๑๐๑ ปี หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ กับ ๑๑๐ เรื่องราวคำสอนและอภิญญาของหลวงปู่

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย leo_tn, 12 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๐. เวลาเป็นของมีค่า
    [​IMG]

    หลวงพ่อเคยบอกว่า...

    "คนฉลาดน่ะ เขาไม่เคยมีเวลาว่าง"

    เวลาเป็นของมีค่า เพราะไม่เหมือนสิ่งอื่น แก้วแหวน เงินทอง สิ่งของทั้งหลาย เมื่อหมดไปแล้วสามารถหามาใหม่ได้

    แต่สำหรับเวลาแล้ว หากปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขอให้ตั้งปัญญาถามตัวเองว่า...

    "สมควรแล้วหรือกับวันคืนที่ล่วงไปๆ คุ้มค่าแล้วหรือกับลมหายใจที่เหลือน้อยลงทุกขณะ"
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2007
  2. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๑. ต้องทำจริง

    ในเรื่องของความเคารพครูอาจารยื และความตั้งใจจริงในการปฏิบัติ หลวงพ่อเคยบอกว่า

    "การปฏิบัติ ถ้าหยิบจากตำราโน้นนี้ (หรือ) แบบแผนมาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาอาจารย์โน่นนี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา

    การจะปฏิบัติให้รู้ธรรม เห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง ข้าเป็นคนมีทิฐิแรง เรียนจากครูบาอาจารย์นี้ ยังไม่ได้ผลก็จะต้องเอาให้จริงให้รู้ ยังไม่ไปเรียนกับอาจารย์อื่น ถ้าเกิดไปเรียนกับอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูอาจารย์"

    <!-- / message -->
     
  3. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๒. ของจริงนั้นมีอยู่

    มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดความท้อใจ ปฏิบัติอยู่เป็นเวลานาน ก็ยังรู้สึกว่าตนเองไม่ได้พัฒนาขึ้น หลวงพ่อเคยเมตตาสอนผู้เขียนว่า

    "ของที่มีมันยังไม่จริง ของจริงเขามี เมื่อยังไม่จริง มันก็ยังไม่มี"

    หลวงพ่อเมตตากล่าวเสริมอีกว่า

    "คนที่กล้าจริง ทำจริง เพียรปฏิบัติอยู่เสมอ จะพบความสำเร็จในที่สุด ถ้าทำจริงแล้วต้องได้แน่ๆ"

    หลวงพ่อยืนยันอย่างหนักแน่นและให้กำลังใจแก่ลูกศิษย์ของท่านเสมอ เพื่อให้ตั้งใจ ทำจริง แล้วผลที่เกิดจากความตั้งใจจริงจะเกิดขึ้นให้ตัวผู้ปฏิบัติได้ชื่นชมยินดีในที่สุด
    <!-- / message -->
     
  4. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๓. ล้มให้รีบลุก

    เป็นปกติของผู้ปฏิบัติธรรม ช่วงใดเวลาใดที่สามารถปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า จิตใจสงบเย็นเป็นสมาธิได้ง่าย สามารถพิจารณาอรรถธรรมให้ผ่านทะลุจิตใจได้โดยตลอดสาย ช่วงดังกล่าวมักจะต้องมีปัญหา และอุปสรรคที่เข้ามาไม่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อมาขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติคนนั้นๆ ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมไม่สามารถเตรียมใจรับกับสถานการณ์นั้นๆได้ ธรรมที่กำลังพิจารณาดีๆ ก็ต้องโอนเอนไปมาหรือล้มลุกคลุกคลานอีกได้

    ผู้เขียนเคยกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบถึงปัญหาและอุปสรรคที่กำลังประสบอยู่

    หลวงพ่อเมตตาให้กำลังใจว่า...

    "พอล้มให้รีบลุก รู้ตัวว่าล้มแล้วต้องรีบลุก แล้วตั้งหลักใหม่ จะไปยอมมันไม่ได้

    ...ก็เหมือนกับตอนที่แกเป็นเด็กคลอดออกมา กว่าจะเดินเป็น แกก็ต้องหัดเดินจนเดินได้ แกต้องล้มกี่ทีเคยนับไหม พอล้มแกก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ใช่ไหม...ค่อยๆ ทำไป"

    หลวงพ่อเพ่งสายตามาที่ผู้เขียนแล้วเมตตาสอนว่า...

    "ของข้า เสียมามากกว่าอายุแกซะอีก ไม่เป็นไร ตั้งมันกลับขึ้นมาใหม่"

    ผู้เขียน "แล้วจะมีวิธีป้องกันไม่ให้มันล้มบ่อยได้อย่างไร"

    หลวงพ่อ "ต้องปฏิบัติธรรมให้มาก ถ้ารู้ว่าใจเรายังแข็งแกร่งไม่พอ ถูกโลกเล่นงานง่ายๆ แกต้องทำให้ใจแกแข็งแกร่งให้ได้ แกถึงจะสู้กับมันได้"

    เพื่อเป็นการเพิ่มกำลังใจของนักปฏิบัติ ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้งก็ตาม แต่ทุกๆครั้ง เราจะได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป ให้น้อมนำสิ่งที่เราเผชิญมาเป็นครู เป็นอุทาหรณ์สอนใจของเราเอง เตรียมใจของเราให้พร้อมอีกครั้ง ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก
    <!-- / message -->
     
  5. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๔. สนทนาธรรม

    เมื่อครั้งที่ผู้เขียนกับหมู่เพื่อนใกล้สำเร็จการศึกษา ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านได้สนทนากับพวกเราอยู่นาน สาระสำคัญที่เกี่ยวกับการปฏิบัติคือ

    เมื่อพบแสงสว่างในขณะภาวนาให้ไล่ดู ถามท่านไล่แสงหรือไล่จิต ท่านตอบว่าให้ไล่จิตโดยเอาแสงเป็นประธาน (เข้าใจว่าอาศัยปีติคือความสว่างมาสอนจิตตนเอง) เช่น ไล่ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงหรือไม่ มีจริงก็เป็นพยานแก่ตน

    ถามท่านว่าไล่ดูเห็นแต่สิ่งปกปิด คือกิเลสในใจ

    ท่านว่า...

    "ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนเป็นหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"
    <!-- / message -->
     
  6. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๕. ผู้บอกทาง

    ครั้งหนึ่ง มีผู้มาหาซื้อยาลมภายในวัด ไม่ทราบว่ามีจำหน่ายที่กุฏิไหน หลวงพ่อท่านได้บอกทางให้ เมื่อผู้นั้นผ่านไปแล้ว หลวงพ่อท่านได้ปรารภธรรมให้ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ฟังว่า

    "ข้านั่งอยู่ ก็เหมือนคนคอยบอกทาง เขามาหาข้าแล้วก็ไป..."

    ผู้เขียนได้ฟังแล้วระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็น"กัลยาณมิตร" คอยชี้แนะให้ทางเดิน ดังพุทธภาษิตว่า

    "จงรีบพากเพียรพยายามดำเนินตามทางที่บอกเสียแต่เดี๋ยวนี้ ตถาคตทั้งหลายเป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น"

    หลวงพ่อเป็นผู้บอก แต่พวกเราต้องเป็นคนทำ และต้องทำเดี๋ยวนี้
    <!-- / message -->
     
  7. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๖. อย่าทำเล่น

    เคยมีผู้ปรารภกับผู้เขียนว่าปฏิบัติธรรมมาหลายปีเต็มที แต่ภูมิจิต ภูมิธรรม ไม่ค่อยจะก้าวหน้าถึงขั้น "น่าชมเชย" ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตัวเองและหมู่เพื่อนเป็นโรคระบาด คือโรคขาอ่อน หลังอ่อน ไม่สามารถจะเดินจงกรม นั่งสมาธิได้ ต้องอาศัยนอนภาวนาพิจารณา "ความหลับ" เป็นอารมณ์ เลยต้องพ่ายแพ้ต่อเจ้ากรรมนายเวร คือ เสื่อ และหมอนตลอดชาติ

    พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีถึง 4 อสงไขย กำไรแสนมหากัป ครั้นออกบวชก็ทรงเพียรปฏิบัติอยู่หลายปี กว่าจะได้บรรลุพระโพธิญาณ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่แหวน ฯลฯ ท่านปฏิบัติธรรมตามป่าตามเขา บางองค์ถึงกับสลบเพราะพิษไข้ป่าก็หลายครั้ง หลวงพ่อดู่ท่านก็ปฏิบัติอย่างจริงจังมาตลอดหลายสิบพรรษา กว่าจะได้ธรรมแท้ๆ มาอบรมพร่ำสอนเรา

    แล้วเราล่ะ ปฏิบัติกันจริงจังแค่ไหน

    "ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม" แล้วหรือยัง
    <!-- / message -->
     
  8. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๗. อะไรมีค่าที่สุด

    ถ้าเรามาลองคิดดูกันแล้ว สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเราตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายคืออะไร หลายคนอาจตอบว่าทรัพย์สมบัติ สามี ภรรยา บุคคลที่รัก หรือบุตร หรืออะไรอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับว่าชีวิตของเรานั้นมีค่าที่สุด เพราะถ้าเราสิ้นชีวิตแล้ว สิ่งที่กล่าวข้างต้นก็ไม่มีค่าความหมายใดๆ

    ชีวิตเป็นของมีค่าที่สุดในจำนวนสิ่งที่เรามีอยู่ในโลกนี้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นของมีค่าที่สุดในโลก สิ่งต่างๆ ในโลกช่วยให้เราพ้นทุกข์ชนิดถาวรไม่ได้ แต่พระธรรมช่วยเราได้ ผู้มีปํญญาทั้งหลายควรจะผนวกเอาสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดทั้งสองนี้ให้ขนานทาบทับเป็นเส้นเดียวกัน อย่าให้แตกแยกจากกันได้เลยดังพระพุทธพจน์ตอนหนึ่งว่า

