ไฟล์เสียง-พิมพ์ถอดความ-หลวงพี่เล็ก 14 เม.ย 2549 ที่เกาะพระฤาษี ยาว 50 นาที

ในห้อง 'กรรมฐาน ๔๐' ตั้งกระทู้โดย น้ำมนต์, 17 พฤษภาคม 2006.

  1. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    [music]http://www.palungjit.org/buddhism/audio/attachment.php?attachmentid=2625[/music]


    ขอขอบคุณ น้องคำอ้นเป็นอย่างสูงนะคะ ที่ช่วยตรวจสอบ จากที่ฟังไม่ค่อยชัด
    แต่ถ้าหากว่ายังมีข้องผิดพลาดในการพิมพ์บ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ

    แนบไฟล์เต็ม จากเวิร์ด มาด้วยค่ะ
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  2. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ไฟล์เสียงหลวงพี่เล็ก 14 เม.ย 2549 ที่เกาะพระฤาษี

    ..........
    ถาม .................ถามเรื่องกสิณนะครับ หลวงพี่ .. กสิณแสงสว่างนี่ ปรกติที่ฝึกกันหนิเขาฝึกกันยังไงครับ?

    ตอบ ..................กสิณแสงสว่าง

    ถาม ..................ครับ

    ตอบ ..................สมัยก่อนใช้แสงสว่างที่ลอดทะลุหลังคามา ปัจจุบันนี้ง่ายใช้ลูกแก้วก็ได้ พระแก้วก็ได้

    ถาม................... แล้วที่หลวงพ่อบอกว่าต้องทำเป็นแก้วประกายพฤกษ์ นี่หมายความว่ายังไงครับ?
    ตอบ ...................มัน..มันพอภาพกสิณมันติดตา แล้วคราวนั้น เราก็ประคับประคองรักษาอารมณ์ไปเรื่อยแล้วมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยตามสมาธิของเราที่ลึกไป ทุกที ทุกที ..พอสมาธิมันลึกถึงที่สุดคือเป็นฌาน 4 เนี่ย ภาพกสิณมันจะสว่างเจิดจ้าเหมือนกะเรามองดวงตะวัน เมื่อถึงอีตอนนั้น เราก็ลองอธิษฐานขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ให้เล็กลงได้ ให้มาได้ ให้ไปได้
    ถาม ตอนฌาน 4 ใช่มั๊ยครับ?

    ตอบ ...................ไม่..ตอนนั้นเราจะไม่รู้ หรอก เพราะถ้าเราจับภาพกสิณเราจะไม่ได้สนใจอารมณ์ของสมาธิ แต่ว่ามันจะเป็นขั้นตอนของสมาธิ ทุกระดับมันเริ่มตั้งแต่เป็น อุคคหนิมิตติดตานะ มันจะเป็นอุปจารสมาธิ
    ...
    งั้นบางคนก็ทำ กสิณไปเรื่อย แต่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทรงฌานไปเต็ม ๆ แล้ว ..เพียงแต่ว่าเรื่องของกสิณเนี่ย มันหลายคนไปเข้าใจว่านั่งจ้อง ใช่มั๊ย ? ถ้าสมมติว่าเราใช้นี่เนี่ย เรามองปุ๊ป แล้วหลังตาลง เรานึกถึง ก็นึก ๆ แป๊ปนึง... และก็คนไม่เคยชินนะนึกสักแป๊ป แล้วหลับตาลง นึกถึงแล้วหายไป ก็ลืมตา มองใหม่ แล้วหลับตาลงนึกถึงพร้อมกับ ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เป็นหมื่น เป็นแสนครั้ง ..ไม่ใช่ สามครั้งไม่ได้กูเบื่อแล้ว <O:p

    ..พอมันเริ่มหลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น ไปไหนก็ได้ อีคราวนี้นิมิตกสิณที่เราตั้งไว้ ก็มีความจำเป็นน้อยลงมันเหลือความจำเป็นตรงที่ว่าประคับประคองภาพกสิณให ้อยู่กับเราได้ยังไงอีตอนนั้นมันยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอ่อนอีกอ่ะ พลาดเมื่อไหร่ ตกหลุดมือตาย ต้องเริ่มต้นใหม่ ..เพราะนั้นกสิณมันดีอยู่อีกอย่าง คือ มันทำให้สติของเราสมบูรณ์ เพราะว่ามันเป็นของหยาบมีนิมิตเป็นเครื่องโยง ....................ทั้งวัน จะทำอะไรก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน อะไรก็ตามถึงเวลา มันต้องแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งนึกถึงภาพกสิณไว้เสมอ อีตอนนั้นกิเลสมันโผล่ไม่ได้หรอกเพราะว่าสติสมาธิของเราไปจดจ่ออยู่กับภาพกสิณตลอดเวลา <O:p

    เป็นเรื่องดี แต่ว่า... กสินนี่พอทำแล้วมันจะสร้างให้เกิดฤทธิ์เกิดเดช เกิดอะไรขึ้นได้ พอเริ่มทำอะไร เกินชาวบ้านเขาได้ คน.. ถ้าไม่มองเราว่าเป็นผู้วิเศษ ก็จะว่าเราบ้า มีสองอย่าง ถ้าเขาว่าเราบ้า มันก็จะกระจาย ความคิดนี้ไปเรื่อย แล้วคนรอบข้างก็จะว่าเราบ้า อีตอนนั้น ถ้าทนเขาพูดไม่ได้ เราก็จะเลิกทำความดี แต่ถ้ามัน เห็นเราเป็นผู้วิเศษ มันก็จะมากัน หัวไม่วาง หางไม่เว้น เหนื่อยตายห่า เหมือนกัน ..... เพราะงั้นทำได้แล้วให้ปิดตัวเอง พยายามอย่าไปยุ่งกับคนอื่น จนกว่ามันจะผ่านขั้นตอนสำคัญ ก็คือว่า สามารถทรงในลักษณะว่า ต้องการเมื่อไหร่ มันปรากฏได้ ใช้งานได้ทันที แล้วอีคราวนี้จะไปพบปะ พูดคุยกับใครมันก็ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงตอนนั้นละก็ ..มันจะหลุด<O:p

    แล้วเรื่องของกสินเนี่ย อย่าเป็นคนหลายใจ เคยทำกองไหน ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำกองนั้นให้สำเร็จไปเลย ถ้าหากว่าเราทำยังไม่สำเร็จ แล้วไปอ่าน เออ....คุณสมบัติของกองนี้ดี เราก็เปลี่ยนไปทำอีกกอง ทำกองนี้ดี เราก็เปลี่ยนไปทำอีกกอง ถ้าเกิดเปรียบ ก็เหมือนกับว่า ขุดบ่อลง จวนจะถึงน้ำแล้ว แล้วเราก็ เออ...ตรงนั้นดี แล้วเราก็ไปเริ่มขุดใหม่ แล้วก็ตรงโน้นดี เราก็ไปเริ่มขุดใหม่ แล้วเมื่อไหร่มันจะได้น้ำกินเสียที<O:p

    กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง ไม่มีอะไรยาก ถ้าเราตั้งหน้า ทำให้มันได้ผล กองหนึ่ง กองอื่น อารมณ์ใจมันเท่ากัน ไม่เกินฌาน ๔ ต่อให้เป็นสมาบัติ ๘ ในอรูปฌาน มันก็ใช้กำลังของ ฌาน ๔ เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการของการทรงฌาน เท่านั้นเอง ถ้ามันเต็มที่ได้อันหนึ่ง อันอื่นมันจะง่าย แต่ถ้ามันไม่ได้ซักที มันยากทุกอัน........................... แล้วจะมี.......<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  3. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม..............แล้วหลวงพี่ครับแล้วที่เคยอ่านประวัติมาหลวงพ่อปานจะสอนหลวงพ่อท่านนะครับว่า... ให้ทรงทำวิปัสนาด้วยกสินด้วยมองภาพพระอะไรอย่างเนี้ยครับอย่างนี้มันเป็นรวมหลายกรรมฐานเหรอครับ?

    ตอบ..............แรกๆเอาอย่างเดียวก่อนหลังจากที่มีความคล่องตัวแล้วค่อยเอาหลายๆอย่าง มาประยุกต์กัน ถ้าหากว่าคุณไปฟัง ไอ้ที่ให้ ทางเวบพลังจิตเขาไปน่ะ จะเห็นว่าบางตอนนั้นน่ะ เกือบ ๔๐ กองนั่นน่ะ มาอยู่ในตอนเดียวกันหมดเพียงแต่คุณแยกออกไหม? ไอ้คนที่เข้าใจมันฟังไปก็ โอ้โห..... แต่จริงๆ กรรมฐานของพระพุทธเจ้า ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าประยุกต์เป็น มันรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้นะ............. ... ลองย้อนกลับไปฟังใหม่ แล้วก็ไล่ไป... ตั้งแต่กสิน ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อสุภกรรมฐาน ๑๐ อรูปฌาน ๔ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุวัฏฐาน อยู่ในนั้นหมด เพียงแต่เราจะแคะมันออกหรือเปล่า ไอ้นั่นน่ะให้หมดตัวแล้ว ตายตอนนี้ ตูก็ไม่เสียดายแล้วคำพูดมีหมด<O:p

    ถาม .................อย่างนี้ไม่ขี้เกียจแล้วครับ...สอนสั้นๆ<O:p

    ตอบ................. ปีนั้นมันบังเอิญว่า.. มันจะต้องไปปลุกปล้ำกับวัดทองผาภูมิ ที่มันหมดสภาพลง แล้วมีพระมีเณร ท่านตามเราไป ยอมลำบากลำบนทำงาน อยู่ด้วยกัน ก็เลยคิดว่า เออ ... มันควรจะตอบแทนอะไรเขาบ้าง ก็เลยสอนทุกเช้าเลย ให้ครบ ๔๐ กองเลย ปัจจุบันนี้อยากจะเชื่อว่า พระที่สอนกรรมฐานได้ครบ ๔๐ กอง ในประเทศเรามีน้อยมาก คราวนี้พอเขาเรียนไม่ครบ พอถึงวาระ ถึงเวลา เขาก็มักจะไปปฏิเสธของคนอื่น ไอ้ประเภท ..ตัวเองกินผัดกระเพราอยู่ แล้วไปบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวใช้ไม่ได้ มันไปค้านเขา โดยที่คิดว่าของตัวเองดีอยู่อย่างเดียว หลวงพ่อท่านสอนเราเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดลักษณะนี้ ท่านถึงได้สอนครบทุกอย่าง<O:p

