ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
    พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    " ทุกคนจะต้องเข้ามหายุทธสงครามสักวันหนึ่ง คือการ ต่อสู้กับมัจจุราช เมื่อถึงเวลานั้นแต่ละคนจะต้องสู้เพื่อ ตนเอง และต้องสู้โดยลำพัง ผู้ที่สู้ได้ดีก็จะไปดี คือไปสู่ สุคติ ผู้ที่เพลี่ยงพล้ำก็จะไปร้าย คือไปสู่ทุคติ อาวุธที่ใช้ ต่อสู้มีเพียงสิ่งเดียว คือ "สติ" ซึ่งจะสร้างสมได้ด้วยการ เจริญภาวนาเท่านั้น "

    ขอบคุณ
    http://www.jozho.net
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ปริศนาธรรมไทย


    [​IMG]
    ภาพที่ ๑
    อุปมา ของธาตุทั้งหก
    ภาพนี้ แสดงธาตุทั้ง ๖ มีคน ๔ คน คุกเข่าพนมมือไหว้ท้าวพระยา ซึ่งอยู่บนแท่น, ทั้งหมดอยู่ในที่ว่าง
    ถ้าถามว่า นี่เป็นภาพอะไร? ตอบว่า:-ส่วนประกอบของคนๆหนึ่งซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้ง ๖, คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม, เป็นคน ๔ คนคุกเข่าพนมมืออยู่ ๒ ข้าง. แล้วก็วิญญาณธาตุ คือธาตุใจที่เป็นตัวท้าวพระยาอยู่ตรงกลาง. ที่ว่างทั่วๆไปนั้นเป็นอากาศธาตุ อันเป็นธาตุว่าง (Space) รวมเป็น ๖ ธาตุ อย่างในบาลีมัชฌิมนิกาย พระพุทธภาษิตว่า "ฉ ธาตุโย อยํ ปุริโส." บุรุษนี้ประกอบด้วยธาตุ ๖. ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นรูปธาตุคือร่างกาย, และวิญญาณธาตุเป็นอรูปธาตุ หรือนามธาตุ, ส่วนอากาศธาตุ-ธาตุว่าง ควรจัดเป็นนิโรธธาตุ ไม่ใช่รูป, ไม่ใช่นาม แต่เป็นที่ดับของรูปและนาม ถ้าเราไม่ทราบความประสงค์ของเขาแล้ว ก็ไม่รู้ว่า นี่คือภาพอะไร. ที่แท้เป็นภาพของคนๆหนึ่ง ประกอบด้วยธาตุ ๖ หรืออุปมาของรูป กับ นาม.
    ที่นี้จงสังเกตุดูว่า ความคิดของบรรพบุรุษในการเขียนภาพธาตุหกนี้ ฉลาดแสดงความหมายต่อไปในทางธรรมะว่า:-
    ทำไมจึงต้องให้คน ๔ คนไหว้ท้าวพระยา? นี่ก็เพราะว่าธาตุ ๔ คือ ร่างกายนี้อยู่ใต้อำนาจของจิต, เชื่อฟังคำสั่งของจิต, จิตมีอำนาจเหนือกาย ควบคุมกาย หรือกล่าวว่า นามธรรมเป็นฝ่ายนำรูปธรรม, ฉะนั้น ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ รูปธรรม ๔ จึงต้องพนมมือไหว้นามธรรม คือวิญญาณธาตุที่แสดงเป็นท้าวพระยานั่งบนแท่น.
    ที่เขาเขียนบัลลังก์เป็นสิงโตเตี้ยๆนั้น เขาเขียนไปตามแบบสมัยนั้นซึ่งนิยมเขียนเช่นนั้น และแสดงว่าผู้นั่งเป็นผู้มีอำนาจ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]
    ภาพที่ ๒
    อุปมาความแตกต่างระหว่างกายกับจิต
    ภาพนี้ มีลิงอยู่ที่พื้นดินและบนต้นไม้, มีคนพยายามจะแทงและยิงลิง. อีกส่วนหนึ่งมีคนหาบหม้อดิน. ภาพนี้หมายถึงกายกับใจคือเป็นคนคนหนึ่ง แต่เพื่อจะแสดงว่า:- ธาตุใจคนเรานั้นหลุกหลิกแวบไหวรวดเร็วอย่างยิ่ง (dynamic) จึงอุปมาเหมือนลิง ซึ่งลุกลนกระสับกระส่ายไม่อยู่นิ่ง, ยากที่จะแทงหรือยิงให้ถูกที่หมาย ยากที่จะปรับปรุงควบคุมให้อยู่คงที่ เพราะมันไม่แน่นอน กลับกลอกเบาหวิว หวิวไว เหมือนลิงจริงๆ, ดังนั้นต้องมีอุบายที่ฉลาดจัดการกับจิตให้ถูกต้อง อย่าทำเล่นกับมัน.
    อีกประการหนึ่ง กายเปรียบด้วยหม้อน้ำ ธาตุภายในหม้อน้ำหรือกายคนเรานี้ กระด้าง ทื่อ (static) หนักอึ้ง เหมือนกับหม้อดินใส่น้ำ ซึ่งกระดุกกระดิกไม่ได้ แตกง่าย และแตกแน่นอนไม่กำหนดกาล, แตกเมื่อไรก็ได้, เป็นภาระอันหนักแก่บุคคลผู้ถือว่านี้เป็นกายของเรา, หรือกายนี้เป็นตัวเรา เมื่อยึดถือเป็นเจ้าของ จึงต้องแบกของหนักด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา.
    ถ้าถามว่า นี่ภาพอะไร? ตอบว่า - ภาพอุปมาความแตกต่างของกายและใจ หรือนามและรูป ที่สมมุติเป็นคนคนหนึ่ง. นามก็คือ ใจ หรือ ลิง. รูปก็คือกาย หรือ หม้อน้ำนี่ เพื่อเปรียบเทียบให้เกิดความรู้ทางธรรมะว่า:- จิตแยกออกจากกายได้เป็นคนละส่วน และมีธรรมชาติแตกต่างกันมาก ดังมีอุปมา - เหมือนหม้อน้ำแตกต่างจากลิง ฉะนั้น.
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]
    ภาพที่ ๓
    อุปมา วิธีฝึกจิต ๒ วิธี
    ภาพนี้ อุปมากายเป็นต้นไม้มีโพลง มีงู คือจิต อาศัยโพรงละตัว ต้นหนึ่งมีคนถือแก้วชูอยู่ข้างหน้างู, อีกต้นหนึ่งมีคนถือขวานจ่ออยู่ต่อหน้างู.
    ตัวเรื่องมีคติอยู่ว่า จิตนี้เปรียบเหมือนงูพิษ อาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งเปรียบได้กับโพรงไม้. คนเรามีหน้าที่จะต้องจัดการฝักฝนบังคับควบคุมจิต จะต้องใช้ธรรมะเป็นอุบาย ทั้งนิคคหะและปัคคหะตามโอกาสซึ่งบางคราวก็ต้อง ข่ม อย่างเข้มแข็ง ด้วยการใช้อาวุธเหมือนกับถือขวานเข้าไปจ่อที่หน้างู เพื่อทำลายงูพิษ อันได้แก่. "ตัวตน-ของตน" ในอุบายของนิคคหะ. บางคราวก็ใช้ยกย่อง ประคอง ปลอบโยน ประเล้าประโลม เพื่อบรรเทาพิษร้ายของ "ตัวตน-ของตน" ให้เบาบางลง เหมือนกับถือแก้วเข้าไป, ในอุบายปัคคหะ. จึงแสดงอุบายไว้ ๒ แบบ คือต้องใช้อุบายทั้งปลอบประโลม, และข่มขี่ บีบบังคับ สับโขก ให้เหมาะสมแก่โอกาสจึงจะได้ผล.
    พระ ๓ รูปข้างบนนั้น เป็นภาพของพระโยคาวจร ผู้นั้งสมาธิฝึกฝนจิต. บางทีเขียนเป็นรูปฤาษีก็มี แต่ไม่ต้องนึกถึงนัก รวมความว่าเป็นผู้นั่งเพ่งเห็นความจริงในสิ่งเหล่านี้, คือรู้ความจริงอย่างยิ่ง ของใจก็แล้วกัน.
    มี อสุภ ๒ ตัว นอนอยู่ แสดงว่าเป็นเครื่องมือฝึกฝนจิต คือ อสุภกัมมัฏฐาน เพื่อใช้พิจารณาให้เห็นความจริงของร่างกายที่ไม่มีสาระแก่นสาร.
    ถ้าถามว่า นี้ภาพอะไร? ตอบว่า ภาพอุปมาวิธีฝึกฝนจิต โดยเปรียบเทียบจิตเป็นพิษงู แสดงการบังคับควบคุมจิต ถ้าฝึกดีก็จะสำเร็จประโยชน์ ถ้าฝึกไม่ดี ผู้ฝึกจะต้องตายเอง หมายความว่าถูกงูกัด คือมีจิตฟุ้งซ่าน ถึงวิกลจริตวิการไป ถ้าทำถูกก็สำเร็จประโยชน์ตามประสงค์.
    อุบายที่จะฝึกมี ๒ แบบ คือข่มขี่แบบหนึ่ง, ยกย่องปลอบโยนเล้าโลมแบบหนึ่ง. ภาพแสดงซ้ำๆเช่นนี้ เพื่อให้ผู้ที่ได้รู้ได้เห็นภาพจำติดตา เก็บไปเป็นความรู้ทางธรรมะ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของตนเอง หรือสอนธรรมะด้วยภาพ เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป.
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    มุมขันวันเสาร์


    ปริศนาธรรม...3 นิ้ว!


    <TABLE cellPadding=5 align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: rgb(204,204,204) 1pt solid; BORDER-TOP: rgb(204,204,204) 1pt solid; BORDER-LEFT: rgb(204,204,204) 1pt solid; BORDER-BOTTOM: rgb(204,204,204) 1pt solid" align=middle bgColor=white>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต</TD></TR></TBODY></TABLE>..... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ณ วัดร้างกลางทางระหว่างมณฑล มีพระจีนผู้พี่และผู้น้องบำเพ็ญตบะอยู่...

    ผู้พี่นั้นใจดีมีเมตตา ส่วนผู้น้องซึ่งมีตาซ้ายบอดสนิทเหลือตาขวาข้างเดียว เป็นผู้ชอบแสดงตนว่ามีภูมิธรรมสูง...ชอบลองภูมิเอาชนะผู้อื่นอยู่เป็นนิจ โดยเฉพาะอาคันตุกะผู้มาเยือน ถ้าประสงค์จะขอค้างแรมที่วัดนี้ จำต้องผ่านด่านทดสอบปริศนาธรรมกับพระผู้น้องท่านนี้เสียก่อน...

    และแล้ว วันหนึ่งมีบัณฑิตหนุ่มได้เดินทางผ่านมาใกล้ค่ำจึงเข้าพบพระผู้พี่เพื่อขอ ค้างแรม...เมื่อทราบกฎกติกามารยาทตามเงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว ก็นึกยิ้มย่องในใจว่าภูมิปัญญาระดับเราต้องชนะการประลองแน่ เพราะเราก็ฉลาดพอตัว...! จึงรีบเดินไปพบพระผู้น้องทันที...!

    เมื่อทั้งสองประจันหน้ากันเหมือนดั่งจอมยุทธผู้กล้า ต่างสอดส่ายสายตาจับจ้องซึ่งกันและกัน...บัณฑิตหนุ่มคิดในใจว่า...(ศึกครั้ง นี้ใหญ่หลวงนัก...หากแพ้เราคงจะเสียชื่อเสียงเป็นที่น่าอับอาย...ฉะนั้น การชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ!...)

    และแล้วบัณฑิตหนุ่มจึงเปิดฉากก่อนเริ่มบรรเลงเพลงยุทธสื่อความหมายแทนใจทันที...พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก...

    บัณฑิตหนุ่ม : ...(ยกแขนขวาแล้ว "ชูนิ้วชี้" ขึ้น...หมายถึง 1 คือพระพุทธ !)

    พระผู้น้อง : ...(ยืนจ้องหน้า...แล้ว ชูขึ้น 2 นิ้ว !!...)

    บัณฑิตหนุ่ม : ...(รู้สึกไม่มั่นใจ...แต่ก็ยังไม่ถอย...พร้อมกับชูขึ้น 3 นิ้ว!!!)

    พระผู้น้อง : ...(สายตาจ้องเขม็ง...กลั้นหายใจ...แล้วยกมือขวาขึ้นกำแน่น!)

    ...และแล้ว...บัณฑิตหนุ่มก็รู้สึกตะลึงกับการพ่ายแพ้อย่างหมดรูป รีบวิ่งกลับไปด้วยความอับอายในภูมิปัญญาของตนเอง..เมื่อพบพระผู้พี่จึง บอกกล่าวอำลา พร้อมกับยกย่องภูมิธรรมพระผู้น้องว่า...

    บัณฑิตหนุ่ม : ..."เราทะนงตัวเกินไป...ชู 1 นิ้ว...หมายถึงพระพุทธ!...เขาก็ แน่ชูกลับมา 2 นิ้ว...หมายถึงมีพระพุทธ ก็ต้องมีพระธรรม!! เราชู 3 นิ้ว...หมายถึง มีพระพุทธพระธรรม ก็ต้องมีพระสงฆ์!!!...เขายกมือขึ้นกำแน่น...เราเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่า... พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว!...เราขอยอมแพ้...ผู้น้อยขออำลา...

    หลังจากบัณฑิตหนุ่มเดินลับสายตาไปแล้ว...ก็มีเสียงตะโกนขึ้นมา...
    "มันอยู่ไหนๆ...!?"

    พระผู้พี่ : ..."ร้องเรียกทำไม...เขาไปแล้ว...เจ้าชนะเขาคงสะใจล่ะซี!...วิ่งมาหอบเชียว!?"

    พระผู้น้อง : ..."ชนะกับผีอะไรล่ะ...!...ยั้วะถึงขีดสุดแล้ว...จะมาชกหน้ามันนี่แหล่ะ!"

    พระผู้พี่: ..."อ้าว..มันยังไงกันล่ะนี่...?!"

    พระผู้น้อง : ..."ท่านพี่...ลองคิดดูสิ!...ฉันไม่เคยรู้จักมันเลย..อยู่ดีๆมันก็มายืนยิ้มเยาะชู 1 นิ้ว...ล้อเลียนว่าฉันมีตาเดียว...! ฉันอุตส่าห์ข่มใจนิดนึง...แถม ชู 2 นิ้ว...ว่าเขาโชคดีที่มีครบ 2 ตา!!! มันยังดันทะลึ่ง ชูกลับมา 3 นิ้ว... หาว่าฉันกับมันรวมกันแล้วมีแค่ 3 ตา...!!!...ฉันงี้สุดทนชูกำปั้นขึ้นมา...มันก็ตกใจวิ่งหนี...ฉันก็รีบตามมา เนี่ย...โอย...เหนื่อย!"
    พระผู้พี่: "...!?!..." ...(ส่ายหัว...)..."โอ..อมิตตาพุทธ...เวรกรรมๆ (ปัญญาสูงทั้งคู่!!).."
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.kroobannok.com/view.php?article_id=2833
     
  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]


    ส่วนของคุณโอลีฟที่ PM ผู้ร่วมทำบุญกับคุณโอลีฟ ก็ขอนำรายชื่อมาประกาศเพื่อโมทนาบุญร่าวกันดังนี้ครับ

    ขอแจ้งรายชื่อผู้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิ วันที่ 20 มีนาคม 2552 จำนวน 2000 บาทมีรายนามดังนี้ค่ะ

    นายประทีป โอฬารวณิช
    นางสุปราณี โอฬารวณิช
    น.ส.อรอนงค์ โอฬารวณิช
    นายดีเอนก โอฬารวณิช
    นางนงลักษณ์ โอฬารวณิช
    และ พนักงานปั้มเชลล์บุรีรัมย์

    รายชื่อผู้ร่วมทำบุญเพิ่มเติม 700 บาทค่ะ

    อรทัย ทองกู้เกียรติกูล และครอบครัว 500 บาท
    สืบศักดิ์ โอฬารวณิช 200 บาท

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ส่วนนี้เป็นข้อมูลทางบัญชีของที่ทางทุนนิธิฯขอนำเสนอเพื่อแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ได้เจอรูปที่ถ่ายได้คมชัด เป็นพระพิมพ์สมเด็จสกุลกรมท่า พิมพ์ฐานคู่ สภาพสวยสมบูรณ์ในเวบนึง เลยแอบลงมาให้ดูกันเพื่อการศึกษา สำหรับบุคคลทั่วไป และนักเรียนดูพระของทุนนิธิฯ สภาพนี้ยังหาได้ในราคา ไม่เกิน 10.-แถวด้านข้างกำแพง มธ. ท่าพระจันทร์ แต่พลัง "ทิพย์" ขององค์ผู้เสกนับล้านเท่า เบี้ยน้อยหอยน้อย เอาท่านเก็บไว้เป็นที่ระลึก ราคาเท่ากระทิงแดงหนึ่งขวดเท่านั้น ขอให้จำความเก่าของรักให้ได้ ดูเนื้อให้ได้ ดูด้านข้างให้ดี อย่าเพิ่งจำพิมพ์เพราะมีหลายพิมพ์ ลองย้อนเข้าไปในบทความเก่าๆ ในกระทู้นี้ดู แล้วทีนี้ล่ะ ตกปลาเองได้แล้ว(กระทู้นี้ไม่มีให้เช่าบูชาแต่อย่างใด)


    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอขอบคุณ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ความเก่าของพระสกุลนี้ เมื่อพิจารณาจากด้านข้าง


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  9. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    นำรูปมาให้เป็นหลักฐานการทำบุญกับร.พ.ศิริราชครับ โดยจะเข้ากองทุนสงเคราะห์พระกรรมฐาน เพื่อเป็นเงินที่ใช้สำหรับสงฆ์อาพาธโดยตรง
    ดังที่มูลนิธิตั้งใจครับ ทั้งนี้ใบอนุโมทนานั้นให้ออกในนามของ ทุนนิธิสงฆ์อาพาธครับ
    ซึ่งโอกาสหน้าที่ได้พบกันจะนำใบอนุโมทนาบัตรนี้ไปมอบให้กับทางทุนนิธิครับ
    โมทนาสาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMAGE_046.jpg
      IMAGE_046.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.6 KB
      เปิดดู:
      245
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    ลืมขอบคุณก๊วนบุญขาประจำของเราไป ขอโทษด้วยครับ เท่าที่จำได้ทำบุญสม่ำเสมอมากบ้างน้อยบ้าง ไม่ขาดทุกเดือนอย่างนี้ นับถือครับ


    [​IMG]
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]

