ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา
    [​IMG]

    ข้อมูลประวัติ
    เกิด วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2447 ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง เป็นบุตรของ นายพุด นางพุ่ม หนูศรี
    อุปสมบท อายุ 21 ปี ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2468 ตรงกับแรม 4 ค่ำ เดือน 6 ณ วัดสะแก
    มรณภาพ วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ.2533 เวลาประมาณ 05.00 น.
    รวมสิริอายุ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา

    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
    ส่วนใหญ่เป็นเครื่องรางประเภทตะกรุด สำหรับพระเนื้อผงเริ่มสร้างปี พ.ศ.2493 มีหลายพิมพ์ หลังจากนั้นก็มีการสร้างอีกหลายรุ่น ทั้งประเภทพระกริ่ง พระบูชา รูปหล่อ เหรียญ ปรกใบมะขาม พระผงพิมพ์ต่าง ๆ แหวนรุ่นต่าง ๆ

    อิทธิคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
    อิทธิคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง แคล้วคลาดปลอดภัย


    <CENTER> </CENTER>
    <TABLE id=table1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    รูปของ หลวงปู่ดู่
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญเปิดโลก ปี2532
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญเหรียญเสมา ปี 2524
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญเหรียญเสมา ปี 2525
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญเหรียญพรหมสี่หน้า
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญเหรียญรูปไข่ครบรอบ 84 ปี ปี 2531
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญกลมเศรษฐี ปี 2531
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญกลมเศรษฐี ปี 2531
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญยืน ปี 2526
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญ หลวงปู่ดู่เหรียญยืน ปี 2526
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญหล่อ หลวงปู่ดู่เหรียญหล่อเสมา ปี2522
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญหล่อ หลวงปู่ดู่เหรียญหล่อพระพรหม ปี 2522
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญหล่อ หลวงปู่ดู่เหรียญหล่อสี่เหลี่ยม ปี2522
    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]
    พระเหรียญหล่อ หลวงปู่ดู่เหรียญหล่อหยดน้ำ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://p.moohin.com
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่เคยกล่าวไว้ว่า "ผู้ใดที่เคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ เป็นลูกเป็นหลาน สร้างบุญกุศลมากับข้ามา แม้ในชาตินี้ไม่ได้พบสังขารธรรมของข้า แต่พอพบเห็นหลักธรรมคำสั่งสอนของข้าแล้วเกิดศรัทธา คนผู้นั้นแหละเคยสร้างบุญสร้างกุศลมากับข้า เคยเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เป็นลูกเป็นหลานของข้า ขอให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมะภาวนาไตรสรณคมณ์
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว รีบพากันปฏิบัติเพื่อจะได้ไว้เป็นที่พึ่งในภายหน้า ข้าจะคอยช่วยศรัทธาข้าจริงนับถือข้าจริง แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก ข้าอยู่ใกล้ ๆ แกจำไว้"

    คติธรรม โดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก

    ".....เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"
    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ กรรม"

    "คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร"

    "ของดีอยู่ที่ตัวเราหมั่นทำ(ปฏิบัติ)เข้าไว้"

    "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"

    "อย่าลืมตัวตาย"

    "ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    "ที่แกปฏิบัติอยู่ให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง"

    "ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว"


    "บุญนั้นหมั่นทำไว้ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม
    โมทนาไปเลยไม่มีเสียมีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา"


    "หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต
    ...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา"


    "ปฏิบัติแล้ว โลภ โกรธ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าว่าแกใช้ได้"

    "นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ"

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม"

    "ธรรมนั้น อยู่ฟากตาย"

    "ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต"

    "ตัวตายน่ะ ตัวสำเร็จ"

    "นิพพาน อยู่ฟากตาย"

    "ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ) เป็นเถ้าเสียดีกว่า"

    "เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"

    "เชื่อไหมหละ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง"

    "ติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล"

    "เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ
    นี่แหละของแท้"

    "ของจริง ต้องหมั่นทำ"

    "ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"

    "ข้าไม่มีอะไรให้แก
    (ธรรม)ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"


    "แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"


    "หมั่นทำเข้าไว้ พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่แล้ว แล้วเราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง"

    "ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

    "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง"

    "แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไง ๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มีศีล"

    "ครูอาจารย์ดี ๆ แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแกต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี"

    "คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละ ๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนด้วยตนเอง"

    "ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเลิกทำ"

    "ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตัดบาตรจนขันลงหินทะลุ"

    "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า"
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    พญาชมพูบดี
    ต้นตำนานพระพุทธรูปปางมหาจักรพรรดิ์


    [​IMG]

    <TABLE style="PADDING-RIGHT: 15px; PADDING-LEFT: 20px; PADDING-BOTTOM: 50px" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD class=Article_Detail>
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif][/FONT] ​
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] [/FONT][FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif]ในสมัยพุทธกาล มีพระมหากษัตริย์ผู้เรืองอำนาจพระองค์หนึ่ง ซึ่งปกครองเมืองปัญจาลราษฐ พระนามว่า "พญาชมพูบดี" กล่าวกันว่า พร้อม ๆ กับการประสูติของพญาชมพูบดี ขุมทองในที่ต่างๆ ก็ผุดขึ้นมากมายอันแสดงถึงบุญญาธิการของพระองค์ ประชาชนในเมืองนี้จึงมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่งคั่งสมบูรณ์ [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] พญาชมพูบดี ทรงมีอาวุธวิเศษ 2 อย่าง คือ ฉลองพระบาทแก้ว ซึ่งเมื่อสวมเข้าไปแล้วก็จะพาพระองค์เหาะไปในที่ต่างๆ ได้ ทั้งยังใช้อธิษฐานแปลงเป็นนาคราชเข้าประหัตประหารศัตรูได้อีกด้วย อาวุธวิเศษอย่างที่สอง คือ วิษศร ซึ่งเป็นศรวิเศษใช้ต่างราชทูต หากกษัตริย์เมืองใดไม่มาอ่อนน้อมขึ้นต่อพระองค์ วิษศรนี้ก็จะไปร้อยพระกรรณพาตัวเข้าเฝ้าพระองค์จนได้ ทำให้กษัตริย์ทั้งหลายพากันยำเกรงในพระเดชานุภาพแห่งพญาชมพูบดี
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif]รุกรานพระเจ้าพิมพิสาร[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] ด้วยอาวุธคู่พระวรกาย พญาชมพูบดีได้ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง กระทั้งถึงกรุงราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นอุบาสกแห่งสมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า พญาชมพูบดีส่งอาวุธวิเศษของพระองค์ ไปทำอันตรายต่อพระเจ้าพิมพิสาร แต่ไม่อาจทำอันตรายแก่พระเจ้าพิมพิสารได้ ด้วยอาศัยพระพุทธานุภาพ ทำให้พญาชมพูบดีแค้นพระทัยมาก แม้ส่งอาวุธวิเศษอย่างใดไป ก็พ่ายแพ้แก่พุทธจักร และพระพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif]พระพุทธองค์ทรงเทนรมิตองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า พญาชมพูบดีประสบความพ่ายแพ้ และมีทิฏฐิมานะเบาบางลง ประกอบด้วยกับทรงเล็งเห็นวาสนาปัญญาของพญาชมพูบดีว่าสามารถสำเร็จมรรคผลได้ จึงมีพุทธฎีกาตรัสใช้ให้พระอินทร์แปลงเป็นราชทูตพาพญาชมพูบดีมาเข้าเฝ้า ส่วนพระองค์ทรงเนรมิตองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงมงกุฎ พร้อมเครื่องราชาภรณ์ แต่ล้วนงดงาม ส่วนพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานเถระเจ้า พร้อมด้วยเหล่าภิกษุสงฆ์สาวก ก็เนรมิตกายเป็นเสนาอำมาตย์ใหญ่น้อย ล้วนแล้วแต่น่าเกรงขาม ทั้งเนรมิตเวฬุวัน (ป่าไผ่) ให้เป็นพระนครใหญ่ประกอบด้วยกำแพงถึง 7 ชั้น และมีพุทธฎีกาตรัสสั่งให้เทวดา พรหม ทั้งหลาย ร่วมเนรมิตเป็นตลาดน้ำ ตลาดบก
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif]พญาชมพูบดีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] เมื่อพระอินทร์ซึ่งเนรมิตกายเป็นราชทูต ไปถึงเห็นพญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ยังถือดี จึงแสดงฤทธานุภาพเป็นที่ประจักษ์ พญาชมพูบดีไม่อาจแข็งขืนจำยอม ต้องยกพลเดินทัพเพื่อเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้า
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] เมื่อพญาชมพูบดี เดินทางเข้าเขตพระนคร ก็ตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการแห่งพระนครที่พระพุทธองค์ทรงเนรมิต แม้แต่เหล่าแม่ค้าริมทาง ก็ยังงดงามกว่าพระอัครมเหสีของพญาชมพู จนชวนให้รู้สึกขวยเขินก้าวเดินไม่ตรงทาง และเมื่อผ่านทางยังกำแพงพระนครแต่ละชั้น ทอดพระเนตรเห็นเหล่าเสนาอำมาตย์ที่รักษาพระนคร พระทัยก็ประหวั่นพรั่นกลัวพระเสโทไหลโทรมทั่วพระสกลกาย ถึงกำแพงชั้นในซึ่งเป็นแก้ว ก็ทำท่าจูงกระเบนเหน็บรั้ง ด้วยเข้าพระทัยผิดคิดว่ามีเสียงนางในร้องเย้ยเยาะว่ากษัตริย์บ้านนอก กระทำเชยๆ พญาชมพูบดีก็รู้สึกได้รับความอัปยศอย่างยิ่ง
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif]พระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดพญาชมพูบดี[/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] พญาชมพูบดี เมื่อมาถึงต่อหน้าพระพักตร์แห่งพระบรมศาสดา ซึ่งเนรมิตกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ยังไม่หมดทิฏฐิมานะ พระพุทธองค์ทรงเชื้อเชิญให้แสดงฤทธิ์เดชอำนาจและของวิเศษทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เมื่อพญาชมพูบดีทรงแสดงแล้ว ก็ต้องได้รับความอัปยศยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยไม่อาจทำอันตรายพระพุทธองค์ได้เลยแม้แต่น้อย
    [/FONT]
    [FONT=Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif] เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าพญาชมพูบดีคลายทิฏฐิมานะลงมากแล้ว จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพญาชมพูบดี และเหล่าเสนาอำมาตย์ที่ติดตามมาด้วยจำนวนมากมายให้เห็นสิ่งที่เป็นสาระและมิใช่สาระ ให้เห็นโทษแห่งการเวียนเกิด เวียนตาย ในวัฏสงสาร ทั้งให้เห็นคุณแห่งพระนิพพาน พญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างรู้สึกปีติ โสมนัส จึงปลดมงกุฎและเครื่องประดับของตนวางแทบพระบาทแห่งองค์พระสัมพัญญูบรมศาสนา เพื่อสักการะด้วยความรู้สึกเทิดทูน จากนั้นจึงทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธองค์ จากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสมพุทธเจ้าบรมครู พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก เทวดา พรหม ก็คล้ายฤทธานุภาพกลับสู่สภาพเดิม (เป็นป่าไผ่และสภาพทั้งหลายตามความเป็นจริง) สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานอุปสมบถแก่พญาชมพูบดี พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ และทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้คลายความลุ่มหลงในเบญจขันธ์ มีรูป เป็นต้นว่า อุปมาดั่งพยับแดด หาสาระตัวตนที่เที่ยงแท้อันใดมิได้ และแสดงเทศนาต่างๆ เป็นอเนกปริยาย พญาชมพูบดีและเหล่าเสนาอำมาตย์ ก็ดื่มด่ำในพระอมตธรรมสลัดเสียซึ่ง ตัณหา อุปาทานจิตของท่าน ก็เข้าอรหัตตผล สำเร้จเป็นพระอริยบุคคลในพระบวรพุทธศาสนา[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.mod-amulet.com
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ลูกแก้วสารพัดนึก
    หรือแก้วมณีนพรัตน์ ของหลวงปู่ดู่



