ว่าตาม อภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉท ๕ ติรัจฉานภูมิ หรือ ที่เรียกกันว่า สัตว์เดรัจฉาน มีความหมายว่า สัตว์ที่ไปทางส่วนขวาง หรืออีกนัยหนึ่งว่า...
ไม่ต้องทำนายครับ อันนี้ไม่ใช่ฝัน เป็นนิมิตอย่างหนึ่ง ก็เป็นมลคลนิมิต แถมจำเนื้อความได้ละเอียดละออขนาดนี้ ก็ทำตามที่ "ท่าน" มาสงเคราะห์ไป...
"คนมีญาณ" บางคน โน้มใจเชื่อในสิ่งที่เขารู้ เขาเห็น โดยไม่ใช้ปัญญาประกอบ อันนี้ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "อธิโมกข์" ก็เป็น อุปกิเลส ชนิดหนึ่งครับ...
ก็อาจจะเป็นได้ในสองกรณี คือ "ลืม" หรือไม่ก็ "ลึก" ที่ว่า "ลืม" คือ ปรกติคนประเภทนี้จะเป็นคนไม่ชอบเก็บอะไรมาคิดให้รกสมอง...
การ "ล่าพระอาจารย์" นี่ก็เป็นกิจกรรมยอดฮิตของบรรดาพวกพุทธภูมิอยู่แล้ว ไม่แปลกหรอกครับ ยิ่งถ้าเข้าหาพระอาจารย์ด้วยใจที่เคารพนบนอบ...
ตอนที่เจอกันครั้งแรก คุณพลอยเธอคงจะตกใจกลัวมากไป คือ เป็นพวกจิตอ่อน จึงถูกควบคุมได้ง่าย แถมเป็นคนเกียจคร้านการงาน ศีลห้าไม่รู้จักนี่...
เห็นวิญญาณด้วยตาเนื้อได้นี่ ก็ต้องถือว่ามีของเก่าติดตัวมาดีพอสมควร ปฏิบัติไปเรื่อยๆนะครับ ตัดขันธุ์ห้า คือ ความห่วงใยร่างกายให้มากๆ...
การรู้วาระจิตของผู้อื่น เรียกว่า "เจโตปริยญาณ" การมองเห็นในสิ่งที่ปกปิด ก็เป็นอำนาจของ "ทิพจักขุญาณ" รู้อนาคต เรียก "อนาคตังสญาณ"...
ก็เข้าใจท่านครับ พวกพุทธภูมิมักใคร่รู้ในสิ่งต่างๆ ซึ่งหลายครั้ง สาวกภูมิจะอดสงสัยมิได้ ว่าไปอยากรู้เพื่ออะไร จนบางครั้งก็มองว่าไม่เป็นแก่นสาร...
การถือ วิกาลโภชนา ก็เป็นอุบายที่ดี ในแง่ของการลดละเรื่องของการติดในรสอาหาร ยิ่งคนที่ปฏิบัติสมถะภาวนามาก จะเห็นผลง่าย...
เป็น อุปกิเลส ชนิดหนึ่ง ก็คล้ายๆตะกอนโทสะในใจแหละครับ ฝังในจิตใต้สำนึก คือ เวลาเรารู้ตัวเนี่ย จะไม่เป็น แต่พอจิตเริ่มคลายตัว...
อันนี้พูดโดยรวมนะครับ ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่แต่อย่างใด ก็ขอขมาไว้ล่วงหน้า ถ้าใจยังสับสน ระหว่าง "ส่วนดี" กับ "ปมด้อย" อยู่เนี่ย...
เมื่อฝึกแรกๆ ก็จะมีมาแบบให้รู้ ให้เห็นเอง นั่นแหละครับ ไม่ต้องแปลกใจ ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะเรายังบังคับจิตได้ไม่เต็มที่ แล้วจิตเค้าเร็ว...
ที่ปฏิบัติมาก็ดีแล้วครับ ถ้าทำได้เป็นประจำสม่ำเสมออย่างที่ว่า ก็ยิ่งดีใหญ่ ก็รักษาอารมณ์ใจไว้ เพราะมโนมยิทธินี่...
ไม่ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาหรอกจ้า เจอได้ทั้งกลางวัน กลางคืน ขึ้นอยู่กับสภาวะของจิต จิตว่าง จะมีความเป็นทิพย์ ส่วนจิตที่ฟุ้งซ่าน...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา