คนที่มีหนี้ 7 ล้าน เหลือเงิน 3,750 บาท ปัจจุบันมี 100 ล้าน จากการปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย 108man, 23 ธันวาคม 2005.

  1. 108man

    108man เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +1,794
    จากคนที่มีหนี้ 7 ล้าน เหลือเงินเพียง 3,750 บาท ปัจจุบันมีเกิน 100 ล้าน จากหนังสือของ คุณศิริพงษ์ อัครศรียุกต์ เจ้าของ Hawell's

    ซึ่งได้นำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนสำเร็จและเป็นผู้พิสูจน์ให้เห็นจริงว่า ธรรมะในพระไตรปิฏกฉบับหลวงเชื่อถือปฏิบัติได้ 100% จากคำยืนยันของหลวงพ่อสรวง ที่เป็นอาจารย์ และ การปฏิบัติตามแนวข้างล่างนี่แหละที่ทำให้สามารถกลับมาทำธุรกิจได้(คือสรุปง่าย ๆ ว่าจะเกิดการรู้ขึ้นมา หรือบางที่ก็มีเสียงมาแนะนำ แต่ที่สำคัญเมื่อเค้าทดลองฝึกแล้วสามารถถอดกายทิพย์ออกจากกายได้ ก็เลย เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้รู้ที่แท้จริงและไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกเลย)

    คงต้องไปหาอ่านกันนะครับ พอดีในเรื่องตรงกับความคิดของผมหลายอย่างและแนวความคิดเดียวกันกับผมคือ การนำพระธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ในชีวิดประจำวันและการทำงานทำให้ชีวิตเจริญงอกงามไม่ขึ้นกับปัจจัยภายนอก ก็เลยถูกใจครับ

    หลักวิธีทำสมาธิคือรูปฌาน ๔ ของหลวงพ่อสรวง

    การปฏิบัติธรรมตามแบบสมถวิปัสสนานั้นขอให้ศิษย์ทุก ๆ คนพึงมีความเห็น ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง คือทุก ๆ คนที่จะปฎิบัติกรรมฐาน ได้ก่อนอื่นก็จำต้องรู้จักรักษาศีลห้าให้ได้เมื่อมีศีลแล้วก็เริ่มปฏิบัติได้การปฏิบัติเมื่อมีศีลห้าแล้ว ก็เริ่มฝึกหัดทำฌาน ( ชาน )
    ซึ่งเป็นการทำสมาธิแบบหนึ่งและมีขั้นตอนวิธีการปฏิบัติเป็นขั้นๆ ไปฌาน นั้นมี ๘ องค์ แบ่งเป็น รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน๔ในที่นี้เราจะทำแค่รูปฌาน ๔ ก็นับว่าเพียงพอแล้วรูปฌาน ๔ นั้นมี ๔ องค์ คือ

    ฌานที่ ๑ วิตก วิจาร
    ฌานที่ ๒ ปิติ
    ฌานที่ ๓ ฌานสุข
    ฌานที่ ๔ เอกัคคตา อุเบกขา


    ทำไมเราต้องทำฌาน ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่าตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าการที่เรามุ่งหวังไปพระนิพพาน ให้เข้าถึง พระนิพพานนั้น ต้องปฏิบัติตามมรรค มีองค์ ๘

    องค์ที่ ๑ สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ
    องค์ที่ ๒ สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
    องค์ที่ ๓ สัมมาวาจา คือ วจีกรรมชอบ
    องค์ที่ ๔ สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ
    องค์ที่ ๕ สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
    องค์ที่ ๖ สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
    องค์ที่ ๗ สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ
    องค์ที่ ๘ สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งจิตมั่นชอบ


    ตั้งแต่มรรคองค์ที่ ๑ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบนั้นจะต้องเห็นชอบในอริยสัจ ๔ อันมีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ส่วนมรรคองค์ที่ ๘ เป็นบัญญัติสัมมาสมาธิท่านบอกไว้ว่าให้มีรูปฌาน ๔ ถ้าเราไม่รู้จักฌาน ๔ เราก็ทำวิปัสสนาไม่ได้ มีความจำเป็นมาก การจะทำสมาธิเฉย ๆ คือสมาธิแบบที่บัญญัติเหมือนกัน สมาธิมี ๓ องค์ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปณาสมาธิ ในสมาธิทั้ง ๓ ขั้นนี้ ยากที่เราจะรู้ได้ เพราะก้าวแต่ละก้าว แต่ละขั้น ตั้งแต่ขณิกสมาธิ ไปอุปจารสมาธิมันละเอียดมาก จิตละเอียดเป็นขั้น ๆ จากอุปจารสมาธิเป็นอัปปณาสมาธิก็ยิ่งละเอียดที่สุด แต่เมื่อมาทำเป็นฌานแล้วมันซอยถี่เข้าเป็น ๔ ขั้น ความจริงฌานนั้นมีอยู่ ๕ ตามบัญญัตตามแผน ๕ เรียกปัญจฌาน แต่ที่นิยมในตำราในพระสูตรกล่าวไว้มี ๕ ในพระอภิธรรมหรือบัญญัติไว้ในธรรมวิภาค รูปฌาน ๔ เรียกฌาน ๔ ไม่ได้เรียกฌาน ๕ คือรูปฌานที่ ๑ นั้นแยกวิตกเป็นฌาน หนึ่ง วิจารเป็นฌาน หนึ่ง วิตกก็คือความนึกคิดนั่นเอง วิจารก็คือ ความหยุดความนึกคิดได้ เมื่อเราหยุดความนึกคิดได้ ฌาน ๑ ก็เกิดแก่จิตเรา

