ให้พรก็ไม่ได้ เป็นกรรมนะ อะไรๆ ก็ไม่ได้ นิดเดียวก็ไม่ได้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 7 ธันวาคม 2010.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระสงฆ์ไปบิณฑบาตก็จะให้พร
    ซึ่งเป็นวัฒนธรรมไทย แต่มิใช่
    "พุทธประเพณี" นะ สมัยก่อน
    พระพุทธองค์ไม่ได้ให้พรอย่าง
    ไม่พิจารณา


    เพราะอะไรละลูก ก็ดูคัมภีร์พราหมณ์
    ทั้งหลายสิ ต้นกำเนิดก็มาจากการให้
    พรแบบไม่พิจารณา อสูรก็กำเนิดมาก
    มหาเทพก็เลยมาปราบกันเป็นมหากาพย์ไป
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ทำไมพระสงฆ์บางกลุ่มมีวิบาก ไม่ได้บิณฑบาต?


    ธรรมชาติก็ดี, เทพเทวดาก็ดี จัดสรรวิบากให้แล้วนะลูกนะ
    พระสงฆ์เหล่านี้อยู่ในข่าย "ควรระวังในการให้พร" เพราะ
    อาจมีสัจบารมี ให้แล้วเป็นจริงได้, มีจิตเป็นพรหม ให้พร
    แล้วเกิดเรื่องได้, มีฌาน มีสมาธิ ให้แล้วเกิดผลกระทบต่อ
    เทพเทวดาฝ่ายขาวนะลูก


    เขาเลยจัดสรรให้ท่านเหล่านี้ "ไม่ต้องบิณฑบาต" จะได้
    ไม่ต้องมีเรื่อง แล้วเขาก็เอาคนมาดูแลเรื่องอาหารให้
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    กายสังขารของมนุษย์อาจเป็นรังของปีศาจได้


    บางครั้ง เราไม่ทันพิจารณา ไม่ทันระวัง เราให้พรไป
    คนดีแท้ๆ แต่มีอสูรแทรกเข้ามาช่วงนั้นพอดี อสูรก็ได้
    พรไป อายุ, วรรณะ, สุขะ, พละ เขาเลยมีอายุยืนมาก
    มีวรรณะงามผู้คนหลงใหล, มีสุขอยู่บนกองสมบัติ, มี
    พละกำลังทำสิ่งไม่ดีมาก


    ต่อมา ก็หลงตัวเอง ก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้โลกเกิดภัยพิบัต
    อย่างที่เป็น อย่างที่เห็นนี่แหละลูก จึงควรระวังในการให้พร
     
  4. ไอ้ใบ้

    ไอ้ใบ้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,254
    ค่าพลัง:
    +7,241
    พระกล่าวคำว่า เจริญพร ถือว่าให้พรไหม ?
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    เป็นพรอย่างหนึ่ง
    ถ้าพระไม่อยากยุ่งยาก
    ก็ละกิจให้พรเสีย
    กิจให้พร ก็ยกให้เหล่าฤษีไป
    พระละแล้วซึ่งกิจแห่งพรหมฤษี
    เพราะว่าบวชพระแล้ว


    การให้พร ไม่ใช่กิจของสงฆ์
    การให้พร เป็นกิจของพรหมฤษี
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ส่งเสริมสร้างนิสัย....ชาวโลก ****

    ให้มีลาภ ให้มียศ ให้มีชื่อเสียง
    ให้มีอำนาจ ให้มีบริวาร

    พอเขาเอ่ยปากให้ ใจเราก็อยากได้ตาม
    ตัวทะยานอยาก ก็เกิดทันที

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ให้รับสัจจะ ****

    ใครรับใครทำได้ ก็ถือเป็นพรอันศักดิ์สิทธิ์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    พรก็แค่ลมปาก จะยากดีมีจนเกี่ยวกับสิ่งนี้ด้วยรึเปล่า
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สำหรับท่านที่ไม่มีคุณพิเศษใด ให้พรไปก็ไม่มีผล


