ์ เป็นแค่เพียงบุคคลเท่านั้น ต่อเมื่อพระครบ 4 รูปจึงถือว่าเป็นสงฆ์ เว้นเสียแต่เป็นพระอรหันต์ 1 องค์ ก็สามารถรับสังฆทานได้ เพราะพระอรหันต์ 1 องค์ถือว่าเป็นสงฆ์ ซึ่งชาวพุทธทั่วไปยังไม่เข้าใจว่า พระสงฆ์ แตกต่างจาก สมมุติสงฆ์ อย่างไร และทำไมถึงเรียกว่า 1รูปบ้าง 1องค์บ้าง ขอให้ไปดูในรายละเอียด เรื่องไฟนรก 7 กอง เพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    4.จะต้องทำการ อปโลกน์สังฆทาน หลังจากที่พระรับสังฆทานแล้ว พระรูปที่ 2 จะต้องทำการ อปโลกน์ (คือ ประชุมสงฆ์ เพื่อทำการแบ่งปันอาหารที่ได้รับถวายมา ตามลำดับจนถึงให้ญาติโยม) แต่ถ้าพระไม่ทำการอปโลกน์ อาหารทุกชิ้นถือเป็นของสงฆ์ทั้งสิ้น ญาติโยมจะไปกินไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้พระบางรูปจะบอกยกให้ก็ตาม ก็กินไม่ได้เพราะถือว่าเป็นบุคคลให้ ไม่ใช่สงฆ์ให้ แม้แต่พระที่เป็นผู้รับสังฆทานเองกับมือก็จะฉันท์ไม่ได้ ถ้าผู้ใดก็ตามขืนไปกินเข้า เมื่อตายไปจะต้องเกิดเป็นเปรตประมาณ 92 กัลป์ (1 กัลป์ คือ 6,420 ล้านปี) แม้แต่สุนัขไปกิน มด แมลงไปกิน ก็ต้องเป็นเปรตเหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก ของชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ
    คำอปโลกน์สังฆทาน
    ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ อะยัง ปะฐะมะภาโค มหาเถรัสสะ ปาปุณาติ อะวะเสสา ภาคา อัมหากัง ปาปุณันติ

    นี่เพียงแค่เรื่องการทำบุญสังฆทานอย่างเดียว เชื่อว่าชาวพุทธส่วนใหญ่คงยังไม่ทราบ และยังมีอีกเป็นร้อยเรื่องที่ชาวพุทธยังไม่รู้
    ญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์ตายไปเป็นเปรต 92 กัลป์
    นับถอยหลังจากนี้ไป 92 กัลป์ ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระมหาปุสสะ ได้มีพระราชโอรส 3 พระองค์ พระโอรสทั้งสามได้รับพรจากพระราชบิดาให้มีโอกาสได้ถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 3 เดือนโดยแบ่งกันคนละเดือน และพระโอรสทั้ง 3 มีสมุห์บัญชี มีขุนคลัง เป็นคนเดียวกัน ซึ่งคนทั้งสองได้รับคำสั่งจากพระโอรสทั้งสาม ให้ดูแลเรื่องการจัดเตรียมอาหารถวายแด่สงฆ์ซึ่งเป็นสังฆทาน ท่านสมุห์บัญชีจึงได้ตามญาติของตัวเองสามคน มาช่วยเป็นคนงานจัดเตรียมอาหารถวายพระ แต่คนงานทั้ง 3 นั้น ได้มีความประมาทและไม่รู้ธรรมะ เมื่อเห็นอาหารที่ตนชอบใจก็ไม่สามารถที่จะอดกลั้นได้ และได้หยิบอาหารที่ถวายแด่สงฆ์กินเป็นประจำ และเมื่อตายไปจึงเกิดเป็นเปรตท่องเที่ยวอยู่ในโลกเปรต ส่วนสมุห์บัญชีของพระโอรสทั้ง 3 นั้น ได้เกิดในการนี้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร ส่วนขุนคลังได้เป็นวิสาขอุบาสก ส่วนพระราชโอรสได้เกิดเป็นชฎิล 3 พี่น้อง ส่วนเปรตทั้ง 3 ก็ได้ท่องเที่ยวไปในเปรตโลก จนสิ้น 4 พุทธันดร

    พวกเปรตถามเวลาได้อาหารกับพระพุทธเจ้า 3 พระองค์

    เปรตเหล่านั้นได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ผู้ทรงพระชนมายุได้สี่หมื่นปี เสด็จอุบัติขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัลป์นี้ เปรตเหล่านั้นได้ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดบอกเวลาที่จะได้อาหารแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคม จะอุบัติขึ้น ขอให้พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด”
    เปรตเหล่านั้นยังกาลเวลาให้สิ้นไปแล้ว และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคม ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้พากันไปทูลถามพระองค์ พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะจะอุบัติขึ้น พวกเจ้าพึงทูลถามพระองค์เถิด”

    เปรตเหล่านั้นยังกาลเวลาให้สิ้นไปแล้ว และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้พากันไปทูลถามพระองค์ พระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะยังไม่ได้ในกาลของเรา แต่ภายหลังแห่งเรา เมื่อมหาปฐพีงอกสูงขึ้นประมาณได้ 1 โยชน์ พระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม จะอุบัติขึ้น และในกาลนั้นญาติของพวกเจ้าจะได้เป็นพระราชา พระนามว่า พิมพิสาร และพระเจ้าพิมพิสารนั้นจะถวายทานแด่พระศาสดาแล้ว จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้อาหารในคราวนั้น”

    เมื่อพวกเปรตเหล่านั้นได้ฟังคำที่พระพุทธเจ้า กัสสปะตรัสแล้ว ได้ดีใจปานประหนึ่งว่า 1 พุทธันดร เหมือนกับว่าเป็นวันพรุ่งนี้
    พวกเปรตพ้นทุกข์เพราะผลทาน

    เมื่อพระพุทธเจ้าโคดมของเราเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว และเมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายทานในวันแรก แต่พระองค์ลืมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ทำให้เปรตเหล่านั้นได้พบกับความผิดหวังอย่างมาก ตกเวลากลางคืนจึงได้พากันไปร้องโหยหวนที่พระราชวังของพระเจ้าพิมพิสาร จนทำให้พระราชาเกิดความรู้สึกกลัว และรุ่งขึ้นพระราชาได้เสด็จไปหาพระพุทธเจ้าที่เวฬุวันมหาวิหาร และได้กราบทูลแก่พระพุทธเจ้าถึงเรื่องเสียงร้องที่น่ากลัว พระศาสดาได้ตรัสว่า “มหาบพิตร ถอยหลังจากนี้ไป 92 กัลป์ ซึ่งเป็นในสมัยแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปุสสะ พวกเปรตเหล่านั้นได้เป็นพระญาติของพระองค์ และได้กินอาหารที่เขาถวายแด่สงฆ์ เมื่อตายแล้วได้เกิดในเปรตโลก ท่องเที่ยวอยู่ และได้ทูลถามพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ที่เสด็จอุบัติขึ้น มีพระพุทธเจ้า กกุสันธะ เป็นอาทิ อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ตรัสบอกกับเปรตทั้งหลาย และเปรตทั้งหลายได้หวังในทานของพระองค์มาโดยตลอด 92 กัลป์ และเมื่อวานนี้ พระองค์ถวายทานแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล จึงทำให้พวกเปรตได้รับความผิดหวัง และได้ร้องโหยหวน ดั่งที่พระองค์ได้ยิน ” พระราชาทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าหม่อมฉันถวายทานแม้ในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจะได้รับหรือไม่” พระศาสดาตรัสว่า “ได้รับ มหาบพิตร” พระราชาทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้ถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้นแล้ว ได้พระราชทานส่วนบุญว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ จงสำเร็จแก่พวกเปรตเหล่านั้น ด้วยมหาทานนี้” และข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้นทันที และในวันรุ่งขึ้น เปรตเหล่านั้นได้เปลือยกายแสดงตนแก่พระราชา พระราชาทูลถามแก่พระพุทธเจ้าว่า “วันนี้พวกเปรตได้เปลือยกายแสดงตนแก่ข้าพเจ้า” พระศาสดาตรัสว่า “มหาบพิตร พระองค์มิได้ถวายผ้า”

    และในวันรุ่งขึ้น พระราชาได้ถวายผ้าจีวรทั้งหลายแก่ภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ทรงพระราชทานส่วนบุญว่า “ขอผ้าอันเป็นทิพย์ทั้งหลาย จงสำเร็จแก่เปรตนั้น ด้วยจีวรทานนี้ด้วยเถิด” ในขณะนั้นเอง ผ้าทิพย์ได้เกิดแก่เปรตเหล่านั้นแล้ว เปรตเหล่านั้นได้พ้นจากอัตภาพของเปรต และได้ดำรงอยู่โดยอัตภาพอันเป็นทิพย์ พระศาสดาได้ทรงทำอนุโมทนา และในครั้งนั้นการบรรลุธรรมได้เกิดแก่สัตว์ 84,000 แล้วดังนี้

    ภิกษุผู้ไม่รู้ในธรรมะกลายเป็นเปรต

    บริเวณเจติยบรรพต มีวิหารอันเป็นที่อยู่แห่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีพระภิกษุทั้งหลายจำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก พุทธบริษัททั้งปวงมีความเป็นห่วงพระสงฆ์ต่างพากันนำเอาสิ่งของเครื่องใช้มียา และข้าวสารมาถวายไว้เป็นสังฆทานคือ การถวายเป็นของสงฆ์มากมายทุกๆปี พระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่รู้ธรรมะมากนัก ซึ่งเดินทางมาจากชนบทได้เข้าไปจำพรรษาอยู่ร่วมกับพระภิกษุทั้งหลายในพรรษาเวลาล่วงไปปีหนึ่ง
    ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว ท่านตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมโยมบิดาที่บ้านเกิดเมืองนอน ก่อนที่จะไป ท่านคิดจะได้ของฝากบิดา จึงเอาผ้าห่อข้าวสารซึ่งเขาถวายไว้เป็นของสงฆ์เป็นจำนวนครึ่งทะนาน แล้วก็ออกเดินทางไป ด้วยความกระหยิ่มใจอยู่ตลอดทางว่า เมื่อบิดาได้รับของฝากเป็นข้าวสารครึ่งทะนานที่ตนเองนำไปให้ คงจักดีใจเป็นนักหนา เพราะบิดากำลังประสบความลำบากยากจน โดยหารู้ไม่เลยว่าตนกำลังทำบาปโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะข้าวสารครึ่งทะนานนั้นเป็นพระสงฆ์ หาใช่เป็นของตนไม่ แม้ตนจะดำรงเพศเป็นพระภิกษุจำพรรษาในวิหารก็ตามที

    เป็นที่น่าสังเวชใจนักด้วยว่า เมื่อพระภิกษุหนุ่มผู้มีความกตัญญูรู้คุณบิดารูปนั้นเดินทางมาได้ครึ่งทางก็ค่ำมืด เธอจึงแวะเข้าไปในวิหารใกล้ทางแล้วขอพักค้างคืน ตั้งใจว่ารุ่งเช้าจึงจะเดินทางต่อไป แต่ว่าความตายเป็นสิ่งโหดร้าย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่าความตายจักเข้ามาทำร้ายล้างผลาญชีวิตในขณะใด ดูแต่ภิกษุผู้อุตส่าห์นำเอาข้าวสารมา ตั้งใจว่าจักเอาไปให้บิดานี้เถิด แม้แต่ตัวท่านเองก็นึกไม่ถึงว่าตนจักต้องมาอายุสั้น แต่ท่านก็ต้องพลันตายลงไปในคืนนั้นเอง สาเหตุที่มรณะก็คือโรคลมปัจจุบัน

    ในคราวที่ท่านมรณะนั้น กรรมที่เกิดจากการที่ท่าน ได้นำเอาข้าวสารกึ่งทะนานอันเป็นของสงฆ์ในเจติยบรรพตวิหาร โดยหวังว่าจะเอาไปฝากบิดาผู้ยากจน แต่ว่ายังไปไม่ถึงมือของบิดาตามที่ตั้งใจไว้นั่น ก็พลันต้องมาตายเสียก่อน จึงต้องไปเกิดในเปตติวิสัยภูมิ เป็นเปรตมีรูปร่างแสนทุเรศสูงชะลูด มีสภาวะน่าสะพรึงกลัวและน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสาง ผอมโซเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกมีไฟลุกแดงไหม้ร่างกายอยู่ แต่ร่างกายจะได้แตกพังทลายไปก็หามิได้เที่ยวเดินโงนเงนโซซัดโซเซ อยู่ระหว่างภูเขาเจติยบรรพตนั้น ด้วยความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง

    จึงนับว่าเป็นความคิดผิดอย่างถนัด ในการที่เธอมีความประมาทหลงดีใจว่าได้ของไปฝากบิดา หารู้ไม่ว่าเป็นบาปกรรมซึ่งสามารถชักนำให้ตนมาบังเกิดเป็นเปรต ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
    ดั่งที่ได้ยกตัวอย่างกรรมของบุคคลที่มีความประมาท ซึ่งไม่รู้ในธรรมะที่สำคัญ จากพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎกมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังนั้น ก็เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นถึงความสำคัญ และได้ตระหนักว่า ความไม่รู้นั้นเป็นความโหดร้ายอย่างมาก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ จะต้องได้รับความทุกทรมานอย่างแสนสาหัสอย่างที่ตนคาดไม่ถึงมาก่อน