    การนั่งกัมมัฏฐาน ก่อนที่จะนั่งต้องกราบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ต้องมีศรัทธา เชื่อมั่นใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นของมีจริง เป็นของที่เราเคยเคารพศรัทธาอย่างสูง ไม่มีสิ่งใดที่เราจะเคารพยิ่งกว่าพระรัตนตรัยนี้แล้วก็กราบคุณบิดามารดา อีกครั้งหนึ่ง กราบครูบาอาจารย์อีกครั้งหนึ่งเรียกว่า ปัญจเคารพ และเมื่อเราออกจากการนั่งสมาธิก็เช่นเดียวกัน กราบอีก ๕ ครั้ง
    ทั้งนี้ก็เพื่อว่าให้เรามีศรัทธา มีความเคารพ ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูอาจารย์ บิดา มารดาของเรา ก็เป็นพระอรหันต์ของลูก พระพุทธองค์ตรัสไว้อย่างนั้นและก็เป็นความจริงเช่นนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องกราบไหว้บูชา เป็นการระลึกถึงพระคุณของท่านครูบาอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน การที่เรามีความรู้ในปัจจุบันได้ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ ผู้มีความรู้สั่งสอนเรา เราจึงได้ ้ความรู้ ไม่มีใครรู้ขึ้นมาเองต้องอาศัยครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น แม้จะทางโลกก็ตามยิ่งทางธรรมด้วยแล้วยิ่งสำคัญมาก เพราะการไม่รู้หรือรู้ผิด ๆ แล้วมาสอนเรา ผู้เป็นศิษย์ก็ต้องรู้ผิดไปด้วย ต้องหลงไปด้วย เมื่อครูบาอาจารย์เรายังเป็นผู้หลงอยู่ เหตุไฉนจะสอนศิษย์ให้เป็นผู้หลงไม่ได้ ก็ต้องสอนศิษย์ให้เป็นผู้หลง เมื่อครูอาจารย์ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง จะไปสอนศิษย์ให้รู้แจ้งเห็นจริงได้อย่างไรก็รู้ไม่ได้้นี่ให้ทำความเห็นอย่างนี้ให้ถูกต้อง ฉะนั้น จึงจำเป็นที่เราต้องระลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์ด้วย เหมือนกับตัวอาจารย์นี้ไม่เคยคิดว่า
    ให้พวกศิษย์หรือใคร ๆ กราบไหว้ครูอาจารย์หนักหนา เพราะในความคิด ความนึกในใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ เพราะไม่ได้ยึดถือ โลกธรรม ๘ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็เช่นเดียวกัน นี่เป็นโลกธรรม ๘ ฝ่ายดี ๔ ฝ่ายไม่ดี หรือฝ่ายชั่ว ๔ ก็ไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น ในการสั่งสอนศิษย์ก็เพื่อเป็นแบบแผนให้ศิษย์มีปัญญา ถ้าศิษย์ไม่เครพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา และครูอาจารย์แล้ว จะไปเคารพอะไร เมื่อไม่ศรัทธาในการกราบไหว้บูชา การกราบไหว้บูชา นี้เป็นการแสดงความกตัญญู กตเวที รู้คุณด้วยและการตอบแทนบุญคุณคือการกราบไหว้นั้น การกราบไหว้ นั้นเป็นการทำจิตใจเราไห้ผ่องใสเป็นสิริมงคล เราจึงจำเป็นต้องปฏิบัติ การนั่งก็เช่นเดียวกัน เวลานั่งกัมมัฏฐานถ้าเป็นฝ่ายอุบาสิกาจะนั่งพับเพียบก็ได้ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ ฝ่ายอุบาสก หรือผู้ชายนิยมนั่งขัดสมาธิคือนั่งเอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาวางบนมือซ้ายบนตักของเราและตั้งตัวให้ตรงอย่าให้ตัวงอ หน้าตรงอย่าก้ม ถ้านั่งหลังงอแล้วนั่งได้ไม่ทน มันจะปวดเอว ปวดหลังทำให้เรานั่งนานเป็นชั่วโมงหรือ๔๐,๕๐ นาทีไม่ได้

    ฉะนั้นกายให้ตั้งตรงเมื่อเสร็จแล้วก็เริ่มบริกรรมภาวนาคือใช้ เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา ว่าเป็นอนุโลม คือว่าไปข้างหน้า ปฏิโลม คือถอยหลัง ว่าซ้ำอยู่อย่างนั้น

