ไม่รู้ว่าจริงไหม..ที่พระโพธิสัตว์ต้องฝึกวิชชาอสูร ด้วยอะ ผมไปอ่านเจอมา (โปรดใช้วิจารณญาณ)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย TheKunKeng, 25 พฤษภาคม 2015.

  1. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +919
    ผมไปเจอมาจากเว็บหนึ่งอะนะ (หาจาก Google) เค้าบอกมา...เลยคิดว่า มีแบบนี้ด้วยเหรอ (แต่ก็ยังไม่เชื่อซ๊ะทีเดียวอะนะ..จะใช้หลักกาลามสูตรวิเคราะห์ไปด้วยเช่นเดิม แต่แค่สงสัยว่า มีแบบนี้ด้วยหรอ มีการฝึกอวิชชาแบบนี้ด้วยเหรอ เลยนำมาให้ท่านผู้รู้เกี่ยวกับ พระโพธิ์สัตว์ในบอร์ดแห่งนี้ได้บอกกล่าวและพิจารณากันอะนะ) :)

    เมื่อพระโพธิสัตว์ฝึกวิชชาอสูร


    ผู้บำเพ็ญบารมีเมื่อมีบารมีถึงจุดหนึ่งจนได้กายทิพย์เป็นโพธิสัตว์แล้ว และปฏิบัติธรรมจนจิตบริสุทธิ์มากๆ จะปล่อยวาง อุเบกขา และไม่คิดจะทำอะไร ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นวิถีของพระอรหันต์ที่ต้องการนิพพาน แต่สำหรับวิถีของพระโพธิสัตว์ที่ยอมสละนิพพานเพื่อให้สรรพสัตว์ได้นิพพานก่อนตนนั้น จะทำอย่างนั้นไม่ได้ จะปล่อยวางดูดายไม่ได้ จะเอาแต่สุขส่วนตนไม่สนใจอะไรจะเกิดขึ้นกับมวลสัตว์ไม่ได้ จะต้องกระทำการใดๆ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เหล่านั้น แต่ทว่า จิตของท่าน กลับบริสุทธิ์มากจนไม่อยาก ไม่คิด ไม่ปรุงแต่ง ไม่กระทำใดๆ แล้ว แล้วจะช่วยเหลือมวลสรรพสัตว์ได้อย่างไร ดังนั้น จึงต้องให้อสูรซึ่งเป็นสัตว์ในโลกทิพย์ เป็นจิตวิญญาณเข้ามาอยู่อาศัยร่วมในกายของพระโพธิสัตว์ เมื่อถึงจุดนี้ พระโพธิสัตว์จึงต้องฝึกวิชชาอสูร ในบทความฉบับนี้ จะขอกล่าวถึงการฝึกวิชชาอสูรเหล่าต่างๆ ดังจะได้กล่าวต่อไป


    วิชชาอสูรเป็นอย่างไร?
    อสูร ไม่มีบุญอย่างเทวดา เป็นเทพอสูร จะมีอาหารกินได้ต้องอาศัยฤทธิ์ของตนไปหามา ล่ามา จึงจะมีกิน ดังนั้น เมื่อจิตวิญญาณอสูรมาสู่โลกมนุษย์ มนุษย์จะเดือดร้อนกันมาก ภัยพิบัติและโรคระบาดจะเกิดขึ้นมากมาย แต่มนุษย์โลกนั้น ไม่อาจเลี่ยงจากภัยอสูรได้ เพราะกรรมที่มวลสัตว์ในยุคนี้ทำไว้ ทำให้มนุษย์มีโรคภัยมากมาย มีอสูรร้ายหลายชนิดเบียดเบียนมากมาย อสูรมีสามระดับ คือ อสูรนรก ซึ่งถูกกักอยู่ในนรก ไม่ค่อยมีฤทธิ์ ถ้าหลุดออกมาจะทำให้คนป่วยเป็นโรคจำนวนมาก เพราะพวกมันมีมาก แต่ฤทธิ์ของโรคจะน้อย รักษาได้ง่าย สำหรับอสูรที่ร้ายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งคือ “เปรตอสุรกาย” ซึ่งไม่มีบุญเลี้ยงตัว ไม่มีอาหารที่ดีพออิ่มแบบเทวดา แต่ต้องกินอาหารวิปริตผิดธรรมชาติ เพราะทำบุญไว้อย่างนั้น เช่น เอาข้าวบูดไปให้พระฉัน แกล้งพระทั้งๆ ที่รู้ เพื่อให้พระไม่กล้ามาบิณฑบาตขอข้าวตนอีก เป็นต้น อย่างนี้ ตายไปเกิดเป็นเปรตก็มี ถ้ามีฤทธิ์มากหน่อยก็เป็นเปรตอสุรกาย เมื่อมารบกวนมนุษย์ก็จะแทรกในกายทำให้คนมีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ เช่น กินแต่ของหวานอย่างเดียวอย่างหิวโหย จนเป็นโรคเบาหวานตาย, กินแต่เหล้าอย่างเดียวจนตับแข็งตาย, สูบแต่บุหรี่อย่างเดียวจนเป็นมะเร็งปอดตาย ฯลฯ เป็นต้น อสูรแบบสุดท้ายเป็นอสูรที่ร้ายกาจ คือ “เทพอสูร” มีลักษณะกึ่งเทพกึ่งอสูร สามารถแปลงกายเป็นเทพได้ มีกายคล้ายมนุษย์ แต่ความเป็นอยู่ยากลำบากเพราะบุญน้อย ทำให้ต้องมาก่อกวนมนุษย์อยู่เสมอ และมนุษย์ต้องประสบภัยมากเพราะเทพอสูรมีฤทธิ์มาก ที่บ่อยๆ คือ “สงคราม” โดยพวกเทพอสูรจะแทรกเข้ากายมนุษย์ แล้วยึดครองร่างก่อน จากนั้น ก็ยึดครองอาณาเขตที่มนุษย์ผู้นั้นอยู่อาศัย เมื่อแย่งกันไปมา ก็เกิดสงคราม อนึ่งสำหรับวิชชาอสูรนั้น แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มวิชชาอสูรที่มีกายคล้ายมนุษย์ เช่น อสูรทารุณ, อสูรทศกัณฑ์ ฯลฯ อสูรเหล่านี้ จะอาศัยวิชชาทางฤษี ทางพรหมมาเป็นฐาน แต่ไปดัดแปลงหรือฝึกให้ผิดไปจากเดิม ทำให้จากไสยขาว กลายเป็นไสยดำ เช่น พวกคุณไสยต่างๆ คุณไสยที่พรหมสอนจะนับเป็นไสยขาว เช่น เวทย์มนต์ทางพราหมณ์ แต่คุณไสยดำนั้นจะพลิกแพลงไป เช่น คาถาว่าพระนามเทพเจ้าไว้ ก็เอาไปผูกมนต์ใหม่เป็นคาถาทำของใส่คนเช่นคาถาผูกจิต ซึ่งใช้พลังจากพุทธศาสนาเอาไปดัดแปลงเล่นกันเอง จนกลายเป็นไสยดำ ส่วนวิชชาอีกแบบหนึ่งเป็นวิชชาของอสูรที่มีกายแบบสัตว์เดรัจฉาน แต่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ เช่น วิชชาของมังกร, วิชชาของกิเลน เป็นต้น วิชชาเหล่านี้ จะไม่อาศัยคาถาการรจนาหรือจากพรหมที่ใด แต่จะอาศัยความเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นพลังโดยธรรมชาติเช่น มังกรก็มีพลังแบบมังกร มีฤทธิ์แบบมังกรก็กลายเป็นวิชชา “กงเล็บมังกร” ที่วัดเส้าหลินก็มีตกทอดให้เห็น แสดงให้ดูจนถึงปัจจุบัน หลายท่านฝึกกังฟูนั้นมีกายทิพย์เป็นโพธิสัตว์ เมื่อได้สัตว์เทพอสูรมาเป็นพาหนะทรง ก็มักคิดค้นวิชชาของตนเองได้จากการเลียนแบบท่าสัตว์ จิตวิญาณภายในจะขับดันให้เขาไปทำท่าทางแบบนั้นเพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์เช่น อสูรมังกร อาจนำเจ้าของไปดูงู และเลียนแบบท่างูปรับเป็นท่าต่อสู้กังฟูต่างๆ เหล่านี้ จัดเป็นวิชชาอสูรทั้งสิ้น วิชชาเหล่านี้ไม่ทำให้หลุดพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าจะเรียกว่าเป็น “อวิชชา” เพราะไม่ทำให้หลุดพ้นทุกข์นั่นเอง


