กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติภาคใต้ รวมพลังทำความดี

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ๑กุหว่าใจ๋๑, 6 มกราคม 2009.

  1. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ..........................................

    โมทนาสาธุกับน้องหูกางครับ
     
  2. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    วันที่ ๑๕ ก.ค.๒๕๕๓ ได้เดินทางไปช่วยงานทอดผ้าป่าทัพเรือภาค ๒ มีชุดแพทย์เคลื่อนที่บริการประชาชน จัดชุดตัดผมฟรีบริการกับเด็กนักเรียน ที่วัดเขาขุนพนมนครศรีธรรมราช ได้ลงไปกราบพระใหญ่ในถ้ำตากฟ้า ๓ องค์ พวกเรามาร่วมโมทนาบุญกันครับ ใครมีธุระที่นครศรีธรรมราช เชิญแวะทำบุญกันอาจารย์อำนวยสร้างพระใหญ่และพระอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินกันได้ครับ ที่ถ้ำตากฟ้าท่านพระอาจารย์อำนวยจะปรับพื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอีกแห่งต่อไปครับ จึงแจ้งข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG0243A.jpg
      IMG0243A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.7 KB
      เปิดดู:
      88
    • IMG0251A.jpg
      IMG0251A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.9 KB
      เปิดดู:
      91
    • IMG0253A.jpg
      IMG0253A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.9 KB
      เปิดดู:
      78
    • IMG0254A.jpg
      IMG0254A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.4 KB
      เปิดดู:
      72
    • IMG0255A.jpg
      IMG0255A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      82
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2010
  3. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ๑๖-๑๗ ก.ค.๒๕๕๓ ได้ไปดูความก้าวหน้าการสร้างวิหารจุฬามณีปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์ธรรมเจริญคาดว่าภายในปีนี้สำเร็จปีหน้านั่งปฏิบัติกันได้เต็มรูปแบบ ได้ถือโอกาสนำต้นกล้าผลไม้ขึ้นไปปลูกบนเขาเพื่อจะได้รับประทานกันในภาวะฉุกเฉิน ข้างบนเขานี้จะมีฝายทดน้ำหลายชั้นและบ่อน้ำมนต์เก็บกักน้ำไว้หุงต้มเมื่อถึงหน้าแล้ง เป็นฝายหินผสมปูน และสร้างสวนผลไม้รวม สร้างสวนผลไม้แต่ไม่คิดจะขายผล ก็แปลกดีนะ หรือบ้าตามประสาของผมนะ ใครจะนำไปเป็นแบบก็ได้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG0262A.jpg
      IMG0262A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.5 KB
      เปิดดู:
      72
    • IMG0204A.jpg
      IMG0204A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11 KB
      เปิดดู:
      78
    • IMG0206A.jpg
      IMG0206A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.9 KB
      เปิดดู:
      73
    • IMG0282A.jpg
      IMG0282A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      81.4 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2010
  4. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ๑๖-๑๘ ก.ค.๒๕๕๓
    ความก้าวหน้าในการสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมของกลุ่มภาคใต้ ที่ สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ ช่างกำลังเร่งดำเนินการกันอยู่ครับ เดือนนี้สร้างเจดีย์องค์กลางให้เสร็จ เดือนหน้า ส.ค.๕๓ เตรียมสร้างฝาผหนังพร้อมขัดเหล็กปูพื้นชั้นล้างรองรับงานผ้าป่าเดือน ต.ค.๕๓ จะดำเนินการทอดผ้าป่าสร้างพระวิสุทธิเทพพร้อมวิหารแก้ว เพื่อนำปัจจัยเร่งสร้างให้เสร็จภายในปีนี้ครับ ใครจะมาร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน (พระวิสุทธิเทพ) ติดต่อได้ที่เบอร์นี้ครับ โทร. ๐๘๙ - ๗๔๘๙๔๔๖ โมทนาทุกประการครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG0207A.jpg
      IMG0207A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8 KB
      เปิดดู:
      77
    • IMG0272A.jpg
      IMG0272A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.2 KB
      เปิดดู:
      111
    • IMG0274A.jpg
      IMG0274A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.5 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2010
  5. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    <TABLE id=post3596495 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ปุณกะ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3596495", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2007
    ข้อความ: 178
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 947
    ได้รับอนุโมทนา 2,012 ครั้ง ใน 226 โพส
    พลังการให้คะแนน: 88 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_3596495 class=alt1><CENTER><!-- google_ad_section_start -->โครงการ ”๑ดี ๑ทำ”ถวายเพื่อพ่อหลวงของแผ่นดินไทย ๓๑-๑ ส.ค.๕๓<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ร่วมปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง ๓๑-๑ ส.ค.๕๓ ณ สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ จ.นครศรีธรรมราช<!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->"ความดีไม่มีวันสูญสลาย ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ตลอดกาลกัล์ป"<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ได้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมกับคณะปฏิบัติธรรมยับยั้งภายพิบัติเขามหาชัย นำคณะโดยอาจารย์ธฏธรรม์ ลาโสภา
    "โครงการ ๑ดี ๑ ทำ ทำความดีเพื่อในหลวง" สวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตาจิตให้กับในหลวง เมื่อ ๓๑ ก.ค.๕๓ - ๑ ส.ค.๕๓ และได้รับเชิญบรรยายความเป็นมาของสถานที่ และวัตถุประสงค์ในการสร้างวิหารแก้วพระเจดีย์จุฬามณีปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นสถานที่นั่งสมาธิแผ่เมตตาจิตช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติ ต่อด้วยอาจารย์ธฏ บรรยายข้อธรรมต่างๆ ในการปฏิบัตินั่งสมาธิและนำแผ่เมตาจิตถวายให้กับในหลวงพ่อของแผ่นดินครับ พวกเรามาร่วมโมทนาสาธุการกันครับ สาธุ

    นักศึกษาราชภัฏนครศรีธรรมราชพร้อมด้วยอาจารย์
    เข้ามาถึงวัด กวาดลานวัด เที่ยงรับประทานอาหาร ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก ตกบ่ายกางเต็นตามใจชอบครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG0356A.jpg
      IMG0356A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.1 KB
      เปิดดู:
      148
    • IMG0361A.jpg
      IMG0361A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.6 KB
      เปิดดู:
      133
    • IMG0358A.jpg
      IMG0358A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73 KB
      เปิดดู:
      130
    • IMG0370A.jpg
      IMG0370A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.4 KB
      เปิดดู:
      142
    • IMG0385A.jpg
      IMG0385A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.7 KB
      เปิดดู:
      137
    • IMG0383A.jpg
      IMG0383A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46 KB
      เปิดดู:
      145
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2010
  7. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ช่วงเย็นประมาณ 6 โมงเย็น อาจารย์ธฏนิมนต์พระอาจารย์มานะเล่าความเป็นมาของวัดแห่งนี้ครับ ต่อด้วยอาจารย์ธฎ บอกขอปฏิบัติระหว่างอยู่ในวัดในนักศึกษาทุกท่านทราบ สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG0396A.jpg
      IMG0396A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.9 KB
      เปิดดู:
      150
    • IMG0372A.jpg
      IMG0372A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.1 KB
      เปิดดู:
      167
    • IMG0399A.jpg
      IMG0399A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72 KB
      เปิดดู:
      176
    • IMG0400A.jpg
      IMG0400A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.2 KB
      เปิดดู:
      172
    • IMG0403A.jpg
      IMG0403A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45 KB
      เปิดดู:
      152
    • IMG0411A.jpg
      IMG0411A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46.4 KB
      เปิดดู:
      108
    • IMG0414A.jpg
      IMG0414A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.6 KB
      เปิดดู:
      84
    • IMG0379A.jpg
      IMG0379A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      157
    • IMG0380A.jpg
      IMG0380A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.1 KB
      เปิดดู:
      144
  8. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ภาพกิจกรรมรวม
    ช่วงค่ำมี ๒ คณะเข้ามาสมทบปฏิบัติธรรม รวมแล้วประมาณ ๕๐ กว่าดวงจิต ช่วงเช้าถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกครับ

    เรามาร่วมโมทนาสาธุการกับคณะปฏิบัติธรรมเขามหาชัยกันครับและอีก ๒ คณะที่มาสมทบ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG0391A.jpg
      IMG0391A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      117
    • IMG0409A.jpg
      IMG0409A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.4 KB
      เปิดดู:
      113
    • IMG0402A.jpg
      IMG0402A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.5 KB
      เปิดดู:
      110
    • IMG0401A.jpg
      IMG0401A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.1 KB
      เปิดดู:
      98
    • IMG0413A.jpg
      IMG0413A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      41.1 KB
      เปิดดู:
      106
    • IMG0414A.jpg
      IMG0414A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.6 KB
      เปิดดู:
      95
    • IMG0404A.jpg
      IMG0404A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.5 KB
      เปิดดู:
      115
    • IMG0417A.jpg
      IMG0417A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.3 KB
      เปิดดู:
      111
    • IMG0387A.jpg
      IMG0387A.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.2 KB
      เปิดดู:
      116
  9. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    <TABLE id=post3622078 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->titapoonyo<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3622078", true); </SCRIPT>
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2009
    สถานที่: ชัยภูมิ
    ข้อความ: 140
    Groans: 4
    Groaned at 1 Time in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 5,177
    ได้รับอนุโมทนา 1,535 ครั้ง ใน 132 โพส
    พลังการให้คะแนน: 100 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG] [​IMG]



    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_3622078 class=alt1><CENTER><!-- google_ad_section_start -->มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์..ร่วมสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ พระพุทธรูปที่สูงที่สุดในโลก<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>


    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 300x250, created 21/07/09 */google_ad_slot = "6922411748";google_ad_width = 300;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="POSITION: relative; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 300px; PADDING-RIGHT: 0px; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 250px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px"><INS style="POSITION: relative; BORDER-BOTTOM-STYLE: none; PADDING-BOTTOM: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; MARGIN: 0px; PADDING-LEFT: 0px; WIDTH: 300px; PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; BORDER-TOP-STYLE: none; HEIGHT: 250px; VISIBILITY: visible; BORDER-LEFT-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px" id=google_ads_frame1_anchor><IFRAME style="POSITION: absolute; TOP: 0px; LEFT: 0px" id=google_ads_frame1 height=250 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=250&slotname=6922411748&w=300&lmt=1281057923&flash=10.0.45.2&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff105%2F%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81.251319/&dt=1281057923687&shv=r20100728&correlator=1281057923703&frm=0&adk=3255751834&ga_vid=2041871916.1279674494&ga_sid=1281057670&ga_hid=932611640&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=420&u_his=4&u_java=1&u_h=600&u_w=800&u_ah=570&u_aw=800&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=753&bih=381&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff105%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%2F&fu=0&ifi=1&dtd=94&xpc=Ij2jIorkg0&p=http%3A//palungjit.org" frameBorder=0 width=300 allowTransparency name=google_ads_frame marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME></INS></INS>
    [​IMG]

    เรียนเชิญสาธุชนทุกท่าน
    มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธศาสนา
    ร่วมโครงการก่อสร้างพุทธสถาน
    พระใหญ่ชัยภูมิ
    พระพุทธรูปที่สูงที่สุดในโลก 199 เมตร

    ณ ทางแยกเข้าอ่างเก็บน้ำช่อระกา ถ.สายชัยภูมิ-มหาวิทยาลัยราชภัฎชัยภูมิ
    ต.นาฝาย อ.เมือง จ.ชัยภูมิ​


    [​IMG]


    พิธีเทฐานรากองค์พระใหญ่ จัดขึ้นเมื่อ
    วันเสาร์ที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เวลา ๑๒.๐๙ น.
    โครงการตั้งเป้าหมายให้เสร็จภายใน 7 ปี



    ร่วมทำบุญได้ที่
    บัญชีมูลนิธิพระใหญ่ชัยภูมิ


    - ธ.กรุงเทพ สาขาชัยภูมิ เลขที่ 30045-9999-3


    - ธ.ธนชาติ เลขที่ 641-20143-16


    - ธ.กรุงไทย สาขาหนองบัวระเหว เลขที่ 335-0-13380-0


    - ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาชัยภูมิ เลขที่ 023-1-48002-7


    - ธ.กรุงเทพ สาขาห้าแยกโนนไฮ เลขที่ 500-0-48101-9


    - ธ.กสิกรไทย สาขาชัยภูมิ เลขที่ 257-2-59288-2


    - ธ.ไทยพานิชย์ สาขาชัยภูมิ เลขที่ 600-2-32673-3


    - ธ.นครหลวงไทย สาขาชัยภูมิ เลขที่ 429-2-24180-2



    ศูนย์ประสานงานพระใหญ่ชัยภูมิ โทร 044-837153 , 083-4671765​



    ทำไมต้องสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ ?