    เมื่อมีความคิดใดๆ ขึ้นมาที่จิตไม่ว่าเรื่องอะไร โดยมากจิตเรานั้นชอบนึกชอบคิดเสมอเวลานั่งกัมมัฏฐาน จึงหาอุบายให้ว่ากัมมัฏฐาน พระพุทธองค์จึงมีอุบายให้จิต ไปยึดกัมมัฏฐาน ๕ เสีย นอกจากกัมมัฏฐาน นั้นมีกัมมัฏฐานอื่น ๆ อีกทั้งหมดตั้ง ๔๐ อย่าง แต่จะไม่สอนเพราะถือว่ากัมมัฏฐาน ๕ เป็นสิ่งสำคัญ เหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญก็เพราะว่าตามบัญญัติเรียกว่าเป็นโกฏฐาต คือเป็นสิ่งขอที่หยาบมีอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เมื่อว่าไป ๆ แล้วจิตมันก็ยึดกัมมัฏฐานได้ การที่จิตยึดกัมมัฏฐานได้ไม่หลง ถ้าหลงอย่าไปเที่ยวค้นหา เช่นว่า เกศา โลมา แล้วมัน ลืมเสียไม่รู้อะไรจำไม่ได้ อย่าเที่ยวนึก ถ้านึกแล้วเดี๋ยวสังขารขันธ์ของเรานั่นมันเอาตัวอื่นมาใส่ให้เอาเรื่องอื่นมาใส่ให้ อ้าว…เราไปกับเรื่อง
    อื่นเสียพักหนึ่งแล้ว ฉะนั้นอย่าไปนึกขึ้น ให้ตั้งต้นว่า เกศา โลมา ใหม่ ไม่นึกอะไร ถ้ามันเกิดนึกคิดอะไรก็ละเสีย เพราะธรรมชาติของจิตมันชอบนึกคิดอยู่นิ่งไม่ได้ เราว่าอย่างนี้ เมื่อจิตตั้งมั่นไว้ได้ดีแล้วฌาน ๑ จับได้ดี ไม่มีความนึกคิดอื่นยึดกัมมัฏฐานได้มั่นคงแล้ว จะเกิด ความรู้สึกขึ้นมา รู้สึกว่าขนลุกขนพอง หรือซาบซ่านที่ผิวกายลุกซู่ ๆ ซ่า ๆ อะไรอย่างนี้ บางทีก็รู้สึกตัวพองออกไปตัวมันยาวขึ้น บางทีตัวมันเตี้ยลง แล้วมาตัวเล็กตัวเบา ทีนี้มันก็มีการกระตุกที่มือ หรือที่เท้า นี่ฌาน ๒ เริ่มจับแล้ว


    รูปฌานที่ ๒ ที่เริ่มกระตุก เมื่อกระตุกแล้วอย่ากักไว้กดไว้ คือเราอย่าเกร็งข้อ เกร็งมือไว้ ปล่อยให้มันสั่น การที่กายโยก กายสั่นโยกคลอน ดังสนั่นหวั่นไหว นั่นแหละเป็นปิติ ฌาน ๒ ชื่อของปิติอันนี้ชื่อว่า "อุพเพงคาปิตติ" ส่วนที่รู้สึกซาบซ่านตามผิวกายเรียกว่า "ผรณาปิติ" นี้ผู้ปฏิบัติจะต้องให้มีอุปเพงคาปิติจึงจะสมบูรณ์ เพราะเหตุว่าฌาน ๒ นี้ อุปเพงคาปิติ นี้เป็นฤทธิเป็นกำลังที่เราต้องทำฌานก็เนื่องจากว่า ฌานนี้เมื่อได้ฌาน ๔ มันก็สู้กับทุกขเวทนาได้ คือเจ็บปวดต่างๆ หรือง่วงเหงาหาวนอนมันสู้ได้ถ้าไม่มีฌานแล้วสู้ไม่ได้ นอกจากนั้นเมื่อปฏิบัติสูงแล้ว การเหาะเหินเดินอากาศด้วยกายในกายของเราหรือที่เรียกว่า กายทิพย์ ก็อาศัยฌานนี่เหละเหาะเหินเดิน อากาศ การรู้การเห็นต่าง ๆ การได้ยินเสียง การได้กลิ่น การได้รส การมีโผฏฐัพพะการทบกายต่างๆ รู้ได้ด้วยฌานทั้งสิ้น หูทิพย ์ ตาทิพย์ หยั่งรู้ใจคน มีอิทธิฤทธิ์ระลึกชาติได้ แล้วก็มีฤทธิ์ทางใจเรียกว่า มโนมยิทธิ แล้วทำกิเลสให้หมดไปจากจิตใจได้ ก็อาศัยการฟอกจิตใจ ให้สะอาด ด้วยฌานนี่เหละ จึงจำเป็น ถ้าขาดฌานเสียมรรคตัวที่ ๘ ก็ไม่มี ฉะนั้น ใครจะไปพระนิพพานกับมรรค ๗ ตัว ๖ ตัว ๕ ตัว หรือมรรคตัวเดียวไม่ได้ทั้งสิ้น มรรคต้องครบทั้ง ๘ ตัว ๘ องค์

