ไม่รู้จักกัน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย อนัตตา, 4 มกราคม 2019.

  1. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    มีข้อคิดอยู่อย่างหนึ่ง ที่จะให้เข้าใจเรื่อง “อนัตตา” ชัด

    กล่าวคือ “สิ่งใดในเมื่อดับได้ สูญสิ้นได้ หมดไปได้ หายไปได้ เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นย่อมไม่มีตัวตนของมันที่แท้จริง”

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      40.9 KB
      เปิดดู:
      34
  2. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เราเห็นเหล่าครุฑเต็มท้องฟ้าตั้งแต่วันออกพรรษา แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ความหมาย ปกติมองฟ้าจะเห็นแต่พญานาค คราวนี้แปลก...ก็คิดในใจว่าครุฑมาทำไมกันเยอะแยะ มาถึงตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ:)

    มาเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เอาของดีมาฝากกันอีกแล้ว:D

    #ปฏิบัติระยะยาว

    อันนี้ก็เริ่มที่ 'รู้สักแต่รู้' หนะแหละ ผู้มีบารมีมาก แจ่มแจ้งนิพพานทันที ผู้มีบารมียังไม่มากพอ ก็ต้องฝึกจิตในสติ รู้สักแต่รู้ ได้ยินสักแต่ได้ยิน ฯลฯ จนกว่าจะเกิดเป็น โลกุตตรสติธรรม ให้ผลทันที สิ้น อยาก สิ้น ยึด สิ้น กรรม ภพหลง โลกหลง ตนหลง (ในขันธ์ห้า)

    แค่นี้ก็พอ "รู้" เป็นวิญญาณธรรมดา "รู้สักแต่รู้" เป็นวิญญาณสติ ทรงไว้ซึ่งพุทธธรรมเหนือโลก วิญญาณสติ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็น จิตสติ ปรากฏขึ้น (เป็น โลกุตตรจิต ถึงโลกุตตรธรรม คือ พุทธสติ) เป็นจิตสมบูรณ์ ไม่มีบกพร่อง ไม่เดือดร้อนขาดเหลือ(perfect)

    ย่อมเข้าถึง ธรรมสมบูรณ์ สัจธรรม อมต นิพพาน) เป็นจิตธาตุ (จิตเดิมแท้) ไม่ใช่สังขาร โลกภพตนหลง เป็นจิตวิสังขาร (ถึง วิสังขารสัจธรรม อมต นิพพาน) หยั่งหลงสู่ วิสังขารธรรม (วิสังขารคตังจิตตัง)

    จิตตถาคต (บริสุทธิ์) หยั่งหลงสู่วิสังขารธรรม (ไม่มีหลงเสียแล้ว) ในตอนนี้ ถ้า วิราคะจิต ขั้นโลกุตตรจิตเกิดถึง โลกุตตรธรรม คือ วิราคะธรรม (พระนิพพาน) ได้ ถ้าเป็นจิตคลายกำหนัดในกาม เกิดขึ้น สังโยชน์ เครื่องผูกจิตละได้ยาก ก็ขาดไปเด็ดขาด (ไม่ใช่ชั่วคราว เช่น เข้าฌานสมาธิ)

    ทั้งสังโยชน์ที่มาด้วยกัน คือ โทสะ ปฏิฆะ ขัดเคืองใจ พยาบาท ก็ถูกตัดขาดจากจิตพร้อมกันเด็ดขาด รวมทั้งวิหิงสา ความคิดเบียดเบียนสัตวโลก กามภพดับไปจากจิต ถ้าจิตวิราคะในรูปฌานอรูปฌาน เกิดต่อไป สังโยชน์เบื้องสูง คือ รูปราคะ อรูปราคะ ก็ถูกต้องออกไปเด็ดขาด

    พร้อมสังโยชน์ที่เหลือ มีมานะ เป็นต้น เป็นอัน ภพสาม กาม, รูป, อรูปดับ หรือ ลูกตุ้มนาฬิกา (pendulum) ที่แกว่งไปสุดทางหนึ่ง (คือ กาม) แล้วก็แกว่งกลับไปจนสุดอีกทางหนึ่ง คือ สมาธิ แกว่งไปมาไม่รู้จักสิ้นสุด (หรือโคจรของจิตอวิชชา) เป็นอันหยุดนิ่ง

    ตอนนี้สิ้นวัฏฏสงสาร ตัวทุกข์แท้ หรือ อุปาทานขันธ์ห้า อริยสัจทุกข์ ไม่ใช่แบบความคิดปุถุชน เสียโน่น เสียนี่ แต่เป็นทุกข์เพราะโง่ เพราะหลงตน ego concept สักกายทิฏฐิ ยึดขันธ์ห้าเป็นต้น

    หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      41.8 KB
      เปิดดู:
      22
  4. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    5PIyDVhl.jpg
     
  5. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ... หลวงปู่สี ฉันทสิริ
    เทศน์อบรมเหล่าเทพและเทวดาในป่าเขา ...

