เอาเงินที่ไม่ใช่ของเราไปทำบุญ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย นายมาก, 15 มกราคม 2015.

  1. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    ตามหัวข้อเลยครับ มีอยู่ช่วงนึง ญาติพี่น้องร่วมกับพ่อผม ได้ขายที่ดินของตระกูล โดยนำมาเงินที่ได้มาแบ่งกัน โดยญาติๆพ่อได้ระบุว่าให้แบ่งมาให้ผมซึ่งเป็นบุตรด้วย จึงได้เงินมาเยอะกว่าคนอื่นเพราะมีจำนวนต้องแบ่งให้ผมอีก โดยพ่อผมตกลงตามที่ญาติๆระบุ หลังจากนั้นก็ได้บอกญาติๆว่า ได้แบ่งเงินจำนวนนั้นมาให้ผมแล้ว ซึ่งตัวผมไม่ได้รับรู้เรื่องนี้เลยจนเรื่องแดงออกมาหลังจากผมโทรไปคุยธุระกับญาติๆแล้วเขาได้ถามถึงเงินนั้น ซึ่งจะทวงก็ไม่ได้ เพราะเงินจำนวนนั้นพ่อได้ใช้ออกไปแล้ว ไม่รู้มีอะไรดนใจเขา ถึงได้นำเงินจำนวนนั้น ประมาณ 4แสนบาท ไปทำบุญถวายให้วัดๆนึง ไอผมก็ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง ก็ได้แต่อนุโมทนาไปกับเขา ไม่ทราบว่าผลบุญจากการกระทำแบบนี้จะเป็นยังไงครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้าทำจริง สี่แสนบาท ก็ได้เต็มจำนวน เพราะตอนหลัง จขกท อนุโมทนา ครับ บุญในเขตพุทธศาสนา

    ถ้าพ่อ จขกท ไม่ได้เอาเงินไปทำบุญ ก็ไม่ได้บุญใดๆ ทั้งสิ้น คงได้แต่เงิน สี่แสน+อยู่ในบัญชี

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2015
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถาม : เจอเงินบนถนน ไม่ทราบเจ้าของ เราเอาไปทำบุญผิดศีลข้อ ๒ หรือไม่ หรือว่าบาปหรือไม่คะ ?
    ตอบ : ผิดศีลก็คือขโมยเขา เจอเงินถือเป็นลาภลอย ถ้าไม่มั่นใจก็ทำถูกแล้วที่เอาไปทำบุญ อย่างน้อย ๆ เจ้าของเดิมจะได้กุศลบ้าง

    รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๗
    http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3967
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจมัย



    ผู้ถาม : "มีคนฝากให้มาถามหลวงพ่อว่า พ่อแม่ไม่ค่อยทำบุญแต่เป็นคนดี คนซื่อ ถ้าบุตรหลานทำบุญให้ แล้วจะใส่ชื่อของท่านด้วย อยากทราบว่า ท่านจะได้หรือไม่ครับ..?"

    หลวงพ่อ : "เขาโมทนาด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกไปบอกว่า "พ่อ (หรือแม่)ฉันทำบุญให้แล้ว" ถ้าท่านยินดีด้วยท่านได้แน่นอน ถ้าบอก "กูไม่รู้โว้ย" ด่าตะเพิด อันนี้ไม่ได้แน่"



    ผู้ถาม : "อย่างเวลาที่เลิกพระกรรมฐานแล้ว ก็มีคนไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ แต่หนูไม่มีของก็ยกมืออนุโมทนาด้วย อย่างนี้จะมีอานิสงส์ไหมคะ..?"