    รูปฌานที่ ๓ เมื่ออุเพงคาปิติขึ้นโครมๆ ดีแล้ว การสั่นมาท่าต่าง ๆ มันโยกหน้า โยกหลัง มีสติอยู่ไม่ให้ล้มหงายไป เมื่อมีสติอยู่รักษาจิตมันก็มีสัมปชัญญะสำหรับคุมกายไว้เอง เพราะสัมปชัญญะอยู่คู่กับสติ สตินี่ เป็นสิ่งสำคัญคุมจิต สัมปชัญญะคุมกาย ธรรม ๒ ประการนี้เป็นธรรมที่มีอุปการมาก คือส่งเราให้ไปถึงพระนิพพานได้ทีเดียว ธรรมที่มีอุปการมาก คือ สติสัมปชัญญะ คนขาดสติ คนบ้าใบ้ คนสติฟั่นเฟือน ปฏิบัติไม่ได้นี่เป็นหลักสำคัญ เมื่อเราเข้าได้ฌาน ๒ ดี แล้ว เราก็กระตุกขึ้นไป จิตคิดว่า ฌาน ๓ อย่านึกถึงฌาน ๒ อีก ถ้านึกมันก็ขึ้นอีก ขึ้นโครมๆ คือจิตถอยลงมาเสีย เมื่อไปถึงฌาน ๓ แล้ว ฌาน ๓ เราจะมีความรู้สึกแต่ไม่ทุกครั้ง บางครั้งแต่เป็นส่วนมาก เรียกว่าฌานสุข กายก็มีความสุข ฌานที่ ๓ จึงได้ชื่อว่า ฌานสุข เมื่อเราไปอยู่ในฌาน ๓ พอสมควรแล้วเราก็มีสติกำหนดที่จิตว่า ๔ กระตุกตัวขึ้นไปอีกแล้วก็อย่าลดตัวลงมา เมื่อกระตุกตัวขึ้นไปแล้วอย่าลดลงมาให้อยู่เฉย แล้วก็ผ่อนลมหายใจให้อ่อน ว่ากัมมัฏฐาน เรื่อยไป จิตมันจะแนบขึ้นๆ แนบเข้าๆ มือจะเริ่มชาขึ้นมา เท้าก็จะเริ่มชา คือชาทั้งปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่ก้นของเราก็เริ่มชาขึ้นมา ไม่ใช่เหน็บชา ชานั้นไม่เจ็บไม่ปวด ริมฝีปากนี้ก็ชา แล้วลิ้นนี้ก็ชา ถ้าจับดีจะมาถึงข้อมือ แล้วถึง กลางแขน ถึงข้อศอก ถึงหัวไหล่ตัวนี้มันจะเหยียดตรงเลย มันเกร็งเหมือนกับเกร็งอย่างนั้นเอง นั่นคือเป็นเรื่องของ ฌาน ๔

    รูปฌานที่ ๔ ที่เรียกว่าเอกัคตาอุเบกขา เอกัคตาอุเบกขาคือ ฌาน ๔ นี้ เสียงอะไรที่มากระทบเรา กระทบหูเราได้ยินไม่ใช่ไม่ได้ยิน แต่ทุกอย่างมันจะไม่รับเข้าไปเพราะใจมันวางเฉย ที่เรียกว่าอุเบกขาก็คือ ความวางเฉย นั่นเอง ตรงนี้ฝ่ายคณะที่เขาปฏิบัติทางวิปัสสนาเขาตำหนิติเตียนว่า ทำทางสมถะ คือทำฌานนั้นอ้า…ไป พระนิพพานไม่ได้เพราะว่าไปติดฌานเสีย นั่นเป็นความหลง เป็นโมหะของผู้ที่คิดเช่นนั้น ไม่รู้วิธีของการทำฌานแล้วทำอย่างไรถึงจะไม่ให้ติดฌาน โดยมากส่วนใหญ่ที่เห็นพวกปฏิบัติทางวิปัสสนาแล้วก็นั่ง เวลานั่งแล้วถึงเวลาออกก็ลืมตาออกมาเฉยๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นถ้ามีฌานจะต้องถอยฌานออกเป็นขั้นๆ จนถึงฌาน ๑ แล้วสลัดกายพร้อมกับสติคิดที่ใจนึกว่าออก พระพุทธเจ้าพระองค์สอนไว้ดี สอนไว้สมบูรณ์ทุกอย่าง โดยให้เข้าฌานออกฌานเป็นให้ชำนิชำนาญเป็นวสี