    [​IMG]

    หลวงปู่ท่านให้นำพุทธคุณต่าง ๆ หลายชนิด มาผสมกับปูนซีเมนต์ขาวและปั้นเป็นลูกกลม ๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ผงที่หลวงปู่ให้มานั้นท่านบอกว่าเป็นผงมหาราช ผงตรีนิสิงห์เห ผงปัตถมัง ผงกรรมฐาน ผงมหาจักรพรรดิ และผงศักดิ์สิทธิ์อีกหลายชนิด

    ลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดท่านเรียนถามหลวงปู่ว่า ทำไมหลวงปู่ใช้ผงมากขนาดนี้ครับ ท่านบอกว่า ถ้าทำเป็นพระก็ไม่ต้องใช้ผงมาก เพราะคนจะเห็นคุณค่าของพระอยู่ในตัว แต่นี้ข้าให้ไปทำเป็นลูกกลม ๆ คนอื่นเขาจะไม่รู้ค่าจึงจำเป็นต้องทำให้มีพุทธคุณมาก ๆ ไว้เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเลยแหละแก

    หลวงปู่ท่านว่า ข้าอธิษฐานเป็นแก้วมหาจักรพรรดิ เรียกว่า แก้วมณีนพรัตน์ เป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า แม้ผู้ใดนำไปใช้ก็จะเกิดประโยชน์ใหญ่มีพุทธานุภาพมาก แล้วแต่จะอธิษฐานเอา


    สมัยก่อนข้าเคยทำไว้เป็นดินเผาก็มีเป็นผงก็มี กลมบ้าง เป็นแท่งยาว แท่งสั้นหลายขนาด เจาะรูไว้ตรงกลางเพื่อให้อากาศฐาตุเข้าเรียกวา โปร่งฟ้า ที่ไม่เจาะรูก็มี หนักไปทางแคล้วคลาดมหาอำนาจ สมัยก่อนห่ากินคนตายไปกันมาก ข้าจะทำเอาไว้แขวนคอควายแจกชาวบ้านให้ติดตัวกันแต่ห่าก็มาไม่ถึง จึงไม่ได้แจกแต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดแล้ว

    ลูกศิษย์จึงถามท่านว่า แก้วมณีนพรัตน์ป้องกันโรคร้าย ๆ ได้ด้วยหรือครับหลวงปู่ และถ้าคนที่เขาเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หายจะช่วยได้ไหมครับ หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า ให้นำแก้วมณีนพรัตน์ไปแขวนคอไว้ แล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ ตลอดเวลาหรือภาวนามาก ๆ ถ้ากรรมไม่หนักพุทธานุภาพของไตรสรณคมณ์ก็จะช่วยได้อยู่ที่ว่าตั้งใจภาวนามากน้อยเพียงไรนับถือและศรัทธาจริงภาวนาไปจะมีเหตุมาทำให้หายจากโรคร้าย แต่ถ้าหมดอายุ ก็ยิ่งสำคัญมาก เพราะเวลาที่คนจะตายด้วยโรคร้ายจะทุกข์ทรมานมาก จนจิตไม่สามารถ ระลึกถึงความสุขหรือที่เขาเรียกว่ากรรมดี เพราะความดีหรือบุญก็จะทำให้ได้ไปจุติเป็นเทพเป็นพรหม หรือเป็นเทวดาตามชั้นต่าง ๆ ตามแต่บุญกุศลของตนที่เคยได้ทำไว้ แต่ถ้าจิตตกเพราะเจ็บปวดทรมาน และไม่เคยฝึกสมาธิหรือกรรมฐานจิตก็จะหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ตอนนั้นกรรมชั่วที่เคยทำไว้จะเข้าแทรก ถ้าตายตอนจิตตกทุคติเป็นที่ไปคือต้องไปเป็นเปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรฉานและถ้ากรรมชั่วมากก็ต้องไปใช้กรรมยังเมืองนรก

    หลวงปู่ท่านว่าจะให้ดีระหว่างเจ็บป่วยหรือโรคร้ายต่าง ๆ ให้กำแก้วมณีนพรัตน์ไว้และภาวนาให้มาก ๆ ถ้าแกภาวนาไปเรื่อยจิตก็จะเข้าถึงไตรสรณคมณ์ กรรมหนักก็จะเบา กรรรมเบาก็จะหาย ทำมาก ๆ ผลของไตรสรณคมณ์ ที่เป็นบุญใหญ่นี้ก็อาจต่ออายุให้อยู่ได้ทำบุญไปอีกนาน ถ้าหมดอายุจิตที่เคยฝึกภาวนาไตรสรณคมณ์ก็จะมีแสงสว่างซึ่งเป็นบุญใหญ่ทำให้จิตระลึกถึงกรรมดีที่ตนเคยสร้างไว้ ถ้าตายตอนนั้น ก็จะได้ไปจุติเป็นเทพ พรหม หรือเทวดา ตามแต่บุญของตนที่ได้ทำไว้ แก้วมณีนพรัตน์สามารถตัดกรรมได้ โดยการภาวนาไตรสรณคมณ์

    กรรมชั่วที่ผู้ใดได้กระทำไว้แล้ว มิอาจตัดกรรมหรือทำให้หายไปได้ แต่จะให้ผลเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่เหตุปัจจัย กรรมชั่วเหมือนกับความมืด กรรมดีเป็นแสงสว่าง หลวงปู่ท่านว่า ถ้าใครทำจิตให้เป็นสมาธิและภาวนาไตรสรณคมณ์ ก็จะสว่างไปทั้งสามโลก การภาวนานี้เป็นบุญใหญ่ กรรมชั่วที่เคยทำไว้มิอาจเข้าแทรกได้ กรรมดีที่เคยทำไว้แต่ปางก่อน ก็จะมาส่งผล บวกกับบุญใหญ่ที่เกิดจากการภาวนาไตรสรณคมณ์ รวมกันก็จะเป็นมหากุศล ถ้าตายในช่วงนั้นก็จะได้ไปจุติ บนวิมานตามชั้นต่าง ๆ ได้เสวยความสุข เป็นเวลานานเรียกว่ากรรมชั่วเป็นหมัน ยังไม่มีโอกาสที่จะมาส่งผล คนส่วนมาก จึงคิดว่าเป็นการตัดกรรม แต่ที่จริงกรรมชั่วยังอยู่ รอโอกาสที่จะสนอง หลวงปู่ท่านว่า ใครจะใหญ่เกินกรรม แต่ที่ได้เสวยความสุขก่อนก็เพราะด้วยอำนาจของกรรมดี มีมากกว่ากรรมชั่ว ท่านบอกว่า ถ้าใครมาบอกจะทำพิธีตัดกรรมได้ อย่าไปเชื่อแกจะโดนเขาหลอก



    [​IMG]



    ลูกสะกดหรือแก้วมณีนพรัตน์
    ขนาดโดยประมาณ ยาว 1.5 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม.
    เนื้อปูนผสมผงพุทธคุณ มีรูผ่านตรงกลาง

    [​IMG] [​IMG]

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.mod-amulet.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2009
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    เหรียญกรมหลวงชุมพร หลวงปู่ทิมเสก๒๕๑๘

    [​IMG]

