ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ขัตติยนารีขี่ม้าขาว

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย เพชรกร, 9 เมษายน 2011.

  1. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    คำทำนายของ.........

    คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก
    เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้ ..........เคยทำนาย

    เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง
    น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา
    เป็นประชาจนเต็มพระนคร ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน
    ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร
    องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส
    แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน
    เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา จะมีการต่อตีกันกลางเมือง
    ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา
    ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร ข้าราชการตงฉินถูกประนาม
    สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้ เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป
    โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว
    ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี
    เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ
    มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน
    พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก
    เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย
    เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช
    ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล
    จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม ความระทมจะถมทับนับเทวศ
    ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม
    ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
    จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
    ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
    ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
    จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป
    เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น
    แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา
    ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ

    อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนำสิ่งที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ พระราชทานสัมภาษณ์ในรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ต่อเนื่องด้วยการเสด็จเยี่ยมเยียนและทรงให้กำลังใจพสกนิกรผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ ก็จะเห็นชัดเจนว่า ด้วยเหตุอันใดพระองค์จึงต้องทรงปฏิบัติทั้งๆ ที่ยังคงประทับนั่งในรถเข็น และไม่สามารถพระดำเนินได้ตามปกติ

    เพราะนั่นถือเป็นอีกหนึ่งพระกรณียกิจในฐานะที่ทรงเป็น “พระเจ้าลูกเธอ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

    อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนำบทพระราชทานสัมภาษณ์ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยบางช่วงบางตอนมาทำความเข้าใจก็จะพบว่า สิ่งที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์แต่ละช่วงแต่ละตอนในวันนั้น มีนัยที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการพระราชทานสัมภาษณ์ท่ามกลางความเติบใหญ่ของ “ขบวนการล้มเจ้า” โดยทรงบอกเล่าถึงความห่วงใยในทุกข์สุขของพสกนิกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงบำเพ็ญมาโดยตลอดนับแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา

    “ท่านทรงงานท่านตรากตรำมากนะ เมื่อท่านเสด็จฯ เยี่ยมบ้านชาวเขาแถวเชียงใหม่ บางครั้งไม่มีทาง ก็ต้องเดินทางข้ามเขา บางทีข้ามเขา 7-8 ลูก บางครั้งฉันเคยตามเสด็จฯ แล้วเราคือต้องอยู่หน่วยแพทย์ ก็ต้องแบกเป้ยา เพราะว่าอยู่หน่วยแพทย์ก็ต้องใช้ยาได้ ก็ตอนนั้นยังอายุน้อย คือตอนนั้นยังสาวอยู่รู้สึกว่ามันลำเค็ญ เจอหมู่บ้านก็อยากให้มีคนป่วยเยอะๆ จะได้ระบายยาออกจากเป้ เพราะมันหนักมาก มันหนัก 14 กิโล

    “...คือไม่ได้พูดว่าจะโปรโมตว่าตัวเองเป็นเจ้า แต่อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ ตอนท่านทรงงานทุ่มพระทัยเต็มที่สำหรับประชาชนคนไทย ทั้งสองพระองค์ท่านเอาใจใส่มาก พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตามงานชลประทาน ท่านให้คนมาเข้าเฝ้าฯ ที่โรงพยาบาลทุกวันที่โรงพยาบาล

    “ท่านบรรทมดึกมาก บางครั้งท่านก็บรรทมไม่หลับ บางครั้งก็บรรทมน้อย บางครั้งมีการส่งรูปปัญหาต่างๆ เข้ามา ท่านก็คอยตาม อย่างน้ำท่วมคนลำบากไหม ท่านก็ทรงให้ส่งถุงยังชีพไปให้ แต่พอท่านทอดพระเนตรทางโทรทัศน์ว่าทางนั้นก็น้ำท่วม ทางนี้ร้อน ทางโน้นก็บาดเจ็บ ท่านนี้ตามช่วยเหลือโดยที่ไม่บอกใครด้วย คือท่านปิดทองหลังพระจริงๆ คือถ้าไม่ได้เป็นลูกท่านคงไม่รู้จริงๆ”

    หลายคนถึงกับตกใจถึงสิ่งที่พระองค์พระราชทานสัมภาษณ์ เนื่องจากรับรู้ได้ถึงความสะเทือนพระทัยของพระองค์ และไม่คาดคิดว่า จะได้ยินได้ฟังข้อความในลักษณะนี้ โดยเฉพาะในประโยคที่ว่า “อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินีทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ”

    และหลังจากการพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษในวันนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงกับเต้นแร้งเต้นกาเป็นการใหญ่

    นอกจากนี้ อีกประเด็นสำคัญในการพระราชทานสัมภาษณ์วันนั้นคือ การอธิบายความจริงในฐานะที่ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่หลายคนเข้าใจว่า ชีวิตมีแต่ความสุขสบาย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตไม่ได้สุขสบายหรือมีความหรูหราฟุ้งเฟ้ออย่างที่หลายคนจินตนาการกันไปเองตามคำบิดเบือนของผู้ไม่ปรารถนาดีต่อสถาบัน

    “ชีวิตฉันนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน แล้วท่านก็ใช้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ที่เริ่มออกเยี่ยมราษฎรไปอยู่หน่วยแพทย์อาสา (พอ.สว.) ของท่าน ดูแลประชาชน ท่านเริ่มใช้ตั้งแต่อายุ 14 ปี แล้วการเรียนก็จำเป็นต้องเรียนพิเศษกลางคืน

    “ต้องทำงานถวายก่อนแล้วเรียนพิเศษตอนกลางคืน ทำอย่างนี้มาจนจบปริญญาเอก ซึ่งมันยาก เพราะเวลามีเรียนมันน้อย เวลาพักผ่อนก็น้อย มันก็ง่วง เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แล้วยังต้องเรียนอีก แต่ก็เข้าใจทูลกระหม่อมเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่า ท่านให้ทำเพื่ออะไร ทำไมต้องทำงาน เพราะมีหน้าที่ เข้าใจ และยิ่งตอนนี้อายุมากขึ้นด้วยยิ่งเข้าใจเสด็จพ่อมากขึ้นเลย

    “เข้าใจว่าเป็นเจ้า เราต้องบำเพ็ญบารมี คือให้ทานและบารมี ให้ทานให้ความสุขแก่ราษฎร ให้ความสุขยังไง เช่น เขาป่วยเราก็รักษา เขาไม่มีอาชีพทำก็นำมาอบรมให้มีอาชีพทำ เขามีปัญหาทางเกษตรกรรม เช่นน้ำไม่พอ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสร้างเขื่อนให้เขา บุกไปดูพื้นที่ว่าต้องทำเขื่อนตรงโน้นตรงนี้เพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้ นี้คือพ่ออยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ทรงทำอย่างนี้มา 60 ปี”

    และท้ายที่สุดคือ การที่ทรงเปิดเผยถึงความทุกข์พระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง

    “...เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ ตอนนั้นทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือนอนแบ่บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเลย ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง”

    **สยบข่าวลืออัปมงคล

    อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์ในฐานะ “พระเจ้าลูกเธอ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หากแต่ทรงกระทำเพื่อชึ้แจงข้อเท็จจริงและปกป้องพระเกียรติของทั้งสองพระองค์มาโดยตลอด

    หากยังจำกันได้ เมื่อครั้งที่เกิดข่าวลืออันอัปมงคล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ก็พระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งก็ยังความปลื้มปีติให้แก่พสกนิกรผู้จงรักภักดีอย่างยิ่ง
    วันที่ 14 ตุลาคม 2552 ....ในขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคปิดในแดนบวก อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวลดลงสวนทางเหนือความคาดหมาย โดยปิดตลาดที่ระดับ 731.47 จุด ลดลง 15.20 จุด แถมดัชนีระหว่างวันลดลงหนักถึง 32 จุด ต่อเนื่องด้วยวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ที่ดัชนีลงแรงถึง 60 จุด ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้น หลุด 700 จุด หลังจากที่ทะยานขึ้นต่อเนื่องกว่า 2 เดือน

    ต้นตอของ 2 วันมหาวิปโยคของตลาดหุ้นไทยนั้นมีต้นสายปลายเหตุประการเดียวคือ “ข่าวลือ”
    อย่างไรก็ตาม ข่าวลือทั้งหมดก็คลี่คลายลง เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่เสด็จไปรับการถวายรางวัล วิน เดาส์ เมดัล จากสถาบันอินทรีย์เคมี และชีวโมเลกุลมหาวิทยาลัย เกอ๊อจ เอากุสท์ อูนีแวย์ซิเทท เกิ้ททิงเง่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ทรงตอบคำถามข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต และนักศึกษาไทย ที่ทูลถามถึงพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความเป็นห่วง และจงรักภักดี

