เอตทัคคะ ผู้ประเสริฐสุดในทางใดทางหนึ่ง

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 3 กรกฎาคม 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๘. พระมหากัปปินเถระ เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ

    ตอนที่ ๗ : พระเจ้ามหากัปปินะ.....ออกผนวช ๒

    เส้นทางเดินลำบากแลกันดาร
    เพราะต้องผ่านภูผาแลป่าใหญ่
    อีกทั้งมีแม่น้ำ (สามสาย) กั้นขวางไว้
    จะข้ามได้ต้องอาศัยเรือหรือแพ

    พาหนะเหล่านั้นคงยากหา
    พระองค์ทรงดำริว่าล่าช้าแน่
    หากต้องรอพาหนะจะพ่ายแพ้
    ต่อเกิดแก่เจ็บตายวายชีวา

    จึงทรงตั้งพระสัตยาธิษฐาน
    ขอดวงแก้วสามประการผ่านรักษา
    ขอผิวน้ำแกร่งดุจพสุธา
    ขอทัพม้าพาข้ามอย่างปลอดภัย

    ครั้นทรงสิ้นพระสัตยาธิษฐาน
    ทรงประสานอารมณ์มั่นคงไซร้
    ระลึกถึง .....พระพุทธคุณ..... หนุนนำชัย
    เสด็จข้ามแม่น้ำ (สายแรก) ได้ดั่งปรารถนา

    เมื่อมาถึงซึ่งแม่น้ำสายที่สอง
    พระองค์ทรงตรึกตรองมองเวหา
    รำลึกถึง .....พระธรรมคุณ..... เกื้อหนุนพา
    แล้วทรงม้าเสด็จข้ามแม่น้ำไป

    สายที่สามสมความตามที่นึก
    ทรงระลึกถึง .....พระสังฆคุณ..... ไซร้
    ทั้งสามสายพากันข้ามอย่างปลอดภัย
    ด้วยพระรัตนตรัยใคร่คุ้มครองผองคนดี ๚


    ตอนที่ ๘ : เอหิภิกขุอุปสัมปทา

    กล่าวถึงเมืองเรืองนามเขตคามนั่น
    คือวิหารเชตวันสาวัตถี
    ร้อยยี่สิบโยชน์ห่างจากฝั่งนที
    ซึ่งเป็นที่ประทับของพระศาสดา

    ทุกเช้ามืดพระองค์ทรงพระจริยวัตร
    ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ในโลกหล้า
    หากสัตว์ใดเข้าข่ายพระญาณมา
    พระพุทธองค์ทรงเมตตาพาพบชัย

    ราตรีนั้นพระเจ้ากัปปินะพร้อมบริวาร
    เข้าข้องข่ายพระญาณพระองค์ไซร้
    พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งแห่งเวไนย
    ว่าจักได้บรรลุถึงซึ่ง.....อรหันต์

    พระดำริควรออกไปต้อนรับ
    เมื่อเสด็จถึงจึ่งประทับ ณ ไพรสัณฑ์
    ใต้ต้นนิโครธใกล้ฝั่งแม่น้ำนั้น
    ทรงแผ่พระรัศมีวิลาวัณย์อันอำไพ

    ครั้นพระราชาเสด็จมาถึงยังที่
    ทอดพระเนตรเห็นรัศมีสว่างไสว
    ทรงดำริว่าแสงนี้มิใช่ใคร
    แน่นอนไซร้คือแสงแห่ง.....พระศาสดา

    จึ่งเสด็จลงจากหลังม้านั่น
    เหล่าอำมาตย์ทั้งพันทำตามหนา
    จากนั้นเดินตามหลังพระราชา
    เข้าเฝ้าองค์พระศาสดาตามต้องการ

    เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว
    ทรงประทับนั่งแถวหน้าสถาน
    ซึ่งเป็นที่อันควรพร้อมบริวาร
    พระพุทธเจ้าโปรดประทานพระวาจา

    พระพุทธองค์ทรงตรัสตามวาระ
    ด้วยธรรมะ.....อนุปุพพิกถา.....
    คือไล่ลำดับจากขั้นต่ำเรื่อยขึ้นมา
    เพราะปัญญาแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    ครั้นพระองค์ทรงจบพระเทศนา
    พระราชาและอำมาตย์เกษมสันต์
    บรรลุถึงซึ่งพระโสดาบัน
    พร้อมกันนั้นทูลขอบวชในทันที

    .....เอหิภิกขุอุปสัมปทา.....
    พระศาสดาทรงพระญาณสานวิถี
    ทรงทราบว่าบาตรจีวรในที่นี้
    ได้มาจากกรรมดีที่ทำไว้

    ดั่งนั้นแล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา
    ทรงตรัสว่ามาเถิดเป็นภิกษุไซร้
    จงประพฤติพรหมจรรย์ทุกวันไป
    เพื่อจักได้สิ้นสุดแห่ง.....เวทนา

    บริขารแปดพึงได้แก่ภิกษุนั้น
    หากเปรียบกันคล้ายเถระหลายพรรษา
    ภิกษุเหล่านั้นเหาะสู่ท้องนภา
    กลับลงมาถวายบังคมพระพุทธองค์ ๚
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๘. พระมหากัปปินเถระ เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ

    ตอนที่ ๙ : พระนางอโนชาเทวีเสด็จออกผนวช

    กล่าวย้อนถึงพระนางอโนชา
    ครั้นรับสาสน์จากพ่อค้าพาพิศวง
    จึ่งตรัสความถามเหตุเจตน์จำนง
    พระประสงค์องค์ราชันย์นั้นอย่างไร

    พ่อค้าทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมด
    พระราชินีทรงลดละสงสัย
    ทรงปีติปลาบปลื้มเปี่ยมฤทัย
    ทรงประทานรางวัลใหญ่ให้พ่อค้า