    ...เหรียญกรมหลวงชุมพร หลวงปู่ทิมเสกนั้น ผมคิดว่าใครๆก็รู้จักดี ก็เห็นหมุนเวียนในตลาดอยู่อย่างไม่เคยขาดหาย โดยทั่วไปคนมักจะรู้แค่ว่าหลวงปู่ทิมเสกซึ่งก็มักจะพอใจแล้วว่าได้พระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าปลุกเสกให้ แต่ลองมาอ่านดูว่าการสร้างเหรียญนั้นไม่ได้ทำอย่างลวกๆแค่เอาแผ่นทองแดงมาปั๊ม แล้วจะรู้ว่าเหรียญนี้มีดีที่มวลสารชนวนเหมือนกัน....ผมคงไม่สามารถพิมพ์เนื้อความทั้งหมดได้ แต่จะตัดตอนที่พูดถึงชนวนมวลสารเท่านั้น และยืนยันว่าในการตัดทอนไม่มีตรงไหนที่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมแม้แต่น้อย และไม่มีการดัดแปลงใดๆให้เนื้อความเสียความหมาย...
    "...มูลเหตุของการสร้างเหรียญคือ กองพันทหารราบที่๓ กรมนาวิกโยธิน ต้องจัดหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินขึ้นมาหน่วยหนึ่งมีโค้ดเนมว่า" ฉก.นย.๑๘๑" โดยมีภารกิจไปปราบปรามเหล่าขบวนการโจรก่อการร้าย ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงเดือนธันวาคม ๒๕๑๗ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๑๘ โดยได้จัดสร้างเหรียญพระบรมรูปกรมหลวงชุมพรฯให้เป็นที่ระลึกกับข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานในครั้งนี้.นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพิ่มเติมอีก ๓ ข้อ คือ
    ๑.เพื่อจำหน่ายหารายได้เป็นทุนสวัสดิการแก่ทหารนาวิกโยธินที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฎิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ
    ๒.นำรายได้ส่วนหนึ่งไปบูรณะศาลกรมหลวงชุมพรฯ ณ กระโจมไฟกรมหลวงชุมพรฯบนยอดเขาแหลมปู่เฒ่าในฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี
    ๓.รายได้ส่วนหนึ่งนำไปประกอบการกุศลตามความเหมาะสมต่อไป
    การจัดสร้างนั้นได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่นายทหารระดับสัญญาบัตรขึ้นควบคุมและเป็นการจัดสร้างเป็นการภายใน เพื่อป้องกันข้อครหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง.
    คณะกรรมการได้ขอความเมตตาจากหลวงปู่ทิม อิสริโกให้ปลุกเสกให้ ซึ่งหลวงปู่ก็ตอบรับมาว่า"เต็มใจทำให้ด้วยความยินดี"
    คณะกรรมการได้จัดตั้งเครื่องสังเวยชุดใหญ่บวงสรวงดวงพระวิญญาณของเสด็จเตี่ย ณ ศาลกรมหลวงชุมพรฯ บนยอดเขาแหลมปู่เฒ่า เพื่อขออนุญาตทำเหรียญขึ้นเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘...............


    [​IMG]

    .....จากนั้นเริ่มรวบรวมชนวนมวลสารต่างๆ โดยนำแผ่นทองคำ แผ่นเงิน ให้พระเกจิลงอัขระปลุกเสกดังมีรายนามดังนี้
    ๑.หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ จ.ระยอง
    ๒.หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก จ.ระยอง
    ๓.หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า จ.ระยอง
    ๔.หลวงปู่เหมือน วัดกำแพง จ.ชลบุรี
    ๕.หลวงพ่อแฟ้ม วัดป่า(อรัญญิกาวาส) จ.ชลบุรี
    ๖.หลวงพ่อทัต วัดช่องแสมสาร จ.ชลบุรี
    ๗.หลวงพ่อแดง วัดเชิงเขา จ.นราธิวาส
    ๘.หลวงพ่อบัว วัดสารวัน จ.ปัตตานี
    ๙.หลวงพ่อชื่น วัดหัวเขา จ.ปัตตานี
    นอกจากนี้ยังได้ชนวนอื่นๆอีก
    ๑.ตะกรุดโทน หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย
    ๒.ตะกรุดโทน หลวงพ่อเหลือ วัดเขาชะโงก
    ๓.ตะกรุดโทน หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม จ.ชลบุรี
    ๔.ตะกรุดเก่าไม่ทราบสำนักจากผู้มีจิตศรัทธาจำนวนหลายร้อยดอก
    ๕.ห่วงเหรียญต่างๆหลายร้อยห่วง
    เมื่อได้มวลสารทั้งหมดแล้วนำโลหะทั้งหมดมาหลอมแล้วรีดเป็นแผ่นเข้าเครื่องปั๊มโดยมีช่างยิ้ม ยอดเมืองเป็นผู้แกะบล็อค โดยได้ปั๊มเหรียญเพียงเนื้อเดียวเท่านั้น ได้ของเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘ นับเหรียญทั้งหมดได้ ๒๓,๕๙๙ เหรียญ แยกออกมาเป็นจำนวน ๑,๐๐๐ เหรียญไปกะไหล่ทองเพื่อมอบให้กับข้าราชการในหน่วย ฉก.นย.๑๘๑ และบรรดาผู้มีอุปการคุณทั้งหมดเป็นกรณีพิเศษ
    หลังจากนั้นนำเหรียญทั้งหมดไปให้หลวงปู่ทิมเสกเดี่ยว ในวันที่ ๑๙พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของเสด็จในกรมฯพอดี ท่านเมตตาทำให้เต็มที่ถึง ๕ วัน ไปขอคืนเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๘

    [​IMG]

    หลังจากนั้นนำเหรียญไปตอกโค้ดรูปตัวเฑาะว์มหาอุด เหรียญที่ชุบกะไหล่ทอง ๑,๐๐๐ เหรียญตอกโค้ดที่ด้านซ้ายพระองค์ท่าน(ด้านขวามือเราเวลาดูเหรียญ).ส่วนเหรียญเนื้อทองผสมธรมมดาตอกที่ด้านล่างขององค์ท่าน...
    ...หลังจากตอกโค้ดแล้วได้นำไปบวงสรวงดวงพระวิญญาณของเสด็จเตี่ย ณ ศาลกรมหลวงชุมพรฯ บนยอดเขาแหลมปู่เฒ่าโดยตั้งเครื่องสังเวยและราชวัตรฉัตรธงอย่างสมบูรณ์แบบ มีพราหมณ์เป็นผู้ดำเนินการบูชาจนเสร็จพิธี.พอกล่าวบูชาเสร็จก็นำน้ำพระพุทธมนต์มาประพรมเหรียญจนทั่วถึงอีกครั้ง น่าประหลาดตรงที่นับแต่จุดธูปจนเสร็จพิธีการ ธูปดับสนิทในวินาทีสุดท้ายได้ ๒๙ นาทีพอดิบพอดี.
    แจกจ่าย ๑,๐๐๐ เหรียญเป็นข้าราชการดังเกริ่นไว้ และได้ถวายเหรียญหลวงปู่ทิมไว้ ๒,๐๐๐ เหรียญและมอบให้กรมนาวิกโยธิน กองทัพเรือสัตหีบ เพื่อหาทุนสวัสดิการกองทัพเรือ๑๐,๐๐๐เหรียญ นอกจากนั้นจำหน่ายในราคาเหรียญละ ๒๐ บาท

    [​IMG]

    ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ทิมได้เล่าให้ฟังว่า เคยได้ยินหลวงปู่ทิมพูดถึงการเสกพระของท่านว่า ใครเอาพระรูปแบบใดมาให้ทำ ท่านก็จะทำตามนั้น เช่นเอารูปพระพุทธรูป ท่านก็ขอบารมีพระพุทธเจ้า,เอารูปพระพรหมมาก็ขอบารมีพรหม,เอารูปพระเจ้าตากสินมา ท่านก็เชิญดวงพระวิญญาณพระเจ้าตากมา, เอารูปกรมหลวงชุมพรมา ท่านก็เชิญกรมหลวงมา มาเพื่อร่วมเสก เพื่อร่วมรับทราบ..."


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    http://www.amulet2u.com
     
  6. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    อะไรมีค่าที่สุด...???


    [​IMG]

    ถ้าเราลองมาคิดกันดูแล้ว สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเราตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายคืออะไร...
    หลายคนอาจตอบว่า ทรัพย์สมบัติ สามี ภรรยา บุคคลอันเป็นที่รัก บุตร หรืออะไรอื่นๆ...
    แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตของเรานั้นมีค่าที่สุด เพราะถ้าเราสิ้นชีวิตแล้ว สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีความหมายใดๆ...

    ชีวิตเป็นของมีค่าที่สุด ในจำนวนสิ่งที่เรามีอยู่ในโลกนี้ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นของมีค่าที่สุดในโลก สิ่งต่างๆในโลกช่วยให้เราพ้นทุกข์ชนิดถาวรไม่ได้ แต่พระธรรมช่วยเราได้ ผู้มีปัญญาทั้งหลายควรผนวกเอาสิ่งที่มีค่าที่สุดทั้งสองนี้ ให้ขนานทาบทับเป็นเส้นเดียวกัน อย่าให้แตกแยกจากกันได้เลย ดังพระพุทธพจน์ตอนหนึ่งว่า...

    กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก
    กิจฉัง มัจจานัง ชีวิตัง การได้มีชีวิตอยู่เป็นของยาก
    กิจฉัง สัทธัมมะ สะสวนัง การได้ฟังพระสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก
    กิจโฉ พุทธานมุปปาโท การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก

    อะไรจะมีค่าที่สุดสำหรับผู้ที่ได้มานมัสการหลวงพ่อนั้นคงไม่ใช่ พระพรหมหรือเหรียญเปิดโลกของท่านอันเลื่องชื่อของท่าน...
    หลวงพ่อเคยเตือนศิษย์เสมอว่า "ข้าไม่มีอะไรให้แก...ธรรม...ที่สอนไปนั้นแหละให้รักษาเท่าชีวิต...

    ....อัปปมาโน สังโฆ... ขอน้อมสักการะหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ด้วยเศียรเกล้า...

