ขอถามเรื่องนั่งสมาธิ ต้องมีครูหรือเปล่าคะ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Ann+, 28 ธันวาคม 2010.

  1. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    กรรมที่บุคคลกระทำแล้วทั้งทางกาย วาจา ใจ ย่อมเป็นเหตุให้เสวยวิบากคือความเคลื่อนไปสู่ฐานะอันมีภพและชาติคือการเกิด เมื่อรู้เหตุแห่งการเกิดคือกรรมมีตัณหาเป็นมูลราก หยั่งกระแสการพิจรณาเนื้อความทางสายกลางคือพระอริยมรรคมีองค์ 8 อันได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วน้อมนำมาใส่ใจ พิจรณาด้วยสติอันแยบคาย ว่านี้คือทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้คือความดับทุกข์(พระนิพพาน) และนี้คือหนทางในการดับทุกข์(ศึกษาเอาในแบบเถิด) ไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบถใด กิน เดิน ยืน นั่ง นอน ก็ไม่ทอดทิ้งธุระคือสติ มีปัญญาสอดส่องธรรมอยู่เสมอ ทั้งธรรมอัตตาอันได้แก่ตัวกูของกู และธรรมอนัตตาคือตัวกูของกูเหมือนกัน ก็ในเมื่อกายนี้ขันธุ์นี้มันว่างจากความเป็นเราเป้นเขา เป้นบุคคล เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เราจะไปยึดมั่นถือมั่นในภาษาธรรมท่านให้พิจรณาว่านี้แหละคือเป็นอนัตตา คือมันไม่ใช่เรา ไอ้ที่เราบอกว่ากายนี้ขันธุ์นี้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวกูของกู ก้เพราะเราไปหลงไปยึดในซากเน่าซากผีเท่านั้นเอง ภาวนาโดยแยบคายจะเห็นว่ามันไม่ใช่เรา เราบังคับบัญชามันไม่ได้ มันเป้นไปเพื่ออาพาธ ไม่เป้นไปเพื่อความสุข อยากสุขอยากสบายมันก็แค่เล็กๆน้อยๆ สู้ความเป็นสัมมาทิฐฐิไม่ได้ กายนี้สักแต่ว่าเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเข้า เติบโตมา พิจรณาดูดีๆมันก็ว่าง ไม่มีตัวตน โลกนี้จักรวาลนี้ก็ว่าง ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตาคือว่าง เพ่งจิตดุกายแผ่จิตออกไปไม่มีประมาณก็ว่างไม่มีประมาณ คือความไม่มีตัวตน อนัตตา ว่าง เมื่อมันว่าง ใจเราว่าง ใจไม่มีอาสวะกิเลส ใจสิ้นราคะ โทสะ โมหะ เห็นตามความเป้นจริงว่ามันเป็นธรรมฝ่ายต่ำเราไม่เอา เราปลดปล่อยพันธนาการด้วยสติปัญญาอันแยบคาย เกิดจาการภาวนาประหารด้วยปัญญา เป็นของปราชญ์ ของบัณฑิต ของผู้ปฏิบัติ ผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้ทึกทักเอา ต้องลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่มีปากเป็นอาวุธ ธรรมทั้งหลายสำเร็จได้ด้วยใจ เมื่อมีความเพียร จิตใจจะค่อยๆถูกขัดเกลาและพอกพูนสติปัญญาขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อใดจิตอ่อนควรแก่การงานก้าวเข้าสู่องค์วิปัสสนา ปัญญาประหารกิเลส ว่ากายนี้ขันธุ์นี้มันเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกข์ขัง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาคือเป็นของว่างจากความเป็นตัวเป็นตน เมือเกิดปัญญาแล้วจะไปถามใครอีก ก็รู้เฉพาะตน ก็ขออณุโมทนาด้วย หลักธรรมขั้นพระโสดาบัน สาธุ สาธุ สาธุ พระนิพพาน.....
     