    พระองค์ทรงเล่าถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงยืนยันว่า “ตอนนี้นี่ให้ทุกคนสบายใจได้ว่า เรียกว่าทรงปลอดภัยแล้ว”

    ขณะเดียวกันในระหว่างที่ทรงเล่าก็มีพระอารมณ์ขันเกี่ยวกับการท้าดวลผักระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระองค์ด้วย

    “ก็มีสนุกขำๆ คือว่า ตัวข้าพเจ้าเองนี่ ขึ้นไปเฝ้าพระอาการ บางครั้งขึ้นไปเฝ้าตอนเสวยข้าว ท่านก็ทรงท้า บอกมาดวลกันไหม รับประทานแข่งกันไหม ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมาแล้ว กินผักไม่เป็น ไม่กินผัก แล้วท่านก็บอกว่า แล้วท่านก็บอก วันนี้มีซุปผักโขม มาดวลกันไหม ก็เลยทูลท่านบอกว่า ดวลก็ดวล คือว่ารับประทานถวายพ่อองค์เดียวนะ เพราะกับคนอื่น แหม จะให้กล้ำกลืนทานซุปผักนี่ ก็คงแย่เหมือนกัน แต่วันนั้นก็ได้ทานซุปผักถวายท่านไป 1 ชาม ท่านก็เสวยซุปผักเหมือนกัน 1 ชาม ทรงดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ ก็เหลือแต่ว่า ต้องทำกายภาพบำบัด เรื่องการทรงพระดำเนินจะได้คล่องขึ้น และพระกำลังขาจะได้ดีขึ้น

    นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายครั้งหลายคราที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ทรงแสดงบทบาทในลักษณะนี้

    …ถึงตรงนี้ พสกนิกรผู้จงรักภักดีคงสบายใจกันอย่างถ้วนหน้า เพราะการที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงลุกขึ้นมาชี้แจงและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ย่อมเป็นหลักประกันอันดีที่จะป้องกันมิให้ “ขบวนการล้มเจ้า” เติบใหญ่อีกต่อไป รวมทั้งส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวได้ตื่นตัวเพื่อปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพรักยิ่งให้สถิตสถาพรเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยสืบไป

    ขณะเดียวกันพระกรณียกิจดังกล่าวยังทำให้หลายคนนึกถึงคำทำนายของ .............. เด่นชัดขึ้นอีกด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 เมษายน 2011
  2. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    คือผมไม่เข้าใจคำทำนายอันนี้ครับใครรู้ช่วยบอกหน่อยครับ

    "จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง"
    "ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง "


    ตามความคิดผมคือ


    "จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง"
    อันนี้น่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หญิงที่ทรงธรรมหรือเปล่าครับจริงๆมีอยู่หลายพระองค์เเต่ที่ผมทราบมาคือมีอยู่สองพระองค์ พระองค์หนึ่งตั้งมูลนิธิหนึ่งที่เป็นเพื่อนพึ่งภายามยากอยู่ เเละยังทรงปฏิบัติธรรมอยู่ที่เเห่งหนึง เเละอีกพระองค์หนึ่งน่าจะเป็นศิษย์ของท่านหลวงตามหาบัวที่ทรงพระงานหนักเเละทรงปฏิบัติธรรมด้วย ทั้งสองพระองค์เป็นผู้ทรงธรรมทั้งคู่ ผมทราบเพราะรู้จากผู้ใหญ่ที่เชื่อถือได้เเละได้เห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ใช่นั่งเทียนมั่วมาเขียน หรือไม่ใช่ฟังพวกชาวบ้านเค้าพูดกัน พวกนี้จะไปรู้อะไรกับเรื่องในวัง



    "ผู้ปกครองเป็นหญิงพึงระวัง" (อันนี้ไม่ทราบจริงๆครับพูดยังไงช่วยบอกด้วยครับ)
    อันนี้น่าจะเป็น นายกหญิงคนเเรกของประเทศไทยหรือเปล่าครับน่าจะเป็น..... คือขึ้นมาปกครองด้วยความอยุติธรรม