    เอ้า...ต่อไป คำถามที่หนึ่งผ่านไป คนละหนึ่งคำถาม ถ้าสละสิทธิ์ก็กลับได้เลย<O:p

    ถาม ..................(หัวเราะ).........<O:p

    ถาม ..................มรณัสติเนี่ยถึงฌาน ๔ แล้วเป็นยังไงครับ?
    <O:p
    ตอบ ถึงเวลาที่เราพิจารณาจนเป็นปกติ แล้วว่าเรามีสภาพตายแน่นอน คนและสัตว์ทั้งหมด ก็ตายเหมือนกัน พออารมณ์ใจมันยอมรับแน่นอนตรงนี้แล้ว เราจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาต่อ มันจะเป็น ฌาน ๔ อีตรง อาศัยอาณาปานสติมาช่วย<O:p

    ถาม.................. อาศัยการตัดร่างกายรึเปล่า? แล้วพรหมวิหาร ๔ ละครับ?<O:p

    ตอบ................. พรหมวิหาร ๔ ข้องใจตรงไหน?
    <O:p
    ถาม.................. ถ้าเกิดถึงฌาน ๔ จะเป็นยังไง?<O:p

    ตอบ ..................ก็แบบเดียวกันน่ะแหละ พอเราแผ่เมตตาจนกระทั่งเต็มความรู้สึกเรา เราก็จับอารมณ์ภาวนาต่อ แล้วก็จะทรงอยู่กับเราตลอด<O:p</O:p

    ถาม..................ใช้.. อานาฯ ทรงใช่ไหมครับ?<O:p</O:p

    ตอบ ..................กรรมฐานทุกกอง ถ้าไม่มีอาณาปานุสสติเป็นพื้นฐาน มันทำเป็นฌาน ๔ ไม่ได้ ปกติ มันจะเป็นอุปจารสมาธิ หรือบางอย่างนี่มันมีภาพ เป็นเครื่องโยง ก็เป็นปฐมฌานได้ แต่เนื่องจากว่า โบราณาจารย์ ที่ท่านฉลาด โดยเฉพาะ สายของเรา หลวงปู่ปาน หลวงพ่อ ท่านประยุกต์ รวมกันมา ก็เลยว่า เอา อานาปานุสสติมาเสริม แล้วสามารถ ทำเป็น ฌาน ๔ ทรงเป็น สมาบัติ ๘ ได้หมดทุกกอง<O:p</O:p

    ถาม ..................เงียบ มาเที่ยวเฉยๆ เหรอ กลับไปนี่เสียดายเด้อ คิดไม่ออก<O:p</O:p

    ตอบ................... มันมีปัญหาที่ว่าอีตอนก่อนจะมาเนี่ย ถึงได้แนะนำบางคนว่า พอนึกอะไรได้ให้จดไว้ พอมาอยู่ตรงนี้แล้วคำถามมันจะหายหมด ไอ้ที่มันหายหมด มันคือมันเหมือนกับว่า เหมือนคนที่มันเดินตากแดดมาเป็น สิบๆ กิโลฯ มัน ร้อน ไอ้โน่นก็อยากได้ ไอ้นี่ก็อยากกิน ร่มก็จะเอา น้ำเย็นก็จะเอา พอมันเข้าที่ร่มแล้วมันลืมเกือบหมด คือมันพ้นจากสภาวะนั้นแล้ว อีคราวนี้ของเรามันอยู่ในสภาวะคล้ายกัน<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  4. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม ..............คำถามในเวบที่สงสัย ก็ได้ เห็นมีคนเขาถามว่า ทำไมคนเราถึงจำอดีตชาติไม่ได้ ระลึกชาติไม่ได้........<O:p</O:p

    ตอบ............. ถ้าหากว่าจำอดีตชาติได้ หรือว่าจำนรกได้ จำสวรรค์ได้ การทำความดีความชั่วของเขาจะไม่ได้เกิดจากสันดานที่แท้จริง แต่มันทำเพราะโดนบังคับโดยปริยาย เห็นนรกแล้วกลัว ทำความดีเพราะกลัว เห็นสวรรค์แล้วชอบ ทำความดีเพราะอยาก เพราะฉะนั้น พอระลึกได้เมื่อไหร่ มันก็แปลว่าไม่ได้ทำความดีจากน้ำใสใจจริงของตัวเอง แต่มันทำเพราะโดนสภาพบังคับ นั้นมันก็เลยจำเป็น จำเป็นจะต้องใช้ระบบ ลบ ข้อมูลออกจากสมอง ถึงวาระ ถึงเวลา มันจะได้ทำของมันเอง ให้มัน เลือกของมันเอง<O:p</O:p

    ถาม................ ระบบที่ลบนี่ลบมาจากตรงไหนค่ะหลวงพี่?<O:p</O:p

    ตอบ ................ถ้าหากว่าเป็นของจีนนี่ เขาบอกว่าต้องไปดื่มน้ำชาของแม่เฒ่าซะก่อน ของไทยก็ต้องไปกินไอ้ ลูกลืม <O:p</O:p

    ถาม.................ค่ะ ลูกลืม.... ใช่ เป็นขนๆ ใช่ไหมคะหลวงพี่? แล้วจะให้กิน..สมมติว่าเวลาเราเข้าแถว..<O:p</O:p

    ตอบ .................ไม่ใช่หรอก ไอ้ระบบที่มันลบเนี่ย มันลบตรงที่เราเกิดไปเป็นชาติอื่นนานๆ พอเราเกิดเป็นอันอื่นนานๆ ถึงเวลาย้อนกลับมาเกิดเป็นคน มันจะจำไอ้ตอนที่เป็นคนเดิมไม่ได้ แต่ถ้าหากว่า ตายจากคนปุ๊บ เกิดเป็นคนเลย ยังจำได้ เพราะนั้นจะเห็นว่า เอ๊ะ...ทำไมบางคนระลึกชาติได้ บางคนระลึกไม่ได้ ไอ้ที่ระลึกชาติได้ก็คือ ตายจากคนปั๊บ เกิดเป็นคนใหม่ หรือไม่อีกที ก็ต้องมีพื้นฐาน สมาธิที่ดีพอ แล้วก็ทรงทิพจักขุญานได้ ก็จะระลึกชาติได้ <O:p</O:p

    ถาม.................. หลวงพี่ครับ แล้วในกรณีสมัยพระพุทธกาลที่รู้สึกว่าเคยไปปรามาสพระแล้วตายไปแล้วไปเกิดเป็นหมาแล้วจำชาติที่เคยเกิดเป็นคนได้แล้วทีนี้มันเป็นกรณีไหน<O:p</O:p

    ตอบ................. เอาใหม่อีกที<O:p</O:p

    ถาม.................. ที่ในสมัยพระพุทธกาล ที่รู้สึก จะตายจากความเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นหมา แล้วความเป็นหมา ระลึกชาติ ความเป็นคนได้ครับ<O:p</O:p

    ตอบ.................ก็.. ไอ้ตอนที่เขาเป็นหมาเขาระลึกชาติไม่ได้ แต่ว่าที่มันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนบอก ถึงได้รู้ว่า ตายจากนายโปตุหะลิกะแล้วไปเป็นหมา แล้วจากเป็นหมาพอให้การสงเคราะห์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เลยไปเกิดเป็นโฆษกเทพบุตร ตัวมันเอง มันเล่าไม่ได้หรอก ผ่านการประเภท บอกเล่า ของพระพุทธเจ้าท่าน<O:p</O:p

    ถาม...................แล้วมีคนหนึ่งที่ลูกเจ้าคุณนรฯ เขาสงสัยว่า ช่วงนี้จิตเขาตกน่ะค่ะ แล้วเขาจะทำยังไง ยายตอบไปก็กลัว กลัวเค้าจะหาว่า(ฟังไม่ชัด) จะให้หลวงพ่อตอบดีกว่าค่ะ<O:p</O:p

    ตอบ ................ก็ว่ามา?<O:p</O:p

    ถาม .................เขาบอกว่าแต่ก่อนน่ะ เขาฝึกสมาธิ แล้วเขาฝึกมโนฯ น่ะ เขาฝึกได้ดีมากครับ พอมาช่วงหนึ่งแล้วเขาจิตตก เข้าไปจุดเดิมไม่ได้ อะไรอย่างเนี้ยครับ เป็นเพราะอะไร แล้วแก้ยังไงครับ?<O:p</O:p

    ตอบ ................มันตอบตัวเองสิ ก็เป็นเพราะมันตก <O:p</O:p

    ถาม.................อ้าว....(หัวเราะ)<O:p</O:p

    ตอบ..................จริงๆ เราขึ้นบันไดไปถึงยอดเขา มองอะไรก็เห็น แล้วทีนี้กลิ้งลงมาอยู่ตีนเขา มันจะไปเห็นอะไร ต้องพยายามตะกาย กลับขึ้นไปใหม่ แต่เนื่องจากว่า กำลังใจของเราที่ผ่องใสจากกิเลสมานาน พอถึงวาระ ถึงเวลากิเลสมันตีกลับเนี่ย มันงอกงาม อย่างรวดเร็ว จนมันท่วมทับ ความผ่องใสลงไปเสีย อีคราวนี้ ที่มันงอกจนท่วมฟ้า จะฉุดมันออก มันยาก ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างสูงเลย ที่เคยเปรียบเทียบว่า มันเหมือนเราว่ายทวนน้ำมา แล้วเราปล่อยลอยตามน้ำ ถึงเวลาก็ว่ายทวนใหม่ พอหลายๆ รอบเข้า มันจะล้า แล้วมันจะยากขึ้นไปเรื่อยๆ <O:p</O:p