    แล้วตรัสแก่ภรรยาเหล่าอำมาตย์
    พระองค์ทรงมุ่งมาดปรารถนา
    จะออกบวชอุทิศถวายพระศาสดา
    ดุจดั่งพระราชาทรงพาเดิน

    ภรรยาเหล่านั้นครั้นฟังแล้ว
    ให้ผ่องแผ้วพากันสรรเสริญ
    ทั้งทูลขอพระนางร่วมดำเนิน
    เพื่อมุ่งสู่ความเจริญจวบนิพพาน

    เมื่อเดินทางถึงแม่น้ำสายแรกนี้
    พระราชินีทรงตั้งสัตย์อธิษฐาน
    ยึด “พระพุทธ” คือบรมครูอาจารย์
    ดลบันดาลข้ามแม่น้ำอย่างปลอดภัย

    แม้แม่น้ำสายที่สองแลที่สาม
    พระองค์ก็ทรงข้ามมาได้ไซร้
    สายที่สองยึด “พระธรรม” นำข้ามไป
    สายที่สามข้ามได้โดย (ยึด) “พระสงฆ์”

    เพราะว่าการระลึกถึง “พระรัตนตรัย”
    หวังสิ่งใดมักประสบสมประสงค์
    แต่ก็มีอุปสรรคให้พะวง
    พระพุทธองค์ทรงบันดาลให้.....ไม่เห็นกัน

    เหตุและผลที่ทรงบันดาลฤทธิ์
    เพื่อปกปิดอันตรายหลายเสกสรร
    ที่ปวงชนสร้างขึ้นมาเองนั้น
    เป็นเครื่องกั้นการกระทำนำความดี

    ครั้นพระนางเสด็จมาถึงแล้ว
    พระพักตร์แผ้วผ่องใสไร้หมองศรี
    ทรงกราบทูลถามถึงพระสวามี
    พระพุทธองค์ตรัสว่า “ที่นี่” ได้พบกัน

    แล้วทรงแสดง.....อนุปุพพิกถา.....
    เหล่าบรรดาภิกษุถึง.....พระอรหันต์
    กลุ่มพระราชินีบรรลุ.....โสดาบัน
    ณ กาลนั้นพระพุทธองค์ทรงคลายมนต์

    พระราชาทรงเห็นพระมเหสี
    หญิงเหล่านั้นเห็นสามีไม่สับสน
    ครองผ้าเหลืองเป็นสงฆ์แล้วทุกคน
    หมด กังวลพ้นทุกข์เป็นสุขใจ

    เมื่อพระนางทรงเห็นเหตุเช่นนั้น
    จึ่งพร้อมกันกับบริวารกรานกราบไหว้
    แหละทูลขอบวชตามพระวินัย
    เพื่อสะสมบ่มไว้ในกรรมดี

    พระพุทธองค์ทรงคำนึงรำพึงหา
    พระอุบลวรรณา (เถรี).....กรุงสาวัตถี
    ท่านบวชอยู่สำนักภิกษุณี
    แหละท่านมี.....เจโตปริยญาณ

    จึ่งรับรู้พระดำริพระพุทธเจ้า
    จึ่งได้เหาะเข้าเฝ้า ณ สถาน
    พระพุทธองค์ทรงตรัสสิ่งต้องการ
    ทรงประทานการบวชแก่พระเถรี

    ทรงตรัสบอกกับเหล่าอุบาสิกา
    ไปเถิดหนาไปสู่สาวัตถี
    บรรพชาในสำนักภิกษุณี
    พระอุบลวรรณาเถรีจะพาไป

    ระยะทางหนึ่งร้อยยี่สิบโยชน์
    ก็ถึงที่ที่ทรงโปรดประทานให้
    ประพฤติพรตพรหมจรรย์ทุกวันไป
    วันหนึ่งได้สำเร็จเป็น .....พระอรหันต์.....๚ ๛
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๘. พระมหากัปปินเถระ เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ

    ตอนที่ ๑๐ : ผู้เป็นเลิศในทางการให้โอวาทแก่ภิกษุ

    ขอกล่าวย้อนไปยังพระวิหาร (เชตวัน)
    คือสถานที่สงบสงัดนั่น
    พระมหากัปปินะพักอยู่ที่นั้น
    บรรลุเป็นพระอรหันต์ (องค์หนึ่ง) ในโลกา

    เพราะเหตุนั้นท่านเกิดความทุกข์จิต
    มีความคิดเรื่องอุโบสถเคยรักษา
    อีกทั้งกิจสังฆกรรมเคยทำมา
    ท่านคิดว่าควรมิควรทำต่อไป

    บัดดลนั้นพระพุทธเจ้าทรงรู้วาระจิต
    ว่าความคิดนั้นหนาพาหวั่นไหว
    พระพุทธองค์ทรงมีความห่วงใย
    ทรงแสดง (พุทธานุภาพ) ออกไปในทันที

    แลเสมือนปรากฏองค์อยู่ตรงหน้า
    ของพระมหา-กัปปินะผู้ผ่องศรี
    แล้วพระองค์ทรงพุทธพจนี
    พระกัปปินะเห็นแจ้งดีมีสุขใจ

    พระพุทธพจน์นั้นมีใจความว่า
    หากพวกเธอมิบูชาอุโบสถไซร้
    อีกสังฆกรรมเลิกทำกันต่อไป
    ก็จะไม่มีผู้ใดไหนทำเลย ๚

    ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น
    พระกัปปินะนั่งเด่นหน้าวางเฉย
    กายตั้งตรงทรงสติไว้อย่างเคย
    ทรงกล่าวเอ่ยถามความในทันใด

    “ดูก่อนเหล่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย”
    เธอเห็นกายของกัปปินะไหม
    พระเถระรูปนั้นนั่งอย่างไร
    มีการไหวเอนเอียงหรือตั้งตรง