    กิจโฉ มนุสสปฏิลาโภ การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก
    กิจฉํ มจจานํ ชีวิตํ การได้มีชีวิตอยู่เป็นของยาก
    กิจฉํ สทธมมสสวนํ การได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า
    เป็นของยาก
    กิจโฉ พุทธานมุปปโท การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า
    เป็นของยาก

    อะไรจะมีค่าที่สุด สำหรับผู้ที่ได้มานมัสการหลวงพ่อนั้น คงไม่ใช่พระพรหมผง หรือเหรียญอันมีชื่อของท่าน

    หลวงพ่อเคยเตือนศิษย์เสมอว่า

    "ข้าไม่มีอะไรให้แก (ธรรม) ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"
    <!-- / message -->
     
  9. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๘. นายระนาดเอก

    เกี่ยวกับเรื่องไหวพริบ ปฏิภาณและตัวปัญญา หลวงพ่อท่านได้ยกตัวอย่าง เรื่องของนายระนาดเอกไว้ให้ฟังว่า สมัยก่อนการเรียนระนาดนั้น อาจารย์จะสอนวิชาการตีระนาดแม่ไม้ต่างๆโดยทั่วไปแก่ศิษย์ ส่วนแม่ไม้วิชาครูจะเก็บไว้เฉพาะตน มิได้ถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ผู้หนึ่งผู้ใด อยู่มาวันหนึ่ง นายระนาดเอกพักผ่อนนอนเล่น
    อยู่ใต้ถุนเรือนที่บ้านอาจารย์ของตน ได้ยินเสียงอาจารย์ของเขากำลังบรรเลงระนาดทบทวนแม่ไม้วิชาครูอยู่ นายระนาดเอกก็แอบฟัง ตั้งใจจดจำไว้จนขึ้นใจ

    วันหนึ่งอาจารย์ได้เรียกศิษย์ทุกคนมาแสดงระนาดให้ดูเพื่อทดสอบฝีมือ ถึงครานายระนาดเอก ก็ได้แสดงแม่ไม้วิชาครู
    ซึ่งไพเราะกว่าศิษย์ผู้อื่น อาจารย์รู้สึกแปลกใจมากที่ศิษย์สามารถแสดงแม่ไม้ของครูได้ โดยที่ตนไม่เคยสอนมาก่อน จึงถามนายระนาดเอกว่าไปได้แม่ไม้นี้มาจากไหน นายระนาดเอกจึงตอบว่า "ได้มาจากใต้ถุนเรือน ครับ"

    แล้วหลวงพ่อได้สรุปให้พวกเราฟังว่า การเรียนรู้ธรรมก็เช่นกัน ต้องลักเขา แอบเขาเรียน คือ จดจำเอาสิ่งที่ดีงามของผู้อื่นมาปฏิบัติแก้ไขตนเองให้ได้ ตัวท่านเองสอนได้บอกทางได้ แต่ไม่หมด ที่เหลือเราผู้ปฏิบัติต้องค้นคว้าและฝึกฝนปฏิบัติด้วยตนเอง
    ใครไหวดีก็เรียนได้เร็ว
    เหมือนนายระนาดเอกในเรื่องนี้
    <!-- / message -->
     
  10. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๔๙. เสกข้าว

    ครั้งหนึ่งเคยมีศิษย์บางท่านนำข้าวมาให้หลวงพ่อท่านเสกอธิษฐานจิตให้ทานเสมอ ซึ่งท่านก็เมตตาไม่ขัด แต่บ่อยๆ เข้าท่านก็พูดว่า "เสกอะไรกันให้บ่อยๆ เสกเองบ้างสิ"

    คำพูดนี้ท่านได้ขยายความให้ฟังในภายหลังว่า คำว่า เสกเอง คือ การเสกตนเองให้เป็นพระ ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติต่อจิตใจของตนเอง ยกระดับให้สูงขึ้น หรือมีใจเป็นพระบ้าง มิใช่จะเป็นท่านอธิษฐานเสกเป่าของภายนอก เพื่อหวังเป็นมงคลถ่ายเดียว โดยไม่คิดเสกตนเองด้วยตนเอง
     
  11. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๐. สำเร็จที่ไหน
    [​IMG]

    มีผู้ปฏิบัติธรรมบางท่านข้องใจข้อปฏิบัติธรรมะเกี่ยวกับการวางที่ตั้งตามฐานของจิตในการภาวนา จึงได้ไปเรียนถามหลวงพ่อตามที่เคยได้รับรู้รับฟังมาว่า "การภาวนาที่ถูกต้อง หรือจะสำเร็จมรรคผลได้นั้น ต้องตั้งจิตวางจิตไว้ที่กลางท้องเท่านั้น ใช่หรือไม่?"