    การเข้าฌานนั้น เราเข้าไปตั้งแต่ฌาน ๑ ขึ้นฌาน ๒ จากฌาน ๒ ขึ้นฌาน ๓ จากฌาน ๓ ขึ้นฌาน ๔ เรียกว่า "เข้าฌาน" และที่จะต้องรู้จักออกฌาน ด้วย การออกฌาน กำหนดที่จิตว่าถอย ๓ คือถอยจากฌาน ๔ ลงมาฌาน ๓ พอถอยลงมา ๓ คือลดตัวลงมาหน่อยฌานก็ถอยแล้วเมื่อจิตคิดถอย ฌานมันก็ถอยลงมา อุเบกขาก็ค่อยหมดไปมาอยู่ที่ฌาน ๓ ฌานสุข แล้วก็ถอยจากฌาน ๓ อีกแหละ มาฌาน ๒
    พอถอยมาถึงฌาน ๒ ปิติ อุปเพงคาปิติก็ขึ้นโครมๆกายโยกกายสั่นอีก ตรงนี้มีพวกที่ได้ฌานใหม่ๆ ติดมาก มันติดเพราะมันสนุกมันเพลินมากรู้สึกเพลินมาก รู้สึกมีกำลังวังชาด้วย แล้วก็รู้สึก กายมันเบา อยากกระโดดโลดเต้นไปด้วยซ้ำมันกระโดดโลดเต้น แต่ว่ามันออกจะอึกทึกไปเอาเพียงให้มันสั่น กายโยกกายสั่นกายคลอนบางทีหมุนติ้วบางทีก็เอาแขน ๒ ข้างตีปีกดังเหมือนไก่ตีปีก บางคนก็ตบมือ ๒ มือเลยมีลักษณะต่าง ๆ ปีติทั้งหมดมี ๕ ชนิดแต่ละชนิดมี ๘,๙ อย่างเรื่องของอาการของปีติทั้งหมด ๓๘,๓๙ ปีตินี่ให้พึงเข้าใจ เมื่อออกมา ฌาน ๒ แล้ว เราก็ถอยออกฌาน ๑ อีกถอยมาที่ ๑ ถอยฌาน ๑ แล้วเวลาออกฌานก็สลัดหัวคิดว่าออกคือออกจากฌาน ๑ หรือออกจากฌานนั่นเอง การเข้าฌานตามขั้นเหมือนกับเราขึ้นบันไดเรือนขั้น ๑ ขั้น ๒ และ ๑ และก็ลงอีกเป็นแบบนี้ ถ้าใครอวดดีไม่ลงตามฌาน คือไม่ถอยลงมาจะเจอดีไปติดฌาน ๔ มันถอยไม่ออก มันเที่ยวเดินซึมอยู่นั่นแหละ ถ้าฌาน ๔ ไม่ออกจะเป็นคนไม่พูด และบางครั้งเขาถามอะไรก็ไม่ได้ยิน บางทีพูดอะไรคำหนึ่งและไม่พูดต่อ มันเฉยเสียให้รู้ว่าใครถึงฌาน ๔ แม้ฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงไม่สะดุ้งเลย แล้วในฌานนี้ทั้งหมดผู้ได้ฌานแล้วตั้งแต่ฌาน ๒,๓,๔ ไปแล้วมีฤทธิ์มีอำนาจวาจาสิทธิ์ วาจามีสัจจะ เราจะว่าใครให้ฉิบหายป่นปี้อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ถ้าว่าไปแล้วเป็นจริง ๆ เป็นไปได้เพราะตอนที่เรามีฌานทำฌานอยู่ทุกวันนั้น จิตเราเป็นพรหม กายเราเป็นมนุษย์จริงแต่จิตเป็นพรหมมีวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าได้พูดปรักปรำใคร อย่าได้กล่าวตำหนิใครในทางที่เสีย เสียไปจริง ๆ เช่นสมมุติว่าเห็นคนขึ้นต้นไม้ เราพูดขึ้น้เชิงเล่นว่า " เออ...ระวังนะ...มันจะตกลงมา " อย่าพูดเข้า ถ้าพูดมันตกลงมาจริง ๆ นี่สำคัญมาก ฉะนั้นเราต้องระวัง การทำฌานมีอานิสงส์สำหรับตัวฌานอยู่นอนก็หลับสบายไม่ฝันเลอะเทอะ ตื่นขึ้นมาก็สบายจิตใจผ่องใส ไม่เศร้าหมองหน้าตา มีสง่าราศีอิ่มเอแบด้วยเลือดฝาด ศาสตราวุธก็ไม่กินกาย ไฟก็ไม่ไหม้บ้าน แม้ยาพิษก็ทำอันตรายตนไม่ได้ และเป็นที่เอ็นดูรักใคร่ของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาคุ้มครองรักษา และเป็นผู้ที่มีโชคลาภ โรคภัยไม่ค่อยเบียดเบียน ถ้าใครเกิดตายลงขณะที่มีฌานไม่ไปเกิดในอบายภูมิ ต้องไปเกิดในพรหมโลก พรหมโลก รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น แล้วแต่กำลังที่เรามีฌานอยู่ถ้าเราอยู่ในฌานที่ ๔ เต็มที่ เวลาเราตายไปเกิดในชั้นที่ไม่เกินชั้นที่ ๑๑ คือวิสัญญีภพ อายุยืน ๕๐๐ กัลป์ ( ๑ กัลป์ เท่ากับ ๖,๔๒๐ ล้านปี )

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจารย์แสดงธรรมในเรื่องการปฏิบัติฌานที่ว่า ตาทิพย์ หูทิพย์ อาจารย์ได้รู้ได้พบ ได้เห็นมาแล้วทั้งสิ้น
    เป็นของมีจริง จึงยืนยันให้ศิษย์ทุก ๆ คน จงเชื่อมั่นในคำสั่งสอนที่ให้ไว้ที่นี้ คือตั้งใจปฏิบัติ เมื่อเราได้ฌานแล้ว เราจะรู้ทันทีว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของมีจริง ทำให้เรามีศรัทธาอันแรงกล้าขึ้นทีเดียว แล้วที่เมื่อก่อน เคยดูหมิ่นว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บางคนคิดเลอะเทอะไปว่าไม่มีอะไรจริงเหล่านี้ เมื่อเราทำฌานได้ เราจะรู้คุณค่าของพระธรรม ว่าพระธรรมเป็นของมีจริง เมื่อมีพระธรรมก็ต้องมีพระพุทธเจ้าจริง เมื่อมีพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็ต้องมีจริงพระสงฆ์ก็อาศัยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่แหละประพฤติปฏิบัติตามจนหมาอาสวะ ตามเยี่ยงอย่างพระพุทธเจ้า