    ทำไมพระโพธิสัตว์ต้องฝึกอวิชชา (วิชชาอสูร)
    ๑) เพื่อประสานการทำงานของจิตวิญญาณตนเอง และจิตวิญญาณอสูรพาหนะทรงที่ตนได้ครอบครอง ให้สามารถทำกิจต่างๆ ร่วมกันได้ในกายสังขารเดียวกัน
    ๒) เพื่อเพิ่มฤทธิ์ให้แก่อสูรพาหนะทรง เพื่อประโยชน์ในการป้องกันตนเอง เพราะอสูรเหล่านี้จะเป็นเจตภูตที่คอยปกป้องคุ้มครองภัยในเจ้าของร่างให้ชั้นหนึ่ง
    ๓) เพื่อสามารถทำกิจต่างๆ อันสมควรทำได้ เพราะหากจิตบริสุทธิ์มากเกินไปแล้ว จะทำให้ไม่สามารถทำกิจได้ จะปล่อยวาง จะปราบมารก็ไม่ได้เพราะกลัวกรรม


    วิชชาอสูรมังกรดำ
    วิชชาสำหรับอสูรมังกรดำคือ “วิชชาเก้าอิมดำ” ฝึกแล้วทำให้คนเป็นอสูร แต่ถ้าสำเร็จกายโพธิสัตว์แล้ว มีมังกรดำทรงอยู่แล้ว กำลังจิตภาคขาวมีมากพอคุมมังกรได้แล้ว ก็สามารถฝึกวิชชาอสูรนี้ได้ วิชชานี้จะดูดพลังดำในกายมนุษย์ได้ มนุษย์คนใดมีพลังดำมาก ก่อกรรมทำเข็ญมาก ก็สามารถใช้วิชชานี้ ดูดพลังดำในตัวออกทีละน้อย จนหมดไปได้ โดยผู้ฝึกมักเป็นหญิง และมักมีความงามมาก และหากได้เป็นภรรยาผู้มีอำนาจมาก ก็จะสามารถดูดซับพลังดำจากตัวผู้มีอำนาจผู้นั้นได้ ทำให้สามารถควบคุมความประพฤติผู้มีอำนาจผู้นั้นได้ ไม่ให้โมโหเกรี้ยวกราดหรือโหดร้ายต่อบริวารได้ ซึ่งการที่พระโพธิสัตว์ยอมอุทิศตนเป็นภรรยาคนเหล่านี้ ทั้งยังต้องฝึกดูดพลังดำ ก็เพื่อช่วยมวลมนุษย์นั่นเอง


    วิชชาหงส์ไฟ
    วิชชาสำหรับผู้ครอบครองหงส์ไฟหรือวิหคเพลิง คือ วิชชาในกลุ่มธาตุร้อน เช่น วิชชาเก้าเอี๊ยง, วิชชาทานตะวัน (ของพวกขันที) เป็นต้น ในกลุ่มวิชชาเก้าเอี๊ยงจะฝึกได้ต้องมีจิตเป็นผู้ให้ กล่าวคือ การฝึกอิมเป็นการฝึกรับ ฝึกดูดซับ แต่การฝึกเอี๊ยงเป็นการฝึกการถ่ายเท ยิ่งถ่ายพลังให้ผู้อื่น ตนกลับยิ่งมีกำลังสูงขึ้น สมมุติฝึกได้ขั้นที่ห้า เมื่อถ่ายทอดพลังเอี๊ยงให้ผู้อื่นแล้วจนหมด นอนพักไม่นานนักพลังจะฟื้นฟูและเพิ่มพูนขึ้นมากไปอีก กลายเป็นขั้นที่หกได้ (พักสักหนึ่งวัน หากไม่มีอะไรรบกวนสมาธิ อยู่ในที่สงบ พลังก็ฟื้นคืน) เรียกได้ว่าอิมเพิ่มเพราะรับมาก เอี๊ยงเพิ่มเพราะให้มาก ในคนที่ฝึกการทำออร่าบำบัด จะทำการถ่ายพลังออร่าให้คนอื่น ข้าพเจ้ามีเพื่อนท่านหนึ่ง ในช่วงแรกเขาถ่ายออร่าแล้วออร่ายังไม่ดี หมองมัวเยอะมาก แต่เขาก็ฝึกเรียนถ่ายออร่าให้คนอื่นเพื่อช่วยบำบัดโรคทางกายทิพย์ ผลปรากฏว่าไม่นานนัก ออร่าเขาถ่ายใหม่ก็สว่างไสวขึ้นมากทีเดียว แต่สำหรับวิชชาทานตะวันนั้นเป็นวิชชาของอสูร (อสูรจะแก่กล้าได้ต้องดูดซับพลังผู้อื่น กินพลังผู้อื่น หรือพลังจากธรรมชาติเป็นอาหาร เพราะไม่มีบุญจะเลี้ยงตัว) เป็นของพวกขันทีโบราณ เขาจะดูดพลังความร้อนเข้าไปสะสมไว้ในตัว ทำให้ในกายร้อนมากๆ โดยมักจะดูดพลังความร้อนไปสะสมที่จักระหนึ่ง หรือบริเวณอวัยวะเพศทำให้ร้อนที่อวัยวะเพศมาก และสุดท้ายเลยแก้ปัญหาด้วยการ “ตัดอวัยวะเพศทิ้ง” สำหรับพวกขันทีนิยมฝึกวิชชานี้กันมากเพราะต้องถูกตัดอวัยวะเพศอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหา แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ขันที หากจะฝึกวิชชานี้ก็ไม่ยาก แต่ต้องเปลี่ยนที่เก็บพลังไฟ เอาไว้ที่จักระที่สองคือ ท้องน้อย ไม่ใช่จักระที่หนึ่งคือ ฝึกอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าสุดถึงท้องน้อยก่อน ทำให้ชิน ก็จะไม่ดูดซับพลังความร้อนไปสะสมไว้ที่จักระที่หนึ่ง (หรืออวัยวะเพศ) ก็จะไม่มีปัญหา สำหรับวิชชานี้ ฝึกแล้วจะร้อนมากๆ ต้องเปลื้องผ้าฝึก เสื้อผ้าจะร้อนเหมือนมีไฟเผาอยู่


    บทสรุปท้ายบทความ
    ผู้ฝึกเก้าอิมมักเป็นหญิง และมักฝึกเพื่อเตรียมตัวเป็นสนม คอยดูดซับพลังดำ ความดุร้ายของฮ่องเต้ ส่วนผู้ฝึกพลังทานตะวันมักเป็นขันที คอยใช้พลังหงส์ไฟคุมฮ่องเต้ให้อยู่ในความสงบได้ คนทั้งสองประเภทนี้มีความสำคัญต่อมวลสัตว์มาก เพราะจะช่วยให้ประเทศมีความรุ่มเย็นเป็นสุข สงบจากภัยสงครามได้ การทำหน้าที่พระสนมและขันทีที่ดี จะช่วยให้พระราชาอยู่ในอาการสงบ และประเทศก็สงบปลอดภัย แต่ในสมัยนี้ ไม่มีคนสนใจฝึกหรือเรียนอีก เพราะไม่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ บทความนี้จึงฝากไว้แค่ให้อ่านเล่นเท่านั้น