    ภิกษุว่ามิเคยเห็นความเอนไหว
    ของพระเถระรูปนี้ไซร้ในหมู่สงฆ์
    แม้ท่านอยู่เพียงลำพังยังดำรง
    กายตั้งตรงคงอยู่ตลอดเวลา

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าดีแล้วหนอ
    ความไหวต่อกายและใจไม่มีหนา
    แก่ผู้ที่ดับกิเลสด้วยปัญญา
    คือเจริญ “อานาปานสติ” อย่างมั่นคง

    พระกัปปินะยินแล้ว (จึง) ประกาศว่า
    การเจริญอานาปานสติมิมีหลง
    เป็นคำสอนของพระศาสดามาโดยตรง
    จิตดำรงคงสติมิแกว่งไกว

    หากผู้ใดเจริญอานาฯ สมบูรณ์ดี
    ทำตามที่พระองค์ทรงวางให้
    จิตจะผ่องดุจจันทร์ผันอำไพ
    โลกนี้ไซร้ (ก็) ใสสุกทุกทิศา ๚

    พระมหากัปปินะมิว่าอยู่แห่งใด
    ท่านจักได้เปล่งเสียงอุทานหา
    “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” ตลอดเวลา
    ภิกษุพากันหวั่นวิตกใจ

    เพราะคิดว่า (พระเถระ) นึกถึงสมบัติเก่า
    จึงพากันเข้าเฝ้ากราบทูลไซร้
    แม้พระองค์ทรงรู้แจ้งเหตุเป็นไป
    แต่ยังรับสั่งให้เรียกพระเถระมา

    พระองค์ทรงตรัสถามถึงสาเหตุ
    พระกัปปินะตอบเจตน์แห่งกังขา
    ท่านเอิบอิ่มปริ่มสุขด้วยธรรมา
    ใช่มหา-สมบัติที่เคยมี

    พระพุทธองค์จึงตรัสแก่ภิกษุว่า
    สุขจากธรรมนำมาพาผ่องศรี
    พระกัปปินะเป็นผู้ประพฤติดี
    เป็นผู้ที่ปรารภถึง “อมตมหานิพพาน”

    แล้วพระองค์ทรงตรัสถามพระกัปปินะ
    เธอผู้ละกิเลสทุกสถาน
    เคยบ้างไหมแสดงธรรมบางประการ
    สั่งสอนศิษย์พ้นมารปราศจากภัย

    พระเถระกราบทูล “ไม่เคยพระเจ้าข้า”
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอย่ากระนั้นไซร้
    นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    เธอจงได้สอนภิกษุทั้งหลายนี้

    พระกัปปินะน้อมรับพุทธฎีกา
    กาลต่อมายกธรรมแสดงแจงวิถี
    เพียงครั้งเดียวศิษย์ทั้งหลายเข้าใจดี
    จึงเกิดมี “พระอรหันต์” เพิ่มขึ้นมา

    พระกัปปินะใช่สอนเพียงภิกษุนั่น
    ภิกษุณีเช่นกันท่านสอนหนา
    เป็นธรรมะเกี่ยวเนื่องเรื่องปัญญา
    เป็นทรัพย์ที่มีค่ากว่าเงินทอง ๚
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๘. พระมหากัปปินเถระ เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุ

    ตอนที่ ๑๑ : พระธรรมเทศนา-พระเถระปรินิพพาน

    .....ผู้มีปัญญา.....

    หากผู้ใดเห็นกิจมีประโยชน์
    แล้วรีบโลดแล่นทำนำสนอง
    ก่อนศัตรูแลอมิตรคิดครอบครอง
    ชนยกย่องว่าเป็นผู้ “มีปัญญา”

    บุคคลใดสิ้นทรัพย์ได้รับทุกข์
    จะพบสุขสักครั้งมิได้หนา
    บุคคลนั้นถือเป็นผู้ “ไร้ปัญญา”
    ขาดพินิจคิดพาตนให้พ้นภัย

    ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีปัญญา
    แม้สิ้นทรัพย์กลับหาความสุขได้
    เพราะปัญญาพาดำเนินเดินต่อไป
    ชีวิตไม่อับจนพ้นทรมาน

    .....“ความไม่เที่ยง” สอนภิกษุณี.....

    ความไม่เที่ยงเลี่ยงไม่ได้ในโลกนี้
    ก็คือมีความเกิดดับจับสถาน
    ไม่มีใครไป่ดำรงยงอยู่นาน
    ยามถึงกาลก็ต้องตายวายชีวัน

    ชีวิตที่มีประโยชน์ต่อใครใคร
    ก็จักไร้คุณค่าแก่คนตายนั่น
    การร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้วนั้น
    เป็นการบั่น-ทอน (ความ) คิดแลจิตใจ

    การร้องไห้ไร้ประโยชน์แลคุณค่า
    อันดวงตาก็จักเสียไม่สดใส
    อีกร่างกายก็ถอยลดกำลังไป
    ผิวพรรณไซร้ก็จะเสื่อมมิน่ามอง

    สมณะพราหมณ์ก็จักไม่สรรเสริญ
    ความเจริญจักไร้ผลสนสนอง
    ศัตรูย่อมยินดีด้วยคอยครอง
    มิตรพลอยหมองทุกข์ใจไปด้วยกัน

    ภิกษุณีเหล่านั้นครั้นฟังแล้ว
    ก็เพริศแพร้วสุขใจไร้โศกศัลย์
    ปฏิบัติในกิจถูกต้องพลัน
    ประโยชน์นั้นก็บังเกิดแก่ภิกษุณี

    พระบรมศาสดาจึงได้ทรงยกย่อง
    พระกัปปินะผู้ใสส่องผ่องราศี
    เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายนี้
    ในด้านที่ “สั่งสอนแลอบรม”

    พระมหากัปปินะเถระละสังขาร
    เพราะถึงกาลอายุขัยได้สุขสม
    ท่านดับขันธ์เข้าสู่แดนเหนือชั้นพรหม
    ณ บรมศานติสุข ....คือนิพพาน...๚ ๛
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙. พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ

    [​IMG]


    การที่ท่านพระสาคตเถระ ท่านนี้ได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ นั้นก็เนื่องด้วยเหตุ ๒ ประการคือ โดยเหตุเกิดเรื่อง คือ พระมหาสาวกองค์นั้น ได้แสดงความสามารถออกมาให้ปรากฏในเรื่องการเป็นผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุได้อย่างชัดแจ้ง และอีกเหตุหนึ่งก็คือเนื่องด้วยท่านได้ตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้นตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

    พระเถระแม้นี้ ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์แห่งหนึ่ง ในกรุงหงสวดี ปรากฏนามว่า โสภิตะ ครั้นเมื่อเติบใหญ่บรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ศึกษาและสำเร็จในศิลปะทั้งปวง ถึงฝั่งแห่งเวท ๓ เรียนไวยากรณ์แห่งสนิฆัณฑุศาสตร์ และเกฏุภศาสตร์ พร้อมด้วยประเภทแห่งอักขระมีอิติหาสศาสตร์ เป็นผู้ชำนาญในโลกายตศาสตร์และมหาปุริสลักษณศาสตร์ วันหนึ่ง ท่านเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระผู้งดงามด้วยสิริแห่งมหาปุริสลักษณะ ๓๒ เสด็จไปยังประตูพระอุทยานมีใจเลื่อมใสยิ่ง ได้กระทำการสรรเสริญคุณพระบรมศาสดาเป็นอเนกประการ ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับดังนั้นจึงทรงประทานพยากรณ์ว่า ในอนาคตเธอจักเป็นสาวกนามว่า สาคตะในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าโคดม

    ต่อมา โสภิตมาณพได้ไปยังพระวิหาร ในขณะกำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ใน ตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ จึงทำกุศลกรรมอย่างใหญ่แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระสาวก แล้วอธิษฐานปรารถนาที่จะตำแหน่งเช่นนั้นบ้าง ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต แต่นั้นท่านก็สั่งสมบุญทั้งหลาย ดำรงอยู่ตลอดอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติตลอดแสนกัป เสวยมนุษย์สมบัติในมนุษย์ทั้งหลาย


    ๐ กำเนิดในสมัยพระศากยโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครอบครัวพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาจึงตั้งชื่อท่านว่า สาคตมาณพ ต่อมา สาคตมาณพนั้น ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ศรัทธา จึงบวชทำสมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว บรรลุความเป็นผู้ชำนาญในสมาบัตินั้น แต่ยังไม่บรรลุพระอรหัต
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙. พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ

    ๐ สาคตภิกษุแสดงฤทธิ์ปราบพญานาค

    โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเจติยชนบท ได้ทรงดำเนินไปทางตำบลภัททวติกะ (บ้านรั้วงาม) ที่ใกล้ กรุงโกสัมพี ณ ที่ตำบลนั้น ในอดีตได้เกิดเหตุขึ้น ด้วยมีพวกชนในตำบลนั้นมากด้วยกันเป็นศัตรูของนายเรือเก่าที่ท่าน้ำ ตีนายเรือนั้นตาย นายเรือนั้นตั้งความปรารถนาด้วยจิตที่ขุ่นแค้น บังเกิดเป็นนาคราชมีอานุภาพมาก อยู่ที่ที่ท่าเรือนั้นนั่นแหละ และด้วยความแค้นเคืองชาวบ้านในตำบลนั้น พญานาคนั้นจึงบันดาลให้ฝนตกในเวลาที่มิใช่หน้าฝน ไม่ให้ฝนตกในเวลาหน้าฝน ข้าวกล้า ก็ไม่สมบูรณ์ พวกชาวตำบลนั้นต้องทำการเซ่นสังเวยทุกปี สร้างศาลหลังหนึ่งให้นาคราชนั้นอยู่ เพื่อให้นาคราชนั้นสงบ

    โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเจติยชนบท ได้ทรงดำเนินไปทางตำบลภัททวติกะ (บ้านรั้วงาม) ทรงมีพระประสงค์จะประทับอยู่คืนหนึ่ง ณ ที่นั้น คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว์ คนชาวนา คนเดินทาง ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคกำลังทรงดำเนินมาแต่ไกล ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระองค์อย่าได้เสด็จไปยังท่าอัมพะ (ท่ามะม่วง) เลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะที่ท่ามะม่วงมีนาคชื่ออัมพติฏฐกะอาศัยอยู่ในอาศรมชฏิล เป็นสัตว์มีฤทธิ์เป็นอสรพิษร้าย มันจะได้ไม่ทำร้ายพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีประภาคเจ้า ทำเป็นเหมือนไม่ทรงได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านั้นถึงเมื่อพวกนั้น กราบทูลห้ามอยู่ถึง ๓ ครั้ง ก็คงเสด็จไปจนได้ ครั้งนั้นพระสาคตเถระเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระเถระนี้ทราบว่า มีนาคราชดุอยู่ที่นั้น จึงคิดว่า ควรจะทรมานนาคราชนี้ให้หายพยศแล้วจัดแจงที่ประทับอยู่สำหรับพระศาสดา ดังนี้แล้ว ได้เข้าไปยังโรงบูชาไฟ ปูเครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้า นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า นาคนั้นพอแลเห็นท่านพระสาคตะเข้ามาดังนั้น เห็นเป็นการลบหลู่อำนาจของตนจึงเกิดความดุร้ายขุ่นเคือง โกรธว่า สมณะโล้นนี้ชื่อไร จึงบังอาจเข้าไปนั่งยังที่อยู่ของเรา แล้วบันดาลควันขึ้นในทันใด

