ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ...
อริยสัจแห่งจิต "เราได้ตริตรองพิจารณาตามหัวข้อหลักของกัมมัฏฐานที่ได้รับจาก พระอาจารย์ใหญ่ ที่ว่า สพฺเพสงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา...
. เป็นทุกข์เพราะความคิด <!--mstheme--> หลังจากหลวงปู่ดูลย์ได้รับคำแนะนำ พร้อมทั้งรับ การบ้าน จากพระอาจารย์ใหญ่แล้ว...
จิตอยู่ที่หมาหลงรึเปล่า กิ้ว กิ้ว
;8
ทุกครั้งที่คุณลงนั่ง ปัญญาการเห็นจะถูกต่อยอด มากบ้างน้อยบ้าง สำคัญคือปัญญาที่ติดออกมาจะมีกำลังเพียงใด บางอย่างเราก็ใช้โยนิโสพิจารณาหลังออกสมาธิ...
ก็ให้พูดไปตามสภาวะจริงที่ปฎิบัติมา บางประโยคอาจจะสวนทางครู หรือไม่มีปริยัติมากำกับ แต่ก็เป็นการซื่อสัตย์กับอารมณ์ตนเองถูกไหม เห็นอะไร รู้อะไร...
ถ้าในอิริยาบถธรรมดา ก็ตามดูอาการจิต อยู่ในฐานใจ มันเห็นมากๆ จิตก็ปล่อยวางเป็นอารมณ์ ทีนี้เมื่อวางเป็นอารมณ์ มันก็เข้าสภาพวะว่าง อะไรเข้ามาก็ตกไป...
ทีนี้เมื่อใจเป็นกลาง ตั้งมั่นในฐานจิต อะไรเข้ามากระทบก็จะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ แล้วตกไป ตอนนี้ก็จะเข้าสู่ สภาวะ จิตเห็นจิต...
จิตที่ไม่เอนเอียงไปความเห็นดี หรือ ชั่ว จะให้เรียกว่าอะไรหรือ เป็นสภาพจิตรู้ ในวิปัสสนา สังเกตุไหม ในที่นี้สักว่ารู้อยู่เยอะ แต่ก็ปล่อยให้จิตไหล...
อารมณ์ที่ได้ จะเห็นอาการที่เกิดกับใจ โลภ โกรธ ชอบ ไม่ชอบ เป็นสภาวะ เมื่อเข้าไปดูสภาวะ ก็จะรู้ว่าเป็นธาตุ หมุนรอบอยู่ในอก เป็นของลวงจิต ไม่ใช่ของจริง
อุเปกขานี้ไม่ใช่พรหมวิหาร แต่สภาวะใจเป็นกลางๆ อะไรมากระทบจิตก็สักว่ารู้ ไม่ไหล ไม่ปรุง ไม่ต้าน ไม่บังคับ
หาฐานจิตให้เจอ ไม่ส่งออกหรือเข้าใน เมื่อเจอก็ใช้สติสำทับในฐานนั้นๆ ของกิเลสหยาบจะค่อยๆถูกลอกสู่ ความเป็นกลางของใจ หากไม่มีสติสำทับ...
เมื่อพบฐานของจิต ฝึกจิตให้ตั้งมั่นในฐานนั้นจนมีกำลัง ด้วยสติ ควบคุมอยู่ในฐานนั้นเสมอๆ คือ รู้ ก็จะเข้าใจกิริยาจิต...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา