ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    จิต
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    เกือบลืมแจ้งไปสำหรับนักเรียนที่เข้าคอร์สอบรมการดูพระทั้ง 4 ท่านนี้ นับว่าโชคดี เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่ใหญ่นำพระพิมพ์สกุลปัญจสิริที่เป็นของแท้ และเป็นรุ่นแรกมาให้เพิ่มเติม โดยพระพิมพ์ชุดนี้อยู่ที่หน้าโต๊ะหมู่ของพี่ใหญ่มาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ผ่านการสวดพุทธมนต์ที่พี่ใหญ่สวดก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง และพิธีขอบารมีเสกใหญ่ๆ ที่มีพลัง "ทิพย์" จากท่าน "ผู้มาเยือน จากข้างบน" มาเยอะ รวมถึงพลังจากท่านในองค์ในภัทรกัปป ทีมาครบทั้ง 4 พระองค์ รวมถึงท่านองค์ที่ 5 ที่มาในรูปของเทพชั้นสูงอยู่ในคราวที่ลงมาทำน้ำพระพุทธมนต์ที่นำพระโลหะ "ปิยบารมี" ทั้งหมดลงแช่เพื่อชำระล้างสิ่งอัปมงคลอันเกิดจากกระบวนการและขั้นตอนในการหล่อพระอยู่ โดยพระในชุดนี้ผมก็จะแจกให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมทั้ง 4 ท่าน ด้วยเช่นกัน จึงขอแสดงความยินดีกับทั้ง 4 ท่านอีกครั้งด้วยครับ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ระหว่างวันคนเรามีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำ ทั้งจำต้องทำ ทั้งทำก็ดีไม่ทำก็ได้
    บางคนตื่นมาก็รีบอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัวไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ ไปโน่นไปนี่
    บางคนตื่นมาก็นอนเอกเขนกเล่นซะก่อนจนสบายอกสบายใจแล้วจึงลุกขึ้น

    อยากจะถามว่า แล้วเธอละตื่นมาทำอะไรกันบ้างระหว่างวัน.....
    อยากจะถามว่า ระหว่างวันเธอรู้สึกตัวได้บ่อยไหม เธอเผลอไปบ่อยไหม.....
    อยากจะถามว่า ระหว่างวันเธอเคยเห็นไหมว่า จิตใจเธอมันไปอยู่กับอะไรบ้าง.....
    อยากจะถามว่า ระหว่างวันเธอเคยรู้สึกว่าจิตใจเบิกบานบ้างไหม....

    คงตอบได้ไม่ยากซินะว่า ระหว่างวันเราทำอะไรกันบ้าง
    แล้วก็อาจจะงงหรือสะดุดนิดนึงกับการจะตอบว่า
    ระหว่างวันเรารู้สึกตัวได้บ่อยไหม เผลอบ่อยไหม

    รู้สึกตัว....อ้าวก็นี่ไงรู้สึกตัวอยู่นี่ไง ใคร ๆ ก็รู้สึกตัวอยู่ตลอดนี่นา
    เผลอรึ....เราไม่เห็นจะเผลอตรงไหนเลย
    หลายคนมักจะรู้สึกอย่างนี้เมื่อมีใครมาถามว่า รู้สึกตัวรึเปล่า เผลอไปรึเปล่า

    เอาละงั้นลองมาดูกันซิว่า เผลอนั้นเป็นยังไง
    (ตอนนี้คงต้องใช้การนึกคิดเป็นเครื่องช่วยเพื่อทำความเข้าใจกันก่อน)
    ลองนึกถึงเวลาที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
    หรือเครื่องมันสั่นบอกว่ามีคนโทรมาหา แล้วเราก็รับโทรศัพท์
    ลองนึกดูซิว่า ระหว่างที่เรากำลังพูดโทรศัพท์อยู่นั้น
    ความรู้สึก-ความรับรู้ต่าง ๆ ของเรา
    มันรู้สึก-มันรับรู้แต่เฉพาะเรื่องราวที่กำลังพูดคุยกัน ใช่ไหม?
    บางคนอาจไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า เรากำลังยืนหรือนั่งพูดโทรศัพท์อยู่
    บางคนอาจไม่รู้เลยว่าเรากำลังถือโทรศัพท์ด้วยมือขวาหรือมือซ้าย ใช่ไหม?
    ถ้าใช่ละก็ นั่นแหละเราเผลอไปแล้ว

    หรือไม่ก็ลองนึกถึงตอนที่ไปดูหนังในโรง หรือดูทีวีรายการโปรดสุดๆ ซิ
    นึกออกไหมว่า ขณะที่กำลังดูหนังหรือดูทีวีอยู่นั้น
    เรามีความรู้สึกไหมว่ามีตัวเรานั่งดูอยู่.... ไม่รู้สึกเลยใช่ไหมว่ามีตัวเรานั่งดูอยู่
    มันเหมือนกับว่าตัวเราหายไปจากโลกนี้ไปพักใหญ่
    มารู้สึกว่ามีตัวเราอยู่อีกทีก็โน่น ตอนหนังจบ หรือตอนทีวีคั่นโฆษณา เป็นอย่างนี้ใช่ไหม?
    ถ้าใช่ละก็ นั่นแหละเราเผลอไปแล้ว

    ทีนี้ก็มาทำความเข้าใจต่อกันอีกสักหน่อยว่า
    คราใดที่เผลอไป ครานั้นคือไม่รู้สึกตัว
    คราใดที่รู้สึกตัว ครานั้นคือหายเผลอแล้ว

    http://www.enggy.com/awake/awake01.html

    <!-- InstanceEndEditable -->
     
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
    การให้ทาน คือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทนโดยหมายให้ผู้ได้รับได้พ้นจากทุกข์ แบ่งออกเป็น ๓ อย่างได้แก่

    ๑.อามิสทาน คือ การให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินเป็นทาน
    ๒.ธรรมทาน คือ การสอนให้ธรรมะเป็นความรู้เป็นทาน
    ๓.อภัยทาน คือ การให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร หรือพยาบาทกัน