    ภาพที่ ๔
    อุปมา ค่าของสิ่งปฎิกูล คือกาย
    ภาพคนถือดอกบัวท่าต่างๆ ศพเน่าขึ้นพองอืดลอยน้ำ และคนยืนอยู่ที่ฝั่งน้ำนั้น
    เรื่องมีอยู่ว่า นายคนนี้ถูกโจร ๕ คนไล่ฆ่า. เขาหนีโจรมาถึงริมตลิ่ง บังเอิญมีศพเน่าพองอืดลอยมา เขานึกได้ก็กระโจนขึ้นขี่ศพ ใช้มือ เท้า พุ้ยน้ำ ดันศพลอยข้ามฟาก พ้นจากเงื้อมมือโจร หรือพ้นจากวัฎฎสงสารไปสู่นิพพาน.
    โจร ๕ คน ได้แก่ นก ๕ ตัว บินไล่หลังตามกันอยู่ไนวงกลม, แสดงว่า เป็นตัวทุกข์ คืออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เพราะหลงยึดถือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ รวมเป็นกลุ่มขันธ์ทั้ง ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทานยึดครอง บินไล่ตามกันอยู่ ไม่ออกจากวงกลม จึงเป็นความทุกข์เสมอ. ความทุกข์ที่แท้ท่านแสดงด้วยปัญจุปาทานขันธ์ จึงเป็นการลึกซึ้งและถูกต้อง. ไม่แสดงเพียงว่าให้ชัดต้องว่า "สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา" - ที่แท้ เบญจขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานเป็นตัวทุกข์.
    เรื่องนี้มุ่งแสดงว่า ร่างกายเปรียบด้วยศพเน่า, ใช้เป็นพาหนะข้ามฟากจากวัฏฏสงสารไปสู่นิพพาน. ตามหลักธรรมะถือว่าร่างกายนี้เป็นของเน่า เป็นปฏิกูลอยู่โดยธรรมชาติ จนต้องอาบ ต้องล้าง ต้องลูบไล้, เพราะฉะนั้นจึงถูกเปรียบเทียบด้วยซากศพ. ในที่นี้ต้องการให้ทราบว่า ซากศพนั้นมิใช่ไม่มีค่า. ถ้าอาศัยซากศพเน่าเหม็น อืด นี้ ให้ถูกต้องแล้วก็เอาตังรอด หนีพ้นโจรคืออุปาทานไปสู่นิพพานได้.
    ความสำคัญมุ่งจะสอนก็คือ อย่าไปหลงรักร่างกายนัก เช่นไปบำรุงบำเรอมันมาก จนเป็นกามสุขัลลิกานุโยค, นิยมวัตถุจนเป็นทาสร่างกายมากเกินไปก็ผิด. หรืออีกทางหนึ่งก็เป็น อัตตกิลมถานุโยค, ทรมานมันมากเกินไปจนเสื่อมสมรรถภาพ ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ต้องปฏิบัติให้พอดีพอเหมาะกับที่มันเป็นปฏิกูล รีบใช้อาศัยเป็นเครื่องมือข้ามฟากหนีพ้นจากความทุกข์ บรรลุนิพพานให้ได้.
    ภาพคนถือดอกบัวในท่าต่างๆ หมายความว่า คนเหล่านี้มีปัญญา ดอกบัวเป็นเครื่องหมายของปัญญา หรือที่เรียกว่า พระโยคาวจรผู้มีปัญญา บางทีเขียนเป็นรูปฤาษี เป็นคนชาวบ้านก็มี หรือภิกษุนั่งมีดอกบัวข้างๆ แม้แต่เด็กเล็กๆก็ยังถือดอกบัว. ผู้ถือดอกบัวในมือแสดงว่าเขามีปัญญา ถ้าทำให้ถูกวิธีแล้วก็บรรลุมรรคผลได้.
    สรุปเป็นธรรมะชั้นสูงก็คือ อาศัยร่างกายเป็นที่ดำรงชีวิตอยู่แล้วรีบศึกษาปฏิบัติธรรมเพิ่มเติม จนเกิดปัญญาบรรลุมรรคผลนิพพานไปเลย.

     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ที่มาของคำภาวนา "พุทโธ"

    <TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 width=275><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on"></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]



    "พุทโธ"คำภาวนานี้คนไทยทั่วประเทศล้วนรู้จักดีว่าเป็นคำภาวนาที่ใช้บริกรรมของสายพระป่า คำภาวนาว่า"พุทโธ" มีมาตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ที่สอนให้หลวงปู่มั่น จากนั้นหลวงปู่มั่นท่านสอนให้พระลูกศิษย์รูปอื่นๆ จนบรรลุธรรมไปจำนวนมาก แต่ไม่มีใครทราบที่ไปที่มาของคำภาวนาพุทโธ แม้จะมีญาติโยมพยายามสอบถามหลวงปู่ใหญ่ ท่านก็ไม่ยอมตอบคำถาม กลับตอบมาว่า

    " ถามไปแล้วจะได้อะไร เอาเวลาไปภาวนาพุทโธไม่ดีกว่าหรือ"

    หลายคนไม่เพียงสงสัยว่าพุทโธมาจากไหน ยังสงสัยต่อไปว่าทำไมต้องใช้คำว่า"พุทโธ" ใช้คำอื่นภาวนาแทนไม่ได้หรือ เรื่องคำภาวนาพุทโธนี้ แม้แต่หลวงพ่อพุธแห่งวัดป่าสาละวัน ขณะที่เรียนปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ใหญ่ก็อดสงสัยไม่ได้ ยามมีโอกาสจึงสอบถาม หลวงปู่เสาร์ว่า
    " ทำไมจึงต้องภาวนาคำว่าพุทโธ"




    [​IMG]



    หลวงปู่ใหญ่อารมณ์ดีตอบคำถามข้อนี้ว่า


    " ที่ให้ภาวนาพุทโธนั้นเพราะพุทโธเป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือ พ - พาน สระอุ ท - ทหาร สะกดสระโอ ตัว ธ - ธง อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้ว มันสงบวูบลงไป นิ่งสว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน พอหลังจากนั้น คำว่าพุทโธมันก็หายไป
    แล้วทำไมมันถึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นจิตพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำให้จิตเป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของผู้ภาวนา

    พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ แถมมีปีติมีความสุข อย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติ เกิดขึ้นที่จิตแล้วพุทโธแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิต มันใกล้กับความจริง"



    [​IMG]





    จากนั้นหลวงปู่เสาร์ได้อธิบายต่อ สำหรับผู้ที่ภาวนา พุทโธๆๆใหม่ จิตยังไม่เชื่อง จิตไม่สามารถเข้าสู่ความสงบละวางคำภาวนาได้ดังนี้

    " แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆๆ ในขณะที่จิตไม่เป็นเช่นนั้นที่เราต้องมาบ่นว่าพุทโธนั้นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนี้ เราก็ต้องท่องพุทโธๆๆๆ เหมือนกับว่าเราต้องการพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา หรือเขายังไม่มาหาเรา
    เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้เมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว

    ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเรียกชื่อเขาอีก ถ้ายืนเรียกซ้ำๆเขาจะหาว่าเราบ่นร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา




    [​IMG]




    ทีนี้ในทำนองเดียวกัน ในเมื่อเราเรียกพุทโธๆๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง

    ทีนี้พอเรามีความรู้สึกแทรกขึ้นมา เอ้า! ควรจะนึกพุทโธอีก
    พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้ สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบาน จะหายไป เพราะสมาธิถอน"

    พอหลวงปู่ใหญ่อธิบายถึงตรงนี้ ท่านก็สอนวิธีการแก้ไข สำหรับนักภาวนาบางคนกลัวคำภาวนา"พุทโธ" จะหายไปจากใจเมื่อจิตจะนิ่งสว่างไปแล้วยังไปบริกรรมพุทโธจนจิตหลุดท่านแก้ไขทางจิตภาวนาดังนี้

    " ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไป จิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น

    ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไปจิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น ถ้าจิตส่งกระแสออก ( จะ) เกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งมาเข้าข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับไต ไส้ พุง เห็นหมด

    แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี้เหมือนกับแก้วโปร่ง ดวงจิตที่สงบสว่างเหมือนกับดวงไฟที่จุดใว้ในครอบแก้ว สมารถเปล่งรัศมีออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้วจึงเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียว ร่างกายตัวตนหายหมด

    ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอดีจะเกิดความรู้ ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตนเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป"



    [​IMG]


    คำสอนครั้งสำคัญนี้ถือเป็นกุญแจภาวนาทีเดียว สามารถแก้ไขการติดขัดข้องทั้งปวงได้ รวมยอดเข้าถึงวิปัสสนาโดยตรง รวมถึงแก้ไขอาการเกิดนิมิต และติดนิมิตสำหรับนักภาวนาบางคนอีกด้วย

    ขอขอบคุณ

    http://board.agalico.com/showthread.php?t=18718
     
  13. zeedflower

    zeedflower สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +14
    อยู่ที่นี่นี่เอง ผมโอมครับ

    ผมเคยสมัครนานแล้ว เวปนี้ดีครับคุ้นเคยอยู่ ok เลยครับ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    วางแล้วว่าง หรือว่างแล้ววาง ดีทั้งนั้น จะลองดูก็ได้ พอทำได้ แล้วมาวางให้รู้กันบ้างจะเป็นบุญแก่ตนและคนอื่น...


    แต่ก่อนเคย อวดตัว อวดศักดิ์ศรี
    อวดเราดี มีวิชา ว่าเราเด่น
    มาวันนี้ต้องสงบ ทุกท่าเป็น
    เพราะกรรมเห็น นั้นหนาพาเนิ่นนาน

    ความ พ้น จริงต้องได้จากใจนี่
    ใจที่มีความรู้ ความผ่องแผ้ว
    เห็นความทุกข์ ทั้งหลายเข้าใจแล้ว
    ใจจึงแค้ลวจากทุกข์ได้สุขไป

    ความไม่ว่าง เกิดขึ้นอยู่ในกายนี่
    เป็นเช่นนี้ ทุกวันไม่ห่างหาย
    เพราะผัสสะนั่นมีอยู่ จึงเกิดกาย
    ไม่ทำลายปล่อยมันเกิด กำเนิดไป

    มันจะเกิด มันจะดับ กำกับรู้
    ใจเราดูอยู่เฉย ไม่สงสัย
    ใจรู้เห็นตามจริง จริงเช่นไร
    ปล่อยเกิดไป ไม่ปรุงแต่งตามที่มา

    ได้ความว่าง เพราะวางได้ ไม่สงสัย
    จึงคลายใจออกมา หาสันติ
    ระงับ กาย วาจา ใจ ได้เหตุดี
    เส้นทางนี้จึงสงบพบธรรมเอย
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ...จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ย่อมให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น...

