แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Ausney, 29 มกราคม 2006.

  1. Ausney

    Ausney สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +5
    แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป

    สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81

    ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ

    ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสาม
    วั นแล้วเผา ไม่ต้อง บอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คนคือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง เป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย

    เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละ สองใบคนหนึ่ง
    และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น

    ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล

    เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไป แล้ว 3 วัน

    หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิ ธรรมแล้วหรือยัง
    พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก

    จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์

    ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้า

    หน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

    อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบ

    ไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้กระทั่งวันตาย

    ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้เมืองเดิม
    ที่เขาเคยนั่ง เหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้

    เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้

    พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา

    การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ

    มาใช้ในการดำรงชีวิต

    วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า
    "ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
    แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้

    ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์"

    เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย

    เป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร

    คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพา

    เที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื่อง จ ากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้

    6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
    เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของ ลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่
    10 นาทีที่พูดมีแต่
    เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"

    พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก

    เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"

    เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่

    บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
    แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงิน
    ตามมิเตอร์ !

    4เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก

    แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน

    แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน

    หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
    "ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟัง เสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
    เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน"

    หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
    แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

    1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
    เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้ อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก

    เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า "ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที"

    เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง ! เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย

    เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง

    สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"

    เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า "สู้"

    เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า
    "คุณลุงแกสู้จริงๆ"

    ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
    "โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"






    ที่มาจาก Forward Mail
     

แชร์หน้านี้

Loading...