ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE class=attachtable cellSpacing=0 cellPadding=2 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle colSpan=2>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR>วจนกฺขโม = อดทนต่อถ้อยคำล่วงเกิน


    เมื่อใดที่เราเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี...

    เราจะลดและบรรเทากรรมเวรที่ต้องตอบโต้กับผู้กล่าววาจาร้ายใส่เราได้

    เป็นการฝึก ขันติ(อดกลั้น) ทมะ(ข่มใจ) รวมไปถึงอภัยทาน(ทานที่ทำได้ยากเมื่อทำได้จะตัดเวรตัดกรรม) แก่ผู้ที่มาทำร้ายทางวาจา

    บางท่าน ใครพูดทับถม หรือเสียดสีเล็กๆน้อยๆ ก็ร้อนใจ นอนไม่หลับ กินไม่ลง สายตาระทม ผิวพรรณหม่นหมองเพราะแรงฟุ้ง เป็นกิเลสอย่างหนึ่งทำให้คิดหมุนวน

    นี่เป็นผลของการเก็บเอาคำพูดของคนอื่นมาทิ่มแทง
    ใครล่ะที่ยินดีเก็บคำพูดของคนอื่นไว้ ถ้าไม่ใช่ใจท่านเอง

    บางท่าน โดนด่า โดนพูดเสียด ตั้งแต่เดือนก่อน แต่เก็บเอาคำพูดมาแทงตัวเองทุกๆวัน
    รู้หรือไม่ ว่าคนที่ด่าท่าน เขาลืมไปนานแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่ลืม และใช้ใจตัวเองหมักหมมถ้อยคำไร้สาระเก็บไว้ไม่ยอมสลัดทิ้ง

    ท่านห้ามพระอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ท่านคงสามารถห้ามคนนินทาได้

    ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำกล่าวโทษ เพ่งโทษ

    ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำเสียดสี เหน็บแนม

    ธรรมดา..ที่ต้องเกิดมาเจอถ้อยคำด่าทอ ผรุสวาท

    แต่อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งสมมุติ ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ในที่สุด

    ถ้อยคำล่วงเกินต่างๆ มันได้"ดับ"ไปนานแล้วตั้งแต่ที่คนๆนั้นเขาพูดเสร็จ
    แต่ท่านเอง กลับทำให้ถ้อยคำเหล่านั้น "เกิดใหม่"ทุกๆวัน ด้วยการเก็บเอามาคิดแค้นใจ น้อยใจ เสียใจ ไม่หยุดหย่อน



    ข้อความจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    “......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะอันภิกษุพึงละด้วยความอดกลั้น.... คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด ย่อมเป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ คำเสียดสี... อดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกาย.... เมื่อเธออดทนอยู่ อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและความเร่าร้อนย่อมไม่มีแก่เธอ...."

    พระพุทธองค์ท่านก็ยังกล่าวถึงการอดทนต่อถ้อยคำต่างๆที่มากระทบเรา หากอดทนได้ ก็เป็นปัจจัยในการปล่อยวางต่อกิเลสเครื่องร้อยรัดดวงจิตของเราได้



    ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ
    กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑
    กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑
    กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑
    มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
    จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
    จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม
    จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม
    จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน
    เราจักไม่เปล่งวาจาลามก
    เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์
    เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น
    และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”


    หากท่านกำลังฝึกปล่อยวาง ลองสำรวจดูอีกสักหน่อย ว่าได้ปล่อยวางคำพูดของผู้อื่นแล้วหรือยัง

    พึงจดจำข้อความที่ให้กำลังใจท่านในการอดทนต่อคำพูดของคนอื่น
    "อดทนต่อคำที่ล่วงเกินได้ ประเสริฐยิ่ง"

    เมื่ออดทนได้แล้ว ให้ใช้เมตตาลบล้างอำนาจโทสะในใจท่าน การไม่สบายใจในคำพูดของคนอื่นก็เป็นโทสะอย่างหนึ่งที่ท่านเก็บฝังไว้
    จงระงับโทสะจิตด้วย
    1.เมตตาต่อคนที่ด่าเรา(สงสาร)
    2.กรุณาต่อคนที่ด่าว่าเราด้วยการไม่ตอบโต้
    3.มุทิตา ยินดีที่ได้ชดใช้กรรมให้เขาด่า (เพราะในอดีตเราต้องเคยทำกรรมกับเขาไว้ เขาจึงตามมาด่า-ทุกอย่างมีเหตุปัจจัย)
    4.อุเบกขา เห็นถึงความไม่เที่ยงของคำพูด มีเกิดมีดับ


    ชีวิตนี้น้อยนัก สั้นนัก คนเราได้เวลามาเท่ากัน คือ 1นาทีก็มี60วินาที เท่ากัน อยู่ที่ใครจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงมากกว่ากัน

    ดังนั้นอย่าเสียเวลากับการคิดหมุนวนในคำพูดของคนอื่นเลย....
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ความรักความเมตตา

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    เมื่อไม่นานมานี้ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีนิสิตกลุ่มหนึ่งทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องความรักความเมตตา ซึ่งต้องการจะทราบว่า ความรักมีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ได้หรือไม่

    โดยทำการทดลองแบบนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาจารย์ ผู้หนึ่งในจุฬาฯ ควบคุมการทดลองดังกล่าว นิสิตกลุ่มนั้นได้ทดลอง โดยการปลูกต้นดาวกระจาย 2 แปลง ในแปลงหนึ่ง นิสิตได้แผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้ ส่วนอีกแปลงหนึ่งปล่อยไว้ตามลำพัง เพื่อเป็นการเปรียบเทียบในการทดลอง ซึ่งต้นไม้ทั้ง 2 แปลงนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างเท่ากันหมด คือการให้น้ำ ให้ปุ๋ย อากาศ ทั้ง 2 แปลง

    หลังจากนั้นไม่นาน นิสิตได้วัดความสูงของต้นไม้แต่ละต้น และสังเกตความแตกต่างระหว่างต้นไม้ ทั้ง 2 แปลง ปรากฏว่าต้นในแปลงที่ได้รับการแผ่เมตตานั้น สูงกว่าอีกแปลงหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด และนอกจากนั้นแล้ว ต้นที่ได้รับความรักความเมตตามีดอกสวยงามทุกต้น ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับการเปรียบเทียบไม่มีดอกเลยสักต้นเดียว

    ดังนั้นนิสิตได้พิสูจน์ว่า ความรักความเมตตามีผลต่อสิ่งมีชีวิต ทำให้เจริญเติบโตงอกงามเร็วกว่า

    และอีกครั้งหนึ่ง มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ชื่ออาจารย์โยคะนันท์ กำลังเดินอยู่บนถนนสายหนึ่งในนครนิวยอร์ค ได้มีโจรผู้ร้าย 3 คน ชักปืนออกมาชี้ที่อาจารย์โยคะนันท์และบอกว่า เอาเงินมา อาจารย์โยคะนันท์จิตใจสงบ ยิ้ม ไม่วิตกกังวลอะไร


    ควักกระเป๋าและยื่นเงินให้กับโจรผู้ร้ายทั้ง 3 และพร้อมกันนั้น ก็แผ่เมตตาให้แก่โจร ผู้ร้าย ในใจคิดว่าขอให้ท่านทั้ง 3 จงมีความสุข โจรผู้ร้ายทั้ง 3 หยุดชะงัก และพูดออกมาว่า
    " พวกเราขอโทษด้วย แต่เราไม่สามารถที่จะเอาเงินของท่านได้ " แล้วหันหลังวิ่งหนีไป นี่คืออำนาจแห่งการเมตตา

    ความรักความเมตตา เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเราสามารถส่งออกไป และผู้อื่นสามารถจะรับได้ ความรักเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ เพราะสามารถให้ความสงบสุขแก่ผู้อื่นได้

    ความรักความเมตตา เป็นสิ่งที่จะทำลายความโกรธ ความเกลียด และเปลี่ยนศัตรูให้เป็นเพื่อนของเราได้ เมื่อเรานำความรักความเมตตามาอยู่ในจิตใจของเรา ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความโมโห ก็จะหายไปจากคน คนนั้น

    โลกของเรากำลังเข้าขั้นวิกฤติการณ์ มนุษย์มีชีวิตอยู่โดยกลัวซึ่งกันและกัน คอยระแวงซึ่งกันและกัน และพยายามสร้างอาวุธที่ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น เพื่อจะป้องกันตัวเอง มนุษย์เราพยายามที่จะปราบความชั่วร้าย โดยการทำสงคราม แต่ความชั่วร้ายนั้นก็ไม่หายไป แต่มนุษย์กลับพบสิ่งที่ชั่วร้ายมากขึ้น หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 มนุษย์ก็ยิ่งมีความสับสนวุ่นวายมากขึ้น มนุษย์ก็ยังไม่พบความสงบสุขที่เขาต้องการ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่ามนุษย์ได้ลืมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถจะช่วยเขาได้ นั่นก็คือความรักความเมตตา

    ความชั่วร้ายจะปราบด้วยสงครามมิได้ สงครามจะทำให้ความชั่วร้ายทวีมากขึ้น และกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ความรักความเมตตาเท่านั้นที่จะช่วยตัดความกลัว ความเกลียด และความชั่วร้ายในโลกนี้ได้


    โดยอาศัยความรักความเมตตา มนุษย์ก็จะสามารถเปลี่ยนโลกของเราเป็นสวรรค์ เป็นโลกซึ่งมีแต่ความสงบสุข…


    ++++++++++++++++++++++++
    คัดจาก...หนังสือ "แนวทางสู่ความสุข - บทเรียนแห่งชีวิต" โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2009
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]


    ตอนนี้มันมี 3 สีเฮ้อ....มันก็เลยเป็นสีดำตรงกลางคือเสียทั้งประเทศงัยล่ะ

    แต่ถ้ามันเป็นสีทองสีเดียวก็ดูเอา​

    [​IMG]

    พระพุทธรูปปางประทานพร

    EVERYTHINGS IS OK
     
  4. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านครับครอบครัวผมได้ใอนเงิน 500บาทร่วมทำบุญประจำเดือนเมษายน2552(11/04/52 เวลา15:47น.)
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle colSpan=3>
    วันมหาสงกรานต์ I ประเพณีการทำบุญในวันสงกรานต์ I ความสำคัญของวันสงกรานต์

    [​IMG]

