*** โองการฟ้า ****

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย หนุมาน ผู้นำสาร, 31 มีนาคม 2013.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    a.jpg

    *** โองการฟ้า ****

    ถึง ผู้มีอำนาจทั้งหลายทั่วโลก

    " เราขอประกาศไว้ว่า.......สถานที่นี้ เอาหลักธรรมของโลกุตตระมานำสัตว์ให้หลุดพ้น
    เพราะฉะนั้น ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ
    อย่าได้เอาท้องฟ้านี้ เป็นสนามรบ
    ถ้าฝ่าฝืน ประเทศใดประเทศหนึ่งฝ่าฝืนโองการของ โลกุตตระ
    .......ฟ้าจะต่ำลงมา "

    วันเสาร์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๐
    "หนุมาน ผู้นำสาร" ผู้บันทึก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. nickybamby

    nickybamby เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +174
    ต้องยอมรับว่า อากาศมันร้อนจริงๆครับ =.=
     
  3. ฟาสิรี

    ฟาสิรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +729
    เลอะเทอะมาหลายปีแล้ว เรื่องนี้ ... ขุดมาอีกแล้ว
     
  4. DarKKazE

    DarKKazE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +240
    อากาศร้อนจริงๆนะจ๊ะ
     
  5. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    อากาศร้อนยาที่กินอาจเสียก่อนเวลาที่หมดอายุเลยเป็นเยี่ยงนี้
     
  6. แสนสวาท

    แสนสวาท ชมรมสุวรรณภูมิธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2007
    โพสต์:
    2,399
    ค่าพลัง:
    +2,488

    ภาพสวยงามมาก

    อนุโทนาสาธุการค่ะ
    แสนสวาท



    จริต ๖ เพื่อฝึกกรรมฐานที่เหมาะสม
     
  7. kkkub

    kkkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +193
    เอ่อโองการบ้าอะไรปล่อยไปเถอะครับ สัตว์โลกย่อมเป๋นไปตามกรรม หรือ โรคอ้วนย่อมเป็นไปตามกิน
     
  8. webang906

    webang906 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +1,759
    เอ่อ ผู้มีอำนาจทั่วโลกคงเข้าเว็บพลังจิตแล้วก็อ่านภาษาไทยออกเนอะ
    ท่านตั้งกระทู้ได้หนุมานมากเลย หนุมานสุดๆแล้วกระทู้นี้ ถ้าเป็นนักกีฬานะ กำลังพีคเลย
    พยายามฝึกฝนการตั้งกระทู้ให้มึนๆงงๆมากกว่านี้ เราเชื่อว่าท่านยังหนุมานได้อีก
     
  9. kb 2500

    kb 2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +873
    ติดยาเสพติดก็ต้องไปวัดถ้ำกระบอก ติดโพสก์กระทู้รอเสพคำอนุโมทนาให้เขายอมรับ ก็หาสิ่งส่งเสริมเพื่อเกิดปัญญาในแก่นธรรมมาเผยแพร่เอาครับ มาแนวๆนี้ไม่คือครับเหมือนพวกจิตหลอนเป้นพวกผิดปรกติมีอาการทางประสาทต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลครับ
     
  10. yaba150

    yaba150 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    983
    ค่าพลัง:
    +636
    เอาอีกแล้ว มุสาวาสตลอด
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,410
    ค่าพลัง:
    +12,662
    ภาพก้อนเมฆที่เกิดเเสงเงาออกมาเป็นภาพของผู้มีอำนาจทั้งสองด้าน (มองตรงๆ-มองกลับหัว!?!)จะเห็นสีหน้าเค้าหน้าเป็นคนเดียวกัน!!?
     
  12. comfx22

    comfx22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +234
    เหมือนภาพลวงตาเลย ดูรูปแล้วรู้สึกเหมือนเมฆกำลังลอยต่ำลงมาจริงๆด้วย.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 เมษายน 2013
  13. OGypsoO

    OGypsoO สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +6
    อยากหัวเราะเป็นภาษาตุรกี
     
  14. llilliilliiill

    llilliilliiill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    589
    ค่าพลัง:
    +2,741
    ท่านมีความคิดสร้างสรรค์ดีครับ ^^
    เดี๋ยวว่างๆ ผมจะลองไปหัดถ่ายภาพย้อนแสงดูบ้าง เผื่อมาให้ท่านแปลความหมายเป็นภาษาตุรกี


    .
     
  15. 123go

    123go เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +302
    Ha...Ha...555 ต้องกลับไปอัพยา ที่ถ้ำกระบอกได้แล้วนะลุงหานุมาร เดี๋ยวจะลงแดง5555
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    *** ห้ามไม่ให้เอาท้องฟ้ามาเป็นสนามรบ ****

    สงครามครั้งต่อไป และต่อ ๆ ไป (ตอน 2)
    การทำห้วงอวกาศให้เป็นสนามรบ
    โดย แจ็ค สมิธ

    The militarization of outer space
    By Jack A Smith
    (For the first part of this two-part article, see The futuristic battlefield)

    Speaking Freely is an Asia Times Online feature that allows guest writers to have their say. Please click here if you are interested in contributing.

    ห้วงอวกาศ คือบริเวณที่บรรยากาศของโลกสิ้นสุดลง คือสูงจากพื้นดินขึ้นไปราว 100 กิโลเมตร สหรัฐต้องทำให้ห้วงอวกาศเป็นสนามรบ เพื่อที่จะครองความเป็นเจ้าโลกเอาไว้ให้อยู่มือ ตอนนี้กระทรวงกลาโหมสหรัฐก็สอดส่องโลกมาจากอวกาศได้แล้ว และกำลังพยายามจะจัดส่งการทหารขึ้นไปบนนั้น เพื่อว่าตนจะได้เปิดฉากโจมตีได้ทั่วทุกมุมโลก ในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง

    วัตถุประสงค์ในนโยบายประสานการโจมตีโลกของกระทรวงฯ คือ “รวบรวม และธำรงความเหนือกว่าในห้วงอวกาศและบนพื้นโลก และจัดส่งการสนับสนุนด้านอวกาศที่ตบแต่งดัดแปลง ที่ทั่วด้าน และทุกอณู ขึ้นไปสู่กองบัญชาการรบในห้วงอวกาศ โดยที่บนพื้นโลกยังรักษาระบบป้องกันภัยจากอวกาศเอาไว้ให้มั่นคง”

    ในทางปฏิบัติ นั่นหมายถึงสหรัฐต้องส่งดาวเทียมสอดแนม ขีปนาวุธสกัดขีปนาวุธฝ่ายตรงข้าม หรือระบบสกัดกั้นโดยจับการเคลื่อนไหว (kinetic interceptors) รวมทั้งระบบอาวุธล้ำสมัยอื่น ๆ ขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เพื่อให้การสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน ภาคเวหา และภาคสมุทรของตน เพื่อให้กองกำลังบนโลกเหล่านี้สามารถครองความเป็นเจ้าโลกเอาไว้ได้ และวัตถุประสงค์อีกข้อหนึ่งคือ หากจำเป็นก็ต้องใช้กำลังป้องกันชาติอื่น ๆ ไม่ให้ขึ้นไปใช้ห้วงอวกาศตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวด้วย

    นอกจากดาวเทียม ซึ่งเป็นหัวใจในแผนการรบของกระทรวงฯ แล้ว เทคโนโลยีอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระหว่างทำการวิจัยและพัฒนา หรือรอสัญญาณจากทำเนียบขาวให้ทดสอบเสียก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่การเมืองเข้าไปยุ่มย่าม และเชื่องช้าอยู่มาก

    รัฐบาลบุช โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมและกองทัพอากาศ (US Air Force -USAF) กำลังกระหายใคร่เปิดฉากการทำห้วงอวกาศให้เป็นสมรภูมิรบไว ๆ โดยไม่ใส่ใจในข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขาต้องใช้เงินอย่างมหาศาล และยั่วเย้าให้มีการด่าทอสาปแช่งจากทั่วโลก ที่ว่าสหรัฐกำลังนำการแข่งขันด้านอาวุธขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสงครามใหญ่ภายในศตวรรษนี้

    พวกฝ่ายขวาและพวกจารีตนิยม-ใหม่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องดังกล่าว พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่า สหรัฐจะต้องเด่นผงาดขึ้นด้วยอำนาจที่มีล้นฟ้าของตน “ก็มันคุ้มค่านี่นา”

    แต่นอกจากพวกขวาสุดขั้ว คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยเฉพาะพวกเขาไม่เห็นด้วยว่าจะไม่มีประเทศอื่นอีกแล้ว ที่มีความสามารถพอที่จะเข้ามาคานความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ เกือบทั้งโลกเลยก็ว่าได้ ล้วนคัดค้านการทำให้อวกาศเป็นสนามรบ โดยดูได้จากผลการลงคะแนนในองค์การสหประชาชาติครั้งแล้ว ครั้งเล่า

    เห็นได้ชัดว่า สหรัฐกำลังใกล้เป้าหมายทำให้อวกาศเป็นสนามรบ เข้าไปทุกที ๆ (ช่วงคลินตันช้า แต่ช่วงบุชเร็ว) แต่ก็ยังเร็วไม่เท่าที่พวกสายเหยี่ยว หรือพวกบูชาบุช (Bushites) ปรารถนา

    ปกติงบฯ เพื่อบุกเบิกอวกาศประจำปีในสหรัฐ จะตกอยู่ในราว $36 พันล้านเหรียญ หรือเท่ากับ 73% ของงบฯ ของโลกรวมกัน (ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย ฯลฯ)

    ณ เวลาหนึ่งในอนาคตกาล อาจจะไม่ไกลเกินไปนัก รัฐบาลในวอชิงตัน (ไม่ว่าชุดนั้น หรือชุดนี้) อาจจะประสบความสำเร็จ สามารถหว่านล้อมพลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกหัวกระทิที่ปกครองประเทศ ให้เห็นว่ารัสเซียและจีน หรือทั้งคู่เป็นภัยคุกคามความเป็นเจ้าของสหรัฐชนิดสาหัสสากรรจ์ ไม่ยอมให้มหาอาณาจักรอเมริกา (Fortress Americana) บืนขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า ในเมื่อสงครามเย็นรอบที่ 2 กำลังเริ่มคุกรุ่นขึ้นแล้ว ข้ออ้างดังกล่าวจะต้องถูกสถาปนาตามขึ้นมาอย่างแน่นอน

    พวกปีกขวาในสหรัฐผลักดันแผน (ที่สหรัฐต้องเตรียมอวกาศให้พร้อมสำหรับการสงคราม) นี้ มาตั้งแต่ยุคต่อต้านโซเวียตในช่วงปี 1980s ผลที่พวกเขาได้มาก็คือโครงการต่อต้านขีปนาวุธ ‘สตาร์วอร์’ และการตั้งกองบัญชาการอวกาศของกองทัพอากาศ ในสมัยของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ในปี 1982 เป้าหมายของภารกิจดังกล่าวคือ “ปกป้องทวีปอเมริกาเหนือโดยการใช้ห้วงอวกาศ และขีปนาวุธวิถีโค้งข้ามทวีป เพื่อให้บริเวณนี้พ้นจากกลุ่มกำลังสำคัญ ๆ ที่หมายจะครองโลก”

