โสตัตตะภิญญา คาถาอภิญญา สวดแล้วมีอิทธิฤทธิ์ ได้อภิญญา

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย Apinya Smabut, 6 มีนาคม 2019.

  1. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    คาถาอภิญญา คือ โส ตัต ตะ ภิญ ญา

    จะสวดจนจิตเป็นฌาน หรือ เข้าฌานสมาบัติแล้วค่อยออกมาสวดคาถาก็ได้ตามสะดวก
    คาถานี้ถ้าทำได้เต็มที่แล้ว จะมีผลเหมือนกับเราได้กสิณทั้ง ๑๐ กอง
    ทำได้เหมือนอภิญญาแท้เลย คือ สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ล่องหนหายตัวได้
    แสดงฤทธิ์ได้เหมือนอภิญญาแท้
    คาถานี้เป็นคาถาที่หลวงพ่อฤๅษีท่านได้รับจาก "พระ" ท่าน
    แล้วหลวงพ่อท่านก็นำมามอบไว้ให้กับลูกศิษย์ได้สวดภาวนากันครับ
    ใครสนใจ ชอบในเรื่องฤทธิ์เดช ก็ลองสวดดูได้ครับ

    ----------------------------------------------

    เคล็ดลับคาถาอภิญญา

    ถาม : ระยะหลังพอนั่งแล้วหลับตาครู่หนึ่ง จะมีเหมือนแสงพุ่งขึ้นมาเป็นรูปเหมือนกับเม็ดข้าวสารใหญ่ ๆ ปะทะหน้าผาก บางครั้งก็สะดุ้งเหมือนกับจะหงายหลัง บางครั้งรู้สึกเหมือนกับแสงที่เราจุดไม้ขีดแล้วพุ่งใส่หน้า เมื่อรู้แล้วเราก็เฉย และไปถามคนที่นั่งกรรมฐานแล้วเขาบอกว่าไม่ดี หนูก็เลยใจไม่ดีค่ะ ?
    ตอบ : ใครบอกว่าไม่ดี ? ลักษณะของแสงที่เราว่ามา เป็นไปได้ ๒ อย่าง

    อย่างหนึ่งเขาเรียกว่า โอภาส จะเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตของเราจะเข้าอุปจารสมาธิ

    ส่วนอีกอย่างหนึ่งเป็นกำลังของอภิญญา ถ้าเป็นกำลังของอภิญญาให้เราเปลี่ยนมาภาวนาว่า "สัมปจิตฉามิ" หรือว่า "โสตัตตะภิญญา" แทน

    เมื่อเห็นแสงสว่างลักษณะแบบนี้ ให้ดึงเข้ามารวมกันอยู่ในอกของเรา พอรวมมากขึ้น กลายเป็นวงกลมสีทองเจิดจ้าอยู่ในอก ตอนนั้นตัวเราจะเริ่มลอยได้ พอเริ่มลอยได้ตอนนี้ต้องพยายามระมัดระวังคุมสติ เพราะว่าเราอาจจะฟู คือมีปีติมาก หรือไม่ก็อาจจะประเภทสนุก ลอยพรวดพราดไปเลย

    ค่อย ๆ นึกว่าเราจะไปตรงไหน วนรอบห้องก่อนก็ได้ ทำจนชำนาญคล่องตัว นึกเมื่อไรก็ลอยได้ แล้วเราค่อยขยับพื้นที่ออกไปอย่าให้ไกลนัก เอาสักกิโลเมตรหนึ่ง เผื่อหล่นตุ้บตั้บลงมาเรายังเดินกลับได้ ไม่อย่างนั้นถ้าไปไกล ๆ เดี๋ยวเดินกันเหนื่อยแย่


    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕


    ----------------------------------------------

    คาถาอภิญญา

    ถาม : คาถาอภิญญา ก็คือ สัมปะจิตฉามิ กับ โสตัตตะภิญญา ภาวนาสองคาถานี้ อยากจะทราบว่า..?
    ตอบ : ใช้ได้เหมือนกันทั้งคู่ เพียงแต่จากที่อาตมาทดสอบมา โสตัตตะภิญญาแรงกว่าเยอะ โสตัตตะภิญญาจะออกไปในแนวโลดโผนเหมือนอภิญญาแท้เลย สัมปะจิตฉามิ รู้สึกว่าออกมานิ่มนวลไปหน่อย