    ที่มา http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/10/05/entry-3
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2015
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ไร้สาระครับ อ่านบทความของนามปากกานี้ ปวดขมับไปข้างเลย ประการแรก พระโพธิสัตว์ตามพระไตรปิฎกและอรรถกถาไม่ใช่พระอรหันต์ ประการที่สอง พระอรหันต์ก็ไม่ใช่มีจิตอย่างที่บทความนี้ว่า อุเบกขา ไม่คิดจะทำอะไร ปล่อยไปตามยถากรรม นี่มันไม่ใช่ทัศนะชาวพุทธ เป็นการดูถูกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทำลายหลักพุทธศาสนาเลย

    พระโพธิสัตว์ที่ว่ามีบารมีมากน้อย บารมีคืออะไร เนกขัมมะบารมี วิริยะบารมี เมตตาบารมี อธิษฐานบารมี ปัญญาบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อุเบกขาบารมี ทานบารมี บารมีเหล่านี้ แม้เต็มบริบูรณ์ก็ไม่จัดเป็นวิปัสสนาญาณ ไม่จัดเป็นอาสวักขยญาณ บารมีทำให้กิเลสพ่ายแพ้ แต่กิเลสไม่ถูกทำลาย ตัวอย่าง พระเวสสันดรให้ทานลูกแก่ชูชก สร้างทานบารมีขั้นปรมัตถ์ แต่จิตไม่ได้ไม่รู้สึกเป็นทุกขเวทนา ท่านเป็นทุกข์ มาก เห็นลูกถูกชูชกมัดลูกและเอาไม้เฆี่ยนตีบังคับไปจากพระเวสสันดร พระองค์นั้นรู้สึกทุกข์ทรมาน พระโลหิตแทบทะลักจากทรวงอก แต่ด้วยนึกถึงพระโพธิญาณจึงข่มโทสะและโศกาดูรไว้ได้ ดังนั้น แค่ข้อความตั้งต้นก็ผิดทางแล้ว จะกล่าวว่าต้องอาศัยจิตวิญญาณอื่นช่วยเป็นอสูร มาร อะไรในร่างกาย เป็นความเชื่อแบบฮินดูที่ว่า ตัวตน ของคนของสัตว์เที่ยงแท้เข้าไปอาศัยร่างกายประดุจเรือนกาย ในศาสนาพุทธไม่มีความเชื่ออันนั้น ร่างกายและจิตใจเป็นขันธ์ ๕ อิงอาศัยเป็นปัจจัยแก่กันและกัน การเกิดดับของรูปธรรมและนามธรรมในกระบวนการขันธ์ ๕ เป็นอย่างนั้น ไม่มี ตัวตน หรือ จิตวิญญาณ ที่ลอยไปมาระหว่างร่างกาย

    การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ไม่ต้องอาศัยอสูร มาร เพราะกิเลสและทุกข์ของสัตว์โลกมันประมาณไม่ได้ พระพุทธเจ้ายังโปรดสัตว์ไม่หมดเลย แล้วพระโพธิสัตว์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีปณิธานอันยิ่งใหญ่แต่ไม่ใช่พุทธเจ้า มีงานให้พระโพธิสัตว์ทำจนไม่มีเวลาว่าง คือ พระโพธิสัตว์จะไม่มีเวลาเสวยทิพยสมบัติเลย ลงมาเกิดอย่างเดียว ไม่ยอมเสวยสุข เว้นแต่ โลกมนุษย์ไม่มีในวาระใดๆ

    ขอให้ท่านอ่านพระไตรปิฎก เกี่ยวพระโพธิสัตว์หรือชาดกมากๆ จะเข้าใจเรื่องพระโพธิสัตว์ได้ดีกว่า สมบูรณ์กว่านะครับ
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2015
  4. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +919

    ขอบคุณครับ ที่มา ไขความกระจ่างให้ ..ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า จะเป็นไปได้เหรอ... ยังไง ว่างๆ ผมจะลอง ไปค้นหาพระไตรปิฏก มาอ่านอะครับ ขอบคุณมากครับ ^_^
     
  5. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +919

    ผมก็เคยเป็น บ่อยๆ อะครับ เวลาพิมพ์ ยาวๆ แล้วชอบ Error หายเฉย บางทีคอมฯ ก็ค้างเอาดื้อๆ ซ๊ะงั้น ..ผมจึงมักป้องกัน ด้วยการ Copy ข้อความ ลงในโปรแกรม NotePad เผื่อไว้ด้วยอะนะ หรือโปรแกรม Word ก็ได้... เผื่อกันเหนียวไว้ เพราะเจอแบบนี้ที นี่ ขี้เกียจพิมพ์เลยอะ ความรู้สึก เหมือนกับ คุณบุญทรง อะแหละ 555555 ..ผมก็ขอขอบคุณที่อุส่าห์มาอธิบาย ตั้ง 4 ช่วง 4ตอนนะครับ (แต่ดันมีเหตุ Accident เสียก่อน)..ไงก็ขอบคุณมากครับ... ไว้ว่างๆ ค่อย มาอธิบายใหม่ก็ได้ครับ :)
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณเจ้าของกระทู้ เมื่อวาน เสียความรู้สึกไปแล้ว วันนี้มาขอพูดใหม่นะครับ ผมขอพูดตรงๆนะครับ ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบนั้น มันห้ามกันไม่ได้ ตำราเป็นแนวทางเดิน ส่วน การปฏิบัติ หรือการกระทำ เป็นของแท้แน่นอน ว่า มันมี ๒ แนวคือ ชั่ว กับดีเท่านั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ครับ ด้วยอาศัย ประสบการจริง ที่มีถึง ๙๐ เปอร์เซ็น ถึงจะอ่านพระไตรปิฎก จนจบ ๑๐๐ ครั้ง พันครั้ง ถ้าเราไม่เอาไปปพึฤปฏิบัติ แล้วละก็ มันไม่ต่างอะไร เท่ากับ เถรใบลานเปล่า ตามที่พระพุทะเจ้า ท่านตรัสไว้หรอกครับ คำสอนของพระพุทธเจ้า ต้อง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันข์ แต่หัวข้อเดียว มันแยก ส่วนเล็ก ส่วนน้อย ปลีกย่อย ไปได้ ตั้ง เป็นแสนๆ อย่างๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้


    แต่ผมเอง ได้ลอง ไตร่ตรองดู ต้องเป็นจริง ตามที่ท่านกล่าวมาแน่นอน แค่ผมคิดแบบปุถุชนคนธรรมดา เท่านั้น มันก็สัมพันกันไปเยอะแยะ มากมาย เช่น คำว่า พุทธานุสติกรรมฐาน เราตั้งนะโม ๓ ครั้ง นึกถึงพระพุทธมันก็เป็นพุทธานุสติ นึกถึงภาพพระพุทธรูป องค์ใดองค์หนึ่ง หรือรูปหล่อของพระพุทธรูป มันก็เป็นทั้ง กสิน ทั้งพุทธา กสินนั้น มันก็แยกอีก เป็น สีแดง สีเขียว ขาว สีใสเหมือนแก้ว สีเหลือง แล้วแต่ ความเห็นในจิตใจ ของเรา จะเป็นไปเช้นไร นี่มันสัมพันกันอย่างนี้ เราท่องพุทโธ หรือภาวนา สัมมาอรหัง มันก็เป็นพุทธานุสติ อยู่ๆเรานึกคิดถึง ความดี ของพระพุทธเจ้า ว่าดีอย่างไร พระธรรมที่ท่านนำมาสอน ดีอย่างไร พระสงฆ์สาวก นำคำสอน ของพระพุทธเจ้ามาสอน ดีอย่างไร นี่มันสัมพันกันอย่างนี้ ได้ ทั้งพุทธา ธัมมา สังฆา นุสติ ทำทีเดียว ได้หลายอนุสติ นอกนั้น ไปคิดกันเอาเอง