    แต่จริงๆ มันไม่ใช่ยาก ไอ้มันยากเนี่ย มันยากตรงที่ว่าเรา ไปอยากมัน อยากให้เป็นเหมือนเดิม อยากให้ได้เหมือนเดิม ตัวอยากหนะ ทำให้เราทำเกิน ลดกำลังใจลงมานิดหนึ่ง วางกำลังใจให้เป็นอุเบกขา ตัดตัวอยากนั้นออกเสีย คิดว่าเรามีหน้าที่ทำ ส่วนผล จะเกิดอย่างเดิมหรือไม่ก็ช่างมัน ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้ได้ มันจะได้เร็ว ถ้าทำกำลังใจตรงจุดนี้ไม่ได้ก็ลำบาก<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  5. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม................ หลวงพี่ครับ อุเบกขา กับขี้เกียจนี่มันต่างกันยังไงครับ<O:p</O:p

    ตอบ ...............ต่างกัน อุเบกขานี่ มันวางเฉยด้วยความมีปัญญา แต่ขี้เกียจนี่มันปล่อยวางเพราะไม่อยากทำ<O:p</O:p

    ถาม ...............เพราะว่าผมเปรียบเทียบตัวเอง คิดๆ ดูมันก็เหมือนกับขี้เกียจประมาณนี้ครับ<O:p</O:p

    ตอบ ...............สังเกตุว่า ถ้าหากว่าของเรา เราทำไป เรื่อยๆๆ คือไอ้เรื่องของการปฏิบัติเนี่ย มันมุ่งหน้าไปเรื่อยเหมือนเต่ามันเดิน เต่ามันเดินช้า แต่ใครเคยเห็นเต่ามันเดินถอยหลังบ้าง<O:p</O:p

    ถาม ...............ไม่เคยครับ<O:p</O:p

    ตอบ ..............ไม่มีหรอก เจออุปสรรค เจออะไร ตกใจขึ้นมา มันหด ยืดออกมาใหม่ ไม่มี กูเดินต่อ ถ้าใครเคยเห็นเต่าเดินถอยหลัง บอกทีจะให้รางวัล ไม่มี..... เพราะนั้นเราต้องใช้นิสัยแบบเต่า ขึ้นหน้าไปเรื่อย ถึงเวลาเจออุปสรรค เจออะไร หดไว้ก่อน หรือไม่ก็เดินอ้อมมันไป หรือไม่ก็เล่นอย่างเต่า หดขา พัฒนา เอาไอ้ โฟร์วีล ขึ้นมา เคยเห็นมันขึ้นเขาไหมล่ะ มันจะมีไอ้งาแซงอยู่สองอัน ถึงเวลามันยืดออกมาค้ำ พอมันค้ำเสร็จมันยก ไอ้ขา สองขาหลังขึ้นได้ มันก็ตะกายต่อ แต่ถ้ามันไม่มีไอ้ตัวนั้น มันต้องใช้สองขาหลังค้ำ มัน ไม่รู้จะเอาอะไรช่วยให้มันขึ้นต่อ มันพัฒนาตัวเองได้ถึงขนาดนั้น<O:p</O:p

    อีคราวนี้พอมันเป็นในลักษณะนั้นก็คือว่า เราจะต้องไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเราไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ แม้จะไปช้า ไม่ถือว่าขี้เกียจ แต่เรารู้กำลังของเราเอง เราต้องประคับประคองมัน ว่าตัวพอดีอยู่ตรงไหน ไอ้ตัวพอดีของโน่น น่ะ แชมป์เปี้ยน ร้อยเมตร โอลิมปิก ก็คือ ๙.๘ วินาทีใช่มั้ย แต่ไอ้ของเรานี่มันอย่างน้อยๆ มันก็อาจจะซัก ๒๐ วินาที ไม่งั้นมันจะเหนื่อย ตับแตกตายเอง เพราะนั้นตัวมัชฉิมาปฏิปทา ความพอดีของแต่ละคน มันจะไม่เท่ากัน มันขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา และบารมีที่สั่งสมมา<O:p</O:p

    เคยไปนั่งกรรมฐานแข่งกับเขา ๓ ชั่วโมงก็ได้ ๕ ชั่วโมงก็ได้ เราไปกับเขาได้ แต่กำลังใจ มันจะมีคุณภาพอยู่พักหนึ่ง ซักครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงหนึ่ง ไอ้ที่เหลือนั่งด่าแม่มันตลอด แม่งจะนั่งกันไปถึงไหนว๊า ไอ้ห่า...เมื่อไหร่มันจะเลิกกันซะที เจ็บตูดจะตายห่า ด่ามันไปเรื่อย เพราะฉะนั้นไอ้ตัวพอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน แล้วอย่างเรานี่ เรารู้ชัดเลย ว่าอย่างลุงพุฒ หรือไม่กระทั่งอย่างท่านปู่ นายบัญชี ท่านบันทึกตอนกำลังใจมันสูงสุด มันเหมือนกับการบันทึกอุณหภูมิของพวกป่าไม้ฯ พวกกรมอุตุฯ ปื๊ด......วันนี้ ๓๖ องศา แล้วหลังจากนั้นมันจะสูงหรือต่ำไม่สน ๓๖ อย่างเดียว<O:p</O:p

    เพราะนั้นถ้าหากว่ากำลังใจเราดีสูงสุดแค่ไหนเนี่ย เราใช้วิธีว่า เอาเสมอตัวกับกำไร อย่าไปขาดทุน รักษา ประคับประคองอารมณ์ของเราให้อยู่ในด้านดีเอาไว้ แต่ว่ารักษาในลักษณะที่ว่า เราอาจจะทำโน่น ทำนี่ไปเรื่อย ประคองไว้ อย่าให้ศีลขาดก็พอ แล้วเสร็จแล้วพอมีเวลาของเราขึ้นมา พอกำลังใจอยากภาวนา เราค่อยมาเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่กำลังใจมันดิ้นรน ส่งส่ายจนไม่เอาแล้วก็ไปบังคับให้มันภาวนา การปฏิบัติให้เรารู้จักประคองมันไว้ เอาแค่เสมอตัว กับกำไร มันจะก้าวหน้ามาก แต่ถ้าเราไปตื้อกับมัน มันเหมือนกับคนโหมทำงาน แล้วไปโหมทำงานอะไรก็ไม่ว่า ไอ้งานที่ตัวเองเริ่มไม่ชอบแล้ว มันก็จะหมดกำลังใจ แล้ววันต่อไปมันใจไม่เอาแล้ว ใจมันเริ่มฟุ้งซ่าน แล้วหลังจากนั้นก็จะคุมมันได้ยาก<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  6. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม ................แล้วมีอีกข้อที่เพื่อนๆ เขาคุยกัน ก็คือศีลข้อที่ ๓ น่ะครับ คือ ถ้าเกิดไม่ได้แต่งงาน แต่ว่า อยู่ด้วยกัน แต่ก็ดูแล.....เป็นสามี ภรรยา........<O:p</O:p

    ตอบ ................ถ้าพ่อแม่อนุญาต ถึงจะได้ ถ้าไม่อย่างนั้น คุณรับผิดชอบชีวิตเขาดีขนาดไหนก็ตาม ผิดศีล พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ ๑๕ - ๑๖ หัวข้อ ไอ้ ๑๕- ๑๖ หัวข้อนี่ถึงขนาดท้ายๆ ว่าเป็นผู้มีธรรมคุ้มครอง บรรลัยเลย มีพ่อปกครอง มีแม่ปกครอง มีพี่ปกครอง มีน้องปกครอง มีญาติปกครอง มีพระราชาปกครอง เป็นบุคคลอันผู้อื่นจองแล้ว ด้วยพวงมาลัย อันนี้ก็ต้องประเภทที่เรียกว่าเขาหมั้นเอาไว้อย่างนี้ จนกระทั่งท้ายสุด ไม่มีใครปกครอง ท่านล่อ มีธรรมปกครอง ตายเลย ไม่รอดซักกรณีหนึ่ง เพราะฉะนั้น อย่างน้อย ต้องให้ผู้ใหญ่เขาอนุญาต หรือว่าถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้ใหญ่ เขาอยู่ตัวคนเดียว หาญาติไม่ได้ มีลูก ก็ต้องขออนุญาตลูก<O:p</O:p

    ถาม ................อ๋อ อย่างนั้น ข้อ ๓ ยังไงก็ต้องขออนุญาต ใช่ไหมครับ<O:p</O:p

    ตอบ ................ยังไงก็ต้องให้เขาอนุญาต <O:p</O:p

    ถาม .................แล้วอย่างที่ มีธรรมปกครองนี่คือว่ายังไงคะ?.....<O:p</O:p

    ตอบ ................คืออยู่ในลักษณะที่ว่า อย่างน้อยเราอยู่ในแวดวง ที่รู้ธรรม ก็คือว่าเป็นบุคคลที่เข้าใจว่า ศีล มีสภาพเป็นยังไง ในเมื่อเราเข้าใจว่าศีล มีสภาพเป็นยังไง ก็คือเรามีธรรมปกครอง ถ้าบุคคลอื่น ล่วงเมื่อไหร่ก็คือศีลขาด<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  7. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม .................ทำไมพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนประเทศอื่น ............ทำไมจึงมาถึงไทย<O:p</O:p

    ตอบ ...............มาถึงไทยเพราะหลวงปู่โสณะ กับหลวงปู่ อุตตระ ท่านแบกใส่บ่ามา ถ้าไม่เชื่อย้อนกลับไปดู พศ. ๓๗๕<O:p</O:p

    ถาม...............พระพุทธเจ้าขึ้นหลังเต่ามารึเปล่าครับ<O:p</O:p

    ตอบ ...............พูดเล่น มันเหมือนกับฝรั่งเขาสอนที่อเมริกา แล้วเราดันไปเรียนเอาความรู้เขาได้ยังไง เขาเอามาเผยแพร่ต่อ พอมันแพร่มาถึงเรา เราก็รับใช่ไหม<O:p</O:p

    ถาม ...............แล้วพระแท่นดงรังละคะ หลวงพ่อ ที่ว่าเป็นที่ปรินิพพานของ...........<O:p</O:p