    ในทศวรรษที่ 1990s พวกจารีตนิยม-ใหม่เริ่มมีแนวคิดที่จะขยายแสนยานุภาพสหรัฐ รวมทั้งทำอวกาศให้เป็นสนามรบ เพื่อออกไปครองโลก โดยเริ่มมีเอกสารสำคัญ ๆ เพื่อการนี้ตีพิมพ์ออกมาโดย ‘ขบวนการอเมริกันในศตวรรษใหม่’ (Project for the New American Century) เรื่อง ‘ยกเครื่องการป้องกันประเทศ’ (Rebuilding America's Defenses) มาตั้งแต่ปี 2000 หนึ่งปีหลังเหตุการณ์โจมตีกระทรวงกลาโหมและตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ประธานาธิบดีบุชได้นำหลักการที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ มาสร้างเป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ แทบจะลอกกันมาจนเกือบหมด ในเวลาเดียวกัน บุชก็ถอนสหรัฐออกจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ (Anti-Ballistic Missile -ABM) ที่ห้ามการพัฒนาขีปนาวุธเพื่อการป้องกัน (สกัดขีปนาวุธฝ่ายอื่น) และนำระบบอาวุธขึ้นไปสู่อวกาศ

    ข้อยุ่งยากที่ขัดขวางกระทรวงกลาโหมก็คือ ในฐานะที่เป็นประเทศที่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาห้วงอวกาศรอบนอก (Outer Space Treaty) ปี 1967 สหรัฐจะต้อง “ไม่นำอาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธทำลายล้าง (weapons of mass destruction -WMD) อื่น ๆ (ไม่ว่าเคมีหรือชีวะ) ขึ้นสู่อวกาศ ต้องไม่นำอาวุธขึ้นไปติดตั้งบนเทหะฟากฟ้า หรือในห้วงอวกาศรอบนอกใด ๆ”

    ดังนั้นในขั้นนี้โครงการในอวกาศของสหรัฐจะต้องจำกัดอยู่เฉพาะการรบแบบ ‘ไม่มีนิวเคลียร์’ ไม่นำอาวุธ WMD ขึ้นไป แต่เรื่องแบบนี้ต้องมีพลิกแพลงนิดหน่อย ตัวอย่างเช่น กว่า 70% ในวันแรก ๆ ของการทิ้งระเบิดใส่กรุงแบกห์แดด ในยุทธการ ‘เขย่าขวัญและสยดสะยอง’ ของกระทรวงกลาโหมนั้น สหรัฐใช้ดาวเทียมทหารในอวกาศเป็นตัวประสานและชี้เป้า ระเบิดเหล่านั้นไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ และดาวเทียมก็มีอาวุธนิวเคลียร์นำวิถีได้ ตราบใดที่มันยังไม่ได้ยิงลงมาจากห้วงอวกาศ

    ตามความเห็นของฮันส์ เอ็ม คริสเตนเสน แห่งสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน (Federation of American Scientists) “แม้การโจมตีพื้นโลกโดยหลักแล้ว จะไม่ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ แต่ข้อมูล (ในโครงการนี้) เท่าที่รวบรวมได้ก็ชี้ว่า การโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์เป็นหัวใจสำคัญ ทั้งในการวางแผนและโครงสร้างการบัญชาการ”

    ทั้งจีนและรัสเซีย รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ต่างพยายามใช้ช่องทางในสหประชาชาติ เพื่อทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ ที่ห้ามนำอาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์และ WMD ขึ้นสู่อวกาศ รวมทั้งห้ามใช้ดาวเทียมชี้นำสงครามบนภาคพื้นดินอีกด้วย มองจากแง่มุมการทหาร สหรัฐต้องไม่ปล่อยให้สนธิสัญญาดังกล่าว เข้ามายุ่งย่ามกับแผนของตัว

    เมื่อเดือนตุลามคมก่อน บุชเปิดเผยนโยบายอวกาศแห่งชาติฉบับใหม่ หนา 10 หน้า ต่อสาธารณชน เพื่อนำมาแทนนโยบายของรัฐบาลคลินตัน ที่ได้เสนอไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน 1996 แต่นโยบายฉบับใหม่ของบุชปิดบังอำพรางวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลเอาไว้ นโยบายชุดใหม่ก็คล้าย ๆ กับของคลินตันฉบับเก่า ถึงจะไม่ตรงไปตรงมานัก แต่ทว่าก็ ‘ฉายเดี่ยว’ ยิ่งขึ้น ถือดีมากขึ้น และหนักไปทางเอาสนามรบขึ้นไปไว้ในอวกาศ

    เราต้องตีความระหว่างบรรทัดจึงจะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า รัฐบาลจะทำตามอำเภอใจทุกอย่าง เพื่อจะทำให้อวกาศเป็นสนามรบ รวมทั้งกีดกันไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ใช้ความได้เปรียบ ขึ้นไปเล่นเกมบนนั้นด้วย

    ตัวอย่างเช่น “สหรัฐสัญญาว่าทุกประเทศจะสามารถบุกเบิก และใช้ประโยชน์ห้วงอวกาศรอบนอกเพื่อสันติวิธี และเพื่อยังประโยชน์แก่มนุษยชาติทั้งมวล โดยยึดมั่นต่อหลักการนี้ การทหารและการข่าวกรองของสหรัฐจะยึดมั่นในเป้าหมายเพื่อสันตินี้ ในการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” (แปลว่า ‘เมื่อเราเคารพวัตถุประสงค์เพื่อการสันติของท่าน ท่านก็ต้องเคารพของเราบ้าง ดังนั้นโปรดอย่า ‘ส’ ครับ’)

    หรืออีกประโยคหนึ่ง “สหรัฐจะคัดค้านการจัดทำกรอบสัญญา หรือระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ใด ๆ ที่จะมีผลห้าม หรือขัดขวางการที่สหรัฐจะขึ้นไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในอวกาศ ข้อตกลงหรือข้อกำหนดควบคุมกำลังรบใด ๆ ที่เสนอมาแล้ว จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของสหรัฐที่จะทำการวิจัย พัฒนา ทดลอง ทำยุทธการ หรือกระทั่งมีกิจกรรมใด ๆ ในห้วงอวกาศ เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐเอง” (แปลว่า ‘สหรัฐตั้งใจจะเปลี่ยนอวกาศให้เป็นสนามรบ และในฐานะที่เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง และเป็นเจ้าโลก เราจะยอมให้มีสนธิสัญญาฉบับใหม่ ที่จะมาเพิกถอนสิทธิของเราไม่ได้’)