    ผู้ปฏิบัติมั่นคงอยู่ในศีลในธรรมทำฌานให้ได้ เมื่อทำฌาน ๔ ได้ดีแล้ว จึงจะเริ่มวิปัสนาคืกการขึ้นไปหาธรรมปัญญาปัญญารู้จัก กิเลส ในขณะที่ทำฌานนี้ยังไม่ต้องละกิเลสอะไร และขอเตือนสติไว้อย่างหนึ่งว่าในขณะที่เรานั่งฌานจัตอย่าได้คิดอยากได้อยากเป็นฌานอยากเห็นอยากรู้อะไร ตัวอยากนี้เป็นตัวปัญหา เป็นภวตัญหา คือความอยากมีอยากเป็นอยากรู้อยากเห็น ถ้ามีตัญหามันก็มีกิเลส เมื่อมีกิเลส
    มันก็ไม่ได้ มีตัณหามันก็ไม่ได้ เราทำใจของเราเฉยๆ เป็นกลาง อย่าได้คิดอยากได้นั่นได้นี่ ถึงจะนานแสนนานที่นั่งอยู่ก็ต้องอดทน ขั้นต้นก็ต้องมีความอดทน มันจะเจ็บปวดอะไรก็ตามอย่าคิดอย่าเกา เช่นสมมุติมันคันขณะนั่งอย่าไปเกา ถึงแม้ยุงกัดหรืออะไรก็ตามก็ต้องมีีความอดทนถ้าจิตให้มือไปเกาหรือเคลื่อนไหว จิตก็เริ่มถอยไม่ยึดฌานเสียแล้ว นี่เป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นทุกๆ คนเมื่อมีความมุ่งหมายที่จะไป
    พระนิพพาน หรือรู้จักพระนิพพาน เราก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนนี้แหละอย่างเคร่งครัด พระเครื่องรางต่างๆ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์นั้นอาศัยฌานทั้งสิ้น ไม่ใช่อาศัยอื่น ตัวคาถาที่เขียนเป็นอักษรขอมไว้นั้น มันไม่ได้มีอะไรขึ้นมาหรอก มันตัวหนังสือ ถ้าขลังจริงที่ตัวหนังสือก็ไม่จำเป็นต้องเอามานั่ง ที่เรียกว่านั่งเสก นั่งปรกอะไรนั่น ที่เขาทำๆกันนั้น แต่อาจารย์นี้ไม่สอนตามนั้น พระพุทธเจ้าได้ห้ามไว้ การเล่น
    เครื่องลางของขลังเล่นไสยศาสตร์ต่างๆ ผิดศีลผิดวินัยพระ เป็นอาบัติทีเดียวแหละ งั้นผู้ที่มีความมุ่งหมายที่จะไปพระนิพพาน หรือพบพระนิพพานจงเลิกสิ่งเหล่านี้เสีย อย่าไปเล่นอย่าริเล่น เราตั้งใจให้มันเป็นแล้วจะได้ละกิเลส รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันเกิดขณะที่เรานั่งฌานนี่แหละทุกอย่างไม่ใช่ไปหาของข้างนอก มันเกิดขึ้นมาให้เราพบให้เราเห็นให้เรารู้ เราได้ยินเสียง เราก็ทำการละมันเรื่อยไป จึงเรียกว่าทำวิปัสสนา ส่วนวิปัสสนานั้นได้สอนไว้ ได้แสดงธรรมไว้เรื่องอิทธิบาท ๔ กับพละ ๕ ซึ่งต่อจากรูปฌาน ๔ นี้ไว้แล้ว

    ที่แสดงธรรมมานี้เราทุกคน จงปลูกศรัทธาให้มั่นคง มีความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ มีสัจจะคือ มีความจริงใจในการที่จะกระทำที่จะปฏิบัติ อย่าเป็นคนเหลวไหล หละหลวม ผัดวันประกันพรุ่ง อย่าเป็นคนเกียจคร้าน และรักษาศีลให้ดีให้เรียบร้อย ศีลขัดเกลากิเลส หยาบ ธรรมะหรือสมาธิคือขัดเกลากิเลสอย่างกลาง ที่จิตเมื่อเรารักษาศีลดี เรานั่งสมาธิก็ได้เร็วเป็นหลักอยู่ในตัวคือศีลวิสุทธิ ทิฏฐิก็คือปัญหานั่นเอง กล่าวโดยสรุปคือศีล สมาธิ กับ ปัญญา เป็นองค์ของมรรค ๘ ย่อลง ถ้าเราปฏิบัติตรงแล้วทุกอย่าง รักษาศีลดีแล้ว ทำสมาธิ คือฌาน เพื่อให้เกิดปัญญาจะได้รู้จักกิเลส จึงมีความจำเป็นอย่างนี้ ขอเน้นว่าจงทำตามที่สั่งสอนนี้ ขึ้นไปตามขั้นตอนสูงขึ้นเรื่อยๆ ตรงตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    ที่อาจารย์ปฏิบัตินี้ รู้แน่ชัด ขอยืนยันไว้กับศิษย์ทุกคน ว่าไม่มีคำสั่งสอนใดที่อาจารย์คิดขึ้นเอง ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธ องค์ครบถ้วนทั้งสิ้น จึงสามารถสอนพวกเราได้ ถ้าไม่รู้จริงอาจารย์ไม่กล้าสอนพวกเรา เพราะนรกเป็นของมีจริง การสอนให้ศิษย์ทำผิด ครูบาอาจารย์เป็นผู้ลงนรกศิษย์ไม่เท่าไหร่หรอก นี่เป็นหลักสำคัญ จะอวดดี อวดเก่งไม่ได้ ในการที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสรู้แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว และพระอรหันต์ต่างๆ เช่น พระสารีบุตร เอกอัครสาวก พระโมคคัลลานะ อัครสาวก พระกัสสปะเถระเป็นพระอรหันต์ ประกอบด้วย มีอภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ การเขียนตำราใดๆ ขึ้นใหม่โดยอัตโนมัติเพื่อสั่งสอนผู้อื่น ที่คิดว่าวิเศษยิ่งกว่าคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ที่มีอยู่ในพระธรรมนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ รู้ที่ใจไม่ใช่รู้จากการพูด

