เรื่องเด่น ใช้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำใจ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 กรกฎาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    CBD94085-A6CD-4DD5-B401-C9819D4EFE99.jpeg

    พระอาจารย์เล่าเรื่องการเดินทางไปพม่าให้ฟังว่า "ตอนแรกที่ไปพม่า ไปด้วยความรู้สึกว่า เรามาจากประเทศที่เจริญ มาจากเมืองของพระพุทธศาสนา ถ้ามีอะไรที่เราสามารถจะแนะนำสั่งสอนเขาได้ เราจะทำ แต่พอไปเจอการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชนชาวพม่าแล้ว ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี เพราะว่าเขาเข้าวัดปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกันหมด เขาทำตั้งแต่บุญกุศลพื้น ๆ จนกระทั่งถึงบุญใหญ่เขากวาดหมด

    ถ้าคนไทยเราทำได้อย่างนั้น ประเทศชาติคงน่าอยู่เป็นพิเศษ เพราะว่าก่อนเขาจะไปทำงาน จะเข้าวัดใกล้บ้าน สวดมนต์ทำวัตรเสร็จแล้วถึงจะไปทำงาน กลับจากที่ทำงาน จะเข้าวัด สวดมนต์ทำวัตรแล้วค่อยกลับบ้าน พระบ้านเรายังไม่เคร่งเท่าคนบ้านเขาเลย

    บ้านเราหลายต่อหลายวัด สวดมนต์ทำวัตรเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น บางทีอาตมายังกระแทกไปว่า "ถ้าคุณฉันเฉพาะช่วงเข้าพรรษาก็น่าจะดีนะ จะได้ประหยัดหน่อย..!"

    พอดีได้ไปงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิของวัดพระธาตุ ๕ ดวง ได้นั่งเครื่องบินลำเดียวกับหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ พอถึงเชียงใหม่ท่านก็ชวนขึ้นรถที่เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ส่งมารับท่าน นั่งกับท่านมา ท่านถามถึงเรื่องนี้ ก็เล่าถวายให้ท่านฟัง บอกว่าอยากให้บ้านเราเมืองเราเป็นอย่างพม่าเขาบ้าง ที่พุทธศาสนิกชนเข้าวัดเข้าวาโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกคนตั้งแต่เด็กยันแก่ ไปวัดเหมือนกับคนกรุงเทพฯ ไปเดินห้าง

    ปรากฏว่าหลังจากที่เล่าด้วยความภาคภูมิใจไปพักหนึ่ง หลวงพ่อสมเด็จท่านพูดกลับมาสั้น ๆ ว่า “ท่านเล็ก..จำเอาไว้นะ ที่ไหนที่ชาวบ้านพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เขาจะเข้าวัด” ได้ยินแล้วฟ้าแจ้งจางปางเลย เพราะฉะนั้น..บ้านเราคงใกล้จะเข้าวัดมาก ๆ กันแล้ว..!

    พูดง่าย ๆ ว่า เมื่อเขาไม่มีความหวังกับระบบการปกครอง เขาก็เอาพุทธศาสนาเป็นหลักยึดแทน

    คนพม่านิยมสร้างเจดีย์มากกว่าสร้างพระพุทธรูปอย่างบ้านเรา อาจเป็นเพราะว่าพระเจดีย์ที่สร้างนั้น สามารถเป็นอนุสติได้หลากหลายมากกว่า พระเจดีย์มีหลายประเภทด้วยกัน ถ้าหากว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ ก็คือเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระอรหันต์ธาตุ

    ถ้าเป็นปริโภคเจดีย์ จะเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุบริขาร จะเป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า หรือพระสุปฏิปันโนเจ้าต่าง ๆ ถ้าเป็นธรรมเจดีย์ ก็จะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระธรรมคำสั่งสอน อย่างเช่นว่า จารึกใบลานต่าง ๆ ประการสุดท้ายเป็นอุทเทสิกเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง โดยเฉพาะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธรูปจึงถือเป็นอุทเทสิกเจดีย์ประเภทหนึ่ง พม่าจึงนิยมสร้างเจดีย์มากกว่าสร้างพระ และเมื่อสร้างแล้ว ได้ประโยชน์หลากหลายกว่า และที่น่าทึ่งก็คือว่า พม่าเห็นยอดเขาเป็นไม่ได้ ไม่ว่ายอดเขาจะสูงขนาดไหน จะลำบากขนาดไหน จะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปสร้างเจดีย์ให้ได้ เขาถือว่ายิ่งทำยากเท่าไร ยิ่งได้อานิสงส์มากเท่านั้น