    ตอบ ..............ไม่ใช่ พระแท่นดงรังเป็นสถานที่ ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมา แต่ไม่ใช่ที่ปรินิพพาน แต่ว่าสาระมันไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า ใช่หรือไม่ใช่ มันอยู่ตรงที่เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าเราระลึกถึง ต่อให้สถานที่นั้นไม่ใช่ แต่เรานึกถึงท่าน ก็จัดเป็นอนุสสติ แต่ถ้าสถานที่นั้นใช่ เรานั่งเฝ้าอยู่ทุกวัน แต่ไม่เคยนึกถึงพระพุทธเจ้าเลย ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นว่า สถานที่ ที่มันเหมาะสม อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มันใกล้เคียงความเป็นจริง เขาบอกว่าใช่ เราไม่จำเป็นต้องไปเชื่อ หรือไม่เชื่อตรงนั้น แต่ว่าขณะที่เรากราบไหว้ บูชานั้นเราบูชาอะไร เราระลึกถึงอะไร สาระอยู่ตรงนี้ <O:p</O:p

    ถาม................ เพราะว่ามีพี่คนหนึ่งเขาไปปฏิบัติธรรมที่นั่นแล้วเค้าเห็นนิมิตพระพุทธเจ้าตอนที่ท่าน..........เขาเรียกอะไร ? ถวายพระเพลิง..........ก็จะเห็นเป็นเปลวไผ เปลวๆ............<O:p</O:p

    ตอบ...............การที่เราเห็นน่ะ เห็นจริงๆ แต่เรื่องที่เราเห็นไม่แน่ว่าจะจริง ในเมื่อ ใจเรายึดเกาะอยู่ตรงนั้น ท่านก็แสดงให้เห็น ถึงได้บอก บอกว่าไอ้เรื่องที่เราเห็น เห็นจริง แต่ว่า สิ่งที่เราเห็นน่ะ ไม่แน่ว่ามันคืออะไร เคยยกตัวอย่าง เห็นคนเขาไล่ฆ่า ไล่ฟันกัน เราก็ฉวยมีด ฉวยไม้ไปช่วย เดี๋ยวก็โดนเขารุม ตื้บ ตายห่า เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่ แล้วเราเห็นเขาไล่ฆ่ากัน มันจริงหรือเปล่าล่ะ เราเห็นจริงๆ แต่เรื่องที่เราเห็นมันใช่ไหม? เพราะนั้นมันต้องใช้สติสัมปชัญญะให้ดีด้วย<O:p</O:p

    เรื่องของนิมิตทุกอย่างเนี่ย ถ้าหากว่าปฏิบัติไปถึงจุดท้ายๆ มันจะเหลือคาถาอยู่คำเดียว เหมือนๆ กันหมด คือ กูไม่เชื่อ ไอ้ไม่เชื่อเนี่ย มันไม่ได้หมายความว่าเราปรามาสพระรัตนตรัย แต่เราไม่เชื่อ ก็คือรั้งกำลังใจไว้ในจุดที่ว่า สิ่งที่เรารับรู้มาเนี่ย เรารับไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเกิดขึ้นตามนั้น ก็จะน้อมใจเชื่อ แต่ว่าครั้งที่ ๑ ใช่ ครั้งที่ ๒ ใช่ ครั้งที่ ๓ ก็ยังไม่แน่ว่าจะใช่ บรรดา ผู้ที่ได้ทิพจักขุญานแล้ว ตอนหลังนี่เป๋ไปเยอะ เพราะไปน้อมใจเชื่อทีเดียว อย่างท่านชาติชายนั่น น่าเสียดายที่สุด น่าเสียดายที่สุดก็เพราะว่า ตอนหลัง ท่านไปน้อมใจเชื่ออย่างเดียว เขาดึงออกนอกทางนิดเดียวเท่านั้นล่ะ อาตมายืนยันว่า มารกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว มันสำคัญตรงก้าวสุดท้าย ที่เขาพาเราเลี้ยวไปทางไหน <O:p</O:p

    ดังนั้นไอ้ที่เขาเสียไปน่ะ ไปเปิดดูบันทึกของเขา เขาบันทึกเอาไว้ว่า วันนี้พระบอกว่า ระยะเวลาของการเข้าถึงมรรคผลใกล้เข้ามาแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้อง กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งเร่งปฏิบัติมากเท่าไรยิ่งจะได้ผลเร็วเท่านั้น มีตรงไหนผิดบ้าง .................. เร่งปฏิบัติเท่าไร ได้ผลมากเท่านั้น ตรงเนี้ย ผิด แล้วมันผิดแบบไม่น่าผิด ไอ้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมา ใช่ แล้วมาไอ้บรรทัดสุดท้าย ก็เลยจะไม่เฉลียวใจ จะโดนมันหลอกตรงนี้ อย่าลืมว่า ถ้าหากว่าคุณเริ่มเดินทางตรงนี้ คุณหันผิดองศาหนึ่ง หนึ่งร้อยกิโลข้างหน้า คุณจะห่างเป้าหมายเท่าไหร่ องศาเดียว ร้อยกิโลข้างหน้า คุณห่างเป้าหมาย หลายร้อยเมตร<O:p</O:p

    ดังนั้น นักปฏิบัติทุกคน พอเริ่มเข้าถึงอุปจารสมาธิปุ๊บเนี่ย ไอ้ตัวปีติ มันจะเกิด มารเขารู้นะ ไอ้นี่จะหลุดมือกูแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างเป็นเครื่องทดสอบเรา ไม่ว่าจะคน จะสัตว์ จะวัตถุธาตุ สิ่งของ อะไรก็ตาม มารเขาใช้เป็นเครื่องทดสอบเราได้หมด มองไปเถอะ ไอ้ห่าใครเอามาวะ เกะกะฉิบหาย โทสะเกิดแล้ว... มองไปทางโน้นอีกที เอ้อ...ดอกไม้สวยดี อ้าว....นี่ราคะ เขาใช้ได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะคนที่เรารักที่สุด เขาดลใจให้พูดผิดหูคำเดียวบางทีเราโกรธไป สามวันสามคืน ไอ้นั่นไม่รู้เรื่องเลย นั่นล่ะ ระวังไว้ โดนประจำ จริงๆ แล้วมารเนี่ย เขาเป็นครูที่ขยันที่สุด เขาทดสอบเรา อยู่ทุกวินาที แต่เราจะรู้เท่าทันหรือเปล่า ถ้าเรารู้เท่าทัน สติ สมาธิปัญญาของเราสมบูรณ์ พร้อม เราก้าวข้ามไป เราก็จะพ้น ตรงจุดนั้นไปเลย เขาต้องหาไอ้ที่ละเอียดกว่านั้น หรือว่าหนักแน่นกว่านั้น เพื่อที่จะมาทดสอบเราต่อ<O:p</O:p

    แต่ถ้าเราก้าวข้ามไม่ได้ สอบเมื่อไหร่ก็ตก สอบเมื่อไหร่ก็ตก ติดอยู่แค่นั้น เขาก็คือ มาร คือผู้ฆ่าเรา หรือขวางเราจากความดี แต่ถ้าเราก้าวข้ามไปได้ ก็คือครูที่เมตตาอย่างที่สุด ครูที่ขยันที่สุด ทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา งั้นทุกคนอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น แต่ว่าต้องทดสอบแล้วทดสอบอีก ฝึกแล้วฝึกอีก ทวนแล้วทวนอีก เมื่อวานไปกันตลอดทางก็ยังมีการทดสอบไปเรื่อย ไม่ได้ทดสอบอะไรหรอก ดูกำลังใจหมา เรารู้ใจคนได้ เราต้องรู้ใจหมาได้ เพราะหมามันกำลังใจต่ำกว่าคน หมาตัวนี้ข้ามถนน มันจะไปทางไหน มันจะเลี้ยวกลับ เวลารถมารึเปล่า มันจะไปซ้าย รึไปขวา พอทดสอบแล้วไอ้เราฟังธงโชะ ว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้วมันเป็น อย่างนั้น <O:p</O:p

    แต่อย่าง เฟิร์ส หรือเล็ก เขาจะไม่กล้า เขารู้นะ แต่พอเอาจริงๆให้ยืนยัน เริ่มอึกอัก เพราะอะไร กลัวหน้าแตก ไอ้ตัวกลัวหน้าแตกที่มันโผล่ขึ้นมา ตัวเนี้ย คือสักกายทิฏฐิ ก็คือไอ้ตัวกูของกู มันยัง ทิ้งไม่ได้ ในเมื่อตัวกู ของกู ทิ้งไม่ได้ มันกลัวผิด สมัยอยู่วัดท่าซุง อาตมาจะโดนเพื่อนพระ กระทืบตายห่ามาหลายที พอหลวงพ่อถาม เฮ้ยวันนี้ทดสอบทิพยจักขุญาณดีไหม ? ดีครับ มันดีครับอยู่คนเดียว ไอ้เราถือว่าตอบถูกเราได้กำไร หลวงพ่อยืนยันให้ แต่ตอบผิดเราได้บทเรียน หลวงพ่อจะบอกเราว่าผิดตรงไหน แต่คนอื่นเขากลัว กลัวผิด มันต่างกันตรงนี้ ดังนั้นว่า ไอ้เรื่องการปฏิบัติอย่าไปกลัวผิด แต่ ถ้าผิดรู้ตัวเมื่อไหร่ ให้รีบแก้ไข ทำถูกเราได้กำไร ทำผิดเราได้บทเรียน เรามีแต่ได้ ไม่มีเสีย<O:p</O:p

    ถาม................. ก็เป็นการวางกำลังใจ กำลังใจต่างกันใช่มั๊ยครับ<O:p</O:p

    ตอบ................ มันต่างกันตรงนี้ แบบที่อาตมาว่ามานี่แหละคืออุเบกขา จำไว้ให้ชัดๆ เลย เบกขาด้วย เบกแขนด้วย ตีเป็นทุกเบกหมด......เรื่องของยาย เวลาเขามาเล่าให้ฟัง เฟิร์สบอก เราก็แหย่ไปเรื่อย เออสนุกดี จนเขาบอก เออ....ทำไมหลวงพ่อมองโลกในแง่ดี เราก็บอก อ้าว.... แล้วทำไม่จะไม่มองโลกในแง่ดี เราต้องคิดแทนคนอื่นเขาในด้านดี ถ้าไปคิดแทนคนอื่นเขาในด้านร้ายก็ บรรลัยสิ ก็ในเมื่อมันคิดด้านดีได้ แล้วจะไปคิดด้านร้าย ทำซากอะไร<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  8. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม .............แล้วการคิดฟุ้งซ่าน กับการวางแผนนี่ผิดกันยังไงครับ?<O:p</O:p

