ขอทราบว่ามีกี่ท่านที่ปรารถนาพระนิพพาน และท่านมีธรรมใดป็นที่ยึดถือ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย pump - อภิเตโช, 21 พฤศจิกายน 2008.

  1. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ไม่ปรารถนาพุทธภูมิกันเหรอครับ
    ^^
     
  2. เกรป

    เกรป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +149
    สนใจอยู่ เพราะเกิดเป็นคนก็ทุกข์ กำลังศึกษาหาทางไปนิพพาน ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค่ะ
     
  3. Pongroch

    Pongroch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,479
    ตัดการห่วงทางร่างกาย ร่างกายไม่ใช่ของเราเดี๋ยวก็เจ็บ ป่วย แก่ไปตามกำลัง ถือศีล5อยู่ประจำ รู้ลมหายใจเข้าออกเป็นสมาธิข้อไหนเราบกพร่องก็พยายามตั้งสติเตือนอย่าให้พลาดค่ะ
    พยายามทำให้ดีที่สุดขอนิพพานในชาตินี้ล่ะค่ะ เบื่อแล้ว
     
  4. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    สำหรับเรานะคิดถึงนิพพานเป็นที่ตั้ง คือคิดถึงความตายตลอดเวลา มันเกิดความเบื่อในโลกมนุษย์ ในการใช้ชีวิต ตอนนี้นะเราพร้อมจะทิ้งทุก ๆ อย่างได้ตลอดเวลาเลยอ่ะ ก็เลยพยายามทำความดี ทุก ๆ วันอย่างน้อยเวลาตายไปจะได้ไม่เสียใจ ว่าชาตินี้เราได้ทำความดีแล้วหรือยัง
     
  5. ราชนาวี

    ราชนาวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +918
    เราไม่มีในร่างกาย..ร่างกายไม่มีในเรา

    รู้ลม..รู้ตาย...รู้นิพพาน
     
  6. เพียงพบ

    เพียงพบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    932
    ค่าพลัง:
    +1,275
    โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
    เกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป เกิดอีกก็ทุกข์อีก
    อย่าอยากเกิดอีกเลยค่ะ ขอไปพระนิพพานที่เดียวค่ะ
    This life is the last.(ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต )
     
  7. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    หลวงปู่ขาว ท่านคุยสบายๆแต่แผงด้วยธรรมอันลึกซึ้งกับญาติโยม เกี่ยวกับพระนิพพานว่า

    "พระนิพพานอย่างไรล่ะหลาน ไม่มีสกุลใดเลิศประเสริฐกว่าสกุลคือพระนิพพานนี้ ปู่จึงต้องการสกุลนี้อย่างหนักเรื่อยมา แต่ตอนนี้ขันธ์ปู่แก่มากแล้วใจปู่ก็คงจะแก่ชราเช่นขันธ์กระมัง ใจจึงหมดความอยากความต้องการใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งที่ที่เคยต้องการมากๆ นี้ด้วย ทุกวันนี้ปู่ไม่อยากอะไร ยังมีชีวิตอยู่ปู่ก็ไม่อยาก ตายไปเสียปู่ก็ไม่อยาก ไปนิพพานเสียปู่ก็ไม่อยาก ใจมันหมดความอยากใดๆ เสีย แต่ยังไม่ได้กินได้ดื่มแล้วเวลานี้ จะว่าถูกหรือผิดปู่ก็พูดตามความจริงให้หลานๆ ฟัง จงพากันฟังและพิจารณาด้วยดีนะ"

     
  8. เพียงพบ

    เพียงพบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    932
    ค่าพลัง:
    +1,275
    จิตของหลวงปู่ขาวท่านสะอาด สว่าง ไสว แล้วค่ะ
    ดังนั้นท่านจึงไม่มีความอยากใดๆทั้งสิ้นอีก เข้าถึงสภาวะพระนิพพานโดยธรรมอย่างแท้จริง
     
  9. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    มีอารมณ์พระนิพพานเป็นที่ระลึก
     
