::Super Richy แก้กรรมได้จริงหรือ::

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 2 พฤศจิกายน 2014.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    บทสัมภาษณ์ SUPER RICHY
    จากนิตยสาร LIPS ปักษ์แรก ธันวาคม 2550


    เขาเป็นเด็กหนุ่มอัธยาศัยดี มองภายนอกก็คือคนหนุ่มทั่ว ๆ
    ไปที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย และฝึกฝนตัวเองให้มี
    ความเชี่ยวชาญบางด้านเพื่อนำไปสู่การประกอบอาชีพที่เขารักในอนาคต
    แต่คำเล่าลือของคนเชียงใหม่ที่พูดถึงเขา “ริชชี่ – พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล”
    นั้นไม่ธรรมดา เพราะว่าเขามีญาณพิเศษในตัวที่สามารถหยั่งรู้อดีต
    ปัจจุบัน และอนาคตได้ เนื่องจากเป็นจิตหนึ่ง ของพระนารายณ์ที่แบ่งมาเกิด

    [​IMG][​IMG]

    เขาสามารถเรียกลมเรียกฝน ไล่วิญญาณ อ่านใจคน หูทิพย์ตาทิพย์
    หลับตาเห็นพญานาค มีพลังวิเศษที่สามารถรักษาโรค ฯลฯ
    ซึ่งเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ที่คนธรรมดา ๆ ไม่มี
    ผมรู้จักเขาผ่านหนังสือ “SUPER RICHY : It’s not easy to be me
    อุบัติการณ์มหัศจรรย์” ซึ่งเมื่อได้มานั่งสนทนากับเขาก็เข้าใจได้ในทันที
    ว่ามันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ต่อการเป็น “ ริชชี่”

    <iframe src="//www.youtube.com/embed/SfJX9Gnn2QY?feature=player_detailpage" allowfullscreen="" height="360" width="640" frameborder="0"></iframe>

    ผมชอบหนังสือของเขามาก เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์นั้นสำคัญในระดับหนึ่ง
    ทำให้เราตระหนักว่า ญาณของริชชี่นั้นเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างเรา ๆ
    ทว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ “ปัญญาญาณ” ที่ริชชี่แสดงออกมา หรืออาจ
    จะกล่าวว่าองค์นารายณ์บอกกล่าวผ่านริชชี่ เพราะนั่นคือ “กฎแห่งกรรม”
    ที่เราพยายามทำความเข้าใจมานานนักหนา ผ่านหลักการทาง
    พระพุทธศาสนา แต่เพราะวัฒนธรรมย่อย ๆ ในท้องถิ่นที่รบกวนแก่นแท้
    แห่งธรรม ทำให้ความเข้าใจหรือการเข้าถึงของเราไขว้เขวได้เสมอคำอธิบาย
    และคำแนะนำของริชชี่ ทำให้แก่นธรรมข้อนี้เข้าถึงได้ง่าย และไม่พร่าเลือน
    และเป็นสิ่งที่ผู้อ่านพึงทราบนับจากบรรทัดนี้ไป

    ริชชี่เป็นลูกคนสุดท้องของบ้าน “อริยทรัพย์กมล” พี่คนโตชื่อโอนลี่เพราะ
    เดิมคุณพ่อคุณแม่ของเขาคิดจะมีลูกคนเดียวแต่ก็นั่นแหละ ในที่สุด
    คุณพ่อสรเดชกับคุณแม่กรทอง ก็เปิดโอกาสให้บิวตี้กับริชชี่ตามมา
    จนครบสามใบไม่เถา โดยเฉพาะ บิวตี้นั้น เกิดตามมาเป็นลูกหัวปีท้ายปี
    กับโอนลี่เลยทีเดียวริชชี่เติบโตมาเหมือนเด็กทั่วๆ ไป จะแปลกกว่า
    เด็กคนอื่น ๆ หน่อยก็ตรงที่ริชชี่ไม่เคยคลาน!มีผู้ตีความในภายหลังว่า
    ริชชี่ซึ่งเป็นจิตหนึ่งของพระนารายณ์แบ่งมาเกิดนี้ มีพลังสูงจนสามารถ
    กำหนดร่างกายให้เดินได้โดยไม่ต้องเริ่มจากการคลาน
    ทั้งเป็นนิมิตหมายว่า ทารกผู้นี้ คือผู้มีจิตเป็นกุศลสูงยิ่งลงมาเกิด
    เป็นจิตที่หมดอนุสัยของอบายภูมิ คือจะไม่ไปเกิดในเดรัจฉานภูมิ
    นรกภูมิ เปรตภูมิ และอสูรกายภูมิแล้ว

    เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นตอนริชชี่อายุได้ 1 ขวบ ขณะที่โอนลี่
    กับบิวตี้ซึ่งเป็นพี่น้องหัวปีท้ายปีจึงกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยายกำลังเล่น
    ฟันดาบกันอยู่อย่างสนุกสนานโดยที่แม่กำชับให้ทั้งสองดูแลน้อง
    ไปพลาง ๆ เพราะต้องไปเตรียมตัวเข้าครัว คงเพราะความสนุกในการ
    เล่นฟันดาบของพี่ ๆ วัยประมาณ 5-6 ขวบทั้งสองกระมัง ที่เด็กน้อยริชชี่
    นอนมองตาแป๋ว แล้วจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นเดินหัวเราะร่าไปหาพี่ชายกับพี่สาวจน
    ทั้งสองร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อหม่าม้าวิ่งมาตามเสียงร้องของลูก
    ก็ต้องตกตะลึงตามไปอีกคน ที่เห็นริชชี่เดินได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยคลานหรือ
    ฝึกตั้งไข่เลย พวกเขาเล่าว่าท่าเดินของริชชี่ตอนนั้นเหมือนมนุษย์ยุคหิน
    (เพราะร่างกายยังไม่เคยถูกฝึก แต่จิตมีพลังมาก กำหนดร่างกายให้เดินได้)
    รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกทำให้คุณแม่ กรทองลืมคำถามมากมาย
    ที่ผุดขึ้นมาในใจ และโผเข้ากอดริชชี่ที่กำลังเดินส่งยิ้มหวานมาหา
    นอกจากเรื่องไม่คลานแล้ว ริชชี่ยังเป็นเด็กที่แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ
    ไม่ยอมกินข้าว ! ทุกครั้งที่ป้อนข้าว ริมฝีปากสีแดงเล็ก ๆ คู่นี้จะปิดสนิท
    ไม่ว่าจะหลอกล่อด้วยวิธีใดก็ตาม เขาก็ไม่เคยเปิดปากรับอาหารใด ๆ
    นอกจากนมเท่านั้น และเป็นอย่างนั้นจนอายุได้ 7-8 ขวบ จนครูประจำชั้น
    ป.1 ที่โรงเรียนมงฟอร์ตโทรศัพท์มาแจ้งแก่ผู้ปกครองว่า ริชชี่ไม่ยอม
    กินข้าวเลย และคุณแม่ต้องตอบไปว่า “เขาเป็นแบบนี้แหละค่ะ
    ดื่มแต่นมอย่างเดียว”

    จนริชชี่ขึ้น ป.3 เมื่อได้เห็นข้าวหมกไก่ริชชี่ก็เอ่ยปากบอกกับหม่าม้าเป็น
    ครั้งแรกว่าอยากกิน ! และนั่นเป็น “ข้าวมื้อแรก” ในชีวิตของริชชี่
    ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่จะสั่งข้าวหมกไก่ไปให้ที่โรงเรียนทุกเที่ยง
    แต่ริชชี่ก็จะกินแต่ข้าวเท่านั้น ส่วนไก่เขาจะยกให้เพื่อน ๆ เสมอ
    ปัจจุบันริชชี่ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ รวมทั้งเป็ดและไก่ โดยเลือกกินปลา
    และกุ้งบ้างส่วนใหญ่เขาจะรับประทานอาหารมังสวิรัติเท่านั้น

    คุณแม่ของริชชี่ชอบปฎิบัติธรรม วิถีชีวิตเช่นนี้ตกแก่ลูก ๆ ด้วย
    เด็กชายริชชี่มักจะได้รับการปลูกฝังให้นั่งสมาธิเพื่อให้ชีวิตมีสติ
    มีความคิดและจิตใจที่ดีตามไปด้วย และหากมีเวลาว่าง ทั้งครอบครัวนี้
    ก็จะพากันไปนั่งสมาธิปฎิบัติธรรมที่วัดบ้าง แต่เขาชอบนั่งสมาธิที่บ้าน
    มากกว่าที่วัด เพราะมีบรรยากาศที่สงบกว่า