    ตอบ .............คนละอย่าง คือไอ้การวางแผน จัดเป็นการฟุ้งซ่านได้ ถ้าไม่มีสมาธิควบคุม แต่ถ้ามีสมาธิควบคุม เรารู้อยู่ว่าเราจะทำอะไร เราตั้งใจไว้ว่า ถ้าอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มันก็ลักษณะคล้ายๆ กับการพิจารณา วิปัสนาญาน แต่เพียงเอามาใช้ในการงานปกติ เท่านั้นเอง คือมันจะมีสติ กับสมาธิควบคุมอยู่ตลอด แล้วมันหยุดเป็น ฟุ้งซ่านน่ะ มันหยุดไม่เป็น ไปเรื่อย ไปจนจบแล้วมันยังนับหนึ่งใหม่อีก ...ถ้าเป็นอย่างนี้นะ มันจะต้องเป็นอย่างนี้นะ จะต้องได้อย่างนี้ ถึงเวลามีเมีย หนึ่งคน มีรถหนึ่งคัน มีบ้านหนึ่งหลัง มีลูกซักสอง ... แก่ๆ แล้วกูค่อยบวชวะ อ้าว... มันก็น่าจะจบ เสร็จแล้วก็....ถ้าอย่างนั้นนะ ....เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว <O:p</O:p

    ไปตามความคิดตัวเองแล้วจะรู้ มันส์เป็นบ้า ถ้าตามความคิดตัวเองทัน มันรู้ตามความคิดคนอื่น หมด บางทีเราบอก บอกให้พวกนั้นถาม บอก...ไม่ต้องแล้วหลวงพ่อพูดออกมาหมดแล้ว ก็มันก็แค่นั้นล่ะ คือถ้าเรารู้กำลังใจตัวเองเท่าไหร่ มันจะรู้คนอื่น เท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อเรารู้แล้วมันไม่มีความจำเป็นจะต้องไป ลำเลิก เบิกประจานใคร <O:p</O:p

    มีหลายต่อหลายคนเนี่ย ที่มา แล้วก็หายไปนาน บางที ห้าเดือน หกเดือน โผล่มาทีหนึ่ง ถามว่าหายไปไหนมา เขาบอกกำลังใจไม่ดีเลยไม่อยากมา ถึงได้เตือนเขาว่า จำไว้เลย ถ้าเป็นพระจริงๆ เขาไม่ดูหรอก ว่าเราชั่วยังไง แต่ท่านจะดูว่า จะช่วยเราได้ยังไง เพราะนั้น ถ้าเราช่วยตัวของเราเอง ด้วยความสามารถของเราไม่ได้ เนี่ย  ควรจะไปหา เพราะอย่างน้อยๆ ท่านจะได้ช่วยยึด ช่วยเป็นหลักให้เราเกาะ เพื่อที่เราจะได้ขยับขยายเข้ามาในจุดที่มันปลอดภัยกว่านั้น แล้วเราจะได้ก้าวหน้า ต่อไปข้างหน้าได้ อีตอนที่เอ็งพยายามไปปล้ำจนดีแล้วค่อยมา ดีแล้วมันมาทำอะไร พระก็ไม่ต้องไปช่วยมันแล้ว มาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้น ตอนชั่วมากๆ นี่โผล่หน้ามาเลย อย่างเก่ง โดนด่า ที สองที ประจาน ซะหน่อย มันจะได้..รู้จัก จำ<O:p</O:p
     
  9. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม ...............มีน้องที่อยู่ฝรั่งเศส เค้ากังวลใจมากเรื่องเคยทำแท้ง เค้าอยากทำบุญแต่ว่าติดตรงนี้อยู่ ก็เลยบอกเค้าว่า อย่าเอาตรงนี้มาปิด ..<O:p</O:p

    ตอบ ...............ระวังไอ้พวกนั้น ถ้าไปเจอไอ้พวกไม่มีศีล ไม่มีธรรม ล่ะ มันหลอกหมดตัวจริงๆ เพราะตัวเองไปกังวลอยู่ มันบอกให้ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ บอกเขา บอกว่า มันไม่ใช่กรรมของเราอย่างเดียว เด็กเขาก็สร้างกรรมหนักมาด้วย ในเมื่อปานาติบาตหนักของเขา ในอดีต มันทำให้เขาจะต้องมาตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก มันเกิดจากการสร้างกรรมทั้งสองฝ่าย แต่เนื่องจากว่า กรรมนั้นมันเนื่องด้วยเรา ด้วย วาระ และเวลาอันที่ยังไม่สมควร มันมีความจำเป็นขึ้นมา เราต้องทำมันลงไปแล้ว สิ่งที่เราทำมันเป็นความผิดแน่นอน แต่เราพยายามแก้ไข ความผิดนั้นให้ดีที่สุด ก็คือพยายามสร้างสม ส่วนบุญ อะไรก็ตาม แล้วอุทิศให้เขาอยู่เรื่อยๆ ขอให้เขาอโหสิกรรมให้เรา หรือถ้ายังไง ก็ให้มาเกิดกับเราใหม่<O:p</O:p

    ถาม.............คือเขาก็ถาม ก็แนะนำเขาอย่างนี้ละค่ะ ว่าเด็กเขาก็มีกรรมที่ไม่ได้เกิดเหมือนกัน ก็ให้เค้าแบบวางกำลังใจตรงนั้น แล้วก็แผ่เมตตาทำบุญให้<O:p</O:p

    ตอบ .............บอกเขาอย่างนี้ บอกไม่ต้องลืม ให้เขาภาวนา นึกถึงลูกคนนั้นแล้ว วันละครึ่งชั่วโมง แล้วนึกให้ตลอดน่ะ ฟุ้งซ่านเรื่องอื่นเมื่อไหร่ล่ะ เลิก หันมานึกถึงลูก ภาวนาใหม่ เดี๋ยวพอกำลังใจมันทรงตัว แล้วหายฟุ้งไปเอง แต่ถ้าเราไปบังคับ แต่ให้คิด แล้ว ภาวนาด้วย <O:p</O:p

    ถาม.............. ให้เขาภาวนายังไงคะ?<O:p</O:p

    ตอบ.............จะ พุท โธ ก็ได้ ลูกจ๋า ก็ได้ อะไรก็ว่าไป ให้มันอยู่กับลมหายใจเข้าออก พอถึงเวลา กำลังใจก็ทรงตัวได้เอง<O:p</O:p

    ถาม .............เขาก็มีแฟนเป็นฝรั่ง เขาเลยก็บอกว่า แฟนเขาก็ไม่อยากให้เขาหันหน้าทำบุญเท่าไหร่...เขาก็ต้องแอบๆ ทำค่ะ<O:p</O:p

    ตอบ .............ลำบาก...เจอมาเยอะ บางคนเป็นอิสลาม แอบมาทำบุญ พอถึงเวลาให้พระ ให้อะไรก็ต้องไปฝากเพื่อนไว้ เอาเข้าบ้านไม่ได้ ให้หนังสือไป อยากอ่านก็ต้องตัดรูปพระออกก่อน<O:p</O:p

    ถาม ..............แล้วยังงี้ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไหมคะ?<O:p</O:p

    ตอบ .............ไม่เป็น เพราะว่ามันจำเป็นในครอบครัวเขาดีไม่ดีช่วยคนไม่ให้ลงนรกได้อีกเยอะ แต่ว่าเจอครอบครัวหนึ่ง ไอ้นี่ตัวเป็นไทย แต่ได้สามีเป็นอิสลาม ก็ไปเข้าฝั่งโน้น แต่ว่าเขาจะมีห้องนอนของเขา ที่ไม่ใช่ห้องที่เขาอยู่กับสามี แต่เป็นห้องส่วนตัว เขาก็ตั้งหิ้งพระ แล้วบอกสามีว่า ตั้งหิ้งพระไว้ในนี้ เท่านั้นแหละ เขารู้แล้ว ฉันไม่ไปยุ่งหรอก เพราะพวกนี้เขาถือว่าเข้าไปในศาสนสถาน ของศาสนาอื่นแล้วตกนรก จริงๆ มันน่าจะตั้ง ทั่วบ้าน มันจะได้ไปที่อื่น<O:p</O:p

    ถาม ..............แต่มีเพื่อนเป็นอิสลาม เขาก็นิมนต์พระไปทำนั่น ทำนี่ ยังงี้จะบาปไหมคะ?<O:p</O:p

    ตอบ .............ไอ้สิ่งที่เป็นบุญน่ะ มันบาปไม่ได้หรอก<O:p</O:p

    ถาม ..............หมายถึงว่าบาปของเขาน่ะค่ะ<O:p</O:p

    ตอบ ..............แต่เพียงแต่ว่าบาปของเขาน่ะ เป็นบาปโดยคิดว่า...มันอาจจะเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น แต่ของพระพุทธเจ้านี่เป็น อริยสัจ คือ พิสูจน์แล้วว่า จริงแน่ๆ ดังนั้นไอ้สิ่งที่ว่าบาปของเขาเนี่ย ในสายตาของเราเห็นว่ามันเหลวไหล ในสิ่งที่เขาเห็นว่าบุญ อย่างเช่นว่า ฆ่าเพื่อปกป้องศาสนา หรือไม่ก็ประเภท ถึงเวลาฆ่าสัตว์ เพื่อปลดปล่อยเขาไปสวรรค์ <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  10. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม.............. แล้วต้นกำเนิดอันเดียวกันหมดทั้งหมด ทำไมถึงมีความเชื่อที่แบ่งแยกกันไปหลายอย่าง<O:p</O:p

    ตอบ .............มันก็เหมือนธรรมยุติ กับมหานิกาย ของกูเคร่งกว่า มันไม่ได้อยู่ที่ว่า กูเคร่งหรือ ไม่เคร่ง มันอยู่ที่ว่า ทำแล้วเข้าถึงมรรคผลไหม แต่ส่วนใหญ่ เขาไม่ไปวัดผล ตรงนั้น เขาไปวัดตรงเปลือก ถ้าหากว่า ไม่จับสตางค์ ไม่สวมรองเท้า ใช้ผ้า สามผืน ไม่ฉันนม โอเค คุณเคร่ง มันกลายเป็นในลักษณะ สีลัพตุปาทาน..คือยึดมั่นในการปฏิบัติของตัวเอง แล้วถ้ายึด แล้วมันจะหลุดได้ยังไง มันต้องปล่อย มันถึงหลุด เพราะนั้นของเราก็เหมือนกัน ไอ้ที่มันทะเลาะกัน เวบกระจายอยู่เนี่ย ก็เพราะมันต่างคนต่างยึด มันยึดว่าอาจารย์กูดี ใครแตะไม่ได้....<O:p</O:p

