:: การวิเคราะห์โรคด้วยตัวเองแล้วรักษาตัวเอง::

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 28 เมษายน 2014.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    การแพทย์แนววิถีธรรม ธรรมชาติบำบัด
    แนวเศรษฐกิจพอเพียง ยึดตามหลัก
    พุทธศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
    ประยุกต์ใช้รักษาตัวเอง

    .........หมอที่ดีที่สุด คือตัวเราเอง.......

    <iframe src="//www.youtube.com/embed/-mpkZM7tlFw?feature=player_detailpage" allowfullscreen="" frameborder="0" height="360" width="640"></iframe>

    วิเคราะห์โรคต่าง ๆ

    เวลา 00.00 กลไกการเกิดโรคต่าง ๆ
    เวลา 00.05.49 วิเคราะห์โรคมะเร็ง
    เวลา 1.00.04 วิเคราะห์มะเร็งเม็ดเลือดขาว
    เวลา 1.02.14 วิเคราะห์โรค sle
    เวลา 1.03.45 วิเคราะห์โรคหัวใจ
    เ วลา 1.05.56 วิเคราะห์นอนกรน
    เวลา 1.06.36 วิเคราะห์โรคนอนกรน
    เวลา 1.06.36 วิเคราะห์โรคผื่นคัน
    เวลา 1.08.49 วิเคราะห์โรคนิ้ว
    เวลา 1.12.42 วิเคราะห์แผลในกระเพาะลำไส้
    เวลา 1.18.53 วิเคราะห์ปัญหาตาหู
    เวลา 1.20.53 วิเคราะห์แผล ฝี หนอง ต่าง ๆ
    เวลา 1.21.03 วิเคราะห์กระดูกพรุน
    เวลา 1.31.26 วิเคราะห์วัยทอง
    เวลา 1.40.13 วิเคราะห์โรคติดเชื้อต่าง ๆ

     
  2. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ::ยา 9 เม็ด::

    หมอเขียวได้แนะนำวิธีดูแลสุขภาพตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ
    เพื่อควบคุมการป้องกันโรคและบำบัดบรรเทาโรค ตลอดจนฟื้นฟูสุขภาพ
    ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังรวม เรียกว่า ยา 9 เม็ด คือการปฎิบัติ 9 ข้อ
    โดยไม่ต้องกินยาฝรั่ง เป็นตำรับที่ใช้ในการเข้าค่ายสุขภาพกับหมอเขียว
    ที่เปิดอบรมทุกเดือน คุณอาจเลือกทำเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆข้อ
    รวมกัน แล้วแต่สภาพร่างกายหรือการทุเลาเบาบางของความเจ็บป่วย
    ในแต่ละคนเป็นตัวชี้วัด ที่เกิดสภาพพลังชีวิต ความสบาย เบากาย มีกำลัง

    ยาเม็ดที่ 1…ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือ คลอโรฟิลด์สดจากธรรมชาติ
    เป็นน้ำสมุนไพรจากพืชผักพื้นบ้านหาง่าย ใช้ดื่มเพื่อปรับสมดุล
    โดยดื่มก่อนอาหาร หรือ ตอนท้องว่าง หรือดื่มแทนน้ำ ประกอบไปด้วย
    ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ ใบเตย 1-3ใบ บัวบก ½-1 กำมือ
    หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น ใบอ่อมแซบ 1/2-1 กำมือ ผักบุ้ง ½-1 กำมือ
    ใบเสลดพังพอน ½-1 กำมือ หยวกกล้วย ½-1 คืบ ว่านกาบหอย 3-5 ใบ
    ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน โขลกหรือปั่นให้ละเอียด
    ผสมน้ำเปล่า หรือน้ำมะพร้าว 1-3 แก้ว ดื่มให้กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืน
    เป็นที่ตั้ง

    ยาเม็ดที่ 2…กัวซาหรือการขูดพิษ เป็นการบำบัดอาการด้วยการขูดพิษออกจากร่างกาย
    เป็นการระบายพลังงานที่เป็นพิษจากเลือด
    ด้วยการกระตุ้นให้เคลือนมาระบายพิษออกทางผิวหนัง บรรเทาอาการ
    ไม่สบายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการกัวซาเป็นการแพทย์ที่พบในแถบ
    เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในชาวจีน พม่า ลาว เวียตนาม กัมพูชา
    มาเลเซีย และชาวไทยภูเขาบางกลุ่ม ควรทำในที่อากาศโปร่ง
    ใช้ไม้กัวซาที่ทำเป็นการเฉพาะ และทาผิวหนังด้วยขี้ผึ้งย่านางหรือ
    น้ำมันเขียวเสียก่อน สามารถทำได้ทั้งบริเวณศรีษะ ใบหน้า
    แขน ขา มือ สะโพก และที่เน้นที่สุดคือแผ่นหลัง