    ส่วนข่าวลือผมก็ทราบมาเหมือนกัน ได้ยินผมก็รู้สึกว่าใครเชื่อก็ไม่รู้จะพูดยังไงเเล้วไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิด เหมือนกับบอกว่า ไก่ออกลูกเป็นลิง ใครเชื่อมันก็โง่เเล้ว เเต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนเชื่ออีก ไม่รักจักใช้เหตุผลกันเลย เเละอยากถามว่า อยู่ในวังหรือถึงรู้มากจัง

    มีขบวนการล้มเจ้าได้ ก็มี ขบวนการพิทักษ์เจ้า ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2011
  3. Charmaar

    Charmaar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +341
    :cool::cool::cool::cool:
     
  4. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ตั้งแต่เคยศึกษาธรรมของหลวงพ่อมา.....

    ผมไม่เคยเห็นธรรมบทใดเลยที่ท่านจะแต่งเป็นกลอนแบบนี้...นอกจากจะเป็นแบบเทศนาแบบตรงไปตรงมาเท่านั้น.....

    ขออภัยนะถ้าผมจะไม่เชื่อ...ว่าเป็นธรรมของหลวงพ่อ....
     
  5. e20ehq

    e20ehq เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +770
    เอาเวลาไปศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท น้อมนำเอาพระบรมราโชวาทใส่เศียรเกล้าแล้วปฏิบัติอย่างจริงจังกันเสียทีเถิด....

    ปากบอกว่ารักในหลวง แต่ทำได้แค่ ใส่เสื้อ ใส่ปลอกแขน แค่นี้เองเหรอ...
    ไม่ดูพระองค์ท่านบ้าง ตรากตรำพระวรกาย ก็เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
     
  6. blackky

    blackky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2009
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +27
    มันไม่ใช่ของหลวงพ่อฤาษีแน่นอนครับ น่าจะเป็นของหลวงพ่อจรัญครับ
    เท่าที่ผมเคยอ่านมาและจำไม่ผิดนะครับ (ถ้าผิดก็ขออภัยแต่ไม่ใช่ของหลวงพ่อฤาษีแน่นอน)
    เพราะเคยค้นอยู่ครับเรื่องกลอนบทนี้
     
  7. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    ขออภัยครับเพราะความรีบร้อนไม่ได้หาข้อมูลให้ละเอียดก่อนเเต่หลายคนเเละหลายเว็บที่นำข้อมูลที่ผิดพลาดไปลงว่าเป็นของหลวงพ่อฤาษีครับ จริงๆเเล้วเป็นบันทึกของ สมเด็จโต ครับ


    " คำทำนาย ชะตาเมืองไทย ของสมเด็จโต"

    จากหนังสือจุลสาร " 1999 โลกพินาศ 2542 แผนอยู่รอด "

    รวบรวมโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์



    ในหนังสือ "ปัญญาไทย 1" ที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับประวัติ ผลงานอภินิหาร และ เกียรติคุณ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ของ มหาอำมาตย์ ตรีพระยาทิพโกษา ( สอน โลหะนันท์ ) ซึ่งเป็นฉบับที่ ม.ล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ รวบรวมในปี พ.ศ.2493 โดยไม่มีการแก้ไขข้อความเดิม ในหน้า 27 มีการพยากรณ์ ถึงชะตาเมือง ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

    หลังจากที่ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังษี ได้มรณภาพลง เมื่อวันเสาร์แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งตรงกับ วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415

    ตอนเที่ยงคืน เช้าวันรุ่งขึ้น นายอาญาราช ( อิ่ม ) ศิษย์ก้นกุฏิ ของเจ้าประคุณสมเด็จ เข้าไปเก็บกวาด ในกุฏิของท่าน ขณะทำความสะอาดพื้นกุฏิ นายอาญาราชได้พบ เศษกระดาษชิ้นหนึ่งซุก อยู่ใต้เสื่อเป็นลายมือของเจ้าประคุณสมเด็จ เขียนสั้นๆ โดยสังเขป เป็นคำทำนายชะตาเมือง มีความว่า

    “มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สินทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์จน ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล”