    จิตคือพุทธะ
    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD colSpan=3>

    เมื่อหลวงพ่อฤาษีฯ เล่าเรื่อง
    </TD></TR><TR><TD height=33></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE class=webbody cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD class=webbody width=749 height=33>
    <!-- #BeginEditable "Title" -->ฌาน - เทวดา - พรหม<!-- #EndEditable -->​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=206></TD><TD vAlign=top colSpan=3><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><!--DWLayoutTable--><TBODY><TR><TD vAlign=top><!-- #BeginEditable "detail" -->

    (หลวงพ่อเล่าเมื่อ 10 สิงหาคม 2520)
    วันนี้เปิดเทปหลวงพ่อตื้อฟัง มีคนเขาเอามาให้ ท่านบอกว่า "พุทโธ" แต่พุทโธก็อย่าให้ถึง ธัมโม นะ อันนั้นของท่านถูก เพราะถ้าจิตใจเราภาวนาว่า พุทโธ แล้วไปนึกเอาธัมโมเข้า ก็แสดงว่า จิตเคลื่อน จากสมาธิ เมื่อพุทโธ ก็ต้องพุทโธ อยู่ตลอดเวลา ขณะใดที่ยังพุทโธอยู่ ขณะนั้นคือ จิตเป็นฌาน
    ไอ้คำว่า "ฌาน" ภาษาบาลีว่า ฌานัง แปลว่า เพ่ง "เพ่ง" นี้ ไม่ใช่ เอาตาไปจ้อง แต่ให้เอาใจไปจ้อง คือ ใจนึกอยู่เสมอ นี่แหละตัวฌาน คือ ใจนึกอยู่ว่า เราภาวนายังไง ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าเราก็นึกว่า พุทโธ นึกถึง พระธรรมเราก็นึกว่า ธัมโม นึกถึงพระสงฆ์เราก็นึกว่า สังโฆ ทีนี้ถ้าเรากำลังนึกว่า พุทโธ ก็อย่าให้กลายเป็น ธัมโม สังโฆ ออกมาด้วย ถ้ามันส่ายในอารมณ์ แบบนี้ก็ชื่อว่า จิตไม่ทรงสมาธิ เว้นไว้ แต่ว่า เราจะตั้งใจนึกถึง พระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ คือ ทั้ง พุทโธ ธัมโม และ สังโฆ ถ้าตั้งใจแบบนี้ เราก็ย่ำเท้า 3 จุดเลยไม่ให้พลาด นี่ก็เป็นสมาธิเหมือนกัน ใช้ได้ ถ้ามันผิดพลาดจากเจตนาเดิม เราถือว่า คลาดจากสมาธิ
    อารมณ์ฌานนี่ก็ไม่มีอะไร ความจริงมันของง่าย ๆ พูดให้มันยาก "การตั้งใจไว้โดยเฉพาะ" นั่นคือ ฌาน ฌาน คือ การทรงอารมณ์อยู่ การทรงอารมณ์อยู่เรียกว่า การเพ่ง คือ การตั้งใจไว้ นี่มัน ฌานเล็ก คือ ปฐมฌาน ถ้าถึงทุติยฌานแล้ว จะตั้งใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ตาม มันหยุดภาวนา คือ ภาวนาไป ๆ มัน หายไปเองเฉย ๆ อีตัวหายไปเฉย ๆ นี่เขาเรียกว่า ตัด วิตกวิจาร ปฐมฌาน มี วิตกวิจาร วิตก คือ ตัวนึก วิจาร ว่า ใคร่ครวญ เรานึกว่า จะภาวนาพุทโธ และขณะภาวนาก็ใคร่ครวญว่า เอ๊ะ นี่เราว่า ครบไหม เราว่า พุทโธนี่ เราว่าอยู่หรือเปล่า แล้วจะครบไหม ไอ้นี่เป็น วิจาร
    พอถึง ทุติยฌาน วิตก หริอ วิจาร หยุดไป ไม่ใช่เราเลิก ต้องให้เลิกเอง เมื่อวิตกวิจารเราเลิก คำภาวนาก็หายไป เพราะว่า คำภาวนา มันเป็นวิตกวิจาร วิตกวิจารหายไป แต่จิต มันเป็นสมาธิดีขึ้น มีความชุ่มชื่น ทรงตัวดีกว่า แต่ว่าถึงฌาน 2 ใหม่นี่นะ พอจิตมันตกกลับไปถึง ปฐมฌาน มีอารมณ์นึกขึ้นมาว่า อ้าว ตาย จริงนี่ ลืมภาวนาเสียแล้ว จับต้นชนปลายไม่ถูก เอ๊ะ นี่ เราไม่ได้ภาวนา เสียแล้วนี่ เสร็จ! ไปเจอะเอาเพชรเข้านึกว่า ราคาถูกกว่าขี้เสียแล้ว
    ทีนี้พอถึงฌานที่ 3 ความชุ่มชื่นหายไป มีอาการคล้าย ๆ กับตัวตึงเป๋ง ความจริงตัวมันปกติ แต่จิตมันตั้ง มั่นมาก มีอาการทรงตัวเป๋ง หูได้ยินเสียงภายนอกน้อย ลมหายใจเบา อารมณ์มันทรงสบาย ใครจะกระโดด โลดเต้นไงก็ตาม ไอ้ตัวนี้ไม่รำคาญ เรานอนอยู่เขากระโดดตึง ๆ ไอ้ตัวนี้เฉย มันรู้ว่า เขาโดดแต่ได้ยินเสียงไม่ชัด
    ทีนี้พอถึงฌานที่ 4 กายกับใจมันแยกเด็ดขาด ความจริงกายกับใจมัน เริ่มแยกกันตั้งแต่ฌานที่ 1 แล้วคือ ตามปกติ เราได้ยินเสียงรบกวนนี่ เรารำคาญ ทีนี้ในฌานที่ 1 ได้ ยินเสียงไม่รำคาญ แสดงว่า จิตมันเริ่ม แยกจากกายนิดหน่อย พอฌานที่ 2 ตัดวิตกวิจาร มีความชุ่มชื่น มีการทรงตัว มากขึ้น ก็แยกกันไกลออกไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในตัว ยังรับรู้เรื่องของประสาท ฌานที่ 3 มีอาการทรงตัวมากขึ้น แต่ยังรับอาการของประสาทเบาๆ พอฌานที่ 4 จิตมันแยกกับกายเลย ไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาททั้งหมด ยุงกินริ้นกัดไม่รู้หรอก เสียงดังโครมคราม แม้แต่เสียงปืนใหญ่ เสียงระเบิดลงใกล้ ๆ มันก็ไม่ได้ยิน ถ้าหากเป็นฌาน 4 ละเอียดนะ เมื่อจิตมันแยกกับกายเด็ดขาด ท่านจึงถือว่า ฌาน 4 เป็นฌานสำคัญ เวลาที่เราจะถอดตัวข้างใน ออกไปเที่ยวข้างนอกก็ต้องเข้าถึงฌาน 4 เวลาพระพุทธเจ้านิพพานก็ฌาน 4 พระอรหันต์ ถ้าท่านทรงตั้งแต่ฌาน 4 ขึ้นไป ท่านก็ต้องถอยกลับมาออกตรงฌาน 4 นี่แหละ ออกตรงอื่นไม่ได้ เว้นแต่ท่านที่ได้ไม่ถึงฌาน 4 ก็ไปตามกำลังของฌาน
    คนที่ตายด้วยกำลังของฌาน เขาไม่ได้ตายอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ เพียงแต่ตั้งท่าไปเฉยๆ เท่านั้น คือ ครั้ง แรกเขาใคร่ครวญดูก่อนว่า จะไปที่ไหน เมื่อเห็นจุดที่จะไปแล้วก็ดูว่า จะไปหรือยัง ควรไปหรือไม่ควรไป จะไปหรือจะอยู่ เขาว่ากันว่ายังงี้นะ บอกว่า ไม่ได้ตายส่งเดชอย่างชาวบ้านนี่ เขาไม่ได้มีอารมณ์เศร้า เขาเห็นจุดที่จะไป แหม สวยสดงดงาม ถ้าเรามองดูบ้านที่เราอยู่ ไม่ต้องบ้านหรอก เอาพระราชฐานก็ได้ดู พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ที่เราว่าสง่าที่สุดในเมืองไทย นึกให้ข้างในประดับด้วยทองคำ แม้เพชรนิลจินดาก็มี เยอะแยะแต่ว่า บ้านเทวดา บ้านเล็กๆ ที่นับว่า เป็นกระต๊อบที่สุดน่ะ มันสวยกว่านั่นเยอะ
    กระต๊อบที่มีค่าต่ำที่สุดของเทวดา ก็คือของ ภุมมเทวดาจตุมหาราช นี่อย่างเลวที่สุดนะ เป็นกระต๊อบเงินล้วนๆ วิมานเงินนี่เขาถือว่า เป็นกระต๊อบเล็กที่สุด ถ้าว่ากันตั้งแต่ดาวดึงส์ขึ้นไป ถือว่าทองคำล้วนเป็นกระต๊อบเล็กที่สุด นี่แหม ถ้าเราไปขโมยกระได จากวิมานใครมาได้สักคนละก็ เห็นจะรวยสะบัด
    ต่อจากนั้น ขยับขึ้นไปเป็นวิมานแก้ว ก็ดูกันตรงที่ว่า วิมานเป็นแก้วชนิดอะไรกัน ไม่ได้ดูว่า เป็นทองคำหรือเปล่าเสียแล้ว เพราะวิมานทองคำนี่แย่เต็มที เป็นเทวดาที่จนที่สุดเขาดูกันว่า เป็นแก้ว 3 ประการ แก้ว 5 ประการ หรือแก้ว 7 ประการ ถ้าเป็นแก้ว 7 ประการก็ถือว่า เป็นเทวดาชั้นโลกีย์อันดับสูงสุด