    ยาเม็ดที่ 3…การทำดีท๊อกซ์ สวนล้างลำไส้ใหญ่เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย จากน้ำดีท๊อกซ์ที่ทำจากสมุนไพร

    ยาเม็ดที่ 4…แช่มือเท้าในน้ำสมุนไพร ใช้สมุนไพร
    ฤทธิ์เย็น ½-1 กำมือ เช่น ใบเตย อ่อมแซ่บ ผักบุ้ง ย่านาง รางจืด
    ใบมะขาม ใบส้มป่อย กาบ หรือใบหยวกกล้วย ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง
    หรือหลายชนิด ต้มกับน้ำหนึ่งลิตรเดือด 5-10 นาที ผสมน้ำให้พอ
    อุ่นสบาย แช่มือเท้าพอให้ท่วม 3 นาที
    ยกขึ้น 1 นาที ทำซ้ำ 3 รอบ จนสบาย แต่หากไม่สบายให้หยุด

    ยาเม็ดที่ 5…พอกสมุนไพร ใช้กากสมุนไพรฤทธิ์เย็นกับผงถ่าน
    ที่ใช้หุงข้าวบดให้ละเอียด ผสมดินสอพอง ในบางรายที่ศรัทธาอาจผสมน้ำ
    ปัสสาวะ แล้วพอกทาทิ้งไว้ทั้งคืน ในบางรายหากไม่สบายให้เปลี่ยน
    เป็นสมุนไ พรฤทธิ์ร้อนแทน

    ยาเม็ดที่ 6…ออกกำลังกาย ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นกดจุดลมปราณ
    ฝึกกายบริหารที่ถูกต้อง ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
    รวมถึงการฝึกโยคะอย่างถูกวิธี

    ยาเม็ดที่ 7…กินอาหารปรับสมดุล เช่นผักผลไม้ไม่หวานจัด
    โปรตีนจากถั่วหรือปลา ปรุงอาหารด้วยการต้มนึ่ง ไม่ปรุงรสจัด
    งดของหวานจัด น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ของเค็มจัด
    หมักดอง ปลาร้า เนื้อเค็ม ไข่เค็ม ผงชูรส หาไม่จะทำให้ภูมิต้านทานลด
    ความดันสูง ไตเสื่อม งดอาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ไขมันสูง หมู วัว ควาย ไก่
    อาหารกระป๋องต่างๆ ฝึกเคี้ยวช้าๆ ละเอียดก่อนกลืน กินผลไม้ฤทธิ์เย็น
    เช่น กล้วยน้ำว้า แก้วมังกร สับปะรด กระท้อน ชมพู่ มังคุด แตงไทย
    แตงโม แคนตาลูป มะม่วงดิบ มะขามดิบ มะละกอห่าม

    ให้งด ผลไม้ฤทธิ์ร้อน เช่น ทุเรียน ขนุนสุก มะม่วงสุก กล้วยไข่
    กล้วยหอม ลิ้นจี่ ลำไย เงาะ มะปราง มะตูม ส้มเขียวหวาน สละ
    องุ่น ฝรั่ง น้อยหน่า ละมุด ลองกอง รวมทั้งผลไม้ที่ผ่านความร้อน
    ปิ้ง ย่าง อบ
    เลือกผักสดฤทธิ์เย็น เช่น อ่อมแซ่บ ผักบุ้ง แตง กวางตุ้ง สายบัว
    ผักกาดฮ่องเต ผักกาดขาว ผักกาดหอม ถั่วงอก บัวบก
    มะเขือเปราะ มะเขือลาย มะเขือยาว มะเขือเทศ ใบมะยม ข้าวเจ้า ข้าวกล้อง

    งดผักฤทธิ์ร้อน คือ ผักรสเผ็ดทุกชนิด ชะอม คะน้า กะหล่ำปลี แครอต
    บีทรูท ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง กะเฉด กระถิน โสมจีน โสมเกาหลี
    ผักกาดเขียวปลี ใบยอ หน่อไม้ เม็ดบัว พืชกลิ่นฉุน ข้าวเหนียว
    ข้าวแดง ข้าวดำ