    บทความตอนหนึ่งจากหนังสือกายสิทธิ์
     
  7. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้เวลา 15.31 น. ผมได้โอนเงิน 200.- บาท
    ร่วมทำบุญฯครับ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 15 สิงหาคม 2551 2:54:08 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๔ | ทรงทรมาณช้างนาฬาคีรี
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๔ : ทรงทรมาณช้างนาฬาคีรี


    เมื่อแผนการที่สองล้มเหลวลงอีก ต่อมา พระเทวทัตได้แนะนำให้พระเจ้าอชาตศัตรูสั่งเจ้าพนักงานเลี้ยงช้างปล่อยโขงช้างดุร้ายออกไล่เหยียบพระพุทธเจ้า ในขณะที่เสด็จบิณฑบาต พระเทวทัตสั่งให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี ช้างพระที่นั่งของพระเจ้าอชาตศัตรูที่กำลังซับมันดุร้าย เพื่อให้ทำอันตรายพระชนม์ชีพพระบรมศาสดา ในเวลาเสด็จออกบิณฑบาต แต่ช้างนาฬาคีรีก็ไม่ทำร้ายพระองค์ ครั้งนั้น พระอานนท์เถระเจ้า ผู้มากด้วยความกตัญญู สละชีวิตถวายเป็นพุทธบูชา โดยกลัวว่าช้างนาฬาคีรีจะทำร้ายพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ออกไปยืนกั้นหน้าช้างนาฬาคีรีไว้ เพื่อให้ช้างทำลายชีวิตท่าน ปรารถนาจะป้องกันพระบรมศาสดา แต่ในทันใดนั้น พระบรมศาสดาได้ทรงช้างนาฬาคีรีให้หมดพยศอันร้ายกาจ หมอบยอบกายเข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดา ฟังพระบรมศาสดาตรัสสอน แล้วเดินกลับเข้าสู่โรงช้าง ด้วยอาการอันสงบ ปรากฏแก่มหาชนที่ประชุมกันดูอยู่เป็นอันมาก เป็นมหัศจรรย์

    [​IMG]


    ครั้นพระผู้มีพระภาค พาพระสงฆ์เสด็จกลับยังพระเวฬุวันวิหาร มหาชนก็พากันแซ่ซ้องร้องสาธุการ ติดตามไปยังพระเวฬุวันวิหาร จัดมหาทานถวาย ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้ว พระบรมศาสดาได้ตรัสอนุปุพพิกกถา อนุโมทนาเมื่อได้ทรงสดับคำพรรณนาถึงคุณของพระอานนท์เถระเจ้า ที่ได้สละชีวิตออกไปยืนกั้นช้างนาฬาคีรี สมเด็จพระชินสีห์ จึงประทานพระธรรมเทศนามหังสชาดก และจุลลหังสชาดก ยกคุณของพระอานนท์เถระเจ้าที่ได้สละชีวิตถวายพระองค์ แม้ในอดีตชาติ


    [​IMG]


    เมื่อแผนการที่สามล้มเหลวลงอีก เพราะช้างนาฬาคีรีไม่กล้าทำร้ายพระพุทธเจ้า ในตอนนี้เอง ความชั่วของพระเทวทัตจึงเป็นข่าวแดงโร่ออกมา ประชาชนชาวเมืองต่างโจษจันกันเซ็งแซ่ว่า ผู้จ้างนายขมังธนูก็ดี ผู้กลิ้งก้อนหินกระทบพระบาทพระพุทธเจ้าก็ดี ผู้ปล่อยช้างก็ดี แม้ที่สุดพระเจ้าพิมพิสารที่เสด็จสวรรคตก็ดี เป็นแผนการของพระเทวทัตทั้งสิ้น แล้วต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าพระราชาของเรา คบพระที่ลามกเช่นนี้เองจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


    [​IMG]


    สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
    ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
    โดยความไม่สมหวังตลอดไป
    อนาคตยังมาไม่ถึงก็เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน


    อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต
    อนาคตควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน
    ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้
    เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย


    อดีต....เปรียบเหมือน...สัญญา...

    ปัจจุบัน....คือ...เวทนา

    อนาคต...คือสังขาร

    พระพุทธองค์สอนให้อยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้น....คือ....กำหนดตรงเวทนา...เมื่อรู้แล้วปล่อยวาง




    : ภูริทตฺตธมฺโมวาท
    : บูรพาจารย์ ๒๐ ก.ค. ๒๕๔๓


    ขอขบคุณ
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4918
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]


    ความโกรธไม่ทำให้ใครเป็นสุข มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์ ยิ่งโกรธง่าย โกรธแรง ก็ยิ่งเป็นทุกข์บ่อย เป็นทุกข์มาก

    ผู้โกรธเท่านั้นที่เป็นทุกข์ พิจารณาจนเห็นจริงว่า ผู้โกรธเท่านั้นที่เป็นทุกข์จริง ๆ ซึ่งจะต้องเห็น แม้จะเห็นเพียงครู่ยามแล้วลืมก็จะต้องเห็น เพราะตนเองเป็นทุกข์อยู่เพราะความโกรธจริง ๆ

    เมื่อเห็นแล้วว่าผู้โกรธเท่านั้นที่เป็นทุกข์ ให้พิจารณาย้อนไปอีกว่าความโกรธเกิดเพราะความปรุงคิดเช่นใด ก็จะเห็นว่าตนได้คิดปรุงไปเช่นใด เมื่อจะแก้ไม่ให้เกิดความโกรธ ก็จะ ต้องไม่คิดปรุงเช่นนั้น จะต้องเปลี่ยนวิธีปรุงคิดเสียใหม่

    ฉะนั้นตราบใดที่จิตใจนี้คิดปรุงหรือปรุงคิดไปในทางโกรธ ไม่คิดปรุงหรือปรุงคิดไปในทางดับ ดั่งนี้แหละเรียกว่ากระทำให้มากด้วยอโยนิโสมนสิการ คือด้วยการกระทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย

    หัดกระทำให้มากโดยโยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาโดยแยบคาย คือการหัดคิดดับโกรธ ไม่คิดส่งเสริมโกรธ แต่คิดดับโกรธ

    คือพิจารณาว่า ความโกรธก็คือกิเลสกองโทสะหรือพยาบาทนี้ทั้งหมดนั้น เป็นโทษอย่างนั้นๆ เช่นก่อให้เกิดความวู่วาม เร่าร้อน ไม่ผาสุข เป็นเหตุก่อกรรมคือการงานที่กระทำทางกายทางวาจาทางใจเป็นอกุศลต่างๆ ล้วนแต่มีโทษ ไม่มีคุณ

    ส่วนความดับโกรธนั้นเรียกว่าเป็นการที่ดับไฟตั้งแต่ต้น ไม่ลุกลามใหญ่โต ไหม้ตัวเองและไหม้ผู้อื่นให้เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ดับโกรธเสียจึงดีกว่า และมีคุณ ทำให้เกิดความผาสุขสบาย ไม่ก่อกรรมเบียดเบียนทำลายล้างซึ่งกันและกัน

    เป็นการหัดคิดพิจารณานี้เองที่จิตใจ สร้างสติความระลึกได้ความสำนึกตัว สร้างปัญญาให้แก่จิตใจ เมื่อจิตใจได้สติได้ปัญญา ก็ย่อมจะดับโทสะได้ และการใช้ความคิดวิตกตรึกตรองไปก็จะเป็นไปในทางดับโทสะดับพยาบาท ไม่เป็นไปในทางก่อให้ลุกลาม


    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    ขอขอบคุณ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4949
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    [​IMG]

    เมตตาบารมี

    เมตตาคือ ความไม่โกรธ
    กรุณา คือความไม่เบียดเบียน


    เมตตา คือภาวะของจิตใจที่มีเยื่อใยไมตรีจิตมิตรใจ คิดเกื้อกูลด้วยสุขประโยชน์ ปราศ จากอาฆาตพยาบาท ขึ้งเคียดโกรธแค้น แสดงออกทางสีหน้าและสายตาที่สงบแช่มชื่น มองด้วยสายตาอันแสดงถึงใจที่เอิบอาบด้วยด้วยความปรารถนาดี ให้มีความสุข ปราศ จากความมุ่งร้าย ที่เป็นเวรเป็นภัยทั้งปวง

    เมตตานี้เป็นพรหมวิหารธรรมข้อหนึ่ง ที่พึงอบรมให้มีขึ้นในจิต วิธีอบรมคือ ระวังใจมิให้โกรธแค้น ขัดเคือง อาฆาตพยาบาท เมื่อภาวะของจิตเช่นนั้นเกิดขึ้น ก็พยายามสงบระงับ เสีย โดยตัวเองรักสุข ต้องการสุขฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นทั้งปวงก็ฉันนั้น

    เมื่อทำความสงบพยาบาท กระทำไมตรีจิตมิตรใจ ให้เกิดขึ้นได้แล้ว ก็หัดแผ่จิตเช่นนี้ ออกไปแก่คนอื่นสัตว์อื่น โดยเจาะจง หรือโดยไม่เจาะจงทั่วไป โดยใจคิดปรารถนาสุขประโยชน์ เช่น คิดว่า จงอย่ามีเวร อย่ามีความเบียดเบียน อย่ามีทุกข์ จงมีความสุข รักษาตนให้มีความสุขสวัสดี


    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ขอขอบคุณ

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4937
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    วันนี้นำเสนอเป็นตอนสุดท้ายแล้ว สำหรับพระราชกรณียกิจที่ในหลวงทรงผนวช 15 วัน จากที่นำเสนอมาทั้ง 14 ตอน จะเห็นได้ว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ท่านปฏิบัติดังที่พระนวกะท่านได้ปฏิบัติกัน ทั้งข้ออรรถ ข้อธรรม ท่านได้เรียนรู้ และได้ปฏิบัติตามควรแก่กรณี ข้อธรรมของท่านที่ได้รับการสั่งสอนนั้น บางหมวด บางตอน ผมเองก็เพิ่งได้เรียนรู้จากพระราชกรณียกิจนี้เช่นกัน ที่นำเสนอบทความนี้ก็เพื่อหวังเพียงให้เกิดคุณประโยชน์ทางจิตแก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบ้างไม่มากก็น้อยประเภท "รู้ไว้ใช่ว่า" นั่นเอง ลองตามดูเลยครับ