    ทีนี้ก็มีเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าอีก เทวดาชั้นพระอริยเจ้านี่ ก็มีได้ตั้งแต่ ภุมมเทวดา ขึ้นไปนะ อย่าไปนึกว่า ภุมมเทวดา ท่านต่ำนะ บางองค์เป็นพระอนาคามีก็มี ต้องระวังให้ดีพวกที่บอกว่า
    ไหว้พระภูมิไม่เป็นเรื่องน่ะ ดีไม่ดีไปไหว้เอาพรหมที่ไม่เป็นเรื่องเข้า เพราะเป็นพรหมที่ได้ฌานโลกีย์ มีค่าเท่าพระอริยะเมื่อไหร่ อยู่ชั้นสูงก็จริงแต่คุณสมบัติไม่เท่ากัน
    ทำไมพระอริยะองค์นี้ถึงไปเป็นแค่ภุมมเทวดา? เขาบอกว่า เวลาออกไปจากกาย แกคลานเตาะแตะไปน่ะ แกเลยไปสร้างบ้านอยู่ใกล้ ๆ ไปไกลกับเขาไม่ได้ ตอนที่สร้างบ้านเสร็จ ถึงแม้จะเป็นกระต๊อบ แต่พ่อดัน เก็บเงินมาก เป็นมหาเศรษฐี แบบผ้าขี้ริ้วห่อทองใช่ไหม
    ไปสร้างบารมีใหม่นี่ เขาทำได้นี่ แต่ก็ไม่แน่นัก บางทีพระอริยเจ้าบางองค์ ตัวอย่าง เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็น พระโสดาบัน เวลาตายก็ทรงอยู่ในฌาน 4 ที่ถูกจะต้อง เป็นพรหมชั้นที่ 11 ถูกไหม เป็น รหมแบบพระอริยเจ้าด้วย แต่ว่า ขณะที่ทรงฌาน 4 อยู่เขารู้มานานแล้วว่า เขาจะไปไหน รู้มานาน ก่อนตาย แต่ท่านก็เกิดรู้ขึ้น ตอนที่จะออกจากร่างว่า ก่อนที่ท่านจะมาเกิดเป็นคนนี่ ท่านมาจาก จาตุมหาราช ในเขตของ ท้าวเวสสุวัณองค์เดิม ท้าวเวสสุวัณองค์เดิม ก็คือ ท้าวมหาชมพู ตอนนั้นท่านเป็น อินทกะ อยู่แล้วท่านลงมาเกิดเป็นคน ทีนี้ท่านก็เลยนึกว่า ไอ้บ้านพรหมนั้น ก็ช่างเถอะ ไม่ไปละ อยู่บ้านเก่าดีกว่า ก็เลยไม่ไปพรหม พ่อแวะเสียที่ จาตุมหาราชนี่ เวลานี้ก็เลยเป็น ท้าวเวสสุวัณ
    เมื่อ 2-3 ปี เดี๋ยวก่อน ปี 09 ปีนั้น นึกฟิตขึ้นมายังไงไม่รู้ ไปไหนๆ ไปได้ แต่จาตุมหาราชไม่ได้ไปสักที จะไปกลางคืนก็ไปไม่ได้ เพราะฝึกกรรมฐานแบบนี้ มันใช้เวลาน้อยเมื่อไหร่ เลยไปมันกลางวัน
    วันนั้นสั่งเณร ใส่กุญแจกุฏิด้านนอก ตัวเองนอนอยู่ข้างใน ใครมาจะได้นึกว่า ไม่อยู่โกหกชาวบ้านเขา ย่องไปดูสักทีว่า ไอ้จาตุมหาราชน่ะ มันมีอะไรกันแน่ ออกปั๊บไปทางตะวันออกเห็น ท้าวธตรฐ เอ๊ะนุ่งกางเกง ตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ แล้วกัน ไม่ใช่ผ้าเตี่ยวนะ เป็นกางเกงขายาว ทักว่า เอ๊ะ! เทวดานี่ ทำไมไม่ใส่ชฎา ไม่ใส่เสื้อเล่า ท่านก็ตอบว่า แล้วกัน นั่งใส่ชฎากันอยู่เรื่อย ยังไงกัน เทวดาก็เหมือนคน น่ะแหละ ถึงเวลาก็ใส่ ไม่ถึงเวลาก็ไม่ใส่ เราก็นึกในใจว่า อือ เห็นเทวดาตามข้างโบสถ์เขาใส่ชฎาเรื่อยนี่ ถามท่านว่า ลูกน้องไปไหนหมด ท่านบอกว่า อยู่ตามเขต แล้วย้อนถามว่า มาไงล่ะ ตอบท่านว่า ไม่รู้ซี เคยแต่เลยไปทุกที ไม่เคย แวะเลย วันนี้ลองแวะดูที อีแถวนี้รู้สึกว่า พวกเก่าเยอะ คุยกันประเดี๋ยวท่านก็บอกให้ไป คุยนานไม่ได้
    ไปหา ท้าววิรูปักษ์ อยากจะดู "นาค" พวกนั้นสักหน่อยว่า ที่เรียกว่า นาคๆ น่ะ นาคแบบไหน ก็ไม่เห็นมี นาค สักตัวเดียว มีแต่เทวดา ถามท่านว่า ทำไมเรียกว่า นาค ล่ะ ท่านตอบว่า "นาคะ" แปลว่า ประเสริฐ หมายถึง เทวดา พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์ อะไรนี่ ก็เทวดา
    ยักษ์ เขาแปลว่า บุคคลผู้ควรบูชา ไม่เห็นมีเขี้ยวนี่ สวยจะตายไป
    เสร็จแล้วไปโน่น ท้าวเวสสุวัณ พอเข้าเขต พรรคพวกก็ไชโยเลย เพื่อนเก่ามาแล้ว เราเคยอยู่ที่นั่น มานี่ ยี่ห้อเก่า เจี๊ยวกันใหญ่เลย ไปคุยอยู่พักหนึ่ง เราเป็นประธานเพราะอะไรรู้ไหม? เราไม่เหมือนเขานี่ ก็นั่งอยู่ที่คนเดียวน่ะซี นอกนั้นเขาพวกเดียวกันเขาก็นั่งรวมกลุ่มกัน เราเป็นประธาน ไม่ต้องให้ใครตั้ง ตั้งมัน เสียเองคุยกันไปคุยกันมา ถามท่านว่า ท้าวเวสสุวัณนี่ พระเจ้าพิมพิสารใช่ไหม? ท่านถามว่า " ทวนทำไม ?" แน่ะดุเสียด้วย ตอบว่า ไม่ใช่ทวนพึ่งจะถามนี่แหละ ท่านก็รู้แล้ว ถามทำไมล่ะ แล้วกัน ก็ถามให้รับน่ะซี แล้วถามต่อไปว่า เวลานี้ ยังเป็นพระโสดาบันอยู่รึ ท่านหัวเราะชอบใจกันทั้ง 4 องค์ แล้วก็ตอบว่า ใครเขาจะคลานขึ้นอยู่ล่ะ แล้วกันหาว่า พระโสดาบันคลานขี้เสียได้ ถามท่านว่า ทำไมล่ะ ตอบมาว่า
    ผมไม่ได้ปรารถนา พุทธภูมิ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ ก็ต่อบารมีให้สูงขึ้นไม่ได้ จะทรงบารมี หรือ ขัดบารมี ให้เป็นเทวดานั้นทำได้ แต่ต่อบารมีให้สูงขึ้นไม่ได้
    ท่านว่าผมเป็น สาวกภูมิ ธุระอะไรจะไปนั่งงอก่ออยู่แค่ พระโสดาบัน ถามท่านว่า ถ้างั้นเวลานี้ เป็นอะไร ท่านบอกว่า เป็นอนาคามี เสร็จ ! นี่เวลาเราเทศน์ เราก็เลยเทศน์โกหกชาวบ้านว่า ท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็น พระโสดาบัน เป็นไง โกหกเขาเพลินไปเลย
    เทวดา 4 เหล่า หรือ 4 ภาคนี้ เป็นทหาร เขาเรียกว่า ทหารรักษาดาวดึงส์ รักษา เวชยันตพิมาน รูปร่างแก แบ่งเป็น 2 ภาค เวลาแกแบ่งเป็น 2 ภาค เวลาแกทำหน้าที่รักษาเขต ท่าทางก็ไม่เป็นเรื่องหรอก จะเห็นสะโอดสะองหน่อยก็พวกตะวันออก พวกคนธรรพ์ ถ้าเป็นพวกท้าววิรุฬหก จะอ้วนม่อต้อ กุมภ นี่เขาแปลว่า หม้อ ไอ้ใครไม่รู้ดันไปแปลว่า ลูกอัณฑะเท่าหม้อ กุมภ นี่รูปร่างอ้วนเตี้ยเหมือนหม้อ หมอคนแปลดีนั่นเลยซวยไป เทวดาตั้งนามสกุลให้ใหม่ว่า "จงบรรลัย" เวลาที่เขารักษาเขต เขาแสดงตัวใหญ่พุงใหญ่ แต่เวลา ไปไหว้พระที่จุฬามุนี โอ๊ะ แต่งตัวก็พรหมเราดี ๆ นี่เอง ไอ้พุงปลิ้น ๆ หายไปหมด
    ลุงพุฒิ (พยายมราช) นี่ก็เถอะเวลานั่งปกติละพุงเขียวทีเดียว ชอบนุ่งผ้าพื้นผืนหนึ่ง ผ้าขาวม้าพาดบ่าปล่อยพุง วันหนึ่งย่องๆ ไปคุยกับเขา แวะประเดี๋ยวหนึ่งก็ลากกลับบอกว่า จะไปไหว้พระ แกบอกว่า ไปด้วยซี ถามแกว่า ไหว้เป็นเหมือนกันรึ แกว่า เป็นซีความจริงเขาเป็นอนาคามี และเป็นพรหมด้วย
    พอแต่งตัวเข้า ไอ้พุงปลิ้นหายไปหมดแฮะ ไม่ปลิ้นเลย กลับสะโอดสะองสวย ถามแกว่า เอ๊ะ พุงหายไปไหน แกบอกว่า ฮึ เก็บได้ แกมีอะไรขำๆ ดี วันไหนว่างงาน ถ้าไปหาแกๆ มักจะชี้หน้าเอา เจ็บใจตอนที่แกรักษา เวฬุวัน น่ะพวกเราเป็นนักรบนี่ ไปไหนก็ถืออาวุธไปด้วย พอลงไปก็เอาใบหอกตีพุงแก แกเจ็บใจบอกว่า ถ้าพลาดเมื่อไหร่จะจับยัดลง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.firstbuddha.com/Real/chan.html
     
