ขอคำแนะนำครับ สำหรับคนปฏิบัติธรรมแต่มีแฟนครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย prayut.r, 16 ตุลาคม 2010.

  1. churdpong

    churdpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +384
    สรุปก็คือ จขกท. อยากรักษาศิลให้ครบ พร้อมกับการที่มีแฟนไปด้วย เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ตัวของเราเอง ก็อย่างที่บอกแล้วศิลข้อที่ 3 คือ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม คุณยังสามารถมอบความสุขให้แก่แฟนคุณได้ เพราะศิลไม่ได้ขาด แม้อารมณ์ของคุณจะมีอยู่น้อยนิด แต่คุณก็ต้องหัดเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย อย่าทำให้ความต้องการของคนทั้งสองมันสวนทางกัน ต้องดูแลคนที่รักให้เขามีความสุข ถ้าคุณไม่สามารถมอบความสุขให้แก่เธอได้ ก็ปล่อยเธอไป เพื่อให้ไปพบกับสิ่งที่ดีกว่า อย่าเอาความนึกคิดของตัวเองแต่ฝ่ายเดียว ก็เท่านี้ละครับ
     
  2. สมถกรรมฐาน

    สมถกรรมฐาน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    เราเป็นผู้ปฎิบัติธรรมยังอยู่ในโลกโลกีย ย่อมมีกิเลสเป็นธรรมดาแต่ควรมีศีล5วัยตลอด... การที่เรามีแฟนก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว(ต้องยินยอมกับพ่อแม่ก่อน)แต่ที่ว่าห้ามมีอะไรกันนั้นเป็นเรื่องของศีล8หรือศีลอุโบสกนิ..ผมอ่านแล้ว..งงๆ จากหลายความเห็นนะครับ ถ้าบรรลุขั้นสูงแล้วถึงไม่ควรนิครับ..
     
  3. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    การพิจารนาธรรม ต้องละเอียด รอบคอบ พิจารนาซ้ำๆจนกว่าจะเข้าใจ

    ขออนุญาตครับ

    สำหรับ เจ้าของกระทู้

    เพื่อแก้ปัญหาของตัวท่านเอง

    ควรใช้ความละเอียดรอบคอบ ในการพิจารนา คำตอบที่ผมได้ตอบไปแล้ว

    ถ้าใจของท่านมีปัญญาพาท่านลดละ กามตัณหา ได้จริง แล้วทำไมท่านถึงไม่มีปัญญาพิจารนาปัญหาของท่านเองบ้าง
    ผมก็เสียเวลา ตอบให้ขนาดนี้แล้ว ยังไม่มีแม้แต่ความพยายามในการพิจารนาธรรมทีบอกเล่าแนะนำให้

    ถ้ามันยากนักก็พิมพ์คำตอบผมไปขอเมตตา หลวงพ่อใกล้บ้านให้ท่านขยายความให้ก็แล้วกัน

    สำหรับบางท่าน
    ที่ทั้งเคี่ยวเข็ญ ทั้งขู่เข็ญให้ผมตอบให้ได้ ธรรมของท่านก็ยังขาดๆแหว่งๆอยู่เหมือนเดิม ของตัวเองขาดแหว่งยังไม่พอ
    ไปตัดข้อความบางข้อความเขาออกให้ธรรมเขาแหว่งตามอีกต่างหาก ไปปรับปรุงตัว เอาเองเถอะครับ
    ถ้าท่านยังมีครูบาอาจารย์ก็ขอยกให้เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์ของท่าน อย่ามายกให้ผม

    ต้องขออภัยจริงๆผมไม่รู้ว่าจะอนุโมทนากับธรรมส่วนไหนของท่าน

    แม้แต่ท่าน websnow ก็ฝันเห็น พญายมแล้ว ผมก็ อนุโมทนากับท่านด้วย

    ขอบคุณครับ

    ลุงมหา
     
  4. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ต้องขอโทษ ลุงมหา จริงๆ ครับที่แค่คำถามของคนที่จนปัญญา (เพราะถ้ามีคงจะไม่มาตั้งคำถามแบบนี้หรอกครับ) จะทำให้ ลุงมหา มีอารมณ์โมโห ได้ขนาดนี้

    ยังไงคนไร้ปัญญา อย่างผมคิดอะไรก็ตอบ สงสัยอะไรก็ถามแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้ดัดจริตมาโชว์อะไรหรอกครับ ถ้าทำให้ขุ่นเขืองใจกับท่านใดก็ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อย่าฝืน มันเป็นวิภาวะตัณหาเปล่าๆ เป็นทุกข์ อาจทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ได้อย่างแท้จริงได้ ต้องพิจารณาให้ดีๆครับ
     