    คิดในใจด้วยความเมตตา

    ซึ่งผมได้มองไปที่สังคมของชาวพุทธเรา และได้เห็นถึงความเสื่อมของคนในสังคม ซึ่งไม่รู้จักศีลรู้จักธรรมอะไรเลย จึงคิดในใจด้วยความเมตตาว่า “ถ้าเขาเกิดมาเป็นชาวพุทธ แล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย สู้เขาไปเกิดในศาสนาอื่นจะดีกว่า เพราะจะได้รับบาปน้อยกว่า” หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมถึงคิดแบบนี้ เกิดในศาสนาพุทธแล้วมันเป็นอย่างไร และทำไมศาสนาอื่นจึงบาปน้อยกว่า ก็จะต้องขออธิบายดังนี้ว่า ศาสนาอื่นนั้นเมื่อทำบาปก็จะได้รับกรรมน้อยกว่า เพราะนักบวชในศาสนาอื่นนั้น ศีลอย่างมากก็จะไม่เกินศีล 8 เมื่อมีการกระทำบาปเกิดขึ้นผลบาปที่จะต้องได้รับก็ประมาณ10,000 เท่าหรือ 100,000 เท่า ซึ่งเป็นไปตามกำลังของผู้ที่มีศีลนั่นเอง ซึ่งถ้าไปทำบุญกับนักบวชในศาสนาอื่น ก็จะได้บุญไม่มากเท่ากับทำบุญในศาสนาพุทธอย่างแน่นอน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับศีลของนักบวชอีกเช่นกัน

    แต่เมื่อเกิดในศาสนาพุทธ แล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย โอกาสที่จะได้รับบาปหนักนั้นมีมากเหลือเกิน ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างดังนี้

    เกาะชายผ้าเหลืองลูกลงนรก

    พ่อแม่หลายคน ไม่รู้จักธรรมะ และไม่เคยศึกษาธรรมะใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อมาเกิดในศาสนาพุทธก็จะต้องมีประเพณีบวชลูก และพ่อแม่ก็มีความคิดว่า เมื่อลูกบวชตัวเองก็จะได้บุญ เปรียบเสมือนเกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นคำพูดที่ได้ยินกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกไม่เคยศึกษาธรรมะเลย ทั้งพระธรรมวินัย และสิกขาบท 227ข้อก็ยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง เน้นแต่เพียงท่องขานนาคให้ได้เป็นใช้ได้ ที่เหลือเมื่อบวชเข้าไปแล้วก็ให้พระที่บวชก่อนสอนกันเองก็แล้วกัน ซึ่งพ่อแม่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพระบวชก่อนจะรู้ธรรมะอย่างลึกซึ้งละเอียดละออ เมื่อบวชแล้วจึงทำให้ ดูหนัง ฟังเพลง ฉันอาหารหลังเที่ยง เด็ดใบไม้ รับเงินจากชาวบ้าน และฉันของสงฆ์วันแล้ววันเล่าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งล้วนแต่ผิดศีลเป็นบาปทั้งสิ้น และบาปของพระนั้นมากกว่าคนธรรมดาหลายล้านเท่านัก จึงกลายเป็นว่า พ่อแม่ได้ผลักลูกลงนรกอย่างไม่รู้ตัว และเมื่อเห็นจีวรลูกไหวๆอยู่ จึงรีบคว้าไว้แล้วก็ตามลูกลงนรกโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเลย

    กินของสงฆ์เพราะไม่รู้ธรรมะและไม่มีใครบอก

    และเมื่อท่านอยู่ในศาสนาพุทธ ท่านก็จะมีโอกาสที่จะได้กินของสงฆ์หลังจากที่ท่านได้ถวายสังฆทานอย่างถูกต้อง เพราะมีพระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปเป็นองค์รับสังฆทาน แต่ปรากฏว่าท่านโชคร้าย เพราะท่านไปนิมนต์พระที่ไม่รู้ธรรมะมารับสังฆทาน จึงไม่มีการ อปโลกน์สังฆทาน เพราะฉะนั้นของที่ถวายทั้งหมดจึงเป็นของสงฆ์ อย่าว่าแต่คนธรรมดาไปกินเลย แม้กระทั้งพระที่เป็นคนรับสังฆทานเองกับมือ ไปกินเข้าก็จะต้อง ตายแล้วเกิดเป็นเปรตทั้งสิ้น ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับชาวพุทธที่ไม่รู้ธรรมะ แต่ถ้าท่านอยู่ในศาสนาอื่นโอกาสที่จะกินของสงฆ์ก็แทบที่จะไม่มี หรืออาจจะไม่มีเลยก็เป็นได้

    แต่ถ้าท่าน เกิดเป็นพุทธ และยังเป็นผู้ที่รู้ธรรมะอีกด้วย ท่านก็จะเป็นผู้ที่มีวาสนามาก ได้รู้วิธีทำบุญ ตั้งแต่บุญขั้นต่ำ บุญขั้นกลาง และบุญขั้นสูง และก็ยังรู้อีกว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ และการที่ได้รู้ธรรมะนี้ ยังทำให้ท่านได้พบกับความสุขความเจริญ ทั้งในชาตินี้ และในชาติต่อๆไปอีกด้วย

    ที่มา หนังสือความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า อ.ศิริพงษ์ อัครศรียุกต
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ประชุมเรื่องการจัดกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ รวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะต้องรีบทำหลายสิ่งหลายอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนวันงาน เช่นการเตรียมการแจกพระ "ปิยบารมี" โดยการนำพระมาบรรจุในกล่อง และเตรียมคัดเลือกผู้ที่สมควรได้รับพระในครั้งแรกนี้ และบางส่วนต้องรีบทำการตรวจเนื้อหาในเอกสารทั้งที่เป็นแผ่นซีดีและเป็นหนังสือเล่มเล็กแจกให้พร้อมพระ ซึ่งจะเปิดเผยเบื้องหลังการทำพระทั้งหมดตั้งแต่เบื้องต้นจนสำเร็จเป็นองค์ หลายคนไม่เข้ากติกาการแจกพระจึงไม่สามารถแจกให้ได้ เช่น ทำบุญมาไม่ต่อเนื่อง ทำเดือนเว้นไปสามเดือนเป็นต้น เมื่อศรัทธายังไม่มั่น ก็คงต้องรอกันต่อไป หลังจากแจกคราวนี้แล้ว พระจะเหลือไม่มากครับ ได้เท่าไรก็เท่านั้นไม่ว่ากันครับ ส่วนการทำบุญให้กับ รพ.ต่างๆ นั้น ก็เป็นไปอย่างข้างต้นครับ คือมียอดรวมการบริจาคทั้งหมดราว 65,000.- (หกหมื่นห้าพันบาทถ้วน) ส่วนยอดการถวายสังฆทานอาหารพระนั้น จำนวนพระคงต้องรอการยืนยันจากร้านค้าของ รพ.สงฆ์ในวันเสาร์อีกครั้งหนึ่งครับ สำหรับเนื้อหาในเอกสารนั้น พอท่านอ่านจบแล้ว ท่านจะรู้สึกรักพระ "ปิยบารมี" พระที่มีบารมีอันเป็นที่รักยิ่ง ที่ทุนนิธิฯ แจกให้ฟรีตามกติกา ทำบุญมาก่อนแจก 4 ครั้งต่อเนื่อง แต่ถ้ามีคำถามในเรื่องสถิติการบริจาค เราจะนำไปให้ดูในวันที่ทำกิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ เพื่อรักษาสิทธิ์ให้ท่านทำจนครบ เพื่อรอรับพระที่มีส่วนผสมของทองคำน้ำหนัก 8 บาท ไปฟรีๆ จนไม่อยากวางเลยครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้มีพระดีมาแนะนำให้หาเก็บไว้อีกรุ่นหนึ่งครับ ผู้เสกนี้ไม่เบาทีเดียว เมื่อ 2 เดือนที่คณะทุนนิธิฯ ไปกราบท่าน แล้วไปกราบหลวงปู่ทิม ที่วัดพระขาวต่อ ก่อนผมกลับพอจะเดินลงกุฏิท่านยิ้มๆ แล้วท่านบอกกับผมว่า ปีนี้อาตมาอายุ 78 ปี แล้ว เรายังงงๆ อยู่ว่าท่านบอกเราทำไมหว่า นำมาบอกต่อกันในรถ ต่างวิ่งหาล๊อตเตอรี่กันวุ่น หวยงวดนั้น ออกอายุ หลวงปู่ทิมก่อน เลยกินเรียบ หลังจากงวดนั้นไม่มีใครนึกถึงคำกล่าวของท่านเลย งวดต่อมา อายุท่านออก เลขท้าย 3 ตัวบน ในคณะไม่ถูกซักบาท นอกจากคุณเอื้อยที่แอบแซวว่าหวยหลวงพ่อนี่ต้องตามสัก 2 งวด แกเลยฟาดไปเยอะ นี่ล่ะเขาเรียกว่าคนไม่เคยมีโชคด้านการพนัน ท่านบอกตรงๆ ตัวต่อตัว ยังนึกไม่ออก กรรมแท้ๆ ตอนคุยกับท่านผมนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง ไหนๆ ก็มาหาท่านแล้ว ผมเลยนำเงินที่เรี่ยไรกันในรถเพื่อถวายวัดไปเช่าพระในตู้ซึ่งเป็นพระที่ทำเมื่อต้นปี เป็นพรหม 4 หน้า ท่านจับไปลูบๆ คลำๆ พอนำมาตรวจ อู้ว..คมกริบเลยแฮ๊ะ หันไปถามพี่ใหญ่ถึงวิธีเสกของท่านแค่อึดใจว่าทำไมถึงแรงขนาดนี้ พี่ใหญ่บอกท่านทรงฌาณตลอดเวลา พอเรายื่นให้ จิตท่านลงฌาณ 4 เป๊ะเต็มกำลัง พระถึงได้แรงขนาดจริงๆ ถามพี่ใหญ่ว่าจิต ท่านถึงหลวงลุงแล้วมั๊ง พี่ใหญ่บอกว่า เสมอกัน เลยนำพระมาแจกในรถกัน ถามท่านว่าดีทางไหน ท่านบอกทางเมตตา เพราะเหรียญพรหมนี้ เป็นพระพรหมที่ประกอบด้วย เมตตา กรุณาฯ เป็นพื้นอยู่แล้ว ท่านจึงจัดการให้ คราวนี้มาดูเหรียญที่ท่านการันตีด้วยตนเองดีกว่า ไปหากันเอาเองก็แล้วกัน



    <!--/adcode-->[​IMG] เหรียญพระศรีอาริยเมตไตร

    [​IMG] เหรียญพระศรีอาริยเมตไตร


    เหรียญพระศรีอาริยเมตไตรปี ๒๕๔๒
    ของ หลวงพ่อลำใย สัญญโม วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา
    อาจถือได้ว่านี่เป็นเหรียญที่ถูกขออนุญาตสร้างออกมาในนามท่านอย่างเป็นทางการแท้จริง………..ไม่ใช่ฝากเสก
    มีชนวนอยู่ในเหรียญนี้ไม่น้อย อีกทั้งยังแกะพิมพ์ได้สวยงามมาก
    ความหมายของเหรียญและอักขระข้างในก็ดียิ่ง ขอกระซิบก็แล้วกันว่า
    “อย่ามองข้ามเหรียญนี้ทีเดียวเชียว”
    รุ่นแรกนะ….รุ่นแรก…..!!