    สมัยแรก ๆ ที่ไปพระบรมธาตุอินทร์แขวน พระเจดีย์ยังเป็นองค์เก่าอยู่ ไม่ใช่องค์ใหม่อย่างปัจจุบัน ไปยืน ๆ ดู เสร็จแล้วก็คิดว่า ทำไมเขาทำหยาบ ๆ หนอ ถ้าเป็นเราคงจะสร้างได้ดีกว่านี้ เมื่อไปลองผลัก ๆ ก้อนหินดู ปรากฏว่าหินขยับได้ จึงทราบว่า ถ้าเป็นเราคงทำได้หยาบกว่านี้อีก เพราะกลัวว่าจะหล่นลงไปตายเหมือนกัน..!

    ผู้หญิงที่ประเทศพม่าจะลำบากหน่อย เพราะว่าสถานที่สำคัญ ๆ เขามักจะไม่ให้เข้า แต่ทีนี้อาตมาเป็นพระ มีสิทธิพิเศษเหนือผู้ชายทั่วไป ก็เลยเข้าไปได้ทุกที่ เวลาผู้หญิงเห็นผู้ชายปิดทองหลวงพ่อมหามุนีก็ได้แต่มอง ต้องฝากคนอื่นขึ้นไปปิด แต่ถ้าพระเดินขึ้นไป ผู้ชายทั้งหลายก็ต้องหลีกให้พระก่อน

    เรื่องของการห้ามผู้หญิงเข้าไปในสถานที่สำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้นตอนที่พุทธศาสนาของเรากลายเป็นศาสนาผสมผสานที่เรียกว่า พุทธตันตระไปแล้ว ทางสายพุทธตันตระจะมีการใช้คาถาอาคมต่าง ๆ เป็นปกติ และเขาก็มีความรู้ว่า ถ้าหากผู้หญิงมีรอบเดือนจะทำลายอาถรรพณ์ของเขาหมด จึงต้องห้ามไม่ให้เข้าไปในสถานที่สำคัญ ๆ

    เราจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็คือ อำนาจของความเป็นเพศแม่ เพศแม่คือเพศที่ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหมด ดังนั้น..ในวาระที่สภาพร่างกายแสดงความเป็นเพศแม่สูงสุด ก็จะมีพลังการทำลายล้างสูงสุด โดยเฉพาะการล้างอาถรรพณ์ในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ

    ในบึงลับแลช่วงแรก ๆ ที่ไป จะโดนผีหลอกกันสะบั้นหั่นแหลก มีลูกปลาคนเดียวที่นอนสบาย เพราะว่าพอดีช่วงนั้นรอบเดือนเขามา ขนาดผียังไม่กล้าหลอกเลย..!

    จริง ๆ แล้วในสภาพของความเป็นแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังมากเป็นพิเศษ ดังนั้น..บุคคลที่เขามีความรู้ตรงจุดนี้ แต่เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรู้เพื่อการหลุดพ้น ก็เลยไปปรับจนกลายเป็นลัทธิตันตระขึ้นมา

    เมื่อกลายเป็นลัทธิตันตระขึ้นมา พระพุทธเจ้าของตันตระ ก็ต้องมีศักติ ก็คือคู่บารมี เขาถือว่าถ้าเป็นเพศเดียวจะสงเคราะห์ได้เพียงครึ่งเดียว ต้องมีคู่ถึงจะผสานพลังเข้าไป แล้วสามารถสงเคราะห์ได้ถ้วนหน้า ฉะนั้น..จะเห็นว่าพระพุทธรูปของทางตันตระจะมีรูปผู้หญิงกอดเอวอยู่ โดยเฉพาะเป็นรูปผู้หญิงแก้ผ้า

    ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะไปตำหนิเขาว่าลามกอนาจาร ความเชื่อของเขาว่า ต้องมีศักติหรือคู่ชีวิตคู่ครองจึงจะสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่าลัทธินี้จะหลุดพ้นได้หรือไม่ เพราะค้านกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างแน่นอน

    ท่านบอกว่า เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา หนทางของคน ๆ เดียว จึงเป็นหนทางที่นำสัตว์ทั้งหลายก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ห่วงให้กังวล ลัทธิตันตระเขาต้องมีคู่ จึงฟันธงได้เลยว่าพ้นยาก"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา : www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...