    ถาม ..............มีคนหนึ่งเขาโพสขึ้นมาว่า ไม่ให้เรียกหลวงพ่อว่า ฤาษีลิงดำ <O:p</O:p

    ตอบ .............ไอ้นั่นปล่อยเขาไป<O:p</O:p

    ถาม ..............แล้วให้เรียกว่าพระราชพรหมยาน ยายไม่ได้ไปตอบ ยายจะมาถามก่อน ยายถามคำตอบจากตรงนี้เลย <O:p</O:p

    ตอบ.............. อาตมาเรียกมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ <O:p</O:p

    ถาม.............. เพราะว่าอะไร เพราะว่าคุณป้านิภา ก็เรียกอย่างนี้เหมือนกัน<O:p</O:p

    ตอบ .............สิ่งที่เรียก เราเรียกด้วยความเคารพ แต่ถ้าหากว่าเรียกอย่าง อานันเถนาถะ(ฟังไม่ชัด) คุณไม่เคารพแน่ เพราะท่านเรียกขึ้นไอ้ เลย มันอยู่ที่เรา ถ้าเราเรียกแล้ว เราสบายใจของเรา เกิดจากความเคารพจริงๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อ สมัยก่อนมีจำนวนมาก ที่ยกคำว่าหลวงพ่อ สำหรับท่านคนเดียว หลวงพ่อองค์อื่น ไม่มี จะตีกันตาย พอถึงเวลา เขาว่าหลวงพ่อวัดนั้น หลวงพ่อวัดนี้ ไอ้นี่ก็โวยขึ้นมาเชียว ไม่ได้หรอก หลวงพ่อ ต้องมีวัดท่าซุงองค์เดียว มันไปกันใหญ่ จริงๆ ก็คือ กิเลสส่วนตัวของพวกเราคิดว่าใช่ ในเมื่อเราคิดว่าใช่ แล้วจริงๆ มันใช่ของเรา หรือใช่ของส่วนรวม หรือกระทั่ง ใช่ ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า<O:p</O:p

    งั้นกระทู้บางอย่าง อะไรบางอย่าง มันล่อแหลมมาก บางคนก็ตั้งกระทู้ในลักษณะที่ว่า มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ในเมื่อมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เขาว่ามาไม่ตรงก็พยายาม จะลากมาให้ได้ อีคราวนี้ไอ้คนมันไม่มา ก็กัดกัน<O:p</O:p

    ถาม..............อย่างน้องเขาไปยกมา ซึ่งได้รายละเอียดจากข้อมูลต่างๆว่า ...(ฟังไม่ชัด)... สิ่งต่างๆที่เค้าพูดมา ก็คือว่าเป็นการเผยแผ่โดยสิ่งที่เราไม่ได้ตั้งใจ<O:p</O:p

    ตอบ ...............ก็เรามั่นใจได้ไงว่า ไอ้สิ่งที่เขาว่ามา มันถูกก.. ถ้าสิ่งที่เข้าว่ามามันถูก OK ใช่<O:p</O:p

    ถาม ................เขาก็อ้างตัวเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ เขาคล้ายๆ ว่าเป็นด๊อกเตอร์<O:p</O:p

    ตอบ ...............(หลวงพี่ถอนหายใจเสียงดัง) อย่างที่ว่า บุคคล ถ้าหากว่า ความรู้สูง ฐานะทางสังคมสูง อัตตามันก็สูงไปด้วย ในเมื่ออัตตาสูงไปด้วย สิ่งที่ตัวเองเห็นว่าใช่ ก็อยากให้คนอื่นคล้อยตาม .............. จริงๆ ก็ถือว่าไม่ควรไปยุ่ง เพราะมันทำให้ ลำบาก ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจน เราไม่ควรกล่าววาจา อันเป็นเหตุให้ทุ่มเถียงกัน เพราะการที่ทุ่มเถียงกัน ทำให้เราต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมาก จิตใจย่อมฟุ้งซ่าน เมื่อฟุ้งซ่าน ย่อมห่างจาก สมาธิ เพราะงั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม อาตมา แอนตี้ เวบนักหนา ไม่ยอม โผล่หัวเข้าไปดู<O:p

    ถาม ..............ทะเลาะกันประจำ..<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  11. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม ................ทำไมสีจีวรต้องเป็นสีเหลือง (เด็กน้อยถาม)<O:p</O:p

    ตอบ ...............จริงๆ ไม่ต้องสีเหลือง แต่บอกว่า ต้องใช้ผ้าย้อมน้ำฝาด ไอ้น้ำฝาดก็คือน้ำที่ต้มจากเปลือกต้นไม้ แล้วส่วนใหญ่ ต้มมาแล้วมันสีลักษณะอย่างนี้ แต่มันมีน้ำฝาดอันหนึ่ง ก็คือ น้ำขมิ้น มันเหลืองจัง<O:p</O:p

    ถาม...............แล้วพระอาจารย์ครับ....มีเพื่อนผมอยู่คนหนึ่งนะครับ เขาจะนิมิต ถึง หลวงพ่อฤาษี และพระเจ้าตาก อยู่บ่อยๆ นะครับ ทีนี้ คำถามของเขาคือ เวลาที่เขาไปไหว้พระเนี่ย เขาจะรู้สึก มึนหัว เวียนหัว จนเขาจะทนไม่ได้ครับ เขาโทรมาถามผมบ่อยๆ<O:p</O:p

    ตอบ............... อันนี้จริงๆ ต้องพยายามดูสาเหตุอื่น ถ้าสามารถเลี่ยงแล้วไม่เป็น ก็แปลว่า สาเหตุมันเกิดจากอะไรบางอย่าง อย่างเช่นว่า สมัยก่อน หลวงปู่โง่น ใครเคยได้ยินบ้างไหม (โสรโย) หลวงปู่โง่นเนี่ย ไอ้เราไปหาท่านถึงวัด แต่ไม่เคยพักอยู่กับท่านได้เลยสักครั้ง มันทำให้ร้อนรุ่มกลุ้มใจ ในที่สุดก็ตะกายออกจากวัดท่านกลางดึก ตอนนั้นยังเป็นฆราวาส แล้วมารู้ตอนหลังว่า ท่านเล่น พวกไสยศาสตร์ แต่ว่าในสายตาของคนอื่นจะเห็นท่านเป็นยอดพระอภิญญา ไอ้เราเอง ที่ไปก็เพราะเห็นว่า ท่านเก่ง ตอนเที่ยวนั้น ท่านเรียกลม เรียกฝนให้เห็นๆ คาตา อีคราวนี้ว่าพออาการนั้นมันเกิดขึ้น มันทำไมถึงหงุดหงิด กลุ้มใจ อยู่ไม่ได้ ไปให้พ้นมันถึงมีความสุข ความสบาย มันอาจจะเป็นไปได้ว่า ครูบาอาจารย์ หรือเทวดาที่คุ้มครองเรา ท่านพยายามจะตักเตือนเรา จะป้องกันเราไม่ให้เข้าไปอยู่ตรงจุดนั้นเพราะฉะนั้นต้องดูว่า พิจารณาดูว่า ถ้าหากว่าไปไหว้พระ พระสงฆ์ หรือพระพุทธ<O:p</O:p

    ถาม...............พระสงฆ์ด้วย พระพุทธด้วยครับ<O:p</O:p

    ตอบ ..............พระพุทธด้วยใช่ไหม? อาจจะมีอะไรบางอย่างต้าน เพราะนั้น ถ้าเขาไปรับขันธ์ครูมา หรือว่าอะไรมา ต้องพิจารณากันอีกทีว่าสิ่งที่เขารับมาน่ะ มันใช่จริงไหม? เพราะว่า บรรดา สำนักต่างๆ ที่เป็นสำนักทรง ร้อยละ ๙๙ มักจะเป็นของปลอม ไอ้คำว่าปลอม ก็คือ ไม่ใช่พระ ไม่ใช่เทวดาจริงๆ แต่ว่าส่วนใหญ่ อ้างของสูง เมื่ออ้างของสูง ความเชื่อถือ ที่ครอบครูกันมา อะไรกันมามันก็จะ อยู่ในลักษณะเป็นของใฝ่ต่ำ ถ้าหากว่าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มันอาจจะเสื่อมได้ หรืออาจจะต้านกันขึ้นมาก็ได้ ทำให้เกิดอาการไม่ดีขึ้นมากับตัวเอง ก็ให้เขาดูหลายๆ แง่มุม หัดสังเกตด้วยตัวเอง ไปถามเขาทีเดียว มันไม่ได้คำตอบที่แท้จริงหรอก<O:p</O:p

    ถาม..............เขาเคยบอกว่า มีคนบอกว่า มีพระแม่..อะไร มารี พระแม่รัศมี อะไรสักอย่างหนึ่งนี่แหละครับที่ดูแลเค้าอยู่.....<O:p</O:p

    ตอบ.............ให้เขาถามพระแม่ดู<O:p</O:p

    ถาม ..............พระแม่อุมาเทวีอะไรอย่างนี้เหรอครับ ..........