    การให้ทานที่ถือว่าเป็นความดี และได้บุญมากนั้นจะประกอบด้วยปัจจัย ๓ ประการอันได้แก่

    ๑.วัตถุบริสุทธิ์ คือ เป็นของที่ได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ไปยักยอกมา โกงมา หรือได้มาด้วยวิธีแยบยล
    ๒.เจตนาบริสุทธิ์ คือ มีจิตยินดี ผ่องใสเบิกบาน ไม่รู้สึกเสียดายสิ่งที่ให้ ตั้งแต่ก่อนให้ ขณะให้ และหลังให้
    ๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือ ให้กับผู้รับที่มีศีลธรรม ตัวผู้ให้เองก็ต้องมีศีลที่บริสุทธิ์


    การให้ทานที่ถือว่าไม่ดี และยังอาจเป็นบาปกรรมถึงเราทางอ้อมอีกด้วยได้แก่

    ๑. ให้สุรา ยาเสพย์ติด เป็นต้น (ถ้าเขาเมาแล้วขับรถชนตาย เราก็มีส่วนบาปด้วย)
    ๒. ให้อาวุธ (ถ้าอาวุธนั้นถูกเอาไปใช้ประหัตประหาร บาปก็มาถึงเราด้วย)
    ๓. ให้มหรสพ คือการบันเทิงทุกรูปแบบ
    ๔. ให้สัตว์เพศตรงข้ามเพื่อผสมพันธุ์ อันนี้รวมถึงการจัดหาสาวๆ ไปบำเรอผู้มีอำนาจหรือผู้น้อยด้วยเป็นต้น
    ๕. ให้ภาพลามก หรือสิ่งพิมพ์ลามก เพราะทำให้เกิดความกำหนัด เกิดกามกำเริบ (เมื่อดูแล้วเกิดไปฉุดคร่า ข่มขืนใคร
    บาปก็ตกทอดมาถึงเราด้วย)
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    พระ-เณร 40 รูป สอบผ่านป.ธ. 9
    <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>
    <!--MsgIDBody=0-->ไทยรัฐ

    พระ-เณร 40 รูป สอบผ่านป.ธ. 9 [17 มี.ค. 52 - 06:20]

    เมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่วัดสามพระยา มีการประกาศผลสอบบาลีสนามหลวง ซึ่งถือเป็นสุดยอดของการศึกษาคณะสงฆ์ โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แม่กอง-บาลีสนามหลวง วัดปากน้ำ เป็นประธาน และมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดนักบาลี รวมทั้งเจ้าสำนักเรียนจากทั่วประเทศ มาร่วมงานท่ามกลางการมารอลุ้นผลสอบของพระภิกษุสามเณร กว่า 400 รูป

    ทั้งนี้ พระธรรมปัญญาภรณ์ เลขานุการแม่กอง-บาลีสนามหลวง วัดปากน้ำ ได้ประกาศรายชื่อผู้ที่สอบผ่านเปรียญธรรม 9 ประโยค ซึ่งถือว่าเป็นที่สุดของการเรียนสายบาลี โดยในปีนี้มีพระภิกษุสามเณรเข้าสอบทั้งหมด 410 รูป แต่สอบผ่านเพียง 40 รูป แบ่งเป็นสามเณรสอบผ่าน 6 รูป และ 1 ใน 6 รูปนี้ ยังมาจากสำนักเรียนสังกัดธรรมยุตนิกาย คือวัดมกุฏกษัตริยาราม ขณะที่นอกนั้นเป็นสำนักเรียนสังกัดมหานิกายทั้งสิ้น โดยสามเณรเก่งที่สอบ ป.ธ.9 ผ่าน ทั้ง 6 รูป ประกอบด้วย 1. สามเณรวุฒิชัย อดกลั้น อายุ 20 ปี วัดเทพลีลา กทม. 2. สามเณรกฤษฎา เชื้อพหล อายุ 22 ปี วัดมกุฏกษัตริยาราม กทม. 3. สามเณรอรรถพล จอมมงคล อายุ 22 ปี วัดสระเกศ กทม. 4. สามเณรไพฑูรย์ แก้วลือชัย อายุ 20 ปี วัดแสนสุข กทม. 5. สามเณรสาธิต พนารี อายุ 20 ปี วัดตากฟ้า จ.นครสวรรค์ และ 6. สามเณรนิคม สมเสนาะ อายุ 21 ปี วัดบัวงาม จ.ราชบุรี

    ส่วนพระภิกษุที่สอบผ่าน ป.ธ.9 อีก 34 รูป ส่วนใหญ่มาจากวัดในเมืองหลวง ดังนี้ 1. พระมหาญัญญ์คุปต์ สุจิตฺโต วัดเทพลีลา 2. พระมหาวิศักดิ์ วิริโย วัดบางนาใน 3. พระมหาธวัฒชัย วรมุนี วัดมหาพฤฒาราม 4. พระมหาสามารถ อธิจิตฺโต วัดสร้อยทอง 5. พระมหาณรงค์ชัย ฐานธมฺโม วัดสร้อยทอง 6. พระมหาวีรชัย ตนฺติปาโล วัดสามพระยา 7. พระมหาปณธร จนฺทสีโล วัดสุทัศนเทพวราราม 8. พระมหาตอง ธมฺมญฺญู วัดสุทัศนเทพวราราม 9. พระมหาอนุยุต อินฺทปญฺโญ วัดโมลีโลกยาราม 10. พระมหาชนสรณ์ กิตฺติวิปุโล วัดราชโอรสาราม

    11. พระมหาชาติชาย ปญฺญาวชิโร วัดหนัง 12. พระมหาเอกชัย ผาสุโก วัดอนงคาราม 13. พระมหารมย์ อนุธมฺมจารี วัดอรุณราชวราราม 14. พระมหาสุธีร์วรินทร์ อินฺทรํสี วัดชัยฉิมพลี 15. พระมหาคลี จารุวํโส วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี 16. พระมหาดวงทิพย์ ปริยตฺติธารี วัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี 17. พระมหาโสพล สุพโล วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี 18. พระมหาประยุทธ ธิติชโย วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี 19. พระมหาสุเทพ อินฺทวณฺโณ วัดกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ 20. พระมหาเป็นหนึ่ง สุนฺทรเมธี วัดไผ่ล้อม จ.พระนครศรีอยุธยา