    วันหนึ่งก็เกิดเรื่องแปลกขึ้นกับเขา ทุกครั้งที่ริชชี่นั่งสมาธิตัวเขาจะเอน
    ไปข้างหลังโดยไม่มีสาเหตุ ต่อมาแขนของเขายกขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
    ทั้ง ๆ ที่ต้นแขนยังแนบอยู่กับลำตัว มือก็โบกไกวไปมาเหมือนจราจร
    นิ้วก็เริ่มชี้ และทำท่า หมุน ๆ ๆ ๆ ซึ่งคนในครอบครัวคิดว่าเขา
    เพียงแกล้งล้อเล่น

    พ.ศ.2540 ริชชี่อายุ 13 ปี เรียนอยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ต ชั้น ม.2
    เช้ามืดวันที่ 16 เมษายน หม่าม้าฝันประหลาดและรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นจริง
    ฝันเห็นชาย 2 คนเหาะมาบนท้องฟ้าแต่งตัวแปลก ๆ คนหนึ่งสวมชุดหนังเสือ
    มีงูพันที่คอ อีกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสวยงาม
    ทั้งสองรูปร่างหน้าตาดีมาก ร่างกายสูงใหญ่ ผมยาว
    นั่งชิดกันลอยมาในอากาศแล้วมาหยุดที่หน้าห้องของหม่าม้า 5 วัน
    หลังจากนั้น หม่าม้าออกไปทำธุระนอกบ้าน
    ขณะที่ริชชี่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ก็เกิดฟ้าผ่าต้นตาลอายุกว่า 200 ปีที่ขี้นอยู่
    หลังบ้านของริชชี่จนเกิดเป็นลำแสงจ้าและเสียงดังสนั่น ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้น
    ไม่มีฝนฟ้าคะนองเลย จากนั้นไฟก็เริ่มลุกไหม้ต้นตาล ซึ่งชาวบ้านบอกว่ามี
    ลักษณะเหมือนพุ่มเงินพุ่มทองแถมมีสะเก็ดไฟไหลตกลงมา
    เหมือนม่านน้ำตก สวยงามมาก

    พลเมืองดีตัดสินใจโทรศัพท์แจ้งหน่วยดับเพลิง แต่เมื่อรถดับเพลิงมา
    ถึงกลับไม่สามารถดับไฟได้ เพราะไฟอยู่สูงเกินไป จู่ ๆ ชาวบ้าน
    ก็ได้ยินเสียงริชชี่ที่โผล่หน้าออกมาดูด้วยความเซ็งตะโกนว่า “หยุดได้แล้ว!”
    ทันใดนั้นฝนที่ไม่เคยตั้งเค้ามาก่อนก็ตกลงมาทันที ไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่
    จึงดับลง

    หลังจากนั้น 9 วัน ต้นตาลที่ทุกคนคิดว่าคงตายกลับแตกกิ่งก้านเล็ก ๆ
    ออกมาใหม่ และวันเดียวกันนั้นเอง ริชชี่ได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหู
    ครั้นวันที่ 30 เมษายน ขณะริชชี่นั่งสมาธิ ไม่เพียงจะเกิดอาการเดิม ๆ
    โดยเฉพาะนิ้วที่ยกชี้ขึ้นและทำท่าหมุน ๆ เสียงประหลาดยังคงก้องอยู่
    ในหูทั้งวัน จนต้องบ่นให้หม่าม้าฟังว่า “หม่าม้า หูมันก้อง
    มีเสียงพูดเป็นเสียงใหญ่ๆ มันก้องอยู่ในหูน้อง” เมื่อหูยังก้องต่อเนื่องมา
    อีกระยะหนึ่ง ริชชี่ซึ่งเกิดความรำคาญมากแล้วได้ถามขึ้นในใจว่า
    “ทำไมถึงเป็นแบบนี้” ตอนนั้นเองได้มีเสียงก้องตอบกลับมาว่า
    “เราคือองค์นารายณ์” และเสียงนั้นก็ตอบทุก ๆ คำถามที่ริชชี่มี
    ครอบครัวของเขาไม่รู้จักพระนารายณ์มาก่อน เวลานั้นทุกคนรู้สึก
    กลัวว่าริชชี่จะมีสภาพเหมือนร่างทรงที่พวกเขาเคยเห็น และไม่มีใคร
    อยากให้ลูกชายคนเล็กผู้เป็นแก้วตาดวงใจกลายเป็นร่างทรง

    แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะไปรับริชชี่กลับจากโรงเรียน จู่ ๆ ริชชี่ก็บอกกับหม่าม้าว่า
    ให้ขับรถวนไปที่หน้าวัดแขกหน่อย เมื่อไปถึงก็พบว่าที่วัดมีงานบูชา
    องค์เทพอยู่พอดีภาพของเด็กหนุ่มผมเกรียน ใส่ชุดนักเรียน เสื้อขาว
    กางเกงน้ำเงิน ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในวัด แล้วขึ้นไปไหว้เทวรูปองค์นารายณ์
    พร้อมกับเทพองค์อื่น ๆ ด้วยความสงบ ทำให้หม่าม้าเริ่มยอมรับเป็น
    ครั้งแรกว่า สิ่งที่ลูกพยายามจะสื่อสารกับครอบครัวมาโดยตลอดนั้น
    คืออะไรภาพขององค์เทพและพิธีกรรมที่เรียบง่ายภายในวัด กับท่าที
    ของลูกชาย ทำให้คุณแม่คลายความวิตก และเริ่มเข้าใจในประวัติ
    ความเป็นมาขององค์เทพนารายณ์ ซึ่งคนค่อนโลกให้การเคารพบูชา
    มานานหลายพันปี

    หลังจากวันนั้น ไม่เพียงแต่ริชชี่จะสามารถระลึกชาติได้เท่านั้น แต่เขา
    ยังมีพลังปาฎิหาริย์แสดงออกมาอีกอย่างมากมาย… ซึ่งแน่นอน การแสดง
    ปาฎิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่านำพาผู้คนจากทุกสารทิศให้ดั้นด้นเดินทางมา
    เพื่อขอความช่วยเหลือจากริชชี่นับจากนั้น ชีวิตของเขาไม่เคยง่ายเหมือน
    แต่ก่อนเลย!!
    ริชชี่มาพบเราพร้อมกับคุณแม่ตรงตามเวลานัดหมาย เขาเพิ่งจะเรียนเสร็จ
    ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ยิ้มของเขาเหมือนเด็ก ๆ และดูเป็นเด็กอารมณ์ดี
    มีความรักที่พร้อมจะเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นตลอดเวลา เช่นเดียวกับคุณแม่
    ที่ดูสุภาพและกระตือรือร้น ปัจจุบันริชชี่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่3
    คณะการสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยที่ก่อนหน้านี้เขาเรียน
    ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน เพราะเดินตามพี่ชายกับพี่สาว
    ที่เรียนวิศวะทั้งคู่ และตัวเขาเองก็เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์ด้วย
    แต่เมื่อเรียนไปสักพักแล้วพบว่าไม่ใช่ทางที่ตนเองชอบเพราะเขาพบว่า
    ตนเองชอบงานพิธีกรจึงเทียบโอนหน่วยกิตมา ขณะอยู่ชั้นปีที่ 3
    คณะวิศวะ “ผมไปประกวดคนพันธุ์เอ และได้รางวัลของภาคเหนือทำให้ได้
    ไปเห็นเบื้องหลังการถ่ายทำรายการต่าง ๆ บวกกับได้รับการเรียกตัวไป
    แคสต์งานพิธีกรของเจเอสแอล แม้ตอนนั้นผมจะยังพูดไม่ค่อยเก่ง
    ทำให้ไม่ผ่าน แต่เขาก็ให้กำลังใจและให้กลับมาฝึก ผมรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
    ว่าผมชอบงานนี้ จากนั้นก็มาเป็นพิธีกรของมหาวิทยาลัยบ้าง
    จึงอยากจะเรียนทางนี้เพื่อฝึกตัวเองให้ดี เพราะว่าชอบจริง ๆ