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    53
    ค่าพลัง:
    +4,021
    เกื้อกูล

    เมื่อใดใจต่ำช้า ..........เพียรค้ำ ดึงขึ้น
    เมื่อใดใจสูงล้ำ...........เพียรซ้ำ สั่งสอน
    ความดีไม่ให้ช้ำ..........เพียรนำ ชีวิต
    ดุจคู่มิตรเลิศล้ำ .........เพียรข้าม นที



    ร่วมเรียงเคียงดั่งมิตร .........ร่วมทาง
    พาช่วยถากทางถาง .........ง่ายบ้าง
    กุศลกอรปเพียรสร้าง .........ก่อร่าง
    ความดีผูกใจให้ว่าง ...........พิ่ษไข้ ราคี



    * กลอนอ่านเล่นขำ ขำ พ้องบ้างไม่พ้องบ้าง คลายตึง ...
     
  7. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    คิดว่าหลายๆ ท่านน่าจะเป็นเหมือนผมคือว่า ไม่ได้มีปัญญาที่จะสามารถลดละกาม ได้หรอกนะครับ

    แต่ขอเรียกว่า เป็นความเกรงกลัว และ ละอายต่อบาป มากกว่าที่จะเป็นปัญญา

    คราวนี้ไอ้เราก็ไม่ได้อยากจะบรรลุขั้นพระอริยะอะไรหรอกนะครับ เพราะเรายังต้องใช้ชีวิตในการดำรงชีวิต หาเช้ากินค่ำไปตามปกติ

    แต่แค่ความรู้สึกที่ว่าเกิดขึ้นแล้ว เราจะมีแนวทางยังไงที่จะดำเนินชีวิตร่วมกับคนที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบเราด้วย ก็แค่นั้นแหละครับที่ผมอยากทราบ

    ก็ต้องขอบคุณหลายๆ ท่านด้วยที่ให้คำตอบที่ผมคิดว่านำไปปรับใช้ได้จริงๆ และก็คิดว่าน่าจะเกิดประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่อยู่ในลักษณะเดียวกับผมด้วย

    แต่ถ้ามันจะทำให้ผู้ทรงธรรมทั้งหลายเข้าใจว่าผม เกิดปัญญา สามารถละกาม ได้ล่ะก็
    ก็ขอให้คิดซะใหม่นะครับ

    อย่างน้อยคำตอบของหลายๆท่านก็พอให้ผมทราบลักษณะ นิสัยของแต่ละท่านในแต่ละคำตอบได้ดียิ่งขึ้นล่ะครับ ว่าคนไหนมีเมตตาจิตจริงๆ ในการตอบคำถามครับ

    อย่าเอาผมไปเทียบเลยครับ เพราะโลภะ โทสะ โมหะ ผมยังมีอยู่ตรบถ้วนครับ
     
  8. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    เอาเป็นว่า ผมตอบไปหมดแล้วละครับ

    ถ้าไม่เข้าใจก็ลอง อ่านซ้ำดูนะครับจะ1-2-3รอบก็แล้วแต่

    แล้วที่ตัดต่อมาลงให้อ่าน มันทำให้ใจความสำคัญ

    ที่ผมจะสื่อหายไปหมดสิ้น อ่านซ้ำดูนะครับ

    แล้วที่คุณบอกว่า กิเลส กับ จิต ต่างคนต่างอยู่

    ถ้าเราไม่ได้ไป ยุ่งกับมันแล้วมันจะหลอกเราได้อย่างไรครับ


    กิเลส กับ จิต มองแบบพื้นๆชื่อก็คนละอย่างมันก็น่าจะต่างคนต่างอยู่ใช้ไหม

    แต่ความจริงแล้ว กิเลส มันฝังอยู่ในจิต แล้วมันก็อยู่ในทุกซอกทุกมุมของจิต

    มันปนกันอย่างแนบแน่น

    กิเลส หยาบๆ โลภ โกรษ หลง ที่แสดงให้เห็นตามสภาวะจิตของแต่ละอารมณ์

    เมื่อคุณมีสติทันตอนนั้น คุณก็จะเห็นมัน มัน(ตัวกิเลส) จะโผล่หัวออกมา

    ยิ้มร่าเริ่งเมื่อคุณ มีอารมณ์หยาบๆอย่างนั้น มันจะหยุดแสดงหน้าที่ก็ตอนที่เรา

    เห็นแล้วสักแต่รู้ แล้วปล่อยมันไป (แต่คุณไม่ได้ทำลายมันเลยแม้นแต่น้อย)

    คุณจะบอกว่า ไม่ยึดมัน ไม่ติดมันเดียวมันก็ ดับไปเองตามไตรลักษณ์

    อันนี้ก็ถูกต้อง เพราะคุณมีสติใช้ไหมละ ถึงมองเห็นตัวมัน

    เราได้แต่มองว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (แต่ไม่ตลอดไป)

    เพราะมัน(กิเลส)ดับไป ณ.ขณะเรามีสติ แต่ไม่ได้ถอดถอนออกไปจากจิต

    กลับมาตรงที่ ตัวกิเลส มัน โผล่มาได้ไงให้คุณเห็นตัว ???

    แล้วคุณเห็นมันได้อย่างไร มันมาจากไหน

    การที่เราตามทันกิเลสในบางตัว กิเลสจำพวกนี้มันแค่ ลูกสมุนเท่านั้น

    มันเป็น กิเลสแบบ หยาบๆ เกิดขึ้นให้ เรา รัก โลภ โกรษ หลง ตั้งอยู่ในชั่วขณะ

    และ ดับไปเมื่อเรามีสติ เห็น (แต่ไม่ได้ดับ อย่างถาวร)

    แล้วกิเลส ละเอียด ที่เราตามไม่ทันละ นั้นเพราะว่า ภูมิจิต ภูมิธรรม

    เราฝึกมาเท่านี้ เราก็จะทันเฉพาะที่ เราพอเข้าถึง

    กิเลส มันยังมีแม่ทัพ นายกองอีกเป็น โขย่ง ให้เราตามไม่ทันอีกเยอะ

    เช่น อุปกิเลสในวิปัสนาฌาณ ทั้ง10 , นิวรณ์5 เป็นต้น

    พอเราฝึกได้ที่ระดับหนึ่ง ตัวหัวหน้ามันจะ โผล่หัวออกมาให้เรา งง เพราะเรา

    ก็ยังไม่เคยเจอ ตัวแม่ แรกๆเราก็จะงงๆ ว่า เหี้ย นั้นมันกิเลส หรอกหรือ

    แล้วผมก็จะกลับไปถามใหม่อีกครั้งว่า

    ตัวกิเลสมัน โผล่มาได้อย่างไร แล้วเรามองเห็นมันได้อย่างไร


    ถ้าเรามองเห็นมัน แสดงว่า ภูมิจิต-ภูมิธรรม เราใกล้กับมันแล้วจึงเห็นตัว


    มัน มันก็จะเอาตัว ที่ละเอียดๆๆๆๆๆๆๆที่สุดออกมาแสดง

    แล้วถ้าเรามองเห็นมันไปเรื่อยๆๆๆๆๆ แสดงว่าเราตามมันมาทันไปตลอด

    ภูมิจิต ภูมิธรรม เราก็จะละเอียดๆๆๆๆตามไปเป็น ลำดับ

    ตอนนี้เราก็จะเริ่มเห็นที่อยู่ของตัวกิเลส ที่ฝังอยู่ในจิตเราทุกซอกทุกมุม

    แล้วถ้าเรา เข้าวิปัสสนากรรมฐาน พิจรณา โดยใช้ปัญญาในฌาณ เราก็จะ

    ถอดถอนตัวกิเลสที่ฝังอยู่ในจิตเราได้ไปในที่สุด

    ปล.รู้ไหมว่า ตัวกิเลสตัวสุดท้าย ของ พระโพธิสัตว์ คือตัวอะไร

    บอกใบ้ให้ว่า....กิเลสตัวที่ทำให้ หลวงปู่ทวดยังไม่ไปพระนิพพาน

    ลองตอบดูก่อนนะครับ แล้วจะมาบอกวันหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2010
  9. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ก่อนที่จะไปไกลเกินปัญหาของจขกท ผมขออธิบายย้อนไปหน่อยครับ
    สื่งที่จขกทมาบอกเขาไม่ยุ่งกับแฟน ที่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะกลัวผิดศีล
    ซึ่งเขาก็ทำได้ในแง่ของศีล แต่พวกท่านมาโวกเวกว่า โดนกิเลสหลอกเอา

    ดูอาการของจขกทมีแค่ เมื่อเกิดอารมณ์เขาก็เอาศีลมาเป็นสติ ณ.ขณะนั้น
    เวลานั้น อารมณ์ก็ไม่ได้ปรุงแต่งต่อ กิเลสไม่ได้ทำงานมันดับไป มันก็แค่นี้
    เมื่ออารมณ์มันมาอีก มันก็เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น
    จากการได้รับ ผัสสะใหม่มา ถึงแม้จะเป็นสัญญาแต่ก็เป็น ใจที่ไปคิดหรือทำ
    งานใหม่ แล้วจะบอกได้ไงว่ากิเลสมันหลอก มันจะหลอกได้ไงในเมื่อมันดับไปแล้ว
    ตามหลักไตรลักษณ์
    ถ้าพวกท่านจะใช้คำว่า"จขกทโดนกิเลสหลอก" มันต้องเป็นลักษณะ
    สมมุตินะครับ จขกทบอกว่า รักษาศีลห้าอย่างเคร่งครัด ไม่เคยไปยุ่งกับ
    หญิงอื่นเลยนอกจากแฟนตัวเอง อันนี้ล่ะครับที่โดนกิเลสหลอกเพราะ
    หญิงนั้นเป็นแค่แฟนยังไม่ได้สู่ขอแต่งงาน