    ถาม : แล้วคนฝึกใหม่อย่างผม ควรจะภาวนา..?
    ตอบ : ภาวนาไปเถอะ บทไหนก็ได้ไม่มีใครว่า แต่ควรทำให้สม่ำเสมอ อย่างเช่นว่า เอาให้ได้วันละชั่วโมง ว่าไปเรื่อย ๆ แต่มีเคล็ดลับว่า ถ้าภาวนาไปแล้ว เห็นมีแสงสว่างขึ้น จะเป็นจุด เป็นเส้น เป็นขีด เป็นแผ่นเป็นผืน อย่างไรก็แล้วแต่ พยายามดึงมารวมเข้าไว้ในอก ถ้าหากแสงสว่างรวมเป็นดวงใหญ่ไว้ในอกได้ ตัวเราจะลอยขึ้นเอง ตอนนั้นบางทีเราไม่รู้หรอกว่าลอยขึ้นมาแล้ว พอลอยขึ้นมาแล้ว เราก็นึกบังคับให้ลอยช้า ๆ ก่อน บังคับอยู่ในห้องของเรานั่นแหละ อย่าเผลอเปิดหน้าต่าง เดี๋ยวไปไกล พอลอยจนคล่องแล้ว ทีนี้ก็ลองไปไกล ๆ ดู แต่ไม่ต้องกลัว ถ้านึกกลับเมื่อไรก็กลับที่เดิมได้ ไปลองซ้อมดู

    ถาม : ทั้งสองคาถามีผลเหมือนกันเลย
    ตอบ : มีผลเหมือนกัน แต่เท่าที่เคยหัดมา โสตัตตะภิญญาโลดโผนกว่าเยอะ ไปลองได้ จะได้ลองเสกเครื่องบินให้หายไปทั้งเครื่องเลย

    ถาม : เสกได้จริงหรือครับ ?
    ตอบ : ถ้าทำได้..ก็ได้ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดให้ไปก็ไป คิดให้มาก็มา


    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
    วันเสาร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓


    ----------------------------------------------

    พระคาถาอภิญญานั้นแบ่งออกเป็น ๒ บทด้วยกัน

    บทแรกคือ
    สัมปะจิตฉามิ ถ้าจะภาวนาคาถาบทนี้ ให้ขึ้นต้นด้วยนะโมฯ ๓ จบ พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ แล้วภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ จนครบก่อน หลังจากนั้นจึงภาวนา สัมปะจิตฉามิ ถ้าหากว่าเราทำคาถาบทนี้ขึ้น จะมีความสามารถคล้ายกับผู้ที่ฝึกอภิญญาจากพื้นฐานของกสิณ ๑๐

    ส่วนพระคาถาอภิญญาอีกบทหนึ่ง เรียกง่าย ๆ ว่าพระคาถาอภิญญาใหญ่
    ก็คือบท
    โสตัตตะภิญญา บทนี้ถ้าเราภาวนาแล้วทำขึ้น ก็จะมีฤทธิ์ มีอำนาจเหมือนกับใช้กสิณ ๑๐ ได้โดยตรง พระคาถาบทนี้วิธีการง่ายกว่า คือน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วก็ภาวนาได้เลย

    คาถาทั้งสองบทนี้เมื่อภาวนาไปแล้วจะเกิดผลสองประการ ประการแรก ก็คือ พอภาวนาไปแล้ว เราจะเห็นแสงสีทอง จะเป็นจุด เป็นขีด เป็นเส้น เป็นสาย เป็นแผ่นผืน หรือสว่างโดยไม่มีประมาณ หรือเหมือนกับฟ้าแลบก็ตาม

    เคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราเห็นแสงสีทองแล้ว ให้น้อมใจค่อย ๆ ตะล่อมเอาแสงนั้นเข้ามาในอกของเรา ถ้าสามารถรวมเป็นดวงโตสว่างไสวสีทองอยู่ในอกของเราเมื่อไร ร่างกายของเราจะลอยพ้นพื้น ต้องตั้งสติให้ดี ๆ ซักซ้อมการลอยอยู่ในห้องของเรา จนกระทั่งมีความชำนาญเสียก่อน ให้มั่นใจว่าเราบังคับร่างกายนี้ให้ลอยไปไหน ๆ ได้จริง อย่างนั้นแล้วเราค่อยออกไปสถานที่อื่น

    อีกประการหนึ่งผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ รู้สึกเหมือนโดนบีบรัด แน่นเข้าไป ๆ ทั้งตัว หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น ๆ มีอาการเหมือนกับเหนื่อยหอบ อยากจะดิ้นตึงตังโครมคราม ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้น ก็คือการที่กายในจะหลุดออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าเราตัดใจได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายนี้ก็ตาม เราไม่ใส่ใจ ต่อให้ตายลงไปในขณะที่ปฏิบัติความดีนี้เราก็ยอม ถ้าตัดใจอย่างนี้ได้ท่านจะหลุดออกไปเลย แต่ให้ตั้งเป้าไว้ด้วยว่าเราต้องการไปกราบพระที่พระนิพพาน ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าหลุดออกไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ออกไปก็จะรู้สึกมืดแปดด้าน ไปไหนไม่ถูก เปะปะไปหมด แล้วท้ายสุดทนรำคาญไม่ไหวก็กลับร่างกายตามเดิม

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๙
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)


    ----------------------------------------------
     

แชร์หน้านี้

Loading...