    ห ม า ย เ ห ตุ คำทำนายของสมเด็จข้างต้นนี้หาอ่านได้จากหนังสือ " NOSTRADAMUS นอสตราดามุส"

    ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน พิมพ์ครั้งที่ 8 เมษายน 2540
    • หาข้อมูลที่มาที่ไป แล้วยังไม่พบ อาจจะเป็นเพราะว่าท่านได้อ่านจารึกอัษรขอม ในประวัติของวัดราชบุรณราชวรวิหาร ใช่หรือไม่?
    • ส่วนใหญ่ตีความว่าเป็นปริศนาพยากรณ์ ๑๐ รัชกาล
    ๑. มหากาฬ ๒.พาลยักษ์ ๓.รักมิตร (รักบัณฑิต) ๔. สนิทธรรม ๕. จำแขนขาด ๖.ราษฎร์โจร (ราชโจร) ๗.ชนร้องทุกข์ ๘.ยุคทมิฬ ๙. ถิ่นตาขาว(ถิ่นกาขาว) ๑๐.ชาวศิวิไลซ์

    เเล้วก็มีคนเอาคำทั้งสิบนี้ไปขยายความต่อครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2011
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    อย่าตีความเลยครับคำทำนายมั่วๆๆทำนายบ้านเมือง
     
  9. เพชรกร

    เพชรกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +1,260
    ๑. มหากาฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปราบดาภิเษก คือปราบกบฎที่ก่อความเดือดร้อนให้บ้านเมือง และสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงถูกพวกกบฎจับกุมคุมขังและยึดอำนาจ ฐานวิกลจริต (กล่าวหาว่าเป็นบ้าเสียสติ)ด้วยการนำไปประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ และตั้งตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในการนี้ทำให้ผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าตาก และผู้ที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงผู้ที่เสียผลประโยชน์ เกิดแข็งข้อ ไม่ยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ไม่ยอมรับว่างั้นเถอะ จึงได้มีพระบรมราชโองการปราบพวกไม่เห็นด้วย หรือพวกกบฎต่อแผ่นดินใหม่ให้ราบคาบ มีการสังหารล้างโคตรกันทีเดียว ถึง ๘๒ ครัวเรือน มีการประกาศใช้กฎปราบกบถ กฎมณเทียรบาล และกฎอัยการศึก ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งเป็นเรื่องหวาดเสียว น่ากลัวมาก เพราะบ้านเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ (คือสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงใหม่) ยังระส่ำระสาย หาความเป็นปึกแผ่นมั่นคงไม่ได้ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยความเฉียบขาด จึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคมหากาฬ" หรือ"ยุคดำมืด" เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า "บ้านเมืองใหม่จะอยู่หรือจะไป" ยิ่งมีสงคราม ๙ ทัพ จากพวกคุณหม่องมาสั่นประสาทชาวบ้านด้วยแล้ว ใครเกิดยุคนี้ล่ะก็ ร้องได้คำเดียวว่า "กลัวแล้วจ้า" (เพราะคนไทยยังไม่หายเข็ดกลัวพม่ายังไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำและขุนนาง เพราะสร้างความเหลวแหลกไว้เยอะในตอนก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา)

    ๒. พาลยักษ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นยุคแห่งความวิบัติเคราะห์ร้าย ของผู้คนในแผ่นดิน เนื่องจากเกิดอหิวาตโรค (โรคห่า โรคท้องร่วง) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ โรค ได้ระบาดไปทั่วเมือง มีผู้คนล้มตายลงวันละมากๆ เพราะการแพทย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ ตามสุสานวัดสำคัญต่าง ๆ เช่น วัดสระเกศ , วัดบพิตรพิมุข เต็มไปด้วยซากศพผู้เสียชีวิต ในแม่น้ำลำคลองก็ยังมีซากศพลอยขึ้นอืดกันให้เกลื่อน เป็นที่อุจาดตาส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง น่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก ถนนหนทางมีแต่ความเงียบสงัดวังเวง ผู้คนต่างหลบซ่อนอยู่ภายในบ้าน บางครอบครัวก็อพยพหลบหนีโรคร้ายไปอยู่เสียหัวเมือง ในการนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ถึงกับรับสั่งให้ทำพระราชพิธียิงปืนใหญ่รอบกำแพง พระบรมมหาราชวัง ๑ คืน (เป็นความเชื่อที่ว่า โรคห่า เกิดจากการกระทำของยักษ์มาร ภูติผีปีศาจ จึงต้องมีพิธีการสวดมนต์ ปัดรังควาน ยิงปืนใหญ่ขับไล่ ให้มันตกใจกลัวจะได้หนีไป ทำคล้ายกับพิธีสวดภาณยักษ์ หรือสวดอาฎานาฎิยปริตร นั่นแหละครับ) ทรงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตอันศักดิ์สิทธิ์ และพระบรมธาตุออกแห่แหน เป็นการขับไล่และปลอบขวัญพลเมือง ในที่สุดโรคร้ายก็สงบ แต่กว่าจะสงบราบคาบประมาณกันว่ามีผู้เสียชีวิตถึงสามหมื่นคนทีเดียว นับว่าไม่น้อยเลยครับในสมัยนั้น