    ถาม .............ไม่รู้ว่าพระแม่อะไร<O:p</O:p

    ตอบ.............อาตมาก็มี เมื่อเช้าก็ปล่อยไปหลายองค์ ถึงเวลาก็เข้าส้วม<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  12. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ถาม ...............เรื่องศีล กับวัยรุ่นน่ะครับ อาจารย์ อ๊อ..ยังวัยรุ่นอยู่<O:p</O:p

    ตอบ...............เรื่องของศีล ต้องใช้หลัก นิติศาสตร์ ตรงไปตรงมา<O:p</O:p

    ถาม ................ห้ามวัยรุ่นใช่ไหมครับ<O:p</O:p

    ตอบ ...............มันไม่มีคำว่าวัยรุ่น สำคัญว่า ละเมิดก็คือผิด เพียงแต่ว่า เจตนา ในการละเมิดมีไหม? ถ้าไม่มีเจตนา ความผิดก็น้อยลงหน่อย อย่างเช่นว่า การฆ่าสัตว์ สัตว์นั้น มีชีวิตอยู่ เรารู้ว่ามีชีวิตอยู่ เราตั้งใจฆ่า เราลงมือฆ่า เราฆ่าสำเร็จ ประกอบด้วย ห้าส่วนนี้ ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม แต่อีคราวนี้ว่า ถ้าไอ้ประเภทเราเดินไปเหยียบมันตาย อะไรๆ ก็ไม่มี สี่ส่วนแรกก็ไม่มี มันก็เหลือแค่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ มันก็ไม่ครบร้อย จะถามว่าไม่ผิดใช่ไหม ผิด แต่ผิดน้อยลง แต่ถ้าเจตนา ล่วงละเมิดชัดๆ ทำทั้งที่รู้ อันนี้เต็มที่เลย นั้นเรื่องศีล ก็ตรงไปตรงมา ไม่มีวัยรุ่น ไม่มีวัยแก่<O:p</O:p

    ถาม............... แสดงว่าไปสังสรรกับเพื่อนเป็นบางครั้งบางคราวก็ไม่ได้<O:p</O:p
    ตอบ ..............ได้ แต่ยอมรับโทษไปตามนั้น<O:p</O:p

    ถาม.............. งั้นบ่อยๆ ไปเลย จะได้เต็มที่<O:p</O:p

    ถาม ..............แต่มี มีบางอย่างเช่นอ่านหนังสือ อะไรมา บางท่านเนี่ยเขาบอกว่า ก็ใช้ชีวิต ทั่วๆ ไปก็คือว่า มีผิดศีลบ้าง แต่ว่าก็สามารถขึ้น .... ไป ชั้นดาวดึงส์ได้<O:p</O:p

    ตอบ.............. แล้วไง...อันนั้นไม่ใช่ว่าผิดศีลบ้าง ผิดชนิดไม่มีเหลือดีเลย มัฐกุลธลีเทพบุตร ในชีวิตไม่เคยทำความดีเลย ชั่วล้วนๆ แต่เนื่องจากว่า ในอดีต เคยมีการสร้าง พระพุทธรูปไว้ ผลของการสร้างพระ คราวนั้นก็เลยทำให้ระลึกถึงความดีขึ้นมาได้ในช่วงของวาระสุดท้ายของชีวิต แล้วเราเอง เราจะมีบุญฉิวเฉียดขนาดนั้นเข้ามามั่งไหมล่ะ ดันไปนึกถึงความชั่ว ก็ซวยไปเลย<O:p</O:p

    ถาม ..............แล้วอย่างคนในศาสนาอิสลามเนี่ย เค้าทำบาปในศาสนาเค้า แต่จริงๆแล้วไม่ใช่บาปนี่หล่ะครับ<O:p</O:p

    ตอบ .............จริงๆ การทำบุญทำบาป มันไม่ได้เป็นไปตามหลักศาสนา มันเป็นไปโดยธรรมชาติ <O:p</O:p

    ถาม ..............ถ้าตายตอนนั้น.....<O:p</O:p

    ตอบ.............. ธรรมชาติก็คือว่า มันเป็นความต้องการ ทุกรูป ทุกนาม มีความต้องการเหมือนกัน คือไม่อยากให้เขาฆ่าเรา ในเมื่อไม่อยากให้เขาฆ่าเรา เราก็ไม่ควรฆ่าใคร ไม่อยากให้เขาลัก ขโมยเรา เราก็ไม่ควร ลัก ขโมยใคร ไม่อยากให้เขาแย่งคนที่เรารัก เราก็ไม่ควรไปแย่งคนรักของใคร ไม่อยากให้เขาโกหกเรา เราก็ไม่ควร โกหกใคร อยากมีสติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็อย่าทำลายสติ ด้วยเรื่องของสุรา ยาเสพติดต่างๆ ไอ้นี่มันเป็นหลักสากลเลย ทุกคนต้องการอย่างนี้ ในเมื่อทุกคนต้องการอย่างนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ศาสนาไหน ถ้าหากว่า ละเมิด ไปกระทำในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ถือว่า ผิดเหมือนกัน คือมันผิดหลักธรรมชาติ มันไม่ได้ผิดหลักศาสนา <O:p</O:p

    ก็แบบเดียวกับที่เขาถือว่า อิสลามเขาถือว่า สัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ การฆ่าเขาคือการปลดปล่อย เขาไปสวรรค์ ไอ้สัตว์ ถ้ามันเป็นอาหารของมนุษย์ มันเจอคน มันต้องวิ่งมาให้กิน แต่นี่มันหนีเราทุกตัว ขณะเดียวกันพอคนอื่นจะปลดปล่อยมันไปสวรรค์ มันก็ดันเผ่นอีก สู้เขาอีก ทำไมมันมัวแต่ไปปลดปล่อยคนอื่น แล้วมันไม่ยอมให้คนอื่นมาปลดปล่อยมันมั่ง เพราะนั้นพอมันผิดหลักธรรมชาติขึ้นมา พอเราทำเมื่อไหร่ ก็ผิดเมื่อนั้น แต่เนื่องจากว่าจิตของเขามันมืดบอด อย่างเช่นว่า สัตว์เดรัจฉาน อย่างเสือ กัดพ่อแม่ตัวเองตายเนี่ย ไม่โดนอนันตริยกรรม เพราะว่าเขาอยู่ในความมืดบอด ในภพภูมิที่หยาบกว่า แต่ถ้าเป็นคนเมื่อไร มันจะโดนอนันตยกรรมทันที <O:p</O:p

    ฉะนั้นบุคคลที่จิตใจมืดบอด กระทำกรรมอันหนักเนี่ย ถ้าหากว่าไม่ใช่อนันตยกรรมแล้ว บางส่วนมันแทบจะได้รับอภัยซะด้วยซ้ำไป ไอ้คำว่าอภัย ไม่ใช่หมายความว่าไม่มีโทษ แต่โทษมันเบาลง มันเบาลง เพราะว่าความมืดบอดของเขา ทำให้เขาไม่มีส่วนรู้ในธรรม ของส่วนนั้น อาจจะในลักษณะของกฎหมายว่า เออ...คุณทำผิดครั้งแรก มีการให้อภัย ใช่มั้ย ถ้าหากว่าประเภท สารภาพ อาจจะลดอีกสัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ไปๆมาๆ โทษประหารชีวิต อาจจะเหลือติดคุก สัก ๑๐ ปี ๒๐ ปี<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  13. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    *** (หลวงพี่องค์หนึ่งสนทนากับหลวงพี่เล็ก)***

    ถาม..............องค์นี้หลวงปู่คำแสนหรือเปล่าครับอาจารย์<O:p</O:p

    ตอบ .............มองไม่ถนัด องค์นี้หลวงปู่ชุ่ม องค์นี้หลวงปู่บุดดา
    <O:p
    ถาม .............(ฟังไม่ชัด)............................<O:p

    ตอบ.............. ผมอยากจะเชื่อว่าเป็นหลวงปู่มหาอำพันด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่<O:p</O:p

    ถาม ...............นี่ก็ประมาณปี ๑๗
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  14. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ตอบ ...............วันก่อนปรึกษากับเฟิร์สเขา บอกว่าจะ...อะไรล่ะ... จะช่วยเรื่อง จะสร้างพระไตรปิฎก กับสร้างอะไร sever ใหม่ ว่าจะนับๆ ดูว่ามีสมเด็จหางหมาก พอแบ่งให้ได้สักกี่องค์ วันนี้ไปท่าขนุน ก็ไม่ได้ไปเช็ค คือเห็นคนอยากได้สมเด็จหางหมากกันมากเลย คือรุ่น หนึ่ง ก็ทั้งสองรุ่น ก็รุ่นหนึ่ง มีแสน รุ่นสอง มีแสน ก็แค่สองแสนองค์ ไม่เหมือนกัน สมเด็จคำข้าว สมเด็จคำข้าวนี่รุ่นสอง ล่อไป ห้าล้านแล้ว แล้วยังมีรุ่นพิเศษอีก สองแสน ก่อนหน้านี้มีเยอะ เดี๋ยวนี้จะเค้นให้ได้ ห้าองค์ สิบองค์ยังยากเลย ไอ้ก่อนหน้านี้มีเยอะ เพราะเวลาอยู่วัดเนี่ย ได้เงินได้ทอง อะไรมา คิดว่าเงินอยู่กับเรา เดี๋ยวก็หมด แต่ถ้าเราถวายหลวงพ่อไปเนี่ย ท่านก็เอาไปก่อสร้างเป็นถาวรวัตถุ ทางพระพุทธศาสนา โยม ที่ถวาย เรามาก็ได้บุญด้วย แล้วเราเองยังได้พระเป็นที่ระลึกด้วย ก็มักจะไปขนเก็บไว้ ทีละ ๕๐ ที่ละ ๑๐๐, ๒๐๐ , ๓๐๐ , ๕๐๐ เคยสูงสุด ๗๐๐ องค์ เมื่อตอนนั้น จำหน่ายองค์ละ ๑๐ บาทเอง แล้วเสร็จแล้วก็จะโดนคนเขาตำหนิ ส่วนใหญ่ก็เพื่อนพระด้วยกัน จะเก็บไว้ทำซากอะไรวะ เยอะแยะ ของมีบานตะเกียง พอถึงเวลาขึ้นราคาเป็นองค์ละ ๑๐๐ ไอ้พวกนี้ละมาขนกันไป องค์ละ ๑๐ บาท แล้วเอาทีหนึ่ง หลายๆ ร้อยด้วย จนอาตมาเอง แทบจะเหลือแต่ตัว