    21. พระมหาภูริภัทร์ ปญฺญาวชิโร วัดคลองโพธิ์ จ.อุตรดิตถ์ 22. พระมหาภาคภูมิ ฐานิสฺสโร วัดคลองโพธิ์ จ.อุตรดิตถ์ 23. พระมหาสุธรรม สนฺติสุโข วัดจองคำ จ.ลำปาง 24. พระมหายงยุทธ อคฺคาจาโร วัดจองคำ จ.ลำปาง 25. พระมหาเอกชัย เขมปาลี วัดเจดีย์งาม จ.เชียงใหม่ 26. พระมหาภิรมย์ ฐิตธมฺโม วัดหนิงเสม็ดสันติธรรมาราม จ.ชลบุรี 27. พระมหาสุชาติ สุเขสิโน วัดชัยมงคล จ.ชลบุรี 28. พระมหาพิเชษฐ์ รตนปญฺโญ วัดชัยมงคล จ.ชลบุรี 29. พระมหาประเวศ ปยุตฺโต วัดเนินพระ จ.ระยอง 30. พระมหารุ่งเรือง สุขุมาโล วัดใหม่ จ.จันทบุรี 31. พระมหาสังวรณ์ กนฺตสีโล วัดสุทธิวารี จ.จันทบุรี 32. พระมหาเอนก มหคฺฆปญฺโญ วัดห้วยจรเข้ จ.นครปฐม 33. พระมหาวิวัฒน์ วิริโย วัดหาดใหญ่สิตาราม จ.สงขลา 34. พระมหาอาทิตย์ อภิวิริโย วัดหาดใหญ่สิตาราม จ.สงขลา

    หลังประกาศผล สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์กล่าวว่า ผลการสอบถือว่าน่าพอใจ แม้จะได้จำนวนน้อย โดยหลังจากนี้ กองบาลีสนามหลวง จะเปิดศูนย์บาลีทั่วประเทศ เพื่อจัดการเรียนการสอนวิชาบาลีในประโยคชั้นสูง คือ 7-8-9 เพื่อเปิดโอกาสให้พระภิกษุสามเณรได้เรียนบาลีมากขึ้น โดยจะนำร่องก่อน 3 แห่ง คือวัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี วัดคลองโพธิ์ จ.อุตรดิตถ์ และวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม



    คณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอร่วมอนุโมทนา และแสดงมุทิตาจิตในเนื้อนาบุญ แห่งพระพุทธศาสนา แด่พระสงฆ์ทุกรูปข้างต้นนี้ด้วยใจจริง สาธุ....

    [​IMG]
     
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม
    [​IMG]


    ปัญหาเกี่ยวกับศีล



    ปัญหาเกี่ยวกับสมาธิและการเจริญปัญญา


    ขอขอบคุณ
    http://www.mahamakuta.inet.co.th/practice/mk721.html
     
  7. juanghun

    juanghun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +18
    วันนี้ได้โอนเงินไป 200 บาท ร่วมทำบุญครับ
    ขอบคุณมากครับที่มีกระทู้ดีๆ แบบนี้
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๘ | ทรงห้ามพระญาติ
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๘ : ทรงห้ามพระญาติ


    ทรงห้ามพระญาติฝ่ายพระบิดากับฝ่ายพระมารดา
    ซึ่งแย่งกันทดน้ำเข้านา มิให้วิวาทกัน

    เหตุการณ์ตอนหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับเมืองพระญาติ แต่คราวนี้เสด็จมาลำพังพระองค์เดียว เพื่อทรงระงับสงครามระหว่างพระญาติทั้งสองฝ่าย พระญาติฝ่ายหนึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพุทธบิดา ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพุทธมารดา ปกครองโกลิยนคร หรือเทวทหนครนั่นเอง ทั้งสองฝ่ายตั้งบ้านเมืองอยู่คนละริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี แล้วเกิดพิพาทกันในปัญหาเรื่องทดน้ำขึ้นทำนา เมื่อฝ่ายอยู่ทางเหนือน้ำทดน้ำจากแม่น้ำเข้านา ฝ่ายทางใต้ก็ขาดน้ำ ทั้งสองฝ่ายเปิดประชุมเพื่อตกลงกันก่อน แต่ก็ตกลงกันไม่ได้จึงเกิดปะทะคารมกันอย่างรุนแรง ถึงกับขุดบรรพบุรุษขึ้นมาประณามกัน

    "ไอ้พวกสุนัขจิ้งจอกสมสู่กันเอง" ฝ่ายที่ถูกด่าว่าอย่างนี้ เพราะต้นสกุลหลายชั่วคนมาแล้วได้อภิเษกสมรสกันเองระหว่างพี่ชายกับน้องสาว
    "ไอ้พวกขี้เรือน" ฝ่ายตรงกันข้ามที่ถูกด่าตอบอย่างนี้ ก็เพราะต้นสกุลเป็นโรคเรื้อนถูกเนรเทศออกนอกเมืองไปอยู่ป่า


    [​IMG]



    เมื่อทะเลาะกันหนักเข้า ถึงขนาดต้องใช้กำลัง ทั้งสองฝ่ายเตรียมกำลังคน คือ ทหารและอาวุธจะเข้าห้ำหั่นกัน พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า จึงเสด็จมาทรงระงับสงคราม ทรงประชุมพระญาติทั้งสองฝ่ายแล้วทรงซักถามถึงต้นตอของตัวปัญหา
    พระพุทธเจ้า "ทะเลาะกันเรื่องอะไร"
    พระญาติ "เรื่องน้ำ พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้า "ระหว่างน้ำกับชีวิตคนนี่อย่างไหนจะมีค่ามากกว่ากัน"
    พระญาติ "ชีวิตคนมากกว่า พระพุทธเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้า "ควรแล้วหรือที่ทำอย่างนี้"
    พระญาติทุกคนจำยอมในเหตุผล จึงไม่มีใครกราบทูลเลย
    พระพุทธเจ้า "ถ้าเราตถาคตไม่มาที่นี่วันนี้ ทะเลเลือดจะไหลนอง" (โลหิตนที ปวัตติสสติ)