    ท่านพระสาคตะก็บันดาลควันขึ้นข่ม มันทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที แม้ท่านพระสาคตะก็เข้าเตโชธาตุกสิณสมาบัติ บันดาลไฟต้านทานไว้ ครั้นท่านครอบงำไฟของนาคนั้นด้วยเตโชกสิณแล้ว นาคคิดว่าภิกษุรูปนี้ใหญ่จริงหนอ จึงหมอบกราบลงแทบเท้าพระเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพระเจ้า ขอถึงท่านเป็นสรณะ พระเถระบอกว่า กิจด้วยสรณะสำหรับเราไม่มีดอก ท่านจงถึงพระทศพลเป็นสรณะเถิด นาคนั้นรับคำว่า ดีละ แล้วเป็นผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่นั้น นาคก็ไม่เบียดเบียนใครๆ ทำฟ้าฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สมบูรณ์พูนผล เรื่องราวที่พระสาคตเถระทรมานนาค แผ่ไปทั่วชนบท


    ๐ สาคตภิกษุดื่มเหล้าเมาจนหมดสติ

    ส่วนพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านรั้วงาม ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกไปสู่จาริกทางพระนครโกสัมพี พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีได้ทราบข่าวว่า พระคุณเจ้าสาคตะได้ทรมานอัมพติตถนาคผู้อยู่ ณ ตำบลท่ามะม่วงได้แล้ว ต่างคอยการเสด็จมาของพระศาสดา จัดแจงสักการะเป็นอันมากสำหรับถวายพระทศพล พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนครโกสัมพี จึงพวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีพากันรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระสาคตะ กราบไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วถามท่านว่า ท่านขอรับอะไรเป็นของหายากและเป็นของชอบของพระคุณเจ้า พวกกระผมจะจัดของอะไรถวายดี ?

    เมื่อเขาถามอย่างนั้นแล้ว พระเถระก็นิ่งเสีย แต่พระฉัพพัคคีย์ (พวกภิกษุเหลวไหลทั้ง ๖ที่ชอบก่อเรื่องเสียหายทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติสิกขาบทหลายข้อ) ได้กล่าวตอบคำนี้กะพวกอุบาสกว่า มี ท่านทั้งหลาย สุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ พวกบรรพชิตหาได้ยากนัก และก็เป็นของชอบใจด้วย ถ้าพวกท่านเลื่อมใสพระเถระละก็จัดสุราสีแดงดังสีเท้านกพิราบมาถวายเถิด

    ครั้งนั้น พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพี ได้จัดเตรียมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบไว้ทุกๆ ครัวเรือน พอเห็นท่านพระสาคตะเดินมาบิณฑบาต ก็พากันถวายน้ำนั้น บ้านละหน่อยๆ พระเถระถูกผู้คนทั้งหลายคะยั้นคะยอ เพราะยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ก็ดื่มทุกเรือนหลังละหน่อยๆ เดินไปไม่ไกลนักก็สิ้นสติล้มลงที่กองขยะ เพราะไม่มีอาหารรองท้อง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙. พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ

    ๐ พระศาสดาทรงบัญญัติสิกขาบท

    พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระสาคตะล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงช่วยกันหามสาคตะไป

    ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว หามท่านพระสาคตะไปสู่อารามให้นอนหันศีรษะไปทางพระผู้มีพระภาค แต่ท่านพระสาคตะกลับนอนเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตมิใช่หรือ ?

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เออก็บัดนี้ สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตอยู่หรือ ?

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคอยู่ที่ตำบลท่ามะม่วงมิใช่หรือ ?

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ใช่ พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้สาคตะสามารถจะต่อสู้แม้กับงูน้ำได้หรือ ?

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้วถึงวิสัญญีภาพนั้นควรดื่มหรือไม่ ?

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนสาคตะจึงได้ดื่มน้ำที่ทำผู้ดื่มให้เมาเล่า ? การกระทำของสาคตะนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙. พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้

    พระบัญญัติ

    [๑๐๐๑] เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย


    ๐ พระเถระบรรลุพระอรหัต

    วันรุ่งขึ้น ท่านได้สติ ฟังเขาเล่าถึงเหตุที่ตนได้กระทำลงไปแล้ว ก็แสดงโทษที่ล่วงเกิน ขอให้พระทศพลงดโทษแล้ว เกิดความสลดใจ เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต


    ๐ พระพุทธองค์แสดงชาดกเรื่องภิกษุดื่มสุราในอดีต

    ภิกษุทั้งหลายประชุมในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่มสุราว่า ผู้มีอายุทั้งหลายขึ้นชื่อว่า การดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวงถึงกับกระทำให้พระสาคตะผู้ได้นามว่า สมบูรณ์ด้วยปัญญา มีฤทธิ์ กลับไม่รู้แม้แต่คุณของพระศาสดา จึงได้กระทำอย่างนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่มสุราแล้ว พากันสลบไสล มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน ดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้

    ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี ได้อภิญญาและสมาบัติ พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ แวดล้อมด้วยอันเตวาสิกประมาณ ๕๐๐

    ครั้นถึงฤดูฝน พวกอันเตวาสิกพากันเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเราพากันไปแดนมนุษย์ บริโภคของเปรี้ยวๆ เค็มๆ แล้วค่อยมากันเถิด ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวว่า อาวุโส เราจะคอยอยู่ในที่นี้แหละ พวกเธอพากันไปบำรุงร่างกาย จนฤดูฝนผ่านไป แล้วจึงพากันกลับมาเถิด