    หรือจะฟังเสียงจาก หลวงพ่อสรวง ปริสุทโธ วัดถ้ำขวัญเมือง

    http://www.wattham.org/Image4/sound/Pokipak1.wma
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2005
  2. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    anumothana ka
     
  3. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    ทำไม คนรู้จักผมที่ปฏิบัติธรรมไม่เห็นเคยเป็นหนี้ และไม่เคยรวยเป็นร้อยล้านด้วย ทำแค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ มันเกี่ยวกันมั้ยเนี้ย
     
  4. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    มันก็อยู่ที่ปัจจัยอื่นๆด้วย ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้วรวยร้อยล้านเสมอไป
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    ถ้าจริงก็โอเคนะ


    แต่ถ้าไปแอบทำธุรกิจมืดแล้วมาอธิบายว่าฉันไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ
    ไม่ได้ค้ายาบ้า แต่เพราะบุญจ้า ไปปฏิบัติธรรมได้บุญเลยรวยจ้า


    อันนี้ก็ "ตัวใครตัวมันเน้อ"...
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    แถวสถานปฏิบัติธรรม, วัดน่ะ มีสายค้ายาบ้าเยอะแยะ รออยู่เพียบเลย
    แฝงเข้ามาปนอยู่กับพวกปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ใครทุกข์มาก หมดที่พึ่ง
    บางทีอยู่ๆ รวยได้เฉยเลย เป็นเอาว่า "ไม่อาว ไม่พูด คุณแม่ขอร้อง"
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,752
    ค่าพลัง:
    +1,746
    บริษัทก่อสร้างอันดับหนึ่งของไทย ตอนวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งน่ะ
    บริษัทอื่นเขาเจ๊งกันหมด แต่บริษัทนี้รอด ทำไมรอดนะ


    เขาว่ากันว่ามีเอี่ยวเยอะเชียวกับวัดแถวๆ ปทุมธานี ได้เอี่ยวตรงนั้น
    เลยบอกว่าบุญจ้า ผมไปทำบุญวัดนี้มา เลยรอดวิกฤติ แน่ะ เป็นคนดีอีกด้วย
     
  8. รพินทร์ไพรวัลย์

    รพินทร์ไพรวัลย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ธุระกิจ กับธรรมะไปด้วยกันไม่ได้หรอกท่าน โรงเหล้า แถว ตจว ถูกซื้อโดยนายทุนที่ค้าขายน้ำเมา
    ซื้อไปเพื่อปิดกิจการ เพื่อเป็นการตัดคู่แข่งทางการค้า นี่คือธุรกิจ
     
  9. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ยกตัวอย่างกุศลเป็นน้ำ อกุศลเป็นเกลือแล้วกัน...การทำสมาธิก็เป็นการสร้างกุศลก็เป็นการเติมน้ำ ส่งผลให้เกลือในจิตแต่ละคนบรรเทาเบาบางความเค็มลงไป...ยิ่งน้ำเยอะการให้ผลให้ประโยชน์จากน้ำยิ่งมาก ผลบุญที่เคยทำไว้ก็เหมือนกับทุ่นลอยน้ำ ยิ่งน้ำเยอะทุ่นก็ลอยมาให้จับให้ต้องได้ไว(เหมือนกันว่าทำไมคนปฏิบัติธรรมด้วยจิตบริสุทธิ์จึงส่งผลจากทาน ศีล สมาธิได้ไวและดีเห็นผลในชาตินี้เลย)...ด้วยหลักการน้ำและเกลือกับทุ่นลอยก็จะเป็นตัวชี้ได้ว่า กุศลทำมาไม่ได้ทำให้อกุศลหายไปแต่เจือจางและส่งผลได้น้อยเพราะกุศลที่มากกว่าย่อมส่งผลได้ไวและมาถึงก่อนเหมือนทุ่นที่ลอยในลำน้ำที่เต็มเปี่ยมนั่นเอง...เข้าใจหรือยังครับว่า การปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้รวยได้อย่างไร(แต่ต้องมีผลจากบารมีทานมาก่อนด้วยนะ เพราะกระแสการทำกุศลก็เพียงเพื่อการส่งผลที่ไว เจือจางอกุศลไม่ให้มาบั่นทอนและสนองผลได้ชัดเท่านั้นเอง)
     
  10. guaregod

    guaregod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    962
    ค่าพลัง:
    +1,009
    เหมือนกับเราทำทานให้นักการเมือง และข้าราชการ แล้วเราก็ได้สัมปะทาน และ้สิทธิพิเศษมา อันนี้เห็นด้วยทุกประการครับ เพราะทำคิดทำกุศลให้กับคนที่ต้องการเงิน แล้วเขาก็ตอบแทนบุญคุณเรา
     
  11. Peet

    Peet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +324
    โมทนา สาธุครับ
    ผมเปลี่ยนไปก็ด้วยหนังสือเล่มนี้เหมือนกันครับ
     
  12. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    กรรม !!