    หลวงพ่อ : "อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ ปัตตานุโมทนามัย เป็นผลกำไรจากการเจริญพระกรรมฐานไม่ต้องลงทุน ถ้าตั้งใจจริงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราได้ครั้งละ 90 ผ่านไป 10 คนเราได้ 900 มากกว่าเจ้าของ เอ้า! เยอะจริง ๆ มันทำบารมีให้เต็มเร็ว เร็วมาก

    การโมทนา เขาแปลว่า ยินดีด้วย ต้องยินดีด้วยความจริงใจนะ สักแต่ว่าสาธุ มันไม่ได้อะไร คำว่า "สาธุ" ไม่จำเป็นต้องออกเสียง ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เอาใจยินดีใช้ได้เลย

    และการแสดงความยินดีมันก็คือ มุทิตา เป็นตัวหนึ่งในพรหมวิหาร 4 นี่บุญตัวใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา" ถ้าก่อนตายจิตเศร้าหมอง ก็ไปอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น "จิตเต อสังกิลฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ถ้าก่อนตายจิตผ่องใส ก็ไปสู่สุคติ หมายถึง สวรรค์ก็ได้ พรหมก็ได้ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจของเรา



    และการโมทนานี่ทำให้ชุ่มชื่นใจ ใช่ไหม..เขาทำดีเรายินดีด้วย ยินดีกับความดีของเขา ไม่ช้าเราก็ดีตามเขา เพราะเราเห็นเขาดี เราก็ชอบดีใช่ไหม... แต่อย่าไปชอบดีเฉย ๆ นะ ต้องทำดีด้วยนะ ทำบุญด้วยตนเองบ้าง"



    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจมัย นี่เหมือนกันไหมครับ .. ?"

    หลวงพ่อ : "ไวยาวัจมัย เขาแปลว่า ขวนขวายในกิจการงาน เช่น เขาส่งสตางค์มาทำบุญ เราช่วยส่งต่อ หรือพวกที่ช่วยขนสังฆทานนี่ก็พลอยได้บุญไปด้วย มีอานิสงส์ต่ำกว่าบวชเณรนิดหนึ่ง ไม่เบานะแต่ปัตตานุโมทนามัยไม่ต้องลงทุน แต่พวกถือมานี่ยังต้องออกแรงนะ พวกโมทนานี่ไม่ต้องออกแรงเลย แต่อย่าลืมนะ ว่าเอาแค่โมทนาอย่างเดียวไม่ดีนะ ต้องอาศัยคนต้นตลอด ถ้าไม่ได้อาศัยคนต้นจริง ๆ จะสำเร็จมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระนางพิมพาต้องอาศัยพระพุทธเจ้าตลอด"

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม

     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  6. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอบคุณที่ไขข้อข้องใจให้ครับ
     
  7. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ถ้าอนุโมทนาด้วยใจจริง บุญมันก็เกิด แต่ถ้าไม่เต็มใจแต่เพราะมันช่วยไม่ได้ พ่อเอาไปถวายแล้ว โมทนาส่งๆไป บุญจะได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่ความคิดขณะนั้น
    สำหรับพ่อ ต้องดูเจตนา ถ้าเจตนาเอาเงินที่ควรเป็นของลูกไปถวายวัดในนามลูกเพราะหวังเพื่อให้ลูกได้กุศลด้วย พ่อก็จะได้บุญ แต่อานิสงส์ขึ้นอยู่กับเรา เช่น เราทุกข์ในการกระทำของพ่อ , เรายินดีในการกระทำของพ่อ ฯลฯ ที่กล่าวมาคือตัวอย่างอานิสงส์บางส่วน ทั้งดีและไม่ดี

    ตัวเลือกที่ดีที่สุด คือ ในเมื่อไม่มีทางได้เงินส่วนนั้นคืนมาได้ ให้ปล่อยวาง
     
  8. pukub

    pukub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2014
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +219
    4 แสน ก็เป็นเงินที่เยอะโข อยู่เลยทีเดียว
    ที่นี้ การทำบุญจริง ๆ แล้ว มันต้องมาจากความสมัครใจของเรา
    แต่ผมท้าให้เลยว่าเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ถ้าไม่รวยจริง ก็ไม่มีใครกล้าทำบุญเป็นแสน ๆ หรอก
    ยกเว้นว่าเงิน 4 แสนนั้น มันคือเศษ... ของตังในกระเป๋า

    และให้ผมคาดการณ์ แม้แต่ตัว จขกท เอง ก็คงไม่มีความคิดอยู่ในใจหรอกว่าจะเอาเงิน 4 แสนไปทำบุญ คือพอรู้ทีหลังก็คงจะช๊อค พอสมควร