    ทุกวันนี้ริชชี่จึงฝึกฝนตัวเองด้วยการรับงานพิธีกรตามเวทีต่าง ๆ
    ทั้งในและนอกสถาบัน ทำให้ความคล่องแคล่วในการพูดจาของเขา
    เพิ่มพูนยิ่งขึ้น ครั้นคนถามและคนตอบต่างก็พร้อมแล้วที่จะคุยกันด้วยเรื่อง
    ที่คนอยากรู้เกี่ยวกับตัวริชชี่ ผมจึงเริ่มต้นถามริชชี่อย่างจริงจังว่า
    ก็ในเมื่อปกติชีวิตก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้วทำไมยังตัดสินใจเผยแพร่ประวัติ
    ชีวิตของตัวเองผ่านหนังสือเล่มดังกล่าวอีกเขายิ้มและตอบอย่างฉะฉานว่า
    “ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่านครับ เรื่องราวที่เกี่ยวกับ
    ตัวผมนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังสือ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ
    ผู้อ่าน สิ่งสำคัญอยู่ที่ผมพยายามจะบอกเรื่องหลักการแห่งกรรมและ
    การแก้กรรมให้ทุกคนทราบและนำไปปฎิบัติ โดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องมา
    พบผมหรือให้ผมช่วยแก้ให้ กรรมของใครก็ของคนนั้น แก้ให้กันไม่ได้”

    เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่า นับจากนี้ไป จะสนทนากันเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจ
    เรื่องกรรมและการแก้กรรมจะดีกว่าริชชี่เริ่มกล่าวถึงความเข้าใจที่ไขว้เขว
    ของผู้คน เรื่องการทำบุญเพื่อลดบาปเคราะห์ในชีวิตด้วยการถวายสังฆทาน
    หรือพิธีการอื่น ๆ ว่า
    “หลายคนก็เข้าใจว่าจะสามารถแก้กรรมได้ด้วยการทำสังฆทาน
    หรือทำบุญตักบาตร มันเป็นความเข้าใจผิด แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้
    อะไรเลย นั่นถือเป็นการสร้างบุญใหม่ แต่ทั่ว ๆ ไปมักเข้าใจว่า
    เมื่อชีวิตมีปัญหาปุ๊บ ก็ไปทำสังฆทานแล้วปัญหานั้นจะจบไม่ใช่ครับ

    อย่างเช่นกรรมเก่าที่เราเคยไปทำในชาติก่อน เราเคยฆ่าคนตาย
    มาชาตินี้เอาถังสังฆทานไปถวายแล้วจะจบ มันก็ไม่ใช่เรายังไม่เคยทำ
    อะไรที่จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรของเรารู้สึกให้อภัยหรืออโหสิกรรมเลย
    มันเหมือนเรายังมีหนี้ติดค้างกันอยู่ยังไม่ได้ชดใช้ แต่สิ่งที่ผมแนะนำ
    คือ การทำสมาธิเมื่อจิตเรานิ่งแล้ว เราจะย้อนกลับไปหาเจ้ากรรมนายเวร
    ผู้ที่มีแรงอาฆาตแล้วทำให้ชีวิตของเราเกิดปัญหา อาจจะเป็นคนที่ยังมี
    ชีวิตอยู่หรือเป็นวิญญาณก็ได้ แล้วเราก็ขอโทษเขา อโหสิกรรมต่อกัน
    ถ้าเขาพอใจ อภัย เขาก็จะดึงแรงอาฆาตกลับไป ปัญหาก็จะคลี่คลายได้
    ความติด ๆ ขัด ๆ หรืออาการ เจ็บไข้ได้ป่วยในชีวิตก็จะหายไปได้
    แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรและสิ่งที่เราปฏิบัติ เราปฎิบัติสมาธิ
    และพากเพียรที่จะขออโหสิกรรมแค่ไหน จนถึงระดับที่เจ้ากรรมนายเวรเขา
    ยอมผ่อนคลายแรงอาฆาตหรือเปล่า

    เมื่อถามว่าเราทุกคนจะมีโอกาสรู้ได้มั้ย ว่าเรามีเจ้ากรรมนายเวรอยู่หรือเปล่า
    ริชชี่ตอบว่าเราสามารถรู้ได้ แต่มีเงื่อนไขเล็กน้อย “มันขึ้นอยู่กับการฝึก
    สะสมมาด้วย อย่างบางคนที่ผมสอนเขานั่งสมาธิ เขาก็นั่งไม่ได้เลย
    เพราะจิตเขายังว้าวุ่น ตัวเขาก็ไม่เคยมีพื้นฐานในการรวบรวมสมาธิ
    มาก่อนเลย สมาธินี้ ที่จริงเป็นขั้นตอนสุดท้ายนะครับ เราจะต้องมีพื้นฐาน
    จากจิตใจที่เป็นทาน คือมีจิตใจที่เป็นผู้ให้เสียก่อนให้อะไรก็ได้
    บางคนเขาให้ความรู้ก็เป็นวิทยาทาน บางคนให้สังฆทาน
    ให้เงินขอทานก็ได้ หรือแจกหนังสือธรรมะเป็นธรรมทาน เหล่านี้ล้วน
    เป็นการฝึกฝนที่จะมีใจเป็นผู้ให้

    ต่อมาก็ให้ถือศีล เมื่อเราฝึกใจจนเป็นผู้ให้ได้แล้ว ให้เราถือศีลต่อเลย
    ศีล 5 นี้แหละดีที่สุด ครอบคลุมไปหมดทุกอย่าง และถ้าเราถือศีล 5
    ได้อย่างแท้จริง ก็จะไม่เกิดการสร้างกรรมใหม่ จะเหลือแต่กรรมเก่า
    ซึ่งติดตัวมากับทุกคน โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน
    ฉะนั้นในชาตินี้อย่าสร้างกรรมใหม่เพิ่ม จากนั้นจึงมาถึงขั้นสมาธิ
    เมื่อคุณอยู่ในศีลและฝึกใจให้เป็นผู้ให้แล้ว ก็จะปฏิบัติสมาธิได้ดียิ่งขึ้น
    มันจะไม่มีสิ่งหน่วงเหนี่ยวทางโลกให้จิตฟุ้งซ่าน พอทำสมาธิได้ดีแล้ว
    ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายทาง โดยเฉพาะการสื่อสารถึงเจ้ากรรมนายเวร”

    ริชชี่บอกว่าสมาธิเป็นของดี เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ แม้ไม่ได้ห่วงเรื่องกรรมเก่า
    ก็ตาม “สมาธิเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติครับ ไม่เกี่ยวกับว่าเรารู้มั้ยว่าเรามีกรรม
    เพราะบางคนรู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่ปฏิบัติ อย่างนี้กรรมจะยิ่งหนักขึ้น เพราะคู่กรณี
    หรือเจ้ากรรมนายเวรจะยิ่งโกรธแค้นอาฆาต มันก็เหนี่ยวรั้งกันไว้ทั้งสองฝ่าย
    เจ้ากรรมนายเวรก็ไม่มีใครปลดปล่อย มันเหมือนสองฝ่ายถูกผูกติดกัน
    ไว้ด้วยกรรม ซึ่งกรรมเวรนี้จะหลุดพ้นได้ ไม่ใช่รอให้เจ้ากรรมนายเวร
    เขารู้สึกสำนึกเองหรือเอ่ยปากขอโทษเรานะครับ แต่เราต่างหากที่ต้อง
    เป็นฝ่ายขอโทษ ต้องสำนึกผิดให้ได้ แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาจะเป็นฝ่าย
    พิจารณาเอง ว่าเราสมควรได้รับการให้อภัยหรือยัง”

    แล้วทำไมเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ปล่อยเวรปล่อยกรรม หรือระงับ
    ความอาฆาตนี้เสียเองละ ผมถาม“ มันขึ้นอยู่กับจิตของเขาด้วยไงครับ
    ถ้าจิตเขาดี เขาก็ไม่อาฆาตมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะเวรกรรมก็ไม่ผูกติดต่อกันมา
    ไม่ต้องตามมาอาฆาต แต่การที่เขาและเรายังผูกติดต่อกันอยู่แสดงว่า
    มีความอาฆาต จิตของเขายังไม่ได้ฝึกเขาก็ปลดปล่อยตัวเองออกไป
    จากการผูกติดนี้ไม่ได้ เพราะยังคิดที่จะจองเวรกันอยู่ ”