    คณะญาติธรรมที่เคารพทุกท่านครับ เป็นที่ถกเถียงและมีข้อสงสัยหลายประการทั้งในหมู่ญาติธรรมด้วยกันเอง และสังคมโดยทั่วไปว่าทำไมจึงต้องสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ พระองค์นี้มีจุดประสงค์ มีเป้าหมายอย่างไรในการสร้างแล้วจะได้เงินมาจากไหนมากมายก่ายกองถึงปานนั้น อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ ต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง และหมู่คณะหรือไม่ หรือมีประโยชน์อะไรแอบแฝง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบที่ชัดเจนให้กับสังคม เพื่อตอบคำถามเหล่านี้แก่สังคม ทางมูลนิธิพระใหญ่ชัยภูมิจึงขออนุญาตกราบเรียนให้ทราบโดยทั่วกันดังนี้ ​



    การก่อสร้างพระใหญ่ชัยภูมิที่กำลังอยู่ในกระแสความสนใจของชาวพุทธทั้งประเทศ ในขณะนี้นั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนอยากรู้กันมากว่าสร้างเพื่ออะไร เพราะหากสร้างเสร็จสมบูรณ์องค์ท่านจะกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วยความสูงถึง 199 เมตร ยังไม่นับรวมฐานซึ่งมีความสูงไม่น้อยกว่า 30 เมตร และยังมีสิ่งก่อสร้างอื่นประกอบอีกหลายอย่าง เช่น สังเวชนีสถาน 4 ตำบล คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและปรินิพพาน ​


    หากเสร็จสมบูรณ์บารมีองค์ท่านจะยิ่งใหญ่สักปานไหนไม่อาจคาดคะเนได้และจะเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อทุกจิตวิญญาณทุกภพทุกภูมิที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้างและร่วมอนุโมทนา ​



    การก่อสร้างนั้นจำเป็นต้องใช้ปัจจัยเป็นจำนวนมากมายมหาศาลทั้งกำลังเงิน แรงงาน กำลังสติปัญญาของวิศวกร ระยะเวลาในการก่อสร้างและอื่นๆ อีกมากมาย ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ จากชาวพุทธทั้งโลกมาช่วยกัน ต้องอาศัยแรงศรัทธาอย่างแรงกล้าของพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า ไม่เฉพาะพลังของมวลมนุษย์เท่านั้น ยังต้องมีพลังแห่งทวยเทพทุกชั้นฟ้า ลงมาร่วมด้วยจึงจะสำเร็จได้ มนุษย์ต้องทำงานร่วมกับเทพ พรหม ​



    ในการดำเนินการก่อสร้างครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อผู้หนึ่งผู้ใดมิได้ทำเพื่อใคร หรือกลุ่มใดจะมีชื่อเสียง แต่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติทั้งโลก จะได้อยู่เย็นเป็นสุขไปชั่วกาลนาน รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ที่มนุษย์ไม่อาจเป็นผู้ควบคุมและกำหนดได้ด้วยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ใดๆ นั่นคือภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเองที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติทุกคน ​


    อาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ ท่านได้มองเห็นด้วยญาณว่า จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้ ท่านเห็นอะไรบ้างในอนาคตที่มวลมนุษย์และสรรพสัตว์จะต้องประสบไม่ว่าจะยากดีมีจน ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกัน ในญาณของอาจารย์ทิพากร รินไธสงค์ ท่านเห็นว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วจะเกิดภัยพิบัติหลายอย่างบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะภัยพิบัติจากธรรมชาตินั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มันจะเป็นมหันตภัยเป็นหายนะของมนุษย์ชาติและสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทุกชนิดบนโลก และก็เป็นที่ทราบกันดีจากสื่อต่างๆว่าโลกของเราเริ่มเข้าสู่ภาวะผิดปกติ วิปริตมากมายหลายประการ ทั้งความแปรปรวนของอุณหภูมิบนโลกร้อนจัดถึง 45.7 องศาเซลเซียล ในประเทศออสเตรเลีย ในขณะที่อเมริกาและยุโรปหนาวจัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากนี้ยังมีพายุที่รุนแรงในทุกพื้นที่ของโลก และสังคมมนุษย์เองก็วิปริตผิดไปจากเดิมที่เคยมีแต่ความสงบร่มเย็น แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เพราะความเห็นแก่ตัวและความโลภของมนุษย์อันเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติต่างๆ และต่อไปนี้คือ เหตุที่ต้องมีการสร้างพระใหญ่ชัยภูมิ​




    เพื่อหยุดภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในยุคช่วงกึ่งพุทธกาล อันได้แก่ ​


    - วิบัติเพราะศาสตรา (สงคราม การเข่นฆ่ากัน อุบัติเหตุต่างๆ) ​


    - วิบัติเพราะโรคภัยไข้เจ็บ (ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดในอนาคต) ​


    - วิบัติเพราะความอดอยาก (เศรษฐกิจไม่ดีทั่วโลก) ​


    - วิบัติเพราะภัยธรรมชาติ (พายุ แผ่นดินไหว อัคคีภัย อุทกภัย หนาวเกินไป ร้อนเกินไป) ​



    วิบัติเพราะศาสตรา เมื่อถึงกาลหนึ่งธรรมที่ไม่พอใจเกิดขึ้นในจิตมนุษย์ ความพยาบาทเจริญขึ้น ความเห็นแก่ตัวมีมากขึ้น ความคิดเห็นไม่ตรงกัน คนในครอบครัวเดียวกัน ญาติกันไม่เห็นกัน สังคมเดียวกัน แผ่นดินเดียวกัน ไม่เห็นกัน ความไม่พอใจเกิดขึ้น ความพยาบาทเจริญขึ้น ธรรมที่เป็นอภัยทานน้อยลง การเข่นฆ่า การประหัตประหารจะมีมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่วิบัติ เพราะศาสตราวุธต่างๆ ตั้งแต่สังคมระดับครอบครัวจนถึงระดับโลก ​



    วิบัติเพราะโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อความโลภเข้าครอบงำจิตใจมนุษย์ เกิดความอยากได้ทีละมากๆ เพื่อสนองความอยากเหล่านั้นเนื่องจากมีการบริโภคสิ่งต่างๆมากขึ้นเพื่อสนอง ความต้องการให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งทางด้านอาหารและอื่นๆ มนุษย์จึงต้องหาวิธีการผลิต เพื่อให้ทันต่อความต้องการหรืออำนาจที่จะครอบครองในสิ่งเหล่านั้น อันจะนำไปสู่วิธีการใช้สารเคมีหรือวิธีการอื่นใดก็ตามที่เป็นอันตรายร้ายแรง แก่ชีวิต หรือการเจริญเติบโตที่รวดเร็วผิดธรรมชาติทั้งสัตว์และพืชพรรณธัญญาหารเพื่อ ให้ทันต่อความต้องการหรือเอาชนะธรรมชาติด้วยวิธีการแยบยลอื่นๆ อันนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สุดที่จะเยียวยาได้ หรือแม้แต่ด้านนาม(จิตใจ) จิตที่เครียด กังวล วิตก หดหู่ อาจนำพาไปสู่โรคร้ายต่างๆ ได้ ​



    วิบัติเพราะความอดอยาก การแปรปรวนแห่งโลกธาตุทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งด้าน ดิน ฟ้า อากาศ ท้องที่บางแห่ง ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ หรือมีความแปรปรวนไปอย่างอื่นด้วย ความไม่แน่นอนของธรรมชาติเป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อการผลิตอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงชาวโลกและแหล่งผลิตอาหารนั้นอาจจะไม่ได้ผลเหมือนดังแต่ก่อนในขณะ เดียวกันความต้องการอาหาร ต้องการน้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย มีมากขึ้น การผลิตมากเกินไป ด้วยอำนาจของความโลภเลยทำให้ความเป็นจริงนั้นคาดเคลื่อนขาดความพอดีบางครั้ง เกินความต้องการหรือบางครั้งก็ขาดแคลนเพราะไม่มีญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งใดพอดี กับความต้องการหรือขาดแคลนในโลกอนาคต จึงนำไปสู่วิกฤติทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่ดี ความอดอยากมีอยู่ทั่วไปทุกประเทศทั่วโลกและนับวันก็จะทวีความรุนแรงขึ้น เรื่อยๆ จนยากต่อการเยียวยาและจะนำไปสู่การเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงอาหารของมนุษยชาติต่อไป​




    ร่วมทำบุญได้ที่




    บัญชีมูลนิธิพระใหญ่ชัยภูมิ




    - ธ.กรุงเทพ สาขาชัยภูมิ เลขที่ 30045-9999-3



    - ธ.ธนชาติ เลขที่ 641-20143-16


    - ธ.กรุงไทย สาขาหนองบัวระเหว เลขที่ 335-0-13380-0


    - ธ.กรุงศรีอยุธยา สาขาชัยภูมิ เลขที่ 023-1-48002-7


    - ธ.กรุงเทพ สาขาห้าแยกโนนไฮ เลขที่ 500-0-48101-9


    - ธ.กสิกรไทย สาขาชัยภูมิ เลขที่ 257-2-59288-2


    - ธ.ไทยพานิชย์ สาขาชัยภูมิ เลขที่ 600-2-32673-3


    - ธ.นครหลวงไทย สาขาชัยภูมิ เลขที่ 429-2-24180-2





    สอบถามรายละเอียด


    ศูนย์ประสานงานพระใหญ่ชัยภูมิ โทร 044-837153 , 083-4671765​


    __________________​





    อัตตนา โจทยัตตานัง


    <!-- google_ad_section_end -->​











    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME height=undefined marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=nanxnan&output=html&ea=0&flash=0&dt=1089570721724&shv=r20100728&correlator=1089570721724&frm=1&adk=2816917473&ga_vid=1353516906.1089220278&ga_sid=1089566874&ga_hid=1708899438&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=10&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=760&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1259&bih=623&ifk=2903747887&fu=4&ifi=1&dtd=609" frameBorder=0 width=undefined allowTransparency name=google_ads_frame marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME height=undefined marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?format=nanxnan&output=html&ea=0&flash=0&dt=1089570732800&shv=r20100728&correlator=1089570732800&frm=1&adk=4200934904&ga_vid=1353516906.1089220278&ga_sid=1089566874&ga_hid=745255910&ga_fc=1&u_tz=420&u_his=10&u_java=1&u_h=800&u_w=1280&u_ah=760&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&biw=1259&bih=623&ifk=5276363&fu=4&ifi=1&dtd=32" frameBorder=0 width=undefined allowTransparency name=google_ads_frame marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2010
  10. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ความก้าวหน้าในการสร้างพระเจดีย์ ล่าสุดของวันที่ 6 ส.ค 2553 ช่างกำลังเร่งดำเนินการส่วนของเจดีย์ส่วนปรียอดยังอีกประมาณ ๑ เมตร เจดีย์องค์กลางก็จะเสร็จแล้วครับ
    [FONT=&quot]ขอเชิญมาร่วมโมทนาบุญกับทุกดวงจิตที่ได้ร่วมสร้างบารมีในการร่วมเป็นเจ้าภาพ[/FONT]
    [FONT=&quot]สร้างพระประธานสมเด็จองค์ปฐมและวิหารแก้วพระจุฬามณีปฏิบัติธรรม ที่ สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ จ.นครศรีธรรมราช[/FONT]
    [FONT=&quot]ขออนุโมทนาสาธุๆๆๆ[/FONT]<!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]

    [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  11. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    วันนี้ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ได้รับพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐม๔๓ องค์ และองค์ปัจจุบันพร้อมหนังสือธรรม จากอาจารย์คณานันท์ ทวีโภค หัวหน้ากลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ เพื่อบรรจุในพระเกศพระวิสุทธิเทพ และบนปรียอดบัวพระเจดีย์พระจุฬามณีปฏิบัติธรรม ส่วนที่เหลือนำถวายวัดหรือถวายบรรจุในองค์พระสมเด็จองค์ปฐม, พระเจดีย์ตามวาระต่าง ๆ ครับ

    เรามาร่วมโมทนาสาธุการกับอาจารย์คณานันและคณะทุกดวงจิตครับ ที่มีจิตเป็นสาธารณะช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติต่าง ๆ สาธุ

    ขอให้เป็นกำลังของทุกท่านเข้าสู่พระนิพพานแบบง่ายดายในชาติปัจจุบันด้วยเถิดพระเจ้าข้า<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
     
  12. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    เรียนเชิญคณะศรัทธาสมเด็จองค์ปฐม คณะศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง) คณะพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ข้าราชาร พ่อค้า ประชาชน ร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี สร้างสมเด็จองค์ปฐม (ปางพระนิพพาน) พร้อมสร้างวิหารแก้วพระจุฬามณีปฏิบัติธรรมเจดีย์สถาน ณ สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ หมู่ ๘ ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช
    ในวัน เสาร์ ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๓

    เรียนเชิญทุกท่านครับ
    http://palungjit.org/forums/เ�...ml#post1580613[.105/COLOR]<!-- google_ad_section_end -->

    <FIELDSET style="WIDTH: 443px; HEIGHT: 191px" class=fieldset>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอน้อมกราบน้อมใจโมทนากับมหากุศลของ เพื่อนสมาชิกพลังจิตพิชิตภัยพิบัติภาคใต้โดยการนำของคุณอนุวัฒน์เป็นที่สุดด้วยครับ

    ขอให้การสร้างความดี สร้างบารมีจงก้าวหน้าก้าวไกลอย่างอัศจรรย์ด้วยครับ
     
  14. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    เรียนเชิญคณะศรัทธาสมเด็จองค์ปฐม คณะศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง) คณะพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ ข้าราชาร พ่อค้า ประชาชน ร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี สร้างสมเด็จองค์ปฐม (ปางพระนิพพาน) พร้อมสร้างวิหารแก้วพระจุฬามณีปฏิบัติธรรมเจดีย์สถาน ณ สำนักสงฆ์ธรรมเจริญ หมู่ ๘ ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแผ่เมตตาจิตยับยั้งภัยพิบัติ


    ในวัน เสาร์ ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2553

    กำหนดการ

    เวลา 0900 น. พิธีบวงสรวงท้าวมหาราช
    เวลา 0930 - 1030 น. ฟังพระธรมเทศนา
    เวลา 1030 - 1100 น. สวดชัยมงคลคาถา
    เวลา 1100 - 1200 น. เชิญรับประทานอาหาร
    เวลา 1319 น. ถวายพระพุทธรูป ปางพระนิพพานพร้อมถวายผ้าป่าสามัคคีฯ
    เวลา 1330 น. พระเถระเจริญพระพุทธมนต์ เริมพิธียกฉัตรขึ้นสู่เจดีย์องค์กลาง

    เรียนเชิญทุกท่านครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    <TABLE class=tborder id=post3931136 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->mature_na<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3931136", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jul 2005
    อายุ: 24
    ข้อความ: 229
    Groans: 6
    Groaned at 2 Times in 1 Post
    ได้ให้อนุโมทนา: 748
    ได้รับอนุโมทนา 1,460 ครั้ง ใน 236 โพส
    พลังการให้คะแนน: 152 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3931136 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->น้ำท่วมโคราช สระบุรี ลพบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง
    โคราช ลพบุรีอ่วม น้ำท่วมประกาศเขตภัยพิบัติ
    แถวปากช่องบางที่ท่วมหนักกว่า1 เมตร
    ช่วยกันบริจาคนะครับเพื่อช่วยผู้เดิอดร้อนมีผู้หิวโหย
    และหนาวเหน็บรอความช่วยเหลือจากทุกคนอยู่นะครับ
    ========
    สรุปวิธีการช่วยบริจาคซื้อถุงยังชีพ(ชุดธารน้ำใจสภากาชาดไทยพระราชทาน)นะครับ
    1.โอนเงินตามที่ท่านต้องการ เข้าบัญชีสภากาชาดไทย เลขที่ : 045-2-88000-6 ออมทรัพย์ ไทยพาณิชย์
    2.ต้อง เขียนระบุใน ใบนำฝากเงิน(Pay In Slip) ว่าโอนเงินจำนวนนี้เพื่อช่วยโครงการชุดธารน้ำใจ เพราะเราต้องการช่วยค่า ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องอุปโภค -บริโภค เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค เพื่อรวมเป็นชุดถุงยังชีพโดยเฉพาะ
    3.ต้อง เขียนชื่อและที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้แน่นอนของเราเอาไว้ในใบนำฝากเงิน(Pay In Slip)ด้วยนะครับเพราะเขาจะติดต่อกลับมาถ้ามีเหตุขัดข้อง
    4.แฟ็กซ์ใบนำฝากเงิน(Pay In Slip)
    ไปที่สำนักงานการคลังสภากาชาดไทย
    หมายเลข 0-2250-0120

    หรือถึงหัวหน้าฝ่ายการเงิน
    สำนักงานการคลัง โทร. 02 256-4068
    5.จากนั้นทางสภากาชาดจะนำเงินไปซื้อของใช้จำเป็นและมอบให้ผู้ประสบภัยพิบัติต่อไปครับ<!-- google_ad_section_end -->

    .......................

    กลุ่มชาวปักษ์ใต้ มาร่วมด้วยช่วยกันนะครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. ANUWART

    ANUWART เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +14,320
    ขออนุญาตประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนภัย

    ๑ พ.ย.๕๓ เวลา ประมาณ ๑๐.๔๕ น. จังหวัดสงขลาได้แจ้งเตือนภัย เสียงตามสายให้คอยระวังพายุเข้า อาจมีคลื่นซัดฝั่ง ให้คอยรับฟังข่าวสารเป็นระยะ ๆ ครับ
     
  17. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    ขอนอบน้อมอัญเชิญ มนต์สวดพระปริตร ระตะนะสูตร (บาลี)

    [​IMG]



    ขอนอบน้อมอัญเชิญ
    มนต์สวดพระปริตร รัตนสูตร (บาลี) มายังกระทู้สงขลา ค่ะ สาธุ










    [​IMG]


    ระตะนะสุตตัง

    พระสูตรว่าด้วยการพรรณนาคุณของพระรัตนตรัย


    ใช้สวดเพื่อขับไล่เสนียดจัญไร โรคภัยไข้เจ็บ





    <TABLE align=center><TBODY><TR><TD>


    .......... ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา

    สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง
    นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ
    อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ





    .......... ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง

    ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต
    นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ
    อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ






    .......... ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง

    สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ
    สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ
    อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ






    .......... เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา

    จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ
    เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา
    เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ
    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ





    .......... เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ

    นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ
    เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ
    ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา
    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ





    .......... ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง

    วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง
    เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา
    นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป
    อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง





    เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ...




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    [​IMG]
    รัตนสูตร (รัตนปริต)


    ว่าด้วยรัตนทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สวดเพื่อปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป



    ในสมัยพุทธกาล เมืองไพศาลี หรือเวสาลี นครหลวงแห่งอาณาจักรวัชชี มีการปกครองระบอบสามัคคีธรรม (คล้ายกับลักษณะสาธารณรัฐในปัจจุบัน) เป็นเมืองที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มีประชาชนอยู่หนาแน่นมีกำแพง ๓ ชั้น ซึ่งเรียกว่า "ตรีบูร" แต่ละชั้นห่างกันประมาณ ๔ กิโลเมตร มีปราสาทอุทยาน สระโบกขรณีเป็นจำนวนมาก ทางตอนเหนือของเมืองไพศาลีมีป่าใหญ่เป็นพืดขึ้นไปทางเหนือจนจดทิวเขาหิมาลัย เรียกว่าป่ามหาวันมีผู้สร้างกุฏาคารศาลา (เรือนยอด) ถวายไว้เป็นที่ประทับพระพุทธเจ้า



    ต่อมา เมืองไพศาลีเกิดข้าวยากหมากแพงฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าแห่งเหี่ยวตาย เกิดทุพภิกขภัยใหญ่และมีโรคระบาด พวกคนยากคนจนอดอยากล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ซากศพถูกนำไปทิ้งไว้นอกเมืองก็ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว พวกอมนุษย์ก็พากันเข้าเมือง คนยิ่งล้มตายกันมากขึ้น เกิดอหิวาตกโรคตามมา



    เมื่อเกิดภัย ๓ ประการคือ ทุพภิกขภัย (ข้าวยากหมากแพง) อมนุษยภัย (ภัยจากพวกอมนุษย์) และพยาธิภัย (ภัยที่เกิดจากโรคระบาด)ขึ้นในเมืองไพศาลีอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กษัตริย์ลิจฉวีซึ่งมีจำนวนถึง ๗,๗๐๗ องค์ จึงให้ประชาชนประชุมพร้อมกันในสัณฐาคาร (ห้อง ประชุมใหญ่) เพื่อร่วมกันพิจารณาสอดส่องความประพฤติของบรรดากษัตริย์ทั้งหลายว่า ได้ทำความผิดอันใดไว้จึงทำให้เกิดภัยต่าง ๆ ดังกล่าว



    เมื่อไม่เห็นว่ากษัตริย์ทั้งหลายทำความผิดมีโทษอันใด จึงหาทางระงับภัย ๓ ประการนั้น โดยเห็นร่วมกันว่าควรกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่พระนครราชคฤห์ นครหลวงของอาณาจักรมคธ จึงได้ส่งเจ้าลิจฉวี ๒ องค์ เป็นฑูตนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้าพิมพิศาร ณ พระนครราชคฤห์ กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ และกราบทูลของอนุญาตินิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จนครไพศาลี พระเจ้าพิมพิสารได้ตรัสให้เจ้าลิฉวีไปกราบทูลนิมนต์ด้วยพระองค์เอง



    เจ้าลิจฉวีทั้งสองจึงได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงรับนิมนต์แล้วจึงทูลขอเวลาตกแต่งหนทางตั้งแต่เมื่องราชคฤห์ ไปจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคาเป็นระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร และโปรดให้สร้างวิหารไว้สำหรับพักตามระยะทางอีก ๕ หลัง พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้กั้นเศวตฉัตร (ร่มขาว) ถวายพระพุทธเจ้า ๒ คันและกั้นถวายภิกษุสงฆ์ที่ติดตามอีก ๕๐๐ รูป รูปละ ๑ คัน พระองค์ได้ตามเสด็จไปพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ทรงถวายเครื่องสักการบูชา ของหอมและทรงบำเพ็ญกุศลถวายทานตลอดทาง ไปจนถึงฝั่งขวาของแม่น้ำคงคาง และทรงส่งข่าวสารไปยังเมืองไพศาลีให้ทราบว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำคงคาแล้ว



    พระเจ้าพิมพิสารโปรดให้จัดเรือ ๒ ลำ ตรึงขนานเข้าด้วยกันให้สร้างมณฑปขึ้นบนเรือขนาน


    แล้วกราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นประทับพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พระเจ้าพิมพิสารทรงพระดำเนินลงไปในน้ำลึกจนถึงพระศอ (คอ) แล้วทรงกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า พรองค์จะรอคอยอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคานี้จนกว่า พระบรมศาสดาจะเสด็จกลับ



    ทางเมืองไพศาลี ซึ่งตั้งอยู่ห่างฝั่งซ้ายของแม่น้ำคงคาขึ้นไปทางเหนือประมาณ ๔๐ กิโลเมตร