    มีคำอำนวยพรให้ผู้ครอบครองจง เจริญอายุ เจริญวรรณะ เจริญสุข เจริญกำลัง และเจริญลาภ ล้อมรอบอยู่
    ตรงกลางเป็นยันต์”พระเจ้าสิบหกพระองค์”ที่ทรงคุณในทุก ๆ
    ทางโดยเฉพาะด้านคงกระพันชาตรีที่หลวงพ่อลำใยท่านถนัดเป็นยิ่งนักขนาดงูเห่าในวัดกัดท่านๆ
    ยังเดินลากมันไปทั้งๆปากมันยังงับขาท่านอยู่และผิวหนังท่านก็มีแค่รอยขีดเป็นทางเมื่อมันยอมปล่อย
    หารอยยางบอนซึมสักน้อยก็ไม่ปรากฏ
    เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว
    เหนือพระยันต์วิเศษประทับด้วยอักขระ”นะปิดล้อม”
    ที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของสายวัดพระญาติการามซึ่งหลวงปู่ดู่ถ่ายทอดให้หลวงพ่อใยจนหมดสิ้น
    ใต้พระยันต์คณะศิษย์จารึกสัญญลักษณ์ว่า “๒ ส” อันหมายให้เป็นตัวแทนของหลวงพ่อใย
    เพราะหลวงปู่ดู่นั้นท่านเป็น
    “๑ ด”
    หนึ่งไม่มีสอง ของจริง
    หากที่ปรากฏคำว่า “๒ ส” ศิษย์ก็มิได้มุ่งยกท่านขึ้นไปเปรียบเทียบเสมอแต่ประการใด
    แต่หมายเอาว่า หลวงปู่ดู่เป็นที่หนึ่งในทุก ๆ ทาง
    แม้กระทั่งเป็นพระอาจารย์ที่สอนกัมมัฏฐานให้พวกเขาเป็นลำดับที่ 1
    ครั้นสิ้นหลวงปู่แล้ว พวกเขาก็ได้มาพึ่งพาอาศัยท่านตามที่หลวงปู่ดู่เคยสั่งความไว้
    จึงถือได้ว่า “พระสัญญโมภิกขุ”
    นี้เป็นพระอาจารย์องค์ที่สองต่อจากพระคุณท่านพระพรหมปัญโญ
    จึงปรากฏนาม “๒ ส” ดังนี้แล
    ต่ำใต้ลงมาก็เป็นพุทธศักราชที่สร้างขึ้นและถวายให้ท่านอธิษฐานจิต-ปลุกเสก
    ท่านบอกกับผมว่า
    “เหรียญนี้มีทุกองค์อยู่ข้างใน ข้าทำจนสว่างไปหมดถึงกุฏิของหลวงลุงโน่นแหละ…..!!”
    บทความนี้เป็นข้อเขียนของอาจารย์รณธรรม ธาราพันธุ์ เคยนำมาลงในสวนขลังดอทคอม
    แต่มีการนำบทความออกไปเพื่อเลี่ยงปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์


    บทความนี้นำมาจาก
    http://prasaksit.wordpress.com/2008/03/31/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%95/