    ๓. รักมิตร หรือ รักบัณฑิต ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การค้าขายกับต่างประเทศ (รัชกาลที่ ๒ ทรงสัพยอกท่านว่า"เจ้าสัว") ได้มีการเริ่มต้นเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอันได้แก่ อังกฤษ, อเมริกา ฯลฯ โดยเริ่มต้นจากการค้านั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ทรงโปรดปรานชุบเลี้ยงคนที่ตั้งใจทำราชการอย่างจริงจัง มากกว่าพวกประจบสอพลอ

    ๓. รักมิตร หรือ รักบัณฑิต ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การค้าขายกับต่างประเทศ (รัชกาลที่ ๒ ทรงสัพยอกท่านว่า"เจ้าสัว") ได้มีการเริ่มต้นเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศอันได้แก่ อังกฤษ, อเมริกา ฯลฯ โดยเริ่มต้นจากการค้านั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ทรงโปรดปรานชุบเลี้ยงคนที่ตั้งใจทำราชการอย่างจริงจัง มากกว่าพวกประจบสอพลอ

    ๔. สนิทธรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า พระองค์ท่านทรงออกผนวชนานถึง ๒๗ พรรษา ตลอดรัชกาลที่ ๓ เลยก็ว่าได้ จะเรียกว่าบวชลี้ภัยการเมืองก็ได้ เพราะขนาดออกบวชแล้ว ยังไม่วายูกใส่ร้ายป้ายสี ว่าจะก่อการกบถเลยครับ(ดีนะครับที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ ท่านทรงมีน้ำพระทัยหนักแน่น เยือกเย็น ไม่หูเบา) ดังนั้นเมื่อพระองค์ท่านลาสิกขาขึ้นครองราชย์ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของข้าราชบริพารจึงทรงฝักใฝ่ใธรรม สนับสนุนการเผยแพร่จริยธรรม ตลอดจนการพระศาสนาต่างๆ พระองค์เองก็ทรงชุดขาวถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ฟังธรรมทุกวันธรรมสวณะจึงเรียกยุคนี้ว่า"ยุคสนิทธรรม"