    เมื่อทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว ก็เตรียมปราบทางให้ราบเรียบ ตั้งแต่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำคงคาไปจนถึงเมืองไพศาลี และสร้างวิหารประจำไว้จำนวน ๓ หลัง เตรียมทำการบูชาเป็น ๒ เท่าของพระเจ้าพิมพิสารที่ทรงทำมาแล้ว เรือขนานนำพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป มาในแม่น้ำคงคาเป็นระยะทาง ๑๖ กิโลเมตร ก็ถึงเขตเมืองไพศาลี บรรดากษัตริย์ลิจฉวีก็พากันลุยนำลงรับเสด็จพระพุทธเจ้าในแม่น้ำคงคาลึกถึงพระศอเช่นกัน



    ครั้นเรือขนาบเทียบถึงฝั่ง พอพระพุทธเจ้าทรงยกพระบาทแรกย่างเหยียบฝั่งแม่น้ำคงคา


    กลุ่มเมฆมหึมาซึ่งแผ่กระจายตั้งเค้ามืดมิด ก็บันดาลให้ฝตตกลงมาห่าใหญ่ น้ำฝนไหลนองท่วมพื้นดินระดับน้ำสูงถึงเข่าบ้างถึงสะเอวบ้าง ถึงคอบ้าง พัดพาเอาซากศพลอยลงแม่น้ำคงคาไปหมด ทำให้ภาคพื้นดินบริสุทธิ์สะอาดโดยทั่วไป



    บรรดากษัตริย์สิจฉวีทั้งหลายก็นำเสด็จพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปเข้าพัก ณ วิหารที่สร้างไว้ แล้วถวายทานมากมายเป็น ๒ เท่าของพระเจ้าพิมพิสาร ให้กางเศวตฉัตรกั้นถวายพระพุทธเจ้า ๔ คันกั้นถวายพระภิกษุสงฆ์รูปละ ๒ คัน น้ำเสด็จพระพุทธดำเนินเป็นเวลา ๓ วัน ก็ถึงพระนครไพศาลี ขณะนั้นพระอินทร์ได้เสด็จพร้อมด้วยเหล่าทวยเทพมาชุมนุมอยู่ด้วย ทำให้พวกอมนุษย์ เกรงกลัวอำนาจพากันหลบหนีไป



    พระพุทธเจ้าเสด็จถึงประตูเมืองไพศาลีในเวลาเย็น ได้ตรัสให้พระอานนท์เรียน "รัตนสูตร"


    เพื่อเดินจาริกทำพระปริตไปในระหว่างกำแพง ๓ ชั้น (ตรีบูร) ในเมืองไพศาลีกับบรรดากุมารลิจฉวีแล้วตรัส "รัตนสูตร" ขึ้นในกาลครั้งนั้น ที่เรียกพระสูตรนี่ว่า "รัตนะ"เพราะหมายถึงพระรัตนตรัยพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะคือ



    เมื่อพระอานนท์เรียนรัตนสูตรจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เอาบาตรของพระพุทธเจ้าใส่น้ำถือไปยืนที่ประตูเมือง พลางรำลึกถึงพระพุทธคุณ ตั้งแต่ทรงตั้งความปรถนาที่จะได้บรรลุพระโพธิญาณ จนถึงทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรและโลกุตรธรรม ๙ (คือมรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ๑ ) แล้วเข้าไปภายในพระนคร เดินทำพระปริตไปในระหว่างกำแพงเมือง ๓ ชั้น ทำให้พวกอมนุษย์ที่ยังหลวงเหลืออยู่บ้างพากันหนีออกจากเมืองไปหมด พวกชาวเมืองจึงออกจากบ้านของตนถือดอกไม้และของหอม พากันตามบูชาพระอานนท์แห่ล้อมท่านมา พระอานนท์เดินทำพระปริตไปทั้งคืน



    ประชาชนชาวเมืองไพศาลีได้พร้อมใจกันตกแต่งสัณฐาคาร กลางพระนคร ด้วยของหอมและผูกเพดานประดับด้วยรัตนชาติ จัดตั้งอาสนะสำหรับพระพุทธเจ้า แล้วเชิญเสด็จพระบรมศาสดามาประทับในสัณฐาคาร พระภิกษุสงฆ์และกษัตริย์ลิจฉวี ตลอดจนประชาชนชาวเมืองไพศาลี ได้พากันมานั่งล้อมพระพุทธเจ้า พระอินทร์พร้อมเทพบริวารก็มาเฝ้าด้วย ครั้งพระอานนท์ทำพระปริตอารักขาทั่วพระนครแล้ว ก็กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระบรมศาสดาจึงตรัสรัตนสูตรอีกครั้ง หนึ่งรวม ๑๔ คาถา


    แล้วพระอินทร์ได้ผูกคาถา (ฉันท์) ต่ออีก ๓ คาถา



    พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ที่เมืองไพศาลี และตรัสเทศนารัตนสูตรทุกวันรวม ๗ วัน เมื่อทรงเห็นว่าภัยทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว จึงตรัสลากษัตริย์ลิจฉวีและชาว วัชชีทั้งหลายเสด็จกลับราชคฤห์ครั้งนี้ มีประชาชนมาบูชาสักการะถวายแก่พระองค์เป็นการยิ่งใหญ่ เรียกว่า "คังโคโรหณสมาคม" คือการชุมนุมใหญ่ในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงแม่น้ำคงคา






    [​IMG]










    [SIZE=-1]บทสวดมีดังนี้ คือ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข[/SIZE]
    [SIZE=-1]เหล่าภูตทั้งหลายทั้งที่อยู่ ณ ภาคพื้นก็ดี ทั้งที่อยู่ใน อากาศก็ดี ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ สถานที่นี้ก็ดี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]สัพเพวะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ขอหมู่ภูตทั้งปวงนั้น จงเป็นผู้มีใจดีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]และเชิญฟังคำสดุดีพระรัตนตรัย อันข้าพเจ้าจักกล่าวโดยเคารพเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตัสมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ดูก่อนภูตทั้งหลาย เพราะเหตุทั้งแลขอท่านทั้งหลายทั้งปวงจงฟังข้าพเจ้าเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ขอท่านทั้งหลาย จงหระทำเมตตาจิตในประชาชาวมนุษย์เถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ทิวา จะ รัตโต จะหะรันติ เย พะลิง[/SIZE]
    [SIZE=-1]ซึ่งมนุษย์ทั้งหลาย ทำเทวตาพลีอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตัสมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา[/SIZE]
    [SIZE=-1]เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาท ช่วยคุ้มครองรักษาเขา เหล่านั้นด้วยเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา[/SIZE]
    [SIZE=-1]ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันใดอันหนึ่งในโลกนี้ก็ดี ในโลกหน้าก็ดี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]หรือรัตนะอันใด อันประณีตในสวรรค์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ทรัพย์หรือรัตนะนั้น ๆ ที่จะเสมอด้วยพระคถาคตเจ้า ไม่มีเลย[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระพุทธเจ้า[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระศากยมุนีเจ้า ทรงมีพระหฤทัยดำรงมั่น[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต[/SIZE]
    [SIZE=-1]ได้ทรงบรรลุธรรมอันใด เป็นที่สิ้นกิเลส เป็นที่สิ้นราคะ เป็นอมตะธรรมอันประณีต[/SIZE]​

    [SIZE=-1]นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]สิ่งใด ๆ ที่เสมอด้วยพระธรรมนั้น ย่อมไม่มี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระธรรม[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระพุทธเจ้าผู้ประเสริญสุด ทรงสรรเสริญแล้ว ซึ่งสมาธิอันใด, ว่าเป็นธรรมอันสะอาด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ[/SIZE]
    [SIZE=-1]บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวถึงสมาธิอันใดว่าเป็นธรรมที่ให้ผลโดยลำดับ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ[/SIZE]
    [SIZE=-1]สมาธิอื่นที่เสมอด้วยสมาธินั้น ย่อมไม่มี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระธรรม[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา[/SIZE]
    [SIZE=-1]บุคคลเหล่าใด นับเรียงองค์ได้เป็น ๘[/SIZE]​

    [SIZE=-1]จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ[/SIZE]
    [SIZE=-1]นับเป็นคู่ได้ ๔ คู่ อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา[/SIZE]
    [SIZE=-1]บุคคลเหล่านั้น เป็นสาวกของพระสุคตเจ้าเป็นผู้ควรแก่ทักษิณาทาน[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ทานทั้งหลาย ที่บุคคลถวายในท่านเหล่านั้นย่อมมีผลเป็นอันมาก[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดีจงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เย สุปปะยัตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระอริบุคคลทั้งหลายเหล่าใด มีใจอันมั่นคงไม่ยินดีในกามประกอบความเพียรดีแล้ว ในศาสนาพระโคดมเจ้า[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระอริบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น บรรลุคุณอันควรบรรลุ คือพระอรหัตตผลแล้ว หยั่งเข้าสู่พระนิพพาน เป็นอารมณ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา[/SIZE]
    [SIZE=-1]ได้ซึ่งความดับกิเลสโดยเปล่า ๆ แล้วเสวยอยู่พระนิพพาน อันเป็นเครื่องดับแห่งกิเลส[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทังปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา[/SIZE]
    [SIZE=-1]เสาเขื่อนที่ฝังลงดิน อย่างมั่นคงแล้ว[/SIZE]​

    [SIZE=-1]จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย[/SIZE]
    [SIZE=-1]ลมทั้ง ๔ ทิศที่พัดมา ไม่พึงหวั่นไหวได้ ฉันใด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ[/SIZE]
    [SIZE=-1]บุคคลใดย่อมเห็นอริยสัจทั้งหลายโดยไม่หวั่นไหว เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นสัตบุรุษผู้ไม่หวั่นไหว อุปมาเหมือนเสาเขื่อนนั้น[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]บุคคลเหล่าใด ทำอริยสัจ ทั้งหลายอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระปัญญาอันลึกซึ้งทรงแสดงไว้ดีแล้ว ให้แจ่มแจ้งแก่ตนได้[/SIZE]​

    [SIZE=-1]กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา[/SIZE]
    [SIZE=-1]บุคคลเหล่านั้น ถึงจะเป็นผู้ประมาทอยู่มาก[/SIZE]​

    [SIZE=-1]นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ[/SIZE]
    [SIZE=-1]แต่ท่านก็ย่อมไม่ถือเอาภพมาเกิดในคำรพที่ ๘[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัส[/SIZE]
    [SIZE=-1]สังโยชน์ ๓ ประการคือสักกายทิฐิ, วิจิกิจฉา[/SIZE]​

    [SIZE=-1]สุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ สักกายะทัฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]และสีลัพพตปรามาส ซึ่งเป็นกิเลสเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ อันพระโสดาบันละได้แล้ว เพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสนะ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต[/SIZE]
    [SIZE=-1]อนึ่งพระโสดาบันเป็นผู้พ้นได้แล้วจากอบายภูมิทั้ง ๔[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง[/SIZE]
    [SIZE=-1]ทั้งไม่อาจที่จะทำอภิฐาน คือกรรมอันหนัก ๖ ประการ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระโสดาบันนั้น ยังทำความผิดเล็กน้อยทางกาย ทางวาจาหรือทางใจ อยู่บ้างก็จริง[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระโสดาบันนั้น ก็เป็นผู้ไม่ปกปิดความผิดนั้นไว้[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา[/SIZE]
    [SIZE=-1]ความที่บุคคลผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้วเป็นผู้ไม่ควรปกปิดความผิดไว้นี้ อันเราตถาคตกล่าวแล้ว[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพะสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค คิมหานะมาเส ปะฐะมัสมิง คิมเห[/SIZE]
    [SIZE=-1]พุ่มไม้ในป่า แตกยอดในเดือนต้นคิมหันต์แห่งคิมหันตฤดู ฉันใด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระตถาคตเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]นิพพานะคามิง ปะระมังหิตายะ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ซึ่งเป็นหนทางให้ถึงพระนิพพาน เพื่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย ก็มีอุปมาฉันนั้น[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ก็เป็นรัตนคุณอันประณีตในพระพุทธเจ้า[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระตถาคตเจ้า ทรงเป็นผู้ประเสริฐ ทรงเป็นผู้รู้สิ่งอันประเสริฐ ทรงเป็นผู้ให้สิ่งอันประเสริฐทรงเป็นผู้นำมาซึ่งสิ่งอันประเสริฐ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ทรงเป็นผู้ไม่มีใครยิ่งกว่า ได้ทรงแสดงแล้วซึ่งพระธรรมอันประเสริฐ[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ก็เป็นรัตนคุณอันประณีตในพระพุทธเจ้า[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]กรรมเก่าของพระอริยบุคคลเหล่าใดสิ้นแล้วกรรมใหม่ที่จะเกิดในภพใหม่ย่อมไม่มี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระอริยบุคคลเหล่าใด มีจิตอันหน่ายแล้วในภพต่อไป[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา[/SIZE]
    [SIZE=-1]พระอรหันต์เหล่านั้น มีพืชคือวิญญาณอันจะเกิดในภพต่อไปสิ้นแล้ว ไม่มีความพอใจที่จะเกิดอีกต่อไป[/SIZE]​