    [​IMG]



    ดังนั้นพระญาติทั้งสองฝ่าย ก็เลิกเตรียมทำสงครามกัน เหตุการณ์ตอนนี้เป็นบทบาทสำคัญตอนหนึ่งของพระพุทธเจ้า เพราะเห็นความสำคัญนี้ คนรุ่นต่อมาจึงสร้างพระพุทธรูปขึ้นปางหนึ่งเป็นอนุสรณ์ที่เรียกกันว่า "พระปางห้ามญาติ" นั่นเอง
    <!-- End main-->

     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <CENTER>หลวงพ่อตอบปัญหา</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>เรื่องคิดปรามาสพระรัตนะตรัย
    </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER>ผู้ถาม:-กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ กระผมมีความเคารพนับถือหลวงพ่อเป็นอย่างมาก และมีความเคารพในพระรัตนะตรัยอย่างจริงใจ แต่ว่าในระยะมาไม่นานนี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ในดวงจิตของลูกอยากจะด่าหลวงพ่อ บางครั้งก็อยากจะว่าพระรัตนะตรัย อารมณ์ของจิตอย่างนี้แก้ไม่ตกเลยขอรับ ขอเมตตาจากหลวงพ่อช่วยแก้และอโหสิกรรมด้วยเถิดขอรับ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>หลวงพ่อ:- แก้ตรงไหน...แก้ล่างหรือแก้บน....อารมณ์อย่างที่ว่าเมื่อกี้ที่ เขาเขียนมาเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่มีกันทุกคนนะ มีกันหลายคน อารมณ์อย่างนี้เวลาเจริญพระกรรมฐานพอเข้าถึงปิติเต็มอัตรา กิเลสมาร เข้าสิงใจ นี่ไม่ใช่อารมณ์เดิมเขานะ พยายามหักห้ามใจไปตามระยะก็แล้วกัน ไม่ช้าก็หาย นี่ของธรรมดานะ ฉันเองก็เคยเจอะเลย ในตอนต้นมีเหมือนกัน ความจริงจิตเผลอย่อมมีนะ
    นักเจริญกรรมฐานนี่บางคนแล้วก็บางวาระ จิตเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนา เห็นพระพุทธรูปบางทีอยากจะด่า อารมณ์อย่างนี้เขาเรียกว่า "กิเลสมาร"เข้าสิงใจ มันเป็นเฉพาะเวลา บางเวลาก็จากหายไป บางเวลาก็มีอารมณ์อย่างนี้ เป็นอยู่สักพักหนึ่งไม่นานนัก สัก 2-3เดือนก็จะหายไป

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>ผู้ถาม:- อย่างนี้เราจะขอขมาโทษต่อพระรัตนะตรัยทุกวันดีไหมครับ....?

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    หลวงพ่อ:- อย่างนั้นดีลูก...เวลาบูชาพระ ขอขมาโทษทุกวันเลยเป็นการป้องกัน เรื่องนี้พระพุทธเจ้าก่อนจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนท่านจะตัดราคะ โทสะ โมหะ ก็โดนท่านมาราธิราชสอบ มาท้าทาย แต่ความจริงเรื่องจริงๆ แล้วไม่มีตัว มันเป็นอารมณ์ ในปฐมสมโพธิ เขาเขียนให้มีตัวมีตนขึ้นมา ตอนนั้นกิเลสตีกลับ เขาเรียก กิเลสมาร ก็เกิดอารมณ์รัก ต่อมาก็โทสะเกิดโดยไม่มีเหตุผล ต่อมาท่านก็ตัดได้ เมื่อได้วิชชาสามแล้ว ต่อมาท่านก็บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 5 <CENTER>หลวงพ่อพระราชพรหมยาน</CENTER></CENTER>
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]

    ไรพระศก

    พิจารณาพุทธลักษณะของพระพุทธรูป

    - เส้นพระเกศาขมวดเป็นปม เตือนสติว่าปัญหาทั้งหลายทั้งมวล ที่มีอยู่นั้นเพราะตัวเราขมวดไว้ ตัวเราสร้างขึ้น
    - พระเกตุ เป็นเปลวไฟ ปัญหาทั้งหลายทั้งมวลที่มีอยู่นั้น ต้องใช้สติ ปัญญา ประดุจดังอาวุธ ทิ่มแทงแก้ไขปัญหาให้หมดไป
    - พระเนตร หลุบต่ำเล็กน้อย เตือนสติให้สำรวจมองดูตัวเราเองบ้าง ต้องสำรวจปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ก่อน ว่ายังมีอะไรขาดตกบกพร่องอยู่ก็แก้ไขปรับปรุงเสีย

    - พระกรรณยาว ซ้อนเป็น ๒ ชั้น เตือนสติให้หูหนักอย่าเชื่อฟังแต่คนข้างเคียง โดยไม่ใช้ปัญญาไตรตรอง
    - พระนาสิก นูนเป็นสันเตือนสติให้หายใจด้วยจมูกของเราเอง ช่วยตัวเองก่อน
    - พระโอษฐ์ หุบมีลักษณะยิ้ม พระพักตร์ไม่บึ้งตึงเตือนสติว่า ภายในต้องให้สงบนึ่ง และใสสะอาด ตัดความขุ่นมัว อารมณ์เสียทิ้งไปเสีย อย่าหวังผลให้ได้ดังอุดมคติเกินไป
    - พระดัชนี มัชฌิมาอนามิกา และกนิษฐาทั้ง ๔ ยาวเท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน เตือนสติให้ปฏิบัติภารกิจทั้งหลาย ทั้งปวงด้วยความมั่นใจรักในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เที่ยงตรงและอุทิศทุ่มเท พระบาท เรียบตรงเตือนสติให้ห่างไกลจากกิเลส และอบายมุขทั้งปวง ให้มีความถูกต้องในการก้าวย่าง ยึดมั่นในหลักธรรม



    http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/011182.htm
     
  11. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
  12. ทรงกลด999

    ทรงกลด999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,284
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ไม่ทราบว่าจะไปเข้าร่วมวันอาทิตย์นี้ ทันไหมครับ ถ้าไป 10.00 น.ไม่ทันก็ไม่เป็นไรครับ
     