    ส่วนท่านที่เข้าใจ ก็โมทนาสาธุด้วยครับ ส่วนท่านที่ไม่เข้าใจ ก็จงไม่เข้าใจต่อไป ต่อแต่นี้ไป มาเข้าเรื่อง ของฝ่าย วิชามารของท่านเจ้าของกระทู้ ผมว่าคุณ ตั้งกระทู้มา มันมีประโยชน์มากนะครับ ไอ้คนที่มันเรียนเลยธงไป มันก็เลยไม่เข้าใจ แต่ผมเข้าใจ ในคำถามของคุณ ทั้งหมด แต่บางอย่าง มันอธิบาย ไม่ได้ แต่บางอย่างก็อธิบายได้เยอะ เพราะประสบมาเอง คำว่า พุทธภูมิ หมายถึง พระโพธิสัตว์ จะระดับไหน ก็ช่าง ต้น กลาง ปลาย ท่านเหล่านี้ สร้างบารมี เพื่อจะไปเป็น พระพุทธเจ้า จะถึงหรือไม่ถึง ไม่สำคัญ จะลาพุทธภูมิ ในสมัย พระพุทธเจ้า พระองค์ไหน ก็ช่าง มันอยู่ที่ตัว ผู้ปราถนา จะทำให้ไปถึง หรือเปล่า เท่านั้นเอง


    พุทธภูมิ มันจะไปเป็นครูเขา มันต้องเรียนรู้หมด ไม่งั้น ไปเป็นครูเขาไม่ได้ หรอก เมื่อเรียนรู้แล้ว แยกแยะ ผิดถูก ชั่วดี อันไหน เป็นคุณหรือ โทษ มันก็อยู่ที่คนๆนั้น ที่ปราถนา เป็นตัวครู วิชามาร เมื่อเรียนรู้ เขาก้ รู้เอง ควร นำมาใช้ ในทางที่ถูกที่ควร ไม่ใช่ว่า วิชามาร จะเป็นโทษ ทั้งหมด นั้น มันไม่ใช่ แล้วแต่เรา นำมาใช้ ต่างหาก ใช้ในทางที่ดี มันก้ดี ใช้ในทางชั่ว มันก็ไปในทางชั่ว แค่นี้เอง แต่ถึงเวลาจริงๆ มันทำยากนะ พุทธภูมิองค์ ไหนไม่เคยเรียนทางผิด น่ะไม่มีหรอก เรียนกันมาทั้งนั้น ตกนรก หมกไหม้ กันมาจนนับไม่ถ้วน ขึ้นสวรรค์ เป็นพรหม ก็ไม่ต่างกัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนบารมีเต็ม ถึงขั้น จบหลักสูตร พุทธภูมิ เหมือนพระเวส สันดรชาดก :cool:
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    มาต่ออีกสักหน่อย จะดีไหม ที่คุณ เจ้าของกระทู้ นำวิชา ทาง สำนักจีน มาเอ่ย จริงๆแล้ว ทุกเผ่าพัน มนุษย์ มันมีทุกเชื้อชาติ แล้วแต่ใครจะคิด หลักสูตร วิชามา หักล้างกัน ใช้กัน ให้เป็น ทั้งสากล และไม่สากล มีทั้งปกปิด บิดบัง อำพาง สารพัด ที่จะคิดค้นกันขึ้นมา และนำมาแข่งขันกัน มีทั้ง คุณและโทษ ไม่มีที่สิ้นสุด ได้ วิชามาร มนต์ดำ มนต์ขาว มันอยู่คู่กับโลก นี้ มาช้านาน มียุค เสื่อม มียุคเจริญ ไม่มี ที่ ทั้ง ๒ อย่าง จะเจริญตลอดไป หรือเสื่อม ตลอดไปไม่มี มันมี เกิอ ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามกาลเวลาของๆมัน ทั้ง ๒ แบบ ขอยกตัวอย่าง สักหน่อยนะ เมื่อก่อน ตอนผมรุ่นๆกระทง อายุ ๑๐ กว่า เคย คาถา หัวใจ เปรต มาปลุกเล่น มันก็ร้อง เหมือนเปรต หัวใจหมา มันก็ร้องแบบหมา เห่าหอน หัวใจปลาไหล มันก้แถกไปมา หัวใจพยาไก่เถื่อน มันก็ตีปลีกเหมือนไก่ ร้อง หัวใจเสือ หัวใจลิงลม คาถาปลุกพระ ทุกคนทำได้ทั้งนั้นแหละครับ มันอยู่ที่กำลัง สมาธิ นี่เอง


    มันก็ชั่ว จิตขณะหนึ่งเท่านั้นครับ พลัง อำนาจ ของพลังจิต กับอำนาจ ของความดี มันก็แยกกันออกไปอีกครับ มนต์ดำ มนต์ขาว มันก็มีหลายแบบ หลายอย่าง หลายวิธี แต่ละอย่าง และต่าละคน ก็มีไม่เท่ากัน แล้วแต่การสะสม อบรมมา มีความเข้มข้นขนาดไหน พระเทวทัต เป็นเพื่อนพระพุทะเจ้า บำเพ็ญมา เหมือนกัน แต่พระเทวทัต ทำไม ตกรนก อเวจี และได้แค่พระปัจเจกะพุทะเจ้าเท่านั้น ไปคิดกันเอา เอง อธิบายคุยกันกี่วัน มันไม่จบหรอก มันต้องจบที่ตัวเราครับ เท่านั้นครับ และยิ่ง พุทธศาสตร์ ด้วยแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้หาทางพ้นทุกข์ เรียนทางโลก มันไม่มีวันจบสิ้นหรอกครับ เรียนทางธรรม ปฏิบัติ หาทางพ้นทุกข์ มีทางจบสิ้นสุดลงได้ เมื่อบารมีเต็ม คือกำลังใจนั่นเองครับ ฉนั้น ไม่ว่าใครๆ ตถาคต เป็นเพียงผู้บอก เธอจะทำหรือไม่ทำ นั้นอยู่ทีตัวเธอเท่านั้น ถึงเราจะให้พ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นก็ได้แต่บอกเหมือนกัน ไม่มีใครมาทำแทนกันได้หรอกครับ ทำได้ เป็นบางอย่างเท่านั้น ส่วนใจนั้น ตัวเราเอง ต้องทำกันเอง ทุกๆคนไม่อาจหลีกได้แน่นอนครับ


    วิชามารมันมีอยูในตัว ของทุกๆคนแหละครับ วันๆ เราคิด วันไม่รู้ กี่ร้อยพันครั้ง ถ้าเราไม่มีสติ ควบคุม มันก็เลยเถิด ไปไหนต่อไหน มากมาย คิดดีคิดชั่ว แต่ยังไม่ถึง ออกไปถึงกาย วาจา ถ้ามันออกนอกกายเมื่อไหร่ มันก้สั่งให้ไปลักเล็กโขมยเขา ทำร้ายคนอื่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โกหก มดเท็จ ดื่มของมึนเมา ทำชั่ว สารพัด ถ้า คิดดี มันก็ สั่งไปในทางดี ทำแต่สิ่งดีๆ วันๆทุกคน แสดง ได้หลายบท เป็นพระเอกนางเอก คนชั่ว เวลา มารมันสิงใจ ก็เป็นผู้ร้าย เวลา จิตเป็นพระมันก็คิดดี เราๆท่านๆลองคิดดูสิ ว่าจริงไหม ครับสวัสดี
     