    หนี้ 7 ล้าน ก็ดีอยู่ แล้ว

    พอปฏิบัติธรรม หนี้กลายเป็น 100 ล้าน เลย




    555+ ล้อเล่น อ่ะครับ

    อ่านแล้วอาจเข้าจผิดได้ หุหุ
     
  13. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ผมคิดแบบนี้นะ เราม่งปฎิบัติธรรม เพื่อ ละ ลด เลิก กิเลสทั้งหลาย
    หากท่านม่งได้มาซึ่งทรัพย์สิน อยากรวย อยากมีมากๆๆ ให้ได้ทรัพย์เยอะๆๆ
    จะเป้นการปฎิบัติธรรม ตามความหมายที่แท้จริงหรือไม่ ???
    ผมว่าท่านที่เป้นหนี้ แล้ว มาปฎิบัติธรรมต่อมา รวยคงเป้นเพราะเหตุปัจัยอย่างอื่นด้วย เช่นการทำทานในอดีตที่ให้ผลในชาตินี้ ทุกอย่าเป้นไปตามเหตุและปัจจัย ผลย่อมมีมาแต่เหตุทั้งสิ้น

    ผมมีความคิดว่าไม่อยากให้คิดว่าปฎิบัติธรรมแล้วรวย ๆๆ แต่อยากให้คิดว่าผลพลอยได้มากกว่า เปรียบเสมือนเราทานอาหารเพื่อ บำรุงร่างกาย (เปรียบเสมือนการเลิกละลดกิเลส) แต่รสชาติของอาหารที่อร่อยทำให้ได้ความบันเทิงใจคือ ผลพลอยได้ (เปรียบเสมือนความรำรวย) แต่คงต้องมีเหตุปัจจัยอย่างอื่นอีก เช่น ผู้ทานมีร่างกายแข็งแรง ไม่ป่วยไข้ ประสาทลิ้น รับรสทำงานได้เต็มที่ (เปรียบเสมือนการเหตุปัจจัยอื่นๆๆ เช่นการทำทานในอดีต การทำกุศลมามาก ) อาหารทีทานปรุงสดใหม่ใช้วัตถุดิบดีมีคุณภาพ (เปรียบเสมือนผุ้ปฎิบัตืธรรมไม่กรรมชั่ว เก่า-ใหม่ ให้ผล เป้นต้น
    ท่านทั้งหลายพิจารณาแล้วเห้นเป้นอย่างไรครับ ???
     
  14. Pranikai

    Pranikai สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +21
    ท่านกล่าวได้ถูกต้องดีแล้ว ตรัยยิโก
     
  15. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,524
    มันเป็นกรรมอื่น ที่ทำให้เขาจน และรวย การปฏิบัติธรรมก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
     
  16. ทามปายได้

    ทามปายได้ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +56
    นี่มันธรรมะก.... ใช่ป่ะหว่า อยากรู้ ข้อมูลจัง
     
  17. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318
    ธรรมะทำให้รวยได้ก็จริงอยู่ แต่ก็ด้วยสาเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน เช่นบุญกรรมเก่าที่ทำไว้ส่งผล
    แต่จุดสำคัญ ถ้าคิดจะปฎิบัติธรรมเพื่อที่จะร่ำรวยในอนาคต มันผิดแน่นอน
    เพราะอย่างนั้นไม่ได้เรียกว่าปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
    ธรรมะทำให้ทุกอย่างในชีวิตดีขึ้นจริง แต่จงอย่านำผลที่ได้มาเป็นกิเลส ถ้ายึดติดผลที่ได้จากการปฎิบัติธรรม เท่ากับว่าทุกอย่างก็เริ่มจากศูนย์ต่อไป
     
  18. chayapin

    chayapin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,115
    อนุโมทนาสาธุ กับวิธีปฏิบัติธรรมที่แนะนำมา ขอนำไปปรับใช้กาบตัวเองค่ะ และจะหมั่นสำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ให้ไปเพ่งเล็งหาความผิดของผู้อื่น ครูบาอาจารย์หลายท่านสอนเราให้มุ่งแต่เพ่งโทษแห่งตนก็จะรู้ว่าเรายังสะสมกิเลสอยู่ในกาย กว้าง วา หนาศอก นี้ไว้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเราจะมัวเสียเวลาไปเพ่งเล็งโทษแห่งผู้อื่นให้เกิดบาป เกิดอกุศลทางใจทำไมกันเล่า เร่งเพียรปฏิบัติ เพื่อละความชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจเราให้ดี ให้ เบิกบาน และ แจ่มใส ตามคำสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จงสั่งสอนกันเถิด ขอความเจริญในธรรม และมรรค ผล นิพพาน จงเกิดแก่ผู้ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบโดยถ้วนหน้า ทุกท่านเทอญ

    นิพานะ ปัจจะโยโหตุ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
     
  19. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ผู้ใกล้ธรรม...ย่อมใกล้ทุกข์...เพื่อพ้นทุกข์
    ผู้มีธรรม...ย่อมรู้กิเลส...เพื่อดับทุกข์
    ผู้ไกลธรรม...ย่อมมีเกาะกิเลส...อามิส โง่เขลา
    ผู้อธรรม...ย่อมอยู่ในมลทิน...อาสวะกิเลส...
     

แชร์หน้านี้

Loading...