    [SIZE=-1]นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป[/SIZE]
    [SIZE=-1]เป็นผู้มีปัญญา ย่อมนิพพาน เหมือนดังดวงประทีปที่ดับไป ฉะนั้น[/SIZE]​

    [SIZE=-1]อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง[/SIZE]
    [SIZE=-1]แม้ข้อนี้ จัดเป็นรัตนคุณอันประณีตในพระสงฆ์[/SIZE]​

    [SIZE=-1]เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]ด้วยคำสัจจ์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีเถิด [/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข[/SIZE]
    [SIZE=-1]ภูตประจำถิ่นเหล่าใด ประชุมกันแล้วในพระนครก็ดี เหล่าใดประชุมกันแล้วในอากาศก็ดี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]เราทั้งหลายจงนมัสการพระพุทธเจ้าผู้มาแล้ว ผู้ซึ่งเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข [/SIZE]
    [SIZE=-1]ภูตประจำถิ่นเหล่าใด ประชุมกันแล้วในพระนครก็ดี เหล่าใดประชุมกันแล้วในอากาศก็ดี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]เราทั้งหลายจงนมัสการพระธรรมอันมาแล้ว อันเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีเถิด[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข[/SIZE]
    [SIZE=-1]ภูตประจำถิ่นเหล่าใด ประชุมกันแล้วในพระนครก็ดี เหล่าใดประชุมกันแล้ว ในอากาศก็ดี[/SIZE]​

    [SIZE=-1]ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ[/SIZE]
    [SIZE=-1]เราทั้งหลายจงนมัสการพระสงฆ์ผู้มาแล้ว ผู้ซึ่งเทวดาและมนุษย์บูชาแล้ว ขอความสุขสวัสดีจงมีเถิด[/SIZE]​






    [​IMG]




    บทขัดรัตนสูตร

    หมู่เทวดาในแสนโกฏิจักรวาล ยอมรับเอาซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระปริตรใด พระปริตรหนึ่ง พระปริตรใดยังภัยทั้ง ๓ คือ โรคภัย อมนุษย์ภัย ทุพภิกขภัย ในเมืองเวสาลี ให้อันตรธานไปเร็วพลัน

    ท่านทั้งหลาย จงตั้งจิตการุญ สวดพระปริตรนั้น ดุจดังท่านพระอานนท์เถระเจ้า หวนคำนึง นึกหน่วงถึงพระพุทธคุณทั้งปวงของพระตถาคตเจ้า จำเดิมแต่ปรารถนา พุทธภูมิมา คือการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ มหาบริจาค ๕ จริยา ๓ แล้วเสด็จลงสู่คัพโภทรภพสุดท้าย ทรงประสูติ เสด็จออกมหาอภิเนษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญความเพียร ณ โพธิบัลลังก์ ทรงตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิ์ญาณ และโลกุตตรธรรม ๙ เหล่านี้ แล้วทรงกระทำ ปริตรตลอดราตรี ทั้ง ๓ ยาม ภายในกำแพง ๓ ชั้น ณ เมืองเวสาลี ฉะนี้เทอญ




    ตำนาน

    ครั้งหนึ่ง ณ พระนครไพสาลี อันไพบูลย์ไปด้วยขัตติยะตระกูล มีพระยาลิจฉวีเป็นประธาน ได้บังเกิดทุพภิกขภัย ข้าวแพงฝนแล้ง พืชพันธุ์ธัญชาติ ปลูกเท่าไหร่ก็ตายหมด หมู่คนยากจนทั้งหลาย พากันอดยาก ล้มตายลงเป็นอันมาก หมู่ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็พากันเอาศพไปทิ้งไว้นอกพระนคร กลิ่นซากศพนั้น เหม็นตลอดไปทั่วพระนคร

    กาลนั้น หมู่อมนุษย์ทั้งหลาย ก็เข้ามากินซากศพ แล้วตรงเข้าไปสู่พระนคร เป็นเหตุให้ชนผู้คนในพระนคร ติดอหิวาตกโรค และโรคนานา จนผู้คนล้มตายลงเป็นอันมาก สืบเนื่องมาจากบ้านเมืองสกปรก ปฏิกูลไปด้วย เฬวรากซากศพ จากคนและสัตว์

    ขณะนั้นกล่าวได้ว่า นครไพสาลี มีภัยเกิดขึ้น ๓ ประการ คือ

    ๑. ทุพภิกขภัย ข้าวแพง มนุษย์ล้มตายลงเพราะอดอาหาร

    ๒. อมนุษย์ภัยเบียดเบียน ตายด้วยภัยของอมนุษย์

    ๓. โรคภัย ผู้คนล้มตายด้วยโรคภัยต่าง ๆ มีอหิวาตกโรค เป็นต้น

    ขณะ นั้น ผู้คนในพระนคร ต่างได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า จึงชวนกันเข้าไปเฝ้า สภากษัตริย์ลิจฉวี แล้วทูลว่า แต่ก่อนแต่ไรมา ภัยอย่างนี้มิได้เคยมี เหตุไรจึงมาเกิดภัยเช่นนี้ หรือว่า จะมาจากเหตุ ราชะสภามิได้ตั้งอยู่ในธรรม หรือว่าผู้คนมหาชนทั้งหลาย ในไพสาลีนคร หมกมุ่นมัวเมาประมาทขาดสติ มิมีธรรมะ หรือว่า จะมาจากเหตุ นักบวช สมณะ สงฆ์ มิได้ทรงศีลสิกขา จึงเป็นเหตุให้เกิดกาลกิณี แก่ปวงประชา

    ฝ่ายสภากษัตริย์ หมู่เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ก็มิอาจจับต้นชนปลาย หรือจะรู้สาเหตุก็หาไม่ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไปมา ได้แต่ทำตาลอกแลกแล้วส่ายหน้า จนมีท้าวพระยาลิจฉวี พระองค์หนึ่ง ลุกขึ้นตรัสว่า เห็นทีภัยร้ายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก มิอาจจะระงับได้ด้วย กำลังทหาร กำลังทรัพย์ หรือกำลังปัญญา คงต้องอาศัยกำลังของพระโพธิบวร แห่งองค์สมเด็จพระชินศรีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมา

    โปรด ชาวไพสาลีให้พ้นภัยพิบัติครั้งนี้คงจะได้ ในที่สุดประชุมราชะสภา ต่างเห็นพ้องต้องกัน จึงมอบให้พระยาลิจฉวี ๒ พระองค์พร้อมไพร่พลนำเครื่องบรรณาการ ไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร ทูลขอให้พระองค์ทรงอนุญาต ให้เชิญเสด็จ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายังนครไพสาลี

    กล่าวฝ่ายพระราชาพิมพิสาร เมื่อได้ทรงทราบถึงความทุกข์ร้อนของชาวนครไพสาลี และวัตถุประสงค์ของพระยาลิจฉวี จึงทรงอนุญาตชาวนครไพสาลีไปทูลอาราธนา องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตามประสงค์

    องค์พระผู้มีพระภาค พร้อมภิกษุบริษัทอีก ๕๐๐ รูป ได้เสด็จพระดำเนิน ไปสู่นครไพสารี ในเวลาที่เสด็จนั้น พระราชาลิจฉวี หมู่

    มุขมนตรี ชาวพระนคร องค์อินทรเทวะพรหมินทร์ทั้งหลาย ได้พากันเฝ้ารับเสด็จระหว่างทาง ด้วยการโปรยทราย ดอกไม้ของหอม พร้อมยกฉัตรกางกั้น แสงพระสุริยะฉาย จัดตั้งราชวัตรฉัตรธง จตุรงค์เสนาขุนทหารทั้งหลาย ต่างพากัน ยืนแถวถวายพระเกียรตินานาประการ

    ในขณะเดินทาง ทรงหยุดพักระหว่างทางวิถี พระราชาและหมู่ชนต่างพากันจัดสรรสรรพผลาหารอันเลิศ ประเสริฐรส นำมาถวายแด่พระบรมศาสดาและหมู่สงฆ์

    ครั้นเสด็จพระดำเนินมาถึง ริมฝั่งคงคา พระยานาคราช ผู้สถิตอยู่ในแม่น้ำคงคา ก็ขึ้นมาถวายเครื่องสักการะ แล้วเนรมิตวงกายให้

    เป็นเรือใหญ่ แล้วทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ขึ้นประทับบนรัตนบัลลังก์ ที่เนรมิตถวาย พร้อมภิกษุสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ ส่วนหมู่มนุษย์ พระยาลิจฉวี และชาวพระนคร ก็ให้ขึ้นเรือแพ ที่จัดเตรียมมา แล้วเรือนาคา ก็บ่ายหน้าแล่นตรงไป ยังนครไพสาลี สิ้นระยะทาง ๘ โยชน์

    กินเวลา ๘ วัน ระหว่างทางองค์นาคราช และบริวารได้ถวายอภิบาลพระบรมศาสดา และหมู่สงฆ์ มิให้สะดุ้ง สะเทือนระหว่างทาง ไม่ว่าคลื่นจะซัด ลมจะพัด น้ำจะแรง เรือนาคราชนั้นก็บรรเทาผ่อนแรง บดบังลมแดดแรงเป็นอันดี ประดุจดัง ทางประทับ อยู่บนยอดขุนเขาคีรีษี มิได้มีหวั่นไหวฉะนั้น

    ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค เสด็จพระดำเนินถึงเขตนครไพสาลี เมฆฝนก็ตั้งเค้า ลมทั้งหลายก็พัดหอบเอาเมฆมารวมไว้บนท้องฟ้า เหนือนครไพสาลี ครั้นสมเด็จพระชินศรี ทรงย่างพระบาทเหยียบยืนบนแผ่นดินไพสาลี เม็ดฝนก็ตกลงมาในทันที

    องค์สมเด็จพระชินศรี เมื่อเสด็จประทับภายในพระนครไพสาลี เป็นอันดีแล้ว ฝนที่มิได้เคยตกมาเจ็ดปี ก็พลูไหลริน จนท่วมภาคพื้นปฐพี กระแสน้ำได้พัดพาเอาซากอสุภ และสิ่งปฏิกูลทั้งปวง ไหลลงไปสู่แม่น้ำคงคาจนหมดสิ้น

    ครั้นเม็ดฝนหยดสุดท้ายหมดสิ้น หมู่อมรนิกรเทพพรหมินทร์ และอินทรราช ก็เข้าเฝ้ากราบเบื้องยุคลบาทพระผู้มีพระภาค

    ฝ่ายฝูงอมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นเห็นหมู่มหาเทพ ได้เสด็จมาเข้าเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้า ต่างตนต่างก็เกรงกลัวเดช กลัวจะเกิดอาเพศ จึงพากันหลีกลี้หนีไปเป็นอันมาก

    พระผู้มีพระภาค จึงทรงมีพุทธฎีกาตรัสเรียกพระอานนท์ว่า

    ดูกรอานนท์ เธอจงเรียนมนต์รัตนสูตรนี้ แล้วจงถือเอาเครื่องพลีกรรม เที่ยวไปในระหว่างแห่งกำแพงทั้งสามชั้นของพระนคร แล้วจงสาธยาย มนต์รัตนสูตร เวียนเป็นประทีกษิณให้ครบ ๓ รอบ แล้วนำบาตรของเราตถาคต ใส่น้ำที่สำเร็จด้วยมนต์รัตนสูตร สาดรดไปทั้งพระนคร อมนุษย์ทั้งหลายที่ยังมิได้หนี จักได้พากันหนีไปสิ้น ประชาชนผู้คนในพระนคร จักได้ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน

    ครานั้น พระบรมสุคตเจ้า ได้ทรงแสดง รัตนสูตร โปรดหมู่อมรนิกรพรหมินทร์ อินทราธิราชทั้งหลาย กาลเมื่อทรงแสดงธรรมจบสิ้น

    ความสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล ก็บังเกิดแก่ชาวไพสาลีทั้งปวง อุปัททวภัยทั้งหลายก็ระงับสิ้น หมู่มนุษย์และเทพทั้งหลาย มีประมาณแปดหมื่นสี่พัน ได้บังเกิดธรรมจักษุ ต่างพากันรู้ทั่วถึงธรรมนั้น ตามแต่อุปนิสัย วาสนาบารมีธรรมของตนที่สั่งสมมา

    เมื่อหมู่อมรเทพนิกร พรหมินทร์ อินทรา เสด็จกลับไปแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระกรุณาโปรดแสดงธรรมเทศนา รัตนสูตร โปรดชาวพระนครไพสาลีอยู่อีก ๖ วัน รวมสิ้นเวลาที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ภายในพระนครไพสาลีสิ้นเวลา ๑๕ วัน จึงเสด็จ

    ระหว่างทางขณะเสด็จมาถึงริมแม่น้ำคงคา พญานาคาและเหล่าบริวาร ผู้เฝ้ารอคอยเสด็จกลับ ก็ได้เนรมิตกาย ให้เป็นเรือพระที่นั่งถวาย พร้อมภิกษุสงฆ์ทั้ง ๕๐๐

    ระหว่างทางได้ทรงแสดงธรรม โปรดพญานาคและบริวาร จนเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ หมู่ชนชาวพระนครราชคฤห์พร้อมพระราชาพิมพิสาร ต่างรอคอยถวายเครื่องสักการะต้อนรับ ยิ่งกว่าตอนเสด็จไป




    กราบอนุโมทนาข้อมูลมนต์พระปริตร : https://sites.google.com/site/watdonsawan/w-32
    กราบอนุโมทนาภาพประกอบ : ผลงานคุรุศิลปิน ท่านเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และ internet






    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1207326/[/MUSIC]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2010
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอเป็นกำลังใจให้ชาวใต้ครับ
     
  19. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    ธชัคคสูตร ว่าด้วยอานุภาพแห่งการระลึกถึงพระรัตนตรัย

    [​IMG]



    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุท ธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุท ธสฺส
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุท ธสฺส

    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    ขอนอบน้อมแด่พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า



    [​IMG]


    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๗
    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สักกสังยุตต์ ปฐมวรรค
    ธชัคคสูตรที่


    <o></o>[๘๖๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ
    ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ฯ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ<o></o>

    [๘๖๔] พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่อง เคยมีมาแล้ว สงครามระหว่างเทวดากับอสูรประชิดกันแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาตรัสเรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่า แน่ะ ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย หากความกลัวก็ดี ความหวาดเสียวก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี จะพึงเกิดขึ้นแก่พวกเทวดาผู้ไปในสงคราม สมัยนั้น พวกท่านพึงแลดูยอดธงของเราทีเดียว เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของเราอยู่ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ถ้าพวกท่านไม่แลดูยอดธงของเรา ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชอยู่ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกท่านไม่แลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราช ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกท่านไม่แลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราช ทีนั้นพวกท่านพึงแลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชเถิด เพราะว่าเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ฯ<o></o>

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเทวดาแลดูยอดธงของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดาก็ดี แลดูยอดธงของท้าวปชาบดีเทวราชอยู่ก็ดี แลดูยอดธงของท้าววรุณเทวราชอยู่ก็ดี แลดูยอดธงของท้าวอีสานเทวราชอยู่ก็ดี ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นพึงหายไปได้บ้าง ไม่ได้บ้างข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุว่า ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทวดา ยังเป็นผู้ไม่ปราศจากราคะ ไม่ปราศจากโทสะ ไม่ปราศจากโมหะ ยังเป็นผู้กลัว หวาดสะดุ้ง หนีไปอยู่ ฯ<o>

    [๘๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนเราแลกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี พึงบังเกิดแก่พวกเธอผู้ไปในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนที่ว่างเปล่าก็ดี ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงเรานี้แหละว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงเราอยู่ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงเรา ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว บุคคลพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาลควรเรียกให้มาดูได้ ควรน้อมเข้าไปในตน อันวิญญูชนพึงรู้แจ้งได้เฉพาะตน ดังนี้ <o></o>

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระธรรมอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป หากพวกเธอไม่ตามระลึกถึงพระธรรม ทีนั้นพวกเธอพึงตามระลึกถึงพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเป็นธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง พระสงฆ์นั้นคือใคร ได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่รวมเป็นบุรุษบุคคลแปด นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักขิณา เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี เป็นบุญเขตของโลก ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า เพราะว่า เมื่อพวกเธอตามระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี ที่จักมีขึ้นก็จักหายไป ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งอะไร เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่เป็นผู้กลัว ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง ไม่หนีไป ฯ<o></o>

    [๘๖๖] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดีอยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี พึงระลึกถึงพระสัมพุทธเจ้าเถิด ความกลัวไม่พึงมีแก่เธอทั้งหลาย ถ้าว่าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้องอาจกว่านรชน ทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระธรรมอันนำออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้ว ถ้าเธอทั้งหลายไม่พึงระลึกถึงพระธรรมอันนำออกจากทุกข์ อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงดีแล้วทีนั้น เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงพระสงฆ์ผู้เป็นบุญเขต ไม่มีบุญเขตอื่นยิ่งไปกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์อยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี จักไม่มีเลย ฯ



    </o>
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1040458/[/MUSIC]
    <o></o>​


     
  20. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    ตำนานธชัคคปริตร หรือพระปริตร ยอดธง

    [​IMG]



    พระปริตรนี้ โดยปรกติเรียกว่า ธชัคคสูตร แต่ในที่บางแห่งแม้ในอรรถกถาของพระสูตรนี้เอง เรียกว่า ธชัคคปริตร เห็นจะเป็นเพราะการนำเอามาทำเป็นพระปริตรนั้นเอง

    ...... มีเรื่องเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนพระภิกษุทั้งหลายให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยทรงนำเอาเรื่องสงครามระหว่างพวก เทวดา และพวกอสูร เมื่อครั้งกำลังติดพันกันในสมัยก่อน มาตรัสเป็นตัวอย่างว่า

    ...... ในสงคราม ครั้งนั้น ได้มีพระอินทร์ หรือท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่ของพวกเทวดาทั้งหลาย ได้ตรัสแนะนำให้พวกเทวดาที่เข้าสงคราม ถ้าเกิดความหวาดกลัว ก็ให้ดูยอดธงที่ งอนรถ เพื่อให้หายหวาดกลัว หานความครั่นคร้าม หายความสยดสยองต่อข้าศึก ซึ่งมีมูลเหตุมาจากการแย่งที่อยู่กันบนสวรรค์ เพราะแต่เดิมนั้น เทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ เป็นที่อยู่ของเทวดาพวกหนึ่ง เรียกว่า เนวาสิกเทวบุตร (เทวบุตรผุ้อยู่ประจำ) มีท้าวเวปจิตติเป็นหัวหน้า ต่อมา เมื่อ “มฆะมาณพ” ชาวบ้านอจลคามในอาณาจักร มคธ ผู้บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ กับภรรยา ๔ คน ได้ชักชวนเพื่อนอีก ๓๒ คน ร่วมกันสร้างกุศลกรรมต่างๆ ครั้นตายลง มฆะมาณพกับพวกเพื่อน ๓๒ คน และภรรยา ๓ คน (ขาดนางสุชาดา) ได้ไปเกิดในเทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ ที่พวกเนวาสิกเทวบุตรอยู่ มฆะมาณพไปเกิดเป็นพระอินทร์ คือท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่ ของเทวดา ส่วนนายช่างของ มฆะมาณพไปเกิดเป็น วิสสุกรรมเทวบุตร นายช่างเทวดา ภรรยา ๓ คน คือ นางสุธัมมา นางสุนันทา นางสุจิตรา ก็ไปเกิดเป็นมเหสีของพระอินทร์

    ...... ฝ่ายเนวาสิกเทวบุตร เมื่อเห็นพวกเทวดามาเกิดใหม่ ก็จัดเครื่องดื่มพวกน้ำเมา (เรียกว่า ทิพพปานะบ้าง คันธปานะบ้าง) เลี้ยงต้อนรับผู้มาใหม่ แต่ท้าวสักกะ นัดหมายมิให้พวกพ้องของตนร่วมดื่ม พวกเนวาสิกเทวบุตร พากันดื่มฝ่ายเดียวจนเมามาย นอนหลับไหล อยู่ตามภาคพื้น ท้าวสักกะ จึงบอกแก่พวกของตนว่า เราไม่ต้องการให้ราชสมบัติ ณ ที่นี้ เป็นสาธารณะแก่พวกเนวาสิกเทวบุตร จึงสั่งให้พรรคพวกของตน จับพวกเทวบุตรขี้เมา ขว้างลงไปในมหาสมุทร ณ เชิงเขาพระสุเมรุ พอตกลงมาถึงกลางช่วงเขา พวกเนวาสิกเทวบุตรได้สติ จึงปรารภกันว่า แต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มสุรากันอีกแล้ว แต่นั้นมาพวกเนวาสิกเทวบุตร จึงมีนามใหม่ว่า “อสุรา” แปลว่า ผู้ไม่ดื่มสุรา และด้วยบุญญานุภาพของพวกเนวาสิกเทวบุตร จึงดลบันดาลให้มีอสูรภิภพเกิดขึ้น ณ เบื้องล่างเขาพระสุเมรุ มีต้นไม้ชื่อ จิตตปาลี (แปลว่าต้นแคฝอย) เกิดขึ้นเป็นต้นไม้ประจำพิภพของอสูร ส่วนเทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ ก็กลายเป็น สุทัศนเทพนคร ของพระอินทร์ กับพรรคพวกผู้เป็นสหาย มีวิมาน มีอุทยาน มีสระโบกขรณี มีเวชยันต์ปราสาท เวชยันต์ราชรถ และอื่นๆ เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของ ท้าวสักกะกับมเหสี และเทวดา ๓๒ องค์ ซึ่งสร้างกุศลร่วมกันมา ตั้งแต่นั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงมีนามว่า ดาวดึงส์เทพนคร (นครของเทวดา ๓๒ องค์) ท่านกล่าวว่า เทพนครกับอสูรนครนั้น มี สมบัติเท่าเทียมเสมอกัน

    ....... ส่วนนางสุชาดา ภรรยาอีกคนหนึ่งของ มฆะมาณพ นั้น เมื่อภรรยา ทั้ง ๓ คนเขาสร้างกุศลกัน ตนเองก็มิได้ร่วมสร้างด้วยเพราะคิดเสียว่าตัวเป็นภรรยา เมื่อสามีทำแล้วก็เท่ากับตนเองทำด้วย จึงสาละวนอยู่กับการแต่งตัว มิได้ขวนขวายก่อสร้างการกุศลใด ครั้นตายลงจึงไปเกิดเป็นนกยาง วันหนึ่งพระอินทร์ทรงรำพึงว่า เมื่อครั้งเราก่อสร้างสิ่งกุศลอยู่เมืองมนุษย์ เคยมีภรรยา ๔ คน บัดนี้มาเกิดอยู่ร่วมกัน ๓ คน แล้วนางสุชาดาอีก ๑ คนไปอยู่ที่ไหน