    ริชชี่แนะหลักการสังเกตว่าใครเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราง่าย ๆ ว่า“
    ถ้าเป็นคนเหมือนกัน ให้สังเกตว่าคนไหนที่นำความเดือดร้อนมาให้
    หาแต่เรื่องมาให้ หรือคนที่คอยรังควาน แค่เห็นหน้ากันก็รู้สึกครับ
    แต่ที่พูดนี้บางทีก็เป็นกรรมดี บางทีก็เป็นกรรมร้าย
    …แต่ถ้าเป็นวิญญาณแล้ว เราจะเห็นเขาลำบากมาก ต้องเป็นคนที่ฝึกสมาธิ
    ซึ่งสามารถรวมจิตให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ ปกติจิตไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอกครับ
    อยู่กับตัวเรานี่แหละ แต่มันแวบไปแวบมาตามความคิดฟุ้งซ่านของเรา
    สมาธินี่ไม่ใช่อะไรหรอกมันคือการรวมจิตกลับมาอยู่กับตัวเอง
    ให้เหมือนสภาพของจิตเดิมแท้ แล้วจิตจะละเอียดมาก จะแยกกาย
    แยกจิตออกจากกันได้ มีสภาพเหมือนวิญญาณ ทำให้มองเห็นวิญญาณ
    ได้สื่อกันได้ พูดคุยกันรู้เรื่อง คราวนี้ก็ขออโหสิกรรมได้แล้ว

    …ส่วนการขออโหสิกรรมกับคนด้วยกัน เราก็แค่เอ่ยปากขออโหสิกรรม
    แต่ต้องออกมาจากใจจริง ๆ เราต้องรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ จะพูดแบบขอไปที
    หรือตัดรำคาญไม่ได้ ทั้งคนที่ขออโหสิกรรมและคนที่อโหสิกรรม…
    กรรมมันไม่ใช่อะไรหรอกครับ เป็นความอาฆาตเท่านั้นสิ่งที่เราทำกับคนอื่น
    ถ้าเขาไม่ถือสาไม่อาฆาตมันก็ไม่เกิดเวรเกิดกรรมต่อกัน แต่ถ้าเขาอาฆาต
    ผูกจิตว่าถ้าเจอจะต้องเล่นงานให้ได้ อันนี้ถือว่ามีเวรมีกรรมต่อกันแล้ว

    …แต่ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือ เราก็ต้องกลับมาแก้กรรมด้วยการนั่งสมาธิ
    แล้วส่งจิตไปถึงเขาขออโหสิกรรมเขาบ่อยๆมันจะไปเหนี่ยวนำให้เขาเปลี่ยน
    แปลงแรงอาฆาตที่มีได้”แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องเจ้ากรรมนายเวร
    แล้วละก็ในชีวิตประจำวันก็ยังมีสิ่งที่จะต้องทำเหมือนกัน

    “คนที่อยากจะตั้งหลักที่ตัวเอง ไม่อยากมองหรือไปคอยครุ่นคิดว่าตัวเอง
    มีเจ้ากรรมนายเวรอยู่หรือไม่ อยู่ที่ไหน ก็ให้ตั้งหลักว่า คนเราที่มีชีวิตอยู่ได้
    ทุกวันนี้ เราต่างก็มีองค์ประกอบ 2 อย่างในตัวเอง นั่นคือร่างกายกับจิต
    ต้องหมั่นทำจิตให้คงที่และรักษาร่างกายให้แข็งแรง
    …จิตคงที่หมายถึงเราไม่แกว่งไกวไปกับสิ่งที่มากระทบหรือรุมเร้าบางคน
    ซีเรียสมาก เครียดกับ เรื่องงาน เรื่องครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ จนจิตตก
    ในเวลาที่จิตเราตก หากร่างกายเราแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรก็จะเล่นงานเรา
    ไม่ได้แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอด้วยเจ้ากรรมนายเวรที่รอโอกาส
    เล่นงานก็จะใช้โอกาสนั้นเล่นงานทันที

    …คนเรานี้ไม่ใช่ว่าจะเจอเจ้ากรรมนายเวรเล่นงานเอาง่าย ๆ นะครับ
    บางทีเขารอโอกาสอยู่นานแล้ว แต่ไม่เคยสบโอกาสเลยที่ร่างกายกับจิต
    ของเราจะตกลงพร้อมกันเมื่อเราอ่อนแอจนเขาพร้อมจะเล่นงานได้เขา
    จะเล่นงานทันที ผมจึงบอกว่า ถ้าเราไม่รู้หรือไม่ได้สนใจว่าใครเป็น
    เจ้ากรรมนายเวรของเราบ้าง เราก็แค่รักษาจิตของเราให้คงที่
    รักษาร่างกายให้แข็งแรง เป็นการป้องกันไว้ก่อนทางหนึ่ง”

    ริชชี่ยังได้อธิบายถึงการทำกรรมใหม่ โดยเน้นที่กุศลกรรมหรือกรรมดี
    หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าทำบุญนั้น ไม่สามารถไปหักกลบลบหนี้กรรมที่
    เคยทำมาได้ แต่จะเพิ่มพูนบารมีและอำนวยความสุขความราบรื่นให้เกิดขึ้น
    “บุญกับกรรมมันแยกกันนะครับ เราทำบุญเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ
    แต่หากกรรมเก่าเรายังไม่ได้แก้บุญนั้นเพิ่มขึ้นแต่กรรมเก่าเท่าเดิมคือ
    ยังมีตัวถ่วงอยู่ ทำให้ปัญหายังคงค้างอยู่”

    …แต่ไม่ใช่ว่าบุญที่ทำจะไม่เกื้อหนุนเรานะครับ บางทีบุญก็ต้องรอจังหวะ
    ที่จะเกื้อหนุนเรา เพราะขณะนั้นกรรมคอยบังอยู่ เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ
    ว่า เหมือนตัวเราอยู่ตรงกลางกรรมล้อมเราอยู่ชั้นหนึ่ง ขณะที่บุญก็ล้อมอยู่
    วงนอกอีกชั้นหนึ่ง ถ้ากรรมไม่เปิดช่องให้ บุญก็เข้ามาช่วยเราไม่ได้
    จนกว่าเราจะได้ชดใช้กรรม หรือหากเราแก้กรรมเสียก่อน
    ก็จะเป็นการเปิดช่องกรรมให้บุญมีช่องที่จะเข้ามาเกื้อหนุนเราได้

    …เพราะอย่างนี้หลายคนจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมทำบุญแทบตายแต่ไม่เห็น
    จะมีอะไรดีขึ้นมาเลย ขอยืนยันว่าทำบุญแล้วได้บุญแน่นอน
    แต่บางโอกาสบุญมาช่วยเราไม่ทันเพราะว่ากรรมมันปิด”
    แล้วการที่เจ้ากรรมนายเวรยังจองเวรอาฆาตและจ้องแต่จะเอาคืนกับเรานี้
    ถือเป็นกรรมที่เขายังคงวนเวียนทำอยู่หรือเปล่า ไม่เป็นการทำกรรมเพิ่ม
    ของเขาหรือ
    “ไม่ครับ มันเป็นผลจากกรรมเดิม เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับจากการที่เขา
    ตั้งจิตอาฆาตไว้ เหตุเพราะเราไปทำเขาก่อนแต่ถ้าเจ้ากรรมนายเวร
    คนไหนที่เขาไม่ผูกอาฆาต เขาเข้าใจเขาก็ไม่ต้องร่วมติดอยู่ในบ่วงกรรมนี้
    กับเรา ถ้าเขารู้ด้วยตัวเขาเอง เขาก็จะหลุดไปเอง
    …ในบทแก้กรรมที่ผมแนะไว้ในหนังสือ ก็มีการอธิบายบอกกล่าวแก่เจ้ากรรม
    นายเวรด้วยว่า การทำสมาธินี้ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อนำผลบุญมาสู่ท่าน
    แต่เป็นการทำเพื่อให้รู้ว่าลูกสำนึก ส่วนผลบุญนั้น ถ้าใครอยากได้
    จะต้องทำเอง ปฏิบัติเอง ตรงนี้จะเป็นการสอนให้เจ้ากรรมนายเวร
    ที่ยังติดอยู่ในบ่วงกรรมได้รู้ เหมือนเป็นการบอกทางให้แก่เขา
    สอนให้เขาทำความดี

    …ที่จริงเจ้ากรรมนายเวรซึ่งเป็นจิตนี้ เขาปฏิบัติง่ายกว่าเราที่เป็นคนเสียอีก
    เพราะว่าคนเรายังมีร่างกาย ซึ่งร่างกายมันก็มีความต้องการของมันอยู่
    และหากร่างกายเจ็บป่วย จิตก็พลอยป่วยหรือลำบากไปด้วย แต่เขาซึ่งมี
    แค่จิต สามารถปฏิบัติสมาธิได้ง่ายกว่าเรา ในเวลาที่เราทำสมาธิ
    เราสามารถชวนเจ้ากรรมนายเวรให้ปฏิบัติไปพร้อม ๆ กับเราได้จะเป็น
    บุญทั้งสองฝ่ายเลย”