    ๕. จำแขนขาด ในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่น่าเศร้าใจอีกยุคสมัยหนึ่ง เพราะเป็นสมัยที่พวกตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ และฝรั่งเศส กำลังแข่งขันกรีฑาทัพเข้ายึดประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซีย เป็นเมืองขึ้น หรือที่เรียกกันว่า "ยุคล่าอาณานิคม" เมืองสยามของไทยเรานั้น เป็นเมืองรักสงบ เปรียบเสมือนลูกแกะ ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไรที่จะไปต่อกรกับชาติมหาอำนาจอย่างกับอังกฤษและฝรั่งเศส ประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยเรา ก็โดนเขากวาดเรียบไปหมดแล้ว เหลือพี่ไทยอยู่เจ้าเดียวเท่านั้น ดังนั้นในสมัยนี้ ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส จึงบีบไทยทุกด้าน หาเรื่องทุกอย่าง ที่จะเป็นเหตุยกทัพบุกยึดประเทศให้ได้ แต่ด้วยพระปรีชาญาณแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระองค์ได้ดำเนินวิเทศโยบายอย่างรัดกุม ทรงเสด็จประพาสยุโรป ถึง ๒ หน รวมไปถึงรัสเซียมหามิตรของไทยในสมัยนั้นด้วย นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมเพราะไทยเราได้เพื่อนเอาไว้เป็นไม้กันหมา ถึงกระนั้นก็เถอะ ไทยเรายังต้องยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ คือไม่ให้เกิดสงครามจนเราแพ้ต้องเสียเอกราช คือเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ร.ศ ๑๑๒ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๖) แก่ฝรั่งเศส หลังจากที่ในปี พ.ศ๒๔๓๑ ได้เสียแคว้นสิบสองจุไทย ให้มันไปแล้ว (ขออนุญาตใช้คำว่ามัน เพราะพฤติกรรมเยี่ยงอันธพาล)
    ต่อมามันก็หาเรื่องอีก ได้ถอนทัพเรือไปยึดจันทบุรีเอาไว้ ไทยต้องยอมมันอีก โดยยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง และเมืองหลวงพระบาง ให้เจ้าเศษฝรั่งไปครอบครอง ให้ไปร้องไห้ไปล่ะครับ ให้จนกว่ามันจะพอใจหรือไม่สามารถหาเรื่องเราได้อีกแล้ว ต้องจำแขนขาดเพื่อรักษาชีวิต หรือผืนดินแผ่นใหญ่เอาไว้ให้ลูกหลานจนทุกวันนี้ (เรื่องของไอ้เศษฝรั่งนี่มันยังทำแสบ โดยวางแผนปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวเสด็จประพาสบ้านเมืองของมันอย่างแยบยล เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามอ่านในตอน "คำพยากรณ์หลวงปู่เอี่ยม กับ ร.๕"
    ส่วนอังกฤษนั้น ค่อยยังชั่วน้อยหน่อย ไม่ถึงกับพาลหาเรื่องนัก โดยในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ไทยเรายอมทำสัญญา ยกดินแดนหัวเมืองทางมาลายู คือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้อังกฤษ เพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต หรือ อำนาจศาลกงสุล

    ๖. ราษฏร์โจร (ราชโจร) ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ไทยเรามีการนิยมของนอก มีการฟุ้งเฟ้อ เอาอย่าง เลียนแบบ วัฒนธรรมตะวันตก โดยเฉพาะในหมู่ข้าราชบริพาร ขุนน้ำขุนนางในราชสำนัก มีการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์กันมากเกินไป จนแทบจะไม่มีความหมาย เป็นยุคเริ่มต้นแห่งภัยพิบัติในด้านเศรษฐกิจที่จะตามมาในยุคต่อไป การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน ทำลายแผ่นดินทางอ้อม ในสมัยนี้มีผู้คิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนกัน แต่ทำไม่สำเร็จกลายเป็นกบฎไป (กบฎ รศ.๑๓๐)

    ๗. ชนร้องทุกข์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดเป็นยุคที่ผู้คนพลเมืองต้องประสบกับภาวะ "ข้าวยากหมากแพง" ผู้คนอดอยาก แร้นแค้นด้วยสภาวะเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ และผลสืบเนื่องมาจากการฟุ้งเฟ้อในรัชกาลก่อน มีการปลดข้าราชการออกเพราะไม่มีเงินเบี้ยหวัด เงินปีให้ เป็นสมัยที่เริ่มให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงร้องทุกข์ แสดงความคิดเห็นจนกระทั่งมีการกระทำที่รุนแรงถึงขั้นปฏิวัติยึดอำนาจ ให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์ มาเป็นประชาธิปไตย จนในที่สุดพระองค์ต้องทรงสละราชสมบัติ และเสด็จไปสวรรคต ณ ต่างประเทศ

    ๘. ยุคทมิฬ ในสมัยรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จัดเป็นอีกยุคหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ชาติไทยต้องจารึกไว้ไม่มีวันลืม เพราะองค์ในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งของเรา ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงแก่สวรรคต แม้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ คดีก็ยังคลุมเครือ เป็นที่วิพากย์วิจารณ์ เป็นที่กินแหนงแคลงใจของคนทั่วไปถึงสาเหตุแห่งการลอบปลงพระชนม์ และผู้บงการ บ้านเมืองในยุคที่เริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ จัดเป็นยุคที่มีการแย่งชิงอำนาจ มีการปฏิวัติ รัฐประหาร เข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองจัดได้ว่าเป็น "ยุคทมิฬ" ยุคแห่งความเหี้ยมโหด ไร้ความปราณีและศีลธรรมอย่างแท้จริง