    หลวงพ่อท่านตอบอย่างหนักแน่นว่า

    "ที่ว่าสำเร็จนั้นสำเร็จที่จิต ไม่ได้สำเร็จที่ฐาน คนที่ภาวนาเป็นแล้วจะตั้งจิตไว้ที่ปลายนิ้วก็ยังได้"

    แล้วท่านก็บอกจำนวนที่ตั้งตามฐานต่างๆ ของจิตให้ฟัง

    จะเห็นได้ว่าท่านไม่ได้เน้นว่าต้องวางจิตใจที่เดียวที่นั่นที่นี่ เพราะฐานต่างๆ ของจิตเป็นทางผ่านของลมหายใจทั้งสิ้น ท่านเน้นที่สติและปัญญาที่มากำกับใจต่างหาก สมดังในพระพุทธพจน์ที่ว่า

    "มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยาฯ ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่เป็นประธานสำเร็จได้ด้วยใจ"
    <!-- / message -->
     
  12. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๑. เรารักษาศีล ศีลรักษาเรา

    ศีลเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรมทุกอย่าง หลวงพ่อมักจะเตือนเสมอว่า ในขั้นต้นให้หมั่นสมาทานรักษาศีลให้ได้ แม้จะเป็นโลกียศีล รักษาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง ก็ให้เพียงระวัง รักษาไป สำคัญที่เจตนาที่จะรักษาศีลไว้ และปัญญาที่คอยตรวจตราแก้ไขตน

    "เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ" ท่านว่าเจตนาเป็นตัวศีล
    "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" เจตนาเป็นตัวบุญ

    จึงขอให้พยายามสั่งสมบุญนี้ไว้ โดยอบรมศีลให้เกิดขึ้นที่จิตเรียกว่า เรารักษาศีล ส่วนจิตที่อบรมศีลดีแล้ว จนเป็นโลกุตรศีล เป็นศีลที่ก่อให้เกิดปัญญาในอริยมรรคอริยผลนี้จะคอยรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติมิให้เสื่อมเสียหรือตกต่ำไปในทางที่ไม่ดีไม่งามนี้แล เรียกว่า ศีลรักษาเรา
    <!-- / message -->
     
  13. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๒. คนดีของหลวงพ่อ

    ธรรมะที่หลวงพ่อนำมาอบรมพวกเราเป็นธรรมที่สงบเย็นและไม่เบียดเบียนใครด้วยกรรมทั้งสามคือ ความคิด การกระทำ และคำพูด

    ครั้งหนึ่งท่านเคยอบรมศิษย์เกี่ยวกับวิธีสังเกตคนดีสั้นๆ ประโยคหนึ่งคือ

    "คนดี เขาไม่ตีใคร"

    ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรม หรือการทำงานในทางโลกนั้นย่อมมีการกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดาของโลกปุถุชน หากเรากระทำการสิ่งใดซึ่งชอบด้วยเหตุและผล คือ ได้พยายามทำอย่างดีที่สุด แล้วอย่าไปกลัวว่าใครเขาจะว่าอะไรเรา ใครเขาจะโกรธเรา แต่ให้กลัวที่เราจะไปว่าอะไรเขา กลัวที่เราจะไปโกรธเขา
    <!-- / message -->
     
  14. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๓. สั้นๆ ก็มี

    เคยมีผู้ปฏิบัติกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า

    "หลวงพ่อครับ ขอธรรมะสั้นๆ ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส 3 ตัวคือ โกรธ โลภ หลง หมดไปจากใจเรา เราทำได้อย่างไรครับ"

    หลวงพ่อตอบเสียงดังฟังชัด จนพวกเราในที่นั้นได้ยินกันทุกคนว่า "สติ"
    <!-- / message -->
     
  15. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๔. แบบปฏิบัติธรรมหลวงพ่อดู่เป็นเช่นใด

    ในยุคปัจจุบันที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนเผชิญกับความทุกข์ความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องปากท้อง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ผู้คนต่างแสวงหาที่พึ่ง แสวงหาคำตอบของชีวิต ในขณะเดียวกันก็มีผู้ตั้งตนเป็นอาจารย์สอนการปฏิบัติธรรมกันมาก

    เกี่ยวกับเรื่องแบบปฏิบัตินี้ หลวงพ่อได้เล่าไว้ว่าเคยมีผู้พิมพ์แบบปฏิบัติธรรมมาถวายและใช้คำว่า "แบบปฏิบัติธรรมวัดสะแก" ท่านแก้ให้ว่าอย่างนี้ไม่ถูกต้องเพราะเป็นแบบของพระพุทธเจ้า ไม่ควรใช้ว่าเป็นแบบของวัดใด

    อีกครั้งหนึ่งที่เคยมีผู้ตั้งคำถามในอินเตอร์เน็ตว่า

    "แบบปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อดู่เป็นอย่างไร"

    ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงบทสนทนาตอนหนึ่งที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งมีลูกศิษย์มาขอศึกษาธรรม ตามแบบของท่าน หลวงพ่อได้ตอบศิษย์ผู้นั้นไปว่า ข้าไม่ใช่อาจารย์หรอก อาจารย์นั่น ต้องพระพุทธเจ้า หลวงพ่อทวดนั่น ข้าเป็นลูกศิษย์ท่าน

    ข้าพเจ้ากลับมานั่งคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง ความชัดเจนในคำตอบของหลวงพ่อจึงค่อยๆ กระจ่างขึ้นเป็นลำดับ เสียงสวดมนต์ทำวัตรแว่วมาแต่ไกล ...โย ธัมมัง เทเสสิ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปริโยสานะกัลยาณัง สาตถัง สะพยัญชะนัง เกวะละ ปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ แปลได้ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด ทรงแสดงธรรมแล้ว มีความไพเราะงดงามในเบื้องต้น ไพเราะงดงามในท่ามกลาง ไพเราะงดงามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือ แบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยสิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ

    สาธุ ถูกของหลวงพ่อและจริงเป็นที่สุด พระพุทธเจ้าทรงวางแบบแผนการปฏิบัติไว้อย่างดียิ่ง เป็นขั้นเป็นตอนและสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ต้องการผู้ใดมาแต่งมาเติมอีก กุญแจคำตอบสำหรับเรื่องนี้ได้เฉลยแล้ว

    ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ

    ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ

    ข้าพเจ้าขอบูชาอย่างยิ่งเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
     
  16. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๕. บทเรียน บทแรก

    หากย้อนระลึกถึงหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ในความทรงจำของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงพ่อเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๖ ด้วยการชักชวนของเพื่อนกัลยาณมิตร จากนั้นไม่นาน บทเรียนบทแรกที่หลวงพ่อได้เมตตาสอนลูกศิษย์ขี้สงสัย ก็ได้เริ่มขึ้นเหมือนเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นที่ท่านรับข้าพเจ้าไว้เป็นลูกศิษย์

    มีเหตุการณ์ที่ประทับใจข้าพเจ้าในช่วงแรกจากการได้มากราบหลวงพ่อ อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธา ซึ่งต่อมาภายหลังได้กลายเป็น...อจลศรัทธา ศรัทธาที่แน่วแน่นมั่นคง ต่อองค์หลวงพ่อของข้าพเจ้า คือ ข้าพเจ้าได้บูชาพระพุทธรูปแก้วใส ปางสมาธิจากตลาดพระที่วัดราชนัดดา กรุงเทพฯ มาหนึ่งองค์ และได้นำมาที่วัดสะแก ให้หลวงพ่อช่วยแผ่เมตตาอธิษฐานจิตเพื่อนำไปสักการะบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำบ้าน

    หลวงพ่อดู่ท่านประนมมือไหว้พระและยกพระพุทธรูปขึ้นมา จับองค์พระของข้าพเจ้าแล้วหลับตานิ่งสักครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้นมา ท่านบอกให้ข้าพเจ้านำสองมือมาจับที่ฐานของพระพุทธรูปซึ่งปิดทองคำเปลวโดยรอบ ท่านให้ข้าพเจ้าหลับตา

    สักครู่ท่านถามข้าพเจ้าว่าเห็นอะไรไหม ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปอยู่เบื้องหน้า แต่ข้าพเจ้านิ่งไม่ตอบอะไรท่าน เนื่องจากตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาในชีวิต ยังไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ จึงไม่ทราบว่า..."เห็น" ในความหมายของหลวงพ่อนั้นหมายถึง "เห็นอย่างไร" และชัดเจนขนาดไหนที่เรียกว่า..."เห็น" ของท่าน

    สักครู่ท่านจึงพูดย้ำกับข้าพเจ้าว่า "แกเห็นพระพุทธรูปแล้วนี่ ดูเสียที่นี่ จะได้หายสงสัยว่าข้าให้อะไรแก กลับบ้านแกจะได้ไม่สงสัย เป็นพระยืน เดิน นั่ง หรือว่านอน"

    "ยืนครับ" ข้าพเจ้าตอบท่าน

    "เออ! ข้าโมทนาสาธุด้วย ที่ข้าให้เป็นพระประจำวันเกิดของแก เอาไปบูชาให้ดี" ท่านตอบ

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ศิษย์ขี้สงสัยอย่างข้าพเจ้ามีหรือจะไม่อดที่จะสงสัยต่อ ยามว่างทั้งในเวลากลางวันหรือกลางคืน ข้าพเจ้าจะมานั่งมองดูพระพุทธรูป เอาสองมือประคองจับที่ฐานขององค์พระ...หลับตา...ทำสมาธิ...ด้วยความอยากดู...อยากรู้อยากเห็นองค์พระอย่างที่ท่านเคยทำให้ข้าพเจ้าเห็น

    วันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า...อนิจจา...เวลาผ่านไป ๑ สัปดาห์... ๑ เดือน... ๒ เดือน... ๓ เดือนก็แล้ว ยังไม่มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นองค์พระที่ท่านทำให้ข้าพเจ้าดูที่วัดสะแกเช่นวันนั้นอีกเลย

    จวบจนกระทั่งหลายเดือนต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่ออีก จึงได้เรียนถามท่านว่า ทำไมเมื่อข้าพเจ้ากลับไปบ้านแล้วลองจับพระอีก จับจนทองคำเปลวที่ปิดฐานขององค์พระซีดเป็นรอยมือ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นองค์พระแม้สักครั้งเดียว หลวงพ่อยิ้มก่อนตอบข้าพเจ้าด้วยความเมตตาว่า "ทำจนหายอยากแหละแก ข้าทำมาก่อนแล้ว"