  13. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    ร่วมบุญ 522.00 บาท โอนเมื่อเวลา 14.47 น.ค่ะ

    อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านด้วยค่ะ
     
  14. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099

    ไม่ทันครับ

    เริ่ม 7 โมงเช้าครับ

    สาธุครับ
     
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840

    โมทนาบุญกับคุณ juanghun ด้วยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="93%" align=center border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="91%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>รักษาพระพุทธศาสนา คือรักษาพระธรรมวินัย
    ปาฐกถาธรรมโดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) <HR></TD></TR><TR><TD>ความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย หรือเรียกสั้น ๆ ว่า 'บวชเรียน' ต้องเน้นต้องย้ำกันไว้ เพราะเป็นทั้งการรักษาพระพุทธศาสนา เป็นการทำให้พระพุทธศาสนาปรากฏ และทำให้คนได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา เราพูดว่าจะรักษาพระพุทธศาสนา ก็ต้องรู้ว่าเนื้อตัวของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ไหน หรือว่าอะไรเป็นเนื้อตัวของพระพุทธศาสนา มิฉะนั้น พูดว่ารักษาพระพุทธศาสนา แต่อาจจะไปรักษาอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลย ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับพระพุทธศาสนาก็ได้ บางทีก็ได้แค่เปลือกหรือเครื่องห่อหุ้ม เหมือนจะรักษาคน กลับไปเอาขี้เหงื่อขี้ไคล หรืออย่างดีก็ได้แค่เสื้อผ้าที่คนสวมใส่

    อะไรเป็นเนื้อเป็นตัวของพระพุทธศาสนา ถามว่าพระพุทธศาสนาเกิดจากไหน ก็ตอบว่าเกิดจากพระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้น หรือทรงค้นพบแล้วประกาศขึ้นมา คือพระองค์ตรัสรู้แล้วก็ทรงนำมาเทศนาสั่งสอน พูดง่าย ๆ ว่าเกิดจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคืออะไร ก็คือพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นคำสั้น ๆ ที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
    จึงต้องย้ำกันไว้เสมอว่า แกนกลางหรือเนื้อตัวของพระพุทธศาสนานั้น ก็คือพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงและบัญญัติไว้

    พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้เองว่า "อานนท์โดยการที่เราล่วงลับไป ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย"

    ถึงแม้พระพุทธเจ้าไม่อยู่ แต่ถ้าธรรมวินัยที่พระองค์สั่งสอนไว้ยังอยู่ ก็เท่ากับว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่เหมือนกัน คือเรายังฟังยังรู้คำสั่งสอนของพระองค์ และเอาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้น เนื้อตัวแท้ ๆ ของพระพุทธศาสนาจึงอยู่ที่พระธรรมวินัยนี้ และถ้าเราจะรักษาพระพุทธศาสนา ก็ต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้ได้

    แล้วก็ถามต่อไปอีกว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานนาน ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว พระธรรมวินัยที่เป็น คำสั่งสอนของพระองค์ เป็นศาสดาแทนพระองค์นั้น มาถึงเราได้อย่างไร เราจะหาพระธรรมวินัยได้ที่ไหน

    ก็ต้องรวบรัดง่ายที่สุดเลยว่า พระธรรมวินัยนั้นท่านจารึกไว้เป็นพระไตรปิฎก และพระสงฆ์ ตั้งแต่พระสาวกรุ่นใกล้ชิดพระพุทธเจ้าได้รักษาสืบทอดกันมา ด้วยการทรงจำสาธยาย และจารึกไว้ด้วยความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น พระไตรปิฎกจึงเป็นที่บรรจุรวบรวมพระธรรมวินัยไว้ และจึงใช้เป็นหลัก ในการศึกษาสั่งสอนพระพุทธศาสนา และเป็นมาตรฐานหรือเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าอะไรเป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่

    ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า พระธรรมวินัยเป็นเนื้อเป็นตัวของพระพุทธศาสนา ตัวแท้ของพระพุทธศาสนาอยู่ที่พระธรรมวินัย จะรักษาพระพุทธศาสนาก็ต้องรักษาพระธรรมวินัย และยึดเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ของพระพุทธศาสนา เราจะรักษาพระธรรมวินัย และเอาพระธรรมวินัยมาตั้งเป็นหลัก เป็นเกณฑ์ได้อย่างไร ก็ต้องมีการศึกษาเล่าเรียน เมื่อเล่าเรียนก็รู้ เมื่อรู้แล้วนำมาปฏิบัติ พระธรรมวินัยก็ปรากฏออกมาในการประพฤติปฏิบัตินั้น เช่น ในจริยาวัตรของพระเณร เป็นต้น และเมื่อคนประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระเณรนำมาสั่งสอน ประชาชนก็จะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา เช่น ทำให้สั่งคมดี มีศีลธรรม อยู่กันสงบเรียบร้อย ร่มเย็นเป็นสุข และชีวิตพัฒนาดียิ่งขึ้นไป

    ถ้าตัวเราเองไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย แต่ช่วยสนับสนุนพระเณรให้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ก็เท่ากับช่วยรักษาสืบต่อพระพุทธศาสนา ยิ่งถ้าตัวเองก็ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยด้วย สนับสนุนผู้อื่นด้วย ก็ประเสริฐที่สุด

    พระพุทธเจ้าทรงปกครองคณะสงฆ ์ในสมัยพุทธกาล ทรงจัดตั้งวางระเบียบต่าง ๆ ก็เพื่อให้พุทธบริษัทคือพระสงฆ์และประชาชนได้ประโยชน์จากพระธรรมวินัยที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอน พูดง่าย ๆ ว่าคนทั้งหลาย จะมาเอาพระธรรมวินัยจากพระองค์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงจัดระเบียบพระสงฆ์และวัดวาอารามให้มั่นใจว่า พุทธบริษัททุกคนจะได้ธรรมวินัยไปอย่างดีที่สุด เรียกว่าพระธรรมวินัยนั่นแหละ เป็นเป้าหมายของการปกครองคณะสงฆ์ และก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการจัดการปกครองนั้นด้วย

    คนจะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา คือจากพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนก็ด้วย การศึกษาเล่าเรียน ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น ที่ท่านเรียกว่า ไตรสิกขา ให้พระเณร เป็นต้น เจริญในศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าจัดการปกครอง จัดระเบียบพระสงฆ์และวัดวาอาราม ให้เป็นเครื่องกำกับ หรือ เกื้อหนุนให้พระเณรได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จนมั่นใจได้ว่า พระเณรเหล่านั้นจะเจริญงอกงามในศีล สมาธิ ปัญญา และสามารถสอนประชาชนให้รู้เข้าใจประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ดำเนินชีวิตให้ดีงาม และช่วยกันสร้างสรรค์สังคมได้ ก็พูดได้ว่า การปกครองคณะสงฆ์และการจัดตั้งวางระเบียบการคณะสงฆ์นั้น ประสบความสำเร็จ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ใครอยากพบท่านบ้าง ....
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
    เมตเตยยะ

    พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์ - พระศรีอาริย์ (พระศรีอริยเมตไตรย)

    + + + + + + + + + +
    พระพุทธเจ้า - พุทธวงศ์

    (คำแปล มาจากบทสวดมนต์ "อุปปาตะสันติ")

    ในภัททกัปป์นี้ ๕ พระองค์ (ผ่านไปแล้ว ๓ พระองค์) คือ
    ๑.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ทรงมีพระวรกายสูง สี่สิบศอก พระรัศมีจากพระวรกายแผ่ซ่านไปสิบสองโยชน์ ทรงมี พระชนมายุสี่หมื่นปี
    ๒.
    พระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ทรงมีพระชนมายุสามหมื่นปี
    ๓.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ทรงมีพระรัศมี ทรงมี พระวรกายสูงยี่สิบศอก ทรงมีพระชนมายุสองหมื่นปี
    ๔.
    พระพุทธเจ้าของเรา พระโคตมะ ทรงมีพระวรกายสูงสิบแปดศอก (ในพุทธวงศ์บาลีทรงแสดงไว้ว่า ทรงมีพระวรกายสูง ๑๖ ศอก)
    ๕.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เมตเตยยะ ทรงมีฤทธิ์มาก

    (ข้อความต่อจากนี้ คัดจากหนังสือรู้สึกจะชื่อ "พระมาลัยโปรดสัตว์" โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ์ ป.ธ. ๙)

    ___________________________________

    ครั้งเมื่อพระมาลัยเทวเถระผู้มีบุญญาธิการมาก มีปรีชาญาณ เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก มียศมาก มีจิตสงบระงับจากราคาทิ กิเลสเป็นสมุทเฉทประหารปรากฏด้วยอิทธิฤทธิศักดาเดช ได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนา ธรรมกับเทพยดาผู้จะทรงมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคตกาลซึ่ง ณ บัดนี้ทรงเสวยสุขสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต วันนั้นทรงเสด็จลงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อถวายความเคารพ พระบรมธาตุที่ประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์ ในวันปัณณรสี อุโบสถ หลังจากได้สนทนาอยู่นานสมควรแก่เวลา ก่อนจบพระ มาลัยเทวเถระจึงกราบถามคำถามสุดท้าย ดังนี้

    "สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ขอถวายพระพร อาตมภาพได้สั่งสนทนา กับมหาบพิตรมาก็เป็นเวลาอันนานพอสมควรแล้ว มหาบพิตร ประสงค์จะฝากหลักธรรมคำสั่งสอนอันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ซึ่งเป็น ประโยชน์เกื้อกูลอันยิ่งใหญ่ไพศาล แก่มหาชนชาวชมพูทวีป ก็ ขอถวายพระพร ณ โอกาสบัดนี้"

    "ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้ากลับลงไปสู่ มนุสสโลกแล้ว ขอพระคุณเจ้าได้โปรดบอกแก่มหาชนชาว ชมพูทวีป (หมายถึงโลก- deedi) ด้วยว่า ถ้ามหาชนชาวชมพู ทวีปอยากจะพบโยม พบศาสนาของโยม ขอให้พากันปฏิบัติ อย่างนี้

    ๑.
    อย่าพากันทำปัญจเวรทั้ง ๕ ประการ คือ ปาณาติปาตา เวรมณี ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่ มีชีวิตให้ตกล่วงไป
    อทินนาทานา เวรมณี ให้งดเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้โดยอาการแห่งขโมย กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี ให้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม มุสาวาทา เวรมณี ให้งดเว้นการการพูดปด คือไม่ เจรจาล่อลวงโกหกผู้อื่น
    สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี ให้งดเว้นจาก การดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท สรุปใจความแล้ว ก็ได้แก่ให้พากันตั้งอยู่ในศีล ๕ ให้พากัน รักษาศีล ๕ ให้เคร่งครัด เพราะศีล ๕ นี้เป็นมนุษยธรรม เป็นธรรมะที่ทำให้คนเป็นคน ให้ดีกว่าคน ให้เด่นกว่าคน ให้เลิศกว่าคน ให้ประเสริฐกว่าคน นิยมเรียกว่า "อริยธรรม" แปลว่า ธรรมะที่ประเสริฐ ธรรมะของพระอริยเจ้า

    ๒.
    ให้พากันสมาทานอุโบสถศีลเป็นประจำทุกวันพระ

    ๓.
    ให้งดเว้นเด็ดขาดจากอนันตริยกรรมทั้ง ๕ (ไม่ฆ่าพ่อ ไม่ฆ่าแม่ ไม่ทำร้ายพระอรหันต์ ไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้า ไม่ทำให้สงฆ์แตกกัน - deedi)
    ๔.
    ให้พากันก่อสร้างกองการกุศล คือ ทาน ศีล ภาวนา อย่าให้ขาด อย่าได้ประมาท
    ๕.
    ให้ยึดมั่นอยู่ในกตเวทิตาธรรม