    ... สมัยที่หลวงปู่ท่านยังออก ธุดงค์ตามป่า เขาลำเนาไพร หลวงปู่สี ท่านมิได้ติดยึดอยู่กับที่ ท่านจะธุดงค์แสวงหาความวิเวกไปยังสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งโปรดเทพเทวา สรรพสัตว์และมนุษย์ ไปยังดินแดนต่าง ๆ อันเป็นการปฏิบัติตามครูบาอาจารย์แต่เดิมมา

    การธุดงค์แสวงหาความวิเวกนั้น ครูบาอาจารย์แต่เดิมมา ท่านไม่ให้ติดที่อันเป็นสัปปายะ ดินแดนที่สุขสบาย จะต้องละจากไปเรื่อยๆ ลำบากบ้าง สบายบ้าง อดบ้าง ฉันบ้าง ไม่ยึด ไม่ให้ถือ ให้เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ ให้ระลึกอยู่เสมอว่า ..

    “สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป”

    “ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติ คือ ธรรม”

    นี่เป็นส่วนหนึ่งที่หลวงปู่ท่านเคยนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอบรมให้เหล่าเทพและเทวดาฟังในป่าเขา เมื่อท่านถูกนิมนต์ให้เทศน์

    “... คุณโยมเทพบุตร เทพธิดาทั้งหลาย ผู้มีความปีติสุข ความอิ่มเอิบในทิพยสมบัติเป็นเครื่องอยู่ เป็นผู้นิราศแล้วจากทุกข์ทั้งปวง

    แม้กระนั้นคุณโยมก็มิได้อยู่บนความประมาท หลงอยู่ในทิพยสมบัติ มีจิตปรารถนาจะได้รับรสพระธรรม เป็นที่น่ายินดีอนุโมทนา ความปรารถนาในกุศลธรรมนั้นเป็นบุญที่ควรอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง

    คุณโยมทั้งหลายที่เสวยทิพยสมบัติอยู่ จงพิจารณาให้ดี จะเห็นว่ายังเป็นโลกที่ไม่มีแก่นสาร อาจกล่าวได้ว่าเป็นโลกที่ไม่มีตัวตน เป็นแต่แสงสว่างแผ่ซ่านอยู่ อันเป็นโลกที่ละเอียดอ่อน ด้วยอำนาจของจิตที่เป็นอกุศลธรรม ให้โยมปรากฏให้อาตมาได้เห็น ก็ด้วยอำนาจของจิตอธิษฐาน

    “จิต” เป็นนามธรรม ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดี หรือชั่วได้อย่างมนุษย์ แต่จิตก็สามารถบริจาคทาน เจริญสมาธิ รักษาศีล ได้เช่นกัน คุณโยมผู้เป็นเทพทั้งหลายพึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิตเจริญสมาธิ ได้เช่นกัน

    คุณโยมผู้เป็นเทพทั้งหลายพึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิตเจริญสมาธิ การบริจาคทานด้วยจิต ก็คือให้ความกรุณา ให้ความเมตตา แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย นับได้ว่าเป็นทานบารมีอันยิ่งใหญ่

    “ศีล” ก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต จิตของคุณโยมเป็นกุศลจิต จึงนับได้ว่า ได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์

    “สมาธิ” ก็คือทำจิตให้ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่น? ก็คือ การตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่า พุทโธ ให้เป็น อารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นเป็นลำดับ

    เมื่อคุณโยมผู้เป็นเทพได้ตระหนักชัดว่าความเป็นเทพนั้นยังเป็นโลกียสมบัติ เป็นสิ่งสมมุติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท

    เวลาสวรรค์แม้แต่จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ถึงร้อยเท่า พันเท่า จะพ้นจากไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นไม่ได้

    สิ่งสมมุติทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วย่อมดับ จงขวนขวายละสมบัติไปสู่ “วิมุตติ” เถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายในวัฎสงสาร ...”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ครั้งนึงขณะธุดงค์อยู่หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “วิริยังค์ ทำไมจึงมาบวช”

    พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เพราะภาวนาเห็นทุกข์”