    อันเตวาสิกเหล่านั้นรับคำว่า ดีแล้วขอรับ พากันกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนครพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน ครั้นวันรุ่งขึ้นก็พากันไป เที่ยวภิกษาจารในบ้านภายนอกประตูพระนคร ได้รับความเกื้อกูลอย่างดี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงพากันเข้าไปสู่พระนคร พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษา ล่วงมา ๒-๓ วัน ก็พากันกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ฤๅษี ๕๐๐ รูป พากันมาจากป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน มีตบะกล้า มีศีล พระราชาทรงสดับคุณของฤๅษีเหล่านั้นเสด็จสู่อุทยาน ทรงนมัสการแล้วกระทำการปฏิสันถาร ผเดียงให้อยู่ในพระอุทยานนั้นแหละตลอด ๔ เดือนฤดูฝน นับแต่นั้นฤๅษีเหล่านั้น ก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พำนักอยู่ ณ พระราชอุทยาน

    อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ ชื่อว่าสุรานักษัตร พระราชาทรงพระดำริว่า อันว่าสุรานั้น พวกบรรพชิตหาได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดีเป็นอันมากถวายแก่พวกดาบส พวกดาบสดื่มสุราแล้วพากันกลับไปอุทยาน ต่างก็เมาสุรา บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้อง ครั้นฟ้อนรำขับร้องแล้วก็พากันนอนหลับทับบริขาร มีไม้คานเป็นต้น พอสร่างเมา พากันตื่น เห็นอาการอันวิปริตของตนนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า พวกเรามิได้กระทำการอันสมควรแก่บรรพชิตเลย กล่าวกันว่า พวกเราจากท่านอาจารย์มา พากันกระทำกรรมอันเลวถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นเอง ก็พากันทิ้งอุทยานกลับไปป่าหิมพานต์ เก็บบริขารไว้เรียบร้อยแล้ว พากันไหว้อาจารย์นั่งอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ถามว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านมิได้ลำบากด้วยภิกษา พากันอยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน อนึ่งพวกเธอยังจะอยู่กันด้วยความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ เหล่าดาบสผู้เป็นศิษย์พากันกราบเรียนว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกกระผมอยู่กันอย่างสบาย ก็แต่ว่า พวกผมพากันดื่มในสิ่งไม่ควรดื่ม สลบไสลไปตามๆ กัน ไม่อาจดำรงสติได้ พากันขับร้องฟ้อนรำตามเรื่อง เมื่อแจ้งเรื่องนั้นแล้ว ก็พากันยกคาถานี้เรียนอาจารย์ว่า :

    "พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้ชวนกันฟ้อน พากันขับร้อง
    แล้วก็พากันร้องไห้ เพราะดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต
    เห็นดีแต่ที่มิได้กลายเป็นลิงไปเสียเลย"

    บทข้างต้นมีความหมายว่า

    พวกกระผมพากันดื่มสุรา ครั้นดื่มสุราแล้ว ก็คะนองมือคะนองเท้า พากันฟ้อนรำ เปิดปากร้องเพลงด้วยเสียงอันยืดยาว

    ครั้นสร่างเมาแล้ว กลับมีวิปฏิสาร พากันร้องไห้ว่า พวกเราทำกรรมไม่สมควรเห็นปานนี้

    เหตุเพราะดื่มสุรา ที่ชื่อว่า กระทำให้สัญญาวิปริต เพราะทำลายสัญญาเสียได้ถึงเพียงนี้ ข้อนั้นยังดี ที่พวกข้าพเจ้าไม่กลายเป็นลิงไปเสียหมด

    พวกอันเตวาสิกเหล่านั้น พากันกล่าวโทษของตน ด้วยประการฉะนี้

    พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า นรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครู ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น ตำหนิดาบสเหล่านั้นแล้วให้โอวาทว่า พวกท่านอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีก

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนศาสดาของคณะ ได้มาเป็นเราตถาคต
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙. พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ

    ๐ พระศาสดาทรงสถาปนาท่านเป็นเอตทัคคะ

    เรื่องที่พระเถระนี้ได้ใช้เดชครอบงำเดชของนาคชื่ออัมพติตถะ ได้ทำให้นาคนั้นหายพยศ ได้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่องภายหลัง พระศาสดาประทับนั่งในพระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระสาคตเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุแล


    ๐ พระเถระเป็นพุทธอุปัฏฐาก

    ในครั้งปฐมโพธิกาล ภายใน ๒๐ พรรษาแรก ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าเป็นอุปัฏฐากประจำของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่มี บางคราว พระนาคสมาลเถระอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า บางคราว พระนาคิตเถระ บางคราว พระเมฆิยเถระ บางคราว พระอุปวาณเถระ บางคราวพระสาคตเถระ บางคราวพระเถระผู้เป็นโอรสของเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า


    ๐ เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร

    สมัยหนึ่ง ครั้งที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระสาคตะเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ ได้สดับว่าในเมืองจัมปา มีบุตรเศรษฐีชื่อโสณโกฬิวิสโคตร เป็นสุขุมาลชาติ ที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเขามีขนงอกขึ้น จึงทรงมีพระประสงค์จะทอดพระเนตร จึงมีพระดำรัสสั่งให้บุตรเศรษฐีนั้นเข้าเฝ้า ครั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ทอดพระเนตรแล้ว จึงได้ส่งบุตรเศรษฐีพร้อมชาวเมืองนั้นให้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันของเขาเหล่านั้น ครั้งนั้น พวกเขาเหล่านั้นก็พากันเดินทางไปยังภูเขาคิชฌกูฏ


    ๐ พระสาคตเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

    ก็สมัยนั้น ท่านพระสาคตะเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค จึงพวกเขาพากันเข้าไปหาท่านพระสาคตะ แล้วได้กราบเรียนว่า ท่านขอรับ ประชาชนชาวเมืองจัมปานี้ เข้ามาในที่นี้เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขอประทานโอกาสขอรับ ขอพวกข้าพเจ้าพึงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค

    ท่านพระสาคตะบอกว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงอยู่ ณ ที่นี้สักครู่หนึ่งก่อน จนกว่าอาตมาจะกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ดังนี้ และเมื่อพวกเขากำลังเพ่งมองอยู่ข้างหน้า ท่านพระสาคตะดำลงไปในแผ่นหินอัฒจันทร์ผุดขึ้นตรงพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ประชาชนชาวเมืองจัมปานี้พากันเข้ามา ณ ที่นี้เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้

    พระพุทธเจ้าข้าพระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรสาคตะ ถ้ากระนั้นเธอจงปูลาดอาสนะ ณ ร่มเงาหลังวิหาร ท่านพระสาคตะทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า ทราบเกล้าฯ แล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วถือตั่งดำลงไปตรงพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค เมื่อประชาชนชาวเมืองจัมปานั้นกำลังเพ่งมองอยู่ตรงหน้าจึงผุดขึ้นลากแผ่นหินอัฒจันทร์แล้วปูลาดอาสนะในร่มเงาหลังพระวิหาร
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๓๙. พระสาคตเถระ เอตทัคคะในทางผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ

    ๐ เสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้า

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหาร แล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่จัดไว้ ณ ร่มเงาหลังพระวิหาร จึงประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง และพวกเขาพากันสนใจแต่ท่านพระสาคตะเท่านั้น หาได้สนใจต่อพระผู้มีพระภาคไม่

    ทันทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกเขาด้วยพระทัยแล้ว จึงตรัสเรียกท่านพระสาคตะมารับสั่งว่า ดูกรสาคต ถ้ากระนั้น เธอจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ ให้ยิ่งขึ้นไปอีก

    ท่านพระสาคตะทูลรับสนองพระพุทธาณัติว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง สำเร็จการนอนบ้าง บังหวนควันบ้าง โพลงไฟบ้างหายตัวบ้าง ในอากาศกลางหาว ครั้นแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นธรรมยวดยิ่งของมนุษย์หลายอย่างในอากาศกลางหาว แล้วลงมาซบศีรษะลงที่พระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก

    ดังนี้ จึงประชาชนเมืองจัมปานั้นพูดสรรเสริญว่า ชาวเราผู้เจริญอัศจรรย์นัก ประหลาดแท้ เพียงแต่พระสาวกยังมีฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ ยังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ พระศาสดาต้องอัศจรรย์แน่ ดังนี้ แล้วพากันสนใจต่อพระผู้มีพระภาคเท่านั้น หาสนใจต่อท่านพระสาคตะไม่


    ๐ ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจ

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกเขาด้วยพระทัย แล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถาโทษ ความต่ำทรามความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกบรรพชา

    เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค

    ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้วปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของพระศาสดา

    ได้กราบทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำพวกข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    Home Main Page
    Dhamma and Life - Manager Online
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๐. พระราธเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง

    การที่ท่านพระราธเถระ ท่านนี้ได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง นั้นก็เนื่องด้วยเหตุ ๒ ประการคือ โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ คือพระมหาสาวกองค์นั้น ได้แสดงความสามารถออกมาให้ปรากฏในเรื่องการเป็นผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง และอีกเหตุหนึ่งก็คือเนื่องด้วยท่านได้ตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้นตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

    นับจากภัทรกัปนี้ถอยไปแสนกัป พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ท่านได้มาเกิดเป็นพราหมณ์ชาวพระนครหงสวดี ครั้นเติบใหญ่ ได้เล่าเรียนจนจบไตรเพทแล้ว วันหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคในพระวิหาร ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีปฏิภาณ แล้วได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ครั้งนั้นท่านได้บำเพ็ญมหาทาน และได้ทำการสักการบูชาแด่พระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์อย่างโอฬาร แล้วหมอบศีรษะลงแทบพระบาท กราบทูลตั้งความปรารถนาจะตั้งอยู่ในฐานันดรเช่นภิกษุรูปนั้นบ้างในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านว่า ท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืนเถิด ปณิธานความปรารถนาของท่านจงสำเร็จเถิด สักการะที่ท่านทำในเรากับพระสงฆ์ ก็จงมีผลไพบูลย์ยิ่งเถิด

    ในกัปที่แสนนับจากกัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดมซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้ จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้นเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าราธะ พระนายกจักทรงแต่งตั้งท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ

    ท่านได้สดับพุทธพยากรณ์นั้นแล้วก็ยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตาบำรุงพระพิชิตมารในกาลนั้นตลอดชีวิต เพราะท่านเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา และด้วยกรรมที่ท่านได้ทำไว้ดี แล้วนั้น อีกทั้งด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เมื่อท่านละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไปท่านจึงเป็นผู้ถึงความสุขในทุกภพ


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า

    ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านก็มีโอกาสได้ทำกุศลแด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นโดยวันหนึ่ง ท่านเห็นพระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตอยู่ในถนน ก็บังเกิดมีมีใจเลื่อมใส จึงได้ถวายผลมะม่วงอันมีรสหวาน แด่พระผู้มีพระภาค.ด้วยบุญกรรมนั้น เมื่อท่านละร่างมนุษย์แล้ว ท่านจึงไปบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว เวียนไปมาอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๐. พระราธเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง

    ๐ กำเนิดเป็นราธพราหมณ์ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

    ครั้งพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านถือปฏิสนธิในสกุลพราหมณ์ ที่ยากจนขาดเครื่องนุ่งห่ม และอาหาร ในกรุงราชคฤห์ บิดามารดาขนานนาม ว่าราธมาณพ เจริญวัยแล้ว อยู่ครองเรือน ครั้งหนึ่งท่านได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่ท่านพระสารีบุตร ต่อมาในเวลาแก่ตัวลง ถูกลูกเมียลบหลู่ เขาคิดว่าเราเป็นผู้ที่ลูกเมียไม่ต้องการ เราจักเลี้ยงชีพอยู่ในสำนักของภิกษุทั้งหลาย แล้วไปสู่วิหาร ดายหญ้า กวาดบริเวณวัด ถวายวัตถุมีน้ำล้างหน้าเป็นต้น อยู่ในวัดแล้ว แม้ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นก็ได้สงเคราะห์เธอแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ปรารถนาจะให้บวช ด้วยเห็นว่า เป็นคนแก่ เป็นพราหมณ์แก่เฒ่า ไม่สามารถจะบำเพ็ญวัตรปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้นครั้งนั้น ท่านผู้เป็นคนยากเข็ญจึงเป็นผู้มีผิวพรรณเศร้าหมอง