  17. โอลีฟ

    โอลีฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +257
    ขออนุญาตินำธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ มาฝากกันค่ะ
    (เห็นพี่พันวฤทธิ์โพ้สเรื่องหลวงพ่อฤาษีพอดี ขอเกาะขบวนด้วยคนนะคะ)


    ปกิณกะธรรม <O:p</O:p
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)


    <O:p</O:p
    ๑. หนี้กรรมการฆ่าสัตว์ <O:p</O:p

    ให้จำไว้ด้วยว่า สัตว์ทุกประเภทเนื้อแท้จริง ๆ เขาเป็นคน อาศัยคนที่ทำความชั่วทำตัวให้ตกในบาปอกุศล เมื่อตกอบายภูมิคือนรกมาแล้ว ผ่านนรก ผ่านเปรต ผ่านอสุรกายมาแล้วก็มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นการชำระกรรมหนักขั้นสุดท้าย แต่ว่าไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ ชำระกรรมหนักขั้นสุดท้ายนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว เคยฆ่าปลามากี่ตัวต้องเกิดเป็นปลาให้เขาฆ่าเท่านั้นครั้ง
    <O:p</O:p
    หนักใจตรงเกิดเป็นยุงละซี่ จำไม่ได้ถือว่าต้องใช้ชีวิตตามที่ฆ่าเขา พวกทำได้กำไรที่สุดคือพวกเรือตังเก โอ้โฮ วันหนึ่งแกล่อเป็นลำ ๆ เลย ไปเห็นใจหายวาบ ไอ้สัตว์ทุกประเภทก็คือคน ก็รวมความว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันใช่ไหม ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก แล้วก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน

    <O:p</O:p
    ๒. อายุขัยและวิธีต่ออายุ <O:p</O:p

    การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไรก็ไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา การหมดบุญบารมีนั้นแม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนเป็นหนุ่มเป็นสาว บางคนวัยกลางคนบางคนก็ถึงวัยแก่ อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก คำว่าอายุขัยนี่หมายความว่า ก่อนที่จะเกิดกฎของกรรมดีหรือกรรมชั่ว กำหนดชีวิตให้มาเท่าไร ถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปี ก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วันก็ต้อง ๓ วัน นี่เป็นอายุขัย ต่อไม่ได้
    <O:p</O:p
    ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกอุปฆาตกรรมหรือว่า อกาลมรณะ อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะต่ออายุแบบนี้ก็ต่อมันทุกวันก็หมดเรื่องกัน วิธีต่อทุกวันก็หมายความว่าให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์อย่างจริงจังและต้องเว้นจากกรรมที่เป็นปาณาติบาตถ้ามีเวลาเดินผ่านไปมีใครเขาหาปลาหาเต่าที่เขาจะฆ่ามันให้ตาย ก็ซื้อพอกำลังที่เราจะซื้อได้แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะไปปล่อยในสถานที่ที่เขาจะมีความสุขในแม่น้ำก็ได้ในหนองคลองบึงก็ได้ ปล่อยให้เขารอดชีวิต
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ๓. วิธีต่ออายุป้องกันอุปฆาตกรรม <O:p</O:p

    ตามวิธีโบราณจารย์ ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า วิธีต่ออายุใหญ่ คือถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิดหรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ ทำกับข้าวทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจเท่าที่ทุนจะพึงมี จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีเงิน ก็สร้างพระพุทธรูปสักองค์ พระพุทธรูปนี้จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ พระปูนซีเมนต์ก็ได้ เป็นปูนพลาสเตอร์ก็ได้หรือพระโลหะก็ได้ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้วมีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์
    <O:p</O:p
    หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัวสองตัวตามกำลังแล้วปล่อยไป และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาที่ปกปักรักษาชีวิตเรา
    <O:p</O:p
    ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่าอุปฆาตกรรม คือกรรมที่เข้ามาลิดรอนก่อนอายุขัยก็ดี และอกาลมรณะการที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึง แค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา

    <O:p</O:p
    ๔. วิธีช่วยคนป่วยใกล้ตาย <O:p</O:p

    การช่วยคนป่วยหนักจริง ๆ อย่าปล่อยให้หนักจนกระทั่งไม่มีความรู้สึกตอนที่สติยังดีอยู่ให้นิมนต์พระไปสวดสักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่สวดพระอภิธรรมแต่เป็นการสวดพระปริตร วงสายสิญจน์ล้อมรอบ ถ้าผู้ป่วยจะต้องตายเพราะสิ้นอายุขัยก็ต้องตายแน่ สายสิญจน์ป้องกันไม่ได้ แต่ว่าถ้าท่านผู้นั้นจะตายอย่าลืมว่าคนป่วยก็เหมือนคนที่ตกน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็น เราส่งอะไรให้เกาะเขาก็จะเกาะส่งไม้ให้เกาะเธอก็เกาะ ส่งสุนัขเน่าให้เกาะเธอก็เกาะเพราะต้องการมีชีวิตอยู่ ก็เช่นกันถ้าคนป่วยเห็นพระสวดพระปริตร ก่อนสวดมีการสมาทานศีลจิตของคนป่วยในตอนนั้นก็จะรับสมาทานศีลด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ทำให้เป็นคนที่มีศีล เวลาที่มีการสวดพระปริตรจิตก็จะฟังพระสวดด้วยความเคารพจิตจะยึดอยู่กับพระ หลังจากพระกลับแล้วจิตจะจับอารมณ์นั้นตลอด ในขณะป่วยไม่มีโอกาสทำลายศีล เพราะกำลังป่วยไม่สามารถจะไปฆ่าใครหรือไปลักขโมยใคร ถือว่าเป็นคนป่วยที่มีศีลบริสุทธิ์ ถ้ามีการถวายทานด้วยไม่ว่าทานนั้นจะเป็นธูปเทียน ดอกไม้ ปัจจัยหรือโภชนาหารก็ตามถือว่าเป็นการถวายทานแก่พระสงฆ์ กำลังของทานจะช่วยคนป่วยได้อีกแรงหนึ่ง
    <O:p</O:p
    อีกประการหนึ่ง ด้านอนุสสติ ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย จิตของเธอจะจับพระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ จำเสียงสวดมนต์เป็นธรรมานุสสติ การนึกถึงพระสงฆ์ที่สวดก็เป็นสังฆานุสสติ ถ้าเป็นอายุขัยที่จะพึงตาย บาปกรรมใด ๆ ที่ทำมาแล้วในกาลก่อนจะไม่มีโอกาสให้ผลในเวลานั้นเหลือแต่บุญอย่างเดียว ที่จะประคับประคองคนนั้นให้ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน

    <O:p</O:p
    ๕. อานิสงส์การถวายสังฆทาน <O:p</O:p

    การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิตและถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสนคนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่ไปเกิดที่นั่น ผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
    <O:p</O:p
    คำว่าไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน หมายความว่าแม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
    <O:p</O:p
    ทีนี้การถวายทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้ เราถวายกี่หมื่นกี่แสนอานิสงส์ก็ไม่มาก จะถวายสักเท่าไรอานิสงส์ได้แต่ว่าไม่มาก
    <O:p</O:p
    ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มี ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิบางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านก็เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติเป็นต้น อย่างนี้มีผลมาก

    <O:p</O:p
    ๖. วิหารทาน (การก่อสร้างถาวรวัตถุ) <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าการถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้
    <O:p</O:p
    แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขาเขาเป็นคนกันอยู่แล้ว ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมาทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย

    <O:p</O:p
    ๗. วัตถุมงคล <O:p</O:p

    การแจกพระบางท่านอาจจะคิดว่าไม่มีผลหรือทำให้คนติดวัตถุ ถ้าถือว่าเป็นวัตถุก็น่าติแต่ถ้าถือว่าเป็นพระก็ต้องคิด ที่พ่อแจกพ่อไม่เคยโฆษณาว่าพระที่พ่อแจกไปมีอานุภาพอะไรมีความต้องการอยู่อย่างเดียวคือ ให้คนมีความรู้สึกว่ามีพระอยู่ที่ตัว อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีพระอยู่กับตัวอารมณ์ย่อมเป็นกุศล กุศลนิดหน่อยถ้ามีความรู้สึกบ่อย ๆ สามารถทำให้คนที่ตายไปแล้วจิตนึกถึงพระอยู่เสมอ อย่างเบาก็เกิดเป็นเทวดา อย่างกลางก็เกิดเป็นพรหม อย่างสูงก็ไปนิพพาน แบบพ่อค้าที่หวังกำไรน้อย แต่ได้บ่อย ๆ ก็รวยได้ฉันนั้น

    แต่ทว่าความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นเป็นอย่างไรนั้น พ่อไม่คำนึง คำนึงอย่างเดียว คือสงเคราะห์คนบารมีอ่อน คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี พ่อไม่ห่วง พวกนั้นท่านไม่ต้องเกาะราวหรือไม้เท้าก็เดินไหว สำหรับคนที่บารมีอ่อน ยังต้องเกาะราวและไม้เท้า จึงต้องอาศัยวัตถุ คือพระพุทธรูปสงเคราะห์

    <O:p</O:p
    ๘. การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล <O:p</O:p

    คนสมัยนั้นท่านฟังเทศน์ครั้งเดียวก็จบกิจ ท่านไม่ได้ฟังเฉย ๆ หมายความว่า ฟังด้วยความตั้งใจ การตั้งใจจำถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าเทศน์ตัวนี้เป็นสมาธิ และเมื่อจำแล้วก็พยายามคิดตามไปด้วยตัวนี้เป็นปัญญา
    <O:p</O:p
    ฉะนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ คนทุกคนพร้อมไปด้วยศีลหมายความว่าเวลานั้นใจเราบริสุทธิ์ ปราศจากปัญจเวร ๕ ประการ และมีความตั้งใจฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา และคิดตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคด้วยปัญญา เมื่อเทศน์จบ ใจท่านก็จบจากกิจของพระพุทธศาสนา นั่นคือเป็นพระอรหันต์ หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านทำได้อย่างนั้นก็เชื่อว่าจะมีผลเช่นเดียวกัน <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ที่มา :<O:p</O:p
    http://209.85.229.132/search?q=cach...+สังฆทาน+หลวงพ่อฤาษี&cd=4&hl=th&ct=clnk&gl=th
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    และ http://www.kanlayanatam.com/sara/sara79.htm<O:p</O:p
     
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>
    พระ"ดี"มี"การันตี"
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=text2 vAlign=center width="65%" height=30></TD><TD class=text2 vAlign=center align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=10 width="100%" align=center bgColor=#f4f4ff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff height=300><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>จากการที่ได้อยู่ในวงการพระและวงการสื่อประเภท"วงบุญพิเศษ" (วงในสุด) ทำให้ล่วงรู้ข้อมูลเบื้องลึกทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมาจนนับแทบไม่ถ้วน จึงเป็นเหตุให้ได้รับการสอบถามด้วยเรื่องราวต่างๆจากผู้สนใจทางเรื่องพระเรื่องเจ้ามิใช่น้อย
    แน่นอนที่สุด หนึ่งในคำถามยอดนิยมซึ่งได้มีการสอบถามกับ"พุทธวงศ์"อยู่เนืองๆว่า ในยุคนี้สมัยนี้ ยังมี"พระดี"องค์ใดและที่ไหนที่ควรค่าแก่การกราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคลได้อย่างสนิทใจบ้าง..???
    สำหรับคำถามนี้ ดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆแล้ว กลับตอบยากมิใช่เบา
    บางครั้ง "พุทธวงศ์"ต้องย้อนถามกลับไปว่า
    "คุณอยากจะได้พระ"ดี"สำหรับทำบุญแล้วได้บุญเต็มที่ หรืออยากจะได้พระ"เก่ง"ที่ขลังที่ศักดิ์สิทธิ์เล่า..??"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=bot1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left></TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090327231517095','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>เหตุที่ต้องถามย้อนไปเช่นนี้ ก็เพราะคำว่า"ดี"(ได้คุณธรรม,ทรงศีลบริสุทธิ์)กับ"เก่ง"(มีวิชชาอาคมขลัง) บางทีบางครั้งหรือหลายๆคราว ก็อาจจะไม่ได้มาพร้อมกันก็ได้..?!!?
    พระบางองค์"ดี"แต่"ไม่เก่ง"(ไม่เน้นขลัง)ก็ใช่ว่าจะไม่มี
    พระบางองค์"เก่ง"(มีแต่วิชชา)แต่"ไม่ดี"(ทุศีล)ก็ใช่ว่าไม่เคยเห็น

    พระบางองค์ทั้ง"ดี"และ"เก่ง"ครบเครื่อง ก็มีเหมือนกัน แต่มีน้อยและหาได้ยากยิ่งที่สุด
    ส่วนที่ทั้ง"ไม่ดี"และ"ไม่เก่ง"นั้น คงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง..........
    เข้าใจหรือไม่..???
    และเมื่อได้ยินคำพูดของบรรดาพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงที่ได้เคยปรารภมาให้เข้าหูอยู่บ่อยๆ ก็ยิ่งต้อง"คิดหนัก"มิให้คิดฝันเอาเองง่ายๆว่า"อะไรก็ได้"ไปโดยปริยายที่ว่า
    "เห็นเหลืองๆ อย่านึกว่าเป็นพระไปหมดนะ..??!!"
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข สิงห์บุรี

    "เรื่องของฤทธิ์นั้น พวกนอกศาสนาที่ได้ฌาน ก็สามารถที่จะแสดงฤทธิ์ได้เหมือนกัน..."
    หลวงหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่

    "คนเราสมัยนี้ เห็นพระเก่งพระขลัง ยิงไม่เข้าฟันไม่ออกนิดๆหน่อยๆ ก็เหมาว่าเป็นพระอรหันต์ไปเสียแล้ว..?!?!"
    "เกจิอาจารย์ชื่อดังจำนวนไม่น้อย ตายแล้ว ไปเกิดเป็นผีใหญ่ ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานอะไรหรอก เพราะมัวแต่เล่นคาถาไสยศาสตร์อยู่..!!?!"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา

    "แก้วดีๆมีไม่เอา จะไปเอาขวด.!!??"
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
    ฯลฯ...ฯลฯ...ฯลฯ.....etc.
    และด้วยเหตุแม้นี้ จึงไม่เป็นการที่ง่ายดายเลย ที่จะมีพระภิกษุสงฆ์องค์ใดๆที่จะพึงสามารถก้าวล่วงเข้ามาจับจองครอบครองเนื้อที่แห่งศรัทธาในจิตใจและเวปไซต์แห่ง"พุทธวงศ์"นี้ได้ ด้วยมีการกำหนดมาตรฐานในการ"สกรีน"และกลั่นกรองเพื่อสืบหาพระสงฆ์ที่ดีแท้แน่จริงอย่างเข้มงวดและสูงลิบที่สุด เพื่อความ"ไม่ผิด" และส่งเสริมเทิดทูนพระพุทธศาสนาและพระรัตนตรัยอันบริสุทธิ์และถูกต้องร่องรอยอย่างแท้จริงให้คงอยู่ด้วยดีตลอดไป อันย่อมจะบังเกิดเป็น"มหากุศล"อันใหญ่ยิ่งที่สุดตราบชั่วจิรกาลเป็นประการสำคัญ
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>และหนึ่งในมาตรการ"กลั่นกรอง"และ"คัดสรร"เลือหา"พระดี"(ที่สุด)ของ"พุทธวงศ์"นั้นก็คือ พระองค์นั้นๆ จะต้องมี "การันตี"หรือคำรับรองในคุณธรรมสัมมาปฏิบัติจาก"ผู้รู้แจ้ง" ซึ่งทรงทั้งศึลทรงทั้งธรรมอันบริสุทธิ์ตามพุทธวินัยทั้งมวลเป็นสำคัญความถูกต้องแม่นยำ จึงย่อมจะเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม หาที่ผิดพลาดมิได้เลยแต่หากมี"ผู้รับรอง"จริง แต่ผู้รับรองการันตีนั้นไม่ทรงศีลทรงธรรมตามสมควรแก่ธรรม ก็ไม่รับไว้พิจารณา(กรณีนี้มักเกิดจากภิกษุอยากดัง ไปจ้างให้สื่อเชียร์หรือโฆษณาให้จนโด่งดัง เท่ากับละเมิดศีลของพระพุทธองค์มาแต่ต้นแล้ว)
    หรือหากว่า แม้จะมี
    "ผู้รับรอง"ก็จริง และมีมากกว่าหนึ่ง แต่ผลการรับรองนั้น มีการผิดแผกแตกต่างกันไป(ฝ่ายหนึ่งว่าดี แต่อีกฝ่ายหนึ่งว่าร้าย) ก็จะถือเอาผู้รับรองที่ทรงศีลทรงธรรมฝ่ายที่ถูกต้องใกล้เคียงตามพระพุทธวจนะที่สุดมากกว่าเป็นตัวชี้ขาด ว่าจะ"ผ่าน"หรือไม่
    แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สิ่งสุดท้ายที่จะพิจารณาคัดสรร
    "พระดีมีการันตี"อย่างแท้จริง ก็คือ"พระธรรมวินัย"ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเป็นที่สุดนั่นแล
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left></TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090327234917101','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>และต่อไปนี้ ก็จะได้นำเสนอรายนามของ"พระดีมีการันตี" (เน้นเฉพาะที่ยังทรงสังขารอยู่)เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้นำมาเป็นแนวทางในการพิจารณาไปทำบุญกราบไหว้และฟังธรรมหรือรับสิ่งมงคลสักการะจากท่าน ได้อย่างมั่นใจและสนิทใจที่สุดตราบชั่วกาลสืบต่อไปทีเดียว.......... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090327235417102','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>1.พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี(อายุ 95 ปี) <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090328090917106','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>สำหรับความเป็น"พระดีมีการันตี"ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนนั้น คงไม่มีอะไรต้องสงสัยกันต่อไปอีกแล้ว
    ซึ่งท่านที่สนใจ อาจเข้าไปชมรายละเอียดความเป็นพระอัจฉริยเจ้าที่ดีที่สุดแห่งยุคสมัยอย่างพระคุณท่านใน
    http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080610095027320 ได้ตามอัธยาสัย <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090329123017168','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>2.พระราชสิทธิมงคล(สวัสดิ์ จิตตทส) วัดศาลาปูน จ.พระนครศรีอยุธยา(อายุ 93 ปี)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=text1></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=10 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" bgColor=#3399cc border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#f9f9f9><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="100%"><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height="100%" cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" align=center bgColor=#cacaec border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" align=center bgColor=#f9f9f9 border=0><TBODY><TR><TD class=text2 align=left> </TD><TD align=right width="20%" height=17><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width=220 border=0><TBODY><TR class=text1><TD class=text2 onclick="MM_openBrWindow('Option_ReportDelete.asp?MessageID=MSG-090329123417169','','width=370,height=150')" align=right> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text1 vAlign=top align=left height=20>การันตีใดในหลวงพ่อสวัสดิ์ วัดศาลาปูนก็ไม่เท่ากับที่หลวงปู่ทิม วัดพระขาว "พระอริยเจ้าพุทธภูมิลา"แห่งวัดพระขาว ได้กล่าวยกย่องไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า
    "หลวงพ่อสวัสดิ์ท่านเป็นพระปฏิบัติน๊ะ.!!"