    แต่ปัญหาคือ ชาวพุทธยังคิดว่าประเพณีที่ตนรู้และเข้าใจนั้นถูกต้อง
    กล่าวคือ พระไม่ให้พร เวลาเขาใส่บาตร ย่อมถูกสังคมไทยตำหนิได้
    เพราะเขายึดว่า "พระไม่ให้พรเวลาใส่บาต นั้น ผิด" ส่วนพระที่ทำ ก็
    "ถูก" ไป โดยที่ไม่ทราบว่ารู้หรือเข้าใจในพุทธศาสนามากเท่าใด


    ดังนี้ จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของ "ประเพณีปิดกลบธรรมะ"
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ไม่มีความรู้ในทางพระพุทธศาสนาแต่ก็มาวิพากษ์พระพุทธศาสนาแบบผิดๆ บาปกรรมมหันต์จริงๆ

    การให้พรในทางพระพุทธศาสนาแตกต่างจากการให้พรของลัทธิศาสนาอื่นๆ ของศาสนาอื่นๆเขาให้พรเพื่อหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล แต่ของพุทธการให้พรมีรูปแบบที่เรียกว่าสัมโมทนียกถา นั่นคือการนำคำที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้วมาแสดงต่อให้ทายกทายิกาทราบว่าการทำบุญนี้จะส่งผลอย่างไร อำนวยผลเป็นอายุวรรณะสุขะพละ มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติหรือมรรคผลนิพพาน ซึ่งคำที่พระท่านนำมาแสดงก็คือพุทธพจน์ ทั้งนี้ก็เพื่อเจริญปัญญาแก่พุทธบริษััทให้เป็นสัมมาทิษฐิทราบถึงผลของทานที่ตนเองทำไว้ ซึ่งการกล่าวอนุโมทนานี้พระพุทธองค์เป็นผู้อนุญาตเองให้พระภิกษุกล่าวสรรเสริญทานของเหล่าทายกทายิกา แม้แต่พระพุทธองค์เองก็ทรงแสดงภัตตานุโมทนานี้เสมอ มีหลักฐานชัดเจนในพระไตรปิฎก เป็นสังฆประเพณีที่พระพุทธองค์ทรงวางหลักเกณฑ์ไว้ หาได้เป็นดังที่ท่านเจ้าของกระทู้นึกคิดไำปเองแต่อย่างใด
    ละความเห็นผิดนี้ แล้วขอขมาต่อพระรัตนตรัยดีกว่า จะได้ไม่มีบาปกรรมติดตัวไป
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การให้กับการแลกเปลี่ยน


    ผู้ให้ ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนคืนกลับ เรียกว่า "ให้"
    ผู้แลกเปลี่ยน เมื่อให้แล้ว จะต้องได้รับอะไรตอบแทนมา
    เรียกว่า "การตอบแทน" เช่น แลกเปลี่ยนเป็น "บริการให้พร"
    ส่วนพราหมณ์ฤษีนั้นไม่ผิด เพราะใช้หลักการแลกเปลี่ยนเพื่อ
    ให้คนยอมรับ จะได้มีลาภสักการะมาสม่ำเสมออยู่แล้ว


    พุทธพาณิชย์ คือ การแลกเปลี่ยนที่แทรกซึมอยู่ในพุทธศาสนา
     
  12. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การยกธรรมมาสำคัญหมายเป็นตัวตน


    เช่น ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเคยเทศนาหรือตรัสไว้
    เมื่อพราหมณ์เห็นแล้วว่าดีด้วยตาม "ทิฐิส่วนตน" เช่น
    ถ้าทำอย่างนี้ คนจะชอบ, ลาภสักการะจะมาเสมอๆ
    คนชอบให้เราสวดมนต์ให้, ให้พร, รดน้ำมนต์ ฯลฯ
    การอ้างเอาพุทธดำรัสมาสำคัญหมายให้เป็นตัวตน


    คือ การสร้างธรรมอัตตาขึ้นมาใหม่ เรียกว่า "ธรรมปฏิรูป"
    จากเดิมไม่มีอัตตา กล่าวให้หมดความยึดถือ ก็เอาสิ่งที่กล่าว
    ให้หมดความยึดถือนั้น กลับมาให้มี "ตัวตนใหม่" เกิดธรรมอัตตา
    มีตัวมีตนแห่งธรรมใหม่ขึ้นมา