    จริงๆ วัตถุมงคลของทางวัดนะ เหลือทุกรุ่น หลวงพ่อท่านเก็บไว้ทุกรุ่น รุ่นหนึ่ง ๒๐๐, ๓๐๐ บางรุ่นก็ ๕๐๐ , ๑๐๐๐ ท่านบอกว่า ถึงเวลาแล้วพวกแกจะได้สร้างพิพิธภัณธ์ได้ แต่ปรากฏว่า ตอนหลวงพ่อ มรณะภาพ ของมันขึ้นราคา พระปลัด วิรัชของเราเพลินมาก ขายทุกอย่างที่ขวางหน้า หมดเกลี้ยงเลย แต่มีวัตถุมงคลรุ่นหนึ่ง รุ่นที่เป็นพระวิสุทธิเทพ ต้องเป็นอย่างหนา นะ ถ้าบางๆ ไม่ใช่ อาตมา สร้างเอง กะว่า ขว้างหัวหมา พระไม่แตก แน่นอน แล้วก็ประเภท ลงชนิดที่เรียกว่า อะไร ส่วนผสมในอัตราที่ไม่อั้น ของคนอื่นอาจจะประเภท ผสม ผงถังหนึ่ง มีเกศาหลวงพ่อสองเส้น ไอ้ของเรา ผสมผงครกเล็กๆ แค่นี้ กูใส่ไปหยิบมือหนึ่ง <O:p

    รุ่นนั้นน่ะ สร้าง พยายามช่วยกันทำ หลังจากกรรมฐานแล้วนะ กลางคืนก็ พี่ๆ น้องๆ รุ่น ที่บวช นั้นน่ะ มีอยู่ ๑๒ องค์ ก็ช่วยกันตำผง ช่วยกันกดพิมพ์ กว่าจะเสร็จมันก็ ได้คืนหนึ่ง สองร้อยองค์ สามร้อยองค์ ทำอยู่ทั้งพรรษา ได้ หมื่น องค์ แล้วก็ขออนุญาตหลวงพ่อ ชำระหนี้สงฆ์ ทำเพื่อตัวเอง คนละครก ก็ได้ประมาณคนละ ๖๐ องค์ แล้วหมื่นองค์นั้น ไปถวายหลวงพ่อ บอก “หลวงพ่อครับ ผมถวายหลวงพ่อกัน ขออนุญาต ตั้งราคา” หลวงพ่อบอก แกจะเอาเท่าไร บอก องค์ละ ๑๐๐ ครับ ไม่งั้น หลวงพ่อก็มาตรฐาน ๑๐ บาทอย่างเดิม ยันเตเลย ถามหลวงพ่อบอก ๑๐ บาท มีกำไรเหรอ หลวงท่านพ่อบอกว่า ข้าได้ฟรี คนทำมาให้ เพราะงั้น ๑๐ บาท ท่านก็ได้ ๑๐ บาทถ้วนๆ อันนี้เราทำ เราขออนุญาต ตั้งราคา ขอ ร้อยหนึ่ง ผมทำหมื่นองค์ อยากถวาย หลวงพ่อสักล้านหนึ่ง <O:p

    หลวงพ่อท่านก็พอดีทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ ๙ ท่านบอกว่า พิธีครั้งนี้พระท่านก็สมบูรณ์ที่สุด เห็นแล้วเสียดายของ ท่านบอกให้เอาไปเก็บไว้บนหลังคา วิหาร ร้อยเมตร ท่านบอกว่าเวลาวัดพัง จะได้มีเอาไว้หาทุนซ่อมวัด ไม่ได้ หา หมดเกลี้ยงเลย หลวงพี่วิรัชงัดพังเกลี้ยง <O:p

    ถาม.............. เป็นพระสี่เหลี่ยมใช่ไหมครับ?<O:p

    ตอบ ..............พระสี่เหลี่ยมที่ด้านหน้าเป็นพระวิสุทธิเทพ ข้างหลังเป็นยันต์เกราะเพชร แต่จะเป็นหนา หนาประมาณนิ้วก้อยเลยน่ะ องค์ สี่เหลี่ยม เล็กๆ ประมาณ สองข้อนิ้ว แต่หนาเท่านี้ แล้วสีค่อนข้างจะเข้ม ถ้าสีขาวๆ แบบสมเด็จคำข้าวรุ่น ที่ไม่ใช่เนื้อกล้วยหอมน่ะนะ อันนั้น จะเป็นรุ่นที่ครูเหม่ ทำ แต่คราวนี้ครูเหม่ แกทำเสร็จแล้ว เพื่อความบริสุทธิ์ใจ แกเอาไอ้แบบปั๊มไว้ ทิ้งไว้ที่วัดเลย ไอ้ของเราเห็นว่ามีแบบ เราก็ทำไปเรื่อย ขอเกศาหลวงพ่อ ขอจีวร ขอสารพัด เราก็ทำกันซะ <O:p

    รุ่นนั้นๆ จริงๆ ถ้าหากว่าใครได้ไปเนี่ย น่าเสียดายว่าจะรู้คุณค่าไหม อาตมายืนยัน แช่น้ำเดือนหนึ่งไม่ละลาย เพราะอะไร ตากแดด สองเดือนยังไม่แห้ง ใช้น้ำมันตังอิ๊ว เป็นตัวประสาน แล้วก็ใส่เยอะ ใส่เยอะ แล้วตำกันชนิดเหนียวหนับ ถึงกันยืดเป็นเส้น ไม่ยอมขาด ถามว่าตอนนี้มีไหม ไม่เหลือซักองค์ เพราะตอนที่ทำก็คือ ครกสุดท้าย ของๆใครของมัน จะได้คนหนึ่งประมาณ ๖๐ องค์ แล้ว ๖๐ องค์ไม่เหลือ หมดตั้งแต่ตอนนั้น ชำระหนี้สงฆ์ คนละ ๕๐๐ บาท ๖๐ องค์ ๕๐๐ บาท มันคุ้ม<O:p

    ถาม...............(ยายคุยเรื่องหลวงพี่เล็กได้เวลาฉัน)........<O:p

    ตอบ............... อะไร... เสร็จแล้วค่อยฉัน เดี๋ยวเขาเรียก มีทั้งเณร ฉันพิสดาร นอกจากจะฉันเจ แล้วยังเล่นมื้อเดียว ถึงว่าบางที เอ๊ะ ทำไมไม่เรียกเณรมาฉัน เรียกก็ไม่มา<O:p

    ถาม ...............(ยายคุยเรื่องว่าจะขอสรงน้ำหลวงพี่เล็กเนื่องในวันสงกรานต์)....<O:p

    ตอบ ...............แล้วทำไมไม่เอาซะตอนนี้ล่ะ แล้วทำไมไม่สรงซะตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ<O:p

    ................................................................................

    จบ.............<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  15. น้ำมนต์

    น้ำมนต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +1,159
    ขอขอบคุณ น้องคำอ้นเป็นอย่างสูงนะคะ ที่ช่วยตรวจสอบ จากที่ฟังไม่ค่อยชัด
    แต่ถ้าหากว่ายังมีข้องผิดพลาดในการพิมพ์บ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ


    ถ้าพบคำที่พิมพ์ผิด ช่วยแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ จะได้แก้ไขต่อไปค่ะ
    ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2006
  16. tassanai_k

    tassanai_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,518
    โมทนา สาธุ
    อ่านที่แปลแล้วเข้าใจได้ง่ายดีครับ เหมือนในหนังสือกระโถนข้างธรรมมาสน์เลย ชอบครับและอยากได้หนังสือกระโถนข้างธรรมมาสน์ตั้งแต่เล่มแรกจนถึงปัจจุบัน ไม่ทราบผู้รู้ท่านใดสามารถให้ข้อมูลได้บ้างครับ รบกวนด้วยครับ ปกติในเว็ปก็มีอ่านได้ครบและหนังสืออื่นๆของหลวงพ่อ แต่ต้องมาใช้อินเตอร์เน็ตที่ทำงานอย่างเดียวไม่ค่อยสะดวก เลยอยากได้เป็นหนังสือดีกว่าและเก็บไว้อ่านตอนไหนก็ได้
     
  17. manote

    manote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2006
    โพสต์:
    924
    ค่าพลัง:
    +5,996
    โมทนาสาธุเช่นกันครับ กับทุกท่านที่ร่วมถอดเป็นคำพูดออกมาให้ได้อ่านกัน สาธุครับ
     
  18. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,810
    ค่าพลัง:
    +18,982
    จริงๆ เกือบทั้งหมดหนะ พี่น้ำมนต์แกถอดความมาครับ

    อันไหนที่ฟังไม่ชัดเจน ผมก็ช่วยเพิ่มให้ เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ตอนหลวงพี่เล็กท่านเทศน์ แต่บางอย่างผมก็จำไม่ได้จริงๆ ต้องขอโทษไว้ด้วยนะ แต่ผมว่าละเอียดดีแล้ว ไม่เชื่อลองอ่านดูสิ อิอิ คำพูดให้อารมณ์ผมก็พิมพ์ไว้ให้ด้วย...
     
  19. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ดีแล้วจ๊ะที่ไม่แกะอย่างละเอียด เพราะยายผีป่าเป๋อ ป๋า เปิบ ป๊าบ ที่ซู๊ด วันนั้นไม่มีการเตรียมคำถามกันไปหรอกค่ะ ต้องมีการกระตุ้น คนเข้าหาหลวงพี่เล็กเกือบทุกคนเลยนะคะ เวลาไปกราบท่าน ต่างเงียบกันหมด มียายผีป่านี่ล่ะตัวป่วน ถามแทนจนท่านลำคาญ อิอิ ไม่รีบถามเอาคำตอบที่ต้องการ เกิดท่านไม่อยู่ให้ถาม จะเสียดายเน้อใช่ป๊ะ

    ขอขมาจ๊ะพระอาจารย์ แหะๆ (พยายามสำรวมแล้ว แต่ยากน่ะสำหรับยายผีป่า เป็นมาทุกภพทุกชาติ)
     
  20. ligore

    ligore เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    993
    ค่าพลัง:
    +5,807
    ไฟล์เสียง-พิมพ์ถอดความ-หลวงพี่เล็ก 14 เม.ย 2549 ที่เกาะพระฤาษี ยาว 50 นาที
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><OBJECT id=WMP7 height=180 width=330 classid=CLSID:6BF52A52-394A-11d3-B153-00C04F79FAA6>
























    </OBJECT>


    ขอขอบคุณ น้องคำอ้นเป็นอย่างสูงนะคะ ที่ช่วยตรวจสอบ จากที่ฟังไม่ค่อยชัด
    แต่ถ้าหากว่ายังมีข้องผิดพลาดในการพิมพ์บ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ

    แนบไฟล์เต็ม จากเวิร์ด มาด้วยค่ะ
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>ไฟล์แนบข้อความ</LEGEND></FIELDSET>
     

แชร์หน้านี้

Loading...