     
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เปรตงูเหลือม

    กาลเมื่อพระบรมสุคตเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภถึงเปรตงูเหลือมให้เป็นเหตุ แล้วทรงตรัสเล่าที่มาแห่งเปรตนั้น ให้แก่ภิกษุและมหาชนทั้งหลายได้สดับความว่า
    สมัยเมื่อพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ออกจากที่พักพร้อมพระลักขณเถระ ในเวลาเช้าเพื่อเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ระหว่างทางพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า ได้แลด้วยทิพจักษุเห็นเปรตมีกายเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นมนุษย์ผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้จากหัวจนถึงหาง จากหางลุกไหม้ขึ้นไปจนถึงหัว บางขณะก็ลุกไหม้หัวและหางมาจดกลางลำตัว จากกลางลำตัวไปถึงหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ อัตภาพของเปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอย่างแสนสาหัส
    พระมหาโมคคัลลานเถระ เห็นดังนั้นจึงยิ้มน้อยๆ ด้วยคิดว่าสัตว์ผู้มีร่างกายเช่นนี้เรามิได้เคยเห็นมาก่อน
    ฝ่ายพระลักขณเถระ เดินมากับพระโมคคัลลานเถระ เห็นพระเถระยิ้มน้อยๆ ก็อดที่จะสงสัยเสียมิได้ ด้วยคิดว่าการที่พระอรหันต์ผู้ใหญ่จะยิ้มคงต้องมีเหตุ จึงเอ่ยปากถามว่า ข้าแต่พระมหาเถระผู้ใหญ่ ท่านมีเหตุอันใดทำไมถึงได้เดินยิ้ม
    พระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกล่าวแก่พระลักขณเถระว่า เวลานี้มิใช่เป็นเวลาที่จะตอบปัญหา เอาไว้ถามเราต่อหน้าพระบรมสุคตเจ้า ขณะเข้าไปเฝ้าก็แล้วกัน
    กล่าวดังนั้นแล้ว ท่านก็เดินนำพระลักขณะเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ หลังจากกลับบิณฑบาตฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว พระมหาโมคคัลลานเถระจึงได้ชวนพระลักขณะเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า
    พระลักขณเถระจึงได้เอ่ยปากถามปัญหาที่ค้างไว้ตอนเช้าว่า พระมหาโมคคัลลานะยิ้มด้วยเหตุอะไร
    พระมหาโมคคัลลานะจึงตอบปัญหานั้น ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมสุคตเจ้าว่า เมื่อเช้าหลังจากเดินทางออกจากที่พักมาระหว่างทาง ข้าพเจ้าเห็นเปรตตนหนึ่งมีตัวเป็นงูเหลือมยาว ๒๕ โยชน์ มีหัวเป็นคนผมยาวปรากฏไฟลุกไหม้ตั้งแต่หัวมาจดหาง ไหม้ตั้งแต่หางมาจดหัว บางขณะก็ไหม้ตั้งแต่กลางลำตัวไปหัวและหาง สลับสับเปลี่ยนกันอยู่เช่นนี้ เปรตนั้นได้รับทุกข์เวทนาอันแรงกล้า ข้าพเจ้ามิเคยเห็นเปรตชนิดนี้มาก่อนจึงยิ้ม
    พระบรมสุคตเจ้า ทรงได้สดับคำของพระมหาโมคคัลลานเถระดังนั้นจึงทรงมีพุทธฏีกาตรัสว่า เราตถาคตก็เคยเห็นเปรตชนิดนั้นมาแล้ว ขณะที่เราพำนักอยู่บริเวณต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ แต่เรามิได้แจ้งแก่ใคร เหตุเพราะจะมิมีผู้ใดเชื่อ ผู้คนพวกนั้นจะพลอยได้รับโทษ แต่มาบัดนี้โมคคัลลานะสามารถเห็นได้ด้วยทิพยจักษุ พอจะเป็นพยานยืนยันให้เราได้ เราจึงกล่าวว่าเคยเห็นเปรตตนนั้นมาก่อนแล้ว
    ภิกษุทั้งหลายที่มาประชุมกันในขณะนั้น จึงทูลถามถึงบุพกรรมของเปรตนั้นว่ามีที่มาอย่างไร
    องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงทรงตรัสเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น
    มีเศรษฐีคนหนึ่งมีนามว่า สุมังคลเศรษฐี เป็นผู้มีทรัพย์มาก มียศมาก มีบริวารมาก มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นยิ่งนัก ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์สร้างวิหารถวายพระบรมศาสดาให้เป็นที่ประทับพร้อมหมู่สงฆ์ พื้นที่โดยรอบวิหารปูลาดด้วยแผ่นอิฐทองคำ กว้างคูณยาว วัดได้ 100 วา เสร็จแล้วก็จัดให้มีพิธีฉลองวิหารนั้น ด้วยกำลังทรัพย์อีกมหาศาล
    ในเวลาเช้าของวันหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีออกเดินทางจากที่พัก เพื่อไปเข้าเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างทางมีศาลาพักร้อนปลูกอยู่ข้างทางหลังหนึ่ง สุมังคลเศรษฐีและบริวาร คิดจะเข้าไปนั่งพักให้หายเมื่อย แต่กลับพบบุรุษผู้หนึ่ง นอนคุดคู้มีผ้าคลุมหัวอยู่กลางศาลา ที่เท้านั้นก็เปื้อนโคลน
    สุมังคลเศรษฐี จึงกล่าวแก่บริวารว่า “ชะรอยคนผู้นี้คงจะเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืนแล้วมาหลบนอนกลางวัน เราไม่ควรจะพักรวมชายคาเดียวกันกับคนเช่นนี้” กล่าวเช่นนี้แล้วก็ออกเดินทางต่อไป
    บุรุษผู้ที่กำลังนอนอยู่นั้น ครั้นพอได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันอยู่ภายในศาลาจึงเลิกผ้า ผงกหัวขึ้นมาดูหน้าเศรษฐีผู้พูด แล้วผูกใจเจ็บอาฆาต คิดว่าดีหล่ะ ตาเศรษฐีเฒ่ามาดูแคลนเรา เราจะหาวิธีแก้แค้นเสียให้สาสม แล้วก็ลงนอนต่อไป
    เวลาผ่านไปถึงยามบ่ายแก่ บุรุษผู้ที่นอนในศาลานั้นตื่นขึ้นมาแล้ว ก็ออกไปสืบถามถิ่นที่อยู่ของเศรษฐี จนรู้แน่ชัดแล้ว ตกราตรีบุรุษนั้นก็แอบไปจุดไฟเผานาข้าวของเศรษฐี จนข้าวที่สุกได้ที่แล้วพร้อมจะเก็บเกี่ยวถูกไฟเผาไหม้จนเสียหาย
    เท่านั้นยังไม่พอ บุรุษนั้นยังแอบเข้าไปเผายุ้งข้าวของสุมังคลเศรษฐีด้วย เขาได้เพียรพยายามจองล้างจองผลาญเผานาข้าวและยุ้งข้าวของเศรษฐีอยู่ถึง ๗ ครั้ง ก็หาได้ลดความคั่งแค้นลงไปได้ไม่ ต่อมาก็ย่องเข้าไปจุดไฟเผาเรือนของเศรษฐีอีก ๗ ครั้ง ซ้ำยังแอบเข้าไปในคอกปศุสัตว์ของเศรษฐี ทำการทารุณกรรมต่อฝูงวัวอยู่ถึง ๗ ครั้ง จนบรรดาวัวเหล่านั้นพิการเดินไม่ได้ในที่สุด
    บุรุษผู้จมปรักอยู่ในโลกแห่งความแค้น แม้จะจองเวรทำลายทรัพย์สินของเศรษฐีสักกี่ครั้งก็ยังไม่สาสมใจ จึงแสร้งเข้าไปตีสนิทกับหญิงรับใช้ของเศรษฐี แล้วหลอกถามว่า สุมังคลเศรษฐีนี้มีสิ่งใดเป็นที่รักใคร่
    นางหญิงรับใช้พอเห็นมีชายหนุ่มมาแสดงกิริยาเกี้ยวพาราสีทอดสะพาน นางจึงมอบไมตรีตอบด้วยความไว้วางใจ ไม่ว่าชายหนุ่มปรารถนาจะรู้สิ่งใด นางก็เล่าแจ้งแถลงจนหมดว่า ท่านสุมังคลเศรษฐีผู้เป็นนายของข้าพเจ้า เป็นผู้ดีมีน้ำใจงาม ไม่มีสิ่งใดที่นายท่านจะหวงแหนรักใคร่เทิดทูลเท่ากับวิหารและพระคันธกุฏี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์พระบรมศาสดากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น ครั้นได้ฟังจึงคิดว่า ดีหละ ถ้าวิหารและพระคันธกุฎีเป็นที่โปรดปานรักใคร่ของไอ้เศรษฐีเฒ่า เราก็จะต้องหาทางไปเผาทำลายเพื่อระบายความแค้นเสียให้สมใจ
    ครั้นพอถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ องค์สมเด็จพระจอมไตรพร้อมบรรดาภิกษุสงฆ์สาวก เสด็จออกไปบิณฑบาตตามแถวบ้าน
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น เมื่อรอดูรู้ว่าปลอดผู้คนในอาวาส จึงตรงเข้าไปทุบทำลายโอ่งน้ำ และภาชนะใส่น้ำเสียจนสิ้น แล้วจุดไฟเผาวิหารและพระคันธกุฎีเสียจนวอดมอดไหม้ ไม่มีเหลือแม้แต่เสากุฎี
    ข้างฝ่ายเศรษฐีสุมังคละ พอรู้ข่าวว่าไฟได้ไหม้วิหารและพระคันธกุฎีที่ตนสร้างถวายพระบรมศาสดา ก็รีบมาดู
    พอเห็นกองเถ้าถ่าน กระจายอยู่เกลื่อนกล่นแทนที่ที่ตนสร้างวิหารและพระคันธกุฎี เศรษฐีก็มิได้มีอาการปริวิตกหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับแสดงอาการดีใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
    บรรดาประชาชนคนที่มามุงดู พอได้เห็นอาการของสุมังคลเศรษฐีเช่นนั้น จึงพากันไต่ถามว่า “ท่านเศรษฐีบริจาคทุนทรัพย์จัดสร้างพระวิหารและพระคันธกุฎีไปตั้งมากหลาย เมื่อสิ่งที่ท่านจงใจสร้างโดนไฟเผาทำลายเสียจนสิ้น ทำไมท่านจึงแสดงอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีอกดีใจ ท่านไม่รู้สึกเสียดายทรัพย์สินที่โดนเผาทำลายไปบ้างหรือ”
    สุมังคลเศรษฐีจึงกล่าวตอบแก่ผู้คนชนที่มามุงดูว่า “นาข้าวและยุ้งฉาง รวมทั้งเรือนของเราโดนไฟไหม้อย่างละเจ็ดครั้ง ถือได้ว่านั่นคือความสูญเสีย แต่พระวิหารและพระคันธกุฎี ที่เราสร้างถวายแด่พระบรมศาสดาและสงฆ์พุทธสาวก ด้วยเงินและทองเป็นอันมาก ถึงจะโดนไฟเผาไหม้มอดหมดไป เงินและทองนั้นก็มิได้หายไปไหนยังจะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติ”
    “เหตุที่เราดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็เพราะเราจักได้มีโอกาสละเงินและทอง จัดสร้างพระคันธกุฎีถวายแด่พระบรมศาสดาและพระสงฆ์ จึงถือว่าเราจะสะสมอริยทรัพย์ให้เพิ่มพูนปรากฏในภพชาติต่อไป เช่นนี้จักมิให้เราดีใจได้กระไร”
    เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว สุมังคลเศรษฐีจึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลอาราธนาให้เสด็จพร้อมหมู่สงฆ์สาวก ไปประทับในที่อันควร ส่วนข้างหนึ่งของบริเวณอาวาสที่ตนสั่งให้บริวารจัดไว้ พร้อมทั้งทูลขอพุทธานุญาตจัดสร้างพระวิหารพร้อมพระคันธกุฎีถวายให้เป็นที่ประทับ
    สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธะ ทรงรับด้วยอาการดุษฎี แล้วทรงเสด็จไปยังที่ที่เศรษฐีและบริวารจัดเตรียมไว้
    สุมังคลเศรษฐี มีความลิงโลดยินดีเป็นยิ่งนัก ออกมาสั่งบริวารให้ระดมหาช่างชั้นเลิศรุมกันก่อสร้างพระวิหารและพระคันธกุฎีให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน เมื่อเสร็จแล้วเศรษฐีจึงสั่งให้ช่างทองหล่อทองคำให้เป็นแผ่นอิฐ นำมาปูพื้นบริเวณโดยรอบพระวิหารมีความกว้างคูณยาวเท่ากับพื้นที่เดิม แล้วสละทรัพย์ทำการเฉลิมฉลอง พร้อมถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าพร้อมหมู่สงฆ์มีประมาณ ๒ หมื่นองค์ตลอดเจ็ดวัน จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดากับหมู่สงฆ์ให้เสด็จประทับภายในพระวิหารและพระคันธกุฎี
    สิ้นสุดงานบุญสุมังคลเศรษฐี ให้มีจิตอิ่มเอิบยินดี ในกุศลผลบุญความดีที่ตนทำเป็นยิ่งนัก
    ข้างบุรุษผู้มีใจโฉดชั่ว หมกมุ่นอยู่ในแรงพยาบาท เห็นว่าเศรษฐีมิได้มีความเจ็บแค้นเดือดร้อน ต่อการที่วิหารและพระคันธกุฎีอันเป็นที่รักต้องโดนไฟเผาจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลี บุรุษนั้นแทนที่จะระลึกถึงความดีที่มีอยู่ในจิตใจเศรษฐี กลับคิดว่า
    ไอ้เศรษฐีเฒ่าผู้นี้ มันช่างยั่วยวนกวนโทษาเรายิ่งนัก เผานามันก็แล้ว เผายุ้งฉางมันก็แล้ว เผาเรือนมันก็แล้ว ทำลายคอกปศุสัตว์มันก็แล้ว แม้ที่สุดวิหารและพระคันธกุฎีอันเป็นที่รักโดนเราเผาทำลายกลายเป็นกองขึ้เถ้า มันยังมีกะใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ระริกระรี่ สดชื่นใจ ไอ้เศรษฐีเฒ่านี้มันช่างไม่สะทกสะท้านอะไรซะเลย ถ้าไอ้เฒ่านี้ยังมีชีวิตอยู่ เราคงจะหาความสุขไม่ได้เป็นแน่แท้ ดีหละเราจะต้องหาวิธีฆ่าไอ้เศรษฐีเฒ่านี้ให้จงได้ พอรุ่งเช้าบุรุษผู้มีจิตคิดแต่เรื่องโฉดชั่วนั้น จึงได้จัดแจงนุ่งห่มด้วยผ้าเนื้อหนา แล้วซ่อนมีดศาสตราเอาไว้ในผ้านุ่งของตน เดินตรงไปยังวิหาร เพื่อรอจังหวะที่จะฆ่าสุมังคลเศรษฐี
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น เฝ้ากระทำอยู่เช่นนี้ทุกๆ วัน จนสิ้นเวลาไป ๗ วัน ก็ยังไม่มีโอกาสเหมาะที่จะลงมือฆ่าเศรษฐีได้
    สุมังคลเศรษฐี เมื่อกล่าวถวายวิหาร พระคันธกุฎี และโภชนาหารแด่พระพุทธเจ้าพร้อมพระสงฆ์สาวก ๒ หมื่นรูปแล้วครบ ๗ วัน วันต่อมาจึงได้เดินทางเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วกราบทูลว่า
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐ วินาศภัยและอัคคีภัยที่เกิดขึ้นได้ในครั้งนี้ ข้าพุทธเจ้ารู้มาว่า เป็นฝีมือของบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งเกิดจากแรงโทษาอาฆาตและริษยา เขาช่างเป็นบุคคลที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เขาได้มีความเพียรเป็นอันมาก ที่จะพยายามทำให้ข้าพระองค์ ต้องมีอันเป็นไป ไม่ว่าจะพยายามเผานาและยุ้งฉางถึง ๗ ครั้ง ต่อมาก็พยายามเผาเรือนของข้าพุทธเจ้าอีก ๗ ครั้ง อีกทั้งพยายามที่จะทำลายข้าพุทธเจ้า ด้วยการลอบเข้าไปในคอกปศุสัตว์ ทำร้ายโคขุนของข้าพุทธเจ้าให้ถึงกับพิการเดินไม่ได้ ด้วยการตัดเท้าโคทั้งหมดเสีย แลครั้งสุดท้ายก็แอบลอบเข้ามาทุบทำลายภาชนะใส่น้ำในอาวาส และเผาวิหารพร้อมพระคันธกุฎี กรรมอันนี้หนักหนาสาหัส จักมีผลให้เขาได้รับทุกขเวทนาในภพชาติต่อไป จึงถือได้ว่าเขาช่างหน้าสงสารยิ่งนัก”
    “ข้าพุทธเจ้าจึงขอยกผลบุญที่ข้าพุทธเจ้าจักพึงได้รับ ในการถวายมหาทานครั้งนี้แก่บุรุนั้นก่อนผู้อื่น เพื่อว่าเขาอาจจะสุขสบายขึ้นบ้างในโอกาสต่อไป”
    กล่าวฝ่ายบุรุษผู้มีจิตคิดชั่ว ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเสื้อหนา แล้วซ่อนมีดเอาไว้ภายในเครื่องนุ่งห่ม ปะปนรวมมากับผู้คนเพื่อรอโอกาสที่จะฆ่าสุมังคลเศรษฐีเสียให้หายแค้น ขณะที่เศรษฐีนั้นได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา เพื่อทูลสิ่งที่ตนปรารถนาแด่พระพุทธองค์ บุรุษนั้นก็นั่งปะปนอยู่กับฝูงชนในที่นั้นด้วย
    ครั้นพอได้ฟังวาจาของสุมังคลเศรษฐี กล่าวถึงตนและแบ่งส่วนบุญของเศรษฐีให้แก่ตนก่อนผู้อื่น บุรุษผู้มีจิตคิดแต่ในเรื่องโฉดชั่วนั้น ก็มานึกว่า
    เออ... นี่เรากำลังจะทำอะไรนะ เราจ้องจองล้างจองผลาญแก่เศรษฐีถึงเพียงนี้ ซึ่งเขาก็รู้ว่าเราทำ แทนที่จะถือโทษโกรธเคืองแก่เรา เขากับมิได้ผูกโกรธ ซ้ำยังมีเมตตาแบ่งปันส่วนผลบุญ อันได้มายากให้แก่เราก่อนผู้อื่นอีก ดูเอาเถิด แม้บัดนี้เรายังจะคิดฆ่าเขาได้ลงคออีกหรือ ที่ผ่านมาเราได้เพียรที่จะกระทำกรรมอันชั่วช้าหนักหนาสาหัสแก่เขา ถ้าเรามิออกไปขอโทษแก่เขา แล้วขอให้เขายกโทษให้เรา ฟ้าคงจะต้องผ่าหัวเราให้แยกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นแน่
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น จึงออกมาจากที่ชุมชน แล้วเดินตรงเข้าไปคุกเข่าหมอบกราบลงแทบเท้าสุมังคลเศรษฐี กล่าวว่า
    “ข้าแต่นายผู้ประเสริฐ ขอท่านจงโปรดยกโทษในความผิดที่ข้าพเจ้าได้กระทำ พูด คิดแก่ท่าน ข้าพเจ้าขออภัยแก่ท่าน ณ โอกาสนี้”
    สุมังคลเศรษฐี พอได้ฟังจากปากบุรุษผู้นั้น ก็ถามขึ้นว่า
    “ดูก่อนสหาย ท่านจะให้เรายกโทษให้ด้วยเหตุอันใด ทำไมท่านถึงได้มาแสดงกิริยาประหวั่นงันงกเช่นนี้ด้วยเล่า ขอท่านจงบอกเล่าให้เราได้ฟังก่อน”
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น จึงได้เล่ารายละเอียดที่ตนจองเวรจองล้างจองผลาญต่อเศรษฐีว่าทำมาอย่างไร จนแม้ที่สุดถึงกับคิดจะฆ่าเสียให้ตาย ให้ท่านสุมังคลเศรษฐีได้ฟัง
    สุมังคลเศรษฐี ครั้นได้สดับ ก็ให้นึกสงสัยว่า เอ..อยู่ดีๆ ทำไมบุรุษผู้นี้ถึงได้พยาบาทจองเวรแก่เราถึงเพียงนี้ จึงเอ่ยปากถาม
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น จึงได้ขอให้เศรษฐีระลึกนึกถึงคำพูด ที่พูดแก่บ่างของตนในศาลาพักร้อนริมทางเมื่อครั้งกระโน้น แล้วบุรุษนั้นจึงกล่าวว่า “เหตุเพราะคำพูดที่เศรษฐีพูดดูแคลนแก่ข้าพเจ้า จึงทำให้ข้าพเจ้าผูกอาฆาตจองเวรมาถึงปัจจุบัน”
    สุมังคลเศรษฐี เมื่อระลึกถึงคำพูดของตนในอดีตได้ ถึงกล่าวขอโทษ ขอให้บุรุษนั้นกรุณายกโทษนั้นให้แก่ตนด้วย แล้วก็กล่าวว่า “เอาหละสหาย จงลุกขึ้นเถิดเราได้ยกโทษแก่ท่านแล้ว เราเองก็ไม่ดี ที่พูดโดยไม่คิดว่าผู้อื่นจะได้ยิน จงลุกขึ้นเถอะนะ อย่ามานั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้เลย”
    บุรุษนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าแต่นายผู้ประเสริฐ ถ้าท่านยกโทษให้แก่ข้าพเจ้าจริงๆ ขอนายท่านจงรับข้าพเจ้าพร้อมลูกเมีย ให้เป็นทาสรับใช้ในเรือนของท่าน ข้าพเจ้าและลูกเมียต้องการเพียงก้อนข้าวและหยดน้ำจากนายท่าน เพื่อประทังชีวิตให้อยู่ได้เท่านั้น มิต้องการสิ่งใดตอบแทนอีก ขอนายท่านโปรดจงให้โอกาสข้าพเจ้า และครอบครัวได้ถ่ายโทษด้วยวิธีนี้ด้วยเถิด”
    สุมังคลเศรษฐี จึงกล่าวว่า “สหายเราให้สัจจะวาจาว่าจะไม่ถือโทษแก่ท่าน แต่เรามิอาจรับท่านและครอบครัวเข้ามาอยู่ในบ้านได้ ด้วยเหตุเพราะเราเกรงว่า เมื่อท่านมาอยู่ร่วมบ้านเดียวกับเราแล้ว เราคงจะว่ากล่าวตักเตือนท่านมิได้ เพราะเพียงแต่ในอดีตเรากล่าวตำหนิท่านเล็กน้อย ท่านยังผูกอาฆาตต่อเราถึงเพียงนี้ เมื่อท่านมาอยู่ร่วมกับเรา วันข้างหน้าเราหรือจะกล้าว่ากล่าวตักเตือน ท่านจงไปเสียเถิดสหาย”
    บุรุษนั้นได้ยอมรับการตัดสินใจของสุมังคลเศรษฐีแต่โดยดี แล้วจึงลาถอยออกมาจากที่ประชุม ครั้นพ้นเขตอาวาสแล้วไม่นาน ขณะที่บุรุษนั้นกำลังจะเดินกลับบ้าน ฉับพลันฟ้าก็ได้ฟาดลงมาโดนศรีษะของบุรุษผู้โฉดชั่วนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ตายลงในที่สุด
    บุรุษนั้นเมื่อตายลงแล้ว ด้วยกรรมชั่วที่เขาได้สั่งสมกระทำไว้ นำพาเขาให้ไปบังเกิดในอเวจีนรกหมกไหม้อยู่สิ้นระยะเวลา ๑ พุทธันดร (แสนมหากัป) จนลุถึงพระศาสนาของพระบรมศาสดาสมณโคดม จึงได้มาบังเกิดเป็นเปรตงูเหลือม วนเวียนอยู่ชายเขาคิดชฌกูฎชานกรุงราชคฤห์ จนปรากฏตัวให้แก่เราตถาคตและโมคคัลลานเถระได้เห็นในที่สุด
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงที่มาของเปรตงูเหลือมจบลง พระองค์ก็ทรงโปรดแสดงผลที่คนพาล (คือคนขาดปัญญา) จะได้รับ ความว่า
    “คนพาล (คนขาดปัญญา) ทำบาป (ทำความชั่ว) ย่อมไม่รู้สึกตัวว่าเราทำบาป ต่อเมื่อความเดือดร้อนเพราะผลแห่งการกระทำ ย่อมส่งให้ได้รับโทษให้จมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานจึงมารู้สึกตัวทีหลังก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว”
    สรุป
    บุรุษผู้โฉดชั่วนั้น เป็นคนพาล ไม่มีปัญญา สุมังคลเศรษฐีชี้ให้เห็นถึงโทษของการเที่ยวกลางคืน ว่าไม่ควรจะคบค้าด้วย เพราะเป็นเหตุให้ฉิบหาย แทนที่จะมีสติเกิดปัญญา ตำหนิติเตียนตนเองให้หยุดพฤติกรรมนั้นๆ กลับไปผูกโกรธ จองเวร แก่ผู้ชี้ขุมทรัพย์ (ตักเตือน) จนในที่สุดพาตนตกเป็นทาสของอารมณ์ไม่เลือกหน้าพระหน้าพรหม ทำให้ต้องทุกข์ระทมเพราะการก่อกรรมชั่วของตน เมื่อพ้นจากนรกก็มาใช้เศษหนี้กรรมชั่ว ด้วยการมาเกิดเป็นเปรตงูเหลือมที่มีไฟเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา แม้จะเจ็บปวดปานใด ก็ไม่รู้จักตาย เพราะยังไม่หมดกรรมชั่ว
    “ความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงนี้ มิมีใครเลือกสรรจัดหาให้ มีแต่ตนเป็นคนเลือกเอง”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2009
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ปรัชญาดีๆ จากมด
    <!-- Main --> <center>[​IMG]</center>


    ..... ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค ถูกปิดกั้นหนทาง มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆ มันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ

    ข้อคิด : จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด

    ..... ปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา

    ข้อคิด : จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต

    ..... ปรัชญาที่ 3 มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาวท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันต์ มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้" เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด

    ข้อคิด : จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา

    ..... ปรัชญาที่ 4 ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้

    ข้อคิด : จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง

    ..... สรุป : 1)อย่ายอมแพ้ 2)มองไปข้างหน้า 3)มองโลกในแง่ดี 4)ทำเต็มความสามารถ





    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=usake-minaru&month=18-04-2009&group=3&gblog=4


     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table width="100%" border="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top">
    <!--Last Update : 17 เมษายน 2552 22:30:29 น.-->
    [​IMG]


    ย ก ทำ ใ ห้ ต่ำ . . ล ด ทำ ใ ห้ สู ง


    <!-- Main -->เป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา..
    ที่ต้องอาศัยการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่..
    ในสภาพของสังคม..
    ที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบ..
    การแข่งขัน..ชิงดีชิงเด่นกัน..