    ท ร ง ล า พ ร ะ ผ น ว ช

    วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2499 นับเป็นวันสุดท้ายที่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจักทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ในเพศบรรพชิต
    วันนั้นหลังจากทรงตื่นพระบรรทมและเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระตำหนักปั้นหย่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฉายพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมด้วยเครื่องบริขาร จากนั้นเสด็จลพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า แล้วทรงสดับ เรื่อง
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096

    ขอบคุณอีกครั้งสำหรับสมาชิกประจำท่านนี้ ทำบุญอย่างสม่ำเสมอมาตลอด ทุนนิธิฯ นี้ไม่เกี่ยงว่าเป็นเงินเท่าไร สนใจเพียงขอให้ทำจริง ทำอย่างสม่ำเสมอ แค่นี้คณะกรรมการฯ เราพอใจแล้ว ขอโมทนาและสาธุบุญด้วยจริงๆ วันแจกพระ "ปิยบารมี" อย่าลืมส่งที่อยู่มาน๊ะ เราให้คุณจริงๆ


    [​IMG]
     
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=600 bgColor=#ffffff><TBODY><TR><TD>
    <BIG><BIG>[​IMG]</BIG></BIG>
    <BIG><BIG></BIG></BIG>
    <BIG><BIG>หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต</BIG></BIG>

    วัดอุดมคงาคีรีเขต จังหวัดขอนแก่น
    </TD></TR><TR><TD>เป็นครูสอนคนอื่นก็ดีอยู่ หากสอนตัวเองด้วยก็จะดีมากขึ้น เราตรวจคะแนนให้คนอื่น ข้อนี้ถูก ข้อนั้นผิด เราเคยตรวจดูตัวเองบ้างหรือเปล่า วันเวลาผ่านไปตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คะแนนฝ่ายดีกับฝ่ายชั่วนั้น ข้างไหนมากน้อยกว่ากัน กับไปตรวจดูตัวเองบ้างก็ดี
    ศีลมีหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อหรอก รักษาแต่ใจให้ดีอย่างเดียว ให้ดี กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกันนั่นแหละ.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    http://www.baanjomyut.com/10000sword/homily/020.html
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 123.jpg
      123.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177.3 KB
      เปิดดู:
      659
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    ผมได้นำใบฝากเงินและใบโมทนาบัตรที่ทางโรงพยาบาลต่างๆที่ทางทุนนิธิฯส่งเงินไปบริจาคช่วยพระสงฆ์ที่ท่านอาพาธอยู่มาให้พวกเราได้โมทนาในบุญที่ทุกๆท่านร่วมกันทำมาดีแล้วนะครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    มีก๋วยเตี๋ยว เส้นเล็ก เส้นใหญ่ ต้มยำ มาใฟ้ชมเลือกดูเอา ถูกอัธยาศัยอย่างไร กินอย่างเดียว กินให้เต็มที่ กินให้พอใจ ผลที่ได้อิ่มเหมือนกัน อย่าไปกินทีละหลายอย่างจะไม่รู้รสชาดที่แท้จริงเลย คำสอนของหลวงพ่อฤาษีที่นำมาลงนี้ นอกจากสอนให้รู้รสชาดแล้ว ยังสอนเรื่องการกิน เช่นขณะกินเป็นอย่างไร แล้วรู้จักสังเกตุอาการกินว่าเป็นยังไงด้วย น่าสนใจมากๆ สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ แม้ผู้ที่เป็นอยู่แล้วก็รับรู้และปรับความรู้ไปสู่ขั้นสูงท่านตามที่ท่านแนะนำจะดีมากครับ



    ปัญหาการปฏิบัติธรรม
    วิธีการกราบพระที่ได้อานิสงส์มากๆ

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกจะขอทราบเกี่ยวกับเรื่องอานิสงส์สักเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เพื่อจะมีผลานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุงเป็นตัวอย่างด้วยเจ้าค่ะ?
    หลวงพ่อ ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียวพอ ให้จิตเคารพนะ ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึง พระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจาพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าลงหัวเรา กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพ... พอ เอาใจสำคัญกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ถ้าใจไม่เคารพ ไม่มีความหมาย

    สมาทานพระกรรมฐาน

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าคำสมาทานกรรมฐานของหลวงพ่อ ปรากฏว่าลูกท่องไม่ได้เลย ลูกใช้อย่างนี้เจ้าค่ะ พอหลับตาปุ๊บ ลูกบอกว่า กรรมฐานทั้งหลายที่หลวงพ่อให้ลูก ขอสมาทานทั้งหมด ณ กาลบัดนี้แล้วก็หลับตาเลย
    หลวงพ่อ ใช้ได้เลย ๆ อ้าว นี่ได้จริง ๆ แต่ว่าอย่าลืมนึกถึง พระพุทธเจ้า อย่าเอาแค่หลวงพ่อนะ ว่ากรรมฐานที่หลวงพ่อเรียนมานี่ เป็นของพระพุทธเจ้า ขอยอมรับกรรมฐานทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าสอนทุกสิกขาบท แล้วนอนภาวนา “พุทโธ” หลับไปเลย... ใช้ได้


    พื้นฐานการเจริญพระกรรมฐาน

    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ การเจริญพระกรรมฐาน ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้างครับ?
    หลวงพ่อ พื้นฐานเหรอ... ถ้าเป็นชายต้องมีกางเกง... พื้นฐานจริง ๆ ก็มี ศรัทธา ความเชื่อ ตัวนี้ตัวเดียว พระศาสนาเรา ถ้าไม่มีความเชื่อเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นผล และต้องใช้ ปัญญา ร่วมด้วยนะ เขาแนะนำกันมาเราคิดดู มันควรหรือไม่ควร แต่อีกสิ่งที่เป็นฤทธิ์ มันเกินวิสัยที่เราจะคิด อย่างฤทธิ์ของวิชชา ๓ ฤทธิ์ของอภิญญา ฤทธิ์ของปฏิสัมภิทาญาณ นี่เราคิดไม่ได้ เพราะขืนคิดบ้า คิดยังไงมันก็ไม่ลงตัว มันจะเหมือนกับที่เราคิดไม่ได้ เราจะตัดความสามารถของฤทธิ์ก็ตัดไม่ลง อย่าง วิชชา ๓ มีทิพจักขุญาณ ถือว่ามีฤทธิ์ทางใจ ตามธรรมดาเราไม่สามารถเห็นสิ่งของที่ลี้ลับได้ใช่ไหม... แต่ถ้าเขาได้ ทิพจักขุญาณ..คุณ! ไม่มีอะไรหนาเขาเลย อย่าว่าแต่วางข้างหน้าเลย วางมุมรูปไหนเขาก็รู้ วางโลกไหนก็ได้ทุกโลก นี่ถ้าเขารู้จักใช้นะ ที่ฝึกไปแล้วไม่รู้จักใช้นี่เยอะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เศษ ๆ หน่อย ๆ เอาไปแล้วไม่รู้จะใช้อะไรดี บางทีก็ปล่อยบูดไปเลยมีเยอะแยะจริง ๆ แล้วถ้าได้แล้วเขาต้องฝึกซ้อม ทำอยู่เสมอๆ ได้ง่ายเกินไปเลยปล่อยหายง่าย อย่างนี้มีเยอะแยะ


    ทำสมาธิจิตว่าง

    ผู้ถาม กระผมทำสมาธิจนรู้สึกว่ามีสติอย่างเดียว แล้วเห็นเงาดำแอบเข้ามา ขอถามหลวงพ่อว่า อย่างนี้จิตว่างหรือเปล่า ทำถูกต้องหรือไม่สำหรับแนวกรรมฐาน?
    หลวงพ่อ จิตไม่ว่าง ยังมีความรู้สึกอยู่ ทำน่ะ ทำถูก แต่จิตไม่ว่าง การทำให้จิตว่างนะ ไม่มีนะ คนถามเข้าใจด้วยนะ จิตว่างนี่ไม่มี จิตมันมีสภาพเกาอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.เกาะชั่ว ๒.เกาะดี ๓.อยู่เฉย ๆ ไม่เกาะชั่วไม่เกาะดี ตัวนี้ว่าง คือจิตมีอารมณ์ของพระนิพพาน ถ้าคำว่า “ว่าง” ในที่นี้ ก็ว่างเฉพาะอารมณ์ที่เป็นกิเลส ส่วนอารมณ์ที่เป็นกุศลมันก็ไม่ว่างเหมือนกัน
    เป็นอันว่า จิตจริงๆ มีสภาพไม่ว่างนะ ถ้าจะถามว่า เวลานั้นจิตว่างจากความชั่วหรือไม่อย่างนี้ควรถาม อย่างนั้นต้องตอบว่า ตอนนั้นจิตว่างจากความชั่ว ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า นิวรณ์ คือ
    1. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
    2. ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ
    3. ความง่วง
    4. ความฟุ้งซ่าน
    5. สงสัย


    สมาธิเล็กน้อย

    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะกราบเรียนถามเกี่ยวกับ เรื่องสมาธิเล็กน้อย คือว่าสมาธิของลูกนี่ จะได้แค่ ประมาณ ๒-๓ นาที หลังจากนั้นไปอารมณ์จะฟุ้ง แล้วก็ทุกวันเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถจะแก้ได้ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแก้เรื่องการปฏิบัติของลูก ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ
    หลวงพ่อ พอแล้ว ๒ นาทีพอแล้ว อย่าลืมนะวันละ ๒ นาที ๑๐ วันเท่าไหร่ ๑๐๐ ปีเท่าไหร่ วิธีที่ทรงสมาธิให้ทรงตัว จับ อานาปานุสสติ โดยเฉพาะ ฝึกลมหายใจเข้าออกหายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๑ ถึง ๑๐ ใช่ไหม... ตั้งใจคิดว่าถ้ายังไม่ถึง ๑๐ จิตมันวอกแวกนะ เริ่มต้นใหม่เอาให้ถึง ๑๐ ให้ได้ วิธีดีที่สุดเอาตามนี้นะ เอาดีอย่างพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับ พระสารีบุตร ซิว่า
    “สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดทำจิตให้ว่างกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ตถาคตขอกล่าวว่า บุคคลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาน” สองนาทีนี่ มันว่างจากกิเลสนะ ... ใช้ได้