    [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=640>ประวัติความเป็นมา
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640>
    "สงกรานต์" เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า "ผ่าน" หรือ "เคลื่อนย้ายเข้าไป" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงสงกรานต์หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่น ๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง
    โหรโบราณ ได้แบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ส่วน ส่วนหนึ่ง ๆ เรียกว่าราศี ซึ่งมีราศีละ 30 องศา รวม 12 ราศี ก็เท่ากับ 360 องศาครบรอบวงกลมพอดี ตามตัวอย่างข้างล่างนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=320>ราศีเมษ</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 13 เมษายน-13 พฤษภาคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีพฤษภ</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีเมถุน</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน -14 กรกฎาคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีกรกฎ</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีสิงห์</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 17สิงหาคม -16 กันยายน</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีกันย์</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 17 กันยายน - 16 ตุลาคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีตุล</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม - 16 พฤศจิกายน</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีพิจิก</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีธนู</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม - 15 มกราคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีมังกร</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 16 มกราคม - 12 กุมภาพันธ์</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีกุมภ์</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ - 13 มีนาคม</TD></TR><TR><TD align=middle width=320>ราศีมีน</TD><TD width=320>เกิดระหว่างวันที่ 14 มีนาคม - 12 เมษายน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=640> ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ
    แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็นเดือนแรกของปี สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจากหากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง
    และได้มีการใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่ของไทยแต่นั้นเรื่อยมาแม้ว่าในปีต่อไปจะไม่ตรงกับวันสงกรานต์ (หมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีน ไปสู่ราศีเมษ) ทั้งนี้เพื่อให้มีการกำหนดวันทางสุริยคติที่แน่นอนตายตัวลงไป
    ต่อมาในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 คณะรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ได้ประกาศให้ใช้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ เป็นสากลทั่วโลกและใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นเรายังถือเอาวันที่ 14 เมษายนเป็นวันครอบครัว อีกด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=640>วันมหาสงกรานต์
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640> เมื่อถึงเดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายนของทุก ๆ ปีเราเรียกวันนี้ว่า " วันสงกรานต์ " ประเพณีไทยเดิมถือว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ธรรมเนียมไทยเราก็จะมีการเล่นรื่นเริง มีการรดน้ำดำหัว
    [​IMG] โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ จะสนุกกันเต็มที่เล่นสาดน้ำกันโดยไม่ถือเนื้อถือตัวเลย ในชนบทหลายแห่ง
    มีการเล่นพื้นเมืองต่าง ๆ กัน
    อนึ่งวันนี้บางแห่งจะเริ่มจากวันที่ ๑๓ เมษายน
    และมีการเล่นสนุกสนานไปราว ๆ๑ สัปดาห์ หรือกว่านั้น
    แต่ไม่เกิน ๒ สัปดาห์ ระยะนี้จะมีการนำน้ำหอมเสื้อผ้าอาภรณ์ไปรดน้ำผู้ใหญ่
    ญาติพี่น้องที่เคารพนับถือและทางศาสนาก็จัดให้มีการบายศรีพระสงฆ์สมภารเจ้าวัด
    สรงน้ำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เท่าที่มีตามวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=640>ประวัติวันสงกรานต์
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640> กำเนิดวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าสืบ ๆ กันมา น่าจดจำไว้ดังข้อความจารึกวัดเชตุพน ฯ ได้กล่าวไว้ประดับความรู้ของสาธุชนทั้งหลายดังต่อไปนี้
    “ ….เมื่อต้นภัทรกัลป์ มีเศรษฐีคนหนึ่ง มั่งมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้นักเลงสุรา นักเลงสุรานั้นมีบุตร ๒ คน ผิวเนื้อดุจทอง วันหนึ่งนักเลงสุราเข้าไปในบ้านของเศรษฐี แล้วด่าเศรษฐี ด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ เศรษฐีได้ฟังจึงถามว่า พวกเจ้ามาพูดหยาบคายดูหมิ่นเราผู้เป็นเศรษฐีเพราะ เหตุใด พวกนักเลงสุราจึงตอบว่า ท่านมีสมบัติมากมายแต่หามีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไปสมบัติก็จะ อันตรธานไปหมด หาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะขาดทายาทผู้ปกครอง ข้าพเจ้ามีบุตรถึง ๒ คน และ รูปร่างงดงามเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงดีกว่าท่าน เศรษฐีครั้นได้ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงมีความละอายต่อนักเลง สุรายิ่งนัก จึงนึกใคร่อยากได้บุตรบ้าง จึงทำการบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อขอให้มีบุตร อยู่ถึง ๓ ปี ก็มิได้มีบุตรสมดังปรารถนา
    เมื่อขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจันทรืมิได้ดังปรารถนาแล้วอยู่มาวันหนึ่งถึงฤดูคิมหันต์ จิตรมาส ( เดือน ๕ ) โลกสมมุติว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ คือ พระอาทิตย์ยกจากราศีมีนประเวสสู่ราศีเมษ คนทั้งหลายพากันเล่นนักขัตฤกษ์เป็นการรื่นเริงขึ้นปีใหม่ทั่วชมพูทวีป ขณะนั้นเศรษฐีจึงพาข้าทาสบริวาร ไปยังต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำอันเป็นที่อยู่แห่งปักษีชาติทั้งหลาย เอาข้าวสารซาวน้ำ ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชา รุกขพระไทรพร้อมด้วยสูปพยัญชนะอันประณีต และประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่าง ๆ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอบุตรจากรุกขพระไทร รุกขพระไทรมีความกรุณา เหาะไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้กับเศรษฐี
    พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตร ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ บิดามารดาขนานนามว่า ธรรมบาลกุมาร แล้วจึงปลูกปราสาทขึ้น ให้กุมารอยู่ใต้ต้นไทรริมสระฝั่งแม่น้ำนั้น ครั้นกุมารเจริญขึ้น ก็รู้ภาษานกแล้วเรียนจบไตรเพทเมื่ออายุได้ ๘ ขวบ และได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ ชาวชมพูทวีปทั้งปวงซึ่งขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหม และกบิลพรหมองค์หนึ่งได้แสดง มงคลการแก่มนุษย์ทั้งปวง
    เมื่อกบิลพรหมแจ้งเหตุที่ธรรมกุมารเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ชาวโลกทั้งหลาย จึงลงมาถามปัญหาแก่ธรรมกุมาร ๓ ข้อ ความว่า
    ๑) เวลาเช้า สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
    ๒) เวลาเที่ยง สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
    ๓) เวลาเย็น สิริราศีอยู่ที่ไหน
    และสัญญาว่า ถ้าท่านแก้ปัญหา ๓ ข้อนี้ได้เราจะตัดศีรษะเราบูชาท่าน ถ้าท่านแก้ไม่ได้ เราจะตัดศีรษะของท่านเสีย ธรรมกุมารรับสัญญา แต่ผลัดแก้ปัญหาไป ๗ วัน กบิลพรหมก็กลับไปยัง พรหมโลก
    ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัญหานั้นล่วงไปได้ ๖ วันแล้วยังไม่เห็นอุบายที่จะตอบปัญหาได้ จึงคิดว่าพรุ่งนี้แล้วสิหนอ เราจะต้องตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม เราหาต้องการไม่ จำจะหนีไป ซุกซ่อนตนเสียดีกว่า คิดแล้วลงจากปราสาทเที่ยวไปนอนที่ต้นตาล ๒ ต้น ซึ่งมีนกอินทรี ๒ ตนผัวเมีย ทำรังอยู่บนต้นตาลนั้น
    ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาลนั้น ได้ยินเสียงนางนกอินทรีถามผัวว่า พรุ่งนี้เรา จะไปหาอาหารที่ไหน นกอินทรีผู้ผัวตอบว่า พรุ่งนี้ครบ ๗ วันที่ท้าวกบิลพรหม ถามปัญหาแก่ธรรมบาล กุมาร แต่ธรรมบาลกุมารแก้ไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะเสียตามสัญญา เราทั้ง ๒ จะได้กินเนื้อมนุษย์ คือ ธรรมบาลกุมารเป็นอาหาร นางนกอินทรีจึงถามว่าท่านรู้ปัญหาหรือ ? ผู้ผัวตอบว่ารู้แล้วก็เล่าให้นาง นกอินทรีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายว่า
    ๑) เวลาเช้าราศีอยู่ที่ หน้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า
    ๒) เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่ อก คนทั้งหลายจึงเอาน้ำและแป้งกระแจะจันทร์ลูบไล้ที่อก
    ๓) เวลาเย็นราศีอยู่ที่ เท้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า
    ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินการสนทนาของทั้งสองก็จำได้ จึงมีความโสมนัส ปีติยินดีเป็นอันมาก แล้วจึงกลับมาสู่ปราสาทของตน
    ครั้นถึงวาระเป็นคำรบ ๗ ตามสัญญา ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาถามปัญหาทั้ง ๓ข้อตามที่นัด หมายกันไว้ ธรรมบาลกุมารก็วิสัชนาแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อตามที่ได้ฟังมาจากนกอินทรีนั้น ท้าวกบิลพรหม ยอมรับว่าถูกต้องและยอมแพ้แก่ธรรมบาลกุมาร และจำต้องตัดศีรษะของตนบูชาตามที่สัญญาไว้ แต่ก่อนที่ จะตัดศีรษะ ได้ตัดเรียกธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ คือ
    ๑. นางทุงษะเทวี
    ๒. นางรากษเทวี
    ๓. นางโคราคเทวี
    ๔. นางกิริณีเทวี
    ๕. นางมณฑาเทวี
    ๖. นางกิมิทาเทวี
    ๗. นางมโหธรเทวี
    อันโลกสมมุติว่าเป็นองค์มหาสงกรานต์ กับทั้งเทพบรรษัทมาพร้อมกัน แล้วจึงบอกเรื่องราว ให้ทราบและตรัสว่าพระเศียรของเรานี้ ถ้าตั้งไว้บนแผ่นดินก็จะเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลกธาตุ ถ้าจะโยนขึ้น ไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง เจ้าทั้ง ๗ จงเอาพานมารองรับเศียรของบิดาไว้เถิด ครั้นแล้วท้าวกบิลพรหม ก็ตัดพระเศียรแค่พระศอส่งให้นางทุงษะเทวีธิดาองค์ใหญ่ในขณะนั้น โลกธาตุก็เกิดโกลาหลอลเวงยิ่งนัก
    เมื่อนางทุงษะมหาสงกรานต์เอาพานรองรับพระเศียรของท้าวกบิลพรหมแล้วก็ให้เทพบรรษัท แห่ประทักษิณ เวียนรอบเขาพระสุเมรุราช ๖๐ นาทีแล้วจึงเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑป ณ ถ้ำคันธธุลี เขาไกรลาศ กระทำบูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระวิษณุกรรมเทพบุตรก็เนรมิตโลงแก้ว อันแล้วไปด้วย แก้ว ๗ ประการ ชื่อภัควดีให้เทพธิดาและนางฟ้าแล้ว เทพยดาทั้งหลายก็นำมาซึ่งเถาฉมุนาตลงล้างน้ำ ในสระอโนดาต ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทั่วทุกๆ พระองค์ ครั้นได้วาระกำหนดครบ ๓๖๕ วัน โลกสมมุติว่าปีหนึ่งเป็นวันสงกรานต์นางเทพธิดาทั้ง ๗ ก็ทรงเทพพาหนะต่างๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมา เชิญพระเศียรกบิลพรหมออกแห่พร้อมด้วยเทพบรรษัทแสนโกฏิ ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุ ราชบรรษัท ทุกๆ ปีแล้วกลับไปยังเทวโลก… ”
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=640>ชื่อนางสงกรานต์
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640> ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ธิดาท้าวกบิลพรหมมีอยู่ด้วยกัน ๗ นาง ถ้าปีใดนางสงกรานต์ตรงกับ อะไรใน ๗ วัน นางทั้ง ๗ ก็ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมารับเศียรของบิดาตนเพื่อมิให้ตกลงสู่แผ่นดิน เพราะ จะเกิดฝนแล้งไฟไหม้โลก นางทั้ง ๗ มีชื่อต่างๆ กันและแต่งกายก็แตกต่างกันออกไป ประกอบกับอาวุธ ที่ถือก็แตกต่างกันด้วย ดังนี้
    วันอาทิตย์ นางสงกรานต์ชื่อ ทุงษะ ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราช ( แก้วทับทิม ) ภักษาหาร อุทุมพร ( ผลมะเดื่อ ) อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ
    วันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อ โคราคะ ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารเตละ (น้ำมัน) อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะพยัคฆ์ ( เสือ )
    วันอังคาร นางสงกรานต์ชื่อ รากษก ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับแก้วโมรา ภักษาหาร โลหิต ( เลือด ) อาวุธขวาตรีศูล ( หลาว ๓ ง่าม ) ซ้ายธนู พาหนะวราหะ ( หมู )
    วันพุธ นางสงกรานต์ชื่อ มณฑา ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะคัทรภา ( ลา )
    วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์ชื่อ กิริณี ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะคช (ช้าง)
    วันศุกร์ นางสงกรานต์ชื่อ กิทิมา ทัดดอกจงกลณี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะมหิงส์ ( ควาย )
    วันเสาร์ นางสงกรานต์ชื่อ มโหธร ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรี พาหนะมยุรา ( นกยูง )