    หากเราไม่พยายามที่เรียนรู้และทำความเข้าใจ...
    ทั้งตนเองและผู้อื่น..
    ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรา..
    ไม่สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้..

    สิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติได้สอนถึง..
    ความงดงามภายในจิตใจของมนุษย์เราทุกคน..
    เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข..
    นั่นก็คือ..หลักยกต่ำ..ลดสูง..

    จากหลักการดังกล่าวนั้น..
    ทำให้เราเกิดมุมมองความคิดเห็น..
    ที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้..
    คือ..การยกตนข่มผู้อื่นนั้น..
    ไม่เป็นการดีเลย..
    เพราะยิ่งเรายกตนข่มคนอื่น..
    ไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นมากเท่าใด..
    เราก็จะไม่เห็นคุณค่าในตัวของเราเช่นกัน..

    แต่หากเราลดมานะทิฎฐิ..ความเห็นส่วนตัวลงบ้าง..
    เพิ่มความอ่อนโยน..มีสัมมาคารวะ..
    ทำตนเองให้ต่ำลง..
    นั่นชื่อว่า..เป็นการเพิ่มคุณธรรมที่สูงในจิตใจของเรา..

    การยกตนเองให้สูงขึ้น..
    คนอื่นก็จะต่ำลง..
    ไม่ใช่ความงดงามทางคุณธรรม..

    แต่การลดตนเองให้ต่ำลง..
    แล้วยกผู้อื่นให้สูงขึ้น..
    เป็นความงดงามในจิตใจ..
    เป็นการเพิ่มระดับคุณธรรมในจิตใจให้สูงขึ้น..

    เรายอมลดตนเองย่อเข่าลง..
    ทำให้ตนเองต่ำ..
    ดีกว่าการใช้ความพยายาม..
    ที่จะใช้มือกดศีรษะของผู้อื่นให้ต่ำลง..

    ---------------------------------------------

    ขอบคุณบทความจากธรรมะไทย

    </td></tr></tbody></table>
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> <table width="100%" border="2" bordercolor="white" cellpadding="3" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> <table width="100%" border="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"><!--Last Update : 17 เมษายน 2552 13:13:59 น.--> พื้นที่ว่าง ๆ ระหว่างทางของชีวิต...



    <!-- Main -->
    [SIZE=-1][​IMG] [/SIZE]
    [SIZE=-1]
    ชีวิตที่มีขอบเขตมากเกินไป..
    อาจทำให้เราดูแลรักษาได้ยากขึ้น..
    บางครั้งอาจทำให้เรา..ไม่มีที่ว่างพอ..
    สำหรับวางสิ่งของที่จำเป็นที่สุดในชีวิตก็ได้..

    พื้นที่ของชีวิต..
    ที่เต็มไปด้วยสิ่งของที่ไร้ค่า..ไม่มีประโยชน์..
    เหมือนกับเศษขยะทางอารมณ์และความรู้สึกที่ร้าย ๆ..
    ที่เราชอบเก็บสะสมจนล้นห้องหัวใจ..
    ย่อมไม่มีคุณค่าต่อชีวิตของเรา..

    หากพื้นที่..ทุกตารางนิ้วในหัวใจเรา..
    เต็มไปด้วยขยะอารมณ์..ขยะความคิดร้าย ๆ..เหล่านั้น..
    ซึ่งจะทำให้พื้นที่ห้องหัวใจของเรา..ดูเกะกะ..รก..รุงรัง..ไม่น่าดู..

    พื้นที่ของชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน..
    หากเราไม่จัดเก็บให้สะอาด..เรียบร้อย..
    ไม่มีพื้นที่ว่าง ๆ สำหรับพักใจบ้าง..
    ก็จะทำให้ชีวิตของเรา..ดูสับสน..วุ่นวาย..

    เรามาช่วยกันจัดเก็บพื้นที่ของชีวิต..
    ให้เป็นระเบียบ..
    เพื่อจะได้มีพื้นที่ว่าง ๆ ไว้..
    สำหรับเก็บอารมณ์และความรู้สึกที่สงบ..
    ที่เราเรียกว่า..ให้สติมากขึ้น..
    เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องหัวใจ..จะได้ที่เก็บแต่สิ่งดี ๆ...
    เป็นพื้นที่ว่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขสงบภายใน..นั่นเอง..

    จงจัดระเบียบอารมณ์..
    เพื่อเพิ่มความรู้สึกนึกคิดที่ดีงาม..
    ลงในพื้นที่ว่าง ๆ เพื่อเป็นการพักผ่อนจิตใจ..

    เมื่อจิตใจสงบ..
    พื้นที่ในห้องหัวใจของเรา..
    ก็จะขยับขยายออกไป..
    เพื่อเพิ่มที่ว่าง ๆ ไว้..ให้เราวางชีวิตได้ง่ายขึ้น..

    หากจิตใจไม่สงบ..
    พื้นที่ในห้องหัวใจของเรา..
    ก็จะแคบ..รกรุงรัง..ไม่เป็นระเบียบ..
    นั่นจะเป็นการเพิ่มขยะความคิด..ขยะอารมณ์ต่าง ๆ มากมาย..
    ลงในพื้นที่จิตใจของเรา
    [/SIZE]




    [SIZE=-1]ขอขอบคุณ[/SIZE]


    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=usake-minaru&month=17-04-2009&group=3&gblog=3</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> <table width="100%" border="2" bordercolor="white" cellpadding="3" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td> <table width="100%" border="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"><!--Last Update : 12 เมษายน 2552 16:23:05 น.--> เขียนความดีที่หัวใจ



    <!-- Main -->[SIZE=-1][​IMG] [/SIZE]
    [SIZE=-1]


    "ความดี...เปรียบเสมือนดอกไม้ในจิตใจของเรา หากเราทำความดีคนเดียว ดอกไม้ก็เพียงบานในใจเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราพร้อมใจกันทำความดี ก็เท่ากับว่า ดอกไม้ได้บานสะพรั่งไปทั้งประเทศ... เมื่อถึงเวลานั้น โลกและชีวิตจะสวยงามเพียงใด"

    เป็นมุมมองที่น่าคิดของ "พระไพศาล วิสาโล" เช่นเดียวกัน, หากพนักงานทุกคนร่วมใจกันทำความดีเพื่อองค์กร ย่อมทำให้องค์กรพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

    หนังสือ "เขียนความดีที่หัวใจ" นี้เป็นหนังสือที่คัดเลือกเอา 60 เรื่องของการทำความดี ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมกับเครือข่ายนักเขียนแห่งประเทศไทย จัดทำหนังสือจัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

    "พิบูลศักดิ์ ละครพล" บรรณาธิการ กล่าวไว้น่าฟังว่า นับจากวันที่โครงการเขียนความดีที่หัวใจเริ่มขึ้น ดอกไม้แห่งความดีก็เบ่งบาน จากตรงนั้น จากตรงนี้...จากซอกหลืบอันขมุกขมัว จากเงาหม่นของชีวิต เด็กชายจากบ้าน โกโรโกโสบนผืนน้ำครำ...เด็กหญิงที่ขาดไร้ความรักใดใดในโลกนี้ ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยมีคนเชื่อถือ ชายหนุ่มช่างเพ้อ หญิงสาวช่างฝัน

    "ท่ามกลางแห่งฟ้าอันมืดมิด

    ดาวและเดือนก็ยังคงอยู่

    เพียงไร้คนมองเห็นเท่านั้น

    ความดียังคงอยู่ ความดียังคงอยู่เสมอ"

    หรืออย่าง "ด.ญ.เบญจมาศ เหล่าพงษ์สวัสดิ์" เด็กหญิงตัวน้อยๆ คนหนึ่งในหลายคนที่มีผลงานตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้บอกว่า ในยามที่ฉันเหนื่อยล้า ท้อแท้ ฉันมักจะนึกถึงจิ๊บ ทั้งๆ ที่เธอเป็นคนพิการ เธอยังต่อสู้ชีวิตจนความฝันของเธอเป็นความจริง แล้วฉันเกิดมามีร่างกายครบสมบูรณ์ มีฐานะที่ดี จะมัวท้อแท้ หดหู่อยู่ทำไม เมื่อฉันคิดอย่างนี้ ฉันก็คลายความท้อแท้เหนื่อยหน่าย ทำงานเต็มที่...ทำความดีเต็มความสามารถ

    "ถ้าใครท้อเบื่อหน่าย ผิดหวังได้แต่อย่าสิ้นหวังนะคะ คนพิการยังทำความดีได้ แล้วคนที่สมบูรณ์อย่างเราทำไมจะทำความดีไม่ได้...จริงไหมคะ"

    ในหนังสือเล่มนี้ยังมีเรื่องการทำความดีของ นักเขียนมีชื่อมากมาย เช่น วินทร์ เลียววาริณ ศักดิ์สิริ มีสมสืบ เดือนวาด พิมวนา โชคชัย บัณฑิต ประชาคม ลุนาชัย ปราย พันแสง อนัญญา เที่ยงแท้ ฯลฯ

    รวมทั้ง "จรัญ ยั่งยืน" นักข่าวตัวเล็กๆ แห่งเซ็กชั่น Human Capital หนังสือพิมพ์ "ประชาชาติธุรกิจ"

    หากคุณเชื่อว่าเมื่อทำความดีแล้วส่งผลต่อการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพ ในหนังสือเล่มนี้มีแรงบันดาลใจหลากหลายในการทำดีเพื่อให้คุณไปคิด เพื่อจะทำความดี หรือเริ่มต้นที่ความดี หรือทำความดีต่อไปอย่างต่อเนื่อง
    [/SIZE]




    [SIZE=-1]ขอขอบคุณ[/SIZE]


    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=usake-minaru&month=04-2009&date=12&group=3&gblog=2[SIZE=-1]
    [/SIZE]
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table>
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table width="100%" border="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"><!--Last Update : 30 มิถุนายน 2551 13:52:55 น.--> ความสุขที่หาได้ที่ รถไฟฟ้า


    <center>[​IMG]</center>



    <!-- Main -->เพิ่งกลับมาจากไปสอนหนังสือรอบเช้าที่สนามเป้าค่ะ

    ก็เลยมีเรื่องจะมาเล่าเก็บไว้ ไม่ได้เขียนบลอกนานแล้วเหมือนกัน

    มีเรื่องนี้แหละ ที่แม้จะอยากนอนยังไง ก็อยากมาเก็บความทรงจำดี ๆ นี้ไว้

    ทั้ง ๆ ที่ เรื่องราวผ่านไปเกือบครึ่ง ชม. แล้ว แต่ก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้ซะที

    ---------------------------------------------------------------------------

    สถานีอ่อนนุช แล้ว ปลายทางแล้ว ...

    ผู้หญิงคนนึง เดินออกมาจากรถไฟฟ้าส่วนกลางของโบกี้

    และกำลังเดินไปที่บันไดทางลง

    เธอได้พบกับคุณยายคนนึง ที่กำลังจะก้าวลงบันไดพร้อมกันนี่ล่ะ

    คุณยาย กับ กระเป๋า สองใบ
    (ถือกระเป๋าก็สองมือแล้ว ยังจะมีมือไหนเกาะราวบันไดอีก)

    เธอคนนั้น เกิดอาการลังเล ในวูบแรก ว่าจะช่วยดีหรือไม่ช่วยดี

    แต่แล้วก็หลุดปากพูดออกไปว่า "หนูช่วยถือมั๊ยคะ ??"

    ตัวเธอเองก็มีกระเป๋าอยู่แล้ว 2 ใบ รับกระเป๋าคุณยายมาถืออีกใบนึง เป็น 3

    ถือกระเป๋า 3 ใบ ในแขนข้างเดียว ส่วนแขนอีกข้างนึงนั้น

    มีไว้สำหรับให้คุณยายเกาะ ตอนเดินลงบันได ...