    ๙. ถิ่นตาขาว (ถิ่นกาขาว) ในยุคสมัยปัจจุบันแห่งองค์ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระภัทรมหาราชเจ้า มีชื่อเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" ซึ่งคงจะหมายถึงพวกฝรั่งตาน้ำข้าวละกระมัง เพราะเป็นยุคที่องค์พระประมุขของเรา พร้อมด้วยองค์พระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะซีกโลกทางด้านตะวันตก นอกจากนั้นแล้วยังทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนอย่างมากมายเช่นกัน ฝรั่งตาน้ำข้าวเองก็ "อะเมซิ่งไทยแลนด์" ไม่น้อย พากันมาเที่ยวเยี่ยมเยียน ไอ้ที่ติดใจสาวไทย รสอาหารแบบไทยๆ บรรยากาศแบบไทยๆ ก็ตั้งรกรากอยู่เมืองไทยซะเลย กลายเป็นถิ่นฐานของพวกเขาไปซะแล้ว เหตุนี้กระมังจึงเรียกยุคนี้ว่า "ถิ่นตาขาว" และอีกคำหนึ่งที่เพี้ยนเสียงไปเป็น "กาขาว" ล่ะ หมายความว่าอย่างไรดี ตอนแรกนะผมนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ว่า "ตา" จะเป็น "กา" ไปได้อย่างไร แต่พอมาระยะ ๕-๖ ปีให้หลังมานี้ผมึง "บางอ้อ" ไม่ใช่พี่ไทยเลี้ยงอีกาสีขาวหรอกครับ เพราะกายังไงเสีย กาขนมันก็ดำวันยังค่ำ แต่ คนไทยเราไม่เจียมบอดี้ หรือไม่เจียมตนน่ะซิครับ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่ผิดเพี้ยนเลยคือมีการนิยมของนอก มีการใช้จ่ายที่เกินตัว ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ขนาดลงทุนเป็นหนี้เป็นสินเขาดอกเบี้ยสูงขนาดไหนก็เอา เห็นผิดเป็นชอบ เห็นดำเป็นขาว เหมือนอีกาที่ขนดำก็อยากจะทำให้มันขาว คราวนี้แจ่มชัดหรือยังว่า ทำไมเมืองไทยถึงเป็น "ถิ่นกาขาว" หรือ"ถิ่นตาขาว" ไม่รู้ลองไปถามไอ้พวกฝรั่ง " IMF " ดู แล้วจะรู้ไปถึงก้นบี้งหัวใจ

    ๑๐. ชาวศิวิไลซ์ หมายถึงยุคที่ ๑๐ หรือรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งยังมาไม่ถึง มีผู้ตีความกันต่าง ๆ นานาเมื่อดูจากความหมายแล้ว คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง สงบสุขร่มเย็น ดังนั้นก็เป็นอันเชื่อขนมกินกันได้เลยว่า ในรัชสมัยต่อไป ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราจะต้องเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มั่นคงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ประชาชนจะอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข หน้าชื่นตาบานกันทุกถ้วนหน้า จริงเท็จประการใด กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
     
  10. Cutie Kung

    Cutie Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,283

    ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

    ถ้าอ่านทั้งสองประโยค ต่อกัน จะเข้าใจว่า
    มีผู้นำเป็น ผู้หญิง แต่ว่าจะมี่กระแสต่อต้านประดุจน้ำเชี่ยวกราก
    ไม่รู้ว่าตีความถูกไหม


    มีขบวนการล้มเจ้าได้ ก็มี ขบวนการพิทักษ์เจ้า ได้ --- เห็นด้วยคร่าาาา
    :cool::cool::cool::cool::cool:
     
  11. jibakun

    jibakun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +204
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ อยากให้เด็กที่อายุ 15 ปีรุ่นใหม่ได้ดูพระราชกรณียกิจที่ในหลวงและพระราชินี สมเด็จย่าของเราท่านทรงทำ
    ไม่ค่อยได้เห็นพระองค์ท่านอยู่วังซักเท่าไหร่
     
  12. joyha

    joyha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +102
    บุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ทำตั้งแต่อดีตชาติ ขอเป็นกุศลส่งผลให้ฟ้าหญิงทรงพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...