    ข้าพเจ้ากลับมานั่งคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง ความชัดเจนในคำตอบของหลวงพ่อจึงค่อยๆ กระจ่างขึ้นเป็นลำดับ ...ต้องเริ่มที่ความอยากเสียก่อน จึงคิดที่จะทำ แต่ถ้าทำด้วยความอยาก ก็จะไม่สำเร็จ เมื่อความอยากหมดไปเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะพบของจริง

    กุญแจคำตอบสำหรับ...บทเรียนบทแรกของการเรียนธรรมะจากท่าน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า ท่านได้ใช้กุศโลบายให้ข้าพเจ้าจดจำรูปพรรณสัณฐานขององค์พระพุทธรูปให้ได้ หลังจากที่ได้ใช้เวลาบวกกับ...ความอยากอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ข้าพเจ้าจึงเริ่มได้ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ จากการเพ่งมององค์พระจนเกิดเป็นภาพติดตา...ติดใจในที่สุด เป็นการสอนการภาวนาในภาคสมถธรรม พร้อมกับแนะวิธีวางอารมณ์พระกรรมฐานของหลวงพ่อสำหรับข้าพเจ้าอย่างเยี่ยมยอดทีเดียว
    <!-- / message -->
     
  17. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๖. หนึ่งในสี่ (อีกครั้ง)

    หลายปีก่อนหลวงพ่อได้ปรารภธรรมกับข้าพเจ้าในเรื่องของเป้าหมายชีวิตที่แต่ละคนเกิดมาอย่างน้อยก็ควรให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ท่านได้ปรารภไว้ว่า

    "ข้านั่งดูดยา มองดูซองยาแล้วตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เรานี่ปฏิบัติได้หนึ่งในสี่ของพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง? ถ้าซองยานี้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน เรานี่ยังไม่ได้หนึ่งในสี่ มันจวนเจียนจะได้แล้วก็คลาย เหมือนเรามัดเชือกจนเกือบจะแน่นได้ที่แล้วเราปล่อย มันก็คลายออก เรานี่ยังไม่เชื่อจริง ถ้าเชื่อจริงต้องได้หนึ่งในสี่แล้ว"

    อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้ปรารภกับข้าพเจ้าอีกในเรื่องเดียวกัน แต่คราวนี้ท่านบอกว่า "ข้านั่งมองดูกระจกหน้าต่างที่หอสวดมนต์ กระจกมันมีสี่มุม เปรียบการปฏิบัติของเรานี่ ถ้ามันได้สักมุมหนึ่งก็เห็นจะดี" หลวงพ่อได้เฉลยปริศนาธณรมเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟังว่า ที่ว่าหนึ่งในสี่นั้น หมายถึงการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุมรรคผลในพระพุทธศาสนา ซึ่งแบ่งเป็น

    โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
    สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล
    อนาคามิมรรค อนาคามิผล
    อรหัตตมรรค อรหัตตผล

    อย่างน้อยเราเกิดมาชาติหนึ่งชาตินี้ ได้พบพระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนสมบัติล้ำค่าแล้ว ก็ควรปฏิบัติตามคำสอนท่านให้เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างน้อยที่สุดคือโสดาปัตติผล เพราะคนที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว หากยังไม่บรรลุพระนิพพานในชาตินี้ชาติต่อไปก็จะไม่เกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์อันได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีก

    ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่หลวงพ่อเปรียบธรรมในเรื่องนี้กับซองบุหรี่บ้าง หรือแผ่นกระจกบ้างเพราะต้องการให้เราหมั่นนึกคิดพิจารณาในเรื่องนี้บ่อยๆ วัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยมเป็นรูปทรงวัตถุที่เราสามารถพบได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน มีอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตาย มีอยู่ทั่วไปได้แก่ เตียงนอน นาฬิกาปลุก หนังสือ รูปภาพ รถยนต์ โต๊ะทำงาน โทรทัศน์ หน้าต่างประตู และอื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งสิ่งสุดท้ายที่อยู่ใกล้ตัวเราคือโลกศพ

    หากผู้ใดเห็นว่าธรรมเรื่องหนึ่งในสี่ของหลวงพ่อเป็นธรรมสำคัญแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ไม่มีกิเลสในไม่ช้านี้ จึงขอฝากธรรมะจากหลวงพ่อให้เรานำไปพิจารณาด้วย
    <!-- / message -->
     
  18. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๗. วิธีคลายกลุ้ม

    ความกลุ้มเป็นบ่อเกิดของความเครียด ความเครียดก็เป็นที่มาของความกลุ้มเช่นกัน

    หลายคนคงเห็นด้วยกับข้าพเจ้าว่า เมืองไทยนี้ดีกว่าเมืองฝรั่ง เวลาที่เรามีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจ ในต่างประเทศ ส่งที่นิยมกันมากคือ ไปหาหมอรักษาโรคจิต กลุ้มใจทีก็ไปเอากลุ้มออกโดนนั่งระบายความทุกข์ ระบายปัญหาให้จิตแพทย์ฟัง เสร็จแล้วจ่ายเงินให้หมอเป็นค่านั่งฟังเฮ้อ! คนเรานี่ก็แปลกดีนะ เอากลุ้มออกอย่างเดียวไม่พอ เงินในกระเป๋าออกไปด้วย