    ทำสมาธิรำคาญเสียง

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง บ้านของลูกอยู่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช มีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า เวลาสวดมนต์ทำกรรมฐาน จะมีเสียงสวดมนต์บ่นพึมพำ ๆ เป็นผู้ชายบ้าง เป็น ผู้หญิงบ้าง เป็น เด็กบ้าง แล้วก็ทำความรำคาญให้กับลูก ในขณะเจริญพระกรรมฐานเสมอ ๆ ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะมีวิธีกำจัดพวกเหล่านี้ได้อย่างไร จะได้ไม่รบกวนในการเจริญกรรมฐานต่อไปเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ เอาแล้ว... หากินพลาดบทแล้ว
    ผู้ถาม ก็รำคาญนี่ครับ... หลวงพ่อ!
    หลวงพ่อ ถ้ารำคาญแสดงว่าสมาธิไม่พอ ถ้าหากว่าจิตเข้าถึงปฐมฌาน จะไม่รำคาญในเสียง แต่ความจริงนะ ถือว่าเป็นคนมีโชค สามารถได้ยินเสียงของพวกอมนุษย์ได้ อย่างนี้มีโชคนะถือว่าดี เขาสงเคราะห์ แต่บังเอิญถ้าผู้นั้นใช้กำลังใจไม่พอกับความดีที่เขาให้
    เอาใหม่ ตั้งใจใหม่ ถ้ามันมาบ่นให้ฟังเพลินไปเลย คือต้องฝึกนะ ต้องฝึกสู้กับเสียง เพราะฌานขั้นต้น จะไม่รำคาญในเสียง เสียงได้ยินเขาพูดทุกอย่าง ร้องรำทำเพลง แต่เราจะไม่รำคาญในเสียงเขาคุย แสดงว่าคนนี้ยังมีจิตไม่ถึงฌานที่ ๑ ยังไม่เต็มปีติเลย แต่ความจริงตัวที่ได้ยินมันมาจากปีติ อันดับแรกถึงปีติ ได้ยินใช่ไหม ต่อไปจิตตก ตกจากปีติ ยังไม่ถึง ฌาน ๑


    ทำกรรมฐานมีคนดึง

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกนั่งพระกรรมฐานที่บ้านก็ตาม ที่ห้องพระก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ถนัดเรื่องพุทโธ ที่ประหลาดใจก็คือว่า เวลานั่งภาวนาไปคล้าย ๆ จะมีใครก็ไม่ทราบ ดึงไปข้างหน้าหงายไปข้างหลัง เอียงไปข้าง ๆ ตัวโยกเยก เขาเรียกกรรมฐานโยกเยกเป็นเพราะอะไรครับ?
    หลวงพ่อ อย่างนี้เขาเรียก โอกกันติกาปีติ ปีติตัวที่ ๓ จิตเริ่มดีแล้ว แต่ทว่าเทวดาประจำบ้านท่านบอกว่า อารมณ์หยาบไปเวลาขึ้นต้น อาจารย์อ่านฉันก็ถามเทวดาท่าน...ไม่ยาก
    ท่านบอกเวลาเริ่มต้นอารมณ์หยาบไป ใช้อย่างนี้นะ ก่อนเริ่มต้น พอนั่งปั๊บ หายใจยาว ๆ แรง ๆ สัก ๕-๖ ครั้ง เป็นการระบายอารมณ์หยาบ ต่อไปอาการอย่างนั้นจะคลายตัว พออาจารย์ถามฉันก็ถามท่านเหมือนกัน ท่านก็เลยบอก... ใช้ได้
    ผู้ถาม อ้อ... ที่หลวงพ่อตอบเก่ง เพราะมีถามตอบอย่างนั้นหรือครับ?
    หลวงพ่อ ใช่... อีกหลายต่อ อย่างเมื่อคืนนี้อุทิศเจ๊งจั๊ง หลายต่อยุ่งเลย
    ผู้ถาม ผมจะขอต่ออีกนิดคือว่า บางครั้งจะเห็นเป็นคล้าย ๆ ดวงสีขาว ๆ คล้าย ๆ แก้ว ลูกไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรครับ?
    หลวงพ่อ นั่นละถูกแล้ว ปีติ พออารมณ์ใจเข้าถึงปีติ อารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เริ่มเห็นนิมิตที่ไม่มีภาพจริง ๆ นะ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเป็นของธรรมดา
    ผู้ถาม ครับ ๆ ที่เห็นนั่นก็เป็นของดีนะ
    หลวงพ่อ ดีแล้ว แต่ว่าใช้อามรณ์ให้ละเอียดกว่านั้นนะ อย่าลืมเอาแบบเกณฑ์ทหาร เขาทำอย่างไร หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกแรง ๆ ใช่ไหม... สัก ๕-๖ ครั้งระบายอารมณ์หยาบ
    ผู้ถาม แล้วก็บอกว่า สมัยก่อนลูกเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคโน่นโรคนี่ บัดนี้ลูกหายพอสมควรแล้ว จึงขอกราบขอบพระคุณที่หลวงพ่อเมตตาให้กรรมฐานปฏิบัติ แล้วลูกหายจากโรคภัยไข้เจ็บเจ้าค่ะ
    หลวงพ่อ ยังหายไม่หมดนะ
    ผู้ถาม เหลืออะไรครับ
    หลวงพ่อ โรคสงสัย


    ทำสมาธิตัวโยก

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาที่ลูกสวดมนต์ก็ดี ฟังเทปก็ดี ตัวโยกไปเยกมาระงับไม่อยู่ แต่ก็แปลกนะครับ สบายใจดีมาก อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ถ้าจะแก้ไขให้ดีไปกว่านี้อีก หลวงพ่อจะแก้ไขอย่างไรครับ?
    หลวงพ่อ รู้แค่เฉพาะโยกไปนะ แต่เยกมาไม่รู้นะ อย่างนั้นเขาเรียก โอกกันติกาปีติ เร่งรัดมันจะเสีย อยากจะโยกก็เชิญมันโยกไปตามชอบใจ ถ้าปีติตัวนี้เต็มอารมณ์เมื่อไร ก็เลิกโยก มีอารมณ์ดิ่งเป็นฌาน


    ทำสมาธิง่วงนอน

    ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ กระผมนั่งกรรมฐานทีไรแล้วเกิดนิวรณ์ตัวที่ ๓ คือง่วงนอนมากเหลือเกิน กระผมทำตามหลวงพ่อแนะนำทุกอย่าง อาบน้ำ ล้างหน้า แหงนดูฟ้า ปรากฏว่าแก้ไม่ตกเลยสักที เลยกลุ้มใจ อยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อให้หาวิธีแบบใหม่ที่ไม่ง่วงนอนด้วยเถิดขอรับ?
    หลวงพ่อ มีอีกวิธีไม่ทำนี่ ถ้าง่วงก็นอนหลับไปเลย อันนี้ได้ผลนะ ดีกว่าทรมาน เพราะว่าภาวนาไป ถ้าเวลานั้นจิตไม่ถึงฌานมันจะหลับไม่ได้ ถ้านอนแล้วภาวนา ถ้าจิตถึงฌานจะตัดหลับทันที ช่วงเวลาหลับกี่ชั่วโมงก็ตาม ยังทรงฌานนั้นอยู่ ควรทำแบบนี้นะ อย่าทรมาน ง่าย ๆ หากินสะดวก ๆ เรียนกับพระขี้เกียจ... สบายมาก เพราะฉันหากินแบบขี้เกียจมาตลอดเวลาแบบไหนที่ได้ง่ายลงทุนน้อยเอาเลย


    นั่งสมาธิศรีษะสั่น

    ผู้ถาม กระผมฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน พอถึงระดับหนึ่งเกิดศีรษะสั่นอย่างรุนแรง พอตอนเช้าคอระบมไปหมด ทำยอย่างไรดีขอรับ?
    หลวงพ่อ ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ ก็ต้องสั่นให้มันหายระบมต้องแก้กัน ความจริงไม่เป็นไรปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะ เวลานั้นก็ถือว่าขณะนั้นจิตเข้าถึง อุเพงคาปีติ ว่าหยาบไปหน่อยคอจึงระบม ถ้าจิตละเอียดนี่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีอาการอื่น คงจะมีจิตกระสับกระส่ายกังวลนะ พอถึง อาการสั่นหัวละก็...จิตหยาบ


    ทำสมาธิตกใจ

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้เจริญพระกรรมฐานเป็นเวลาช้านานแล้ว มีปัญหาอยู่ที่ตรงที่ว่า พอจิตของลูกใกล้ ๆ จะเป็นสมาธิ จะมีสิ่งประหลาด ๆ ทำให้ลูกตกใจอยู่เสมอ จึงทำให้การเจริญกรรมฐานของลูกไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร อยากจะปรึกษาหลวงพ่อว่า วิธีที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ ควรจะแนะนำให้ลูกปฏิบัติอย่างไรเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ นั่นเป็นของธรรมดานะ ได้ยินเสียง ปึงปัง ๆ ๆ คล้าย ๆ ใครยิงปืนใกล้ ๆ ก็มี เป็นของธรรมดาเขาลอง ๆ ตอนนั้นจิตเป็นอุปจารสมาธิ เขาลองดูว่าเราจะตกใจไหม ส่วนใหญ่เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช
    ผู้ถาม อ้อ ... นี่เกี่ยวกับเรื่องเทวดาเขาทดสอบ
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ


    ทำสมาธิรู้เรื้องในอดีต

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกนั่งทำสมาธิอยู่เพียงแป๊บเดียว เรื่องราวในอดีตมันปรากฏเหมือนในจอโทรทัศน์ แวบมา ๆ อย่างนั้นแหละ ลูกก็มาเกิดความสงสัยว่า อย่างนี้จิตของลูกฟุ้งซ่านอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ เป็นเรื่องธรรมดานะ เมื่อจิตสงบเรื่องราวในอดีตก็เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ว่าถ้าจะทรงอารมณ์ให้รักษาอานาปา มันต้องมาแน่ มาก็ช่างมัน มันแล้วไปแล้ว