  10. cmhadtong

    cmhadtong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +2,034
    เคารพพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจด้วยปัญญา
    รักษาศีลอย่างเคร่งครัดยอม
    นึกถึงว่าสักวันเราก็ต้องตายกลายเป็นผี เรากำลังเดินทางไปสู่ความตาย อาจตายวันนี้ก็ได้
    ตายได้ทุกลมหายใจเข้าออก
    ตัวเราก็ดี คนที่เรารักก็ดี คนที่เราเกลียดก็ดี ทุกสิ่งรอบตัว มันเสื่อมพังไปเรื่อยๆ
    เราจะเอาใจไปยึดติดกับสิ่งที่จะพังไปทำไม เพราะยึดมันก็ทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็สลายตัวไปในที่สุด ร่างกายเราก็ไม่มี เขาเอาไปเผาแล้วตัวเราของเราอยู่ไหนล่ะ
    เกิดเท่าไหร่ก็ตายไม่เหลือ เพราะมันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    พยายามทรงกำลังใจด้วยพรหมวิหารสี่ เร่งรัดสมาธิให้เข้าถึงอธิจิต
    แล้วก็ไม่ปรารถนา อบายภูมิ ไม่ปรารถนาสวรรค์ ไม่ปราถนาพรหม
    จิตใจตั้งไว้แต่นิพพาน
    ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา
    อานาปาณสติ
    บารมี 10
    อิทธิบาท4
    พรหมวิหาร4
    กายคตานุสติ
    หมั่นมองความเลวของตัวเอง ใครเขาว่าก็ช่าง ชมก็ช่าง
    ตราบใดที่ยังเป็นคนอยู่ ก็ต้องกินข้าว อุจาระ ปัสสาวะ ทำการงาน หนาว ร้อน
    กระทบอารมณ์ ที่ไม่สบายใจ มันก็มีแต่ทุกข์
    เห็นทุกข์ก่อน รู้ทุกข์ก่อน แล้วจึงจะได้หนีมัน

    "ถ้าหวังจะพ้นทุกข์ อย่าห่วงสุขในโลกีย์"
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. Nu_Ni

    Nu_Ni เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +2,782
    อธิบายการตัดขันธ์ 5 เพิ่มหน่อยค่ะ
    ก็เข้าใจหมดทำหมดแต่ไม่แน่ใจจะไปได้หรือไม่
    เบื่อมาก ไม่อยากเกิดอีกแล้ว
     
  12. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระ

    ท่านเคยเล่า ว่าคืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาได้พ้นทุกข์ และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้าพระพุทธบาทรับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง


    [​IMG]

    ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระพุทธบาท ได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น

    ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่า ว่าท่านทีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตผู้ใดแต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านแล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ

    จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้ เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า

    เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

    ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน.

    : แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐
    : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
     
  13. pump - อภิเตโช

    pump - อภิเตโช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,202
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +6,803
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ท่านเป็นพระเถระ ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ พระปรมาจารยสายกรรมฐานของภาคอีสาน ผู้เขียนได้รับฟังข่าวคราวจากทางหนังสือพระเครื่อง เกี่ยวกับรูปถ่ายที่ช่างภาพถ่ายรูปท่านในท่านั่งห้อยขา แต่พอล้างฟิลม์ออกมากลับมีรูปซ้อนเป็นภาพนั่งสมาธิ โดยที่ท่านไม่ได้เปลี่ยนอริยาบท ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นกายทิพย์ที่ท่านแสดง ขณะนั้นผู้เขียนทำงานเป็นพนักงานสินเชื่อ หัวหน้าแม่สอด-แม่ระมาด จังหวัดตากอยากไปนมัสการท่าน ความตั้งใจตอนนั้นเพียงเพื่อไปขอวัตถุมงคลและมีความเชื่อลึกๆ ในใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อหยุดพักร้อนจึงเดินทางไปหาเพื่อนซึ่งจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นเดียวกัน ซึ่งรับราชการเป็นอาจารย์ที่วิทยาเขตเกษตรสุรินทร์ พอถึงสุรินทร์เรียบร้อยเพื่อนก็ถามว่าทำใมอยากมากราบหลวงปู่ ได้ตอบเพื่อนว่า”เขาว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลยอยากมาขอเหรียญทีท่านปลุกเสก” โดยใจตอนนั้นไม่ปรารถนาธรรมอะไรจากท่าน เพราะอยู่ในช่วง เป็นนักล่าวัตถุมงคล