    ทั้งๆ ที่ธรรมะที่เทศน์ไปนั้น ไม่มีสาระอะไรเลย
     
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ทรัพย์มี 2 อย่างคือทรัพย์ทางโลก กับ อริยะทรัพย์
    สมบัติมี 3 มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ธรรม 4 อย่างนี้เป็นมนุษย์สมบัติ

    อายุหมายถึงให้มีอายุยืน
    วรรณะ ผิวพรรณดี หล่อ สวย
    สุขะ
    พะลัง สุขภาพ
    พรของพระ
    อยากอายุยืนต้องทําอย่างไรหล่ะ
    อยากหล่อ อยากสวย ต้องทําอย่างไรหล่ะ
    อยากมีความสุขต้องทําอะไรหล่ะ
    อยากมีสุขภาพดีต้องทําอย่างไรหล่ะ
    พรของเรา
    อยากอายุยืนเมตาตาช่วยเหลือสัตว์สิ - ทําความดี
    อยากหล่ออยากสวยก็รักษาศีลสิ - ละเว้นความชั่ว
    อยากมีความสุขก็อย่าทําบาปอย่าทําใจให้เศร้าหมองสิ ทําใจให้ผ่องใส
    อยากมีสุขภาพดี ต้องพิจรณาปัจจัย 4 สิ

    เนี้ยะทําดี ละชั่ว ทําใจผ่องใสเนี้ยะหัวใจพระปาฏิโมกข์หัวใจพระพุทธศาสนาเนี้ยะ
    เนี้ยะคําสอนของพระบรมศาสดา พ่อโคของเราเนี้ยะ ท่านโปรดสัตว์เนี้ยะ
    พระสงฆ์ก็โปรดสัตว์โดยให้คําสอนเนี้ยะไม่ดีเหรอ
    คิดอะไรให้มันเป็นธรรมสิ
    คิดให้มันดีสิมันถึงจะได้ผลของพรผลของทานฉับพลัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2010
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ธรรมที่แสดงออกไปแล้วล้วนไร้ค่า


    ดุจดังลมหายใจออก ที่ไม่ไยให้เราต้องไปคว้าเอามาอีก
    กล่าวแล้วกล่าวไป มิใช่ประโยชน์แห่งการยึดถืออันใด
    ตำราคัมภีร์, การบันทึกก็ไร้ค่า ว่างเปล่า ไร้อักษร


    ธรรมใดมั่นหมายพิเศษว่าต้องรักษา ธรรมนั้นธรรมอัตตา
    ก็ในเมื่อธรรมเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ไยต้องสำคัญมั่นหมายในธรรมเล่า?
     
  15. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    สำคัญหมายทำไมลม?


    ธรรมะก็แค่ลมปากเป่าออกมา ดุจลมที่เป่า
    เอาฝุ่นละอองที่จับต้องปิดตาภิกษุไปเสีย
    ภิกษุผู้นั้นย่อมมิได้สำคัญหมายในลมปาก
    แต่ย่อม "มีดวงตาใสกระจ่าง" เห็นธรรม
    ตามจริงได้ด้วยตาของตนเอง มิใช่เพราะ
    คุณค่าสาระของสิ่งที่ตนได้ยินเลย
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ของที่หาอยู่ในกระเป๋าตัวเอง?


    ภิกษุผู้วนหาของสำคัญที่ตนมั่นหมายอยู่
    เพียรจมอยู่ วันหนึ่ง มีฤษีบอกว่าอยู่ทางนี้
    ภิกษุก็เพียรหา วันต่อมามีฤษีอีกตนมาบอก
    ว่าอยู่ทางนั้น ภิกษุก็เพียรหา ภิกษุเพียรหา
    อยู่นั่น จมอยู่นั่น วันหนึ่งจึงได้ทราบว่าสิ่งนั้น
    อยู่ในกระเป๋าของตนแล้วเอง ดังนี้ เหตุไฉน
    จะเสียเวลาเพียรจมไปในการไขว่คว้าอื่นเล่า?
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เมื่อเทียนถูกจุด สว่างแล้ว
    ไม้ขีดก็ถูกวางไป ไม่ใช่หรือ?