    พวกท่านต้องเข้าใจนะว่า จขกทก็ไม่ได้มาบอกว่า ได้เป็นอริยบุคคลแล้ว
    ละสังโยชน์ได้บางตัว หรือบอกว่าเป็นอรหันต์สามารถละสังโยชน์ได้หมด
    ที่เขามาบอก มันก็แค่ เขาบอกว่าไม่ยุ่งกับแฟนหยุดการปรุงแต่งทางกาย
    ด้วยศีล มันก็แค่การทำได้ในระดับของปุถุชน

    พวกท่านสังเกตุความแตกต่าง อริยบุคคลบอกว่าละกิเลสหรือสังโยชน์
    ได้บางตัว แสดงว่า ท่านไม่มีสังโยชน์หรือกิเลสตัวนั้นแล้วคือไม่กลับ
    มาอีก แต่วันดีคืนดีมันหวนกลับมาอีก แบบนี้ครับถึงเรียกว่า..
    โดนกิเลสมันหลอก อรหันต์ก็เช่นกันครับ

    ส่วนก็กรณีจขกทมันก็เป็นปกติครับ ถ้ามีสติกิเลสมันเกิดๆดับๆ
    ถ้าสติมาช้า มันก็ปรุงแต่ง มันเป็นไปตามขบวนการขันธ์ห้า
    กิเลสไม่ได้หลอก เพราะยังไงมันก็เป็นจริงดังนี้ครับ

    สรุปง่าๆพอเข้าใจครับว่า ลุงมหากับตัวคุณเองไม่เข้าใจปัญหาของ
    จขกท ตอบไปไกลเกินซึ่งไม่เกี่ยวกับสิ่งที่จขกทสื่อ
    แถมยังชอบเล่นคำแต่งสำนวนให้เข้าใจยาก ทำให้ผมกับจขกทไม่รู้เรื่อง
    ขออภัยที่ต้องกล่าวแบบนี้ อยากให้เข้าใจครับ
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คุณจะเอามาถามทำไม เรื่องของหลวงปู่ทวดผมไม่รู้หรอกครับ
    ผมจะดูครูบาอาจารย์ผมดูที่คำสอนของท่าน ไอ้เรื่องไปนิพาน
    หรือเป็นอรหันต์มันเรื่องของท่านครับ ผมไม่อาจรู้ได้และผมไม่สนใจด้วย

    ที่กล่าวแบบนี้ไม่ได้ปรามาสท่านนะครับ เพียงแต่พระศาสดาสอนให้เรา
    ดูกายใจของเรา การปฏิบัติก็เพื่อตัวเรา การไปรู้จักอรหันต์ไม่สามารถทำให้
    เราบรรลุได้ สิ่งที่จะให้เราบรรลุคือคำสอนของท่าน ไม่ใช่ตัวท่าน

    แล้วเรื่องกิเลสตัวสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ถามทำไมข้อมูลในเน็ตก็มี
    เอาแบบนี้ พระโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระโคดมผมรู้ ผมตอบสั้นๆมัน
    เป็นกิเลสฝ่ายกุศล

    เอางี้คุณบอกมาว่า คืออะไรเพราะอะไร แล้วมาคุยกันใหม่
     
  11. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ไม่เอาน่าลุงมหา มันไม่ใช่ความผิดของจขกทเลย ผมเป็นคนนอก
    ก่อนแสดงความเห็น ผมยังรู้เลยว่า ความเห็นของท่านมันคนละเรื่อง
    มันทำให้จขกทเกิดความสับสน
    แล้วอีกอย่างไม่ได้มีใครบังคับให้ท่านมาตอบเลย ท่านเข้ามาเอง
    และการที่ท่านได้แสดงความเห็นสอนจขกทไป แต่จขกทเกิดความไม่เข้าใจ
    มันเป็นอยู่เองที่จะต้องถามให้เกิดความเข้าใจ

    ความสำคัญมันอยู่ที่ ลุงมหามีความรับผิดชอบแค่ไหนเพียงไรครับ
    อย่างเช่นแสดงความเห็นในเชิงสั่งสอน เมื่อผู้ฟังยังไม่เข้าใจ
    ถามท่านเพิ่มเติม ท่านก็ต้องแสดงความเห็นด้วยความเมตตาไป