  8. TheKunKeng

    TheKunKeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2015
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +919
    ขอบคุณ คุณ บุญทรงพระเครื่องมาก ครับ ที่มาต่อให้จบ จากเมื่อวานที่เกิดเหตุขัดข้องไปอะนะครับ... สำหรับเรื่องนี้แล้ว ผมยอมรับว่า ตัวผมเอง นั้น ไม่ใช่ไม่เชื่อเลย ในสิ่งเหล่านี้อะนะ เพราะขนาดพระพุทธองค์ ท่านยังตรัสว่า สิ่งที่ท่านสอน หลักธรรม ต่างๆ สัจธรรมและองค์ความรู้ที่เป็นจริง ในโลกนี้และจักรวาลนี้ นั้น ท่านหยิบมาแค่ "1 กำมือเดียว ในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล" ซึ่งเมื่อเรามาลองพิจารณาดู ก็ทำให้เรา เดาได้ว่า น่าจะมี องค์ความรู้ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน อยู่อีกมากมาย นับไม่ถ้วนที่ เรายังไม่รู้ หรือรู้แล้วก็ทำความเข้าใจได้ยากยิ่ง ฉะนั้น ผมจึงเปิดใจ รับฟัง ที่คุณ บุญทร
    ง มาอธิบายไว้ 50/50 ก็แล้วกันนะครับ...(เพราะตัวผมเอง ก็เคยเจอ กับสิ่งที่ นอกเหนือความคาดหมาย สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อยู่บ้างเหมือนกันอะนะครับ)
    :)
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    วิชาทางเต๋านี้ ขั้นพื้นฐานผมฝึกมาจนหมดแล้วครับ คือฝึกจนถึงระดับที่จะเป็นเซียนได้ คือ ถ้าตั้งใจจะถอดกายทิพย์ออกจากกลางกระหม่อมไปไหน ก็จะทำได้ คือทางเต๋าที่สอนเป็นพื้นฐานจนถึงการถอดกายทิพย์ไปสวรรค์เค้าสอนแค่นั้น ส่วนวิชาต่างๆ ตามที่เค้าเขียน ก็คล้ายการใช้ความสำเร็จขั้นพื้นฐานไปต่อยอด ซึ่งมันเกินความจำเป็นไปแล้ว ทั้งนี้ คนจีน ฮินดู เค้าเชื่อว่า ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องเข้าถึงสวรรค์ก่อนตาย เพราะเทพ เทวดา มีชื่อเรียกว่า อมตะ หรือไม่ตาย (ซึ่งมันเป็นการติด หรือหลงผิดครับ เพราะเทวดาก็ตายได้ ไม่ใช่อมตะ คำว่าอมตะ คือ ถ้าบุญกุศลไม่หมด ฆ่าก็ไม่ตาย ทำลายก็เกิดขึ้นในที่เดิม ตัวอย่าง เทพอสูรยกทัพถล่มสวรรค์ เทพทั้งหลายตายตกไปหลายแสน เมื่อจอมเทพได้ชัยแก่เทพอสูร แล้ว ก็พิจารณาเห็นว่า เทพที่กายแตกดับไป ไม่สิ้นบุญกุศลจริง ก็บันดาลด้วยฤทธิ์รวมธาตุทิพย์เรียกเทพนับหมื่นแสนกลับมาดั้งเดิม นี่เรียกว่า ไม่ตาย นี่เรียกว่า อมตะ (แค่ช่วงอายุขัยของเทพเท่านั้น ยกเว้นมหาโพธิสัตว์ผู้เดียวที่เกิด ดับ เป็นเทพได้ยั่งยืนสุด นานที่สุด แต่ไม่ใช่อมตะที่หมายความว่านิจนิรันดร์ ไม่ใช่นิพพาน))

    ที่นี้วิชาการต่าง ทางฤทธิ์ทางเต๋ามันจำกัด คือ มันอาศัยการสะสมชี่ ถ้าชี่ไม่พอก็ทะลวงสวรรค์ไม่ได้ ทะลุเซียนไม่ได้ ซึ่งปรากฎว่า มีคนฝึกหลายคนมีจิตเป็นอสูร เป็นมารไป เพราะดูดพลังชี่จากคนอื่น แถมชี่มันก็ไม่เที่ยง มันก็เหมือนกับได้ฌาณ แต่กิเลสไม่ลดลงเลย หรือไม่มีบารมีธรรมเลย สิ่งที่ได้มามันก็เสื่อมได้ แต่กลับจะยังคงชี่อย่างนั้น ก็เกิดการเป็นมาร เป็นอสูร คือ มีจิตมิจฉาทิฏฐิ ต้องไปดูดชี่คนอื่น สัตว์อื่น ต้องให้เค้าให้ความเคารพบูชาเพื่อได้ชี่บริสุทธิ์ แต่เอาชี่ธรรมชาติให้ลูกศิษย์ไป ลุกศิษย์ก็เคารพคิดว่าได้มาทั้งที่เสียไป เพราะมันเห็นผลเร็วกว่า ที่จะทำลายกิเลส หรือสร้างบารมีธรรม

    สรุป ผมปล่อยทิ้งไปเลย แม้ฌาณสมาธิปกติก็อย่าไปถือมั่น เอาหัวใจของพุทธองค์ดีกว่า ของแบบนั้นจะมาเมื่อไรก็พากันหลงได้ตลอด แต่พุทธองค์นั้น กว่าจะได้พบเจอยากกว่ายาก พระองค์ให้ทำลายกิเลส เท่านั้น คือทางตรง มีสองทางถ้าไปถึง ดับกิเลส ไปไม่ถึงสร้างบารมีธรรมเพราะบารมีธรรมนั้นแหละจะพาไปสู่การดับกิเลสในที่สุด เอาตามสติกำลังของเราครับ แต่อย่าหลงไปทางนั้นเลย มีแต่เพิ่มพูนกิเลส สุดท้ายจิตก็สู่อบายภูมิแค่นั้น
     
  10. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    จริง ๆ ต้นเรื่องเขาไม่ได้อ้างอิงว่าได้ค้นคว้าอะไรมาบ้าง มันเลยเหมือนกับว่า ข้อมูลที่ได้มา มันไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีอะไรให้อ้างอิงสืบค้น และไม่สามารถนำไปขยายความอะไรต่อได้

    สำหรับสิ่งที่คุณเจ้าของกะทู้ถามนั้น ขอตอบโดยอ้างอิงคัมภีร์ที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ ที่รู้จักกันดีมีชื่อว่า bodhisattvabhumi หรือโพธิสัตวภูมิ อีกอันเกี่ยวกับเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่ส่วนใหญ่จะพัฒนามาจากของเถรวาทเราเองนั่นแหละ แต่ได้ต่อยอดไปในช่วง 1100-1200 ปีหลังพุทธกาล

    การบำเพ็ญตามหลักบารมีของพระโพธิสัตว์โดยคร่าว ๆ จากเดิมของเถรวาทที่มี 10 อย่าง คือ
    1. ทาน 2. ศีล 3. เนกขัมมะ 4. ปัญญา 5. วิริยะ 6. ขันติ 7. สัจจา 8. อธิษฐาน 9. เมตตา 10. อุเบกขา
    แต่บางครั้งเราอาจอ้างอิงจากบารมี 10 ทัศที่เรารู้จักกันก็ได้ แต่สำหรับทางมหายานจะเป็นดังนี้
    1. ทาน 2. ศีล 3. ขันติ 4. วิริยะ 5. ฌาน 6. ปัญญา 7. อุบาย 8. ปณิธาน 9. ผล 10. ขอใช้คำว่าตรัสรู้ นะครับ (สันสกฤตใช้คำว่า jnana แปลว่ารู้)

    ให้สังเกตุนะครับว่าจริง ๆ ในทางมหายาน ก็แทบไม่ได้ต่างกับของเรา ที่มีเพิ่มมาจริง ๆ ก็ในส่วนของปณิธานการเป็นโพธิสัตว์ และการใช้อุบายในการช่วยสรรพสัตว์ สองข้อนี้ทำให้พระโพธิสัตว์ที่จะเป็นอนาคตพุทธต่างจากพระอรหันต์ที่ไม่สามารถใช้อุบายในการช่วยสัตว์อื่นได้ หรือถ้าจะช่วยได้ก็ได้น้อยกว่า