    ถ้ามหาชนชาวชมพูทวีปพากันประพฤติปฏิบัติได้ดังนี้ ก็จะได้ประสบพบกับโยมเป็นแน่ๆ เมื่อโยมได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมดังความปรารถนา ยถากถิตัง ขอพระคุณเจ้าจงบอกเล่าประพฤติเหตุแก่ มหาชนชาวชมพูทวีปตามถ้อยคำของโยมสั่งจงทุกประการเถิด"

    ****************************

    ครั้งเมื่อพระมาลัยเทวเถระผู้มีบุญญาธิการมาก มีปรีชาญาณ เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก มียศมาก มีจิตสงบระงับจากราคาทิ กิเลสเป็นสมุทเฉทประหารปรากฏด้วยอิทธิฤทธิศักดาเดช ได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนา ธรรมกับเทพยดาผู้จะทรงมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคตกาลซึ่ง ณ บัดนี้ทรงเสวยสุขสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต วันนั้นทรงเสด็จลงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อถวายความเคารพ พระบรมธาตุที่ประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์ ในวันปัณณรสี อุโบสถ พระมาลัยเทวเถระได้กราบทูลถามดังนี้

    "ดูกรมหาบพิตร สำหรับมหาบพิตร ทั้งเทวดาและมนุษย์ย่อม พากันเรียกว่า พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น อาตมภาพสงสัยว่า พระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่กี่จำพวกมหาบพิตร"

    "มีอยู่ ๓ จำพวกเท่านั้น พระคุณเจ้าผู้เจริญ นั้นคือ
    ๑.
    ปัญญาธิกโพธิสัตว์
    ๒.
    สัทธาธิกโพธิสัตว์
    ๓.
    วิริยาธิกโพธิสัตว์

    ปัญญาธิกะ แปลว่า ผู้ยิ่งด้วยปัญญา อธิบายว่ามี ปัญญายิ่งกว่าคุณธรรมอย่างอื่นทั้งสิ้น ส่วนคุณธรรมอย่างอื่น เช่น สัทธา หรือวิริยะเป็นต้นก็มีอยู่พร้อมแต่น้อยกว่า หรืออ่อน กว่าปัญญา

    สัทธาธิกะ แปลว่า ยิ่งด้วยศรัทธา คือมีศรัทธาแก่ กล้าแข็งกว่าคุณธรรมอย่างอื่นๆ เช่น ปัญญา หรือ วิริยะ ก็มี อยู่พร้อมมูล แต่อ่อนกว่าหรือน้อยกว่าศรัทธา

    วิริยาธิกะ แปลว่า ผู้ยิ่งด้วยวิริยะ คือ ยิ่งด้วยความ เพียร ความกล้าหาญ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มีวิริยะมากกว่า หรือ เข้มแข็งกว่าคุณธรรมหรือคุณสมบัติอย่างอื่นทั้งหมด ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่นๆ เช่น ปัญญาและสัทธาก็มีอยู่แต่ น้อยกว่า หรืออ่อนกว่าฯ หมายความต่างกันอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้าผู้เจริญฯ"

    "พระโพธิสัตว์ ๓ จำพวกนี้ จะได้ตรัสรู้หมดทุกจำพวกไหม มหาบพิตร"

    "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไม่ได้ ต้องย่น ๓ ลงเป็น ๒ ก่อนคือ
    เป็นนิยตะ แปลว่า แน่ ๑ เป็น อนิยตะ แปลว่า ไม่แน่ ๑
    พระโพธิสัตว์ทั้ง ๓ ประเภทนั้น ถ้าได้รับพยากรณ์แล้วเรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ แปลว่า แน่ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้า ไม่ได้รับพยากรณ์คือคำยืนยันหรือรับรองจากพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ เพราะยังไม่แน่ ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ อาจกลับกลายเป็นพระปัจเจก หรือเป็นพระสาวกไปก็ได้ ขอพระคุณเจ้าจงเข้าพระทัยโดยนัย ดังโยมได้วิสัชนาถวายมานี้"

    "ต่อเมื่อไรเล่าจึงจะได้พยากรณ์ มหาบพิตร"
    "ต่อเมื่อพร้อมด้วยธรรมสโมธาน ๘ ประการ จึงจะได้รับ พยากรณ์ พระคุณเจ้า ธรรมสโมธาน แปลว่า ธรรมที่ ประชุมกัน หรือ ธรรมที่รวมกัน คือประชุมกัน ครบองค์ หรือ รวมกันครบองค์ ถ้าถือตามคำแปลหรือคำ อธิบายนี้ต้องเห็นว่าเป็นกลางๆ ไม่จำกัดธรรมชนิดไร และไม่ จำกัดองค์เท่าไร โดยเหตุนี้ท่านจึงจำกัดลงไปเพื่อตัดความ เห็นต่างๆ เสีย คือมีหลักธรรมอยู่ว่า ผู้จะได้รับตัดสินหรือ ชี้ขาดจากผู้อื่นว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีอะไร สักอย่างหรือหลายอย่างเป็นเครื่องวินิจฉัย ต้องมีองค์คุณ ๘ เต็มที่ไม่ขาดวิ่นแม้แต่ข้อเดียว
    ธรรมสโมธาน ๘ ประการนั้น คือ
    ๑.
    มนุสสัตตัง
    ต้องเป็นมนุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่นับเข้าในข้อนี้
    ๒.
    สิงคสัมปัตติ
    ต้องสมบูรณ์ด้วยเพศ คือเป็นบุรุษ
    พร้อมทุกส่วน จะเป็นเพศหญิง หรือบุรุษที่ไม่สมประกอบ เช่น เป็นกะเทย หรือเป็นคน ๒ เพศ ไม่นับเข้าในข้อนี้
    ๓.
    เหตุ
    ต้องมีอุปนิสัยสามารถสำเร็จพระอรหันต์ ได้ เช่น สุเมธดาบส (พระพุทธเจ้าของเราปัจจุบัน- deedi) เป็นตัวอย่าง คือถ้าต้องการเป็นพระอรหันต์เมื่อใด ก็เป็นได้ เมื่อนั้น
    ๔.
    สัตถารทัสสน
    ต้องได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใด องค์หนึ่ง และได้ทำความดีถวายแด่พระพุทธเจ้าองค์นั้น เช่น สุเมธดาบส ที่ได้ทอดตัวอย่างสะพานถวายแด่พระทีปังกร พุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง
    ๕.
    ปัพพัชชา
    ต้องเป็นบรรพชิตประเภทใดๆ ก็ตาม แต่ให้เป็นประเภทถือถูก จะเป็นดาบสหรือปริพพาชิกก็ได้ ไม่ขัดกับข้อนี้
    ๖.
    คุณสัมปัตติ
    ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณ คือ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘
    ๗.
    อธิกาโร
    ต้องได้ทำความดียิ่ง คือได้ให้ชีวิตและ ลูกเมียเป็นทาน โดยเจตนาหวังโพธิญาณมาแล้ว
    ๘.
    ฉันทตา
    ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้า ในการ เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ คือ ไม่ต้องการสิ่งอื่น และถึงจะ ต้องทนเหนื่อยยากลำบากเท่าไร ในการที่จะต้องสร้างบารมี อยู่นานก็ตาม เป็นไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเปลี่ยนความคิดไป ทางอื่นเป็นอันขาด