    แต่นี่ท่านกลับแสดงอาการโมโหโกธา จากอาการที่แสดงภูมิเป็น
    ผู้ใหญ่เป็นครูผู้รู้ ไฉนกลับกลายเป็นเด็กวัยรุ่น พาลพาโลไปได้
    ไปกันใหญ่แล้วครับ กะแค่ถามความเห็นแค่นี้ ทำไมต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
    แทนที่ท่านจะใช้ธรรมมาสั่งสอน แต่กลับเอาคำด่าที่ไร้เหตุผลมาประจานตัวเอง

    แล้วเรื่องตัดข้อความบางตอน ใช่ครับมันต้องตัดออกครับเพราะผมเห็นว่า
    มันไม่มีสาระในสิ่งที่ผมจะบอก ผมก็เลือกแต่สิ่งที่เป็นจริง
    เรื่องสำนวนประเภทน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง มันรกบอร์ดครับ

    แต่ในส่วนเนื้อหาที่อยู่ในความเห็นของพวกท่าน
    ผมไม่สามารถเอาออกได้น่ะครับ คนอื่นอยากทราบเขาก็ไปอ่านเองครับ

    พูดแล้วเหมือนของลุงนี้ผมก็อยากเอาออกครับ
    ดูตัวหนังสือซิ นับน่านับถือมั้ย
    ในส่วนของจขกทผมไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมเข้าแสดงความเห็นก็เพราะ
    เห็นคำพูดที่บอกจขกทไปมันผิด เลยเข้าชี้แนะเพิ่มเติม ไม่เคยคิดเอาท่าน
    มาเทียบกับครูบาอาจารย์ของผม เพราะมันเทียบกันไม่ได้แม้ซักกะผีกครับ

    ผมจะบอกให้ถ้าเป็นคนที่รู้จริง เขาไม่แสดงอาการ โมโหโกธาแบบนี้
    เพราะคนที่ถามเขาก็ไม่ได้ หยาบคาย ดูถูกอะไรท่านเลย
    อาการแบบนี้ เขาเรียกโมโหกลบเกลื่อนครับ
    การแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงแบบนี้แหล่ะครับ
    เป็นการอนุโมทนาผมกับจขกทแล้ว
     
  12. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ขอบพระคุณ คุณบุญพิชิต มากนะครับที่เข้าใจคำถามผม
    และรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรเวลามีคนมาตอบปัญหาและพยายามยัดเยียดว่าผมเป็นแบบนั้นแบบนี้

    กับ คุณ YUT_KOP ผมก็ขอบคุณมากนะครับที่ให้คำแนะนำผม แม้ผมอ่านแล้วจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็เห็นความมีเมตตาจิตที่แฝงมาในคำแนะนำ และ คำอธิบายนะครับ

    ผมไม่อยากให้คำถามของผมกลายเป็นปัญหากันน่ะครับ ยังไงเสียทุกท่านก็เป็นคนปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันอยู่แล้วครับ

    แต่สำหรับบางคนที่เข้ามาตอบแล้วก็พยายามข่มท่านอื่นให้ด้อยกว่าตน
    พอเขาถามกลับก็ไม่ตอบแสดงอาการไม่พอใจ
    เห็นแล้วก็เศร้าครับ ว่านี่หรือคือคนปฏิบัติธรรม
     