    ....... เมื่อตรวจดู ไปก็ทรงทราบว่านางสุชาดาไปเกิดเป็นนกยาง จึงลงมาแนะนำให้รักษาศีล มิให้กินปลาเป็น ให้กินแต่ปลาตาย เมื่อหาปลาตายกินไม่ได้ นางนกยางนั้นก็อดอาหาร และซูบผอมลงแล้วก็ตายไปเกิดเป็น ธิดาช่างหม้อ พระอินทร์ ก็ลงมาแนะนำให้รักษาศีล ครั้นนางสิ้นชีพในชาตินั้น ก็ไปเกิดเป็นธิดาผู้งดงามของท้าวเวปจิตติ ราชาแห่งอสูร ผู้เป็นศัตรูคู่แค้นกับท้าวสักกะ ครั้นเจริญวัยบิดาก็งานสยุมพรให้พระธิดาเลือกคู่ครอง พอดีพระอินทร์ทรงทราบ จึงแปลงองค์เป็นอสูรแก่มายืนอยู่ท้ายสุดของที่ชุมนุม แล้วด้วยบุพเพสันนิวาส นางก็โยนพวงมาลัยมาให้อสูรชรา คือท้าวสักกะ ที่ชุมนุมก็อลเวงพวกอสูรหนุ่มก็หาว่านางไปเลือกอสูรแก่ไม่คู่ควรกัน พระอินทร์ผู้เป็นอสูรแก่ปลอมก็อุ้มนางพาไปขึ้นเวชยันต์ราชรถ ซึ่งมาตลีเทวบุตรนำมาซุ่มรอไว้ พากันเหาะหนีไปยังสุทัศนเทพนคร ซึ่งเป็นมูลเหตุอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกอสูรแค้นเคืองพวกเทวดามาก

    ....... ตั้งแต่นั้นมา ครั้นถึงฤดูที่ต้นจิตตปาลี ต้นไม้ประจำพิภพอสูร ผลิดดอกบาน พวกอสูรก็รำลึกถึงต้รน ปาริฉัตรที่เคยเป็นของตน อสูรก็ยกทัพมารบกับเทวดาพวกของพระอินทร์ เป็นสงครามประจำฤดูกาลและผลัดกันแพ้ - ชนะ ด้วยเหตุนี้ท้าวสักกะผู้เป็นราชาแห่งเทวดาทั้งหลาย จึงตรัสแนะนำให้เทวดาทั้งหลายที่เข้าสงครามดูยอดธงของพระองค์ ถ้าไม่เห็นก็ให้ดูยอดธงของเทวราช อีก ๓ องค์ ซึ่งมาในกองทัพคือ เทวราชผู้มีพระนามว่า ปชาบดี เทวราชผู้มีนามว่า วรุณ และเทวราชผู้มีนามว่า อีสาน ซึ่งพระอรรถกถรจารย์ (พระพุทธโฆสฯ) อธิบายว่าเทวราชพระนามว่า ปชาบดี นั้นมีผิวพรรณและอายุเท่ากันกับท้าวสักกะ และประทับนั่งมา ณ อาสนะเป็นอันดับ ๒ ส่วนเทวราช วรุณ และอีสาน ก็อยู่เป็นอันดับ ๓ และ ๔ ถัดไป

    ....... พระพุทธเจ้าได้ทรงยกเอาเรื่องสงครามระหว่างเทวดากับอสุร และคำตรัสแนะนำของท้าวสักกะที่ตรัสแก่ทวยเทพเป็นแนวเปรียบเทียบ แล้วตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน หรือสมาทานธุดงต์ ไปอยูตามโคนไม้ หรือในอาคารที่สงัด ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อระงับความกลัว ความครั่นคร้าม และความสยดสยอง เช่น ข้อความในธชัคคปริตร ซึ่งพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า อานุภาพของพระปริตรบทนี้แผ่ไปทั่วอาณาจักรเขตแสนโกฏิจักรวาฬ ผู้ที่ระลึกพระปริตรนี้แล้วแล้วรอดพ้นจากทุกข์ที่เกิดจากภัยมียักษ์และโจรเป็นต้น นับไม่ถ้วน ผู้มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงพระปริตรนี้ ย่อมจะได้หลักพึ่งพิงได้


    จากหนังสือสวดมนต์ ฉบับอุบาสก อุบาสิก : วัดเกตุมดีศรีวราราม จ.สมุทรสาคร



    [​IMG]

    ตำนานพระปริตร : ธชัคคปริตร

    บทขัดธชัคคปริตร

    เออแน่ะ สัตว์ทั้งหลายแม้อยู่ในอากาศ ย่อมได้ที่พึ่ง ทำให้หายหวาดกลัว ดุจเดียวกันกับสัตว์ในแผ่นดิน สัตว์ทั้งหลาย ผู้รอดพ้นจากข่าย คือ สรรพอุปัทวะ อันเกิด

    แต่ยักษ์และโจร มีจำนวนเหลือคณนานับ ด้วยการระลึกถึงพระปริตรใด ท่านทั้งหลาย จงสาธยายพระปริตรนั้นเทอญ

    ตำนาน

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ ณ นครเวสาลี ได้ทรงแสดงที่มาของท้าวสักกะเทวราช ให้แก่เจ้าลิจฉวี นามว่ามหาลี ได้สดับความว่า

    มีมานพผู้หนึ่งชื่อ มะฆะ อยู่ในอะจะละคาม แคว้นมคธรัฐ ได้จัดทำสถานที่ชายป่าไกลบ้านให้เป็นที่ร่มรื่นรมณียสถาน แล้วพักนั่งเล่น นอนเล่นอยู่ ณ สถานที่นั้น

    ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งเดินทางผ่านมา เห็นชานป่าแห่งนั้นเ ป็นที่รมณียสถานก็ตรงเข้าไปแวะพักแลเห็น มะฆะมานพนั่งพักอยู่ก่อนแล้ว ชายผู้นั้น ก็ไม่พอใจ

    กล่าวตู่ขึ้นว่า เอ่ะ เจ้านี้มายังไงนะ บังอาจมานั่งบนที่ของข้าได้ ไป..ไปเสียให้พ้น อากาศยิ่งร้อนๆอยู่ เดี๋ยวพ่อก็แพ่นกระบาลเสียด้วยไม้เท้านี้หรอก

    มะฆะมานพ พอได้ฟังดังนั้นแทนที่จะโกรธ กลับคิดว่า เออ...ดีนะ รมณียสถานแห่งนี้ เราเป็นผู้สร้างขึ้นคนทั้งหลายชอบตำหนิว่าไม่มีประโยชน์ มาบัดนี้มีผู้เห็นประโยชน์ในสิ่งที่เราสร้างขึ้นแล้ว ดีหละ..เราจักสร้างสถานที่เช่นนี้ต่อไป

    มะฆะมานพได้เดินออกจากชายป่านั้นโดยดี มิได้ถือโกรธเลย พร้อมทั้งยัง ได้ไปสร้างที่รื่นรมย์ยังที่อื่นๆ ต่อไป

    แล้วเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิม สร้างเสร็จก็มีผู้มาอ้างสิทธิ์จับจองเป็นเจ้าของ แทนที่มะฆะมานพจะโกรธกลับคิดว่า การที่เราสร้าง สามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุข

    เราย่อมได้รับบุญ บุญนั้นย่อมทำให้เรามีความสุขไปด้วย

    กาลต่อมา แม้ในขณะเดินทาง มะฆะมานพจะต้องนำเอามีดหรือจอบติดมือไปด้วยเสมอ เมื่อเห็นว่าหนทางไม่ราบเรียบมีหญ้าขึ้นปกคลุมรก ทางมีหลุมเป็นบ่อ ระหว่างทางมีกิ่งไม้ระเกะระกะรุงรัง มะฆะมานพนั้น ก็จะเอาจอบถาก มีดหวด ทำให้ตลอดทางเป็นที่ร่มรื่น สะดวกสบายแก่ผู้สัญจรไปมา

    เมื่อนาย มะฆะมานพทำเช่นนี้เป็นอาจิณ ผู้คนชนทั้งหลายที่สัญจรไปมาก็พากันเข้าไปถามว่า สหายท่านกำลังทำอะไรอยู่ มะฆะมานพก็ตอบว่า เรากำลังทำทางไปสวรรค์ ชนเหล่านั้นก็ขอร่วมทำด้วย จนมีสมัครพรรคพวกเป็นเพื่อนถึง ๓๓ คน มะฆะมานพ จึงพาทำทางได้ระยะไกลถึง ๒ โยชน์ หมู่ชนทั้งหลาย

    เมื่อเดินทางได้รับความสะดวกสบาย ต่างก็พากันสรรเสริญมะฆะมานพและบริวารเป็นอันมาก

    ฝ่ายนายบ้าน ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น เห็นฝูงชนยกย่องสรรเสริญมะฆะมานพและบริวาร ก็บังเกิดความริษยา จึงหาเรื่องเข้ามาว่ากล่าวว่า เจ้าทั้ง

    หลายกระทำอะไรไร้ประโยชน์ ทำไมไม่ใช้เวลาและแรงที่มีไปหาเนื้อหาปลามาเป็นอาหาร วัยฉกรรจ์อย่างพวกเจ้าควรที่จะไปเที่ยวเล่น ดื่มสุรา เที่ยวดูการละเล่นยังจะสนุกเพลิดเพลินเสียกว่า อย่ามามัวเหนื่อยเปล่ากับ เรื่องไม่เป็นประโยชน์เหล่านี้อยู่เลย

    มะฆะมานพและบริวารทั้ง ๓๓ คน ก็หาได้เชื่อฟังคำของนายบ้านไม่

    นายบ้านจึงผูกใจโกรธ นำเรื่องไปเท็จทูลพระราชาว่า มะฆะมานพและบริวาร เป็นคนเกเรไม่ทำมาหากิน คอยดักปล้นสะดมผู้คนที่เดินทาง

    พระราชา พอได้ฟังคำเท็จทูลของนายบ้านก็หลงเชื่อ มีรับสั่งให้พนัก งานไปจับตัวมะฆะมานพและบริวารทั้ง ๓๓ คนมาลงโทษด้วยการให้นอนลงกับพื้นแล้วต้อนช้างพลายผู้ดุร้ายให้ไปเหยียบ

    ขณะที่ช้างพลายที่ดุร้ายจะมาเหยียบนั้น มะฆะมานพได้สั่งให้บริวารทั้ง ๓๓ คน เจริญเมตตาไว้ในใจ อย่าผูกโกรธ เคืองแค้นต่อนายบ้าน แผ่เมตตาให้แก่พระราชาและช้างพลายที่จะตรงมาเหยียบ

    ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของมะฆะและบริวาร ช้างพลายที่ดุร้ายนั้นพลัน ก็ยืนสงบนิ่ง ไม่ยอมที่จะก้าวเดินไปเหยียบมะฆะและบริวาร

    ข้างพระราชาทรงประทับทอดพระเนตรการลงทันต์อยู่ ทรงเห็นว่าช้างไม่ยินยอมที่จะย่างเหยียบคนทั้ง ๓๓ ก็ให้พนักงานนำเอาเสื่อลำแพนมาปกคลุมร่างของคนทั้ง ๓๓ คนเสีย ด้วยคิดว่าช้างอาจจะเห็นเป็นคน เลยมิกล้าที่จะเดินเหยียบได้

    เมื่อชาวพนักงานนำเสื่อลำแพนมาคลุมร่างมะฆะมานพและบริวารมิดชิดแล้ว จึงให้ควาญช้างไสช้างพลายนั้นให้ก้าวเหยียบไปบนเสื่อลำแพน มิใยที่ควาญช้างจะโขกสับ บังคับไสช้างพลายนั้นให้เดินสักปานใด ช้างนั้นก็ยืนสงบนิ่ง มิขยับ เขยื่อนเลื่อนไปแม้แต่ก้าวเดียว

    พระราชาครั้นได้ทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงดำริว่า เอ... นี่มันเกิดอาเภทเหตุอัศจรรย์ใดกันหนอ ทำไมชนทั้ง ๓๓ คนนี้ จึงมิได้มีอันตรายใดๆ

    จากการลงทันต์ในครานี้เลย ชะรอยเราต้องเรียกมาไตร่สวนดูให้รู้ความจริง และแล้วจึงทรงมีพระดำรัสเรียกมะฆะมานพและบริวารเข้าเฝ้า

    เมื่อมะฆะมานพและบริวารได้เข้าเฝ้าเบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว

    พระราชาจึงทรงมีพระดำรัสตรัสถามขึ้นว่า อาชีพที่สุจริตในแผ่นดินนี้มีออกมากมาย เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันเป็นโจร ประกอบทุจริต