    ทีนี้ เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับพ่อของคุณล้วน ๆ
    แต่ผมไม่อยากให้คิดเอง เออเอง คนเราควรจะหาคำตอบจากข้อเท็จจริง
    ดังนั้น จขกท อยากรู้ ก็ควรไปถามคุณพ่อตรง ๆ ว่า
    ตอนนั้น ที่ทำบุญไป 400,000 บาท คิดอะไรอยู่?
    เป็นเพราะอะไรถึงได้ทำบุญเยอะขนาดนั้น

    ความเป็นไปได้คือ
    1. พ่อคุณเคย "บน" อะไรเอาไว้ ถึงเวลาเลยต้องทำตามนั้น
    2. พ่อคุณอยากได้บุญเยอะ ๆ เลยทำบุญด้วยเงินที่เยอะ เผอิญเงินนั้นมันไม่ใช่ของพ่อตรง ๆ
    แต่เป็นของคุณ
    3... 4... 5...
    ประเด็นอื่น ๆ ต้องได้จากพ่อคุณเอง

    ที่นี้ถามว่าผมสนับสนุนไหม?
    ตอบตรง ๆ ไม่สนับสนุน
    เพราะอะไร?
    เพราะทุกอย่างจะโอเค ถ้าเงินนั้นเป็นของพ่อคุณเอง
    แต่เผอิญ จริง ๆ แล้วเงินนั้นต้องเป็นของคุณ
    การที่พ่อเอาไปทำเลยโดยไม่ได้มาบอกเราเลย หรือ พูดตรง ๆ ก็คือ
    "ควรขออนุญาตจากเราก่อน"

    มันเคยมีกรณีคล้าย ๆ กันแบบนี้มาก่อนในสมัยพุทธกาล
    แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันแบบนี้ คือ
    มีพระราชาสั่งให้คนงานไปเอาดอกไม้มาให้พระราชา
    คนงานก็ไปหาดอกไม้ พอดีระหว่างทาง เจอพระพุทธเจ้า
    แล้วเกิดความเลื่อมใสสุด ๆ เห็นคนอื่น ๆ ทำบุญ ก็อยากทำบุญแบบนั้นบ้าง
    แต่พอดี ทั้งตัวไม่มีอะไรเลย ที่สามารถจะทำบุญได้
    มีอย่างเดียวคือ ดอกไม้ในมือ ที่ถืออยู่
    แต่ถ้าไม่เอาดอกไม้ไปให้พระราชา ก็จะถูกอาญาหาว่าเป็นขโมย
    มีโทษคือถูกประหาร

    แต่ด้วยความที่เลื่อมใสสุด ๆ จึงคิดว่า "เอาวะ เป็นไงเป็นกัน"
    ขอทำบุญสักครั้ง ก็เลยทำบุญไป ด้วยการให้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง
    สุดท้ายพระราชา มารู้เรื่อง รู้ความจริง ก็ยกย่องและมอบทรัพย์เป็นจำนวนมาก (เล่าแบบสรุป)

    ที่นี้ประเด็นมันต่างกันอยู่นิด...
    อันนั้น เขาทำบุญโดยการเอาดอกไม้ของพระราชาไปทำบุญ
    ในขณะเดียวกัน รู้ทั้งรู้ว่าต้องตายชัวร์ แต่ก็ยังยอมทำบุญ
    แปลว่าเขาทำบุญ โดยสละของมีค่าที่สุด ไม่ใช่ดอกไม้ แต่คือชีวิตของเขาเอง
    โชคดีที่พระราชาเป็นคนธรรมมะ ธรรมโมพอดี เลยได้ดีไป
    แต่ถ้าไม่ใช่ ก็คือตายเลย

    คือการทำบุญ คือการ "ให้"
    การให้ คือการเสียสละ
    เสีลสละของสิ่งหนึ่ง เพื่อให้อีกคนหนึ่งได้มีความสุข ได้มีชีวิตที่ดี
    มันคือการสละความสุขของเราส่วนหนึ่ง แบ่งให้คนอื่นได้มีความสุขบ้าง
    มันจึงเรียกว่า "ทำบุญ"
    คนที่ศรัทธามาก ก็สามารถสละความสุขของตัวเองได้มาก เพื่อให้อีกหลายคนได้มีความสุข