  2. moonsky

    moonsky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +38
    หาหนังสือซักเล่มอ่านวิธีปฏิบัติในเวบนี้ก็ได้ ยึดพระบรมศาสดาคือครู
    ลุยเลย ไม่เข้าใจตรงไหนไปหาพระใกล้บ้านของคุณช่วยแนะนำหรือในเว็บนี้ก็ได้ครับ
     
  3. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    การนั่งสมาธิควรมีสติอยู่กับตัวไว้มากๆนะ

    ก่อนการนั่งสมาธิ หากใช้ชีวิตประจำวันเหมือนคนทั่วๆไปก็ให้นั่งก่อนนอนหรือเสร็จกิจทุกอย่างในกิจวัตรประจำวันเสียก่อน กินข้าวแค่พออิ่ม แล้วก็อาบน้ำจิตใจจะได้แจ่มๆ สวดมนต์ไหว้พระเสร็จ แล้วก็ค่อยๆทำสมาธินะครับ หรือไม่สวดก็ได้ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ไว้ในใจจากนั้นก็ทำสมาธิ ในขณะทำสมาธิก็มีสติกำหนดรู้ที่กาย โดยทั่วไปก็ที่ปลายจมูก หรือไม่ก็ที่ลักษณะตามอริยบทที่ท้อง พอง ยุบ ให้รู้ตามความเป็นจริงของอริยบทนั้นๆ จะให้ดีก็บริกรรมไปกับอาการดังกล่าวเช่น พุท โธ และ พอง ยุบ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆนะครับ :cool:



    เหรอ...จริงๆเหรอ ??
    นั่งมาก็นานเหมือนกันเจอแต่ความคิดตัวเต็มไปหมดบังเจ้ากรรมนายเวรหมดทำให้มองไม่เห็นเสียที (ฮา)
    ไม่ต้องกลัวว่าจะบ้า หากยังตรวจสอบอย่างมีสติปัญญาอยู่เสมอ
    เอาล่ะ..ตอนนี้ขอให้เลิกบ้าจี้ตามคำบอกกล่าวเสียก่อน
    แล้วค่อยๆทำไป สุดท้ายก็อาจจะเลิกบ้าในเรื่องที่ไม่ควรบ้า ควรเชื่อ เลิกยึดมั่นถือมั่นก็ได้ ..มันไม่แน่ :cool:
     
  4. บานไม่รู้โรย

    บานไม่รู้โรย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +248
    ขออนุโมทนา กับท่านเจ้าของกระทู้ และทุก ๆ คำตอบจากท่านผู้รู้ค่ะ
    นอกจากท่านเจ้าของกระทู้จะได้รับคำตอบแล้ว ยังเมตตาเผื่อแผ่คำตอบแก่ท่านอื่น ๆ ที่ต้องการหาแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง

    ขอบุญจงเกิดแก่ทุกท่านค่ะ
     
  5. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ขอเสริม k Oat. หน่อย
    คงจะช่าย เพราะตนเปนที่พึ่งแห่งตนได้ 80% พระช่วยได้เพียง 20%


    หมายถึง ไม่ประมาท โดยมีสติสัมปชัญญะ อย่ดุแลจิตตลอดเวลากาล ไม่ให้หลงทางหรือขาดทุนในชีวิตอีกต่อไป

    แล้วถ้าอยากจะศึกษาจงเรียนรู้จากใจตัวเองเปนหลัก อย่าให้ใครมาดูหรือมาทายจนเราไขว้เขว ให้ใช้หลักโดยเทียบกับธรรมะพุทธเจ้า จึงจะได้ผลไพศาล
    คนที่เปนเช่นนี้เพราะขาดสติอย่างแรก การขาดสติแย่ยิ่งกว่าไม่มีครูซะอีก ถ้าสติครบดีอย่ในตัวเองแล้ว นั่งอีก100 ปี ก้ไม่มีทางบ้าครับ
    เปนคำขู่ หรือคำพูด ที่พูดให้คนที่ไม่เข้าใจหลง แล้วคิดมาก แล้วอยากที่จะหาที่พึ่งทางอื่นที่ไม่ใช่สำนักของพระพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...