    หลวงปู่มั่น ท่านถามว่า “ใครสอนให้ครั้งแรก”

    พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “ไม่มีใครครับ”

    หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “ทำยังไงจึงเป็นสมาธิ”

    พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เป็นขึ้นมาเองครับกระผม วันหนึ่งเพื่อนกระผม ชวนไปวัด เพราะจะบวช กระผมเองไม่อยากไป แต่ก็จำใจ วันนั้นต้องอยู่ถึงเที่ยงคืน กระผมก็กลับบ้านคนเดียวไม่ได้เพราะกลัวผี จำเป็นต้องอยู่ อยู่ไปนั่งไป นึกในใจอย่างเดียวว่า (ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ ) อย่างนี้ ไม่ช้าเท่าไรปรากฏว่า ตัวของกระผมหายไปเลย เบาไปหมด...ถึงกับอุทานออกมาเองว่า คุณของพระพุทธศาสนา มีถึงเพียงนี้เทียวหรือ”

    หลวงปู่มั่น ก็ได้พูดว่า “มันแม่นแล้ว เธอมีความเป็นต่าง ๆ มีบารมีพอสมควร มิฉะนั้นจะได้บวชหรือ”

    “..ร่างกายอันนี้เกิดมา ร่างกายอันนี้แก่ ร่างกายอันนี้เจ็บ ร่างกายอันนี้ตาย ทีนี้คนที่จะหลงรักหลงชังกันก็ต้องมีร่างกายนี้เป็นสื่อสัมพันธ์ มองเห็นตา มองเห็นศีรษะ แขน ขา มองเห็นร่างกายต่างๆ แล้วเกิดความชอบ หรือเรียกว่าเกิดความพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายอันนี้ก็เป็นตัวสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับแรกของวิปัสสนา จัดการอันดับแรกก็คือ หั่นร่างกายนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ ถ้าหากว่าพลังจิตเพียงพอนั้น พิจารณาเห็นได้ ถ้าพลังจิตไม่เพียงพอนั้น มองเข้าไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เห็น คือมันเห็นเหมือนกัน แต่มันเห็นไปด้วยอำนาจกิเลส แต่ถ้าพลังจิตเพียงพอนั้นมองเข้าไปแล้วก็เห็นชัดว่า อันนี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดอะไรขึ้น เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมา เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมาก็เกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย มันน่าเบื่อหน่ายจริงๆ อย่างนี้..”

    โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    XmZWFoxw.jpg
     
  8. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    โลกุตรปัญญานั้น มีเฉพาะท่านผู้ฝึกหัดอบรมจิต ผู้รู้นั่นแหละ ผู้ไปรู้ไปคิดไปนึกนั่นแหละ เอาสติไปควบคุมจิตตรงนั้นแหละ ให้อยู่ในบังคับของสติรู้สิ่งทั้งปวงหมด ให้อยู่ในบังคับคือ บังคับให้รู้ก็ได้ บังคับไม่ให้รู้ก็ได้ ที่มันคิดมันนึกมันปรุงแต่งสารพัดทุกอย่างนั้นรู้เท่ารู้เรื่องของมัน ฝึกฝนอบรมให้มันอยู่ในขอบเขตในบังคับ การฝึกหัดปฏิบัติในธรรมวินัยนี้มีฝึกหัดจิตอันเดียวเท่านั้น อันอื่นนอกนี้ไม่มีอะไรทั้งหมด จะเป็นอย่างไร อบรมอย่างไร ก็ต้องอบรมจิต ครั้นปรารภจิตอบรมจิต
    จึงจะอบรมจิตให้อยู่ในสติได้ เมื่ออบรมไปโดยมีข้อบังคับจํากัดด้วยไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันรู้ว่าสิ่งต่างๆทั้งปวงมันมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในตัว
    .
    ครั้นเมื่อมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้ว ไปไม่ถึงไหนต้องหมด ไม่ปรุงไม่แต่ง ลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตตาแล้ว ก็กลับเข้ามาหา “ใจ” คราวนี้ มันกลับเข้ามาเอง พิจารณาไปหมดเรื่องหมดราวแล้ว กลับมาเองหรอก เข้ามาหา “ใจ” มาหยุดนิ่ง
    .
    เวลามันจะออก มันออกไปตามอายตนะต่างๆ มันออกไปอยู่ในขอบเขตของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    พิจารณาไปมามันก็รวมลงไปอีก ของเก่า เข้ามาถึงจุดเดิมคือ ผู้รู้ หรือ ธาตุรู้ กลับไปกลับมาอย่างนี้บ่อยๆ จนกระทั่ง ชํานิชํานาญคล่องแคล่วในการที่พิจารณา คราวนี้ไม่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอนุมาน และไม่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยบังคับ หากเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอัตโนมัติ
    .
    ทีแรกพิจารณาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอนุมาน ทีหลังเมื่อพิจารณาชํานิชํานาญแล้ว มันเป็นอัตโนมัติในตัว จึงว่า ศาสนาพุทธถึงที่สุดของการคิดการนึก การปรุงการแต่งการรู้ต่างๆ สารพัดทุกอย่าง มันลงมาถึงของจริง มาถึงผู้รู้
    .
    .
    คัดมาจากพระธรรมเทศนาชุด
    "โอวาทหลังปาติโมกข์" เรื่อง
    "ธาตุรู้"
    วันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๘
    พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
    (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เมื่อสัญญาผ่านเข้ามา ก็ปล่อยให้ผ่านไปตามเรื่องของมัน ความรู้ของเราก็ให้เฉยอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว ข้อที่ว่าใจเราไปอย่างนั้นไปอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นเพียงแต่สัญญามันพาไปเท่านั้น
    .
    สัญญา นี้เปรียบเหมือนกับ “เงา” ส่วนตัวจริงของมันนั้นก็คือ “จิต” ต่างหาก ถ้ากายของเราเฉยไม่มีอาการเคลื่อนไหวไปมาแล้ว เงาของเราจะเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร? เพราะกายของเรามันไหวไม่อยู่นิ่ง เงาของเราจึงไหวไปด้วย และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไปจับเอาเงามาอย่างไร? เงานี้จะจับมันก็ยาก จะละมันก็ยาก จะตั้งให้เที่ยงก็ยาก
    .
    ความรู้ที่เป็นตัวปัจจุบัน นั่นแหละคือ “ตัวจริง” ส่วนความรู้ที่เป็นไปตามสัญญานั้น ก็คือ “เงา” ความรู้ตัวจริงนั้นย่อมเป็นตัวที่อยู่คงที่ไม่มีอาการยืน เดิน ไปมา
    .
    ส่วนจิตก็คือ “ตัวรู้” ซึ่งไม่มีอาการไปอาการมา ไม่มีไปข้างหน้า ไม่มีมาข้างหลัง มันก็สงบเฉยอยู่ และเมื่อตัวจิตราบเรียบอยู่ในปรกติ
    ไม่มีความนึกคิดวอกแวกไปอย่างนี้ ตัวเราก็ย่อมสบายคือ จิตไม่มีเงา
    .
    ถ้าจิตของเราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ก็ย่อมจะเกิดสัญญาขึ้น แล้วเราก็จะไหลไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละ มันเสีย ใช้ไม่ได้ จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า “ตัวรู้” นั้นไม่เป็นไรดอก แต่ “เงา” คือสัญญานั่นแหละสำคัญ
    .
    เราจะมุ่งไปทำให้ “เงา” มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น “เงา” มันดำ เราจะเอาสบู่ไปฟอก จนตายมันก็ไม่หายดำ เพราะเงามันไม่มีตัวตน
    .
    ฉะนั้น สัญญาความคิดนึกต่าง ๆ เราจะทำให้ดีเลวย่อมไม่ได้ เพราะมันเป็นเพียง “หุ่น” หลอกเราเท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงว่าใครไม่รู้จัก ตัว ไม่รู้จัก กาย ไม่รู้จัก ใจ ไม่รู้จัก เงา ของตัวเอง นั่นคือ อวิชชา
    .
    คัดมาบางส่วนจากหนังสือ
    "ท่านพ่อลีสอนกรรมฐาน "
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ในวันที่ไม่มีใคร...ฉันยังมีเธอ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว รู้แค่นี้แหละ
    ดับอุปาทานได้ก็นิพพาน ทุกคนล้วนรู้ทาง

    ทางมีไว้ให้ดำเนิน ไม่ได้มีไว้ให้ท่องจำ

    เทวดาประจำตัวไม่มีฤทธิ์ เพราะขาดซึ่งบุญกุศล เทวดาประจำตัวของบางคนก็หมางเมิน ยืนมองเฉยๆ ไม่ช่วยเหลืออะไร

    เจริญสัมมัปธาน 4 นะ แล้วเทวดาประจำตัวจะมีฤทธิ์ เมื่อมีฤทธิ์ก็จะช่วยให้สำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจ

    ความเพียรของเธอ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ป่านนี้เธอคงรู้แจ้งในสัญญาที่สะสมมา เมื่อรู้แจ้งในสัญญาก็จะรู้จักว่า...มันเป็นแค่เงา ยังไม่ใช่ของจริง เพราะของจริงต้องแก้ทุกข์ได้

    แบกรู้ไปทุกที่เพื่อโลกธรรม 8 ทุกข์ไม่หายมีแต่เป็นการเพิ่มทุกข์
    :):):):):):):):)

    ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยและด้วยบุญกุศลของข้าพเจ้าที่ได้สั่งสมมา ขอให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้สมใจปรารถนา ทำสิ่งใดขอให้สำเร็จ ขอให้หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรคหมดภัย อันตรายใดๆไม่เบียดเบียน ค้าขายร่ำรวย มีโชคลาภเงินทอง เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งขึ้นไป สาธุ
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ทำดีต่อกัน เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจกัน ต่างเป็นที่พึ่งพาทางใจให้กันและกันได้ เมื่อยังละเหตุปัจตัยต่างๆ ไม่ได้หมด ก็อาศัยเหตุปัจจัยนั้นๆ นำพาไปสู่สิ่งที่ดีๆ

    การคิดทุกครั้ง อุปาทานก็เกิดทุกครั้ง ก็ใช้อุปาทานละอุปาทาน โดยการคิดแต่สิ่งดีๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    อะไรที่มันอิ่มตัวแล้ว มันจะหยุดไปเอง วันนี้ใจมันคึกคัก มันตื่นยังไงก็ไม่รู้

    เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่มีสิ่งนี้

    เราไม่สู้คน กลัว...ทุกครั้งที่จิตจะฮีดสู้ เห็นอัตตาเกิดก่อนทุกที พออัตตาเกิด มานะโผล่ ....ก็เลยเห็นอนัตตา แล้วปล่อยให้มันกระทืบไป กระทืบทางวาจานะ:p

    ถูกเค้าทำร้าย ดีกว่าไปทำร้ายเค้า ยอมตายเพื่อชนะกิเลส คุ้ม:D

    ไม่เอาอย่างเดียว จบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    #เอ้า_หยุด_พอแล้ว..!!

    จาโค ปฏินิสฺสคฺโค ให้ละเสีย ความถือตนถือตัว อันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาก็เป็นปรกติอยู่ ใจก็เป็นปรกติอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส กามคุณทั้ง ๕ เขาก็เกิดมีอยู่อย่างนั้นละ เราเกิดมา นินทา สรรเสริญ โคตร ผีบ้า ผีบอ เขาก็ว่ากันอยู่อย่างนั้นละ ที่รับเข้ามามันหนักแน่นอยู่ในหัวใจ ปล่อยให้เขาป่นไปป่นมา ใจปรกติอยู่แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นปรกติอยู่แล้ว จะไปเดือดร้อนทำไมเล่า ไปหอบเอาของเขามาสิมันเดือดร้อน ของเราก็มีเต็มขี้ปุ๋ม (พุง) อยู่แล้ว บาปเราก็มี บุญเราก็มี นินทา สรรเสริญ โคตรพ่อโคตรแม่ ของเรามีเยอะ แต่เราไม่พูด โยนทิ้งหมด ก็สบายดีละก้า

    ไปหอบเอาของเขา ขี้โลภมากมันถึงเดือดร้อน ลูกก็ตาม หลานก็ตาม ลูกมันพ้นระหว่างขาของเรา แล้วโล้ ไปหอบมันสังมันเป็นทุกข์ มันรู้ได้เสียก็พอละรีบตั้งอกตั้งใจ ทำอาชีพอันใด ๆ ก็ดี ให้ตั้งใจ อย่าไป ขี้เกียจ ขี้คร้านก็พอละ ว่ากล่าวด้วยวาจาของตน ช่วยสงเคราะห์อุปการะสังคโห ช่วยสงเคราะห์ก็พอแล้ว อันเขาใหญ่ขึ้นมาแล้ว รู้ผิด รู้ถูก รู้ได้ รู้ดี รู้มั่ง รู้มี ไปหวัน .. มันก็เป็นทุกข์ละก้า ทําอันใดไม่พออกพอใจ แล้วก็ไปเดือดเขา บ่รู้ พอหลงก็หลงมาพอแล้ว โลภก็โลภมาพอแล้ว รักก็รักมาพอแล้ว ชังก็ชังมาพอแล้ว เอ้า ! หยุด... "พอแล้ว"...