    พอผู้เขียนไปถึงวัดหลวงปู่กำลังตื่นจากจำวัดพอดี เพราะขณะนั้นท่านอายุมากแล้วจำเป็นต้องพักผ่อน เมื่อทางพระอุปัฎฐาก อนุญาตให้เข้าพบผู้เขียน ได้เข้าไปกราบท่านและได้ถวายปัจจัยแล้วนั่งเงียบอยู่ ไม่ทราบจะเริ่มต้นอย่างไร เสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า “เณรไปหยิบเหรียญมาให้ข้าที เขาอยากได้” ผู้เขียนดีใจมากรับเหรียญมาเก็บไว้แล้วกราบลาท่านกลับ


    ภายหลังได้อ่านหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ ทำให้นึกเสียใจว่า ทำใมเราไม่ไปขอฟังธรรมจากท่านในตอนนั้นเพราะเนื้อธรรมที่แสดงนั้นเป็นธรรมล้วนๆไม่ว่าทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม โดยเฉพาะเรื่องจิตคือพุทธะ และประโยคที่กินใจมากคือ “คนเราเป็นทุกข์เพราะความคิด”


    มีคำพูดของหลวงปู่ที่กล่าวถึงความว่างหรือสูญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดถึงแดนนิพพานเหมือนกับสายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ สิ่งเหล่านี้อยู่ในความกังขาข้องใจของผู้เขียนมาก หลวงพ่อดู่ท่านคงรู้ความคิด ท่านจึงพูดว่า “นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย” ผู้เขียนจึงเรียนถามว่าแล้ววิมานแก้วพระพุทธเจ้าที่เราขึ้นไปกราบกัน “ไม่ใช่หรือ” ท่านตอบว่า”ใช่” เป็นพุทธนิมิตเป็นเครื่องรองรับผู้ปฏิบัติ ทำให้นึกถึงในประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงนิมิตให้เห็นพระอาจารย์มั่นเกิดความสงสัย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้น “จนถึงบัดนี้เธอยังสงสัยอะไรอีกหรือ ตถาคตมาในรูปธรรม ไม่ได้มาในนามธรรม” นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้แสดงนิมิต ให้พระอาจารย์มั่นดู คือในสมาคม เณรน้อยอรหันต์มาถึงก่อนก็นั่งหัวแถว พระผู้ใหญ่,พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็นั่งตามลำดับมา ซึ่งพระอาจารย์มั่นก็เข้าใจว่า “ความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมือน ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน “แสดงถึงว่าเมื่อความเป็นพระอรหันต์แล้วถึงวิมุติธรรมคือความเสมอภาคของธรรม แต่ถ้าเป็นพุทธประเพณี นิมิตนั้นก็แสดงอีกโดยพระพุทธเจ้านั่งเป็นประธานตามด้วยพระอัครสาวกและพระผู้ใหญ่ตามลำดับอาวุโส


    [​IMG]

    วันหนึ่งหลวงพ่อ(ดู่)ได้เล่าถึงการปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับ
    แสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้งสี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”






    ผู้เขียนถึงบางอ้อในคำสอนของท่าน ซึ่งสุดท้ายก็มาอยู่ในแบบเดียวกันตรงกับที่หลวงปู่ดุลย์ พูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลวงพ่อท่านสอนแบบพระโพธิสัตว์ที่บุญญาธิการเต็มเปี่ยมแล้ว สาธุสาธุสาธุ


    แหล่งที่มา:หนังสือร่มเงาพุทธฉัตร พระอาจารย์ศุภรัตน์เป็นผู้เขียน
     
  14. spthong2000

    spthong2000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    328
    ค่าพลัง:
    +3,967
    อนุโมทนากับผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมและประพฤติดีประพฤติชอบด้วยครับ ส่วนตัวผมก็จะพยายามประพฤติดีประพฤติชอบด้วยถึงแม้ว่าศีลห้ายังไม่ครบแต่ก็จะพยายามครับ
     
  15. ภัทรอังคาร

    ภัทรอังคาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    4,904
    ค่าพลัง:
    +14,098
    ปรารถนานิพพานเช่นกันค่ะ เพราะว่าการเกิดเป็นทุกข์ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นอะไรก็แล้วแต่ทุกข์ทั้งนั้น จึงคิดว่าการที่เราไม่ต้องเวียนว่านตายเกิดในวัฎฎะนี้ ถือว่าหลุดพ้นจริงๆ แต่ความตั้งใจของตัวเองไม่ว่าจะมีมากมายขนาดไหน ก็อาจจะไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปถึง เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมที่ยังมีติดตัวอยู่ ดังนั้นจึงได้เป็นแต่เพียงความตั้งใจ จะได้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ชาตินี้ มันก็ต้องได้สักชาติ เมื่อต้องกลับมาเวี่ยนวายตายเกิดอีกเพื่อต้องชดใช้กรรม ก็ต้องน้อมรับ ใช้ให้หมด เพื่อที่ชาตินึงข้างหน้าจะได้เป็นชาติที่เราใช้เวรใช้กรรมหมดแล้วจริงๆถึงขั้นไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

