โลกสมมุติ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย toontaka, 15 มีนาคม 2011.

  1. toontaka

    toontaka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +10
    กรุงเทพมหานครในปี 2504 (ค.ศ. 1961) โรงภาพยนตร์เริ่มกลายเป็นที่ที่ชาวกรุงเข้าไปพักผ่อนหาความบันเทิง การไปดูภาพยนตร์ได้เริ่มกลายมาเป็นพฤติกรรมสามัญของชาวกรุงในยุคนั้น แทนที่การไปชมศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมอย่างลิเกหรือละคร เพราะภาพยนตร์คือผลผลิตทางเทคโนโลยีล้ำยุค เพื่อความบันเทิงของคนหมู่มากที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศนี้ พร้อมๆ กับกระบวนการทำให้ทันสมัย เพื่อมุ่งไปสู่ความเป็นทุนนิยม และบริโภคนิยมภายใต้การผลักดันอย่างสุดตัวของรัฐบาลในยุคนั้น

    ครั้งหนึ่ง อินทปัญโญได้เข้าไปสังเกตการณ์ในโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยที่โด่งดังในยุคนั้น เขาเข้าไปนั่งอยู่ด้านหลังสุดที่ถูกจัดเตรียมไว้แยกต่างหาก โดยพวกลูกศิษย์ของเขา ขณะที่ที่นั่งส่วนอื่นๆ มีผู้คนนั่งชมอยู่พอประมาณ เบื้องหน้าของทุกคนคือ จอผ้าใหญ่ซึ่งว่างเปล่า เมื่อดับไฟในโรงมืดลงแล้วก็มีลำแสงสว่างจากเครื่องฉาย ส่องข้ามศีรษะของผู้ชมไปตกบนจอ เพื่อฉายภาพที่ถ่ายและอัดไว้บนม้วนฟิล์มไปตกบนจอทีละภาพ โดยแสงสว่างซึ่งมีสีสันและความเข้มมากน้อยที่ตกบนจอ ด้วยความเร็ววินาทีละ 24 ภาพนั้น จะทำให้ดวงตาของผู้ชมจับการกะพริบมืดสว่างของจอนั้นไม่ทัน จึงนึกว่าจอสว่างอยู่เรื่อยๆ และเห็นว่า รูปร่างของสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏบนจอนั้นเคลื่อนไหว

    ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ผู้ชมภาพยนตร์ในโรงนั้นทั้งหมดยกเว้นอินทปัญโญก็ลืมไปสนิทว่า พวกเขากำลังมองดูจอว่าง ซึ่งมีเพียงแสงสีสันสว่างมืดฉายไปกระทบ และดับๆ เปิดๆ มืดสว่าง พร้อมกับแสงสีสันสว่างมืดที่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยม้วนฟิล์มและเครื่องฉายภาพยนตร์

    อินทปัญโญไม่ได้หันไปมองจอภาพอีกแล้ว แต่เขากลับจับจ้องลักษณะอาการของผู้ชมเหล่านั้นที่แสดงอาการหัวเราะร่า หรือสะเทือนใจไปกับเรื่องราวที่กำลังปรากฏ และดำเนินไปในภาพยนตร์นั้นราวกับเป็นเรื่องจริง และอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทั้งๆ ที่บนจอภาพหามีสิ่งใดไม่ มีเพียงภาพของแสงและเงาล้วนๆ บนจอเปล่า

    "เกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้น?" "พวกเขากำลังทำอะไรอยู่?" "พวกเขาถูกปลุกกระตุ้นได้อย่างไร?" "ทำไมพวกเขาถึงหัวเราะขบขัน ร่ำไห้สะอึกสะอื้นกับภาพที่มิใช่เพียงภาพอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกเขายึดถือมันอย่างเป็นจริงเป็นจังราวกับมันเป็นเรื่องจริงอย่างเกิดขึ้นมาจริงๆ"...อินทปัญโญตั้งคำถามในใจกับตนเอง ก่อนที่จะได้คำตอบเดี๋ยวนั้นออกมาเลยว่า