  13. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    สำหรับผม เนื่องด้วยการที่ผมเข้ามารู้เข้ามาปฏิบัติ กลับทำให้ผมเข้าใจในเรื่องความรัก และประสปความสำเร็จในความรักมากขึ้น ทั้งที่เห็นว่าความรักทั้งปวงเป็นความเห็นแก่ตัว มีแต่คำว่าอยาก คำว่าของกูเต็มไปหมด แต่มันเป็นความจริง และความจริงก้ทำให้ประสปความสำเร็จจริง
    ทางธรรมดีขึ้น ทางรักก็กลับดีขึ้นตาม จากความเข้าใจ
    ผมสามารถทำให้คนใกล้ชิดที่ล้มเหลวกลับมาประสปความสำเร็จได้ ก้ด้วยความเข้าใจเหล่านี้ โดยการขอ 1 ข้อ ไม่ว่าอย่างไร ถ้าทำตามที่ผมแนะนำแล้วเขารักเขาหลง ต้องไม่เป็นฝ่ายทิ้งเขาเสียก่อน เพราะผมจะติดกรรมอันนั้นไปด้วย จากลูกแมวทั้งหลายก็กลายเป็นเสือไปซะมาก ด้วยการแยกตัณหาแตกตัณหาของเขาให้ออกเท่านั้นเอง แล้วก็สนองตัณหาของเขาให้ได้มากที่สุด อย่าเอาตัณหาเราเป็นที่ตั้ง ปถุชนย่อมพอใจเมื่อได้รับการสนองตัณหา
    บรรดาเสือทั้งหลายที่ผมได้สร้างไว้ ก็ออกไปล่าเหยื่อ บางคนก้ไม่รักษาสัญญากับผม ก่อให้เกิดทุกข์เกิดปัญหาตามมา บางครั้งจนถึงกับจะฆ่าแกงกันเพราะความยึดมั่นในตัณหา ในการสนองตัณหาเหล่านั้น จนผมต้องตามไปแก้ไข ไปเป็นส่วนหนึ่งในทุกข์ในปัญหานั้นด้วย
    การตั้งกระทู้นี้ผมถือว่าทำให้ผมได้ใช้ความรู้ความเข้าใจของผมมมาแบ่งปัน ชดเชยในสิ่งที่ผม ได้เคยทำพลาดไป
    ขอบคุณกับเจ้าของกระทู้และท่านทั้งหลายในโอกาสนี้สำหรับผมด้วยนะครับ
    อนุโมทนาในกุศลด้วยครับ
     
  14. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    เมื่อวานนี้ก็มีน้องท่านหนึ่งที่ปฏิบัติด้วยกันมา นำเรื่องของเขามาเล่าให้ฟัง ว่าเขารู้ไปหมดทุกอย่าง รู้ว่าต้องทำอย่างไรแฟนจะพอใจ แต่กลับไม่ทำ ทำไม่ลงไม่รู้ว่าทำไม
    ผมจึงอธิบายว่า หากรู้อยู่ว่ามันเป็นแค่เพียงการสนองตัณหา แต่เมื่อได้รับการสนองตัณหา ตัณหาไม่สิ้นสุด กลับเรียกร้องตัณหาต่อๆไป มากขึ้นใหญ่ขึ้น กลับกลายเป็นก้อนตัณหาที่ใหญ่ขึ้น ทุกข์ขึ้นแก้ไขได้ยากขึ้น ดับยากขึ้นจึงไม่อยากทำอย่างนั้น
    (เพราะแท้จริงแล้วตัณหาคือตัวทุกข์ ไม่เชื่อลองไม่ดับหรือมันไม่ดับดูซิ มันทุกข์อยู่อย่างนั้น มันสุขตอนที่ไม่มีตัณหาต่อสิ่งนั้น ตัณหาจากสิ่งนั้นดับจึงเรียกได้ว่าคลายตัณหา คลายทุกข์ ไม่ทุกข์ สุข สังเกตุเห็นไหม
    เห็นตัณหาได้แค่ไหน เห็นตัณหาเกิดได้แค่ไหน เห็นตัณหาตั้งอยู่ได้แค่ไหน เห็นตัณหาดับได้แค่ไหน ก็เป็นประโยชน์ต่อผู้เห็นได้เท่านั้น)

    ที่ไม่ดีเหมือนไม่หวังดี แต่จริงแล้ว หวังดีซะยิ่งกว่าที่ทั่วไปเรียกว่าดีซะอีก
    ผมตอบน้องเขาไป(ตามตัวหนังสือสีดำครับสีฟ้านั้นอยู่ในใจ)น้องเขาบอกโดนใจ ตามนั้นเลย
    ผมว่ามันง่ายนะสำหรับคนที่ปฏิบัติมาถึงขั้นหนึ่งแล้วจะทำให้ใครสักคนรักเราจนตายแทนเราได้ แต่ทำไม่ลงหรอกครับ ยิ่งเข้าใจกลับยิ่งไม่อยากทำ ก็โทษภัยจากทุกข์ที่เห็นมันค้ำคออยู่ด้วย

    ติดคือไม่ไปต่อ ไปต่อ ยังไปต่อ ยังคิดไปต่อ ก็ไม่ติด ก็จะไม่ติด
    สำหรับผมจะกิเลสสหรือกุศล พอใจหรือไม่พอใจผมก็มักจะรู้ตามมันทั้งสองทางไม่เว้น ทันบ้างไม่ทันบ้าง ดับบ้างไหลตามบ้าง ก้รู้ไว้ก่อนเพราะปัญญาที่ได้มาที่เพิ่มเติมขึ้นมา ก็ได้มาจากการรู้อย่างนี้ทั้งนั้น
    ด้วยพอใจในปัญญาจึงเพียรรู้เพื่อเสริมสร้างปัญญา
    จึงไม่หยุดรู้
    ด้วยไม่พอใจในปัญญาทีมีอยู่ที่ยังไม่พอคลายทุกข์ดับทุกข์แก่ตนได้ทั้งหมด
    จึงไม่หยุดรู้
    เพราะรู้อยู่แก่ใจ ว่าทางใดเป็นการสร้างปัญญาแก่ตน
    ผู้ใดได้เห็นทางได้รู้ในหนทางที่จะเกิดปัญญาในทางไม่ทุกข์คลายทุกข์ดับทุกข์แก่ตนทั้งสั้นและยาวมากและน้อยก็ขออนุโมทนด้วยทุกท่านครับ