    </TD></TR><TR><TD align=right width=640>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=640>ประเพณีการทำบุญในวันสงกรานต์
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640> แม้เราจะถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีมใหม่ตามหลักสากล แต่ธรรมเนียมไทยยังให้ความสำคัญกับวันสงกรานต์อยู่ โดยถือเอาเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบไทย ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงวันสงกรานต์การตระเตรียมทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน และเตรียมข้าวของที่จะทำบุญตักบาตร </TD></TR><TR><TD width=640>การทำบุญตักบาตรและการสร้างกุศลด้วยการปล่อยนกปล่อยปลา </TD></TR><TR><TD width=640>[​IMG] สมัยโบราณ เมื่อถึงวันสงกรานต์ประชาชนจะพากันตื่นแต่เช้ามืด เตรียมหุงข้าวต้มแกง เพื่อนำไปทำบุญที่วัด ทุกคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่สีสันสดใส โดยเฉพาะหนุ่มสาวเพราะจะได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันได้อย่างสะดวก แต่ก็ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่
    เมื่อทำบุญตักบาตรหรือเลี้ยงพระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมีการบังสุกุลอัฐิของบรรพบุรุ ผู้ล่วงลับเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ก่อพระเจดีย์ทราย ซึ่งเป็นการขนทรายเข้าวัดสำหรับไว้ใช้ในงานก่อสร้างโบสถ์วิหาร มีการปล่อยนกปล่อยปลาซึ่งเท่ากับเป็นการแพร่ขยายพันธ์สัตว์ให้คงอยู่ไปชั่วลูกชั่วหลาน และที่จะขาดเสียไม่ได้ก็คือการสรงน้ำพระการรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ รวมไปจนถึงการเล่นสาดน้ำกันเองในหมู่หนุ่มสาว
    </TD></TR><TR><TD width=640>การสรงน้ำพระพุทธรูป,การสรงน้ำพระสงฆ์ </TD></TR><TR><TD width=640>
    [​IMG] ชาวบ้านจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชา แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ เพื่อความเป็นสิริมงคล บางแห่งมีการอัญเชิญพระพุทธรูปแห่แหนไปรอบๆหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้สรงน้ำกันอย่างทั่วถึงหรือจะอัญเชิญพระพุทธรูปจากหิ้งบูชาในบ้านมาทำพิธีสรงน้ำกันในหมู่ญาติพี่น้องก็ได้
    ชาวบ้านจะได้ไปชุมนุมกันที่วัด นิมนต์พระในวัดมายังสถานที่ประกอบพิธี การรดน้ำควรรดที่มิอของท่าน ไม่ควรตักราดเหมือนกับเป็นการอาบน้ำจริง ๆ เพราะพระสงฆ์ถือเป็นเพชที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป น้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำฝนหรือน้ำสะอาดผสมน้ำอบไทย เมื่อสรงน้ำแล้วพระท่านก็จะให้ศีลให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคล
    </TD><TR><TD width=640>การรดน้ำดำหัวขอพรญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือ </TD></TR><TR><TD width=640>[​IMG] การรดน้ำผู้ใหญ่ หากระทำกันเองในบ้าน ลูกหลานจะเชิญพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ญาติผู้ใหญ่ มานั่งในที่จัดไว้ แล้วนำน้ำอบน้ำหอมผสมน้ำมารดให้ท่าน อาจรดที่มือหรือรดทั้งตัวไปเลยก็มีในระหว่างที่รดน้ำท่านก็ให้พรแก่ลูกหลาน เสร็จพิธีแล้วจึงผลัดนุ่งผ้าใหม่ที่ลูกหลานจัดเตรียมไว้ให้ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ ส่วนใหญ่จะมีผ้าใหว้เช่นเสื้อผ้าและผ้าขาวม้าไปมอบให้ด้วย การรดน้ำส่วนใหญ่จะรดที่มือ ขอศีลขอพร เป็นการแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสและผู้มีพระคุณตามธรรมเนียมอันดีของไทย บางหมู่บ้านอาจเชิญคนแก่คนเฒ่ามารวมกัน แล้วให้ลูก ๆ หลาน ๆ ทำพิธีรดน้ำขอพร ซึ่งเป็นประเพณีอันดีงามที่ควรช่วยกันส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้ </TD></TR></TR><TR><TD width=640>การเล่นสาดน้ำสำหรับหนุ่มสาว </TD></TR><TR><TD width=640>[​IMG] หลังจากทำพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ และรดน้ำขอพรจากญาติผู้ใหญ่แล้ว พวกหนุ่ม ๆสาวๆ ก็จะเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งน้ำที่ใช้นำมาสาดกันนั้นต้องเป็นน้ำสะอาดผสมน้ำอบมีกลิ่นหอม เด็กบางคนไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมถึงจุดประสงค์ของการเล่นสาดน้ำในวันสงกรานต์ เอาน้ำผสมสีหรือผสมเมล็ดแมงลัก แล้วนำไปสาดผู้อื่น ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง สถานที่เล่นสาดน้ำสวนใหญ่เป็นลานวัด หรือลานกว้างของหมู่บ้าน พอเหนื่อยก็จะมีขนมและอาหารเลี้ยง ซึ่งชาวบ้านจะช่วยกันเรี่ยไรออกเงินและช่วยกันทำไว้ จนถึงตอนเย็นจึงแยกย้ายกันกลับไปบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วมาชุมนุมกันที่ลาดวัดอีกครั้ง เพื่อร่วมการละเล่นพื้นเมือง </TD></TR><TR><TD width=640>การละเล่นพื้นบ้านในวันสงกรานต์ </TD></TR><TR><TD width=640> การละเล่นพื้นบ้านหรือจะเรียกว่ากีฬาพื้นเมืองก็ได้ เป็นเกมที่สร้างความสนุกสนานสามัคคี และความใกล้ชิดผูกพันพวกหนุ่ม ๆสาว ๆ จะแบ่งกันเป็นสองฝ่าย จัดทีมเพื่อเล่นแข่งขันกับฝ่ายตรงข้าม มีผู้ใหญ่เป็นกรรมการหรือผู้ควบคุม ส่วนคนเฒ่าคนแก่ก็คอยส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจอยู่วงนอก </TD></TR><TR><TD width=640>[​IMG] การละเล่นที่นิยมนำมาเล่นกันในงานสงกรานต์ มีหลายอย่าง เช่น ชักเย่อ ไม้หึ่ง งูกินหาง ช่วงชัย วิ่งเปี้ยว เขย่งแตะ หลับตาตีหม้อ มอญซ่อนผ้า สะบ้า ขี่ม้าส่งเมือง ลิงชิงหลัก ฯลฯ นอกจากนั้นมีการเล่นเพลงยาว ลำตัด รำวง ฯลฯ การประกวดนางสงกรานต์ซึ่งแต่ละกิจกรรมร่วมสร้างความสนุกสนานเป็นกันเอง หนุ่มสาวได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน ได้ศึกษาดูนิสัยใจคอ ได้มีโอกาสพูดจาโอภาปราศรัยกัน
    ประเพณีการทำบุญและการละเล่นในวันสงกรานต์แต่ละท้องถิ่นอาจมีผิดแตกต่างกันไปบ้างตามความและยุคสมัยในชนบทอาจกำหนดวันทำบุญและวันสรงน้ำพระไม่ตรงกันในแต่ละหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้ พวกหนุ่ม ๆจึงมีโอกาสไปเล่นสงกรานต์ได้หลายแห่งในแต่ละปี วันสงกรานต์จึงถือเป็นประเพณีหนึ่งในหลาย ๆ ประเพณีของไทยแต่โบราณ ที่เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้เลือกคู่หรือดูอุปนิสัยใจคอกันโดยเปิดเผยโดยไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ต่อสายตาผู้ใหญ่
    </TD></TR><TR><TD align=right width=640>