    มะฆะมานพครั้นได้ฟังพระราชาทรงตรัสตำหนิถามดังนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่องค์ราชะผู้ประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าและสหาย มิได้เป็นผู้ทำอาชีพทุจริตผิดกฎหมาย พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นสุจริตชน สิ่งที่ข้าพระพุทธเจ้าทำ คือทางไปสวรรค์ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร เหตุเพราะนายบ้านมีความริษยา ผูกโกรธคิดกลั่นแกล้งใส่ความพวกข้าพระพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่เชื่อ ขอได้ทรงโปรดให้ขุนทหารไปเรียกชาวบ้านมาไตร่ถาม ความจริงก็จะปรากฏ

    พระราชาจึงส่งขุนทหาร ไปเกณฑ์ชาวบ้านมาไตร่ถาม จึงได้ทรงทราบความจริง ว่ามะฆะมานพ และบริวารได้ชวนกันทำงาน ไปสวรรค์จริงๆ จึงทรง

    ปราโมทย์ยินดี ทรงพระราชทานช้างพลายตัวนั้น ให้แก่มะฆะมานพ และบริวาร อีกทั้งยังทรงมีรับสั่งให้ นายบ้านผู้มีจิตริษยานั้น ตกเป็นทาสของมะฆะมานพด้วย

    ข้างมะฆะมานพและสหาย เมื่อได้เห็นอานิสงส์ผลบุญ ที่พวกตนได้ร่วมกันกระทำ ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ จิตโสมนัส ศรัทธาในการบำเพ็ญบุญนั้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากทำทาง ทำสถานที่ร่มรื่นให้ผู้คนและสัตว์ ที่กำลังเดินทางได้หยุดพักแล้ว ยัง ได้ช่วยกันทำศาลาพักผ่อน ขุดสระ ทำปลูกพืชผักผลไม้เอาไว้ให้ผู้คนที่หิวกระหายได้ตักดื่ม เก็บกิน จนเป็นที่สำราญของผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา ณ ตำบลบ้านนี้

    นอกจากมะฆะมานพ จะเป็นผู้ชอบบำเพ็ญบุญดังกล่าวมาแล้ว ยังจะเป็นผู้ปฏิบัติ ข้อวัตตะบท ๗ ประการ โดยบริบูรณ์ คือ

    - ปฏิบัติเลี้ยงดูรักษาบิดามารดา
    - อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
    - กล่าวความสัตย์ ไม่โกหก
    -ไม่พูดหยาบคาย
    - มีวาจาที่สุภาพ เรียบร้อย ระรื่นหูแก่ผู้ได้สดับ ไม่ส่อเสียดยุยง
    -ไม่ตระหนี่ ยินดีในการให้
    - เป็นผู้ที่มีปกติไม่โกรธ

    ครั้นเมื่อถึงกาลมรณะสมัย มะฆะมานพและสหายได้ทำกาลกิริยาลง ด้วยสิ้นอายุขัย ผลบุญที่ตนได้ทำเอาไว้ ส่งผลให้มะฆะมานพ ไปบังเกิดเป็นพระอินทร์

    ในเทพพิภพ พร้อมด้วยสหายอีก ๓๒ องค์ จึงรวมเป็นเหล่าเทพ ๓๓ องค์ เทพนครแห่งนั้น จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ตาวะตึงสะ หรือ ดาวดึงส์สวรรค์ ซึ่งแปลว่า ๓๓

    ส่วนเทพยดา ที่สถิตในเทพนครนี้อยู่เดิม เห็นเทพบุตรเกิดขึ้นใหม่ มีวรกายสง่างาม รัศมีกายเรืองรอง จึงใคร่ผูกสมัครมิตรไมตรี พากันจรลี ไปจัดสรรคัดหาโภชนาหารอันเลิศรส พร้อมกับเหล้าหอม ชื่อคันธบาน แล้วชวนกันนำไปเลี้ยงแก่บรรดาเทพบุตรทั้ง ๓๓ องค์ที่บังเกิดใหม่

    พระอินทร์ จึงแอบกระซิบแก่เทพบริวารทั้ง ๓๒ ว่า อย่าดื่มน้ำคันธบานนั้น แต่ให้แสร้งทำประหนึ่งว่า ได้ดื่มน้ำเหล้านั้นเข้าไปด้วย

    ฝ่ายเทพดาที่สถิตอยู่ในเทพพิภพเดิม ก็มิได้คิดระแวงอันใด จึงพากันดื่มเหล้าหอมนั้นเข้าไป จนเมามายหมดสติ มิอาจทรงกายอยู่ได้ จึงลงนอนและหลับไปในที่สุด ฤทธิ์แห่งเหล้าหอมนั้น ทำให้เทพดาเก่าหลับไปนานถึง ๔ เดือน

    พระอินทร์จึงกล่าวแก่เทพบริวารว่า พวกเทพเหล่านี้ มัวเมา ประมาท จนขาดสติ นอนได้แม้ในที่ที่มิมีใครนอน แถมส่งเสียงเอะอะละเมอเหมือนกับคนบ้า ผ้าผ่อนภูษาก็หลุดลุ่ย ขืนให้อยู่บนเทพพิภพรังแต่จะทำให้ เทพนครเสื่อมเสีย มาเถิดสหายทั้ง ๓๒ เอ๋ย มาช่วยกันจับเทพขี้เมาเหล่านี้โยนลงสู่มหาสมุทรกันเถิด

    เมื่อเทพขี้เมาเหล่านั้น โดนจับโยนลงมหาสมุทร ร่างกระทบภาคพื้นพิภพใต้มหาสมุทร เทพวิมานที่สำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ของเทพขี้เมาเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น มีสภาพดุจดัง เทพนครบนสวรรค์มิได้ผิด จะต่างก็ตรงต้นปาริจฉัตตกะ ซึ่งมีอยู่บนเทพนครชั้นดาวดึงส์ แต่ในเทพพิภพมีแต่ต้นแคฝอย ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ต้นจิตตปาตลี

    เทพขี้เมาทั้งหลาย เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา จึงได้รู้ว่าพวกตนถูกเทพบุตรใหม่ทั้ง ๓๓ องค์ จับโยนลงมาอยู่ในมหาสมุทร ก็ให้นึกละอาย แล้วก็พากันดำริขึ้นว่า

    นี่คงเป็นเพราะชาวเราทั้งหลายมัวเมาประมาท กินเหล้าจนขาดสติหลับไป จึงโดนเทพใหม่เหล่านั้นกลั่นแกล้งให้ได้อาย เป็นเพราะน้ำเหล้าหอมนั้นเชียว

    เราทั้ง หลายเอ๋ย ต่อนี้ไปจงอย่ากินเหล้าอีกเลย ด้วยว่าดำริเช่นนี้ เทพขี้เมาเหล่านี้ ก็เลยเป็นเทพที่ไม่ยอมเมาอีกต่อไป จนได้ชื่อว่า อสูร

    อสูรนั้น ได้พักอาศัยอยู่ใน อสูรพิภพ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับเทพนครทุกอย่าง ซึ่งทุกอย่างก็สำเร็จได้ด้วยบุญฤทธิ์ของตน ของตน ต่างตนต่างก็อยู่อย่างเป็นสุข สถิตสถาพร และมีหัวหน้าที่สำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ ชื่อว่า ท้าวเวปจิตติอสูร

    กาลต่อมา ลุถึงฤดูต้นแคฝอยออกดอก เหล่าอสูรทั้งหลายต่างพากันหวนคำนึงนึกถึง เทพนครสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่สถิตของต้นปาริจฉัตตกะ มีดอกใหญ่สีสวยกลิ่นหอม เมื่อถึงคราวฤดูออกดอกก็ส่งกลิ่นทำให้เทพนครหอมอบอวนเป็นที่รื่นรมณ์ยิ่งนัก

    เหล่าอสูรทั้งหลาย ก็พากันหวนคำนึงระลึกถึง เทพนครสวรรค์ เวปจิตติอสูร ผู้เป็นหัวหน้า จึงชักชวนพลโยธา จัดเตรียมเป็นกองทัพ เพื่อไปชิงเอาเทพนครสวรรค์กลับมาเป็นของตน พร้อมทั้งยกทัพ ขึ้นไปท้ารบกับพระอินทร์

    องค์อินทราชจึงมีเทวบัญชา ให้ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ แต่งกองทัพเทวดาลงไปรักษาเชิงเขาพระสุเมรุในทิศทั้ง ๔ คอยสู้รบ รุกรับ ขับไล่ต่อกรกับพวกอสูร ซึ่งบางครั้งก็มีชัย บางครั้งก็พ่ายแพ้ คราใดที่ท้าวจาตุมทั้ง ๔ พ่าย ก็พาทัพเทวดาถอยร่นขึ้นไปจนถึงประตูสวรรค์ องค์อินทร์ก็ต้องคุมทัพออกมารุกไล่รบแก่ทัพอสูรด้วยพระองค์เอง และก่อนที่จะออกรบ องค์อินทรธิราช ได้ทรงตรัสสั่งแก่บรรดา พลเทวดาว่า

    ถ้าพลเทวดา หวาดกลัว สะดุ้ง และมีขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้น ก็ให้แลดูชายธงที่ปลิวไสวอยู่บนราชรถศึกของพระองค์ หรือไม่ก็แลดูชายธงขององค์เทวะชื่อปชาบดี ของพระวรุณเทวราช หรือพระอีสานเทวราชเพื่อเป็นกำลังใจว่า ผู้นำ ผู้เป็นที่พึ่งของเรายังสถิตอยู่กับเรา

    เหล่าบรรดาพลทหารเทวดาทั้งหลาย เมื่อได้แลเห็นชายธงของมหาเทวะทั้ง หลายที่กล่าวนามมาแล้ว จึงมีกำลังมีใจที่ฮึกเหิม ทำสงครามอย่างเกรียงไกร มีชัย

    ในที่สุดอีกทั้งยังสามารถจับตัวท้าวโพจิตราสูร หัวหน้าของอสูร ทั้งปวงได้

    ท้าวโพจิตราสูร เมื่อโดนจับก็ยิ่งผูกโกรธ กล่าวคำหยาบช้า ด่าว่าพระอินทร์และเทพที่เกิดใหม่ทั้ง ๓๓ องค์ นานาประการ แต่หมู่เทพและองค์อินทร์ก็หาได้โกรธไม่ อีกทั้งยังให้อภัย ปล่อยท้าวโพจิตราสูรให้เป็นอิสระ สงครามระหว่างเทวะกับอสูรก็สงบลง แต่นั้นเป็นต้นมา

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสต่อไปว่า เช่นนั้นแลภิกษุทั้งหลาย คราใดที่เธอทั้งหลายไปอยู่ในป่าก็ตาม อยู่ใต้โคนไม้ก็ตาม อยู่ในเรือนว่างก็ตาม อยู่ในที่รกชัฏก็ตาม ความหวาดกลัว ความสะดุ้งผวา ขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้นแก่เธอ เธอทั้งหลายพึงชนะความกลัวเหล่านั้น ด้วยการระลึกถึงเรา ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายไม่ระลึกถึงเรา เพื่อจะชนะความหวาดกลัว เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงคุณของพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่บุคคลพึงเห็นรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดกาลเวลาสามารถเรียกให้ผู้อื่นมาดูได้ด้วย เป็นสิ่งที่บุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ตน เป็นคุณสมบัติของผู้รู้ทั้งหลาย ดังนี้

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายมิพึงระลึกถึงพระธรรม เพื่อจะครอบงำความกลัว เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ว่า เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง

    พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ซึ่งมีอยู่ ๔ คู่ ๘ พวก พระสงฆ์สาวกเหล่านี้ เป็นผู้คงแก่การบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้คู่ควรแก่การรับทาน เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ดังนี้

    ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลาย พากันมาระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรมเจ้า คุณของพระสงฆ์เจ้า เห็นปานนี้ ความสะดุ้งกลัว หวาดผวา ขนพองสยองเกล้า จักมิอาจครอบงำเธอ ดังนี้แล

    อนุโมทนาที่มาข้อมูล : พระอินทร์กับอสูร (ตำนานธชัคคปริตร หรือพระปริตร ยอดธง)<!-- google_ad_section_end -->

     

แชร์หน้านี้

Loading...