    คำกล่าวที่ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง การที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดนั้นก็
    เพราะยังต้องชดใช้กรรมหรือยังมีกรรมอยู่ จริงเท็จแค่ไหน “ผมคิดว่าจริง
    เพราะถ้าจะมาเกิดได้ ต้องมีกรรมดึงดูดให้มาเกิด
    ไม่ใช่เฉพาะคนเท่านั้นนะครับ สัตว์หรือว่าจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน
    และบางทีในขณะที่ยังไม่ตาย คนบางคนก็อาจจะกำลังตกนรกอยู่ก็ได้
    อย่างคนที่อยู่ในห้องไอซียู เขาอาจจะได้เจอกับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว
    กำลังทวงบาปทวงบุญกันอยู่กำลังชำระบัญชีกรรมกันอยู่ก็ได้
    เพียงแต่เรานี้ไม่เห็น หลายคนจึงป่วยในสภาพที่ไม่รู้สึกตัว
    แต่ก็ไม่ตายเสียที สำหรับบางคนจึงลงนรกได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย
    แต่นรกจะแบ่งเป็นขุม ๆ มีกระทะทองแดงหรือมโนภาพอย่างที่เรา
    เคยอธิบายกันมาหรือไม่ ผมก็ยังไม่ได้ไปดูละเอียดขนาดนั้น”
    ถ้าเช่นนั้น ยิ่งเกิดหลายชาติเราไม่ยิ่งมีกรรมเพิ่มและเจ้ากรรมนายเวร
    เพิ่มหรอกหรือผมลองถาม
    “ไม่หรอกครับ มันอยู่ที่ว่าคนที่เกิดมาแล้วระลึกถึงคุณค่าของการได้มา
    เกิดอย่างไร ถ้าเรารู้ว่าการได้มาเกิดนั้น อาจจะเป็นเพราะกรรมดีดึงให้มาเกิด
    เพื่อเป็นโอกาสที่จะสร้างสมบุญบารมีต่อ เขาก็จะไม่ทำบาปทำกรรมกับใคร
    จะทำแต่กรรมดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าระลึกไม่ได้หรือหลงผิด
    ก็จะทำแต่บาปกรรมแล้วไปทบกับบัญชีกรรมเก่าให้กรรมเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
    อย่างนี้เขาก็จะยิ่งลำบาก
    …หรือบางคนเกิดมายังไม่ทันจะมีโอกาสได้สร้างกรรมดีเลย
    เช่น เกิดมาแล้วเป็นเด็กพิการทางสมอง หรือเกิดมาแล้วป่วยตาย
    นี่เขาก็แค่เกิดมาเพื่อใช้กรรมไม่มีโอกาสได้ทำกรรมดีด้วยตัวเองอย่างนี้
    ก็ชัดว่าบาปกรรมหน่วงเหนี่ยวมา

    …แต่ทั้งนี้ผมอยากจะบอกว่าทุกคนมีทั้งกรรมดีและบาปกรรมเหนี่ยวนำ
    ควบคู่กันไปนะครับ ไม่มีใครมีกรรมดีเดี่ยว ๆ หรือบาปกรรมเดี่ยว ๆ หรอก
    ขึ้นอยู่กับว่ากรรมไหนจะมากกว่ากันเท่านั้น แล้วชีวิตก็จะเอียงไปตามกรรม
    ในแต่ละช่วงกรรมดีกับบาปกรรมจะผลัดกันกระทำต่อชีวิตของคนเราดังนั้น
    เราทุกคนจึงมีหน้าที่ต้องแก้กรรมเก่ากับสร้างกุศลกรรมให้เพิ่มพูนขึ้น
    ในชาตินี้ไงครับ ธรรมเนียมการบอกทางแก่คนใกล้สิ้นใจล่ะ เช่น
    บอกให้เขาไปดี ไปสู่สุคติ ไปพบพระพุทธเจ้า เป็นต้น จะมีผลต่อผู้ตาย
    หรือชีวิตหลังความตายแค่ไหน

    “ผมคิดว่าเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่จะนำไปยังที่ที่ดีขนาดนั้นทันทีเลย
    ก็คงไม่ได้บางคนทั้งชีวิตไม่เคยทำความดีเลย แถมมีเจ้ากรรมนายเวรมาก
    ถึงเวลานั้นก็มักจะมีเจ้ากรรมนายเวรรุมล้อม ซึ่งคนธรรมดา ๆ มองไม่เห็น
    แต่คนใกล้ตายมักจะเห็น เป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องมาทวง ซึ่งสำหรับบางคน
    ที่ไม่เคยแก้กรรมมาก่อน ชีวิตหลังตายน่ากลัวหรือลำบากกว่าตอนอยู่เสียอีก
    เพราะตัวเองกับเจ้ากรรมนายเวรอยู่ในสภาพของจิตของวิญญาณ
    เหมือนกันแล้ว บางทีเขาเอาคืนหนักมาก บางคนก็ยังมีห่วงติดค้าง
    ไม่ยอมไปผุดไปเกิด กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนหรือไปไหนไม่ถูก อย่างนั้นก็มี

    …แต่กับคนที่ปฎิบัติธรรมปฎิบัติสมาธิมา การที่ญาติมารุมล้อมแล้ว
    ก็บอกทางดีๆให้ อย่างนี้เขาก็อาจจะไปได้ด้วยบุญของเขา
    แต่ไม่ง่ายเลยที่จะถึงพระพุทธเจ้า …ผมอยากบอกกับทุกคนว่า
    อยากได้บุญต้องทำบุญนะบุญบางอย่างตกแก่ตัวเอง
    บางอย่างอุทิศให้กันได้ อย่างการปฎิบัติสมาธินั้น เป็นบุญที่
    ตกอยู่กับตัวเอง คนไหนทำผลบุญก็จะเกิดแก่คนนั้นเอง
    แต่การทำทานนั้น สามารถอุทิศบุญกุศลให้กันได้”
    สิ่งที่เราทุกคนควรทราบอีกประการก็คือ เมื่อยังมีชีวิตอยู่เรามีลู่ทาง
    ที่จะทำบุญและประพฤติธรรมได้มาก แต่หากตายไปแล้ว
    กลายเป็นวิญญาณ ช่องทางบางอย่างต้องให้ญาติพี่น้องที่ยังอยู่
    เป็นคนช่วย

    “จากเดิมที่เราไปทำบุญตักบาตร หรือบริจาคทานก็ตามแล้วเราจะตั้งจิต
    อุทิศส่วนกุศลของเราให้แก่นายคนนั้น นางคนนี้ ตรงนี้เขาได้รับนะครับ
    แต่มันไม่เท่ากับที่เขาจะได้ทำเองแต่ว่าเขาตายแล้ว หลายอย่างเขา
    ทำเองไม่ได้ อย่างการให้ทาน วิญญาณจะไปซื้อของมาบริจาคได้อย่างไร
    มีแค่ดวงจิตจะไปซื้อของมาถวายพระก็ไม่ได้

    …ดังนั้นญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่จะไปทำบุญหรือทำทานที่ไหน
    ให้อธิษฐานจิตเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือบรรพบุรุษที่ล่วงลับ
    เอ่ยชื่อไปเลยนะครับ และเจ้ากรรมนายเวรเชิญมาให้หมด ให้มาร่วมกัน
    ทำกุศลในครั้งนี้ แล้วเขาจะสามารถทำกุศลผ่านเราได้ เมื่อทำเสร็จแล้ว
    ก็ให้ตั้งจิตอนุโมทนาว่าให้เขาเหล่านั้นรับผลบุญที่เราได้ทำด้วย
    อย่างนี้เขาก็จะได้ทั้งทำบุญและรับบุญ แถมยังส่งบุญอนุโมทนาบุญ
    ให้แก่เราอีก เป็นกุศลอย่างดีมาก”