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width=640 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle width=640>ความสำคัญของวันสงกรานต์
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640> 1. เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปีตามประเพณีไทย และถือเป็นวันหยุดประกอบการงานหรือธุรกิจทั่วไป
    2. เป็นวันทำบุญตักบาตรจัดจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระบังสกุลกระดูกพรรพบุรุษ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
    3. เป็นวันแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ ในวันนี้จะมีการไปรดน้ำดำหัวขอพรจาก พ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือ วันสงกรานต์ถือเป็น วันสูงอายุแห่งชาติ
    4. เป็นวันรวมญาติมิตรที่จากไปอยู่แดนไกลเพื่อประกอบภาระหน้าที่งานอาชีพของตน เมื่อถึงวันสงกรานต์ทุกคนจะกลับมาร่วมทำบุญสร้างกุศล จึงถือเอาวันที่ 15 เมษายน ซึ่งอยู่ในช่วงสงกรานต์เป็นวันรวมญาติหรือวันครอบครัว
    5. เป็นวันอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย และส่งเสริมการละเล่นตามประเพณีไทย เช่น มีการทำบุญตักบาตร เล่นสาดน้ำ ชักเย่อ มอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้า ฯลฯ
    6. เป็นวันประกอบพิธีทางศาสนา เช่น มีการทำบุญตักบาตรจัดจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระ บังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระพุทธรูป สรงน้ำพระสงฆ์ ขนทรายเข้าวัด (ก่อพระเจดีย์ทราย ) รับศีล ปฏิบัติธรรมฯลฯ
    </TD></TR><TR><TD align=middle width=640>สรุปความสำคัญของวันสงกรานต์
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD width=640> 1. เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำปี
    2. เป็นวันทำบุญสร้างกุศล และประกอบพิธีทางศาสนา
    3. เป็นวันอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย
    4. เป็นวันแสดงความกตัญญูกตเวที และรำลึกถึงผู้ล่วงลับ
    5. เป็นวันครอบครัว วันรวมญาติและวันผู้สูงอายุ
    6. เป็นวันอนุรักษ์พันธุ์สัตว์
    7. เป็นวันเลือกคู่ของหนุ่มสาว
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ขอขอบคุณ

    http://www.tungsong.com/Important_Day/Songkran/index.asp
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ผมมีเรื่องดีๆ บอกกล่าวสำหรับเพื่อนๆ ที่เข้ามาดูในกระทู้นี้เป็นประจำว่า วันสงกรานต์ที่เป็นวันแรกคือวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี ตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ขึ้น ยันพระอาทิตย์ตกดิน หากท่านมีความติดขัดในเรื่องใดๆ หรือต้องการขอพรในทุกๆ เรื่องให้ประสบความสำเร็จ ท่านควรที่จะจุดธูปขอพรต่อองค์หลวงพ่อโสธร เพราะในวันดังกล่าว พระพรหมองค์ใหญ่ที่สุดคือท่านท้าวมหาพรหมที่ท่านดูแลปกปักรักษาองค์หลวงพ่อฯ ท่านจะลงมาประทับที่องค์หลวงพ่อเพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาและขอพรท่านด้วยองค์เอง อย่าถามว่าผมรู้มาจากที่ใด แต่จากข้อมูลที่ได้สอดคล้องกับเวบๆ หนึ่งที่ค้นหามา ลองดูตามนี้ครับ

    [​IMG]

    ***พระพุทธโสธรสร้างในสมัยใด?***

    พระพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปที่เสด็จมาทางน้ำ มีตำนานเล่ากันมาว่า มีพระพุทธรูป3องค์พี่น้อง ได้เสด็จลอยมาตามแม่น้ำ ต้นกำเนิดมาจากทางจังหวัดพิจิตร มีเศรษฐีสามพี่น้องได้บำเพ็ญโพธิญาณ จึงสร้างพระพุทธรูปขึ้น3องค์ เพื่อเป็นที่เคารพสักการะบูชา และได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าหากบ้านใดเมืองใด สมควรแก่การโปรดสัตว์ ก็ขอให้เสด็จขึ้นที่เมืองนั้น แล้วจึงนำลงแพลอยมาตามน้ำ......
    พระพุทธรูป3องค์ได้ลอยมาทางแม่น้ำบางปะกง ชาวบ้านเห็นเป็นอัศจรรย์จึงอัญเชิญขึ้นจากแม่น้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงใช้ด้ายสายสิญจน์และเสี่ยงสัตย์อธิษฐานว่า ถ้าองค์ใดต้องการโปรดสัตว์ที่บ้านนี้เมืองนี้ ก็ขอให้เสด็จขึ้นจากแพในน้ำ พระพุทธโสธรก็ได้ขึ้นทางเมืองแปดริ้วหรือฉะเชิงเทราในปัจจุบัน ส่วนอีก2องค์ก็ลอยไปขึ้นที่ อ.บางพลี สมุทรปราการ คือ หลวงพ่อโต และองค์เล็กคือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เสด็จขึ้นที่วัดบ้านแหลม สมุทรสาคร.....
    มีผู้รู้ท่านบอกว่า พระพุทธโสธร เป็นพระพุทธเจ้า"กกุสันโธ" ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัปนี้ปกปักรักษาอยู่ จึงมีเทพ พรหม รักษาองค์พระมากกว่าพระพุทธองค์อื่นๆ จึงมีผู้คนมากราบไหว้บูชามากกว่าที่อื่นๆครับ



    ท่านทำได้ก็นับว่าดีเต็มที่ก็เสมอตัว หากไม่เชื่อก็ไม่ต้องทำตามอย่างที่บอกก็แล้วกัน แต่หากคณะทุนนิธิฯ นี้ ทุกคนที่เข้ามาก็ต้องรู้จักคำว่า "ท่านองค์ใหญ่" หมายถึงพระพุทธเจ้า "กกุสันโธ" นั่นเอง และพระ "ปิยบารมี" ที่จะแจกให้ฟรีนั้น รวมถึงพระอื่นๆ ที่แจกมาแล้ว ก็ล้วนแต่ขอบารมี "ท่านองค์ใหญ่" ท่านลงมาทำให้ทั้งสิ้นครับ เพราะฉะนั้น ความเกียวพันของ "ท่านองค์ใหญ่" กับทุนนิธิฯ นี้ จึงแยกกันไม่ออก และเช่นเดียวกัน หากเรามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ลองบอกกับท่านคราวนี้ดู ก็นับว่าไม่เสียหายดอกครับ หากไม่เป็นการขอที่เกินไป และไม่มีกรรมมาตัดรอนผมว่าท่านได้อย่างที่ขอครับ

    พันวฤทธิ์
    12/4/52
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    สงกรานต์ที่ผ่านมาทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระ รับศีล ทุกวัน เดินไปเดินมาไปไหนมาไหน เลยติดภาวนาไปด้วย นับว่าได้ประโยชน์ไม่น้อย ติดตามข่าวทุกวัน นี่ยังแค่ภาคแรก อาจมีภาคสองอีกนิดหน่อย หลังจากนี้ เรื่องนี้จะหมดไป เพราะคนแข่งบารมีน่าจะถึงวาระของตนเองทั้งวิบากโลก และไม่ใช่โลกแล้ว หมดเวลาแล้วจริงๆ ชาติบ้านเมืองเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ใครทำกรรมอันใด กับชาติบ้านเมือง ก่อนจะตายมันผู้นั้นคงลำบาก และน่าเวทนามากจริง....

    [​IMG]

    ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แผ่นดินนี้จึงเป็นของท่าน


    “ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ตามแม้เพียงจะคิด จะยึดถือเป็นของตนเอง หรือของพรรคพวกของตน เพื่อประโยชน์อันไม่ชอบธรรมต่อตนเอง หรือต่อพรรคพวกของตนเอง จะพบกับความหายนะในที่สุด”
    “ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดี ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องรู้จักปิดทองหลังพระ ต้องรู้ว่า ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง คือสิ่งที่คนในชาติต้องการ ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p> </O:p>
    พระสยามเทวาธิราชจะปกป้องคุ้มครองคนดีของชาติบ้านเมืองเสมอ และจะสาปแช่งคนไม่ดีให้มีอันตกทุกข์ได้ยากแสนสาหัสตลอดชีวิต”


    ของทุกอย่างย่อมมีวาระของตนเอง แม้แต่พวกเราที่มาทำบุญกับทุนนิธิฯ ได้มาอุปัฏฐากสงฆ์อาพาธอันเป็นบุญสูงสุดดั่งอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน หลายคนหลายที่ต่างมาเจอกัน ทำบุญทำกุศลด้วยกัน ลองย้อนดูอะไรนำเรามาเจอกันมาทำบุญด้วยกัน มารับของที่ท่าน "ทำให้" ในสายบุญเดียวกัน "ท่านองค์ใหญ่-หลวงปู่ใหญ่คณะธรรมทูตทั้ง 5 พระองค์-ท่านหลวงปู่ทวด-ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี" ทุกอย่างล้วนมีเวลา วาระ ในตนเอง หวังว่าจากวันนี้จนถึงวันทำกิจกรรมในวันอาทิตย์ที่ 26 เม.ย. นี้ เรายังมีเวลาเตรียมตัวในการทำจิตให้ดี อย่าให้จิตตกกับเหตุการณ์ร้ายๆ ช่วยกันประคองจิตให้ดีจนกว่าจะถึงเวลางานบุญก็แล้วกันครับ

    พันวฤทธิ์
    15/4/52

     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=1020 align=center background="New Folder/46a0794fe8fa2.gif"><TBODY><TR><TD width=510> ในบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกที่มีการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์ทั้งหมดประมาณ ๒๙ ประเทศทั่วโลก ซึ่งมีคำใช้เรียกแทนองค์พระมหากษัตริย์แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะ วัฒนธรรม ประเพณีของชาตินั้นๆ แต่คำแทนองค์พระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะหน้าที่แบบต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สรุปจำแนกได้ ๕ ลักษณะ คือ
    ๑. พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมาจากคำว่า พระเจ้า (เทพเจ้า) กับคำว่า อยู่หัว (ผู้นำ...หัวหน้า) หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัว ทรงมีภาระหน้าที่ของการเป็นผู้นำหรือประมุขของประเทศชาติและประชาชน
    ๒. พระเจ้าแผ่นดิน หมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งประเทศ แล้วพระราชทานสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้นให้แก่ประชาชน และถือว่าเป็นหน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดิน ที่จะต้องรักษาความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินด้วย จะเห็นว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงต้องมีพระราชภาระหน้าที่จะต้องทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน

    </TD><TD width=510> [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=1020 align=center background="New Folder/469736e476aa6.gif"><TBODY><TR><TD width=510>
    [​IMG]
    [​IMG]

    </TD><TD width=510>
    ๓. เจ้าชีวิตหมายความว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าชีวิตของประชาชน กล่าวคือ ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะประหารชีวิต และพระราชทานอภัยโทษจากการประหารชีวิตแก่ประชาชนได้ อันหมายความว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีหน้าที่ที่จะต้องคุ้มครองชีวิตของประชาชน และจะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศไว
    ๔. ธรรมราชา หมายความว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้รักษาธรรม และปฏิบัติธรรม และด้วยหลักธรรมนี้ ทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นในประเทศ กล่าวคือ พระมหากษัตริย์จะต้องทรงใช้หลักธรรมเป็นแบบแผนในการปกครองประเทศชาติและประชาชน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ พระราชดำริและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์จะต้องอยู่ในกรอบของหลักธรรมเท่านั้น
    ๕. พระมหากษัตริย์ หมายความว่า การเป็นนักรบ หรือจอมทัพที่ยิ่งใหญ่ในยามสงครามที่จะต้องมีป้องกันประเทศ พระมหากษัตริย์จะต้องเป็นผู้นำทางการทหารออกรบ เพื่อปกป้องคุ้มครองเอกราชของประเทศและประชาชน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระมหากษัตริย์ทรงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความคุ้มครองปลอดภัยแก่ประเทศชาติและประชาชน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://images.google.co.th/imgres?i...A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87&hl=th&sa=G&um=1
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <CENTER>ธรรมทรรศนะเรื่องมังสาวิรัตและเจ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

    </CENTER>

    คัดมาบางส่วนจากหนังสือ "ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ"
    โดย พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี)

    ปล. ผู้โพสต์ได้จัดหน้าใหม่ บรรดาตัวเน้นเส้นใต้ทั้งหลาย
    ล้วนเป้นฝีมื่อผู้โพสต์ดัดแปลงเพื่อให้อ่านง่าย และเน้นสิ่งสำคัญ
    หากต้องการต้นฉบับ PDF ซึ่งถูกออกแบบมาให้พร้อมพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ก็ขอเชิญที่นี้
    <!-- m -->http://www.hinmarkpeng.org/dhamma01.html<!-- m -->


    --------------------------------------------------------------

    อุบาสิกาคนหนึ่งมีวัยประมาณ ๖๐ กว่าปีแล้ว แกไปปฏิบัติอยู่วัดหินหมากเป้งเสมอๆ
    อยู่มาแกสมาทานมังสาวิรัต แล้วชักชวนผู้เขียน(หลวงปู่เทสก์)ทำอย่างแกบ้าง
    ผู้เขียนบอกว่า เมื่อผู้เขียนทำอย่างนั้นแล้วเขาต้องตามปฏิบัติผู้เขียนนะ
    เพราะผู้เขียนหากินเองอย่างเขาไม่ได้ เขาได้ถามปัญหาว่า

    (๑๐) ถาม รับประทานมังสาวิรัตผิดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือ

    (๑๐) ตอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตก จะต้องอธิบายกันมากจึงจะเข้าใจ

    คนเกิดมาในโลกนี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กินเลือดเนื้อของผู้อื่นทั้งสิ้น
    เดิมแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาก็กินอาหารของมารดาที่ซึมซาบเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายจึงเติบโตขึ้นมาได้

    คลอดออกมาแล้วจนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เช่นนั้นเหมือนกันพึ่งมาปฏิวัติรับประทานมังสาวิรัตเมื่อโตขึ้นมานี่เอง
    เรื่องนี้จึงเป็นความฝ่าฝืนความรู้สึกของคนส่วนมาก

    เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระเทวทัตก็เคยเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาให้พระพุทธองค์
    ได้ทรงอนุมัติแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ไม่ทรงอนุญาต จึงได้ประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า พระสงฆ์องค์ใดเห็นดีกับเราก็ไปกับเราภิกษุที่บวชใหม่ยังไม่รู้ธรรมวินัยจึงได้ติดตามพระเทวทัตไป
    นั่นก็โลกแตกครั้งหนึ่งล่ะ ผลที่สุดพระเทวทัตถึงแก่มรณภาพไป

    พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นเห็นความอาฆาตของพระเทวทัตซึ่งมีต่อพระพุทธเจ้า จึงกลับเข้ามาหาพระพุทธเจ้าอีก
    ฉะนั้น พระภิกษุสงฆ์และพุทธบริษัททั้งหลายจึงไม่ควรยกเอาคำนี้ขึ้นมากล่าวอ้างว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
    มันจะเป็นเหตุให้สงฆ์แตกแยกกัน

    ส่วนฆราวาสนั้นก็ปล่อยเขาตามเรื่อง ถ้าหากรับประทานมังสาวิรัตเฉพาะตน เพื่อทรมานตน
    เพราะจิตใจของตนมันชอบการทรมานอย่างนั้นก็สมควรอยู่

    ถ้าอ้างว่ามังสาวิรัตเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผู้เขียนก็ขอร้องเถิด
    มันจะกลายเป็นวังคศาสนาไป มิใช่สัตถุศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้จริง

    มังสาวิรัตนี้พระพุทธเจ้าของเราท่านก็รู้ดีเหมือนกันว่าคนในสมัยนั้นเขานิยมกันขนาดไหน
    และเขาปฏิบัติกันได้ มากน้อยเพียงใด
    พระองค์จึงทรงบัญญัติให้ภิกษุฉันเนื้อได้โดยปราศจากโทษ ๓ ประการ

    ๑. โดยไม่ได้ใช้ให้เขาฆ่ามาเพื่อตน
    ๒. โดยไม่ได้เห็นได้ยินเขาฆ่าเพื่อตน
    ๓. โดยไม่สงสัยเขาจะฆ่าเพื่อให้ตน
    เมื่อพ้นจาก โทษ ๓ ประการนี้แล้วฉันได้

    ถึงเราจะกินและไม่กิน ทั้งโลกนี้โดยส่วนมากเขาก็ฆ่ากันอยู่อย่างนั้น

    พระยังชีพเนื่องด้วยคนอื่น ถ้าไปในถิ่นที่เขารับประทานเนื้อ
    พระที่ฉันมังสาวิรัตก็จะอยู่ด้วยกับเขามิได้

    และคนที่จะฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามิใช่มีแต่พวกมังสาวิรัต มีทั้งมังสาวิรัตและรับประทานเนื้อด้วย
    คนเหล่านั้นถ้าหากฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าใจดีแล้วก็จะไม่เป็นอุปสรรคแก่กันและกัน

    สำหรับพระภิกษุพระวินัยสิกขาบทของพระยังมีมากที่ยังปฏิบัติไม่ครบถ้วน
    ไม่ควรเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ายกโทษซึ่งกันและกัน

    ผู้เขียนจะยกเรื่องพระคณาจารย์ฉันมังสาวิรัตองค์หนึ่งมาเล่าสู่ให้ฟัง
    เมื่อราว ๔๐ กว่าปีมานี้เอง ทีแรกท่านก็ฉันตามธรรมดาๆ อย่างเราท่านทั้งหลายฉันกันอยู่อย่างนี้แหละ
    เมื่อพระโลกนารถเข้ามาเมืองไทยมีคุณนายคนหนึ่งไปเรียนกินเจกับพระโลกนารถแล้วทำถวายท่าน
    ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากหลาย ลูกศิษย์เหล่านั้นก็เลยทำตามพระองค์นั้น

    ต่อมาท่านชักชวนหมู่เพื่อนให้ทำตาม เมื่อหมู่เพื่อนไม่ทำตามก็หาว่าย่อหย่อนต่อการปฏิบัติ
    ท่านก็เลยดีคนเดียว หมู่เพื่อนคบค้าสมาคมไม่ได้ ลูกศิษย์ลูกหาค่อยๆ หายไปๆ

    จะไปรุกขมูลทางไหนต้องให้พระล่วงหน้าไปก่อน บอกชาวบ้านว่าท่านอาจารย์ท่านฉันเจ ต้องจัดหาอาหารอย่างนั้นๆ เว้นอย่างนั้นๆ ท่านถึงจะฉันได้

    เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านที่เขาไม่รู้ เขาเอาห่อเนื้อมาใส่บาตรให้
    ท่านก็จับเอาของเขาปาทิ้งเสีย ทีหลังเขาเลยพากันไม่ใส่บาตร
    เห็นท่านเดินมาเขาพากันมองหน้าท่านเป็นแถวเลย
    อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำเกินควร ไม่สมแก่สมณะสารูปผู้สำรวมเลย

    เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วก็ไม่มีใครปฏิบัติต่อ
    พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ธรรมอย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้เราได้ทำมาแล้ว
    ซึ่งไม่มีใครจะทำได้เหมือนเรา แต่ก็ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ได

    ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน
    ธรรม ๔อย่าง คือ
    เกลียดอย่างยิ่ง ๑
    กลัวอย่างยิ่ง ๑
    ระวังอย่างยิ่ง ๑
    ตบะอย่างยิ่ง ๑


    เกลียดอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ เห็นร่างกายของตนและของคนอื่นเป็นของน่าเกลียด
    และทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้เป็นของน่าเบื่อหน่ายแทบจะอยู่ไม่ได้เสียเลย
    นั่นเรียกว่า เห็นหน้าเดียว

    คนทั้งโลกพร้อมด้วยตัวของเราทำไม่จึงอยู่มาได้จนบัดนี้ เขาโง่หรือตัวเราโง่
    ท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นสภาพตามความเป็นจริงแล้วเกิดสลดสังเวชเบื่อหน่าย
    ถอนความยินดีในโลกด้วยอุบายแยบคายอันชอบแล้ว


    กลัวอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ กลัวบาปอกุศลแม้แต่อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ก็กลัว
    เป็นต้นว่าจะยกย่างเดินเหิรไปมาที่ไหนก็กลัวจะไปเหยียบมดและตัวแมลงต่างๆ ให้ตายเป็นอาบัติ
    นั่นเรียกว่า ระวังส่งออกไปนอก
    พระวินัยท่านสอนให้ระวังที่ใจถ้าไม่มีเจตนาแกล้งทำให้ล่วงเกินก็ไม่เป็นอาบัติ


    ระวังอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ สังวรกาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดกิเลสบาปอกุศลทั้งหลาย
    ซึ่งมันล่องลอยมาตาม อายตนะทั้ง ๖ นี้

    ระวังจนไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินสิ่งต่างๆ จนเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว
    เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านก็เอาตาลปัตรบังหน้าไว้ กลัวมันจะเห็นคน
    อย่างนี้เขาเรียกว่า ลิงหลอกเจ้า กิเลสมันไม่ได้เกิดขึ้นที่อายตนะ แต่มันจะเกิดที่ใจต่างหาก
    ขอโทษเถิด คนตายแล้วให้ผู้หญิงคนสวยๆ ไปนอนด้วย มันก็นิ่งเฉย
    ผู้หญิงที่ไปนอนกลับกลัวเสียอีก


    ตบะอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ นักพรตที่ทำความเพียรเร่งบำเพ็ญตบะธรรมที่จะให้พ้นจากทุกข์ในเดี๋ยวนั้น
    ทำความเพียรตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ไม่คิดถึงชีวิตชีวาเลย
    เหมือนกับกิเลสมันเป็นตัวเป็นตนวิ่งจับผูกเอามาได้ฉะนั้น

    แท้จริงกิเลสมันวิ่งเข้ามาซุกอยู่ในความเพียร (คือ ความอยากพ้นจากทุกข์) นั่นเอง ไม่รู้ตัวมัน
    ความอยากทำให้ใจขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา

    ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน ความเกลียด ความกลัว ความระวัง และตบะ
    อย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
    จึงละเสีย แล้วทรงปฏิบัติทางสายกลางจึงทรงสำเร็จพระโพธิญาณ
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เรื่องราวของในหลวงดีๆ มีให้อ่านอีกมาก ลองดูตัวอย่างที่คุ้นเคยกันก่อนครับ

    [​IMG]

    เรื่อง "ดอกไม้จากหัวใจ"

    ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ

    ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ

    วันนั้นหลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น

    ดังเช่นครอบครัวจันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด

    เปลงแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน

    เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม

    เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า "หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแผ่นมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก

    พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปีเต็ม ๆ

    แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี


    - ข้อมูลจาก "แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์" ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย

    ลองเข้าไปอ่านที่
    http://www.thainewyork.com/find-1001.html
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ในวันนี้ ที่พวกเราที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่คิดทีไรก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ตั้งแต่ตีสี่ของวันที่ 12 ในวันแรกๆ จนถึงจะระเบิดรถแก๊ส เพราะนึกว่าบ้านเมืองจะไม่รอด แต่พอผ่านพ้นมาได้เลยทำให้นึกถึงพระบารมีของในหลวง และพระสยามเทวาธิราช จึงลงบทความที่เกี่ยวกับท่านสลับกับบทความธรรมะของพระอริยสงฆ์ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าสำเร็จอรหัตผลแล้วครับ เวลาที่เหลือพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หากมีเวลา ใส่บาตรตอนเช้ากันครับ รวมถึงหากใครยังไม่ได้สรงน้ำพระที่หิ้งพระ หรือโต๊ะหมู่ ก็อย่าลืมทำ ปิดทองให้ท่านใหม่ เผื่อโชคดีจะมาเยือนในวันพรุ่งนี้ก็ได้ และสุดท้าย อย่าลืมล้างเท้า ล้างตัว อาบน้ำและขอพรจากพ่อแม่น๊ะครับ ส่วนผมอาทิตย์นี้ถึงจะอาบน้ำให้แม่อย่างที่เคยทำมาทุกปีไม่เคยขาดถือว่าเป็นการรวมญาติอีกวันหนึ่ง ตามประเพณีของชาวมอญพระประแดงทางฝั่งของแม่ครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ใครมีของๆ ท่านเก็บไว้ให้ดีเน้อ...อรหัตผลเต็มกำลัง


    [​IMG]
    การฝึกตนให้มีสติควบคุมจิต
    โดยพระอาจารย์ ประสิทธิ์ ปุญญมากโร วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

    การฝึกตนให้มี สติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่ง สำคัญต่อการดำรงชีวิต ผู้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ได้ รับประโยชน์ การกระทำกิจการใดๆ ก็ลุล่วงไปด้วยดี ไม่ี่ค่อย มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น

    ๑. มีสติรู้ตัว รู้ลมหายใจเข้า-ออก มีสติอยู่รู้ว่า ขณะนี้ หายใจเข้ายาว-หายใจออกยาว ก็รู้อยู่ หายใจเข้าสั้น-หายใจออกสั้น ก็รู้อยู่ อาจจะ ใช้คำภาวนาในใจ อย่างใดกำกับตามไปด้วยก็ได้

    ๒. มีสติรู้ตัว ตามรู้จิต เมื่อมีสติ รู้ลมหายใจอยู่ ก็ตามรู้จิต ธรรมชาติของจิต มีความหลุกหลิก กลิ้งกลอกอ่อนไหว ว่องไว คิดเรื่อยเปื่อยไปได้ทั้งดีและชั่ว ต้องใช้สติต่างเชือกมัดจิตไว้กับหลัก คือลมหายใจให้ได้ จิตคิดวิ่งไปที่ไหน ก็ใช้สติระลึกรู้ตาม ไปประคองจิตไว้ไม่ให้คิดในเรื่องชั่ว อันเป็น บาปทุจริต ประคอง จิตไว้ให้คิดในเรื่องดี อันเป็นบุญสุจริต เท่านั้น ความผ่องใส ในจิตจะเกิดเพิ่มขึ้น ความทุกข์ก็จะค่อยสิ้นไป

    ๓. มีสติรู้ตัวทุกอิริยาบถของร่างกาย มีสติระลึก รู้ตัวตั้งแต่ตื่น นอนลืมตาขึ้นมาว่า ตื่นแล้วกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ย่างก้าวเดินเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน อาบน้ำ ขับถ่าย ๆลๆ มีสติระลึกรู้ตัวไปทั่วทุกสิ่ง ทั่วทุกอิริยาบถ เคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา ก้าวหน้า ถอยหลัง ก็ทำสติตามรู้ทุกอย่างไป แม้จะยังไม่บริบูรณ์ ด้วยจิตหนีหายหลบไป เมื่อรู้ตัวก็กำหนดสติต่อไป จะเกิดผล เป็นผู้มีพลัง สติคุมจิต ตั้งมั่นเกิดสมาธิ

    ๔. มีสติรู้ตัวพิจารณาให้เห็นความจริง มีสติพิจารณา ในความเป็น ธรรมชาติ ที่มีเห็นอยู่ รอบๆ ตัวเรานี้ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง คงทนถาวรอยู่ได้ตลอดไป เกิดมีขึ้นแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่หยุดนิ่ง แล้วก็ดับหายตายจากไป ไม่เราจากสิ่งนั้นไปก่อน สิ่งนั้น ก็ จากเราไปก่อน ไม่มีใครจะยึดเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้ เป็น ธรรมชาต ิที่เลื่อนไหลไปอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดาอย่ายึดถือไว้เป็ีนความทุกข์

    ๕. มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือ ในตัวตนเสีย มีสติพิจารณา ดูลงไป ที่ตัวเราเองว่า มีอะไรบ้าง หรือที่เราบังคับได้บ้าง ร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดมา มีแต่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง เกิดมาได้อย่างไร ไม่รู้ตัว เลย(หรือใครรู้ตัวบ้างช่วยบอกที) มารู้ตัวเอาก็ต่อเมื่อเติบโตพอจำความได้แล้ว ก็มีความเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดยั้ง แล้วก็ต้องตายไป ทำพิธีต่ออาย ุสืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน แล้วจะยึดถือว่าเป็นตัวเรา ของเราได้อย่างไร ตายแล้วไม่เผาได ก็ฝังดินเท่านั้นเอง มันเป็นเพียงธรรมชาิติ ที่เกิด ขึ้นแล้วก็ดับไป เราเพียงยืมใช้ได้อาศัยศึกษา รักษาไว้เป็นพาหนะ ให้ทำความดี
    เพื่อข้ามวัฎสงสารเท่้านั้น

    ๖. มีสติรู้ตัว พูดจาให้น้อยลง พูดเท่าที่จำเป็น จะต้องพูด ด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่ การพูดมากมีโอกาสพูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นโทษอีกด้วย เป็นผู้ฟังแล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดีๆ มาใช้จะได้ประโยชน์ กว่าคนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็นผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่เป็นผู้ได้รู้มากกว่าผู้พูด

    ทั้ง ๖ ข้อนี้ ที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นสิ่งที่ควรสนใจฝึกอบรมสติ ควบคุมจิต ให้เกิดพลังจิตที่มีประสิทธิภาพ ที่ควรแก่การงาน การกระทำกิจการงานใดๆ จะมีความสำเร็จ ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เป็นพื้นฐานที่ถูกต้องต่อการดำรงชีวิต
    และการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า เจริญสู่ขั้นสูงได้ง่าย ต่อไป การฝึกฝนตนเอง ด้วยการมีสติควบคุมจิต ต้องใช้ความเพียรอย่างมาก เพียงใดก็ตาม ก็ อย่า ได้มีความท้อถอย ที่ใดมีความตั้งใจจริง เพียรพยายามอยู่ ความสำเร็จย่อมมี
    ตามมาอย่างมิสงสัย


    (จากหนังสือ โลกทิพย์ ฉบับที่ ๔๑๐ ประจำเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๗ หน้าที่๓๐-๓๑)


    ของดีที่ลูกศิษย์ลูกหานิยมแขวนอาราธนาอีกอย่างนึงครับผม พระผงนะอุดมโชค


    [​IMG]


    ขอขอบคุณ
    http://www.suankhlang.com
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    บางส่วนจากสวนขลังดอทคอม สำหรับความสามารถทางจิตและปฏิปาทาของท่านครับ

    หลวงพ่อประสิทธิ์ เป็นพระในจำนวนไม่กี่องค์ที่ผมเคยสัมผัสเองและมั่นใจว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณธรรมส่วนจะขั้นไหนผมคงมิบังอาจคาดเดาในตัวท่าน
    เคยมีพระบางรูปกล่าวว่า “ลองไปกราบหลวงพ่อประสิทธิ์ดูแล้วจะคิดเหมือนเราว่าท่านเป็นพระอรหันต์”