    #หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
    ***********************
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      8.9 KB
      เปิดดู:
      20
  15. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เวลาที่เจอ ...
    “ คนเห็นแก่ตัวบ่อยๆ ”
    คุณจะ “ อึ้ง ” และ..แอบสงสัยว่า
    ทำไม...สิ่งดีๆ ที่ให้ไป
    เหมือน “ ไม่มีค่าอะไรเลย ” ...

    ... ไม่ต้อง “ งง ”
    นี่แหละ.. “ สันดานคน ”
    อะไรที่ได้มาง่าย .. มักไร้ค่า
    ... เมื่อไหร่, ที่ดีเกินไป
    จะถูกมองว่า.. “ หลอกง่าย ”
    ยิ่งเสียสละ .. ยิ่งโดนเอาเปรียบ

    ถ้าไม่มีข้อจำกัด..ง่ายไปทุกอย่าง
    ปากหนัก .. ขี้เกรงใจ คิดว่า ...
    ยอมได้, ก็ยอม .. ให้ได้, ก็ให้
    ก็ เลิกสงสัยว่า ...
    ทำไมยิ่งทำ.. ยิ่ง, มีแต่เสีย ไม่มีได้

    สรุปคือ... “ ดีแค่พอดี ”
    สำคัญคือ... ต้องรู้ว่า ...
    เรา, ควรดี..กับใคร
    เพราะ..ไม่ใช่ทุกคน, ที่จะสำนึกได้
    โชคร้าย..ไปเจอคน “ เลี้ยงไม่เชื่อง ”
    เห็นแก่ตัว, โลภมาก, เอาแต่ได้
    ต่อให้...คุณ, ดีแค่ไหน..??

    เชื่อมั้ย .. มันก็ “ เนรคุณ..! ”

    จากเพจ...#ฟังนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    เคยสงสัยว่าตอบจบของไซอิ๋วคืออะไร เพราะสารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านจริงๆจังสักที เคยฟังแต่เค้าเล่ามากับดูละครช่อง 3 รู้แต่ว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยยืมท่านเสวียนจ้าง ที่ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่อินเดีย แต่แต่งให้มีอภินิหารอ่านสนุก ก็เท่านั้น ....

    วันนี้เลยนั่งดู google กลายเป็นนั่งอ่านไป 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ไปเจอที่เค้าเฉลยว่า ทำไมไซอิ๋วคือนิยายที่ทรงอิทธิพลของจีน ไม่ใช่แค่มันแฟนตาซีเท่านั้น แต่ไซอิ๋วคือการกางพระไตรปิฎกออกมาแล้วเขียนใหม่ในมุมนิทาน

    รู้แค่ว่าพระถังคือศรัทธา จะไปชมพูทวีป ต้องมีศรัทธาก่อน พกจิตไปด้วยซึ่งจิตคนเรา ประกอบด้วย
    โทสะ - หงอคง โกรธ ,
    โลภะ - ตือโป๊ยก่าย โลภ ,
    โมหะ - ซัวเจ๋ง ความไม่รู้

    ก็แค่นั้น จน Google เจอที่เค้าอธิบายแต่ละบทแบบละเอียด ทึ่งเลยในความสามารถของคนแต่ง

    หงอคงแปลงกายได้ เหาะเหิน เดินอากาศได้ ทำอะไรก็ได้ เพราะหงอคง คือจิตคนเรา ที่เป็นลิง ไม่อยู่นิ่ง คิดไปเรื่อย แค่คุมให้ตามลมหายใจยังยากเลย ดังนั้น ถ้าเราคุมหงอคงได้ .... การไปชมพูทวีปจะง่ายขึ้น ... เป็นต้น

    และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราโกรธ - โทสะ เราจะเหมือนหงอคง แผลงฤทธิ์ พังพินาศ ราบเป็นหน้ากลอง

    แต่หงอคงแพ้อะไร ? โดนขังไว้ที่อะไร ? ใช่แล้ว แพ้ฝ่ามือยูไล โดนขังไว้ที่เขา 5 นิ้ว

    ฝ่ามือยูไล และเขา 5 นิ้ว แทน ขันธ์ 5 ต่อให้จิตแน่แค่ไหนสุดท้ายก็ไม่พ้นขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

    นอกจากนี้หงอคงยังมีกระบองวิเศษจัดการปีศาจได้ตลอด กระบองนั้นแทนปัญญา แต่ทว่า มีจิต กับปัญญา แค่นั้นมักเกิดปัญหา พระยูไลจึงประทานมงคล มารัดหัวไว้ ให้พระถังคอยดูแล มงคลนั้นก็แทน "สติ" ซึ่งมงคลเป็นรัดเกล้า 3 ห่วงคล้องกัน แทนไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา

    ปีศาจแต่ละตัว แทนกิเลสที่เราต้องค่อยกำจัดออกไป

    ตอนเจอกันครั้งแรกเห้งเจียบอกพระถังว่าจะไปชมพูทวีปผมพา อาจารย์ตีลังกาไปได้ 7 ทีถึง มามัวเสียเวลาเดินทำไมกัน ไม่เข้าใจ พระถังบอกว่าไม่ได้ต้องเดินไป

    ปริศนาธรรมข้อนี้บอกว่า จิต+ปัญญา ฟังเค้าเล่า ฟังเค้าบอก คิดเอาเองก็บอกง่าย แป๊บเดียวก็ไปถึงนิพพานละ เช่น เนี่ยคนเล่าให้ฟังอริยสัจ 4 ทางดับทุกข์ ฟังเข้าใจละ แต่จริงๆ แล้วไม่เข้าใจ ธรรมมะต้องลงมือปฎิบัติ เหมือนหงอคงบอกตีลังกาไป 7 ที มันไปไม่ถึง ต้องค่อยๆ เดินไป ศึกษาไป ปฎิบัติไป ถึงจะถึง

    โป๊ยก่าย คือศีล 8 , ซัวเจ๊ง คือสมาธิ

    ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ จึงจะพ้นทุกข์

    แต่บางครั้งปีศาจบางตัวก็เก่งเหลือเกิน ต้องไปตามเจ้าแม่กวนอิมมาช่วย เจ้าแม่กวนอิม คือ เมตตา

    ปัญญา + เมตตา จะกลายเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมชั้นสูงซึ่งปราบกิเลสได้เสมอ แต่เจ้าแม่กวนอิม มักให้เห้งเจียลองสู้จนหมดแรงก่อน ถึงมาช่วย เหมือนหากมีกิเลสควรให้ปัญญาลองขจัดดูก่อน เกินกำลังแล้วจึงให้เมตตาปล่อยวาง

    ถ้าเกินกำลังเมตตา เจ้าแม่กวนอิมช่วยไม่ไหว คนสุดท้ายที่มักมาช่วย คือ พระยูไล

    พระยูไล แทน พระอริยสงฆ์ ท้ายที่สุดถ้าปฎิบัติไม่ไหวก็ถามผู้รู้เอา .... จบแน่นอน

    ลำดับปีศาจแต่ละตัวในเรื่องก็เจ๋งมาก เช่นเมื่อเริ่มเดินทาง ก็พบโจรทั้งหก ขัดขวางไม่ให้ไป สุดท้ายเห้งเจียเลยเอากระบองตีจนตาย โจรทั้งหกคือ อายตนะ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ต้องเอา ปัญญา (ตะบอง) ฟาดให้ตายก่อนถึงเริ่มออกเดินทางได้

    แล้วก็เจอปีศาจไปเรื่อยๆ อ่านยังไม่จบ ท่าทางอีกหลายวัน

    อ้อ แต่แอบโกงมาละ เปิดดูตอนจบ สรุป ศรัทธา + ปัญญา + ศีล + สมาธิ เดินทาง กำจัดกิเลสไปจนถึงชมพูทวีป แล้วได้อะไร

    ตอนจบพระถังและคณะ มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง สายน้ำเชี่ยวกรากมาก ไม่รู้จะข้ามไปยังไง จนเจอเรือไร้ท้องเรือจอดอยู่ พระถังกังวลมาก เรือไม่มีท้องเรือจะพาข้ามฟากยังไง

    แต่สุดท้ายก็ยอมใช้เรือข้ามไป แม่น้ำเชี่ยวกรากแทนกองกิเลส เรือนั้นแทน สุญญตา ความไม่ยึดมั่นถือมั่น

    เมื่อข้ามมาแล้วก็ถึงชมพูทวีป และได้คัมภีร์มา เป็นหนังสือเปล่าหนึ่งเล่ม แทนธรรมมะ ซึ่งคือความว่างเปล่า ...นิพพาน

    แต่สุดท้ายเห้งเจียขอให้มีอะไรกลับไปจีนหน่อย เพราะคนธรรมดาคงไม่เข้าใจ เลยได้คัมภีร์มาอีกเล่มนึง เต็มไปด้วยอักษร บันทึกการเดินทาง เรียกว่า พระไตรปิฎก ... จบ