    ในส่วนของโพธิสัตว์ภูมิจะเป็นพระสูติที่พูดถึงสภาวะของพระโพธิสัตว์ในขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 10-13 ภูมิ แล้วแต่ช่วงของการพัฒนา ซึ่งเรื่องภูมิต่าง ๆ ผมขอไม่อธิบาย เพราะเกรงว่าจะยืดเยื้อไม่จำเป็น และมันเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจด้วย

    สรุปคือส่วนตัวผมไม่เคยเห็นพระสูตรหรือคัมภีร์พูดถึงหรืออ้างถึงอะไรที่คุณว่ามาก่อน หรืออาจเพราะผมศึกษาแต่สายคัมภีร์สันสกฤตก็ไม่ทราบ ที่คุณว่ามามันเหมือนจะได้รับอิทธิพลจากเต๋าที่กลายพันธ์ไปแล้ว ซึ่งเป็นยุคหลังมาก ๆ ซึ่งอันนี้ก็แค่ข้อสันนิษฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2015
  11. กฮ

    กฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    434
    ค่าพลัง:
    +420
    วิชาที่คุณว่ามาไม่ใช่วิชาอสูรเลย

    การที่พระโพธิสัตว์จะมาฝึกเป็นอสูรนั้นไม่ใช่เรื่อง อสูรเขากินทุกข์ก็เพื่อให้ธาตุเขาดำรงอยู่ได้ วิชาอสูรก็คือควบคุมการเสวยทุกข์ ทั้งความเจ็บปวดโกรธแค้นหรือชิงชังต่างๆ เป็นวิชาทำร้ายตัวเอง แล้วยิ่งถ้ามาจากเทพแล้วมาฝึกวิชาตัวนี้คงจะได้เสียจริตไปจริงๆ สำหรับอสูรแล้วการฝึกวิชานี้มันก็เหมือนกับการกินอาหารโดยปรกติของเขา มันทำให้อสูรมีแรง หากเทพจะมาเลียนแบบก็เท่ากับมาเสียประโยชน์เฉยๆ นั่นแหละ
     
  12. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ครับ อ่านดูแล้วก็ "เพ้อเจ้อ" อรหันต์ แล้วไม่อยากทำอะไร

    นี่เป็นเรื่องของคนที่ไม่ได้อะไรเลย เป็นเรื่องแต่งขึ้นจากความคิดของตัวเองผสมกับสัญญา

    ถ้า อิทธิบาท ๔ ไม่มี จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้สักขั้น แล้วนับประสาอะไรกับการจะเป็น พระอรหันต์

    พระโพธิสัตว์ ก็หนีความจริงข้อนี้ไม่ได้ ยิ่งต้องมี อิทธิบาท ๔ ยอดเยี่ยมละเอียด ไปกว่าพระสาวกภูมิมาก


    ส่วนไอ้เรื่องเรียนวิชชา อสูร ผมว่ามันเป็นเรื่องของ "กรรม" ใครเก่งๆ ที่ว่าถอดจิตได้

    ลองไปหา"ราหู" ดูมั้ยครับ ไปถามดูว่ามีกรรมอะไร ถึงต้องมาเป็น "อสูร" ทั้งๆ ที่ก็ทำบารมีมามากมายแล้ว


    ก็คงไม่มีอะไรมากครับ เรื่องที่เห็นเป็นบทความ ก็คงจะเป็นนิยายกำลังภายในจากจีนอีกตามเคย

    เน้นคำว่า "นิยาย" นะครับ

    ไปละครับ
     
  13. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ... น่าจะมาจากหลักการเต๋า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2015
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ลองไปหาอ่านได้ สองเล่มตามรูป ตอนเด็กผมฝึกจากเล่มของนามปากกา จำลอง พิศนาคะ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยได้อ่านเล่มภาษาอังกฤษ

    เล่ม ของเต๋า ฝึกจนถึงจะทะลวงสวรรค์ แต่ว่าผมวิ่งอยู่ภายในร่างกาย ไม่ได้ตั้งจิตวิ่งออกทะลุกลางกระหม่อม วิชาต่างๆ ของเค้าที่อ้างถึง ไม่ใช่วิชากลายพันธ์ุแต่มันเป็นเรื่องที่คนฝึกจะไปเป็นเซียน ไปหลงติดในฤทธิ์ทางเต๋า มีจิตใจด้านมืดออกมาแล้วควบคุมกิเลสไม่ได้ ก็เอาความรู้ทางเซียนไปใช้ผิดๆ เพราะไม่ได้ฝึกธรรมะอย่างนักพรตเต๋าที่ควรจะฝึก

    สำหรับ เล่มที่ฝรั่งเขียนและแปลมา เป็นแนวเดียวกับโยคะของฮินดูมากกว่า ในเล่มนี้จะมีวิธีฝึกสมาธิของนักบุญในศาสนาคริสต์อยู่ด้วย และกล่าวถึงกายทิพย์ ๖ ซึ่งถ้ารวมกับร่างกาย ก็จะมี ๗ กาย (ได้ยินว่า สายธรรมกายมีจำนวนกายตามจำนวนภพภูมิฝ่ายสูง) อันนี้ ผมเคยฝึกมองออร่า ฝึก ๔ ชั่วโมง เห็นได้แว่บหนึ่ง

    คนที่ฝึกสมาธิกำลังภายในแบบสายเต๋าขอให้ระวังธาตุไฟแทรก พูดง่ายๆ อาการนิมิตต่างๆ ก็เหมือนนั่งสมาธิทุกประการ ถ้า "ชี่" อุดตัน ขัดข้อง ส่วนฝึกแบบคริสต์ จะคล้ายวิชาพลังจักรวาลไม่มีอะไรค้างหรือสะสมในร่างอย่าง กำลังภายในแบบเต๋า ทราบมาว่าในสายไท่เก๊ก มีการฝึกแบบไม่สะสมชี่อยู่ แต่ใช้พลังจักรวาล

    ถ้าลองอ่านเล่มของเต๋า แค่อ่านคนก็จะเกิดความคิดในทางไม่ดีแล้วครับ เพราะเค้าไม่ได้สอนธรรมะด้วย อย่างที่ปรมาจารย์เต๋าประสงค์จะสอนกันเป็นแบบอย่างนักพรต นักบวช
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • toa.jpg
      toa.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.6 KB
      เปิดดู:
      66
    • aura.jpg
      aura.jpg
      ขนาดไฟล์:
      99.7 KB
      เปิดดู:
      65
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2015
  15. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    วิชาอสูรที่กล่าวมาไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต่อพระโพธิญาน และไม่มีจริง

    สิ่งที่พระโพธิสัตว์ต้องทำ มีเพียงหลักๆมี บารมี 10 เจริญวิปัสนาในสติปัฏฐาน 4 กรรมฐาน 40 กอง(ฤทธิ์ต่างๆจัดอยู่ในกรรมฐานกองกสิน). นอกนั้น ธรรมในหมวดอื่นๆเป็นเพียงส่วนปลีกย่อย เช่นทศพิธราชธรรม ทิศ 6 มงคล38 ฯลฯ

    พระโพธิ์ที่จะสร้างบารมีถ้าอยากให้บารมีเต็มเร็ว ต้องใช้ปัญญาพิจารณาเนืองๆว่าอะไรเป็นประโยชน์อะไรไม่ใช่ประโยชน์ต่อพระโพธิญาน. ระหว่างทำ/ขณะทำ/หลังทำ เราผิดพลาดตรงไหนไหมบารมีที่ทำสมบูรณ์หรือยัง ถ้ามัวแต่สนใจสิ่งที่เป็นเรื่องไร้สาระบารมีก็เต็มยาก แถมบางครั้งก็เป็นอุปสรรคขัดขวางในการสร้างบารมี. ระยะเวลาที่จะได้รับพยากรณ์ก็จะยืดยาวออกไปอีก