    และแม้ก่อนที่หลวงปู่ทิมจะ"ดับขันธ์" พระเถระองค์เดียวที่หลวงปู่ทิมเจาะจงไปกราบลา ในฐานที่เคารพนับถือกันด้วยคุณธรรมและพรรษาเบื้องสูง ก็คือหลวงพ่อสวัสดิ์องค์นี้นี่แล...........
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  19. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    การลดกรรม 45 ประการ

    1. กรรมที่ไม่มีลูก


    กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
    ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ
    มูลนิธิเด็กอ่อน

    2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
    กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
    ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า
    งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

    3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
    กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
    ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่อง
    ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

    4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลงถูกสัตว์กัดต่อย
    กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
    ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

    5. สูญเสียคนใกล้ชิด
    กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
    ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

    6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
    กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
    ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

    7. มักเดือดร้อนเพราะไฟไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
    กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
    ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ
    ธรรมะแจกจ่ายฟรี

    8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
    กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
    ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

    9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้โยกย้ายบ่อย
    กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
    ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

    10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
    กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
    ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
    จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง
    สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

    11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดูชาดเสน่ห์
    กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
    ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
    ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

    12. เป็นที่รังเกียจมีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
    กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
    ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
    พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

    13. ไปไหนมาไหนลำบากมีแต่อุปสรรค
    กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
    ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้
    ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

    14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
    กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
    ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

    15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
    กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
    ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

    16. อาภัพคู่ ร้างคู่
    กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
    ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่
    เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

    17. ได้คู่ที่เลวร้ายทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
    กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
    ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

    18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
    กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
    ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

    19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
    กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
    ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

    20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
    กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
    ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน

    21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
    กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
    ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

    22. มีคดีความ
    กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
    ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน

    23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
    กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
    ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

    24. จิตใจขุ่นมัว ดุดันขี้โมโห
    กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
    ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

    25. ไม่มีชื่อเสียง
    กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
    ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

    26. ไม่มีวาสนาบารมี
    กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
    ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

    27. มีลูกหลานไม่ดีเกเร ไม่เชื่อฟัง
    กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
    ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

    28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
    กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
    ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต

    29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
    กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
    ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

    30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
    กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
    ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

    31. ไม่เจริญก้าวหน้าจิตใจเป็นทุกข์
    กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
    ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

    32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
    กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
    ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

    33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
    กรรมจาก เคยทำแท้ง
    ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

    34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
    กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
    ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

    35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
    กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
    ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

    36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
    กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
    ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด
    หรือช่วยเหลือคนป่วย

    37. เป็นมะเร็ง
    กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
    ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
    ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

    38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
    กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
    ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

    39. ด้อยปัญญา
    กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
    ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

    40. ตกงาน
    กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
    ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

    41. ไม่มีโชคลาภ
    กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
    ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

    42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
    กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
    ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

    43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
    กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
    ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

    44. ครอบครัวยากจน
    กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
    ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

    45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
    กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
    ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นได้สมรักสม


    อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19
    กฏแห่งกรรม
    1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
    เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

    2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
    เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

    3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
    เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

    4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให&shy;ญ่โต
    เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

    5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ&shy;ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
    เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

    6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
    เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

    7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
    เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

    8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
    เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

    9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
    เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้&shy;ญาติในชาติก่อน

    10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
    เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

    11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
    เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

    12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
    เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

    13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
    เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

    14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
    เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

    15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั&shy;&shy;ญญาอ่อนและหูหนวก
    เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

    16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
    เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

    17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
    เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

    18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
    ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

    19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
    คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า
    **อ่านเสร็จแล้ว ถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรม ข้อที่ 19แล้ว ด้วยความปราถนาดี**


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=30> </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=big2 vAlign=bottom height=35>หลวงปู่ทิม วัดพระขาว

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD class=text2 vAlign=center width="65%" height=30></TD><TD class=text2 vAlign=center align=right></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=10 width="100%" align=center bgColor=#f4f4ff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top bgColor=#ffffff height=300><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แม้ภาพลักษณ์ภายนอกของหลวงปู่ทิม อัตตสันโต วัดพระขาว จ.พระนครศรีอยุธยา จะดูเหมือนเป็นพระ"เกจิอาจารย์"ผู้ชาญวิชชาทั่วไปก็ตาม แต่จะมีสักกี่คนที่จะทราบว่า แท้จริงแล้ว หลวงปู่ทิมนั้น ท่าน"สูง"กว่าที่ใครจะคิดจะฝันไว้มากกว่ามาก..!!!???
    "หน่วยสืบราชการลับทางจิตแห่งพุทธวงศ์" เมื่อหยั่งดูจิตของหลวงปู่ทิมแล้ว ก็มีอันต้องถึงแก่กาลตกตะลึงด้วยเหตุที่ว่า"จิตของหลวงปู่ทิมนั้น ใสบริสุทธิ์เป็นแก้วประกายพฤกษ์อย่างหาตำหนิมิได้"และ"กำลังจิต กำลังบารมีสูงเกินพระอรหันตสาวกโดยทั่วไป.!!??"
    และเมื่อลองสอบถามกับ"พระผู้รู้"ชั้นสูง ท่านก็เมตตายืนยันมาด้วยว่า
    "นี่แหละ กำลังสำคัญของพระศาสนาละ.."
    และ
    "แต่ก่อน ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่ได้ลาและได้บรรลุมรรคผลนิพพานขั้นสูงสุดมานานแล้วน๊ะ..!!!!!!"
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    "หน่วยสืบราชการลับทางจิต"แห่ง"พุทธวงศ์"สาย"สติปัฏฐาน,มโนมยิทธิ" ซึ่งมีญาณรู้สูงในระดับ Top ต้นๆ มีโอกาสได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ทิม ถึงวัดพระขาว เพื่อเป็นการตัดข้อสงสัยในญาณรู้ ว่าสิ่งที่รู้ที่เห็นที่ทราบมา จะเป็นจริงดังว่าหรือไม่ จึงได้กราบเรียนถามเชิงปรารภเป็นนัยกับท่านเป็นการส่วนตัวที่สุดครั้งหนึ่งว่า
    "หลวงปู่ๆ มีเมตตามากอย่างนี้ เมตตาช่วยเขาไปทั่ว วัดวาอารามก็สร้างเสียอย่างใหญ่โต หากหลวงปู่จะบรรลุโพธิญาณ(พุทธภูมิ)ในภายหน้าก็จะไม่ใช่เรื่องยากแล้วนะขอรับ.!!!???"
    เมื่อได้ฟัง หลวงปู่ทิมก็ตอบทันทีว่า
    "เหนื่อยแล้ว ไม่เอาแล้ว..!!??"
    "แล้วถ้าอย่างนี้ แต่หลวงปู่ละพุทธภูมิเสีย ผมก็ออกจะเสียดายนะครับ..."
    หลวงปู่ทิมจึงว่า
    "เราละของในอนาคต มันยังไม่มาถึง เอาของที่อยู่ข้างหน้านี่แหละ สบาย...."
    "ก็ที่หลวงปู่ลาพุทธภูมิ ก็เพื่อที่จะมาช่วยพระศาสนาใหยุคปัจจุบันนี้หรือขอรับ..???"
    "ถูกแล้ว"
    หลวงปู่ทิมตอบ ก่อนที่จะได้กล่าวประโยคสุดท้ายอย่าง"ปรมัตถ์" ที่สุดเลยทีเดียวว่า
    "ถ้าละวางว่างหมด พระศาสนาก็จะมั่นคง..!!!!!"
    ยังจะมีอะไรต้องสงสัยในคุณธรรมเบื้องสูงสุดของพระคุณท่านอยู่อีกหรือไม่..???????
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...