    ริชชี่ย้ำหนักแน่นว่า“ยังไม่ตายทำบุญไปเถอะครับ พอตายแล้วโอกาสที่
    จะได้ทำต่อนั้นลำบาก” โดยที่เขาอธิบายเรื่องการทำบุญนี้ว่า “
    ทำอะไรก็ได้ครับ ที่ถือเป็นการสละและการให้ เช่น ให้ความรู้
    ก็เป็นวิทยาทาน ไม่มีเงินไม่มีทองก็ออกแรงได้ ช่วยเทปูน สร้างวัด
    หรือพิมพ์หนังสือธรรมแจกเป็นธรรมทาน ซึ่งผมไม่รู้นะครับว่าทำอย่าง
    ไหนบุญจะมากกว่า แต่ว่าไม่รู้ก็ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะหลง
    ประเด็นกันไปใหญ่ คือจะมุ่งทำเฉพาะวิธีที่ได้บุญมาก ๆ อย่างนี้ก็กลาย
    เป็นกิเลสที่พอกหนาขึ้นอีก ดังนั้นอย่าสงสัยในบุญ ว่าบางคนบริจาค
    เป็นร้อยล้านกับเราที่หย่อนใส่ตู้ไปยี่สิบบาทหรือร้อยบาท
    ใครจะได้บุญมากกว่ากัน ทำบุญตามอัตภาพของเรา ทำด้วยใจที่เบิกบาน
    และบริสุทธิ์” กระนั้นก็ตามผมอดไม่ได้ที่จะถามริชชี่ว่า ตัวเขานั้นโชคดี
    ที่มีปัญญาญาณอย่างนี้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ทำให้มีโอกาสสร้างบุญบารมี
    ได้มากและได้ด้วยความเข้าใจอีกต่างหากแต่กับหลายคนที่บัดนี้อายุ
    อาจจะล่วงเลยมาสามสิบปีแล้ว สี่สิบปีแล้วบางคนก็ปาเข้าไป
    เจ็ดสิบแปดสิบปี เมื่อมารู้เรื่องกรรมและบุญดังที่ริชชี่ช่วยบอกกล่าวนี้
    ควรจะจัดการอย่างไรต่อไปกับชีวิตของตัวเอง

    “ชีวิตคนคนหนึ่งนั้นมีแค่ 3 ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้อง คืออดีต ปัจจุบัน
    และอนาคต อดีตคือสิ่งที่ผ่านมาแล้วหรือทำไปแล้ว ปัจจุบันเป็นผล
    สืบเนื่องมาจากเหตุในอดีต และอนาคตคือสิ่งที่ยังไม่เกิด ซึ่งจะเกิดอย่างไรนั้น
    ก็ย่อมจะมีเหตุสืบเนื่องจากปัจจุบันนี้เอง การที่ผมแนะนำให้แต่ละคน
    แก้กรรมนั้นหมายถึงให้รู้ว่าขณะนี้เราอยู่ตรงกลาง เรากำลังแนะนำให้
    คุณย้อนกลับไปขอโทษ ขออโหสิกรรมต่อผู้ที่เราเคยทำผิดไว้ในอดีต
    แล้วมีความอาฆาตแค้นเคืองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน …
    ขณะเดียวกันก็ทำบุญในปัจจุบัน ลดการทำกรรม ทั้งให้เตรียมตัวรับกรรม
    ที่อาจจะเพิ่งมาทวงในอนาคตอีกก็ได้ คือให้ปฏิบัติดีเสียแต่วันนี้
    ขออโหสิกรรมล่วงหน้า ซึ่งเจ้ากรรมนายเวรที่เขารอจังหวะทวงคืนอยู่นั้น
    เมื่อเขาเห็นว่าเราสำนึกแล้ว แล้วพยายามจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้ไป
    ในทางที่ดีทางธรรม แทนที่เขาจะเอาคืนสักร้อย ก็อาจจะแค่สิบ
    หรือบางกรรมที่ไม่หนักเท่าไหร่ เขาอาจจะอภัยให้เราไปเลย
    ไม่เอาตัวเขามาผูกพันกับเราแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นอิสระหลุดไป
    จากการผูกมัดหรือร้อยรัดอยู่กับเราด้วยซึ่งมันเป็นกุศลแก่ทั้งสองฝ่ายเลยครับ”

    เมื่อถามว่าบางคนบอกว่าสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเดือดร้อน
    หรือเจ็บแค้นแก่ใครจะถือเป็นบาปไหมริชชี่หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า
    “อย่าเอาตัวเราตัดสินสิครับ ให้พิจารณาจากคู่กรณี ไม่อย่างนั้นเรา
    ก็บอกว่าไม่เจตนากันทุกคนนั่นแหละ (หัวเราะ) ให้ดูว่าสิ่งที่เราทำนั้น
    ก่อความทุกข์ ความเดือดร้อน และความอาฆาตแก่ใครหรือเปล่า
    …ผมยกตัวอย่างให้เห็นสัก 1 ตัวอย่างว่า สมัยเด็ก ๆ เราอาจจะถูกครู
    บางคนดุด่าหรือลงโทษ เราผูกใจเจ็บ แต่วันหนึ่งเมื่อเราโตมา
    พอย้อนกลับไปคิดเราก็เข้าใจได้ว่าทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น
    ท่านปรารถนาดีนะ ความเข้าใจที่เกิดขึ้นนี้แหละมันทำให้การผูกอาฆาต
    หลุดไป แต่กรรมที่จะหน่วงเหนี่ยวกันได้ มันคือกรรมที่ผูกอาฆาต
    ต่อกันไม่เลิก…ตัวเราเองก็เหมือนกัน ให้นึก ๆ ดูว่าเราอาฆาตพยาบาท
    ใครอยู่บ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็หมายถึงเราเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขาอยู่
    หน้าที่ของเราทุกคนในปัจจุบันคือ การไม่ทำให้ใครอาฆาตและต้อง
    ไม่อาฆาตใคร มันจะได้ไม่มีกรรมหน่วงเหนี่ยวต่อกัน”
    แต่เราห้ามคนอื่นไม่ให้เขาอาฆาตเราไม่ได้นี่ ผมแย้ง
    “ได้ครับ ถ้าเราไม่ผิดศีล เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นเขาเป็นคนช่างอาฆาต
    พยาบาทโดยตัวเขาเองอยู่ตลอด อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับบารมี
    ถ้าเรามีบารมีสูงกว่า แรงอาฆาตของเขาก็ไม่เป็นผล ไม่มีความหมาย
    แต่ถ้าบารมีต่ำกว่าอย่างนั้นยุ่งแน่” ริชชี่ขยายความคำว่า “บารมี”
    ว่าหมายถึงการสร้างกรรมดีและการไม่เบียดเบียนใคร
    “คำที่คนสมัยก่อนพูดว่า “คนดีผีคุ้ม” ผมว่ามันหมายถึงบารมีนี่แหละ
    เมื่อคนเราทำดีคนก็เคารพเราเลื่อมใสเรา เมื่อคนไม่ดีคิดจะทำอะไร
    ก็เกรงใจ เกรงกลัว… ผมขอพูดสิ่งที่เกิดจากความเข้าใจจากประสบการณ์
    ของผมหน่อย ซึ่งมันอาจจะไม่ตรงกับหนังสือต่าง ๆ ที่เขาเคยสอน ๆ กัน
    คือ คำว่า “บาป” กับ “กรรม” ของผมไม่เหมือนกันนะครับ สำหรับผม
    บาปหมายถึงความผิดที่เราทำแล้ว เรารู้ด้วยตนเอง เราวิตกกังวล
    แต่ยังไม่ทำให้คนอื่นอาฆาต แต่ถ้าเมื่อไหร่เราทำผิดด้วยแล้วทำให้เขา
    อาฆาตด้วย นี่แหละคือ กรรมแน่นอน”

    ริชชี่เล่ากรณีหนึ่งที่เขาเคยเจอให้ฟังว่า “มีคนคนหนึ่งที่เขาไปช่วย
    ผ่าท้องคลอดให้หมูตัวหนึ่ง ซึ่งมันคลอดเองไม่ไหว พอมันตายไปมัน
    ก็อาฆาตว่าทำให้มันเจ็บปวด ที่จริงมันไม่เข้าใจหรอกว่าเขาพยายาม
    ช่วยมันกับลูกของมัน ตอนหลังคนคนนี้ไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    แล้วหมอไปลืมไหมเอาไว้ในท้องซึ่งเขาแพ้ ดังนั้นแผลผ่าตัดแทนที่
    จะหายและปิดมันก็กลายเป็นก้อนเนื้อเหมือนเนื้อที่งอกออกมาตาม
    รอยเย็บแผล และเลือดไหลออกมาตลอด ต้องคอยให้เลือดตลอด
    พอมาหาผม ผมเห็นหมูมากับเขาด้วย เขาก็เลยนึกได้ว่าเขาเคยทำฟาร์มหมู
    แล้วก็ผ่าท้องหมูตัวนี้
    …การแก้กรรมจึงต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ในใบอธิษฐานแก้กรรม
    ของผมจึงมีตอนหนึ่งให้พูดว่า ชาตินี้กับชาติที่แล้ว
    เหมือนเป็นคนละคนกันแล้ว แต่ผลกรรมยังตามเราอยู่นี่ก็เพื่อแสดง
    ความบริสุทธิ์ใจให้เจ้ากรรมนายเวรรู้ว่า เราไม่รู้หรอกนะว่า
    ชาติก่อนเราเคยเป็นใคร แล้วทำกรรมไว้มากน้อยแค่ไหนบางคนชีวิตนี้
    ทำดีสารพัด แต่เจอแต่เรื่องแย่ ๆ เพราะว่ากรรมมันตามมาทวง
    ผมจึงให้ทุกคนบอกว่าเราจำไม่ได้หรอก เรื่องเมื่อชาติที่แล้วน่ะ
    แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ากรรมมีจริง และเรากำลังรับทุกข์จากผลกรรมนั้น”
    คุณแม่ของริชชี่ซึ่งนั่งอยู่ด้วยเล่าเสริมว่า มีรายหนึ่งทุกข์ระทมขมขื่นเพราะลูก
    ลูกนำความทุกข์อย่างสาหัสมาให้ตลอดเวลา เมื่อมาเจอกับริชชี่
    ริชชี่ก็บอกให้รู้ว่า เด็กคนนี้เคยตั้งใจจะมาเกิดกับคุณแม่แล้วหนหนึ่ง
    แต่ตอนนั้นคุณแม่ทำแท้งซึ่งก็เหมือนไม่อยากให้เขาเกิด เขาก็ตั้งจิตอาฆาต
    ว่าจะมาเกิดอีกหน แล้วเขาก็ทำให้คุณแม่ทุกข์ทนอย่างในปัจจุบันนี้เอง
    “ที่น่าห่วงคือคนสมัยนี้ทำแท้งกันมาก อย่างจดหมายที่ส่งมาหาผม
    ส่วนใหญ่ทำแท้งกันทั้งนั้น”ริชชี่ย้ำว่าจิตที่เป็นจิตของเรา
    กรรมที่เป็นกรรมของเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงแม้เกิดใหม่ จะมีเพียง
    ก็แต่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นที่เปลี่ยนไปในแต่ละชาติภพ ตามบุพการี
    “นั่นคือคำอธิบายว่า ทำไมเจ้ากรรมนายเวรยังจำเราได้ทั้ง ๆ
    ที่หน้าตาของเราเปลี่ยนไป ชื่อเสียงเรียงนามก็เปลี่ยนไปเพราะเขาตามจิต
    จิตมันเป็นดวงเดิม จิตไม่เปลี่ยน บางคนที่ชอบไปเปลี่ยนชื่อ
    เปลี่ยนนามสกุล เพราะคิดว่าชีวิตจะดีขึ้นเราก็เห็นแล้วว่าไม่ใช่กับทุกคน
    บางคนก็ชีวิตเหมือนเดิม บางคนก็แย่กว่าเดิม มาเปลี่ยนที่กรรมดีกว่า
    …แต่ในบทแก้กรรมที่ผมเขียนขึ้น ตอนหลังเมื่อผมมาพิจารณา มันมีคำว่า
    ขณะนี้ลูกชื่อ อยู่ด้วย ก็แปลว่าเปลี่ยนชื่อแล้วไม่เป็นไร หากจะกล่าวบท
    แก้กรรม ก็เอ่ยชื่อใหม่ของตัวเองไปเลย ซึ่งบทแก้กรรมนี้จะต่างจาก
    การแผ่เมตตานะครับแผ่เมตตาเป็นแค่การแผ่กุศลจิตถึงกัน
    แต่ยังไม่ได้ขอโทษหรือขออโหสิกรรม ขณะที่บทแก้กรรมเป็นการตั้งจิต
    ถึงเจ้ากรรมนายเวร เพื่อที่จะสื่อให้เขารู้ว่าเรารู้แล้วนะถึงความทุกข์ทรมาน
    อันเกิดจากกรรมของเรา และเราขอให้อโหสิกรรมต่อกัน”

    ริชชี่ย้อนกลับมาย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เขาได้พยายามอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอด
    หลักกรรมและการแก้กรรมผ่านหนังสือพ๊อกเก็ตบุ๊กของเขา
    ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกคนไม่ต้องดั้นด้นมาขอความช่วยเหลือจากเขา
    เพียงแค่ทำความเข้าใจและลงมือปฏิบัติ ก็สามารถคลี่คลาย
    ความทุกข์ในชีวิตที่เกิดจากผลกรรมได้ด้วยตัวเอง“
    กรรมของเขาเขาต้องแก้เอง จะให้ผมแก้ให้ คู่กรณีคงไม่พอใจ
    และไม่คลายอาฆาตแน่ๆ และหากมีที่ไหนบอกว่ารับแก้กรรมให้
    อย่าไปเชื่อ ไม่มีทางแน่นอน ทุกคนต้องแก้ด้วยตัวเอง”
    ถ้าอย่างนั้น คนที่มาหาริชชี่ส่วนใหญ่เขาต้องการอะไรกันหรือ…
    “เขาอยากรู้กรรมตัวเอง และอีกส่วนหนึ่งอยากให้แก้กรรมให้ด้วย (ยิ้ม)
    เพราะว่าคนเราสมัยนี้คุ้นเคยต่อความสบายและสำเร็จรูป”
    และมีบางทีมาท้าทายหรือทดสอบดูว่า ริชชี่เป็นคนลวงโลกหรือไม่
    “ผมจะเฉยๆ กับเขานะครับ เพราะส่วนใหญ่ที่ผมเคยช่วยมา
    จะช่วยให้ลักษณะวิทยาทานมากกว่า คือพูดคุยเพื่อให้เขารู้โดยอาศัยสมาธิ
    เป็นพื้นฐาน ก่อนจะสัมผัสเรื่องต่าง ๆในขั้นต่อไปได้
    จะต้องเริ่มจากสมาธิก่อน มันเหมือนบันไดบ้านน่ะครับก่อนจะถึงชั้นบน
    ได้ต้องไต่บันไดไปทีละขั้น และให้ปฏิบัติสมาธิอย่างผ่อนคลาย
    อย่าไปทำด้วยความอยากหรือหวังผลว่าจะได้อะไร
    เพราะหากเกิดความอยากขึ้นมาปุ๊บ สิ่งที่ควรจะได้ก็จะไม่ได้ในทันที …
    หลักของสมาธิคือ “สงบและมีสติ” ส่วนอะไรมันก็จะเกิดขึ้นเราก็แค่รับรู้
    และกำหนดสติพิจารณา เพราะมีบางคนนั่งสมาธิแล้วหลง
    เห็นว่าเทพองค์โน้นมาองค์นี้มา เป็นเพราะเขาขาดสติ
    บางคนนั่งสมาธิแล้วจิตหลุดไปเลย เพี้ยน! เพราะว่าเขาสงบจริงแต่
    ขาดสติ…หลายคนบอกว่านั่งสมาธิเป็นเรื่องที่ต้องมีครูบาอาจารย์ชี้แนะ
    ใช่ครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไรเลย แต่สำหรับคนที่จับหลักได้แล้ว
    ครูบาอาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องมีซึ่งหลักง่าย ๆ ก็คือ สงบและมีสติ
    สงบหมายถึงให้จิตอยู่กับตัวเอง การที่เราแวบไปคิดเรื่องอื่น
    จิตมันก็ไปแล้ว ไม่อยู่ตรงนี้ที่นี่ จิตของคนเรานี้เดินทางเร็วมากฉะนั้น
    ให้ดึงจิตกลับมาอยู่กับตัวเอง พอสงบปุ๊บ ความรู้สึกมันจะเหมือน
    ช่วงใกล้หลับ เพียงแต่เรามีสติ การหลับคือสงบแต่สติไม่อยู่แล้ว
    เราจึงหลับไป แต่สมาธินั้นเราสงบ ขณะที่สติก็ยังทำงาน
    ซึ่งถ้าสงบและมีสติกำกับได้นาน ๆ ในที่สุดจะนำไปสู่ปัญญา”

    ริชชี่บอกว่าการทำสมาธินั้นมีคุณต่อชีวิตหลายประการนอกจากเป็นการ
    ฝึกจิตฝึกสติ และนำไปสู่ปัญญาแล้ว ยังช่วยลดความโลภ ความโกรธ
    ความหลงด้วย“เพราะเมื่อฝึกไปนานๆ จิตที่ถูกฝึกแล้วจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
    ของตัวเอง คือมีความรู้แจ้งหรือมีปัญญา ไม่มีความอยาก ไม่มีความหลง
    ”ริชชี่บอกว่าการทำสมาธิที่ว่านี้ไม่เกี่ยวกับหลักทางศาสนาแต่อย่างใด
    ฉะนั้น ศาสนิกชนในทุกศาสนาสามารถฝึกจิตของตัวเองให้มีสมาธิได้โดย
    ไม่ขัดกับหลักศาสนาและเอาเข้าจริง ศาสนาต่าง ๆ ก็จะนำพาผู้คนไปยัง
    จุดเดียวกัน เหมือนกับคำว่า “ต้นสายปลายรวม” คือการมีจิตที่ได้รับ
    การฝึกฝนแล้ว มีศีลและมีธรรม