    กินถั่วต้ม ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ขาว ลูกเดือย
    กินข้าวต้มถอนพิษร้อนกับผัดผักด้วยน้ำในมื้อเย็น งดอาหารไขมันสูง เนื้อ นม ไข่ ถั่วลิสงถั่วดำ
    ถั่วทอด เห็ดหอม เห็ดหลินจือ

    ยาเม็ดที่ 8….ใช้ธรรมะผ่อนคลายความเครียดหลีกเลี่ยงอารมณ์เป็นพิษที่ทำลายสุขภาพ
    ได้แก่ความเครียด ความเร่งรีบ เร่งร้อน ความวิตกกังวล
    ไม่พอใจ มุ่งร้าย อาฆาต พยาบาท โลภ โกรธ หลง ยึดมั่นถือมั่น เอาแต่ใจ

    ยาเม็ดที่ 9…รู้เพียรรู้พักให้พอดี (หลักพอมี พอกิน เหลือก็แจกจ่าย จำหน่าย)


    ติดตามความเคลื่อนไหว แพทย์แผนวิถีพุทธได้ที่ https://th-th.facebook.com/morkeawfansclub
    เวบไซต์ : http://morkeaw.net
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2014
  3. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    ..วิเคราะห์สาเหตุของการเกิดโรคความดัน เบาหวาน..

    โรคความดัน เบาหวาน ไขมัน เกิดจากอะไร เรามีคำตอบ
    จากการบรรยายสุขภาพ ณ.ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนว
    เศรษฐพอ
    <wbr>­เพียง สวนป่านาบุญ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร


    <iframe src="//www.youtube.com/embed/u7OdbW0j9Oc?feature=player_detailpage" allowfullscreen="" frameborder="0" height="360" width="640"></iframe>