    มากไปน้อยไปสาระบ้างไม่สาระบ้างผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขอตอบในฐานะผู้หญิงบ้าง กับความรู้เรื่องสารเคมีในร่างกาย

    ส่วนใหญ่คนที่เกิดภาวะตื่นตระหนกจนเป็นโรคหรือเป็นปัญหานั้นจะเกิดจากอาการกลัวอย่างเฉียบพลันโดยที่มีสิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยก็ได้ อาการที่ว่านี้เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ซึ่งมักจะเกิดจากความกลัวหรือความวิตกกังวลอย่างมาก จนทำให้มีอาการทางกาย เช่น ตัวสั่น มือสั่น หายใจขัด หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก เหงื่อออก อาเจียน เวียนศีรษะ ชาที่บริเวณปลายมือและปลายเท้า อาการที่ว่านี้เกิดจากร่างกายหลั่งสารเคมีหรือสารอะดรีนาลีนในปริมาณมาก การหลั่งสารอะดรีนาลีนนี้เป็นการเตรียมพร้อมของร่างกายอย่างหนึ่ง เรียกว่า การตอบสนองแบบสู้หรือหนี (fight-or-fight response) ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติ ทำให้มีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายเพิ่มมากขึ้นพร้อมๆ กับทำให้มีการเพิ่มออกซิเจนไปทั่วร่างกาย จนทำให้เรามีพละกำลังเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยจนสามารถวิ่งหนีเอาชีวิตรอดได้หรือสามารถแบกของหนักวิ่งหนีไฟได้


    คนที่เพิ่งคบหามักจะมีสารนี้ กับสารเอ็นโดรฟิน(สารหลั่งความสุข)
    แต่สารอะดรีนาลีน นี้จะอยู่ได้แค่สองเดือน ให้การสังเกตุอย่างงี้
    เวลาที่เพิ่งคบหากันแรกๆ จะมีสารเหล่านี้หลั่งออกมาออก มาฟังสำนวนไทย
    "แรกรัก น้ำต้มผักยังว่าหวาน" สามารถ ชี้นกเป็นจานดาวเทียมก็ยังได้
    จะสังเกตุว่า ทำไมคนเจ้าชู้จึงโลเล เพราะเขาต้องการหาแฟนใหม่เพราะชอบ
    ความตื่นเต้น เลยต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไงล่ะ หรือผู้หญิงจะชอบด่าผู้ชายว่า
    ไอ้คนไม่รู้จักพอ
    แต่คนที่มั้นคงก็ต้องอยู่กับแฟนคนเดิมความตื้นเต้นหายไป จะเหลือแต่ความ
    รู้สึกผิดชอบชั่วดี คนแบบนี้น่ายกย่อง แต่สมัยนี้หายากนะ โทษของการผิดศีล
    ขอสามทั้งทางโลก และทางธรรมก็ระบุไว้ แต่ไม่มีความกลัว

    ที่ยกมานี่ อยากจะบอกเจ้าของกระทู้ว่า อย่าไว้ใจตนเอง กิเลสหรอกเราสารพัด
    มันคือความเศร้าและการไม่รู้ทันของอนัตตา หากจะรู้ว่าเราลดลงไหม
    มองสาวน่ารัก ดูหากสายตายังมองด้วยความเคยชินนี่ถือว่า ยังไม่ผ่าน
    เพราะกิเลสหรอกเอา จะทำให้คนข้างๆ อยู่อย่างเหงาๆ
     
  16. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ ผมเพียงแต่ตามอนุโมทนาคนเก่งๆอ่ะคับ ผมชอบพี่เค้ามากเลยครับ เค้าตอบถูกใจผม...พี่เค้าเก่งจริงๆ
     
  17. poopenๆ

    poopenๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +86
    โมทนาด้วยครับที่คุณทำได้
    ผมสิแย่กว่า ทำไมมันขาดไม่ได้เลยเรื่องนั้น อยากจะร้องไห้...
     
