☉:สดใสในหม่นมัว:☉

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 13 ธันวาคม 2008.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,488
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>สดใสในหม่นมัว


    </TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ความตึงเครียดความกลัว ความเศร้า ความหมองหม่น ท้อแท้ ก็ไม่แตกต่างจากความร่าเริงสดชื่น หรือความรื่นรมย์อื่นๆ กล่าวคือ ล้วนแต่เป็น ผล จาก การปรุงแต่ง ของ จิต ทั้งสิ้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    ทุกข์ หรือ สุข ก็เช่นเดียวกัน
    ล้วนมาจากใจ ซึ่งปรุงแต่งไปตามสิ่งที่กระทบ และความทรงจำ หรือประสบการณ์เดิมๆ

    นี่อาจไม่ใช่ความคุ้นชินของหลายต่อหลายคนซึ่งมักแยก สุข ออกจาก ทุกข์ ด้วยสายตา หรือความคิดของการ แยกส่วน
    แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจ ต่อ ความจริง เช่นนี้ของชีวิต ของธรรมชาติ ทั้งจากคำชี้แนะทางศาสนา และจากการลองผิดลองถูก ในการตรึกตรอง ในการมองชีวิตด้วยจิตอันเปิดกว้างของตนเอง




    [​IMG]



    ขณะเดียวกันการรับรู้และตอบสนองต่อความรู้สึกดังกล่าว ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ตรงหน้าของผู้นั้นด้วยเช่นกัน

    ว่ากันว่าผู้รู้ ย่อม เห็น ในสิ่งที่ กำลังเห็น แต่ ผู้ยังไม่รู้ หรือ รู้น้อย จะเห็นได้ด้วย ความทรงจำ ของตน จนบางคราวให้คนสองคนมาบอกเล่าถึงสิ่งที่แต่ละคน มองเห็น วัตถุเดียวกัน เห็นพร้อมๆ กัน กลับได้รับ คำอธิบาย อันแตกต่าง ยิ่งถ้าให้ตัดสินคุณค่า หรือมูลค่าของวัตถุดังกล่าวนั้นด้วยแล้ว ผลที่ได้มักสืบสายโยงใยไปสู่ความทรงจำ หรือความประทับใจในอดีต และเป็นผลของการเทียบเคียงโดยแท้

    ความรู้ อันเป็นองค์คุณของ ผู้รู้ ที่ว่าไว้ข้างต้น หมายถึง ปัญญา หรือ ความรู้ทั่ว ที่ เข้าใจชัดเจน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับ สัญญา ที่แปลว่า ความจำได้หมายรู้ ว่า สิ่งใดคืออะไร เพราะเคยรู้เคยเห็นมาก่อน




    [​IMG]




    และความรู้ ที่หมายถึง ความรู้จริง ดังกล่าวนั้น ท่านว่า?จะ รู้แล้วรู้เลย ในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปอย่างสิ้นเชิง โดยไม่ย้อนกลับมา ไม่รู้ ได้อีก ตรงกันข้ามกับ ความจำ ที่บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไป หรือมีเหตุปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อาจทำให้ ลืม หรือ เลือนหลง ไปเสียได้
    ดังนั้นเมื่อผู้ใดได้ รู้ และ เข้าใจ ใน ความจริง เขา (หรือเธอ) ก็จะไม่ปล่อยใจให้ปรุงแต่ง จนเป็นที่มาของ สุข หรือ ทุกข์ หรือแม้แต่ให้เกิดอาการ ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะเขา (หรือเธอ) ผู้นั้น ประจักษ์ ต่อความจริงแท้เบื้องหน้าได้โดยตรง

    โลกของผู้รู้แจ้งจึงเป็นโลกของความจริงชนิดที่ความลวงทั้งภายในภายนอก ไม่อาจเหยียบย่ำกล้ำกลายเข้ามาได้
    ผู้รู้ จึงสามารถสัมผัสความมืดมัวได้แจ่มชัด ด้วยรู้แจ้งว่าความมืดมัว หมองหม่น ย่อมเป็นอย่างเช่นที่มันเป็น และเป็นเช่นนั้นเอง โดยมิต้องให้ใครยินดียินร้าย




    [​IMG]





    บนวิถีแห่งการภาวนา การบ่มเพาะภาวะเช่นนั้น มิใช่เรื่องเหลือวิสัย ด้วยว่าทุกรูปนาม สามารถทดสอบ ทดลอง ถึงภาวะเช่นนั้นได้ในชีวิตจริง ด้วยอายตนะทั้ง ๖ ของตนเอง เมื่อจิตของผู้นั้นพรักพร้อมไปด้วยสติปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ อันเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนและการฝึกตน จนเพียงพอต่อการใช้งาน

    เส้นทางสายภาวนาแม้จะทอดยาวไปข้างหน้า แต่ใช่ว่าจะไร้จุดหมาย ดังปรากฏผู้คนที่ ทุกข์น้อย ให้เราทั้งหลายได้สังเกต หรือพบเห็นอยู่เสมอ เขาและเธอเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่เคยเป็นผู้เริ่มต้นมาก่อน และต่างก็เป็นผู้ตามที่ดีของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า บนเส้นทางสายภาวนา ที่พระองค์เคยประทับรอยพระบาทมาก่อนแล้ว

    บางคนสามารถเห็นความหม่นมัวได้แจ่มชัดเพราะ รู้ และ เข้าใจ ต่อสภาวะนั้นๆ อย่างแท้จริง แต่ก็มีผู้คนอยู่ไม่น้อย ที่สัมผัสกับความแจ่มใส แจ่มชัด ด้วยความหมองหม่น มืดมัว ในดวงตา และดวงใจของตนเอง


    บางคนมามืดไปสว่าง

    แต่บางคนมาสว่างเพื่อเดินทางไปในความมืด สู่ความมืดเบื้องหน้าโดยแท้

    พระกิตติศักดิ์กิตติโสภโณ​


    -------------
    [​IMG]
    http://www.komchadluek.net/2008/12/13/x_phra_j001_324020.php?news_id=324020
    รูปภาพประกอบบางส่วนจากอินเตอร์เนต​
     

แชร์หน้านี้

Loading...