    ผู้ชมเหล่านั้น กำลังบันเทิงอย่างยอมรับโดยเต็มใจว่า โลกมายาที่ปรากฏเฉพาะหน้าบนจอนั้น มันเป็นจริงในขณะนั้น โดยที่พวกเขาได้ส่งจิตใจของพวกเขาเข้าไปจับบางส่วนของเงามืดสว่างบนจอนั้นราวกับว่าเป็นตัวตนของพวกเขาเอง อย่างพร้อมที่จะร่วมเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือตื่นเต้นไปกับเงาที่เป็นพระเอกนางเอกบนจอนั้นด้วย

    ในขณะที่ผู้ชมเหล่านั้น กำลังบันเทิงด้วยความสนุกสนานในโลกมายาแห่งจอภาพยนตร์นั้น เป็นขณะที่พวกเขาลืมและหลงไป ไม่มีสติรู้ระลึกว่าที่แท้พวกเขากำลังนั่งมองแผ่นจอว่าง ซึ่งมีเพียงสีสันสว่างมืด เปลี่ยนแปรอยู่เป็นห้วงๆ เท่านั้นเอง แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะขาดสติเช่นนี้ตลอดเวลาสองชั่วโมงด้วยความเต็มใจ พวกเขายินดีจ่ายเงินค่าชมเข้าไปนั่งก็เพื่อจะก้าวเข้าไปสู่โลกมายานั้นเพื่อเสพความบันเทิงเริงรมย์

    จริงอยู่เมื่อชมภาพยนตร์จบ และเดินออกจากโรงภาพยนตร์แล้ว ผู้ชมเหล่านั้นอาจทบทวนและสามารถบอกแก่ตนเองได้ว่า ประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมานั้น เป็นเรื่องสมมติทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตายจริงในจอนั้น ความตื่นเต้นระทมเศร้าที่มีอยู่ในขณะที่ดูภาพยนตร์อยู่นั้น จะคลายสลายไปหมด เพราะมีความรู้ชัดเกิดขึ้นว่า นั่นมันภาพยนตร์เป็นเรื่องสมมติทั้งนั้น! ความหลุดพ้นจากทุกข์สมมติของโลกมายานี้จึงบังเกิดแก่ผู้ชม เนื่องเพราะมีความรู้แจ้งชัดเจนในกลไกของระบบภาพยนตร์ว่า มันเป็นเพียงภาพฉายสีสันสว่างมืดบนจอว่างเท่านั้นเอง

    "สิ่งที่เรียกว่าโลกใบนี้ ปรากฏขึ้นดุจมายากลหรือภาพยนตร์ พวกเธอพึงพิศดูเยี่ยงนี้ แล้วจะเข้าถึงบรมสันติ" นี่คือสิ่งที่อินทปัญโญพร่ำสอนพวกลูกศิษย์ของเขา เขามักบอกกับลูกศิษย์ของเขาอยู่เสมอว่า โลกนี้ก็เป็นเช่นกับภาพยนตร์ ฉะนั้นอย่าไปเคร่งเครียดกับมันจนเกินเหตุ โลกนี้เป็นเพียงละครเท่านั้น

    "พวกเธอลองเหลียวดูไปรอบๆ สิ จงมองไปทั่วทุกมิติว่า ชีวิตของเธอคืออะไร หากเธอมีความตระหนักรู้ที่แจ่มชัด เธอก็เห็นได้เองแหละว่า ชีวิตของคนเรานั้น มันดูประหนึ่งความฝันอันยืดยาวเรื่องหนึ่งเท่านั้น"

    อินทปัญโญ กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิด

    "ชีวิตคือสันตติ ไม่มีสิ่งใดคงเดิม มันเป็นเสมือนภาพเคลื่อนไหว มันคือกระแสแห่งความนึกคิดที่เกิดดับอย่างต่อเนื่อง ชีวิตประจำวันอย่างที่เป็นอยู่ของคนธรรมดาสามัญ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่แทบไม่แตกต่างจากในโรงภาพยนตร์ เพราะมันก็เป็นผลจากการประมวลปรุงแต่งประสบการณ์รู้ของแต่ละขณะจิต ซึ่งเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว โดยที่ ชีวิตและโลกความจริงมีเพียงขณะจิตเดียว คือขณะจิตที่กำลังเกิดเป็นปัจจุบันอยู่เท่านั้น"