  18. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ครบาอาจารย์ของผมท่านสอนว่า ครอบครัวแตกแยกอันมีสาเหตุมาจากการปฏิบัติธรรม ถือว่า ผิดธรรมโลกา เป็นกรรมมหาวิบากอย่างนึง เพราะขั้นธรรมโลกานั้นเป็นการแก้ปัญหาโดยใช้ปัญญาอย่างหยาบ แสดงว่าเรายังไม่มีปัญญาเพียงพอ หรือบารมียังไม่เพียงพอ เช่นมีขันติไม่พอ มีเมตตาไม่พอ ฯลฯ ต่อคนที่เรารัก สุดท้ายภพแล้วภพเล่าที่เราต้องวนเวียนมาแก้ปัญหาหญ้าปากคอก เพราะเราต้องชดใช้กรรมเขา ใครมีครอบครัวแล้วไม่ทำหน้าที่ของสามีภรรยา ถือว่าผิดธรรมโลกา เทพเทวดาย่อมติเตียน และ ก็เป็นสิ่งปิดกั้นการเข้าถึงธรรมโลกียะ และแน่นอนว่าปิดกั้นธรรมโลกุตรไปโดยปริยาย

    ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าอย่าปฏิบัติธรรมข้ามขั้น คือต้องผ่านธรรมขั้น ธรรมโลกา - ธรรมโลกียะ และธรรมโลกุตร ตามลำดับ

    ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่พระพุทธองค์ท่านเลยบัญญัติให้ขออนุญาตพ่อ-แม่ และ/หรือสามี-ภรรยา ก่อนที่จะออกบวช

    พระพุทธองค์ก็สอนหลักธรรมสำหรับทุกครอง ไม่ว่าจะเป็นครองพระสงฆ์หรือครองฆราวาส ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่แตกต่างกันหากปฏิบัติได้ตามคำสอน ถ้าปฏิบัติผิดครองธรรมก็จะผิดฝาผิดตัว เช่น อยู่บ้านครองเรือนแต่ทำตัวแบบคนถือศีล 8 ศีล 10 หรือ ผู้ที่เป็นพระสงฆ์แต่ปฏิบัติตนแบบโยม ก็จะเกิดปัญหา ตามมาแน่นอน
     
  19. ศิษย์น้อย

    ศิษย์น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    427
    ค่าพลัง:
    +3,047
    ในสมัยพุทธกาล มีท่านอุบาสิกาที่ทรงอารมย์โสดาบันแต่มีสามีมีครอบครัว
    กระนั้นท่านก็ทรงอารมย์เป็นอริยบุคคลได้นี่ครับ....

    หากผู้ถามปฏิบัติธรรมในขั้นโยคาวจร (คนเดินดินกินข้าวแกง..และปฏิบัติธรรม)
    การตระหนักถึงศีลที่บริสุทธิ์นี่... ถือว่าสุดยอดแล้วครับ..
    ถึงวาระหนึ่ง..ที่จิตเราจะข้ามระดับไปอีก ถึงวันนั้นคำตอบจะมีมาเองครับผม

    ขอโมทนาสาธุครับ
     
  20. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    กรรมให้ผลตามเจตนา ติผู้อื่นเจตนาให้เกิดสติ ติผู้อื่นให้อยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ติอย่างเหมาะสม เมตตา หรือถ้าติเอามันส์ เอาสะใจ จะเจริญกิเลสตนเองนะครับ
    ติเพื่อก่อหรือเพื่อทำลาย เป็นเรื่องที่ต้องหมั่นตรวจสอบใจตนเองด้วยนะครับ

    การปฎิบัติธรรมนี้
    ศีล คือ การรักษาความปกติใจ เมื่อใจปกติสงบ เป็นธรรมชาติสมาธิเอง
    นี่หล่ะ พระศาสดาสอนในธรรมจักรกัปปวัตนสูตรไว้

    1ทางทรมานลำบากตน 2มัวเมาในกามสุข
    เป็นหนทางที่กายไม่สงบ
    เป็นเหตุให้ใจไม่สงบปกติเป็นต้นทาง
    2หนทางนี้ไม่ใช่มรรค ไม่เกิดญาณทัศนะเป็นเครื่องรู้แจ้ง
    หนทางอริยมรรคมีองค์8 พระศาสดาแสดงไว้แจ่มชัดแล้ว

    กามเป็นสุขในโลก มีเซ็กซ์ภายใต้ศีล5ข้อ3
    ไม่ผิดลูกเมียใคร เมื่อคุณไม่ผิด จิตคุณปกติ ปฎิบัติธรรมได้
    แต่เมามัวลุ่มหลงกิเลสขี่คอกินเท่าไหร่ไม่อิ่ม ย่อมชั่วเพียงให้ได้มาเมื่อไหร่ก็ผิดทาง
    อย่างนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...