    นั่งสมาธิลมออกหู

    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา นั่งสมาธิแล้วปรากฏว่าลมออกทางใบหู เสียงดัง ปี๊ด...ปี๊ด
    หลวงพ่อ ก็ยังดี ดีกว่าออกต่ำ ดังปุ๋ง ปุ๋ง (หัวเราะ)
    ผู้ถาม แต่ทีนี้เวลาจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว ได้เห็นเป็นดวง ๆ มีกลมบ้าง บางทีก็ดำ บางทีก็ขาว ลอยเข้ามาจะชนลูกตา ลูกก็ต้องผงะ ลืมตาแล้วก็นั่งสมาธิใหม่ แล้วก็ลอยมาแล้วก็ชนอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ใช้ทั้ง พุทโธ ใช้ทั้ง นะมะพะธะ แต่ไม่สมารถจะแก้ปัญหานี้ได้ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยแนะนำหรือแก้ไขครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ
    หลวงพ่อ จะแก้ทำไม เขาไม่แก้กันหรอก นั่นเป็น นิมิต ของ อานาปานุสสติ ใครเขาแก้กันละ เวลานั้นอานาปานุสสติกำลังเข้าถึงปีติ จึงเกิดภาพนี้ขึ้น เขียวบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้างตามใจ แล้วแต่เขาจะเกิดของเขา ก็ไปกลัวของดี กลัวสวรรค์


    นั่งสมาธิปวดขา

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อทุกประการ ที่แก้ไม่ตกมีอยู่อย่างเดียวนั่นคือ นั่งไปไม่ถึง ๒-๓ นาที จะมีความรู้สึกปวดที่ขาทันที ลองเปลี่ยนแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อีก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า การกำหนดจิตไม่ให้ปวด การกำหนดจิตไม่ให้มีเวทนา เพื่อจะได้นั่งนาน ๆ เหมือนหลวงพ่อ จะทำอย่างไรดีขอรับ?
    หลวงพ่อ ก็ไม่เป็นไร บีบจมูกสักหนึ่งชั่วโมง หายเอง... ตาย... ไม่เจ็บไม่ป่วยถ้ามันมีเวทนาอย่างนั้น ก็ใช้วิปัสสนาญาณช่วยซิ เกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้ จะเล่นแต่สมถะ ที่ว่าทำตามทุกอย่างนั้นไม่จริง .... ไม่จริง ฉันเล่นทุกอย่าง ถ้าป่วยขึ้นมาฉันเล่น วิปัสสนาญาณช่วย ฉันว่าทั้งสองอย่างนะ แต่นี่ล่อสมถะอย่างเดียว ไม่ใช้ปัญญาเข้าช่วย ในเมื่อนั่งมันเมื่อยก็ลุกขึ้นยืน ยืนเหมื่อยก็เดิน เดินเมื่อยก็นอน นอนเมื่อยก็นั่ง นั่งเมื่อยก็เดิน นั่งเรียบ ๆ ไม่ดี ก็นั่งเก้าอี้ก็ได้
    ผู้ถาม กรรมฐานนั่งเก้าอี้ได้หรือครับ...หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อ โอ้ย...นั่งบนตอไม้ยังได้เลย นั่งยอดไม้ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันอยู่ที่ใจ ให้ร่างกายสบายก็แล้วกัน
    ผู้ถาม ก็ตกลงว่าเปลี่ยนเสียนะ อิริยาบถใดมันไม่ไหวก็...อ๋อ...ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วยจะได้ประโยชน์มาก
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ มีความจำเป็น


    นั่งสมาธิตัวร้อน

    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ มีเด็กอายุประมาณ ๒๑-๒๒ ปีเจ้าค่ะ เขาเห็นพ่อเขานั่งสมาธิแล้วก็นั่งบ้าง พอถึงแค่นั้นเขาบอกทันทีว่า ตัวเขาร้อนไปหมดเลย ทนไม่ไหว เขาเลิกสาเหตุเพราะอะไรเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ เรื่องนี้ตอบไม่ได้ ไม่เคยปรากฏ
    ผู้ถาม เขาบอกร้อนไปหมดเลย เขาไม่ทำเขากลัว
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ ต้องมีบาปอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาขวางนะ
    ผู้ถาม แล้วสมมุติว่าเขาพยายามจะทำต่อ
    หลวงพ่อ เอ... ถ้าทำต่อไปได้ก็ดี ทำน้อย ๆ นะ
    ผู้ถาม พอรู้สึกร้อนก็หยุดซะ
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ หยุดซะ ไม่ช้าก็หาย เอาอย่างนี้นะ ไอ้ตัวร้อน นี่ก็คือตัวบาปเก่า มันคงขวางทาง ถ้าการเจริญสมาธิอย่างน้อยจะขึ้นสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็เป็นพรหม ต่อไปก็ไปนิพพาน ขึ้นสูงหนีมัน มันก็ขวางตัว และถ้าเราสามารถหาทางต่อสู้ด้วยการพอรู้สึกตัวว่าร้อน จะร้อนมากเกินไปเราก็เลิก ไม่ยอมแพ้มันก็หมดเรื่องดีกว่า นั่ง ๆ หนัก ๆ เข้ามันจะหายร้อนเองนะ รู้สึกถ้าร้อนจิตกระสับกระส่ายก็เลิกซะ ถือเอาบุญเข้ามาผสมทีละหน่อยเหมือนน้ำนะ ไอ้ความร้อนเหมือนไฟใช่ไหม... น้ำค่อยๆใส่ไป ถ้าน้ำมากขึ้นมาไฟมันก็ดับ เอาอย่างนั้นก็แล้วกันนะ


    ทำสมาธิไม่ได้ดี

    ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไปไม่ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหมมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ?
    หลวงพ่อ สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจรงิถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ
    อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งที่มีความสำคัญคือ
    1. ลืมความตายหรือเปล่า
    2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม
    3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม
    4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า...?
    เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม... ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิไปไม่รอด
    ผู้ถาม เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ?
    หลวงพ่อ ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์
    ผู้ถาม ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ... หลวงพ่อ?
    หลวงพ่อ พอเห็นทาง...แต่ไม่เข้าทาง
    ผู้ถาม ๒๐ ปีแล้วนะครับ
    หลวงพ่อ ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็ ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย


    ฝึกสมาธิไม่ได้

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าเกี่ยวกับเรื่องสมาธินี่ผมโชคดี ทำมาด้วยตนเองเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว โดยการอ่านหนังสือบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ กระผมตั้งใจว่าจะมาฝึกมโนมยิทธิ เลิก พุทโธ โดยมาใช้ นะมะพะธะ จะมีทางเป็นไปได้ไหมครับ?
    หลวงพ่อ เดี๋ยวก่อน...ขอตอบก่อน พวกที่ใช้ นะมะพะธะ เขาไม่ได้เลิก พุทโธ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเขาก็ใช้ นะมะพะธะ คือ นะมะพะธะ เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน อย่าไปเลิกนะ ถ้าเลิก “พุทโธ” ล่ะซวย พุทโธ ก็คือพระพุทธเจ้า นะมะพะธะ เป็นคาถาบทหนึ่งในธาตุ ๔ ของกรรมฐาน ๔๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบอกคาถาบทนี้เอาไว้ใช้เป็นกำลังในการฝึกมโนมยิทธิ ถ้าลืมเจ้าของเก่า คือพระพุทธเจ้า ก็เจ๊ง!
    ก็เป็นอันว่า จะมาฝึกมโนมยิทธิมาฝึกแต่อย่าทิ้ง “พุทโธ” ว่าง ๆ ก็ใช้ พุทโธ แบบสบาย ๆ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเราก็ใช้ นะมะพะธะ ก็มีหลาย ๆ อย่าง มีทั้งขา มีทั้งรถ “พุทโธ” เหมือนมีขามีแขน “นะมะพะธะ” เหมือนมีรถนั่งอย่างดี เป็นเครื่องบินก็ได้


    นะมะพะทะ

    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ อย่างคำภาวนาว่า “นะมะพะธะ” เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน หรือครับ “นะมะพะธะ” แปลว่าอะไรครับ?
    หลวงพ่อ “นะมะ” แปลว่า นมัสการ “พะธะ” แปลว่า ไหว้พระพุทธเจ้า เรื่องจริงนะ “นะมะพะธะ” ที่แปลว่า ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาไม่ได้ภาวนา เขาพิจารณานะ คำว่า “นะมะพะธะ” ที่ท่านมาบอกจริง ๆ บอกว่า ไม่ใช่ธาตุ ๔ เป็นการนมัสการพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน


    ภาวนาแล้วจิตตกวูบไป

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกภาวนา พุทโธ กับ อานาปา ควบกันไปก็ปรากฏว่า จิตสงบมันก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นอุปจารสมาธิก็ไม่เชิง มันจะมีจุด ๆ หนึ่งอย่างนี้ขอรับ จิตมันไปตกวูบ พอวูบไปปั๊บ ผมก็เกิดความกลัว ก็ภาวนาใหม่ เริ่มต้นใหม่ก็วูบอีก ลักษณะแบบนี้แก้ไม่ตก ไม่รู้จะแก้ยังไง ขอพึ่งบารมีหลวงพ่อแนะนำวิธีลูกหย่อยเถิดขอรับ?
    หลวงพ่อ อาการแบบนี้นะ ขณะที่จิตสบาย ขณะนั้นจิตตั้งอยู่ในปฐมฌาน แต่ว่าสมาธิไม่ทรงตัว สมาธิตก ฌานเริ่มตก มีวูบเสียว ๆ คล้ายตกต้อนไม้ใหญ่ นั่นเขาเรียก จิตพลัดจากฌาน วิธีแก้ไม่ยาก เพราะว่าเริ่มต้นทีแรกลมหยาบเกินไป ให้ใช้หายใจยาว ๆ แบบเกณฑ์ทหารน่ะ ๕-๖ ครั้ง หายใจแรงๆ ยาว ๆ นะ ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ไม่ช้า อาการจะหาย ขับลมหยาบทิ้งไปก่อน อันนี้ไม่ยาก