    เดินคุยกันเรื่อยมา แล้วก็เดินมาส่งเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ถึงป้ายรถเมล์ด้านล่าง

    โบกรถแท๊กซี่ และ บอกจุดหมายปลายทางให้

    และไหว้สวัสดี คุณยาย ไปทีนึง ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ

    จากนั้นตัวเธอเอง ก็ขึ้นรถ Taxi คันหลังกลับบ้าน ...

    ---------------------------------------------------------------------------

    หลังจากขึ้นรถแท๊กซี่มา และ จนบัดนี้ ผู้หญิงคนนั้น

    ยังหยุดยิ้มไม่ได้เลยค่ะ ... นี่แหละน้อ ความสุข ใกล้ ๆ ตัว

    ที่ไม่ได้จะมีมาให้เราช่วยได้บ่อย ๆ แต่พอช่วยแล้ว ก็จะเกิดอาการ

    ยิ้มอย่างหยุดไม่ได้ จนเมื่อยแก้ม แบบนี้ล่ะค่ะ ...

    ----------------------------------------------------------------------------

    เราไม่รู้จักกันมาก่อน ... แต่ทำไมถึงอยากช่วยนัก

    คุณยายไม่เคยมีพระคุณอะไรมาก่อน ... แต่ทำไมถึงทนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้

    กระเป๋าเธอเอง 2 ใบแล้ว ... ทำไมจะต้องทนหนักอีกใบที่ 3

    จากที่ไม่เคยเดินจูงใครลงบันไดช้า ๆ ...

    ทำไมจะต้องมาชะลอความเร็วจนตัวเองน่ะแหละ เกือบจะล้ม ไม่ใช่คุณยาย

    เพราะเธอไม่ค่อยได้เดินทีละขั้นแบบนี้บ่อยนัก

    คุณยายเป็นใครก็ไม่รู้ ... ทำไปแล้วจะได้อะไร

    ----------------------------------------------------------------------------

    คำถามพวกนี้ เป็นคำถามที่แม้แต่ตัวเอง ก็ตอบไม่ได้นะคะ

    แล้วก็ไม่คิดจะตอบให้เสียเวลา เอาเป็นว่า ทำอะไรแล้วสบายใจ

    แถมยังได้ช่วยเหลือคนอื่นอีก ... แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้วค่ะ

    ขอบพระคุณ คุณยาย สำหรับ รอยยิ้มที่ฝากมาให้หนู นะคะ







    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jenniepoko&month=06-2008&date=30&group=1&gblog=16

    </td></tr></tbody></table>
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มีพระดีมาแนะนำอีกนิดนึงครับ

    แนะนำเผื่อเพื่อนฯไปเจอผ่านตาที่ไหนมาบ้างให้เก็บฯไว้บ้างก็ดี ในส่วนของรูปไว้ผมพร้อมจะทยอยนำมาลงให้ชมครับ
    ที่นำมาลงให้อ่านนี้ส่วนมากท่านจะละสังขารไปแล้วนะครับ

    1 พระครูสิทธิชัยวิศาล (หลวงพ่อลำเจียก)วัดศาลาตึก ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน นครปฐม ท่านเป็นพระเกจิสายของหลวงปู่จัน วัดบ้านยางนอก,หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้,หลวงพ่อเกลี้ยง วัดเขาใหญ่ กาญจนบุรีครับ วัตถุมงคลของท่านสร้างเป็นเหรียญ และตะกรุดลูกอมซึ่งเรียนมาจากหลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ และอีกอย่างนึงคือ หวายอาคม เป็นขนาดคาดเอว สร้างน้อยเพราะจะแจกแก่ศิษย์เท่านั้นครับ

    2 พระครูถาวรสังฆกิจ (หลวงพ่อภา ถาวโร) วัดสองห้อง อำเภอกำแพงแสน นครปฐม ท่านเป็นศิษย์เอกอีกรูปหนึ่งของ หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต วัดตาก้อง เหรียญรูปเหมือนนั่งทับปืนไขว้ประสบการณ์เยอะเหลือเกินครับ

    3 พระครูสุขวรคุณ (หลวงพ่อทวน สุขวโร) วัดหนองพังตรุ ตำบลหนองพังตรุ อำเภอท่าม่วง กาญจนบุรี ประวัตท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ วัตถุมงคลของท่านมีเหรียญรุ่น 4 หลังหนุมานเชิญธง คนท้องที่เค้ารู้ดีครับ

    4 พระครูสรกิจพิจารณ์(หลวงพ่อผัน) วัดราษฎร์เจริญ(แปดอาร์) อำเภอหนองแค สระบุรี ประวัติท่านผมไม่ทราบ แต่เหรียญรุ่นแทงคอหมูของท่านก้อเริ่มจะหายากแล้วล่ะครับ

    5 พระครูอรรถธรรมาทร(หลวงพ่อเฮ็น สิริวังโส)วัดดอนทอง ตำบลดงตะงาว อำเภอดอนพุด สระบุรี พระเถราจารย์สายเขมรที่วิชาแก่กล้ารูปหนึ่ง วัตถุมงคลของท่านมีพวกเหรียญที่น่าเก็บ และก้อตะกรุด,ผ้ายันต์วาสนา

    6 พระครูนิมิตรนวกรรม (หลวงพ่อสมควร วิชาวิสาโล)วัดศรีสวรรค์สังฆาราม(ถือน้ำ)อำเภอเมือง นครสวรรค์ หนึ่งในหระเกจิที่ขาดแทบไม่ใด้ในงานพุทธาภิเษกในภาคกลาง ท่านเป็นชาวเขมรและก้อเก่งมากเสียด้วยครับ

    7 หลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ศิษย์สายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า วัตถุมงคลเน้นทางคงกระพัน แขวนเดี่ยวใด้เลยครับ โดยเฉพาะตะกรุดเกราะเพชรครับ

    ยังมีอีกเยอะครับ ที่กล่าวมาข้างต้นส่วนมากท่านเพิ่งละสังขารไม่นาน คิดว่ายังพอหาใด้ แล้วยังงัยว่างแล้วจะมาต่อให้ครับ


    ลองหาดูกันครับ อย่างลำดับที่ 2 พระครูถาวรสังฆกิจ (หลวงพ่อภา ถาวโร) วัดสองห้อง อำเภอกำแพงแสน คนขับรถที่บริษัทที่เป็นหลานท่านเล่าให้ฟังว่าท่านเด็ดขาดหลือเกิน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้องยังไง ยังงั้น (ไม่รู้คุยเล่นหรือเปล่า)บางทีคุยกับท่านเพลินๆ ท่านหยิบมีดมาเหลาไม้เล่น แล้วให้หลาน (คนขับรถ) วิ่งไปดูต้นไม้แถวนั้น ปรากฏว่าเป็นรอยถากใหม่ๆ เหมือนกับที่ท่านเหลาเป๊ะ แต่ที่รับประกันได้คือเรื่องความเหนียว พระท่านแขวนคอไก่ให้ยิงต่อหน้าเลย ไม่มีออกครับ นี่ล่ะนักเลงนครปฐมจริงๆ เพราะท่านดุท้าตึก็ให้ตีต่อหน้า ท้ายิงก็ให้ยิงต่อหน้าครับ

    เหรียญหล่อรุ่น 1 พระครูสิทธิชัยวิศาล (หลวงพ่อลำเจียก) วัดศาลาตึก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยางนอก ,หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ และศึกษาวิชาทำหวายคาดเอวอาคมจาก หลวงพ่อเกลี้ยง วัดเขาใหญ่ อำเภอท่ามะกา กาญจนบุรี พบเจอที่ไหนควรเก็บครับ ขอแนะนำ
    [​IMG]

    เหรียญพระครูถาวรสังฆกิจ (หลวงพ่อภา ถาวโร) วัดสองห้อง อำเภอกำแพงแสน นครปฐม ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้องอีกท่านหนึ่ง เก่งมากทางคงกระพัน เหรียญนี้เป็นเหรียญรุ่นแรกของท่านครับ
    [​IMG]

    เอื้อเฟื้อภาพจาก

    http://images.google.co.th/imgres?i...%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A3)&gbv=2&hl=th&sa=G

    เนื้อเรื่องจาก
    http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/lofiversion/index.php?t995.html

    ใครอยากหาเหรียญของท่านองค์ไหนก็ต้องพึ่ง google ครับ ผมลองดูเห็นมีเยอะ ไม่แพงด้วย
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เข้ามาในกระทู้ได้อ่านบทความธรรมะ ข้อคิด ได้ตามล่าหาพระดี แล้วอย่าลืมทำบุญทำกุศลให้ตนเองด้วยการบริจาคช่วยรักษาสงฆ์ที่อาพาธตาม รพ.ต่างๆ ทั้งที่ รพ.สงฆ์ ใน กทม. และตาม รพ.ที่มีการรักษาสงฆ์อาพาธ ตามภูมิภาคต่างๆ ใหด้วยครับ โดยในเมื่อวานและวันนี้ ผมได้ดำเนินการโอนเงินบริจาคผ่านธนาคาร และส่งทางไปรษณีย์ธณาณัติไปเรียบร้อย พร้อมกับโทรศัพท์ไปแจ้งให้ผู้ที่มีหน้าที่รับเงินบริจาคในแต่ละ รพ. ได้ทราบด้วยแล้ว หลักฐานการโอนเงินทั้งทางธนาคาร และไปรษณีย์จะได้ทยอยแสกนมาลงให้ทราบครับ และก็เป็นที่น่ายินดีว่า ในช่วงหน้าร้อนนี้ แต่ละเขตพื้นที่มีพระเจ็บป่วยไม่ค่อยมาก เช่นที่ รพ.แม่สอด เหลือนอนพักรักษาตัวแค่ 1 องค์ ที่ อ.ปัว จ.น่าน ก็มีประมาณ 2-3 องค์ ที่ สงขลา ก็มีมารักษาตามอาการมาเช้า เย็นกลับ สาเหตุก็คือ ช่วงนี้งานบุญเยอะ พระไม่เจ็บหนักจริงๆ ก็ทนให้งานบุญในวัดตนเองลุล่วงไปก่อน คาดว่าเดือนหน้าอาจจะเยอะเหมือนเดิม อย่าลืมน๊ะครับ พระเครื่องเป็นของนอกกาย มีมากก็ติดยึดมาก แขวนแค่ 3 องค์ ก็พะรุงพะรังแล้วเดินไปไหนกรอบพระกระทบกันก็น่ารำคาญ แต่บุญกุศลทำเถอะครับ มองไม่เห็นนี่ล่ะ ข้ามภาพข้ามชาติไปกับเราทีเดียว ปะเหมาะ ได้ทำบุญทำกุศล กับพระอริยะขั้นโสดาบัน ล่ะก็ บุญท่วมหัวเลยครับ หยอดกระปุกวันละ 5 บาท 10 บาท หยอดทีนึง ก็ว่าพระคาถาปัจเจกฯ ของหลวงพ่อปานทีนึง เอาช่วงที่จิตใจสบายๆ หลังอาบน้ำดีที่สุด ตั้งจิตให้พร้อมให้ถึงพระรัตนตรัย เอาพระที่เรานับถือที่สุดเป็นพยาน อุทิศบุญให้พ่อแม่ฯ ถึงเดือนแคะออกมาบริจาคเข้าทุนนิธิฯ อธิษฐานรอบใหญ่อีกทีก่อนโอนเงิน นี่ล่ะตัวบุญที่แท้จริง จิตจะบันทึกความดีนี้ตามเราไป อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่า "บุญนี้ดุจดั่งอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยทีเดียว" อธิษฐานอยู่กับบ้านสบายๆ ดีกว่าอธิษฐานที่วัด คนจอแจ พลุกพล่าน กลิ่นธูป ควันเทียน แสบหูแสบตาไปหมด ไม่กล้าคิดถึงอารมณ์บุญจริงๆ ครับ...และหากเป็นไปได้ในวันอาทิตย์นี้ มาทำบุญที่ รพ. สงฆ์ด้วยกันในเวลา 7.30 น. นัดเจอกันที่โรงอาหารด้านขวามือของ รพ. มาถวายสังฆทานอาหารและโมทนาบุญกับพระที่อาพาธถึงเตียง นี่ล่ะพิจารณาสังขารได้เด็ดขาดนัก เกิด แก่ เจ็บ ตาย พิจารณาได้ ตัดได้ ไปโลดครับ ลืมไปเลย ทุคคติภูมิ...
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    จิตมนุษย์เหมือนคนบ้าหาบหิน
    (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)

    [​IMG]