    อีกประโยคหนึ่ง ใต้หัวข้อ ‘แนวทางความมั่นคงด้านอวกาศแห่งชาติ’ ("National Security Space Guidelines") เอกสารฉบับนั้น แจกแจงรายละเอียดที่กระทรวงกลาโหมต้องปฏิบัติตาม ดังนี้
    • “พัฒนาและใช้แสนยานุภาพในอวกาศ เพื่อธำรงความได้เปรียบของชาติ และสนับสนุนการแปรรูปทางการทหารและการข่าวกรอง”
    • จัดให้มี “การขึ้นสู่อวกาศเพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ที่น่าเชื่อถือ ไม่แพงนัก และให้ทันกาล”
    • “จัดหาแสนยานุภาพด้านอวกาศ เพื่อให้การสนับสนุนระบบต่อต้านขีปนาวุธทุกประเภท และทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการเตือนภัยระดับยุทธศาสตร์โลก หรือระดับยุทธวิธี”
    • “พัฒนาแสนยานุภาพ แผนการ และทางเลือกอื่น ๆ ในห้วงอวกาศ เพื่อประกันให้ขึ้นไปใช้ห้วงอวกาศได้อย่างอิสระ และหากมีการสั่งการก็ให้ขัดขวางอิสรภาพของฝ่ายตรงข้าม”
    (แปลว่า ‘เราพร้อมจะเดินหน้าแล้ว ดังนั้นรีบ ๆ หนีไปเสีย’)

    เธเรซ่า ฮิชเค่นส์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลกลาโหม (Center for Defense Information) กล่าวว่าขณะที่นโยบายใหม่ “ไปไม่ได้ไกลเท่าที่พวกเหยี่ยวคาดหวัง คือสนับสนุนให้ขึ้นไปเปิดสนามรบ ‘ซัดกัน’ ในห้วงอวกาศ แต่จำเป็นต้องเอาวัตถุประสงค์ที่แท้จริงใส่วงเล็บเอาไว้ และไม่อาจใช้น้ำเสียงแบบ ‘พวกกู-พวกมึง’ ได้ แต่ความเห็นจากภายนอกทั่ว ๆ ไปก็ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกากำลังสรวมบท ‘จังโก้ลุยเดี่ยวในอวกาศ’

    ก่อนที่ ‘นโยบายอวกาศแห่งชาติ’ จะได้รับการอนุมัติ ก็มีการทบทวนแก้ไขกัน 30 กว่าครั้ง หมดเวลาไป 4 ปีเต็ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่จะแก้ไขแผนการทางทหาร เพื่อใช้ห้วงอวกาศในการครองโลกนั้น ยุ่งยากมากแค่ไหน กว่าที่ข่าวดังกล่าวจะเผยออกมาก็เสียเวลาไปอีก 15 เดือน และก็หลังจากมีรายงานข่าวว่า บุชทำท่าจะออกคำสั่งประธานาธิบดี อนุมัติให้กองทัพอากาศส่งอาวุธขึ้นไปไว้ในอวกาศ ความโกลาหลจากการเสนอข่าวนี้ทำให้ ‘กลุ่มบูชาบุช’ รีบแก้ไขให้นโยบายอวกาศเบาลง กล่าวคือแก้ปัญหาโดยไม่เอ่ยถึงมัน

    มอสโคว์กับปักกิ่งเรียกร้องมานานหลายปี ให้นานาชาติห้ามการนำสนามรบขึ้นไปบนห้วงอวกาศ รวมทั้งห้ามส่งดาวเทียมจารกรรม อาวุธ WMD และอาวุธที่ไม่ใช่นิวเคลียร์อื่น ๆ ในปี 2002 จีนกับรัสเซีย โดยการสนับสนุนของเวียดนาม ซีเรีย อินโดนีเซีย เบลารุซ และซิมบับเว ยื่นข้อเสนอไปยังสหประชาชาติ เพื่อให้จัดทำสนธิสัญญา เพื่อขจัดอาวุธในห้วงอวกาศออกไปให้หมด โดยเรียกชื่อลำลองว่า ‘สนธิสัญญาห้ามการนำอาวุธขึ้นไปสู่ห้วงอวกาศรอบนอก (และ) ข่มขู่ หรือใช้กำลังกับวัตถุในอวกาศรอบนอก’ ("Prevention of the Deployment of Weapons in Outer Space [and] the Threat or Use of Force Against Outer Space Objects") สหรัฐไม่เพียงคว่ำสนธิสัญญาดังกล่าว แม้แต่จะเจรจาหารือก็ไม่ทำ

    นอกจากนี้ ในตอนนั้นก็มีการนำเสนอสนธิสัญญาต่าง ๆ เป็นต้นว่าห้ามการแข่งขันด้านอาวุธในอวกาศ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมก็พากันเห็นด้วย

    ตัวอย่างเช่น ในปี 2000 มติว่าด้วยการป้องกันการแข่งขันด้านอาวุธในห้วงอวกาศ ผ่านที่ประชุมด้วยคะแนนเสียง 163-0 งดออกเสียง 3 คือไมโครนีเซีย อิสราเอล และสหรัฐ ในปี 2003 ญัตตินี้ได้รับคะแนนเสียง 174-4 โดยมีหมู่เกาะมาร์แชลเข้าร่วมกับ ‘3 ผู้ยิ่งใหญ่’ เดิม (คราวนี้ทั้ง 4 ลงคะแนนเสียงต่อต้าน) พอมาถึงการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อปีกลาย ปรากฏว่าไมโครนีเซียกับหมู่เกาะมาร์แชลหันมาลงคะแนนตามเสียงส่วนใหญ่ อิสราเอลงดออกเสียง โดยมีสหรัฐลงมติยับยั้ง ทำให้คะแนนเสียงมาอยู่ที่ 166-1