    “การที่เรามีศาสนาต่างกัน มีศรัทธาในพระศาสดาคนละองค์กันไม่ใช่ปัญหา
    มันอยู่ที่จิตของเราเท่านั้นเอง ว่าจิตเราตั้งมั่นกับอะไร
    แต่ตอนหลังคนจะเน้นพิธีกรรมเสียมาก เน้นวัตถุและเครื่องราง
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แต่ท่านช่วยเราไม่ได้ตลอดหรอก เราต้องแก้กรรม
    ของเราด้วยตัวเอง จะหวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแก้กรรมให้ไม่มีทาง
    เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็มีกรรมของท่าน เนื่องจากเป็นจิตเหมือนกัน
    …คนจะเป็นเทวดาได้ต้องเป็นคนมาก่อน แต่เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    จึงได้เป็นเทพ แต่บางทีคนก็เป็นเทพในสภาพที่ยังเป็นคนได้
    ด้วยความดีที่เขาทำด้วยจิตที่ได้รับการฝึก”
    ศาสดาที่เรานับถือกันอยู่นี้ มีจริงมั้ย ผมถาม“มีครับ และท่านก็เคยเป็นคน
    มาก่อน แล้วปฏิบัติได้ดีกว่าเรา จนบรรลุ เหมือนท่านปฏิบัติจน
    เป็นด๊อกเตอร์ไปแล้วแต่พวกเรายังอนุบาลกันอยู่เลย (หัวเราะ)
    ”ผมขออนุญาตถามริชชี่ตรง ๆ ว่า เขารู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
    ริชชี่ยิ้ม ก่อนจะตอบว่า “ผมก็รู้สึกแปลกเหมือนกันนะครับมันเหมือนกับ
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านให้แบบฝึกหัด ให้ผมได้เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ
    ไม่ใช่ให้ผมตูมเดียว แล้วนึกออกปรุโปร่ง อย่างนั้นผมก็คงรับไม่ได้แน่นอน
    แต่นี่มันผ่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ที่ผมได้รับการเรียนรู้จากแบบฝึกหัดและการอธิบาย”

    คุณแม่ของริชชี่ ก็ยืนยันว่าสมัยที่ริชชี่ อายุ 13 ปี เขาได้เจอคนไข้ที่มาหา
    อย่างมีหมวดหมู่มาก ช่วงแรกเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา ๆ ทั่วไป
    ริชชี่ก็ดูให้และรักษาชนิดรักษาปุ๊บหายปั๊บต่อมาก็เป็นกลุ่มมะเร็ง
    โดยคุณแม่บอกว่าไม่ใช่แค่การแยกกลุ่มโรคมาเท่านั้น
    แต่ยังแยกกลุ่มมนุษย์มาด้วยอีกต่างหาก เช่น ช่วงนี้เป็นตำรวจ
    ก็จะมีแต่ตำรวจ เหล่านี้เป็นต้น
    “คนไข้ลิ้นหัวใจคนหนึ่งมาหา ริชชี่เขาหลับตานั่งสมาธิเขาบอกว่า
    เห็นหัวใจเต้นและลิ้นหัวใจมันเปิดปิดเปิดปิด เขาก็จับ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า
    เขาถอดกายทิพย์ไปแล้ว จับให้เหมือนกันทั้ง 4 ห้อง แล้วเขาก็ออกจาก
    สมาธิ ยายที่ป่วยที่เหนื่อยหอบอยู่ก็หาย” ริชชี่เสริมว่า
    “สมัยนั้นจะใช้พลังช่วยเลย เพราะยังไม่มีความรู้เรื่องกรรม
    สักสามปีหลังจากนั้นก็เกิดมีใบแก้กรรมขึ้นมา เพราะว่าคนเราไม่ได้
    มีแค่กรรมตอนนั้น แก้กันแล้วก็จบเขายังมีกรรมในอนาคตอีก
    ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจะต้องรู้และแก้ได้ด้วยตนเอง ช่วงนี้จึงเน้นให้คนเข้าใจ
    หลักการเรื่องกรรมและการทำสมาธิ ตั้งจิตถึงเจ้ากรรมนายเวร
    สร้างกรรมดีเพิ่ม ลดบาปกรรมลง” ผมถามริชชี่ว่า…
    สิ่งที่เขาต้องทำอยู่ในทุกวันนี้จะให้เรียกว่าอะไร “หน้าที่” หรือ…?
    “มันเป็นสิ่งที่ทำค้างไว้ในอดีตครับ เพราะชาติแรกที่เกิดผมเป็นฤาษี
    ที่ปฏิบัติแล้วแสดงฤทธิ์ไว้เยอะ มีคนอยากทำตามบ้างแต่ก็ไม่ได้สอนเขา
    เมื่อผมตายไปก็ไปปฏิบัติต่อ พอมาเกิดชาตินี้ก็จะได้มาช่วยคนที่เรา
    สอนค้างไว้ ไม่ใช่ว่าช่วยคนทั้งโลก (หัวเราะ) คงเฉพาะคนที่
    เกี่ยวข้องกันมา หรือบางคนไม่ได้เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน
    แต่เจ้ากรรมนายเวรเขารู้ว่าถ้ามาหาผม เขาเองก็จะได้ไปดี
    ก็จะชักนำให้เกิดโอกาสได้มาเจอหรือบางคนไหว้พระสวดมนต์มานาน
    เคยอ้อนวอนเทพ ก็มีโอกาสได้มาเจอกัน”
    ในการช่วยคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ริชชี่ไม่เคยรับเงิน
    แม้กระทั้งรายได้ในส่วนของเขาจากหนังสือ เขาก็เก็บไว้ทุกบาททุกสตางค์
    เพื่อจะนำไปบริจาคให้แก่โรงพยาบาล เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ต่อไป
    “ที่จริงผมก็อยากใช้ชีวิตไปตามปกติ ที่ผ่านมาก็ปกติ แต่อาจจะไม่มีเวลา
    เป็นส่วนตัวบ้างในบางครั้งเท่านั้น ในช่วงหลัง ๆ จึงเน้นการสอนเสียมากกว่า
    และชอบจะไปสอนด้วย การเป็นวิทยากรแบบมีคนสองร้อยคนสี่ร้อยคน
    เรียกว่าเหนื่อยครั้งหนึ่งแล้วทำให้คนเข้าใจได้มาก
    …ผมไม่อยากให้คนมองผมคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงที่ว่า
    ผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ต้องมาหาผม แต่ขอให้ทำความเข้าใจในสิ่งที่
    ผมบอกเท่านั้น ชีวิตของท่านก็จะดีขึ้นเอง กรรมของท่านต้องได้รับ
    การแก้ไขด้วยตัวท่านเองเท่านั้น และส่วนตัวผมอยากเรียนให้จบ
    ผมอยากทำงานที่ผมรัก นั่นคืองานพิธีกร อยากเป็นพิธีกรรายการ
    โทรทัศน์ครับ” แล้วริชชี่รู้อนาคตตัวเองมั้ย ผมถาม
    “ผมไม่ค่อยได้สนใจจะรู้นะครับ ปล่อยไปตามปกติ ที่จริงแล้วสำหรับผม
    อดีตก็ไม่ควรรู้ ที่เราต้องการรู้ก็แค่เพียงว่าเราทำผิดไว้กับใครบ้างหรือไม่
    รู้แล้วจะได้ไปขออโหสิกรรมกับเขาอนาคตนี่ยิ่งไม่ได้อยากรู้
    เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน จึงใส่ใจกับปัจจุบันมากกว่าครับ”

    สิ่งสุดท้ายที่ริชชี่ขอย้ำก็คือ “การปฏิบัติสมาธินี้ ในเวลาที่เรายัง
    มีชิวิตอยู่ก็ให้ประโยชน์หลายอย่าง ตอนตายก็ได้เปรียบ
    เพราะคนที่ตอนเป็นคนไม่เคยปฏิบัตินั้นจะเสียเปรียบมาก
    เนื่องจากเมื่อตายไปแล้วไม่มีร่างให้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคน
    ยังมีโอกาส ก็ขอให้ปฏิบัติเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีที่สุดครับ”

    ที่มา :
    SUPER RICHY | ผู้ใช้หลักสมาธิ ในการแก้กรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...