    เท่าที่สังเกตดู ฝรั่งไปหาจิตแพทย์กันเป็นเรื่องปกติ แต่ระยะหลังในเมืองไทยเรา คนไข้โรคจิตนับวันจะมีมากขึ้นทุกที คนไทยไม่นิยมไปหาจิตแพทย์เหมือนฝรั่ง แต่จะไปหาจิตแพทย์ก็ต่อเมื่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ คือใกล้จะบ้าแล้วนั่นเอง คนไทยโชคดีกว่าฝรั่งตรงที่มีวัดแทนคลีนิคจิตแพทย์ มีพระนี่ล่ะดีกว่าด้วยเพราะไม่ต้องเสียตังค์ แถมไปหาหลวงพ่อได้ทำบุญ ได้ฟังธรรมะจากท่าน กลางวันยังได้ทานอาหารบุฟเฟ่ต์หลังจากหลวงพ่อฉันเสร็จ บางครั้งสมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนหนังสืออยู่ หากเดินทางมาถึงวัดตอนเย็น ท่านยังมีขนมฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ผลไม้ประเภทส้ม กล้วย บางทีโชคดีก็มีแอบเปิ้ลให้ได้ทานอิ่มท้องด้วย

    มีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนหนึ่งเกิดกลุ้มอกกลุ้มใจในชีวิตที่แสนสับสน วุ่นวายของตนโดยไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงได้ไปกราบขอให้หลวงพ่อท่านพุทธทาสช่วยคลายทุกข์ให้

    หลวงพ่อถามว่า "มันกลุ้มมากหรือโยม"

    "มากครับท่าน สมองแทบจะระเบิดเลย แน่นอยู่ในอกไปหมด"

    "เอางี้ โยมออกไปยืนที่กลางแจ้ง สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ สามครั้งแล้วตะโกนให้ดังที่สุดว่า กูกลุ้มจริงโว้ย กูกลุ้มจริงโว้ย กูกลุ้มจริงโว้ย"

    โยมผู้นั้นออกไปทำตามที่หลวงพ่อแนะนำแล้วกลับเข้ามาหาท่านด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย

    "เป็นไง" หลวงพ่อถาม

    "รู้สึกสบายขึ้นแล้วครับ" เขาตอบ

    "เออ เอากลุ้มออกแล้วนี่" ท่านกล่าวยิ้มๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก

    ข้าพเจ้าเคยเห็นคนที่ไปหาหลวงพ่อดู่หลายรายมีความกลุ้ม มีความเครียด เสร็วแล้วเมื่อมาถึงวัด นั่งอยู่ต่อหน้าท่าน หลายคนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าไม่รู้ว่าไอ้เจ้าตัวกลุ้ม ตัวเครียดมันพากันหายไปไหนหมด มีแต่ความเบาสบายกาย สบายใจ อยากอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อนานๆ บางคนขอเพียงได้นั่งเฉยๆ ก็มี

    ทุกวันนี้หลวงพ่อจากพวกเราไปแล้ว แต่เป็นการจากเพียงรูปกาย ธรรมที่ท่านเคยสอนไว้มิได้สูญหายไปด้วยเลย หากเรามีความกลุ้มอกกลุ้มใจไม่ว่าเรื่องใด โดยเฉพาะเรื่องปัญหาเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน ปัญหาเรื่องสุขภาพ ปัญหาเรื่องครอบครัว ปัญหาเรื่องงาน ปัญหาอะไรก็แล้วแต่

    ข้าพเจ้าขอแนะนำวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือให้หามุมสงบในบ้านของท่านหรือจะเป็นห้องพระก็ยิ่งดี ขอให้ท่านนั่งที่หน้าพระพุทธรูปหรือรูปหลวงพ่อดู่ จะลืมตาหลับตาก็ตามแต่อัธยาศัยครับ สูดลมหายใจลึกๆ พอสบายดีแล้วก็พูดระบายความในใจให้ท่านฟัง ความกลุ้ม ความเครียดจะลดลงได้

    เหมือนคนที่ทานอาหารมากเกินไปจนมีแก๊สอยู่เต็มท้อง อึดอัดไปหมด หากได้ดื่มน้ำขิงร้อนหรือทานยาขับลมเสียบ้างคงจะดี เมื่อกายสบายใจสบาย สมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใส สบายกายสบายใจ และสามารถมองเห็นหนทางแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น

    เราเคยรู้สึกอย่างนี้กันบ้างไหม ถ้าถามข้าพเจ้าก็ต้องขอตอบอย่างมั่นใจว่า

    "เคยครับ"

    ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงพ่อท่านเมตตาคอยเป็นกำลังใจและให้ความช่วยเหลือเราเสมอ ขอให้เราตั้งใจแก้ปัญหาด้วยสุจริตวิธี

    ไม่มีปัญหาใดในโลก ที่มนุษย์ก่อขึ้นแล้วมนุษย์จะไม่สามารถแก้ไขได้ ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนี้จริงๆ
     