    วอชิงตันถือว่า นอกเหนือจากสนธิสัญญาห้วงอวกาศรอบนอก (Outer Space Treaty) ปี 1967 แล้ว ข้อผูกมัดทางกฎหมายอื่น ๆ ที่จะนำไปสู่สนธิสัญญาใหม่ ๆ ไม่มีความจำเป็น แต่ที่วอชิงตันยอมรับ OST ก็เพราะมันยังยอมให้สหรัฐปล่อยดาวเทียม เพื่อบัญชาการ และเชื่อมต่อระบบอาวุธอื่น ๆ ในสนามรบ (ไม่ใช่อาวุธ WMD) ซึ่งก็คือเปิดประตูหลังให้ทำอวกาศให้เป็นสนามรบนั่นเอง ประเทศที่เหลือทั้งหมดในโลก ขัดขวางการกระทำดังกล่าวนี้ ส่วนวอชิงตันกับอิสราเอลก็หวังพึ่งหมู่เกาะมาร์แชลกับไมโครนีเซียไม่ได้เสมอไป

    รัฐบาลบุชแสดงความไม่ชอบใจต่อข้อเสนอของจีนกับรัสเซีย ที่จะยกเรื่องดังกล่าวขึ้นเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมพอล โวลโฟวิช (ซึ่งอยู่ในกลุ่มจารีตนิยม-ใหม่ ที่ผลักดันให้สหรัฐทำสงครามกับอิรัก) ประกาศเมื่อเดือนตุลาคม 2002 ว่า “ห้วงอวกาศเป็นสถานที่ ๆ เหมาะสมที่สุดสำหรับระบบต่อต้านขีปนาวุธ รวมทั้งยุทธการทางทหารและภารกิจทางพลเรือนจำนวนมากอีกด้วย” จอห์น โบลตัน อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ (สายเหยี่ยวอีกผู้หนึ่ง) กล่าวแสดงความเห็นที่เจนีวาเมื่อเดือนกันยายน 2004 ว่า “เราไม่คิดจะเจรจาหารือกับใคร ถึงสิ่งที่เรียกกันว่าการแข่งขันด้านอาวุธในห้วงอวกาศรอบนอก เราไม่คิดว่าเรื่องนั้นคุ้มในการเจรจา”

    ทำเนียบขาวลังเลที่จะออกมายอมรับโดยเปิดเผยว่า ตนต้องการนำสนามรบขึ้นสู่อวกาศ แต่กองทัพอากาศเปิดเผยกว่า ในปี 1996 พลเอกโจเซฟ ดับเบิลยู แอชี่ อดีตหัวหน้ากองบัญชาการอวกาศ กล่าวว่า “เราจะขึ้นไปรบบนอวกาศ และเราจะบุกเข้าไปในอวกาศ และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงคิดค้นโครงการใช้เครื่องยิงพลังงานเพื่อทำลายเป้าหมายขึ้นมา สักวันหนึ่งบนอวกาศ เราจะสามารถเล็งเป้าหมายเทหะวัตถุบนพื้นดินทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเรือรบ เครื่องบิน รวมทั้งเป้าหมายภาคพื้นดินอื่น ๆ”

    ในปี 2004 ปีเตอร์ บี ทีทส์ รัฐมนตรีช่วยกองทัพอากาศ ที่กำลังผลักดันเป้าหมายของสหรัฐในอวกาศอยู่ ก็ประกาศออกมาตรง ๆ ว่า “เรากำลังแผ้วถางทางไปสู่การรบในศตวรรษที่ 21” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2005 New York Times ก็ได้นำคำพูดของพลเรือเอกแลนซ์ ลอร์ด ผู้บัญชาการอวกาศอีกคนหนึ่ง ที่เปิดเผยว่า “ความเหนือกว่าในห้วงอวกาศ ใช่จะมีมาตั้งแต่เกิด แต่มันเป็นเป้าหมายปลายทางที่เราต้องฝ่าฟันไปให้ถึง มันจึงเป็นเรื่องที่เราต้องทำเป็นประจำ ทุกเมื่อเชื่อวัน เป้าหมายของเราสำหรับอนาคตก็คือความเป็นสุดยอดในอวกาศ”

    กองทัพอากาศยอมรับว่า เป้าหมายสูงสุดของตนก็คือทำอวกาศให้เป็นสนามรบ ในหนังสือเรื่อง ‘ปฏิบัติการตอบโต้ในห้วงอวกาศ’ ("Counterspace Operations") ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2004 (สามารถดูได้ทางอินเตอร์เนท) ระบุเอาไว้ว่า “ปฏิบัติการตอบโต้ของกองทัพอากาศสหรัฐในห้วงอวกาศ เป็นวิธีการที่จะช่วยให้กองทัพอากาศสามารถครองความเป็นเจ้าในอวกาศ การเป็นเจ้าอวกาศทำให้เรามีอิสระในการโจมตี และก็อาจจะถูกโจมตีได้ทุกเมื่อเช่นกัน”