    มาดูกลไกทางวิทยาศาสตร์และพ<wbr>ุทธศาสตร์ สังเคราะห์รวมกัน เพื่อที่จะเข้าใจความจริงขอ<wbr>งโรคภัยไข้เจ็บให้ชัดยิ่งขึ<wbr>้นนะครับ
    จากนั้นช่วงท้ายไม่แน่ใจว่า<wbr>จะทันไหม ถ้าทันก็จะวิเคราะห์พฤติกรร<wbr>มร้อน พฤติกรรมเย็น โดยแยก พฤติกรรมร้อน พฤติกรรมเย็น
    แล้วก็รวมไปเป็นสูตรสรุปให้<wbr>ฟังกัน เอาเป็นว่าช่วงนี้เรามาวิเค<wbr>ราะห์เป็นโรคๆ ที่สำคัญ ดังนี้
    ความดันโลหิตสูง เกิดจากมีพิษข้อใดข้อหนึ่งใ<wbr>น ๙ ข้อนั้นเข้าไปในร่างกายของเ<wbr>รา เมื่อเข้าไปในชีวิตของเรา
    ทำให้จิตวิญญาณสั่งประสาทอั<wbr>ตโนมัติ ไขสันหลังให้เบ่งตัว บีบเอาพิษออก โดยเฉพาะพิษนั้นมันตกค้างอย<wbr>ู่ที่หัวใจและหลอดเลือดมาก
    จิตวิญญาณเป็นตัวสัญญา สั่งให้หัวใจบีบตัวแรงเพื่อ<wbr>ขับพิษออกไป เมื่อหัวใจบีบตัวแรง ความดันโลหิตก็จะขึ้น นี่คือความดันโลหิตสูง
    เมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นมา<wbr>กๆ เส้นเลือดในสมองก็แตกได้ อาจเป็นอันตรายอีกหลายอย่าง<wbr>นะครับ
    แล้วจะรักษาแบบแพทย์วิถีธรร<wbr>ม ทำอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่าดับทุกข์<wbr>ให้ ดับที่เหตุ ดับเหตุแห่งทุกข์
    ทุกข์ดับเกิดสุขขึ้น เพราะฉะนั้น ต้นเหตุคือ มีพิษ เราก็ต้องระบายพิษออกซะ แล้วใส่สิ่งที่สมดุลร้อน เย็นเข้าไป
    เมื่อเราระบายพิษออกด้วยวิธี ๙ ข้อ ยา ๙ เม็ดครับ ร่างกายเราก็ไม่มีพิษต้องบี<wbr>บ ออก จิตวิญญาณจะสั่งให้หัวใจของ<wbr>เรานั้น
    คลายตัว เพราะไม่ต้องบีบเอาพิษออกแล้ว ทำให้ความดันลดลง เค้าก็บีบตัวแค่เอาเลือดไปเ<wbr>ลี้ยงร่างกายเท่านั้น
    เพราะจิตเค้ารู้ว่าจะเอาเลื<wbr>อดไปเลี้ยงเท่าไหร่อย่างไร เมื่อความดันโลหิตลดลง ก็หายไปจากโรคความดันโลหิตสูงได้
    นี่คือความดันก็เป็นเช่นนี้<wbr>นะครับ ก็รักษาไม่ยากอะไร
    คนจำนวนมากของเราจึงหยุดยาค<wbr>วามดันโลหิตสูงได้นะครับ ในการกินยาเป็นไง
    วิเคราะห์นิดหนึ่ง การกินยา ยาก็ไปสั่งหัวใจ สั่งระบบประสาท สั่งหัวใจอย่าบีบตัวแรง อยากบีบเอาพิษออก
    ตกลงหัวใจก็ไม่บีบตัว เอาพิษออก ก็บีบตัวแค่พอดี กดหัวใจไว้ เสร็จแล้วพอพิษมากเข้าๆๆ เป็นไง ร่างกายทนไม่ได้ ชีวิตทนไม่ได้
    พอทนไม่ได้ สั่งหัวใจบีบตัวเลย ไม่ต้องไปฟังยา บีบตัวแรงๆเลย เราจะตายอยู่แล้ว พิษเต็มไปหมดอยู่แล้ว ก็สั่งให้หัวใจบีบตัวแรงๆ
    พอสั่งให้หัวใจบีบตัวแรงควา<wbr>มดันก็ขึ้นอีก ยาก็เอาไม่อยู่ หมอก็เปลี่ยนยาตัวใหม่แรงกว่าเดิม กดหัวใจ แรงกว่าเดิม
    แต่ต้นเหตุไม่แก้หรอก กดหัวใจแรงกว่าเดิมอีก ก็หยุดได้สักพักหนึ่ง
    แต่ใส่พิษเข้าไปเรื่อยๆ ความเครียด อาหารรสจัด อาหารเนื้อสัตว์ และ มลพิษต่างๆ ใส่เข้าไปไม่รู้จบ
    ไม่รู้แล้ว ใส่เข้าไปมากเข้าๆ ชีวิตทนไม่ได้ จิตวิญญาณสั่งเลย หัวใจบีบตัวแรงๆอย่าไปฟังยา<wbr> บีบเอาพิษออกเลย
    เราจะตายแล้วก็ทำอยู่อย่างนี้แหละ หมอก็เปลี่ยนยาไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย ไม่มียาตัวไหนเอาอยู่
    ความดันขึ้น เส้นเลือดในสมองแตกตาย กินไปรอให้เส้นเลือดในสมองแ<wbr>ตกตาย เท่านั้นจริงๆ
    ไตวายอย่างนี้เป็นต้น กินไปมากๆ สารพิษก็ไม่ได้แก้ ยาก็เป็นพิษ ทำลายสมอง ทำลายประสาท ไต หัวใจ ทำลายไต
    พังหมด สุดท้ายไตวายอีก ทำลายไต ก็ไตวาย เพราะว่ายาเป็นเคมีทำลายไตอ<wbr>ยู่แล้ว เคมีเหล่านั้นพิษเดิมก็ทำลา<wbr>ยไตอยู่แล้ว
    เคมีก็ทำลายไตเสร็จแล้วก็รว<wbr>มกัน ไปทำลายไต ไตก็วาย ก็ฟอกไต ก็เท่านั้นเอง ฟอกไตบ้าง เส้นเลือดในสมองแตกตายบ้าง
    มีโรคแทรกซ้อนเยอะแยะต่างๆบ้าง การที่ไม่ดับทุกข์ที่ต้นเหต<wbr>ุทุกข์ไม่มีวันดับ พระพุทธเจ้ายืนยันเลยว่าดับ<wbr>ทุกข์ นั้น
    เอเสมะวะโคทันโย ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นไม่มีที่จะพาให้พ้นทุกข์ คือ สัมมาอารยมรรคมีองค์ ๘ เป็นอริยสัจ ๔
    ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ รู้ว่าดับทุกข์ต้องดับที่เห<wbr>ตุ อื่นจากนี้ไม่มี ท่านตรัสอย่างนี้เลย ถ้าไม่ดับที่เหตุ ทุกข์ก็ไม่ดับ
    เอ้าจบไปเรื่องความดันโลหิต<wbr>สูง
    .........