    สิ่งที่จะเป็นไกด์ไลน์ขอให้อ้างอิงจากพระไตรปิฏก ของเถรวาทจะปลอดภัยกว่า. ถ้าจะใช้วิธีของมหาญานต้องเข้าใจมันถูกดัดแปลงมาหลายทอดแล้วสิ่งที่ปลอมปนมันมีอยู่เยอะ วิชาอสูรที่ว่ามันเรื่องแต่งของคน เหมือนกับนิยายไซอิ๊ว ผ่านไปหลายร้อยปี เฮ่งเจีย จากตัวละครในนิยายกลายเป็นเทพเจ้าที่คนกราบไหว้
     
  16. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับพี่ๆน้องๆ ทุกๆท่าน ขอพูดแบบ ใครชอบ ก้เชิญ นำไปใช้ได้เลย ใครไม่ชอบ ก็วางลง อ่านแล้วผ่านไป ผมเอง ประสบการณ์ จริงมาพอสมควร ไม่ใช่ เอามาท้าทาย คนเรา ไม่ใช่ อ่านแต่ตำรา ควร ฝึกฝน หาความจริง เมื่ออ่านตำรา ควร หาเหตุผล หาของจริง นำไปทำ ได้ผลมากน้อยนั้น เราคนทำ ก็จะรู้ผลเอง มาเถียงกัน ตามตำรา ไม่เกิดประโยชน์หรอกครับ ผมจะยกตัวอย่าง ให้ฟัง เช่น คนป่วย คุณก็หาทางช่วย คนป่วย หรือรักษา แบบวิธีการของคุณ ถ้ามี สมุนไพร หรือแพทย์ปัจจุบัน เอาพอที่คุณทำได้ ช่วยได้ นี่ของจริง ผมทำมาแล้ว ปลูกสมุนไพร ๕ไร่กว่าๆ อ่านตำรา ปีเศษๆ แล้วปลูก ๕ ไร่กว่าๆศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเอง พอสมควร


    ศึกษา ไสยเวท พอรู้ งูๆปลา แต่ก็เคยช่วยคนมาหลายคน ที่หมอ โรงพยาบาล ไม่รับ ช่วยกันรักษาจนหาย เมื่อ พ.ศ.ใกล้ ปี ๒๐ เรื่องสมาธิ งูๆปลาพอได้ เคยใช้ วิชากอบโรค ตำราหลวงปู่ปาน วิชาเคาะโรค วัดบางนมคนโค อ.ผมอยู่ปราณบุรี ตอนนี้ตายไปแล้ว ชื่อ อ.ทัน รุจิเรข เป็นหลานปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง มีเชื้อมอญ เป็นหลานหลวงปู่เอี่ยม และอาจารย์ผม ท่านไปเรียน วิชากอบโรค จากหลวงพ่อ แฉ่ง วัดบางพลัง ซึ่งหลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพลัง เป็นลูกศิษย์ ปู่ปาน ท่านเรียน วิชาเคราะโรค กอบโรค มาจากหลวงปู่ปาน ถ้าใครบอกว่า พุทธภูมิ ไม่เรียน วิชาต่างๆ ก็ดูตัวอย่าง หลวงปู่ปานได้ครับ ไปอ่านประวัติ ท่านได้ครับ ซึ่ง หลวงปู่ ปราถนาพุทธภูมิบารมีท่าน ก้เต็มแล้ว ท่านเรียนจบหลักสูตร พุทธภูมิแล้ว แต่ท่านก็ต้องรอคิว มาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ผมต้องการให้ ท่านๆทั้งหลาย ใช้ใจ พิจรณาดู ว่า ทำไม พระโพธิสัตว์ ที่บารมีเต็มแล้ว ยังใช้ ไสยศาสตร์ กับ วิชาของพุทธเจ้า พุทธศาสตร์ ควบคู่กันไป ผมนั้นเข้าใจ เพราะเรียนมา และเคยช่วยคนบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ยังห่างเกินไป ยังไม่ละเอียด จึงนำมาเอ่ยให้พวกท่านได้ พิจรณาดู ผมน่ะ ไม่เอ่ยลอยๆหรอก


    ขอต่อนะ มาว่า พระเจ้าพรหม มหาราช ทำไม่ ยังฆ่าคน ซึ่งเป็นกษัติย์ และเป็นพุทธภูมิ บารมีใกล้เต็ม พ่อขุนราม คำแหง พระนเรศวร พระเจ้าตากสิน มหาราช พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทำไม กษัติย์เหล่านี้ ร.๕ ขอต่อนะครับ ทำไม พระองคุลีมาร ฆ่าคนเป็นหมื่น แต่ได้ มรรคผล เป็นพระอรหันต์ สันติ มหาอำมาตย์ เป็นเพชรฆาต ฆ่าคนเป็นหมื่นเหมือนกัน ฟังธรรมจากพระสารีบุตร เป็นพระโสดาบัน ผมเข้าใจ ผมอยาก ให้คนไม่เข้าใจ นำไปคิดดู ไอ้สิ่งที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น คิดไม่เป็น ทำไม่เป็น อ่านแต่ตำราอย่างเดียว มันยังไม่รู้อะไรหรอกครับ ขนาดผม เรียนของจริงมา กิเลสก็ยังท่วมหัวอยู่ ผมนั้นเน้น ให้พวกท่านๆทั้งหลาย เปิด หู เปิดตา เปิดใจ ให้กว้างๆกว่านี้ และเรียน ของจริงๆเลย จะได้ รู้รส ของจริงว่าเป็นพันไร แบบไร คนเราถ้าลองไม่ทำ ไม่ได้กินเอง ชิมเอง ชงเอง รู้เอง มันไม่หายโง่ หรอกครับ ต่อให้ได้ กินเอง ชงเอง รู้เอง ทำเอง มันก็ยังตาม โลกนี้ไม่ทันเลยครับ มันมีเรื่องใหม่ๆ มาให้เราได้เรียนรู้อยู่เรื่อยๆ มันไม่มีที่สิ้นสุดครับ
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ขอต่อีกนิดครับ จงดูตัวอย่าง พระในประเทศไทย เยอะแยะ ที่ตายไปแล้ว และยังไม่ตาย ยังมีอีกแยอะแยะครับ ฆราวาสก็แยอะแยะ ที่มีดี ของดีจริงๆ ที่ผมเห็นมา ถ้าอยากรู้ พระโพธิสัตว์ เป็นพันไร ก็ต้อง ลงมือทำเองเลย จะได้รู้ของจริง เอา เอาแค่เศษเสี้ยวเล็กๆน้อยๆ ของท่านเท่านั้นแหละ ไม่ต้องเอาขนาดท่านหรอก เรียนของจริงเลยดีกว่า อ่านตำรา กับ พูดอย่างเดียวไม่รู้เรื่องหรอกครับ ลงมือทำเดี๋ยวนี้ เลยครับมันยังไม่สายครับพี่ๆน้องๆเอาแค่โลกนี้ ในโลกมนุษย์ นี่แหละ ไม่ต้องไปพูดถึงโลกอื่นหรอกครับ ยังที่เราๆท่านๆ ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินอีกมากมาย ที่จะพรรณาในที่นี้ได้ มีโอกาศจะเข้ามาต่อครับ
     
  18. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมขอออกความเห็นในส่วนวิชาไสยศาสาตร์ ที่มีพระโพธิ์บางท่านเรียนทั้งที่บารมีสูง

    ซึ่งจริงๆแล้วไสยศาสตร์ไม่เกี่ยวกันเลยกับบารมีที่พระโพธิสัตว์จะต้องสร้าง แต่บางท่านก็เลือกที่จะเรียนเพื่อจะช่วยเหลือคน นั่นก็คงเป็นอัธยาศัยส่วนตัว เพราะพระโพธิสัตว์นั้นแบ่งเป็น 3 ประเภท ทั้ง ปัญญา ศรัทธา และวิริยา. ผมเข้าใจว่าพวกปัญาญาธิกะเขาไม่ค่อยสนใจพวกไสยศาสตร์ มองว่ามันไม่ใช่ทางและเสียเวลา. แต่กับพวกวิริยาธิกะคงจะมีแนวโน้มที่สนใจของของพวกนนี้มากกว่า.