    แต่เขาว่ากันว่านิพพาน คือบรมสุข ความว่างเปล่า หากเราทำจิตใจให้เป็นสุข ว่างและปล่อยวางได้ ก็น่าจะเหมือนอยู่นิพพานเช่นกัน หลักธรรมะที่นำมาปฎิบัติ คือเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่จีรัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป สังขารเป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัย ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรยึดติดในร่างกายสังขาร ตราบใดที่เรายังต้องใช้มันอยู่ก็ดูแลบำรุงรักษาไปตามอัตภาพ แต่ถ้าเราทำใจให้เบื่อหน่ายสังขารร่างกาย และไม่ยึดติดมัน ตามดูจิตของเราทุกๆลมหายใจเข้าออก สังขารก็จะกลายเป็นแค่บ้านที่เราอาศัยอยู่ เพราะจริงๆแล้วแค่ดวงจิตตัวเดียวที่เป็นเราอย่างแท้จริง สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ทำบุญทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกอย่างที่ทำนี้ ตั้งใจไว้อย่างเดียวขอแค่ได้หลุดพ้น

    ช่วงนี้บอกตรงๆเบื่อร่างกายสังขารทุกวัน อยากจะสละมัน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าจะเอาชีวิตตัวเองมันก็เป็นบาปอีกไม่รู้ต้องเกิดมาชดใช้อีกกี่ภพกี่ชาติ ก็เลยต้องทนอยู่กับมัน ทำไรไม่ได้ก็ตามดู ตามรู้มันแค่นั้นเอง นึกว่าถ้าวันไหนฉันสละเธอออกจากฉันได้ ฉันจะไม่ขออาศัยร่างแบบนี้อีก รังแห่งทุกข์แท้ๆ
     
  16. ประทีปแก้ว

    ประทีปแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    3,506
    ค่าพลัง:
    +8,328
    [​IMG]
    รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน ค่ะ
     
  17. โคมหลวง

    โคมหลวง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +6,383
    คิดมาแต่แรกว่าเกิดมาทำไม ทั้งๆที่ไม่ทุกข์ มีแต่สุข แต่มันใช่สุขจริงๆ
    แต่เมื่อได้เข้าถึงบางส่วนของความเป็นธรรมะ ควมสุขมันมักหายไปเร็ว

    สุขที่แท้จริงของผมเลยเป็นที่ใจที่สงบ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่อยากได้อะไร และไปต้องการที่จะเป็นอะไร

    ผมพยายามมองตามหลวงพ่อที่ท่านว่า ร่างกายไม่มีในเรา ไม่มีเราร่างกาย .... พอเข้าใจที่ท่านพูด แต่ไม่ถ่องแท้ จนไม่นานนี้เองพอเกิดบางอยากกับจิต รู้แน่ชัดว่าไม่มีอะไรที่เป็ยของเราเลยแม้ดวงจิตอันนี้ ....



    ผมสรุปกับตามจริตตัวว่า


    ช่างมันเถอะ ปล่อยวางเถอะ .... จะทำให้ผมเกาะกระแสไปได้ จนกว่าความเพียรของตัวเองที่จะทำได้ดีเพียงไร

    สาธุ
     
  18. Pongroch

    Pongroch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,479
     
  19. porrawee

    porrawee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +779
    ปรารถนาเช่นกันครับ
    เพราะสวรรค์ หรือแม้แต่พรหมก็ยังต้องวนในกองทุกข์อยู่
    ล้วนสุขไม่นิรันดร์ครับ หมดบุญก็ยังต้องไปเวียนในกองทุกข์ต่อ
    ไม่สิ้นสุด ดังนั้นตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพานดีกว่าครับ
     
  20. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,016
    ผมปรารถนานิพพานครับ จะทําให้ได้ในชาตินี้ เเต่จะได้ ไม่ได้ ไม่เ็ป็นไร ขอปฎิบัติให้ดีที่สุดครับ สําหรับผมก็ยึดมรณานุสติเป็นสิ่งประจําใจครับ เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...