    การฝึกสมาธิ รวมจิตรวมใจให้เข้ามาภายใน ธรรมดาจิตนี้ ดวงจิตดวงใจจริง ๆ ก็คือดวงจิตดวงใจดวงเดียวเท่านั้น คน ๆ หนึ่ง สัตว์ตัวหนึ่ง ไม่ว่าใคร มีจิตดวงเดียว จิตดวงเดียวนี่แหละ แต่ว่าความอยาก ความดิ้นรน กิเลสมันเยอะ เรียกว่ามีมาก โบราณท่านตัดออกไปจากอายตนะทั้งหลาย ว่ากิเลสนี้มีตั้งพันหน้า ตัณหาร้อยแปด ก็คือว่ามันเยอะแยะ คิดมากไปเท่าไหร่ กิเลสมันก็มากไปตามความคิด
    พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า จงรวมจิตใจเข้ามา ถ้ารวมจิตใจเข้ามา จิตมันก็มีดวงเดียว จิตดวงเดียวเป็นผู้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ ในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เปรตโลก ยมโลก ไม่ว่าโลกใดก็ตาม จิตดวงเดียวเป็นผู้หลง เป็นผู้ไป เมื่อเกิดในภพใด ๆ ตั้งอยู่ภพใด ๆ ก็ไปยึดถือว่า ตัวเองอยู่ในภพนั้น ๆ จิตดวงเดียว เมื่อเรารวมเข้ามาแล้ว รักษาได้ง่าย เพราะมันเป็นของอันเดียว
    ที่นี้ถ้าเราคิดมากไป ปรุงแต่งมากไป ตามอำนาจของกิเลสตัณหาในจิตใจนั้น ก็เลยมากเรื่องมากราวไป พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จิตนี้เป็นใหญ่ เป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยดวงจิต เมื่อจิตจะเอาอะไร จะทำอะไร จะพูดอะไร จะทำบุญทำบาป ก็สำเร็จด้วยดวงจิตดวงใจทั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าบำเพ็ญโพธิญาณมาสำเร็จได้ ก็เพราะดวงจิตดวงใจทั้งนั้น พากาย พาวาจา ให้ประพฤติดีทำดี ก็คือจิตดวงนี้แหละ
    ดวงจิตดวงนี้นั้น ไม่ใช่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ มันมีอยู่ เราทุกคนย่อมรู้ว่า ในตัวเรานี้แหละ ในใจเรามีความคิดนึกปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ความอยากทั้งหลาย ท่านให้ชื่อว่า ตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็คือความดิ้นรน วุ่นวาย กระสับกระส่ายในจิตไปเท่าไรก็ติดเข้าไปเท่านั้น เมื่อจิตไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในดวงจิตดวงใจแล้ว จิตนั้นเองเป็นผู้แส่ส่ายไปรับเอาเรื่องต่าง ๆ มาคิด มานึก มาปรุง มาแต่ง ทั้ง ๆ ที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ไม่ต้องไปเก็บเอาอะไรมาอีก เท่าที่มันมีอยู่นี้มันก็หนักพอแรงแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนัก แล้วยังจะไปเก็บเอาเรื่องราวอารมณ์ภายนอกเข้ามา ให้มันยุ่งเหยิง มันก็ยิ่งหนักยิ่งหน่วงเข้าไป เหมือนกับว่าเราหาบ เราแบกเต็มแรงแล้ว แต่ยังไม่พอ เก็บเข้ามาใส่อีก จิตใจที่ไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ภายในนี้ ท่านว่าเหมือนคนบ้าหาบหิน


    นิทานคนบ้าหาบหินนั้นมีอยู่ว่า บ้านั้นท่านว่าบ้า ๑๐๘ บ้า ๓๒ บ้า นับไม่ได้ มีบ้าชนิดหนึ่ง ไม่โหดร้ายประการใด ได้บุง ได้ตาด ได้อะไรมาก็หาบไป เมื่อเห็นไม้ เห็นก้อนหิน เม็ดกรวดอะไรก็ตาม เก็บใส่ข้างหน้าข้างหลัง แล้วก็หาบเรื่อยไป ไม่ว่าเห็นอะไรอยู่ข้างถนนหนทางก็เก็บมาใส่ทั้งนั้น เรียกว่าเก็บก้อนหิน ของหนักมาใส่ หาบไป จนกระทั่งหาบไปไม่ได้ ก็เก็บออก เก็บออกพอเบาไปได้ก็หาบไปอย่างนั้นแหละ
    เขาให้ชื่อว่าคนบ้า คนบ้าชนิดนั้นไม่มีเรื่องราวกับใคร แต่มีเรื่องราวกับหิน เห็นของหนักแล้วก็เอามาใส่ เจ้าของก็หาบไป เมื่อหาบไป มันก็เบา ก็เก็บมาใส่ใหม่ เห็นของใหม่ก็เก็บใส่ใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน แก่ทำมาอย่างนั้น นี้เรียกว่าเป็นนิทานอันหนึ่ง
    นิทานคนบ้าหาบหินนี้ เปรียบอุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา ไม่ภาวนา ไม่สงบ ก็ไม่สละออกไปจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เก็บเข้ามา ตาเห็นรูป ก็เก็บเอามาไว้ มาคิด มานึก มาปรุงแต่งในทางที่จะยึดเอาถือเอาเหมือนคนบ้าหาบหิน รูปดีก็อยากได้ ดิ้นรนวุ่นวาย รูปสวย รูปงาม ไม่ว่ารูปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม รูปคน... เมื่อเห็นว่ารูปดี ก็อยากได้ ปรารถนา ดิ้นรนไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา
    ที่นี้ ในขณะที่รูปไม่ดี รูปน่าเกลียดน่ากลัว รูปน่าชัง ก็เก็บเข้ามาอีก ไปเกลียด ไปกลัว ไปชัง พาให้จิตใจไม่เป็นสมาธิภาวนา คือเป็นธรรมดาของจิตไม่สงบ ไม่มีภาวนาพุทโธอยู่ในดวงใจ เมื่อตาเห็นรูปในส่วนที่ดีก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง ในส่วนที่ไม่ดี ก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง วุ่นวายอย่างนั้นแหละ เหมือนกับว่าคนบ้าหาบหิน
    นอกจากตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง ก็คอยเก็บเข้ามา นอกจากเก็บเข้ามาแล้ว ตัวเองก็ชอบพูดชอบกล่าวแต่ในสิ่งที่ไม่นั้นแหละ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ธรรมะคำสั่งสอนมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ท่องบ่นสาธยาย เอามาจดมาจำ แต่คำดุคำด่า ว่าร้ายป้ายสีให้แก่กัน วันนี้ชอบเอามาคิด เอามานึก แม้สิ่งนั้นจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม จำไว้ ไม่ให้ลืม เขียนไว้ไม่ให้ลืม เป็นอย่างนี้มาตลอดกัป ตลอดกัลป์ ตลอดภพ ตลอดชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย มันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักปล่อยวาง
    ทางสมาธิภาวนา ธรรมะธัมโม คำสอนในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ตั้งอกตั้งใจบริกรรมภาวนา คนอื่นผู้อื่นไม่สำคัญเท่าใจของเราเอง ใจของเรานี้แหละ ควรภาวนานึกน้อมอยู่ในตัว ในใจ อย่าได้ประมาท ไม่ต้องไปหาบไปหิ้วเอาเรื่องของคนอื่น ผู้อื่น


    สัตว์โลกทั้งหลายนั้นมีอยู่มากมาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อะนันตังอัปปะริมาณัง” อนันตัง แปลว่า จะนับก็ไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แม้มนุษย์โลก สัตว์โลกทั้งหลายยังนับอ่านไม่ได้ ลองคิดดูว่า สัตว์เดรัจฉานในน้ำ บนบก ในอากาศนั้นมีมากมาย เต็มไปด้วยสัตว์ทั้งหลาย นับได้เมื่อไร ไม่มีใครนับได้ ในพื้นแผ่นดิน ก็เต็มอยู่ในแผ่นดิน พวกมด พวกปลวก พวกแมลงเล็ก ๆ น้อย ๆ จนสมมติให้ชื่อมันไม่ได้ มันมากมาย ที่มันเกิดมาได้แล้วก็มี ส่วนที่มันยังเกิดไม่ได้ เหลือแต่ดวงจิตดวงวิญญาณอยู่ ก็เรียกว่าแน่นโลกอยู่ก็ว่าได้
    ดวงจิตดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายนี้ เรียกว่าเต็มโลก หรือภาษาโบราณท่านว่า ดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกนั้นมันเต็มโลก เหมือนเอาข้าวสารยัดใส่ไห ข้าวสารในไห ในหม้อ ในตุ่ม เต็มไปอย่างนั้นแหละ แน่นอยู่ในไห ในถุงอย่างไร ดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกก็เต็มอยู่อย่างนั้น ไม่หมด ไม่สิ้น
    บางคนก็มาเห็นว่า มนุษย์โลกในยุคนี้สมัยนี้มันมากมาย จนรัฐบาลแต่ละประเทศเลี้ยงไม่ไหว ต้องมีการคุมกำเนิดไม่ให้มันเกิด ถ้ามันเกิดมาแล้วก็จะมากมายหลายอย่าง แต่ละบุคคล ๆ เลยมีการคุมกำเนิดไม่ให้มันเกิด มันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตามที แต่ว่าดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกทั้งหลายนั้น มันเกิดอยู่อย่างนั้นแหละ มันมีอยู่แล้ว ที่คุมกำเนิดก็คุมได้แต่ในรูปขันธ์ คือไม่ให้มันมีรูปขึ้นมา แต่ว่าในจิตในใจนั้นมันคุมไม่ได้ มันเกิดก่อนผู้ควบคุมด้วย มันเกิดมาตั้งแต่อเนกชาติ นับภพ นับชาติ นับกัป นับกัลป์ นับตั้งฟ้าตั้งแผ่นดินไม่ได้แล้ว ดวงจิตดวงใจอันนี้ มันจึงเป็นดวงจิตที่เรียกว่า หลงใหลอยู่ในโลกมานมนาน เป็นคนบ้าหาบหินมานานแล้ว จนนับไม่ถ้วน
    แม้แต่พระศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ได้มาตรัสรู้ในโลก พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็รู้ว่าสัตว์โลกทั้งหลายมันมากมายเหลือที่จะพรรณนา พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ๆ มาโปรด มาเทศน์ มาสั่งสอนเอาก็ได้ แต่มันก็ไม่หมดไม่สิ้นไปได้ นับเป็นอสงไขย ๆ ที่สัตว์มาพ้นทุกข์ไปสู่นิพพานตามพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ แต่ถึงกระนั้น สัตว์โลกก็ไม่มีทางจะหมด จะสิ้นได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจของสัตว์โลกยังมีความหลงอยู่
    เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจึงให้มีความสังวรระวัง ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าให้ใจไปเก็บเอาอารมณ์เรื่องราวภายนอกที่ไม่มีที่จบที่สิ้น ให้รู้จักปล่อยวาง ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่นเหม็นหอมอะไร ก็อย่าไปยึดไปถือเอา ถ้าจิตหลงไปยึดไปถือแล้ว เป็นทุกข์ในใจ เป็นทุกข์ในโลก ไม่มีที่จบที่สิ้น
    ในเมื่อเวลากลิ่นสัมผัสในจมูก รสสัมผัสในลิ้น เรื่องรสอาหารการกินนี้เป็นตัวสำคัญอันหนึ่ง เพราะว่าชีวิตของสัตว์ทั้งหลายนั้นตั้งอยู่ได้เพราะมีอาหาร ที่มันเกิดขึ้นมามีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีการบริโภคอาหาร ถ้าสัตว์ทั้งหลายไม่มีอาหารกิน รูปขันธ์ก็ตั้งอยู่ไม่ได้
    รสอาหารนี้แหละ เป็นเหตุการณ์อันใหญ่ยิ่ง เพราะว่าจิตนั้นไม่อยู่ในสมาธิภาวนา ไม่มีอารมณ์ใจสงบระงับ ก็ย่อมดิ้นรนวุ่นวายไปตามอาหารการกิน สิ่งที่ล่วงมาแล้ว เคยกินเคยบริโภคอย่างใด จิตอันนี้ก็ไปยึดไปถือเอา เรียกว่าเหมือนกับคนบ้าหาบหิน มันก็หาบเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่ยอมให้ผ่านไป มันเก็บเอามาคิดนึกอีก และก็คิดไปข้างหน้า หลงอยู่ในรสอาหารการกิน หารู้ไม่ว่ารสอาหารการกินนั้น มันเป็นเพียงการมาประทังรักษารูปขันธ์ให้เป็นอยู่เท่านั้น เมื่อรูปขันธ์เป็นอยู่แล้ว เราก็จะได้เจริญสมถะกรรมฐานทำให้ใจสงบระงับ ไม่ปล่อยปละละเลยให้จิตใจไปวุ่นวายแต่เรื่องภายนอก ยังดวงจิตดวงใจให้สงบตั้งมั่นอยู่ภายในดวงใจนี้ จะได้รวมจิตรวมใจเข้ามาภายในไม่ให้วุ่นวายไปตามเรื่องภายนอก
    ส่วนร่างกาย ก็มีสิ่งที่มาสัมผัสถูกต้อง เย็นร้อนอ่อนแข็ง เจ็บไข้ได้ป่วย สบาย ไม่สบาย ให้ชื่อว่า โผฏฐัพพะ สิ่งที่มากระทบกระเทือนรูปกายนี้ ก็เป็นอารมณ์พาให้จิตใจคนเราอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ ภาวนาพุทโธอยู่ในดวงใจไม่ได้ เพราะมีความลุ่มหลงอยู่ในผิวหนังผิวกาย หรือในเครื่องสัมผัส ไม่ว่าจะมีอะไรอยากได้อะไร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ปกปิดร่างกายนั้น นอกจากจะกันความร้อนหนาว เหลือบยุงแล้ว ยังนุ่งห่มประดับประดาตกแต่งร่างกาย เอาดีเอางาม วิเศษวิโส ไม่มีที่จบสิ้น นั่นแหละท่านว่า มันไปหาบเอา ยึดเอา ถือเอา เป็นทุกข์ในใจเป็นทุกข์ในโลก เป็นทุกข์ในกายเป็นทุกข์ในจิต ดวงจิตมันก็เป็นทุกข์
    เมื่ออารมณ์ทั้งหลาย มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งที่มาถูกต้องกาย ไปเป็นอารมณ์อยู่ในจิต แต่มันไม่ใช่อารมณ์ภาวนาพุทโธ ไม่ใช่อารมณ์มรณกรรมฐาน แต่เป็นอารมณ์หลงใหลไปตามตา ตามรูป ตามหู ตามเสียง ตามจมูก ตามกลิ่น ตามลิ้น ตามรส ตามกาย ตามโผฏฐัพพะ มันหลงอยู่อย่างนี้