    ถ้าปัญญาธิกะเจอคนโดนคุณไสยก็จะอาศัยพุทธคุณเข้าช่วยหรือเอากำลังณานเข้าช่วย หากเป็นวิริยาธิกะคงจะอาศัยทุกอย่างรวมถึงใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วย. ซึ่งวิธีของปัญาญาธิกะจะปลอดภัยทั้งคนช่วยและผู้ถูกช่วย แต่อาจจะช่วยได้ไม่ทั่วถึงแบบที่พวกวิริยาธิกะทำ

    หรือถ้าเกิดในยุคสงครามพวกปัญญาธิกะคงอาศัยพระปริตทำน้ำมนต์.หรือทำพระเครื่อง แต่พวกวิริยาธิกะคงทำเครื่องรางตระกุดประเจียดแจก

    แม้ดูจากภายนอกดูเหมือนพวกวิริยาธิกะจะเก่งครอบคุมกว่าปัญญาธิกะ แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเพราะการเอาตัวตนไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น แต่กับปัญาธิกะจะช่วยเท่าช่วยได้และไม่ฝืนกรรมของผู้อื่น(คนโดนคุณไสยมันก็ต้องมีกรรมผูกพันกันมาถึงได้โดน)

    ซึ้งสาเหตุที่พวกปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมีได้เร็วกว่าเพราะใช้ปัญญานำ จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการสร้างบารมี ส่วนพระโพธิสัตว์ประเภทอื่นๆนอกจากมีปัญญาลดหลั่นลงไปรวมถึงสนใจสิ่งที่นอกจากการสร้างบารมีทำให้ใช้เวลาในการสร้างบารมีนานกว่า ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติตามจริตนิสัยของพระโพธิสัตว์ประเภทต่างๆ
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆ ต้องขอโทษนะพี่ๆน้องๆ ผมจะขอพูดแบบ ฝาดผ่าซากหน่อย และจะขอพูดแบบ ว่า และจะพูดแบบนี้ อีกครั้งเดียว ใน กระทู้นี้ ยิ่งพูด ไม่รู้ว่า ไอ้ควาย มาจากไหน ผมน่ะ ว่า ที่เขาเปรียบเทียบ ว่าควายโง่แล้ว ควาย บางตัว ไปใช้กรรม ยังฉลาด กว่าคนบางคนอีกครับ แต่เขาพูดไม่ได้ เพราะไปใช้กรรม อยู่ในร่างสัตว์


    ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ พระพุทธเจ้า องค์พระปัจจุบัน พระองค์ทรงบำเพ็ญ บารมี ในด้าน ปัญญาธิกะ ซึ่งบำเพ็ญ บารมี ท้ายสุด คือ ๔ อสงไขย กำลัยอีก แสนมหากัป พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญ บารมีมาในด้านนี้ ซึ่งใช้ปัญญานำหน้า และพระพุทธศาสนา พึ่งเกิด ทีหลัง ศาสนาอื่นๆ เอาง่ายๆ ถ้าไม่ใช้ วิชามารควาย แบบโง่ๆ มาพูด พวกศาสนา เอจลก เขาสอน ใช้พวก กสินสมาธิ ฌาณเขาสามารถ ไปเกิดเป็นพรหม เทวดา ตามกำลังบุญ ที่เขาทำ พราหม์ เขาสอนถึงพรหม และศาสนาอื่นๆ เขาเกิด อยู่คู่กับโลกมาช้านาน ฤาษีชีไพร พระพุทธเจ้า แต่ละขั้น ปัญษาธิกะ ศรัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญ ออกบวช เป็นฤาษี นับชาติไม่ถ้วน ไม่มีพระพุทธเจ้า องค์ไหน แน่นอน ที่ไม่เคยออกบวชเป็นฤาษี ทุกๆพระองค์ ต้องผ่านหมด และศาสนาอื่นๆ ก็สอน อย่างน้อย สอนไปสวรรค์


    ใครที่ พูดมาแบบนี้ แสดงว่า มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย มาพูดส่งเดช ผมไม่อยากให้มีกรรม ต่อกัน ถ้าคุยกับผมจริงๆแล้วละก็ ๓ วัน ๓ คืนไม่จบหรอก แต่ต้องเอาเหตุผล มาคุยนะ และเป็นเรื่อง จริง ถึง ๗๐ ถึง ๙๐ เปอร์เซ็น ไอ้ตำรา อย่ามาคุย มันต้อง ทั้ง ๒ แบบ ตำรา กับภาคปฏิบัติ คุยได้ จะสนุกมาก ขอเล่าแบบ ลัดๆ ทุกท่าน ที่ใช้คำว่า ทุกๆท่าน เพราะอะไร รู้ไหม จงย้อนไปดู พระพุทธองค์ ของเรา ก่อนที่จะออกบวช เมื่อบวชแล้ว ก่อนที่พระองค์ จะตรัสรู้ ท่านไปหาใคร ไปเรียนกับใคร และทรง ทำกระทำอย่างไร ทุกกริยาแบบไหน เมื่อพระองค์ เรียนจบ หลักสูตรแล้ว คือ สมาบัติ แปด ๘ ก็หันหลังให้ พระองค์บอก กับตัวท่านเอง มันมันไม่ใช่ หนทางแห่ง ดับทุกข์ พ้นทุกข์ และไม่ใช่ มรรคผล แห่งพระโพธิญาณ จริงๆ พระองค์ ได้สมาบัติมา นับชาติไม่ถ้วน ที่พระองค์ต้องทำอย่างนั้น ความเข้าใจของผมคือ ทบทวนของเก่านั่นเอง


    ระวังนะ ไอ้พวกที่พูด บอก ต้อง วิริยาธิกะเท่านั้น ต้องเรียน ไสยเวท ปัญญาธิกะไม่เรียน ระวัง จะไปปรามาส พระพุทธเจ้า ทุกขั้น ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ในอดีด ถึงปัจจุบัน และพระโพธิสัตว์ ที่บำเพ็ญ บารมี ตั้งแต่ ต้น กลาง ปลาย ขอยกตัวอย่าง อีกนิด ปัญญาธิกะ สร้างพระ หน้าตัก ๔ ศอก ศรัทธาธิกะ สร้าง ๕ วา วิริยาธิกะ สร้าง ๑๕ วา เป็นต้น คือ พูดง่ายๆ ว่า สร้างเหมือนกัน ได้ อานิสงฆ์ เหมือนกัน แต่ความใหญ่ได้ไม่เท่านกัน และพูดง่ายๆคือ ความเป็นพระพุทธเจ้า เสมอกัน คำสอนก็เหมือนกัน แต่ว่า อายุไม่เท่ากัน เอกลาภ ไม่เท่ากัน สาวก ไม่เท่ากัน ประกาศศาสนา ไม่เท่ากัน การตรัสรู้ ใช้เวลาไม่เท่ากัน นี่เขาแยกกันแบบนี้


    ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ บ้าง อย่ามาใช้ ห้องพุทธภูมิเลยจะดีกว่า ไปใช้ห้องอื่นๆ จะดีที่สุด มันไม่สมกับคำว่า ห้องพุทธภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2015
  20. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:({) สวัสดีครับคุณเจ้าของกระทู้ คุณตอบถูกต้องแล้ว ตอบเหมือนพระสารีบุตร ผมไม่อธิบายนะ ผมว่า คนที่เขามีปัญญา เขาเข้าใจ ที่คุณพูดมาครับ ผมเข้าใจถ้อยคำคำของคุณ และต้องขอโทษด้วย ในหลายๆท่าน ที่อาจจะ ไม่ชอบใจในคำพูดผม หรือเกียจผมเลย ที่อ่าน ที่ผมตอบไป เนี่ยเอา ของจริงมาพูด ๙๐ เปอรืเซ็น ใครไม่ชอบ คงไม่สนแล้วแหละครับ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...