    อินทปัญโญรู้ดีว่า ภาพยนตร์คือ มหรสพทางเนื้อหนัง หรือการเสพความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังหรือทางผัสสะ ต่อไปผู้คนในโลกนี้จะถูกท่วมทับทวีด้วยสิ่งเย้ายวนที่ผลิตขึ้นประดิษฐ์ขึ้นในโลกนี้ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยล้ำยุค จนมันท่วมทับยึดครองจิตใจของผู้คนในโลกนี้จนแทบโงหัวไม่ขึ้น โลกจะเป็นวัตถุนิยม และบริโภคนิยมมากยิ่งขึ้นทุกที<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>
    · จงเคารพต่อธรรมชาติ จงเคารพต่อกฎธรรมชาติ และจงเคารพต่อผลของธรรมชาติ จงยอมรับความเรียบง่ายของการมีชีวิตอยู่ และการแตกดับโดยมองให้เห็นความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    · ไม่ติดค้างกับอดีต ไม่สงสัยในปัจจุบัน ให้อภัยผู้คนเปิดใจกว้าง เชื่อมตัวเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสถานการณ์อย่างเด็ดเดี่ยวไม่หวั่นเกรงภยันตราย และไม่หวั่นไหวต่อความสงสัยของสังคม คือสิ่งที่อาจารย์ของเขายึดถือ

    ที่มา www.suvinai-dragon.com
    ดร.สุวินัย ภรนวลัย
     
  2. toontaka

    toontaka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +10
    ข้าพเจ้าเชื่อว่า บทความข้างต้นนี้พอจะทำให้เรามองเห็นภาพออกกับสิ่งที่ผู้คนส่วนหลายบนโลกนี้หลงไปยึดถือ วอนท่านผู้รู้ได้โปรดอธิบายเรื่องของขันธ์ 5 เพิ่มเติมด้วยครับ
    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ..
     
  3. แก๊ก

    แก๊ก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +2
    เยี่ยมจริงๆๆครับ.....................
     
  4. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,001
    ค่าพลัง:
    +2,040
    สุดยอดครับ บทความนี้
     
  5. manganiss

    manganiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +636
    สุดจริงๆ ครับ บทความนี้ เห็นภาพได้ชัดเจนจริงๆ
     
  6. Phusaard

    Phusaard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +349
    ขอบคุณครับ บทความดีมาก

    ท่านเปรียบเทียบได้ดีเกี่ยวกับอาการ เกิด ดับของจิต

    ซึ่งสร้างภพสร้างชาติให้พวกเราอยู่กันไม่หลุดไปไหนเสียที

    วิญญาณนั้นไม่นิ่งเดี่ยวไปจับ เวทนา ที สัญญา ที สังขาร ที

    หากเราไม่มีสติมองไม่ทัน ก็จะเหมือนหนังที่ฉายอยู่

    โดยที่เราไม่ทันสังเกตุเห็นแต่ละเฟรมที่กระพริบไปอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน

    พระพุทธองค์จึงทรงให้เราหมั่นเอาวิญญานมาจับไว้ที่ รูปกาย คือลมหายใจ

    และรู้ตัวในทุกอริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน กิน ถ่าย ฯลฯ

    แล้วสักวันเราจะตามทันเห็นสิ่งต่างๆที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปภายในจิต คือเกิด ดับๆๆๆๆๆ

    จนเกิดความเบื่อหน่าย คลาย กำหนัด ในสิ่งมายาอันไม่เที่ยงแท้เหล่านั้น

    แต่ก็เป็น ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ต้องปฏิบัติด้วยตนเองจริงๆครับ

    ขอ อนุโมทนาสาธุ ครับ(deejai)
     

แชร์หน้านี้

Loading...