    จิตเมื่อมันได้ผ่านอายตนะทั้งหลาย มันก็ไปเป็นอารมณ์อยู่ในจิต ดับไม่ลง สงบไม่ได้ จิตอันนั้นก็เลยเห็นว่า ความคิด ความนึก ความฟุ้งซ่านรำคาญ ดิ้นรนวุ่นวายกระสับกระส่ายได้มากเท่าไร ก็ถือว่าเป็นความสุข แต่ความสุขอันเป็นทุกข์ มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา ถือเข้ามา ไม่รู้จักปล่อยจักวาง
    พระพุทธเจ้าท่านปล่อยวางจนหมด ไม่มีอะไรยึดไว้ถือไว้ในจิตในใจ ดวงจิตดวงใจของพระองค์ก็เรียกว่า ละกิเลสพร้อมทั้งวาสนาได้หมดสิ้น คือท่านไม่เป็นบ้าเป็นบอมายึดมาถือตามโลกอีกต่อไป พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย พระโสดา พระสกิทาคามี พระอนาคามี ท่านรู้จักปล่อยรู้จักวาง รู้จักตัวเองว่า ลุ่มหลงมาแล้วในโลกนี้จนนับไม่ถ้วน
    เมื่อมาถึงปัจจุบันชาตินี้ ท่านก็ปล่อยวาง ท่านไม่หาบต่อไปอีก ปลงไว้ วางไว้ ตามหน้าที่ของเขา แล้วก็กำหนดพิจารณาให้เห็นแจ้งอยู่ภายในจิตใจของท่าน ไม่ใช่ท่านขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปัญญาไม่ได้ ท่านมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีวิชาความรู้ ท่านเห็นว่าจิตใจของท่านได้หาบ ได้แบก ได้หาม วุ่นวายมานานแล้ว ปลงเสียที วางเสียที เรียกว่าปลงตก
    ปลงตก คือพิจารณาเห็นแจ้งว่าไม่ดี ไม่วิเศษวิโสอะไร ท่านก็ปลง ละออก ปล่อยออก วางออก ให้หมดสิ้น ไปจากจิต สิ่งใดที่ท่านเคยอิจฉาพยาบาทโกรธแค้นให้แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ท่านก็ปล่อยวางออกไป ไม่อิจฉา พยาบาทใครอีกต่อไป
    มีความเพ่งเล็งให้แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มีความสุขกาย สบายใจ อย่าได้เดือดร้อนวุ่นวาย ใครมีความสุขอย่างไร ก็ให้มีความสุขอย่างนั้นให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป พระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้าทั้งหลาย เรียกว่าท่านมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกไม่ซ้ำเติม ไม่เก็บเอามายุ่งในจิตใจด้วย
    คนเราที่ใจไม่สงบ ก็เพราะว่าไปคอยยึด ไปคอยถืออยู่ หาบอยู่ เหมือนคนบ้าหาบหิน ไม่รู้จักปล่อยวาง ความจริงแล้ว เราจะไปปล่อยวางให้คนอื่น ไปว่าดีให้คนอื่นก็เท่านั้น ไปว่าชั่วเสียหายให้คนอื่น ก็เท่านั้น


    หน้าที่ของผู้ปฏิบัติธรรมภาวนาในทางพุทธศาสนานั้น ท่านทำจิตทำใจของท่านให้มีความสงบตั้งมั่น มั่นคงอยู่ในบริกรรมภาวนา ในดวงจิตดวงใจของท่านทุก ๆ ท่าน ทุกองค์ เมื่อยังไม่พ้น ก็เพียรพยายามเพื่อให้หลุดให้พ้น
    เมื่อพ้นไปแล้ว หลุดไปแล้ว ท่านก็มีความเมตตาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ท่านก็มีความเมตตาแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ไม่มีการซ้ำเติมบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่มีความทุกข์กายทุกข์ใจ แล้วก็ไปซ้ำเติมให้มันมีความทุกข์หนักขึ้นไปอีกไม่เอา ท่านมีวิธีสั่งสอน แนะนำให้พุทธบริษัทมีภิกษุ สามเณร สามเณรี ผ้าขาว นางชี ฤาษี ตั้งอกตั้งใจ ภาวนาทำความเพียรละกิเลส
    การละกิเลสจะหมดจะสิ้นไปได้นั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าสงบอยู่เท่านั้น ยังไม่พอ จะต้องกำหนดพิจารณาให้เห็นแจ้งด้วยญาณ ด้วยปัญญาตาใจว่า รูปนาม กาย ใจ ตัวตนคนเรานี้แหละ ไม่มีอะไรจะเที่ยงแท้แน่นอน ยั่งยืน จะให้เป็นไปตามความรักความปรารถนาทุกอย่าง ทุกประการนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ารูปขันธ์ อันเป็นตัวเป็นก้อนอันนี้ก็ตาม นามขันธ์ ได้แก่ดวงจิตดวงใจคิดนึกปรุงแต่ง อะไรต่อมิอะไร มีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา




    ท่านมาฝึกฝนอบรม สั่งสอนพุทธบริษัทให้รู้จักทำความสงบ ระงับ ให้รู้จักปล่อยวาง ไม่ให้ยึดถือ แม้จะมีอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในเวลาเรานั่งอยู่ เมื่อลุกจากที่นั่งไป ท่านก็สอนว่า อย่าเก็บเอาอารมณ์เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นในเวลานั่งนั้นติดตามไปด้วย
    ถ้าทำได้อย่างนี้ อารมณ์ภาวนาก็สบาย ไม่ไปเก็บเอาสิ่งที่เขาด่า เขาว่าดีชั่วให้ เมื่อลุกจากที่นั่งไปแล้ว ก็ไม่เก็บไปด้วย ในใจก็สบาย กายก็สบาย หูก็สบาย เพราะไม่ไปเก็บเอาอะไรต่อไปอีก หรือเขาติเตียนนินทา ว่าร้ายป้ายสีในเวลาที่เราอยู่ในน้ำ ถ้าเราขึ้นจากน้ำแล้วก็อย่าเก็บมา ทิ้งไว้ในน้ำนั้น
    นี่คือนโยบายสอนผู้ปฏิบัติธรรมะ อย่าไปเก็บเอามา อย่าไปเอามาหาบ มายึด มาถือ ถ้าเอามายึดมาถือไว้แล้ว ไม่มีที่จบที่สิ้น ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วไม่มีที่จบ ไม่มีที่สิ้น ถ้าใครต่อเติมส่งเสริมมากเท่าไหร่ ก็ไปมากเท่านั้น เลยไม่จบไม่สิ้น ทำไมมันจึงไม่จบไม่สิ้น ก็เพราะว่ามันวน ๆ อยู่ในอาการอันเก่า


    ทั้งโลกนี้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในอายตนะภายใน อายตนะภายนอก มันกระทบกระเทือนอยู่อย่างนี้มันจะจบสิ้นที่ไหน มันวนอยู่ในอาการอันเก่า ท่านว่าเหมือนมดมันไต่ขอบด้ง ขอบหม้อ ขอบไห มันไต่เท่าไร ๆ มันจะมีที่สิ้นสุดที่ไหนเพราะของมันกลม เรียกว่ามันไต่ไปตามความไม่รู้นั่นแหละ มันวนอยู่ในอาการอันเก่า แม้ความคิดนึกของคนเราว่าไปไกลที่สุดแล้วนั้น มันก็ไกลโดยความวนอยู่ในอาการอันเก่า
    พระพุทธเจ้าจึงสอน ไม่ให้วนเวียนมาในโลกนี้อีก ต่อไปสงบจิตสงบใจ ตั้งใจให้มั่นในดวงจิตดวงใจ ให้จิตใจดวงนั้นมีปัญญาพิจารณา ที่มีความเกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย เขาต้องเป็นไปอย่างนี้ แม้จิตใจของผู้มาอาศัยอยู่ในรูปขันธ์ คือขันธ์อันนี้ ดัวอันนี้ มิใช่ว่าจะได้ดังความปรารถนาทุกอย่างทุกประการ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ารูปขันธ์นี้ มีความแก่ความชรา มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความแตกดับเป็นธรรมดา
    จิตใจดวงที่ภาวนาพุทโธต่างหาก อยู่ที่ใดตั้งอกตั้งใจ ไม่ให้ใจของตนออกไปรับเอาเรื่องราวภายนอก สิ่งใดอยู่ภายนอกก็ให้ทิ้งไว้ นอกนั้นเรื่องราวอะไรที่มันเข้ามายุ่งในจิตในใจ ก็เพียรละในใจ ตั้งอกตั้งใจบริกรรม ภาวนาพุทโธรวมจิตใจเข้าไปภายในใจของตนเอง เพียรพยายามอยู่ในหัวใจของตนให้ได้ตลอดเวลา นั่งที่ไหนก็ภาวนาในที่นั้น ยืนอยู่ที่ไหนก็ภาวนาที่นั้น จะเดินไปมาที่ไหนก็ภาวนารวมจิตรวมใจให้สงบตั้งมั่น จนเกิดความรู้ ความฉลาด ความสามารถอาจหาญ ตัดบ่วงห่วงอาลัย กิเลสในหัวใจของตัวให้หมดไป สิ้นไป ไม่ใช่เพียงแต่ว่า ความอยากได้ อยากดี อยากเป็น อยากมีไปตามอำนาจกิเลส อันนี้ไม่มีที่จบที่สิ้น ดิ้นรนไปตามความหลง
    ความรู้แจ้งเห็นจริง ก็ต้องมารู้ที่กายที่จิต ที่ตัวเรานี้เอง ว่าร่างกายสังขารของแต่ละบุคคล มีขาสอง แขนสอง ศรีษะหนึ่ง มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ มีใจครองอยู่ในร่างกาย ตัวตนนี้ คนละดวงใจ ก็ให้เพียรพยายามรักษา เอาดวงใจดวงเดียวนี้ให้ได้ อย่าได้ขาดสติ อย่าได้ขาดสมาธิ อย่าได้ขาดปัญญา จงเก็บเข้ามาไว้ในหัวใจ อย่าส่งใจออกไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายนอก
    จงมีความสงบจิตสงบใจ มีความตั้งมั่นอยู่ในหัวใจของตนอย่างเดียว สิ่งอื่นใดนอกจากจิตใจดวงที่รู้อยู่ภายในนี้ ออกไปทั้งหมด อนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ขึ้นชื่อว่าเป็นสังขารทั้งหลาย จะเป็นสังขารอันเป็นรูป สังขารอันเป็นนามธรรมก็ตาม ย่อมมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ปั่นป่วนอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้
    ผู้ปฏิบัติธรรมะในทางพุทธศาสนา จงพากันรวมจิตรวมใจสงบตั้งมั่นอยู่ในดวงใจ จนเห็นว่า สิ่งอื่นใดนอกจากจิตใจที่มีความสงบตั้งมั่นนี้ออกไปทั้งหมด อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในความสุขทุกข์ ความเป็น ความมี อันมีอยู่ในกายและจิตนี้
    จงทำความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมะปฏิบัติ อันเป็นปัจจุบันธรรมในที่นั้น ๆ สิ่งใดที่เป็นอารมณ์เรื่องราวอดีต มันก็ล่วงมาแล้ว เรื่องอนาคตมันก็ยังไม่มาถึง มันเป็นเรื่องภายนอกจากกายจากจิตออกไป จิตอย่าหวั่นไหวสั่นสะเทือน
    จงเป็นผู้มีสติอยู่ทุกเวลา มีสมาธิอยู่ทุกเวลา มีสติปัญญา อยู่ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกเวลา อย่าได้ประมาท มัวเมา รั่วไหลไปที่อื่น จิตใจมีอยู่ภายใน ภายในตัวของบุคคลเราทุก ๆ คน ใจคนอื่น ผู้อื่น เขารักษาภาวนา ใจของเรามีอยู่ภายใน
    เราต้องรักษาภาวนา อย่าได้ประมาท ผู้ไม่ประมาท ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ผู้ประมาทเรียกว่าเป็นไปเพื่อความเสื่อม ความเสีย ไม่กำหนดภาวนา ขาดสติขาดสมาธิขาดปัญญา ขาดความรู้ความฉลาด ขาดความสามารถอาจหาญ จิตใจเลื่อนลอยฟุ้งซ่าน ไม่ตั้งมั่นอยู่ในดวงใจ
    จงเป็นผู้โอปนยิโก น้อมเข้าสู่หลักปัจจุบัน เวลานี้ เดี๋ยวนี้ให้ได้ เมื่อเรามาภาวนาอยู่ในตัวในใจนี้ ได้ทุกขณะทุกเวลา อยู่ในหัวใจนี้แหละ จะเป็นไปเพื่อความเจริญงอกงามในทางพุทธศาสนา




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.krusiam.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...