    เมื่อองค์คุณเหล่านี้ครบทั้ง ๘ ในชาติใดแล้ว ชาตินั้นแหละจึง ได้รับพยากรณ์ว่า เป็นนิตยโพธิสัตว์คือเป็นผู้แน่ที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า

    รวมองค์ ๘ หรือ ธรรมสโมทาน ๘
    มนุสสัตตัง สิงคสัมปัตติ เหตุ สัตถารทัสสนัง ปัพพัชชา คุณสัมปัตติ อธิกาโร ฉันทตา
    ๑.
    ต้องเป็นมนุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่นับเข้าในข้อนี้
    ๒.
    สมบูรณ์ด้วยเพศ คือเป็นบุรุษพร้อมทุกส่วน
    ๓.
    ต้องมีอุปนิสัยสำเร็จพระอรหันต์ได้
    ๔.
    ต้องได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
    ๕.
    ต้องเป็นบรรพชิตประเภทที่ถือถูก
    ๖.
    ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณคืออภิญญา-สมาบัติ
    ๗.
    ต้องได้ทำความดียิ่งเช่นได้ให้ชีวิต ลูกเมียเป็นทานเป็นต้น
    ๘.
    ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้าอย่างเต็มที่ในการเป็น พระพุทธเจ้า

    ธรรมสโมธาน ๘ ประการ มีอรรถาธิบายเป็นอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ"

    ****************************

    ตามที่ดูๆแล้วคนที่บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ต้องมีอภิญญา 5 ใครยังอยากบำเพ็ญบารมีแบบพุทธภูมิ ต้องเร่งเข้าไปเล่นกสินกันก่อนเลย ไม่งั้นไปไม่รอดแน่ๆ


    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/011175.htm
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    และจากบรรทัดสุดท้ายของบทความข้างต้น ลองเข้าไปเยี่ยมชมในกระทู้นี้หน่อยปะไรมีครับ เผื่อท่านมีของเก่า ปะเหมาะเคราะห์ดีจะได้เข้าถึงเร็วขึ้น มีบทสนทนาสอบถามปัญหา พร้อมวิธีการฝึกดีเหมือนกันครับ

    แนะนำการฝึกกสินภาคปฏิบัติ

    http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/011108.htm
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    มีผู้ถามและขอพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่ามา จึงขอตอบดังนี้

    พระพิมพ์สกุลนี้ผู้สอนยินดีสอนให้ในวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม ในวันทำกิจกรรมทุนนิธิฯ ที่ รพ.สงฆ์ โดยการลงทะเบียนผ่านกระทู้ และผู้เรียน ก็จะได้รับพระพิมพ์สกุลนี้ไป ท่านละ 3 องค์ หลังจากเรียนเสร็จ ผู้ที่ไม่ลงทะเบียนในกระทู้ตามกติกางดแจกด้วยประการทั้งปวงครับ ขอรับรองใครลงทะเบียนเรียนได้ทุกคน สาเหตุที่ต้องทำอย่างนี้ เพราะพระพิมพ์สกุลนี้ เป็นต้นแบบทั้งทรงพิมพ์และเนื้อหา มีทั้ง 3 ประเภทที่ครบถ้วนสมบูรณ์


    <TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>Patumkongka<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2006
    ข้อความ: 32
    <IF condition="">
    </IF>Groans: 1
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 0
    ได้รับอนุโมทนา 226 ครั้ง ใน 34 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title --><CENTER>สมเด็จเจ้าคุณกรมท่า

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->สวัสดีครับ ผมขอโมทนาในความดีทั้งหลายที่คุณและคณะได้ทำดีแล้วทุกประการครับ
    ผมและภรรยาขอพระสมเด็จเจ้าตุณกรมท่าคนละหนึ่งองค์ได้มั๊ยครับ ถ้าได้ช่วยตอบด้วย แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ
    ถ้าให้พระผมๆจะส่งที่อยู่ให้ภายหลังนะครัขอบคุณครับ
    ปทุมคงคา
    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2009
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ขออนุโมทนาและสาธุบุญด้วยครับ หากไม่ติดภารกิจอื่นใด มาร่วมประเคนสังฆทานอาหารเช้าด้วยกันครับ มาพบเจอเพื่อนใหม่ สิ่งใหม่ บางทีอะไรที่ติดขัดในชีวิตอาจจะดีขึ้นในด้วยกุศลและผลบุญที่ได้ทำไว้ก็ได้ครับ ทุกครั้ง จะเริ่มด้วยการบรรจุสังฆทานอาหารเวลา 7.00 น. กว่าจะเสร็จ 7.30 น. ถวายสังฆทานเสร็จพร้อมประเคนเวลาประมาณ 8.45 น. หลังจากนั้น พบปะพูดคุยกัน ราว 9.30 น.เสร็จสิ้นงานทั้งหมดครับ



    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...