  19. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๘. อะไรได้ อะไรเสีย

    คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในชีวิตคนเรานั้น ต้องประสบความสูญเสียทุกคน บางคนสูญเสียคนรัก พ่อ แม่ ลูก เมีย ญาติ เพื่อน อันเป็นเหตุแห่งความกระทบกระเทือนทางจิตใจที่สำคัญยิ่ง การสูญเสียเงินทอง ข้าวของ ทรัพย์สมบัติ ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งของความทุกข์โทมนัสอันใหญ่หลวงของอีกหลายๆคน ของที่เคยมีเคยได้ กลับเป็นของที่ไม่มีไม่ได้ คนที่เคยรักต้องพลัดพรากจากไกลกัน การค้าที่เคยมีกำไรกลับกลายเป็นขาดทุนเสียหายจนทำใจให้ยอมรับได้ยาก

    หากยังจำกันได้ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อปี 2534 มีความตอนหนึ่งว่า

    "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา (Our loss is our gain.) ซึ่งท่านได้อธิบายไว้ว่า "ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำ แล้วเราก็เสีย แต่ในที่สุด ก็ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็นการได้เพราะว่าทางอ้อมได้"

    เป็นพระราชดำรัสที่มีความไพเราะ ลึกซึ้ง กินใจยิ่งนัก

    สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ถ้าเราพร้อมที่จะเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็จะเป็นครูของเราไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง หรือการกระทำที่ผิดพลาด สิ่งที่ได้มา สิ่งที่เสียไป ความทรงจำอันสวยงามหรือไม่งาม สิ่งที่ยังมีชิวิตอยู่หรือสิ้นไปแล้วก็ตาม

    เสียงของหลวงพ่อแว่วมาในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าทันที "ถูกเป็นครู ผิดก็เป็นครู" แต่ผิดเป็นครูที่ดีกว่าเพราะทำให้เราไม่ประมาท ให้ผิดวันนี้เป็นถูกของวันหน้า ให้สิ่งที่เสียไป คือสิ่งที่ได้มา อย่างที่ในหลวงท่าน...ได้มอบไว้ให้พวกเรา
    <!-- / message -->
     
  20. leo_tn

    leo_tn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +13,306
    ๕๙. ความสำเร็จ

    "...เมื่อประสบความสำเร็จ สิ่งแรกก็คือ ดีใจจนลืมตัวและโง่ลงในบางอย่าง สำหรับจะประมาทหรือสะเพร่าในอนาคต ความสำเร็จ เป็นครูที่ดีน้อยกว่า ความไม่สำเร็จ แต่มีเสน่ห์จนคนทั่วไปเกลียดความไม่สำเร็จ เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ เราจะได้อะไรที่มีค่ามากกว่า เมื่อประสบความสำเร็จไปเสียอีก แต่คนทั่วไปมองในแง่ลบ เห็นเป็นความเสียหาย และเกิดทุกข์ใหม่เพิ่มขึ้นอีก เป็นโชคร้ายไปเสียโน่น

    ถ้าต้องรับความไม่สำเร็จอย่างถูกต้อง มันจะมอบความรู้ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จถึงที่สุดในกาลข้างหน้า จนกลายเป็นผู้ทำอะไรสำเร็จไปหมด..."

    ส่วนหนึ่งของข้อเขียนปูชนียบุคคล "ท่านพุทธทาส" ซึ่งแสดงไว้ในห้องนิทรรศการเกี่ยวกับ "ชีวิตผลงานท่านพุทธทาส" ณ อาคารคณะธรรมทาน ที่ตั้งอยู่หน้าประตูด้านทิศใต้ของวัดธารน้ำไหล หรือเป็นที่รู้จักมักคุ้นในนาม "สวนโมกขพลาราม" แห่งตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

    มีพระสูตรที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีในเรื่องความปรารถนาของมนุษย์ที่จะทำให้สำเร็จสมหวังได้ยาก 4 ประการคือ

    ขอให้สมบัติจงเกิดมีแก่เราในทางที่ชอบ
    ขอยศจงมีแก่เราและญาติพี่น้อง
    ขอให้เราเป็นผู้มีอายุยืนนาน
    เมื่อตายจากโลกนี้ไป ขอให้เราได้ไปเกิดในสวรรค์

    ความปรารถนาทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานี้ จะสมหวังได้มิใช่ด้วยเหตุเพียงปรารถนาอ้อนวอนมิได้ทำอะไรเลยหรือทำอะไรที่ไม่ตรงเหตุ ผลย่อมไม่บังเกิด ความสำเร็จในชีวิตย่อมเกิดจากการวางแผนที่ดี มิใช่ทำเหตุเพียงเล็กน้อยแต่หวังผลไว้สวยหรู

    ถ้าเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มีค่าแล้วได้มาง่ายๆ ก็จะไม่หมดกำลังใจ อยากได้ผลอย่างไร ควรสร้างเหตุให้เกิดผลอย่างนั้นด้วยความอุตสาหะ พยายามอย่างเต็มที่

    ในโลกนี้...ไม่มีอะไรฟรีครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...