กว่าจะได้เป็น "พระพุทธเจ้า" : หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 16 พฤศจิกายน 2014.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    กัปหนึ่ง ๆ พระพุทธเจ้าดูว่าอย่างน้อย เคยอ่านในตำราตั้งแต่ ๑ องค์ ๒ องค์ละ อย่างกัปธรรมดา ถ้าเป็นภัทรกัปก็มีพระพุทธเจ้าหลายองค์ เช่น ภัทรกัปเรานี้ก็มีพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ ทีนี้เวลามาตรัสรู้ก็วางระยะกันห่าง ๆ ระยะห่างนี้เรียกว่า พุทธันดร พุทธันดร คือระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ องค์นี้มาแล้ว เป็นระหว่าง แล้วองค์นี้มา ๆ พอหมดกัปนี้ไปแล้ว นั่นเป็นสุญญกัป กัปนี้ต่อกัปนั้นยังไม่มีพระพุทธเจ้าแหละ วางระยะนี้เรียกว่าสุญญกัป สัตวโลกไม่มีความหมายอันใดเลย เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วโลกธาตุ ตอนนี้ร้อนมากที่สุด

    พอพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็เป็นน้ำดับไฟขึ้นมา เป็นระยะ ๆ อย่างนั้น เป็นมาอย่างนี้ตลอดกี่กัปกี่กัลป์ ฟังว่ากัป กัปหนึ่ง ๆ นานเท่าไร แล้วกี่กัปกี่กัลป์มาแล้วท่านตรัสรู้เรื่อยมาอย่างนี้เรื่อย ๆ แล้วยังจะเรื่อยไปอีก ต้นไม่มี ปลายไม่มี ตรัสรู้ไปเรื่อย เหมือนกิเลสไม่มีต้นมีปลาย ธรรมะก็มี เป็นแต่เพียงว่าเป็นระยะ ๆ หากไม่มีต้นมีปลาย ตรัสรู้เรื่อย ๆ

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมีมากต่อมาก เรานับคนเดียวนี่ ๑ , ๒ ,๓ อย่างนี้จนกระทั่งถึงวันตาย
    จะให้ครบพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้นี้ไม่มีทาง มากขนาดนั้นละ เพราะกี่กัปกี่กัลป์ นานสักเท่าไร อุบัติเรื่อยพระพุทธเจ้า

    ถึงจะห่างก็ตามก็อุบัติอยู่เรื่อย ๆ อย่างนั้น ๑ กับ ๒ กับ ๓ เข้าไปก็ ๔ , ๕ เข้าไปล่ะซี ก็มากขึ้น ๆ เรื่องพระพุทธเจ้า เราอ่านสวดมนต์นั่นแหละ อ่านไป ๆ เขาเขียนฟุตโน้ทไว้ข้างล่าง วงเล็บเอาไว้ พวกเขาพิมพ์เองแล้วก็มาเขียนฟุตโน้ทไว้ว่า สมฺพุทฺเธ อฏฺฐวีสญฺจ ทฺวาทสญฺจ สหสฺสเก ฯ นี้ละ จากนั้นก็ สมฺพุทฺเธ ปญฺจปญฺญาสญฺจ ฯ เรื่อยไปถึง สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเตฯ คือกราบไหว้พระพุทธเจ้าเท่านั้นพระองค์ เท่านี้พระองค์ ขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าเป็น ๒ ล้าน ๓ ล้านพระองค์ขึ้นไป
    พอจบลงแล้วเขาเขียนไว้ข้างล่าง เรียกว่าเหมือนว่ากลืนไม่ลง เหลือเชื่อ เราดูแล้วเราสลดสังเวช

    นี่ละคนตาบอดเขียนธรรมพระพุทธเจ้า ก็มาเอามูตรเอาคูถทาศาสนาไว้ ว่าเหลือเชื่อนั่นละคือมูตรคือคูถ โปะความจริงของศาสนาไว้ มาว่าอะไรล้าน ๆ พระพุทธเจ้า ว่ากี่แสนล้าน ๆ เท่านั้นไม่คำนวณได้เลย มากขนาดนั้นนะพระพุทธเจ้า นี้คือหลักความจริง ให้พากันจำเอาไว้นะ

    อะไรจะมากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ตั้งกัปตั้งกัลป์มีอยู่ตลอด ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่ก็พระพุทธเจ้าของเรา ออกจากนี้ก็พระอริยเมตไตรย์ ผิดไปตรงไหน เล็งญาณตลอดทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว ถึงระยะนั้นจะมาอย่างนั้น ตามที่พระญาณหยั่งทราบตลอดไม่มีคลาดเคลื่อนเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ คือพระพุทธเจ้าเรา เช่นอย่างเวลาท่านเสด็จลงมาจากชั้นดาวดึงส์นี้ สัตวโลกปรารถนาพุทธภูมินี้ โถ ไม่ใช่น้อย ๆ นะ เป็นล้าน ๆ ล้าน ๆ ปรารถนาพุทธภูมิ เห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าเลยปรารถนาพุทธภูมิ ทีนี้ท่านก็สรุปลงไว้ ที่ปรารถนามาก ๆ นี้ สักจำนวนเท่านี้จะได้สักคนหรือสองคนก็ไม่ทราบแหละ

    ฟังซิ มันยากไหมปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นล้าน ๆ จะได้สักคนสองคนก็นับว่ามาก นั่นเห็นไหม ความยากของความเป็นศาสดา ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ายากลำบากขนาดไหน มีอยู่ ๓ ประเภท ประเภทที่หนึ่ง ปรารถนามา ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป อันดับที่สอง ๘ อสงไขยแสนมหากัป สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในขั้นที่สอง ขั้นที่สาม ๔ อสงไขยแสนมหากัป เช่นพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขยแสนมหากัปเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา นานไหม
    กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้ายากขนาดไหน เพราะฉะนั้นมันถึงเล็ดลอดไปไม่ได้ จะให้เป็นไปตามความปรารถนามันไม่สำเร็จ

    ทีนี้เมื่อท่านสำเร็จขึ้นมาแล้วเล็งญาณดู ใครปรารถนาเป็นพุทธภูมิจะสำเร็จไม่สำเร็จนี้ ถ้าท่านทำนายแล้วนั่นละยังไงก็ลบไม่สูญ เช่น นาย ก. ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทำนายแล้วว่า นาย ก.นี้ ถึงภัทรกัปนั้นจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น อัครสาวกข้างซ้าย ชื่ออย่างนั้น ข้างขวาชื่ออย่างนั้น อย่างนี้แล้วแก้ไม่ตก ต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

    ถ้าลงพระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้วไม่มีทางแก้ตกแหละ พลิกไม่ได้เลย
    ถ้ายังไม่ทรงทำนายเปลี่ยนก็ได้ เช่น เป็นพุทธภูมิมาปรารถนาเป็นสาวกภูมิเป็นสาวกก็ได้อยู่ ถ้าลงได้ทำนายแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งทำนายแล้วว่า ถึงระยะนั้น ๆ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น อัครสาวกข้างซ้ายชื่อว่าอย่างนั้น ข้างขวาชื่อว่าอย่างนั้นแล้ว แล้วอย่างไรก็ลบไม่สูญ อันนี้จะต้องถึงจุดเลย นี่เรียกว่า ลัทธพยากรณ์

    ที่พระพุทธเจ้าทรงทำนายแล้วเป็นอันว่าตายตัวเลยไม่เป็นอย่างอื่น คือเล็งตามความจริงของผู้นี้จะไปอย่างนั้นแล้ว ถึงจุดนั้นแน่ บอกตามนั้น ถ้าไปจะล้มละลายก็ยังไม่ทำนาย ถ้ารายใดได้ทำนายแล้วต้องได้เป็นแน่นอน

    พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงหลวงปู่มั่นเรา ท่านภาวนาพอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร ประหวัดถึงพุทธภูมิแย็บเข้ามาแล้วถอยเสีย ว่างั้นนะ พอจิตจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร ประหวัดถึงพุทธภูมิ ที่ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่ก่อนท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้ความอยากพ้นทุกข์ก็อยากเป็นกำลัง เร่งความเพียรเข้าไปพอถึงจุดจะเข้าด้ายเข้าเข็มที่จะเข้าหลักเข้าเกณฑ์ เรื่องของพุทธภูมิก็แทรกเข้ามาก็ถอยเสีย ๆ ท่านว่าอย่างนั้น

    ทีนี้เวลาความอยากพ้นทุกข์เต็มกำลังหนามากขึ้นทุกวัน ๆ ก็เลยมาประมวล

    การเป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาสอนโลกก็ทำประโยชน์ได้มากมายนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลก สำหรับความบริสุทธิ์แล้ว เป็นพระพุทธเจ้ากับสาวก ก็สิ้นทุกข์ถึงพระนิพพานได้ด้วยกัน เราขอถอนตัวจากความเป็นพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นสาวกอรหันต์ ท่านขอถอนตัวในจิตของท่านเอง นี่คือยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พอถอนตัวนี้จิตก็พุ่งเลย หายห่วง

    ที่ปรารถนาพุทธภูมิพอแทรกเข้ามาปั๊บแต่ก่อนถอย ๆ จิตถอย ๆ ทีนี้แทรกมาก็ไม่ถอย ปล่อยเลย นั่นท่านว่างั้น เห็นไหมล่ะ เพราะฉะนั้นลวดลายของศาสดาท่านจึงยังมี ความรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง โห พิสดารมากทีเดียว ความรู้พวกเปรตพวกผี สัตว์นรกอเวจีอะไรไม่ต้องพูด ท่านแจ่มแจ้งหมด นี่ละลวดลายของพุทธภูมิยังมีอยู่ แม้จะพลิกตัวมาเป็นสาวกแล้วก็ตาม ลวดลายของศาสดายังมี

    นี่ที่ว่าธรรม คือธรรมนั้นเป็นของจริงล้วน ๆ เลย กิเลสแล้วปลอมล้วน ๆ เท่ากันเลย กิเลสปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมก็จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่พระพุทธเจ้ามาตรัสสอนโลก ทรงเล็งญาณรอบเรียบร้อยแล้วจึงไม่มีผิด ว่าอะไร ๆ ไม่ผิดเลย เพราะทรงเล็งดูเรียบร้อยแล้ว นี่เรียกว่าของจริง ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น ท่านจึงให้นามว่า เอกนามกึ แปลว่า หนึ่งไม่มีสอง

    คือพระพุทธเจ้าจะอุบัติครั้งละองค์เท่านั้นไม่มีสอง เพราะความเป็นพระพุทธเจ้านี้เป็นได้ยากแสนสาหัส จะเป็นได้ทีละพระองค์เท่านั้นก็ลำบากแสนสาหัสแล้ว นี่หนึ่ง ๒.พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง ลงได้หยั่งทราบทำนายอะไรแล้วต้องเป็นอย่างนั้นเลย นี่ก็เรียกว่า หนึ่งไม่มีสองเป็นคู่แข่ง แล้วธรรมที่ตรัสแสดงออกมานี้ก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ดีเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง สมบูรณ์พูนผลต่อมรรคผลนิพพาน สมบูรณ์แบบทุกอย่าง นี่ ๓ ประเภท

    ประเภทที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าอุบัติได้ทีละองค์เท่านั้น

    ประเภทที่สอง พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์แม่นยำหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีอะไรเป็นคู่แข่ง

    ประเภทที่สาม สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้นี้ ตรัสไว้ชอบทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่มีที่จะต่อจะเติมที่ตรงไหนอีกแล้ว สมบูรณ์พูนผล ๓ ประการนี้เรียกว่า เอกนาม หนึ่งไม่มีสอง


    https://www.facebook.com/groups/226951157350091/permalink/877418328970034/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2014
  2. ker-kanok

    ker-kanok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +95
    หลวงพ่ออธิบายพระธรรมได้เพราะลึกซึ้งเข้าใจได้แท้ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  3. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    อนุโมทนาด้วยครับ ที่นำคำสอนดีๆมาให้อ่าน สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...