    ...
     
  18. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491

    ชอบ...เป็นจริงตามกล่าว ขออนุโมทนา สาธุ
     
  19. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,550
    เถียงกันแบบสุภาพชนน่าจะดีกว่าน่ะ ว่าแต่ผมนั้นก็ไม่ดี ไม่เก่ง และไม่เคยเก่ง แต่ชอบเข้ามาดูนักปราถ(นา) เขาแสดงความเห็นกัน วางใจเป็นกลาง ไม่ว่าใครย่อมดีกว่า แล้วเอาความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาสมอง ปรับปรุงตัว และแต่งใจให้งามย่อมดีเอย ช่ะเอิ่งเอ้ย ขำ ขำ
     
  20. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ธัมมปทัฏฐกถา ธัมมัฏฐวรรควรรณนา

    ๘. เรื่องเดียรถีย์

    <!-- /firstHeading --> <!-- bodyContent --> <!-- tagline --><dl><dd>ข้อความเบื้องต้น</dd></dl> <dl><dd>พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกเดียรถีย์ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น โมเนน" เป็นต้น.</dd></dl> <dl><dd>เหตุที่ทรงอนุญาตอนุโมทนากถา</dd></dl> <dl><dd>ได้ยินว่า พวกเดียรถีย์เหล่านั้นทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ ในสถานที่ตนบริโภคแล้ว, กล่าวมงคลโดยนัยเป็นต้นว่า " ความเกษมจงมี,ความสุขจงมี, อายุจงเจริญ; ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม, ในที่ชื่อโน้นมีหนาม,การไปสู่ที่เห็นปานนั้นไม่ควร" แล้วจึงหลีกไป. ก็ในปฐมโพธิกาล
    </dd><dd>ในเวลาที่ยังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ภิกษุทั้งหลายไม่ทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงภัตเลย ย่อมหลีกไป. พวกมนุษย์ยกโทษว่า "พวกเราได้ฟังมงคลแต่สำนักของเดียรถีย์ทั้งหลาย, แต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนิ่งเฉย หลีกไปเสีย." ภิกษุทั้งหลายยกราบทูลความนั้นแด่พระศาสดา.</dd></dl> <dl><dd>พระศาสดาทรงอนุญาตว่า " ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป ท่านทั้งหลายจงทำอนุโมทนาในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น ตามสบายเถิด, จงกล่าวอุปนิสินนกถาเถิด" ภิกษุเหล่านั้นทำอย่างนั้นแล้ว.</dd></dl> <dl><dd>พวกเดียรถีย์ติเตียนพุทธสาวก</dd></dl> <dl><dd>พวกมนุษย์ฟังวิธีอนุโมทนาเป็นต้น ถึงความอุตสาหะแล้ว นิมนต์ภิกษุทั้งหลาย เที่ยวทำสักการะ. พวกเดียรถีย์ยกโทษว่า " พวกเราเป็นมุนีทำความเป็นผู้นิ่ง, พวกสาวกของพระสมณโคดมเที่ยวกล่าวกถามากมาย ในที่ทั้งหลายมีโรงภัตเป็นต้น.</dd></dl>ลักษณะมุนีและผู้ไม่ใช่มุนี <dl><dd>พระศาสดาทรงสดับความนั้น ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่า ' มุนี ' เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง; เพราะคนบางพวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด,บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า, บางพวกไม่พูด เพราะตระหนี่ว่า ' คนเหล่าอื่นอย่ารู้เนื้อความอันดียิ่งนี้ของเรา; เพราะฉะนั้นคนไม่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง, แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะยังบาปให้สงบ."</dd></dl>-------------------------------------------------
    ถ้าไม่มีพุทธบัญญัติปรากฏอยู่ มีหรือพระภิกษุทั้งหลายท่านจะกล่าวให้พรแ่ก่สาธุชน เรื่องที่มีที่ไปอยู่ จะกล่าวว่าไม่มีได้กระไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...