    พลอากาศเอกจอห์น พี จัมเปอร์ เสนาธิการใหญ่กองทัพอากาศ เขียนคำนำของหนังสือเล่มนั้นในปี 2004 ว่า “ปฏิบัติการตอบโต้ในอวกาศมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการสงครามสมัยใหม่ ยิ่งทำให้แสนยานุภาพในอวกาศเติบใหญ่ และสมบูรณ์แบบเร็วขึ้นเท่าใด และมีประสบการณ์ในแผนยุทธกิจ (evolution of contingency operations) มากขึ้นเท่าใด เราก็จะยิ่งทำให้อำนาจทางเวหาและในอวกาศของเรา มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ผู้บัญชาการในสนามของเราจะเป็นผู้ใช้แสนยานุภาพในอวกาศต่าง ๆ อาทิเช่นการสื่อสาร การวางกำลังรบ การสืบสภาพ การกำหนดเวลา การเตือนภัยขีปนาวุธ การตรวจจับในสนาม และการสอดแนม เพื่อธำรงความเหนือกว่าข้าศึกในสนามรบ ความเหนือกว่าในอวกาศย่อมนำมาซึ่งอิสรภาพในการเคลื่อนไหวกับเครื่องมือเครื่องใช้ในอวกาศต่าง ๆ (อาวุธ) เพื่อกำราบฝ่ายปรปักษ์ การพัฒนาศักยภาพตอบโต้ในอวกาศ จะช่วยให้ผู้บัญชาการสู้รบในสนามมีเครื่องมือใหม่ ๆ เอามาใช้ในภารกิจต่าง ๆ”

    แล้วกระทรวงกลาโหมทำสำเร็จไปไกลแค่ไหนแล้ว? กุยเซบเป้ อันซีร่า ศาสตราจารย์ชาวอิตาลี เขียนในบทความเรื่อง ‘สตาร์วอร์ : การตอบโต้ของจักรวรรดิ’ (Star Wars: Empires strike back) ฉบับวันที่ 18 สิงหาคม 2005 ในนิตยสาร Power and Interest News Report ความว่า

    มองในแง่เทคนิค แผนการของเพนตาก้อนคืบหน้าไปมาก ความจริงโครงการที่ทำอวกาศให้เป็นสนามรบ มีอยู่ในแผนมานานแล้ว แผนการเหล่านี้ (เท่าที่แพลมออกมา) ที่สำคัญมีอยู่ 2 โครงการ คือ แผน ‘ตีทั่วโลก’ ("Global Strike") และแผน ‘กระบองพระเจ้า’ ("Rods from God") แผนตีทั่วโลกเป็นการใช้ยานอวกาศทางทหาร บรรทุกระบบอาวุธเที่ยงตรงสูง (ความผิดพลาดไม่เกิน 3 เมตรห่างจากเป้า) หนัก 500 กิโลกรัม (1.100 ปอนด์) หน้าที่หลักคือโจมตีที่มั่นทางทหาร กองบัญชาการ และที่ตั้งทางทหารของข้าศึกในทุก ๆ แห่งบนโลก

    จุดแข็งของยานอวกาศทางทหารนี้คือ มันสามารถไปถึงเป้าหมายใด ๆ บนโลกได้ภายในเวลา 45 นาที ระยะเวลาที่สั้นทำให้กองทัพสหรัฐมีศักยภาพในการตอบโต้ที่เร็วมาก ๆ โดยที่ข้าศึกยังประสานการป้องกันตนเองไม่ทัน เป้าหมายหลักของอาวุธดังกล่าวก็คือที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของข้าศึก และจากแหล่งข่าวในกองทัพอากาศระบุว่า เพนตาก้อนไม่ยอมบอกเป้าหมายของอาวุธชนิดนี้ แหล่งข่าวอ้างว่าเหตุผลหลัก ๆ ก็คือ หลังจากทุ่มเงินไปกว่า US$100 พันล้านเหรียญ เพนตาก้อนต้องออกมายอมรับว่า ตนไม่สามารถสร้างระบบต่อต้านขีปนาวุธ ที่ปล่อยจากภาคพื้นดินขึ้นไปแล้วไม่ตกกลับลงมา คือไม่สามารถป้องกันแผ่นดินสหรัฐจากขีปนาวุธวิถีโค้งได้

    อันซีร่าพูดถึง "โครงการกระบองพระเจ้า" ว่า “มันประกอบด้วยยานในวงโคจร บรรทุกแท่งทังสเตนจำนวนหนึ่ง แต่ละแท่งมีความยาวราว 6.1 เมตร (20 ฟุต) เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร (1 ฟุต) ฐานปล่อยในวงโคจรจะทิ้งแท่งทังสเตนใส่โลก โดยใช้ดาวเทียมกำหนดเป้าหมาย แท่งนี้จะตกใส่โลกด้วยความเร็วมากกว่า 11,000 กิโลเมตร/ชั่วโมง (6,835 ไมล์ต่อชั่วโมง) และจะตกถึงพื้นโลกในเวลาเพียงไม่กี่นาที ด้วยความเร็วขนาดนี้ แท่งทังสเตนจะกระแทกใส่พื้นโลก และให้แรงระเบิดเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ แต่ปลอดสารกัมมันตรังสี ระบบนี้จึงทำงานโดยอาศัยดาวเทียม 2 ดวง ดวงหนึ่งเป็นดาวเทียมนำทาง อีกดวงหนึ่งบรรจุแท่งทังสเตน”

    การขีปนาวุธทางทหาร (Missile Defense Agency) ของเพนตาก้อน กำลังพัฒนาอาวุธสกัดกั้นขีปนาวุธที่มีฐานในอวกาศ (space-based missile interceptors -SBIs) มูลค่า $600 ล้านเหรียญ หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี บัดนี้ยังอยู่มันขั้นทดลอง โครงการนี้น่าจะจัดอยู่ในประเภทอาวุธในอวกาศ แต่โทนี่ สโนว์ โฆษกรัฐบาลบุช ตอบขอซักถามของสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่แล้วมาว่า “การคุ้มกันจากอวกาศ ไม่เหมือนกับการทำอวกาศให้เป็นสนามรบ”