    หลังจากที่ได้ไปกราบ และได้รู้จักลูกศิษย์ฆราวาสที่ติดตามใกล้ชิดท่านจึงมั่นใจในคำพูดของพระรูปนั้นจริงๆ
    ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านไม่เคยตำหนิหรือกล่าวว่าผู้ใดเลย สมดังที่หลวงปู่ดู่ว่า “คนดีเขาไม่ตีใคร”
    ใครบางคนอาจจะว่าก็แค่นี้ แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะไม่ตำหนิใครเลยแม้แต่คนที่เรามั่นใจว่าแย่มาก ท่านก็ไม่ตำหนิ ถ้าเราไปว่าใครให้ท่านฟัง ท่านจะเงียบหรือไม่บางก็พูดช่วยให้คนๆนั้น นี้คือที่ท่านทำมาตลอดหลายสิบปี

    ผู้มักน้อยสมควรแก่สมณะธรรม

    เคยมีบริษัทเคื่องดื่มมึนเมาบริษัทหนึ่งเข้าไปกราบท่านแล้วถวายเช็ค 10,000,000บาท พิมพ์ไม่ผิดครับสิบล้านจริงๆเข้าไปถวายแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เข้าไปถวายเพราะศรัทธาจริงๆ
    แต่พอหลวงพ่อรับเช็คดูยอดเงินท่านก็ยื่นเช็คคืนพร้อม กล่าวเรียบๆว่า “ตอนนี้วัดไม่มีอะไรต้องใช้” และก็ไม่เอาจริงๆ
    หรือแม้แต่ ท่านพระอาจารย์ติ๊ก ฌานุตโม ขอโอกาศสร้างโบสถ์ถวายท่านขอเพียงหลวงพ่อตกลงที่เหลือท่านพระอาจารย์ติ๊กจะจัดการเอง ท่านก็ปฏิเสธ ให้เหตุผลเพียงว่า “เสียดายป่า” ใครไปวัดท่านก็จะเห็นเพียงศาลาหลังน้อยที่ถ้าคนไปนั่งแบบเบียดๆก็นั่งได้แค่ร้อยกว่า
    คน ท่านบอก “แค่นี้ก็พอแล้ว”

    เทวดามาใส่บาตร


    เห็นท่านเงียบๆแต่ถ้าถูกกาลก็มีเรื่องอภินิหารให้ได้ฟังบ้าง ครั้งหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปอยู่ทางภาคใต้ ท่านก็คิดว่าเขตนี้มีแต่ชาวมุสลิมไปบิณฑบาตรคงไม่ได้อะไร แต่ครูบาอาจารย์ท่านก็สั่งไว้ข้อวัตรบิณฑบาตรยังไงก็ต้องทำไม่จำเป็นจริงๆไม่ควรเว้น
    ท่านก็พิจารณาไปทำข้อวัตรส่วนจะได้อาหารหรือไม่ไม่ใช่หน้าที่ท่าน คนขับรถก็พาท่านไปที่ตลาดในตัวเมือง
    ท่านเล่าว่าพอจะลงจากรถยังไม่ทันปิดประตูรถก็ไม่ทราบมีมือจากไหนยื่นมาใส่บาตรท่านเต
    ็มไปหมดแวบเดียวเต็มบาตร
    ท่านจึงกลับเข้าไปในรถ คนขับจึงถามท่าน ว่าไม่ไปบิณฑบาตรแล้วหรือครับ ท่านก็เปิดบาตรให้ดูว่าเต็มแล้ว คนขับรถก็ยืนยังตรงนั้นไม่มีใคร แล้วใครหละมาใส่บาตรท่าน พอท่านพิจารณาก็ทราบว่า เทวดามาใส่บาตร

    ฝนมิต้องกาย

    เมื่อครั้งหลวงพ่อท่านเดินธุดงค์ไปภาคตะวันออก ท่านได้ไปปักกลดอยู่หาดบางแสน ผูกกลดใต้ต้นมะพร้าว คืนนั้นไม่ทราบพายุฝนมาจากไหนพัดกระหน่ำหาดบางแสน ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสก็รีบมาดูหลวงพ่อกลัวหลวงพ่อลำบาก แต่พอเข้าใกล้กลดท่านก็ต้องตกใจรอบกลดท่านมีแสงสว่างเรืองออกมา ห่างจากกลดราว1วา ทรายทุกเม็ดยังแห้งสนิทลมที่พัดอย่างรุนแรงมิได้โยกคลอนกลดท่าน หลวงพ่อยังคงนั่งสมาธิสงบอยู่เหมือนมิได้รับรู้กับพายุที่กระหน่ำแรงพอจะพัดทุกอย่างลงสู่ทะเล


    ปีใหม่ปีนี้ ได้ไปกราบท่านอย่างที่เคยเล่าให้ฟังไว้แล้ว ท่านเป็นพระที่เรียบง่าย วัดอยู่ท่ามกลางดงต้นสัก หากใครมีโอกาสควรหาเวลาไปกราบท่านล่ะ พี่ใหญ่บอกว่าท่านเป็นพระสำเร็จกิจแล้ว ยังชอบใจท่านเวลาท่านให้พรผม ท่านก็จะรวบมือไปประกบกับมือท่านแล้วท่านก็ให้พร เป่าพรวดเดียวเสร็จพิธี แต่จนแล้วจนรอดบัดนี้ก็ยังไม่มีพระพิมพ์ของท่านไว้ใช้ หากใครสนใจลองเข้าไปดูที่สวนขลังดอทคอมก็แล้วกัน เห็นมีให้ลงชื่อรับพระที่ท่านเสกฟรีด้วย ลองเข้าไปดูเองก็แล้วกันครับ ตามล่ามาได้แค่นี้ล่ะ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096


    [​IMG]

    สวดมนต์ให้เย็น, พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)

    บทสวดมนต์ที่เราจะยึดเป็นหลัก วิธีปฏิบัติ ถ้าเรามีดอกไม้ ธูป เทียนบูชาพระพุทธรูป ก็ให้กล่าวคำว่า


    อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ
    อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ
    อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง ปูเชมิ


    อันนี้เป็นคำบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อโน้มน้าวจิตของเราให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันดับต่อไปก็


    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบทีหนึ่ง)
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบทีหนึ่ง)
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบทีหนึ่ง)


    ทีนี้ก็มาสำรวมจิตให้แน่วแน่ต่อคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กล่าวนะโม ๓ จบ


    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    ต่อไปสำรวมจิต สวดบทอิติปิโส


    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (กราบทีหนึ่ง)


    แล้วสวดบทสวากขาโตต่อไป


    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ(กราบทีหนึ่ง)
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบทีหนึ่ง)


    ทีนี้อันดับต่อไปก็ตั้งใจเจริญพรหมวิหาร


    อะหัง สุขิโต โหมิ
    นิททุกโข โหมิ
    อะเวโร โหมิ
    อัพยาปัชโฌ โหมิ
    อะนีโฆ โหมิ
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ


    อันนี้บทเมตตาตน ต่อไปก็แผ่เมตตาสัตว์


    สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ
    สัพเพ สัตตา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ


    นี่บทแผ่เมตตา ทีนี้ก็สวดบทกรุณาต่อไป


    สัพเพ สัตตา สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ
    สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ


    อันนี้ เป็นบทมุทิตา ทีนี้สวดบทอุเบกขาต่อไป


    สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ.



    อันนี้เป็นยอดแห่งบทสวดมนต์ ให้ทุกคนพยายามท่องจำให้ได้ แล้วพยายามสวดทุกวันๆ ทั้งเวลาเช้าเวลาเย็น ถ้ามายึดบทสวดตามที่กล่าวนี้อย่างมั่นคงแล้วก็ตั้งใจสวดอย่างต่อเนื่องกันทุกวันๆ ไม่ต้องไปสวดคาถาบทอื่นก็ได้ ให้สวดเฉพาะเท่าที่กล่าวมานี้ ทำจิตให้มั่นคงต่อบทสวดนี้อย่างแน่วแน่ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก คาถาชินบัญชร หรือคาถาอื่นๆ นี้ ไม่จำเป็นต้องสวดก็ได้
    มีนายคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อเมื่อ ๒-๓ วันมานี่ เขามาปรึกษาว่า "ทำไมผมยิ่งสวดมนต์ ขยันสวดมนต์ สวดคาถาชินบัญชรวันละ ๙ จบ ๑๐ จบ บทอื่นก็หลายจบ หนังสือยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี่ผมจำได้และสวดได้หมดทุกตัว ผมนั่งสวดมนต์อยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ยิ่งสวดมนต์ไปเท่าไรแทนที่ว่าจิตมันจะเย็นลง มันกลับทำให้ร้อน นอกจากมันจะทำให้ร้อนแล้ว ผมกับภรรยาของผมต่างคนต่างสวดเก่งเหมือนกัน แต่พอออกจากห้องพระมาแล้วหาเรื่องทะเลาะกันทุกที ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นหลวงพ่อ" หลวงพ่อก็บอกว่า "บทสวดมนต์ตามที่คุณสวด มันมีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่ ถ้าเกิดสวดมาก ๆ เข้า มันเกิดมีอาถรรพณ์ มันเป็นพลังมนต์ครอบคลุมจิต มนต์ไสยศาสตร์ทำให้เกิดพลังร้อน เมื่อเกิดพลังร้อนแล้วมันก็อยากจะลองของ ในเมื่อหาใครที่จะมาเป็นคู่ปะทะหรือทะเลาะไม่ได้ก็ทะเลาะกันเอง คนบางคนสวดมนต์ทางไสยศาสตร์ ยิ่งสวดมากเท่าไรจิตใจก็ยิ่งโหดเหี้ยม นั่งสมาธิภาวนาสวดมนต์เวลาค่ำคืน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม พอออกจากที่สวดมนต์ ที่นั่งสมาธิมาแล้วมาทุบตีเมียของตัวเอง อันนี้มันเป็นเพราะพลังมนต์ไสยศาสตร์บันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น มนต์อันใดที่มีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ มนต์อันนั้นทำให้จิตร้อน เพราะมันมีพลังร้อน แต่พลังของพระพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ พลังพรหมวิหาร มันทำให้เกิดพลังเย็น เป็นไปเพื่อผูกมิตรไมตรีกับสิ่งทั้งปวง ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่พาลหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน" เพราะฉะนั้น ให้นักเรียนทุกคนจำเอาไว้ บทสวดมนต์ที่วิเศษที่สุดก็คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็แผ่เมตตา ทีนี้เมื่อแผ่เมตตาเสร็จแล้ว จะนั่งสมาธิภาวนาก็นั่งต่อไป เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ก่อนจะลุกจากที่นั่งสมาธิ ให้น้อมจิตน้อมใจอธิษฐานถึงบุญบารมีที่เราได้ปฏิบัติมา แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ตลอดทั้งสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร ขอให้มารับส่วนบุญที่เกิดจากการปฏิบัติของข้าพเจ้านี้
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    เมื่อดูคำอธิบายของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แล้ว จิตพาใคร่ครวญไปถึงเมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมาที่ผม คุณโสระ และ อ.ปุ๊ หรือนายสติ ไปกราบพระสงฆ์ที่พี่ใหญ่แนะนำให้ไปกราบแถบ ชลบุรี และระยองแล้ว ท่านแต่ละองค์ก็มีหลักคิดต่างกัน เลยนำมาลงให้ดู แล้วลองใช้ปัญญาพิจารณาดูไล่ตั้งแต่บทความของหลวงพ่อประสิทธิ หลวงพ่อพุธ อาจารย์ณรงค์ อาจารย์อนันต์ อาจารย์ตั๋น ซึ่งล้วนแต่เป็นพระที่หนักไปทางกรรมฐานทั้งสิ้น ลองดูกันครับ ลองดู แล้วลองโน้มเข้ามาพิจารณาเลือกปฏิบัติเอากันเพื่อเป็นการเจริญสติในช่วงวันหยุดยาวนี้