    ภาวนาพุทโธไม่เห็นอะไร

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกได้ปฏิบัติภาวนาสมาธิกรรมฐานแบบ “พุทโธ” มาหลายปีแล้ว ปรากฏผลว่าไม่ได้เห็นอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่เงียบกริบ อันนี้จะเกี่ยวกับว่า เป็นเพราะเวรกรรมชิตก่อนทำไว้อย่างไร ชาตินี้เวลาทำสมาธิจึงไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น เหมือนกับคนอื่นเขาเจ้าค่ะ?
    หลวงพ่อ ก็สมาธิเขาทำเพื่อเงียบ ตั้งใจสงัด จิตสงัดจากกิเลส ทีนี้การทำสมาธิเขาไม่ได้หมายถึงการเห็น ไอ้นั่นที่ปฏิบัติเป็น สุกขวิปัสสโก ถ้าต้องการเห็นต้องเป็น เตวิชโช หรือ ฉฬภิญโญ คนละหมวดนี่ ปฏิบัติให้ถูกหมวดซินะ ถ้าเป็นเตวิชโชก็สามารถเห็นได้ ระลึกชาติได้ ถ้าเป็นฉฬภิญโญเห็นได้ด้วย ไปถึงด้วย ใช่ไหม ต่างกัน มโนมยิทธินี่ก็มันบวกวิชชา ๓ กับอภิญญา คือว่าใหญ่กว่าวิชชา ๓ แต่เป็นอภิญญาขนาดเล็ก


    อิริยาบท

    ผู้ถาม มีพระออกโทรทัศน์เมื่อสองวัน ท่านบอกว่าปฏิบัติอย่างนี้ได้ผลอะไรนะ ขวาหงาย ยกแล้วก็ย่าง แล้วก็ยก จำไม่ได้ ปิ๊ดปี้ปิ๊ด เหมือนจราจรนั่นแหละ ท่านบอกอย่างนี้นะ ของอาตมานี่ไม่นานหรอก แค่ ๓ ปีก็พอรู้ผล ๓ ปีนะ พอจะรู้ผลนะ หลวงพ่อ มโนมยิทธินี่ช้าไปนะ ปุ๊บปั๊บ ได้ไปเลย ยังกับปฏิบัติ “วิปัสสนาจราจร” แน่ะ เห็นว่าทำออกโทรทัศน์ขำดีนี่ก็แปลกดีเหมือนกัน ความจริงมีหรือเปล่าครับ?
    หลวงพ่อ แบบนี้จะเป็น มหาสติปัฏฐาน อิริยาบถ แต่ว่ายาวไปมหาสติปัฏฐานก็เพียงว่า จะยกเท้าย่างเท้าให้รู้อยู่ ก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหลัง จะกินจะกลืน ไอ้ตอนกินนี่รู้ ตอนกลืนไม่รู้ รู้ไม่ทันกลืนลงก่อน พอกินปั๊บก็เลยเข้าไปเลย เอาแค่ให้รู้ตัวอยู่เสมอ สติสัมปชัญญะใช่ไหม
    ความจริงไม่มีอะไร เขาพร้อมแล้วนะ ถ้าได้แล้วไม่มีอะไร ต้องระวัง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างตานี่กระพริบอยู่เสมอผงจะมายังไม่ทันรู้ ใช่ไหม... ตากระพริบแล้ว ข้อนี้ฉันใด พระอริยเจ้าตามขั้นเหมือนกัน ท่านทำตามหน้าที่ของท่าน จิตทำไปเอง


    เจริญมหาสติปัฏฐาน

    ผู้ถาม หลวงพ่อขา ลูกเจริญพระกรรมฐานโดยใช้องค์มหาสติปัฏฐานเป็นหลักใหญ่ บางครั้งจิตก็วูบ บางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็คล้าย ๆ จะหมดความรู้สึก มีอาการปฏิบัติไปถึงจุดนี้ทีไร ก็มีอันจะต้องเลิก เพราะใจหนึ่งก็อยากได้ อีกใจหนึ่งก็กลัวตาย ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขอารมณ์นี้ เพื่อการเจริญปฏิบัติของลูกได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สู่มรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?
    หลวงพ่อ กลับไปอ่านใหม่
    ผู้ถาม อ่านอะไรครับ?
    หลวงพ่อ มหาสติปัฏฐานสูตรแต่ละข้อ สอนถึงอรหันต์ทั้งหมดทุกข้อ ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด ทำข้อใดข้อหนึ่งก็ถึงอรหันต์ อ่านให้จบตอนท้ายนะ “ไม่ยึดถือโน่นไม่ยึดถือนี่ ไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด” เขาทำเพียงข้อเดียว ไอ้ที่ทำนั่นยึดสมถะมากกว่า วิปัสสนา สมถะ คืออารมณ์สมาธิให้ทรงตัว จิตทรงตัว วิปัสสนา คือหาความเป็นจริง กลับไปอ่านใหม่ อ่านไปใช้ปัญญาคิดตามด้วยนะ นิดเดียว
    ผู้ถาม เป็นอันว่าไปไม่ยาก
    หลวงพ่อ ไม่ยาก
    ผู้ถาม ไปไม่ยากก็แสดงว่าเคยทำ
    หลวงพ่อ ถูกแล้ว


    มหาสติปัฏฐาน 4 สั้นๆ

    ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมไปพบมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระตรีปิฎก ท่านว่าไว้อย่างนี้ จะต้องปฏิบัตินานถึง ๗ ปี ถึงจะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานได้ กระผมไม่ชอบครับ นานเกินไป อยากจะมาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อว่ามหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ ไปนิพพานได้ง่ายของวัดท่าซุงน่ะ มีบ้างไหมครับ?
    หลวงพ่อ มี ๆ ๆ ก็ตัวอย่างใช่ไหม ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ ท่านพาหิยะ ฟังว่า “พาหิยะ...เธอจงอย่าสนใจในรูป” เท่านี้ ท่านเป็นพระอรหันต์
    ผู้ถาม อ๋อ เท่านี้ สั้นที่สุดเลยนะครับ
    หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ เท่านี้เอง เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
    ผู้ถาม แล้วที่ลูกหลานทั้งหลายกำลังฟังกถาอันนี้ เดี๋ยวเกิดบรรลุทีเดียวพร้อมกันหมดทำยังไงครับ?
    หลวงพ่อ ก็ดีซิ ช่วยกันบิณฑบาต อย่าลืมนะ คนที่นั่งมีกี่คน ถ้ามีสักพันคน อย่าลืมว่าในประเทศไทยมี ตั้ง ๕๕ ล้านคน

    [/color]

    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha2.html
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    พรุ่งนี้วันอาทิตย์ต้นเดือน อย่าลืมใส่บาตรกันล่ะ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER>
     
  19. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    วันเสาร์ที่28กุมภานี้ไปทำบุญงานคล้ายวันเกิดหลวงพ่อกันตสิริภิกขุที่วัดถ้ำชี เพชรบุรี แล้วไปรับเป็นเจ้าภาพบูรณะปิดทองพระพุทธรูปโบราณหน้าตักประมาณ30นิ้วหนึ่งองค์ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ซื้อดินถมที่วัดพระนอน1คันรถ วันอาทิตย์ที่1มีนาคมนี้ได้ร่วมบุญปล่อยปลากับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ท่าน้ำศิริราช เหมาปลาดุกจากตลาดรถไฟได้ทั้งสิ้น 2.1 ตัน(ลงไปปล่อยพร้อมกันไม่ได้ท่าน้ำเอียงค่ะ) อนุโมทนาบุญร่วมกันนะคะ
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    <!-- END WEBSTAT CODE --><TABLE height="95%" width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="75%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 18 สิงหาคม 2551 22:19:46 น.-->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๕ | พระเทวทัตทำสังฆเภท
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๐๕ : พระเทวทัตทำสังฆเภท

    พระเทวทัตได้ล้มเลิกความคิดที่จะปลงพระชนม์ชีพพระพุทธองค์ เนื่องจากประสบความล้มเหลวมาแล้วถึง ๓ ครั้ง แต่ก็ยังมีความคิดที่จะทำลายคณะสงฆ์ของพระพุทธองค์อยู่นั่นเอง พระเทวทัตได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์เสมือนว่าเหตุร้ายสิ่งใดไม่ได้เกิดขึ้น ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า ท่านมีความเห็นว่าคณะสงฆ์มีการปฏิบัติยังไม่เคร่งครัดเพียงพอ ท่านเองเห็นว่าจะเป็นผลดีกว่าที่เป็นอยู่ในบัดนี้มาก ถ้าหากว่าภิกษุทั้งหลายพากันปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในการเป็นอยู่เหมือนดังนักบวชนิกายอื่นบางนิกาย เพราะว่าประชาชนพากันเห็นว่าภิกษุของพระพุทธองค์เป็นอยู่อย่างสะดวกสบายมากเกินไป ในเมื่อเปรียบกับนักบวชนิกายอื่น พระเทวทัตปรารถนาจะเลี้ยงชีพด้วยโกหัญญกรรม เพื่อจะเเสดงว่าตนเป็นผู้เคร่งครัด จึงได้ทูลขอวัตถุ ๕ ประการ เพื่อให้พระบรมศาสดาบัญญัติให้ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ

    ให้อยู่ในเสนาสนะป่า เป็นวัตร
    ให้ถือบิณฑบาต เป็นวัตร
    ให้ทรงผ้าบังสุกุล เป็นวัตร
    ให้อยู่โคนไม้ เป็นวัตร
    ให้งดฉันมังสาหาร เป็นวัตร

    ในวัตถุทั้ง ๕ ภิกษุรูปใด จะปฏิบัติข้อใด ให้ถือข้อนั้นโดยเคร่งครัด คือให้สมาทานเป็นวัตร ปฏิบัติโดยส่วนเดียว พระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...