    โครงการในอวกาศอื่น ๆ บนกระดานดำในกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วยโครงการขีปนาวุธร่อน X-51 ไฮเปอร์โซนิค ที่สามารถพุ่งไปได้ในความเร็ว 5,800 กม/ชม (hypersonic เหนือเสียงมากกว่า 5 เท่าขึ้นไป) ดาวเทียมกระจกที่สามารถสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงจากโลก ขึ้นไปทำลายวัตถุในอวกาศ และดาวเทียมที่สามารถยิงคลื่นวิทยุกำลังแรง เครื่องยิงเลเซอร์พลังงานสูงแบบต่าง ๆ ยานอวกาศหุ่นยนต์ที่สามารถระบุได้ว่าดาวเทียมดวงไหนเป็น ‘อันตราย’ ต่อสหรัฐ ซึ่งจะทำลายกลไกนั้น ๆ ทันที จรวดที่ตรวจจับพลังงานและแรงสั่นสะเทือน เครื่องร่อนติดอาวุธที่เรียกกันว่า ‘ยานเหินเวหา’ (Common Aero Vehicle) ที่สามารถยิงจรวดจากอวกาศ และเคลื่อนเข้าหาเป้าบนโลกด้วยความเร็วไฮเปอร์โซนิค และอื่น ๆ อีกมาก

    สำนักข่าว Associated Press รายงานเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ว่า รัสเซียเอือมระอาต่อความพยายามของสหรัฐ ที่จะนำระบบต่อต้านขีปนาวุธ (ABM) ไปติดตั้งทั้งในอวกาศ และในโปแลนด์และในสาธารณรัฐเชค ซึ่งก็คือบนหน้าของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินเลยทีเดียว เอพียังไปสัมภาษณ์พลเอกยูริ บาลูเยฟสกี้ เสนาธิการทหารสูงสุดของรัสเซียว่า ในกรณีที่สหรัฐนำระบบต่อต้านขีปนาวุธเข้าไปติดตั้งในยุโรปตะวันออก รัสเซียจะถอนตัวจากสนธิสัญญาหัวรบนิวเคลียร์พิสัยปานกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty -IRNFT) ปี 1987 หรือไม่ เนื่องจาก IRNFT ห้ามการติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลางในพื้นที่ยุโรป

    ด้วยกลัวที่ว่าการเตรียมทำสงครามในอวกาศจะหมดแรง หากรัฐบาลบุชและพวกจารีตนิยม-ใหม่ต้องมีอันหมดวาระลง พวกฝ่ายขวาที่ชอบสงครามจึงเร่งรณรงค์การนำสงครามขึ้นไปสู่อวกาศให้เสร็จเร็ว ๆ เมื่อปีกลายกลุ่มที่ปรึกษาสายเหยี่ยวหลายองค์การ จึงรวมตัวกันตั้งเป็น ‘คณะทำงานอิสระว่าด้วยขีปนาวุธการทหาร ความสัมพันธ์ในห้วงอวกาศกับศตวรรษที่ 21’ ("Independent Working Group on Missile Defense, the Space Relationship and the 21st Century") และตีพิมพ์เอกสารชิ้นหนึ่งออกมา เรียกร้องให้มีการขยายโครงการทหารในอวกาศ หนาทั้งหมดกว่า 200 หน้า

    เธเรซ่า ฮิชเค่นส์ เขียนลงในนิตยสาร Bulletin of Atomic Scientists ฉบับเดือนมกรา/กุมภา 2007 ว่า เอกสารชิ้นนั้น “เขียนด้วยภาษาไวไฟ จนน่าจะถูกสั่งห้ามไม่ไห้ใส่กระเป๋าถือ นำติดตัวไป (และ) โจมตีพวกที่คัดค้านการทำอวกาศให้เป็นสนามรบอย่างสาดเสียเทเสีย โดยกล่าวหาว่าคนเหล่านั้นเป็น ‘พวกบ้าลดกำลังรบ พวกสันติภาพจ๋า พวกบ้าการเมือง (และ) พวกต่อต้านอเมริกัน’ ที่สิโรราบให้กับแนวคิดที่จะ ‘ปลดอาวุธสหรัฐแต่ฝ่ายเดียว’

    สรุปก็คือ แนวคิดพวกนี้ก็คือลัทธินิยมทหารของสหรัฐนั่นเอง

    ดังที่ชาล์เมอร์ จอห์นสันเขียนในหนังสือ The Sorrows of Empire ของเขา “สหรัฐอเมริกาได้เข้าใกล้ความเป็นจักรพรรดินิยมและทหารนิยมมานานหลายปีแล้ว ผู้นำอเมริกันคลุมนโยบายต่างประเทศ และปกปิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพวกตน ด้วยถ้อยคำหวานหรู อาทิเช่น ‘มหาอำนาจเพียงลำพัง’ ‘ประเทศที่ตายไม่เป็น’ ‘นายอำเภอผู้กระอักกระอ่วน’ ‘การแทรกแซงด้านมนุษยธรรม’ และ ‘โลกาภิวัฒน์’ เป็นต้น

    อย่างไรก็ดี ตอนที่รัฐบาลบุชขึ้นเถลิงอำนาจในปี 2001 คำพูดเคลือบน้ำตาลเหล่านี้ก็เปิดทางให้กับการมาถึงของอาณาจักรโรมันรอบสอง ความจริงบุชไม่ได้เป็นผู้เปลี่ยนสังคมอเมริกันให้เป็นรัฐทหาร ลัทธินิยมทหารมีมาก่อนหน้าเขานานแล้ว อย่างน้อยก็มีมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ช่วงปลายปี 1940s ตอนที่ผู้นำทางการเมืองอเมริกันริเริ่มการการเตรียมพร้อมเพื่อทำสงคราม ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ตอนที่สหรัฐได้กลายร่างเป็นป้อมปราการที่ตีเกือบไม่แตก ตอนที่ศัตรูตัวกลั่น ๆ ของตัวได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว

    บุชก็ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนสังคมอเมริกันให้เป็นจักรพรรดินิยมอีกเช่นกัน ลัทธิจักรพรรดินิยมเคยเป็นตัวกระตุ้นให้สหรัฐ ยึดดินแดนของเม็กซิโกโดยไม่ชอบธรรม มาตั้งแต่ปี 1848 ลัทธิจักรพรรดินิยมยุแหย่ให้สหรัฐทำสงครามกับสเปนมาตั้งแต่ปี 1898 แล้วขยายลัทธิครองความเป็นเจ้าเข้าไปฮุบคิวบา เปอร์โตริโก้ และฟิลิปปินส์ จักรพรรดินิยมฝังอยู่ในกระดูกของสหรัฐมาตั้งแต่บัดนั้น โผล่ขึ้นมาวับ ๆ แวม ๆ แล้วขึ้นมากล้าแข็งสุด ๆ หลังจากโซเวียตล่มสลาย และด้วยแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน โลกได้กลายเป็นขั้วเดียว

    บุชเป็นประธานาธิบดีที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ เขาทั้งเป็นผู้ประกาศสงครามที่ไม่ชอบธรรม ข่มขู่คุกคามนานาประเทศ และตระบัดสัตย์ในสนธิสัญญาหลายฉบับ แต่ถึงกระนั้น เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ หากสหรัฐจะไม่หยิบยื่นอาวุธทางการเมือง เช่นลัทธิทหารนิยมและลัทธิจักรพรรดินิยม ที่ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ ส่งผ่านต่อ ๆ กันลงมากว่า 60 ปี ให้เขาหยิบมาใช้

    เรื่องราวที่ผมนำมาเปิดโปงว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังเตรียมทำสงคราม และมีวัตถุประสงค์เพื่อทำสงครามในครั้งนี้ ไม่ใช่คนในฝ่ายหัวก้าวหน้าจะมาหยิบฉวย เอาไปแก้ปัญหาอิรักในปัจจุบันนี้ หรือเวเนซูเอล่า อิหร่าน และจีนในอนาคตได้ เพราะที่จริง หัวใจของเรื่องนี้ก็คือ พวกเขาจะแก้ไขการสอดประสานกันอย่างวินาศสันตะโร ของลัทธิทหารนิยมและจักรพรรดินิยม ที่เป็นต้นสายปลายเหตุของการเตรียมทำสงคราม และสงครามได้กลายเป็นสีที่ติดแน่นทนทาน (ซักได้ไม่ซีด ไม่จาง) ของสังคมอเมริกัน ที่ผมได้นำเสนอมานี้ต่างหาก นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แค่คว่ำจอร์ช ดับเบิลยู บุชที่ทำสงครามในอิรัก หรือขจัดลินดอล บี จอห์นสันที่นำสหรัฐเข้าสู่สงครามในเวียดนามแล้วก็เสร็จ เพราะหากเราไม่อาจจัดการกับลัทธิทหารนิยมและจักรพรรดินิยมให้สิ้นซากไป เราเองก็จะทำได้แค่แผ้วถางทางไปสู่สงครามครั้งต่อไป และต่อ ๆ ไปนั่นเอง

    Jack A Smith is former editor of the (US) Guardian Newsweekly and editor of the Hudson Valley (New York) Activist Newsletter.

    (Copyright 2007 Jack A Smith.)

    Around the World - Manager Online - การทำห้วงอวกาศให้เป็นสนามรบ

    19 มีนาคม 2550 00:24 น.
     
  17. MinBuRII

    MinBuRII Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2013
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +97
    ช่วยกรุณาไปแจ้งผู้มีอำนาจโดยตรงได้มั๊ยครับ ผมคิดว่าผู้มีอำนาจคงไม่ได้มาอ่านกระทู้ซักเท่าไหร่นะ อยากบอกอะไรกับใครไปแจ้งเขาโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ รวมชื่อคนที่โมนาก็ดีนะครับ จะได้มีหลายๆเสียง คงจะดังกว่านี้ถึงจะมีคนได้ยิน
     
  18. pop-4935

    pop-4935 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +9
    มนุษย์ทุกผู้ทุกนามที่ได้เกิดมาอาศัยอยู่ในโลกนี้ล้วนแต่ที่คิดและกระทำการทำลายธรรมชาติ ไม่เว้นแต่ผู้เดียว แล้วจะมาโกธรกันทำไมว่าฉันดีเธอเลว ว่าของฉันดีของเธอลองหวนกลับมานึกทบทวนดูซิว่าวันนึงคุณทำลายธรรมชาติอะไรบ้าง เปิดแอร์ ขับรถ ล้างหน้า ฯลฯ
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    *** MAGNETO ****

    M___A___G___N___E___T___O
    13__1___7___1_4_5___20__15
    ___22__________9_____2015

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
    21กันยายน2558
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,670
    ค่าพลัง:
    +51,947
    *** โปรดน้ำจากทางช้างเผือก ****

    น้ำแข็งจากแหล่งน้ำในจักรวาล
    ลำเลียงมาโดยกระแสลมจักรวาล
    เดินทางมาลงสู่โลกที่ไซบีเรีย
    ฝนหิมะตกมากขึ้นไหลลงทะเลมากขึ้น
    น้ำในโลกจะมากขึ้น ๑๖ ส่วน
    มาเติมให้เต็มตามสัดส่วนที่ขาดหายไป
    ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น
    เกาะจะจมหายไปเป็นล้านๆเกาะ
    โลกจะสมบูรณ์ขึ้นเหมือนในอดีต
    ทุกอณูบนโลกจะถูกเติมเต็มด้วยน้ำ
    DNAจะถูกต่อเติมด้วยน้ำ
    โลกจะเข้ายุคใหม่
    โลกอบอุ่นขึ้น
    ระหว่างโลกปรับตัวครั้งนี้
    ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเอาท้องฟ้ามาเป็นสนามรบ
    ถ้าประเทศใดฝ่าฝืน ฟ้าจะต่ำลงมา
    โลกจะระส่ำระสาย หาผู้แพ้ผู้ชนะไม่ได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...