    Quote
    การสนทนาตั้งแต่ไปถึงวัดมาบจันทร์ระหว่างคณะเราที่ไปกราบท่านอาจารย์อนันต์ ไปวัดบ้านเพเพื่อไปกราบท่านอาจารย์ณรงค์ และไปวัดบุญญาวาสเพื่อไปกราบท่านอาจารย์อรรคเดช (อ.ตั๋น) อ.ปุ๊ หรือนายสติอัดไว้ใน mp3 ประมาณ 2.30 ชม. มีทั้งอจินไตย ขี้โม้ และหลักธรรม แต่พอยกตัวอย่างเท่าที่จำได้ดังนี้

    1.พระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ ท่านสอนว่า ญาณรู้ หรือการแผ่เมตตา ต้องทำจิตให้กว้างไกล ข่ายญาณรู้ หรือกำลังจิต จะกว้างไกลออกไป สามารถช่วยเหลือหรือรับรู้สิ่งต่างๆ ได้โดยไม่มีประมาณ

    2.พระอาจารย์ณรงค์ วัดบ้านเพ ท่านเมตตายกตัวอย่างการใส่บาตรพระสงฆ์ในปัจจุบัน ให้เรายกขันข้าวขึ้นมา หยุดใจไว้ที่ลิ้นปี่นิดนึง โมทนาว่าข้าวที่อยู่ในขันของเรานี้ขอถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเราอยู่นี้ แล้วบรรจงถวายให้ท่าน ถวายเสร็จยกขันข้าวนิ่งไว้ กำหนดจิตที่หน้าอก ข้าพเจ้าขอถวายบุญกุศลที่ได้ถวายข้าวแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ที่ดีแล้ว ให้แก่บิดามารดาของข้าพเจ้า ขอให้บิดามารของข้าพเจ้าได้รับรู้และยินดีในบุญกุศลนี้ด้วยเทอญ เท่านี้ปิติซึ่งเป็นตัวบุญก็จะเกิดกับเรา ทำทุกวัน นานๆ เข้า บ่อยๆ เข้า ศีลและภาวนาจะตามมาเอง ไม่ต้องไปขอศีลกับใคร หรือภาวนาบทใดๆ เพราะรู้เองแล้ว (การมองเห็นพระสงฆ์ตรงหน้าเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ตรงพระประสงค์ของพระองค์ในการใส่บาตรเพื่อโน้มจิตไปยังพุทธะและละความตระหนี่ เฉกเช่นที่เรายืนเคารพเสาธงชาติ เรามิได้ยืนเคารพเสาและธง เพราะหาประโยชน์มิได้ แต่เราเคารพความเป็นชาติไทยของเราที่อยู่ธงนั้นต่างหาก-พระอาจารย์ณรงค์)
    3.พระอาจารย์อรรคเดช (อ.ตั๋น) วัดบุญญาวาส ชลบุรี ท่านสอนว่าการทำจิตนิ่งเพียงอย่างเดียว เหมือนกับการลับมีดให้คมแล้ววางไว้ ลับแล้ววางไว้อยู่อย่างนั้น นี่คือฌาณ มันต้องลับให้คม เมื่อคมแล้ว นำมีดนั้นไปฟันกิ่งไม้ หักล้างถางพง นั่นแหละคือการใช้คมนั้นให้เป็นประโยชน์เปรียบได้กับใช้ปัญญาไปทำวิปัสสนาในการไปฟันในกิเลสตัณหาทั้งปวง การพิจารณารูปให้ขาดก่อนเมื่อพิจารณาใคร่ครวญดีแล้วค่อยพิจารณาในจิต และในธรรม เพราะรุปจะเห็นชัดกว่า การพิจารณาในรูปไม่ว่าจะเป็นธาตุขันธ์ หรือเกศาฯ ให้พิจารณาในสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดตรงนั้นก่อน พิจารณา แค่ 5 นาที 10 นาที และค่อยพิจารณาอย่างอื่นไปทีละอย่าง หากพิจารณามาก ก็ย้อนมาพักจิต แล้วค่อยพิจารณาใหม่ (อนุโลม-ปฏิโลม) ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะต้องได้ฌาณชั้นไหน ปล่อยมันไป ทำใจให้นิ่งให้สบาย ก็พอ ทุกอย่างมันเป็น มันเกิด หรือดำรงเอง ตามความสามารถของจิต และความขยันหมั่นเพียรของผู้กระทำเอง

    ผมจำได้แค่นี้ล่ะ อย่างอื่นต้องฟังจาก mp3 ของ อ.ปุ๊ ไม่รู้ว่าจะทำแจก หรือเปล่า พี่ใหญ่ถึงกับโมทนาเลย บอกสบายดี พี่ไม่ต้องสอนพวกเอ็งแล้ว ครูอาจารย์ท่านสอนแทน
    unquote
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2009
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    หลวงปู่ว่า ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฏฐิ
    และเมื่อมีทิฏฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน
    เมื่อเห็นไม่ตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่ร่ำไป
    สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร
    ใครจะมีทิฏฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป

    ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่
    แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่
    สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี
    แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่วิวาทโต้เถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา”

    : หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
    http://duangkaew.net/buddha_proverbs.htm
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]


    ผลของศรัทธาในพระพุทธเจ้า

    ปัญหา ในศาสนาฝ่ายเทวนิยม ผู้ใดมีความเชื่อและความรักในพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นย่อมมีหวังเข้าสู่สวรรค์ ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างไรบ้าง ?

    พุทธดำรัสตอบ “....บุคคลใดมีเพียงความเชื่อ เพียงความรักเราบุคคลนั้นทั้งหมดเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า”

    ผลแห่งการละกิเลส
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย
    ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
    มีกิจที่จำต้องทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระ ปลงลงแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสัญโญชน์ใน
    ภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่มีวัฏฏะ เพื่อจะบัญญัติต่อไป.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยาย
    แล้ว ภิกษุเหล่าใดละโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ ประการ ได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดเป็น
    โอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

    ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
    ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว กับมีราคะโทสะและโมหะบางเบา
    ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
    ภิกษุเหล่าใดละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็น
    ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรา
    กล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้นเปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว ภิกษุเหล่าใด ผู้เป็นธัมมานุสารี
    เป็นสัทธานุสารี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ดีเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เบื้องของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว
    บุคคลเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์
    เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม
    เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
    จบ อลคัททูปมสูตรที่ ๒

    อลคัททูปมสูตร มู. ม. (๒๘๘)
    ตบ. ๑๒ : ๒๘๑ ตม. ๑๒ : ๒๓๐
    ตอ. MLS. I : ๑๒๘


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5971
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ก่อนจะดับขันธ์ ท่านได้แสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายว่า


    “เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้าง พระพุทธศาสนาให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังประสงค์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงละ วิภวตัณหา นั้นเสด็จเข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ทรงเป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหาทรงเป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเส สนิพพานของพระองค์ ลำดับแรกก็เจริญฌาณ ดิ่งสนิทเข้าไปจนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปลึกสุดอยู่เหนืออรูปฌาณ


    ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเด็ดขาดแต่อย่างใด เพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการเข้าสู่นิพพานหรือนิโรธเป็นครั้งสุด ท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้สร้างได้พากเพัยรก่อเป็นทางเป็นแบบอย่างไว้เป็น ครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่า สิ่งอันเกิดจากการที่พระองค์ได้ยอมรับกับ ธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา มีจิตหยาบเกินกว่าที่จะสัมผัสว่ามันเป็นทุกข์”


    “นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตนให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมา สัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผยแจ้งออกสู่โลกให้พึงปฏิบัติตาม


    เมื่อทรงสิ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้น คือปฐมฌาณ แล้วตัดสินพระทัยครั้งสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิตและร่างกายนั้นได้ดับไปเสียตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ปฐมฌาณ นานแล้ว เพราะต้องดับสังขารขันธ์หรือสังขารธรรมขั้นแรกก่อนวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น”


    “พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีก อันจะส่งผลให้ก่อวิภวตัณหาได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเลื่อนเข้าสู่ทุติยฌาณ แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนเข้าสู่ตติยฌาณ เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่จตุตถฌาณ คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแลคือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ”

    “เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับเวทนาขันธ์อันเป็นจิตขันธ์ หรือนามขันธ์ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาณ พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือนามขันธ์สุดท้ายจริงๆ ที่ตรงนี้พระองค์ไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานในฌาณสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก”



    “เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌาณแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือนั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันเป็นปกติของมนุษย์ครบพร้อมทั้งสติสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะอันนั้นจะเรียกว่ามหาสุญญตาหรือจักรวาลเดิม หรือเรียกว่า พระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้”
     

แชร์หน้านี้

Loading...