    อ่านแล้วคารวะคนแต่งเลย .... โห เก่งจัง

    ปล. เข้าใจว่ามีหนังสือแปลที่ละบททีละตัวละคร ชื่อ "เดินทางไกลไปกับไซอิ๋ว" ว่าแล้วต้องไปหามาอ่านก่อน

    ถามว่าถ้าพุทธ มีไซอิ๋ว แล้วคริสต์ละมีไหม

    ว่ากันว่าของศาสนาคริสต์ คือ นาเนียร์ ใช่แล้วที่ทำเป็นหนัง มี 7 เล่มแทนบาป 7 ประการ

    cr: นายทศกัณฐ์ ฝาก เพลินจิต

    จาก...เพจอินดี้:D
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpeg
      images.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      41.7 KB
      เปิดดู:
      21
  17. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    การเพ่งที่กายลงแห่งเดียวตลอดทุกอิริยาบถ ตามหนังสือมุตโตทัยก็เป็นการถูกต้องดีแล้ว เพราะมีสติอยู่กับกาย ตรงกับคำที่พระมหากัสสปะกล่าว และท่านก็สมาทานว่าเราจะพิจารณากายเป็นอารมณ์ ทั้งกายนอกและกายใน กายใกล้ให้เป็นสักแต่ว่าดิน น้ำ ไฟ ลม มันจะรวมหรือไม่รวมก็เอากายเป็นตัวประกัน

    เมื่อมันยังไม่หน่ายไม่คลายกำหนัดตราบใดก็จำเป็นจะได้รื้อกายให้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นของปฏิกูล น่าเกลียดโสโครก พร้อมทั้งมีโรคต่างๆ เกิดขึ้นสารพัดโลกจิปาถะ พระพุทธศาสนาจึงยืนยันว่ากายนี้มีทุกข์มากมีโทษมาก เหล่าอาพาธต่างๆ ย่อมตั้งอยู่ในกายนี้ โรคในตา โรคในหู โรคในลิ้นโรคในฟัน โรคในจมูก โรคในปาก ทวารหนักทวารเบา โรคกลากเกลื้อน ฝีทุกชนิด เหล่านี้เป็นต้น

    การพิจารณาอย่างนี้เป็นศีล สมาธิ ปัญญากลมกลืนกันด้วย คนเราถ้ารู้เท่าทันกายแล้วการหลงหนังหุ้มก็จะเบาลง และเป็นธรรมดาอยู่เองที่มีอารมณ์ต่างมากระทบจิต สิ่งที่มากระทบจิตย่อมเป็นยาวิเศษเป็นเหตุให้ระอาการมากระทบ ผู้ที่ราคะโทสะไม่กระทบจิตนั้นเป็นญายะปฏิปันโนคือพระอนาคามีนั่นเอง

    เราก็ต้องพิจารณากายและใจให้ลงสู่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตากลมกลืนกันอยู่ในตัว ขณะเดียวพร้อมกับลมออกเข้าก็ได้ หรือพร้อมกับกรรมฐานที่ทรงอยู่ซึ่งหน้า กรรมฐานที่ทรงอยู่ซึ่งหน้าซึ่งเป็นเป้าเดิมนั้น ที่เราตั้งไว้เฉพาะปัจจุบันซึ่งมีสติปัญญาสมดุลกันอยู่ขณะเดียวไม่ได้ส่งส่ายหนีจากเป้าเดิม เป้าเดิมคืออะไรเล่า คือกายและใจที่กลมกลืนกันอันเราตั้งไว้ และที่ไม่สงสัยในคำสอนและข้อปฏิบัติของครูบาอาจารย์นั้นก็เป็นการถูกต้องแล้ว...

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    _/|\_ _/|\_ _/|\_
     
  18. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    65R2uFBN.jpg
     
  19. อนัตตา

    อนัตตา เล่นกับเงา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +1,822
    ขึ้นชื่อว่าคน จะมียศตำแหน่งอะไร ก็คน คำว่า"คน" ก็คือ...คน จะเอาอะไรกับคน ดีก็คน ชั่วก็คน สุดท้าย...ดีก็ตาย ชั่วก็ตาย

    คนทุกข์ เพราะดิ้นรนตามกิเลสทั้งนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ปีนี้ว่าจะลองปฎิบัติ แบบปัญญา

    ครูก็ให้เห็น สัมปชัญญะ ของกาย แสดงว่าต้องใช้การฝึกสติเป็น ฐานกำลัง

    เลยจะทบทวนหมวดกายทั้งหมด คุณ nouk เจอคำสอนไหนน่าสนใจ ลองเอามาวางไว้มั่งเน้อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...