    ++++++++++++++++++++++++++++
    หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง
    ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

    ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
    [​IMG]
    ภาพประกอบจากเวบไซต์

    1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน
    จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล (1 ,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่า
    ไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษา แล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบ
    เซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่ มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

    2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
    3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
    4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยว กับโภชนาการ
    ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต


    5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหาร
    รวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

    6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่าง รวดเร็ว
    แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไข กระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ
    และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูก ทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

    7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ
    8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำ
    ไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

    9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิ คุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้
    หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตก อยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

    10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย
    การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่าง กาย

    11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

    อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
    a. น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้ กับเซลมะเร็ง
    สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น "" นิวตร้าสวีต "" "" อีควล "" "" สปูนฟูล "" ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน
    ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดี กว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย
    แต่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น (คนที่เป็นเบาหวานอยู่ด้วย ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ) เกลือสำเร็จ รูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว
    ควรหันไปเลือกใช้ "" แบรก อมิโน "" หรือเกลือทะเลแทน (คนที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงอยู่ด้วย ก็ต้อง ระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน)

    b. นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะ ได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก
    การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะ ทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

    c. เซลมะเร็งเติบโตได้ดีในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะ กรดขึ้น
    ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือ รับประทานไก่แทนเนื้อ และหมู ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ
    ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อ ปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง


    d. อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย
    จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว
    น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่ายและซึมซาบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริม
    การเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด ( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน)
    และรับประทานผักสด ดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F (ประมาณ 40 องศาC)

    e. ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช้อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้าน มะเร็ง
    น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีก เลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง



    12. โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการ ย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบ
    ทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและ มีความเป็นพิษมากขึ้น


    13. ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อย ลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอ
    มาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซล มะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น


    14. สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence
    สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน, เกลือแร่, EFAs ฯลฯ) เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
    สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล
    ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการ กำจัดเซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป


    15. มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจาก
    การทำสงครามกับมะเร็ง.... ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียด
    และมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต


    16. เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก การออก กำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆ
    จะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล การบำบัดด้วยอ๊อก ซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

    ที่มา : http://www.oknation.net/blog/lukyim/2010/07/17/entry-1
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2014
  4. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    กรณี ศึกษาผู้ปฏิบัติตามหลักแพทย์ทางเลือกแพทย์วิถีธรรมแล้วหายจากโรคร้าย

    <iframe src="//www.youtube.com/embed/yE6M7gAELPQ?feature=player_detailpage" allowfullscreen="" frameborder="0" height="360" width="640"></iframe>

    คุณตั้ม กรณีศึกษา ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ผ่านการฉายรังสีมา 25 ครั้ง
    คีโม 12 ครั้ง ครั้งละ 2 วันในช่วงฉายรังสีนั้นได้เพยายาม ทานน้ำเขียว(ใบย่านาง) ซึ่งอาจเป็นที่มาที่ว่า ไม่ค่อยแพ้ การทำคีโม

    <iframe src="//www.youtube.com/embed/Ip3gOY3maBA?feature=player_detailpage" allowfullscreen="" frameborder="0" height="360" width="640"></iframe>
    พันจ่าเอกหญิงสุกานดา ศรีเชื้อ อำเภอสัตหีบ ชลบุรี เป็นทหารเรือ ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะที่ 4
    มะเร็งลามสู่ตับ ต่อมน้ำเหลือง และกระดูก

    <iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/SY7VV-x05tg?feature=player_detailpage" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    คุณมด มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    ชื่อยุวดี นโมชัยยากร ชื่อเล่นชื่อมด เป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง หมอโรงพยาบาลที่อเมริกาบอกว่ามีเวลาไม่เกิ­น 6 เดือน
    มีเหตุให้ต้องตัดกระเพาะอาหารและม้ามทั้งห­มดไม่มีเหลือ เป็นคนไม่มีทั้งม้ามและกระเพาะอาหาร เป็นไมเกรน เลือดจาง
    จนกระทั่งมาตรวจเจอว่าเป็นเนื้องอกที่มดลู­ก ตัดทั้งมดลูก ปีกมดลูกและรังไข่ หลังจากตัดมดลูกทำให้กลายเป็นคนกระดูกผุ
    หลังเข้าค่ายวันที่ 2 ที่ดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ทำให้เธอต้องประหลาดใ­จ ว่าอาการที่ไม่สบาย ที่เคยเป็นไม่เป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...