    และสิ่งที่ได้รับตอบมาคือไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็น "ความสุข"
    ความสุขจากการให้ ความสุขจากการที่ไม่เป็นคนตะหนี่ ความสุขจากการเป็นคนไม่โลภ
    ความสุขจากการยอมเสียสละ ยอมแบ่ง ย่อมคว่ำมือลง

    ของเหล่านี้ มันไม่มีตัวตน มันไม่มีน้ำหนัก ไม่มีขนาด ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี
    ไม่มีสภาวะ มองไม่เห็น จับไม่ได้ แต่มันมีอยู่
    มันจึงเรียกสภาวะเหล่านี้ว่า เป็นของทิพย์ คือ ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริง

    ดังนั้นเพราะพอใจในสภาวะความสุข พอใจในของทิพย์
    ดังนั้น เมื่อตายไปจึงเข้าสู่สภาวะทิพย์ ก็คือเกิดในเทวโลก จึงเป็นฐานะที่จะมีได้
    เพราะว่ามีความพอใจในความเป็นทิพย์ จึงไปเกิดในสภาวะที่เป็นทิพย์

    ดังนั้นคนทำบุญเยอะ ๆ จึงไปสวรรค์ ก็เพราะแบบนี้

    สรุปง่าย ๆ คือ ทำบุญเพื่อเป็นคนที่ไม่ตระหนี่ เป็นคนชอบแบ่งปัน
    แบบนี้ ก็จะได้ดิบ ได้ดี เป็นเทน้ำ เทท่า ในวันข้างหน้า

    แต่ถ้าทำบุญเพราะอยากให้ผลบุญนี้ตอบแทนเรา ส่งกลับมาเยอะ ๆ ให้เรารวย ให้เราได้ดี
    แบบนี้ อานิสงฆ์จะน้อยกว่าแบบแรก เพราะอะไร?
    เพราะยังเป็นการทำบุญ บนพื้นฐานที่มีความตระหนี่ ความไม่อยากเสียสละ อยู่
    (ยังมีความอยากที่จะต้องการมีสมบัติมาก ๆ แสดงว่า เรายังไม่อยากสละของทั้งหลาย
    แต่เราอยากให้มันกลับมาหาเราเยอะ ๆ)
    จิตใจยังมีความยึดมั่นอยู่ (ในลาภ สักการะ ทั้งหลาย)
    จึงไม่อาจมาเทียบเคียงได้กับการทำบุญแบบความรู้สึกแรกได้ (ทำเพื่อจะได้เป็นคนไม่ตระหนี่)

    แม้จะได้ไปสวรรค์เหมือนกัน ก็จะต่างกันในลักษณะความเป็นทิพย์
    ยกตัวอย่างเข่น คนหนึ่ง อาจจะมีบริวาณสัก 50 อีกคนมีเป็นหมื่น
    ความหรูของทิพย์ ก็ต่างกัน มีวิมานที่สวย อีกคนก็สวยกว่า เหมือนเทียบบ้าน
    คนหนึ่งอยู่ บ้านเอื้ออาทร อีกคนมีคฤหาส มีสนาม มีสวน มีสระว่ายน้ำ มีเฮลิคอปเตอร์
    อะไรแบบนี้

    ที่นี้ ก็ต้องมาดูว่า คุณพ่อคุณ ทำบุญด้วยความรู้สึกแบบไหน จริง ๆ
    คำตอบทั้งหมดอยู่ที่คุณพ่อ แต่ถ้าเขาไม่พูด เราก็จะไม่รู้อะไรทั้งนั้น

     
  9. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    นั้นนะสิครับ ต้องถามเอาดูที่พ่อ แต่ดันติดต่อไม่ได้ครับ หายสาบสูญ ญาติพี่น้องก็ไม่พบเจอ ก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ได้แต่ฟังความจากญาติที่ติดต่อด้วยเท่านั้นเอง
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    รู้ กฏแห่งกรรมไหมครับ

    ผมจะบอกให้นะครับ จากที่เคยอ่านเคยฟังมานะ



    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เทศน์สอนไว้ว่า คร่าวๆ ประมานว่าที่จำได้นะคือ

    ถ้าในอดีตชาติ ไม่เคยทำผิดศีล ไม่เคยไปขโมยของใคร ลักทรัพย์ใคร

    ต่อให้มีคนมาจุดไฟเผาทรัพย์ ก็จุดไม่ติด มีไฟมาเผา ก็เผาไม่ติด จุดไม่ขึ้นไม่ติดไฟครับ ทรัพย์ของเราไม่สูญเสีย ไม่หายไปไหนครับ


    เรื่องของ จขกท นี่ ผมบอกตรงๆ ได้แค่ว่า เพราะว่า เงินสี่แสนนั้น ถึงชาตินี้ จะได้มาจากการแบ่งขาย แต่ก็เพราะมีกรรม ผลเลยเป็นอย่างที่เจอ นี่ละครับ

    ดังนั้นผมว่า จขกท สบายใจ อย่าไปคิดมากดีกว่าครับ แนะนำได้เท่านี่ละ


    ถ้าไม่ใช่ทรัพย์ของเรา ทำอย่างไร ก็ย่อมตกไปเป็นของผู้อื่นครับ

    ถ้าเป็นทรัพย์ของเราจริง ไม่ต้องกลัวหรอก อยู่เฉยๆก็มีคนเอามาให้เองแน่ๆ


    ลองหาคำเทศน์ครูบาอาจารย์อ่านดูครับ เรื่องเสียทรัพย์ของตัวเองพวกนี้ ส่วนใหญ่เพราะผลกรรมในอดีต กฏแห่งกรรม ส่งผลทั้งนั้นละครับ เป็นไปตามกฏแห่งกรรม ครับ

    มีอีกหลายๆเรื่อง เยอะมากมาย ลองหาอ่านๆดูตาม google ครับ ^^


    .
     
  11. นายมาก

    นายมาก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    อ่าจริงๆผมก็ไม่ได้คิดถึงเงินจำนวนนั้นแล้วครับ ที่คิดตอนนี้ก็มีแต่พ่อ หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ทาน ศีล ภาวนา สร้างบุญกุศล ครับ กฏแห่งกรรม ครับ

    จะเจอ จะจาก จะพบ ก็ตามกรรม ครับ
     
  13. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    กรณีแบบนี้ คนที่เอาทรัพย์ของคนอื่นไปทำบุญ ก็จะได้ครอบครองสมบัติแต่ไม่ได้ใช้ เช่นเศรษฐีบางคนมีเงินมากมายแต่ชอบประหยัดเกินเหตุ ไม่ยอมใช้ทรัพย์เพื่อสร้างความสุขให้ตนเอง มีความสุขที่เก็บสมบัติให้ลูกหลาน พอใจแค่นั้น สุขที่ได้เก็บ ไม่ใช่สุขที่ได้ใช้
    ส่วนตัวคุณเองจะมีบุญอยุ่ 2 งบด้วยกัน บุญในส่วนที่เป็นเจ้าของทรัพย์ตัวจริงก็จะได้ทำให้ได้ครอบครองทรัพย์นั้นอย่างชอบธรรม ส่วนบุญจากการอนุโมทนา ถ้าเลื่อมใสเต็มที่ก็จะสามารถใช้ทรัพย์นั้นสร้างความสุขได้เต็มที่อย่างที่ปรารถนาทุกประการ แต่ถ้าสักแต่อนุโมทนาไปอย่างนั้น ก็จะทำให้ไม่สามารถใช้สอยทรัพย์ได้อย่างเต็มที่ คือได้ครอบครองแต่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์ ดังนั้นคุณควรทำใจให้เลื่อมใส บุญก็จะเต็มส่วนเหมือนทำด้วยตนเอง
     
  14. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    สาธุกับบุญที่คุณพ่อท่านทำด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...