    ๐ ราธพราหมณ์มีอุปนิสัยพระอรหัต

    ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นั้นในพระญาณแล้ว ทรงเห็น อุปนิสสยสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัยแห่งพระอรหันต์ของท่าน ครั้นในเวลาเย็นจึงเสด็จเที่ยวจาริกไปในบริเวณวัด เสด็จไปสู่ที่อยู่ของ พราหมณ์แล้วตรัสถามว่า พราหมณ์ เธอเที่ยวทำอะไรอยู่ ? ท่านกราบทูลว่า ข้าพระองค์ทำวัตรปฏิบัติแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ พระเจ้าข้า

    พระศาสดา เธอได้การสงเคราะห์จากสำนักของภิกษุเหล่านั้น หรือ ?

    พราหมณ์ ได้พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้แต่เพียงอาหาร แต่ท่านไม่ให้ข้าพระองค์บวช ด้วยเห็นว่าข้าพระองค์แก่แล้ว


    ๐ พระสารีบุตรเป็นผู้กตัญญูกตเวที

    พระศาสดารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสถามความนั้นแล้ว จากนั้นทรงถามว่า ภิกษุทั้งหลาย มีใครๆ ระลึกถึงคุณของพราหมณ์นี้ได้ มีอยู่บ้างหรือ ? พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์ระลึกได้ เมื่อข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์นี้ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกถึงคุณของพราหมณ์นี้ได้ เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ดีละๆ สารีบุตร เธอเป็นคนกตัญญู เธอจงบวชให้พราหมณ์นี้ พราหมณ์นี้ต่อไปจักเป็นผู้ควรบูชา

    ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงให้ ราธพราหมณ์บรรพชาแล้วให้อุปสมบทอีก โดยวิธีที่เรียกว่า ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา โดยทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธีไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงกำหนดวิธีโดยให้ภิกษุประชุมให้ครบองค์กำหนด ในเขตชุมนุมซึ่งเรียกว่า สีมา กล่าววาจาประกาศเรื่องความที่จะรับคนผู้จะบวชนั้นเข้าหมู่ โดยความยินยอมของภิกษุทั้งปวงผู้เข้าประชุมเป็นสงฆ์นั้น ในครั้งนั้นพระสารีบุตรเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรก และพระราธะเป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก และการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


    ๐ พราหมณ์บวชแล้วเป็นคนว่าง่าย

    เมื่อท่านพระสารีบุตรเถระบวชให้ราธพราหมณ์แล้ว ท่านก็คิดว่า พระศาสดาทรงให้พราหมณ์ผู้นี้บวชด้วยความเอื้อเฟื้อ ไม่สมควรดูแลพราหมณ์ผู้นี้ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ จึงพาพระราธเถระไปอยู่ที่ใกล้หมู่บ้าน

    ณ ที่นั้น เนื่องจากท่านเป็นพระบวชใหม่ ท่านจึงไม่ค่อยได้รับบิณฑบาต ท่านพระสารีบุตรเห็นดังนั้น จึงให้พระราธะนั้นเป็นปัจฉาสมณะ (ภิกษุผู้ติดตาม) ของท่าน พระสารีบุตรเถระได้ให้ที่อยู่ที่ท่านได้แม้เป็นที่ดีเลิศ ให้บิณฑบาตอันประณีตที่ท่านได้ แก่พระราธะนั้น ในเวลานั้นท่านพระราธเถระได้เสนาสนะอันสบาย และโภชนะอันประณีต

    พระสารีบุตรเถระพาท่านหลีกไปสู่ที่จาริกแล้ว กล่าวพร่ำสอนท่านเนืองๆ ว่า “สิ่งนี้ คุณควรทำ สิ่งนี้ คุณไม่ควรทำ” เป็นต้น ท่านราธเถระได้เป็นผู้ว่าง่าย มีปกติรับเอาโอวาทโดยเคารพแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อท่านปฏิบัติตามคำที่พระเถระพร่ำสอนอยู่ รับกรรมฐานในสำนักท่านเถระ
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๐. พระราธเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง

    ๐ พระเถระบรรลุพระอรหัต

    วันหนึ่งท่านพระราธะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้เห็นอย่างไรจึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ราธะ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้

    อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวของเรา

    เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง สังขาร เหล่าใดเหล่าหนึ่ง วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้

    อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นวิญญาณทั้งหมดนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ดูกรราธะ บุคคลรู้เห็นอย่างนี้แล จึงไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก ฯลฯ

    ท่านพระราธะพิจารณาตามธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสสั่งสอน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

    ต่อมาพระเถระจึงพาท่านไปสู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่

    ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกะท่านแล้ว ตรัสว่า “สารีบุตร ศิษย์ของเธอเป็นผู้ว่าง่ายแลหรือ ?”

    พระเถระ อย่างนั้น พระเจ้าข้า เธอเป็นผู้ว่าง่ายเหลือเกิน เมื่อโทษไรๆ ที่ข้าพระองค์แม้กล่าวสอนอยู่ ไม่เคยโกรธเลย

    พระศาสดา สารีบุตร เธอเมื่อได้ศิษย์เช่นนี้ จะพึงรับศิษย์ได้ประมาณเท่าไร ?

    พระเถระ ข้าพระองค์พึงรับได้มากทีเดียว พระเจ้าข้า
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๐. พระราธเถระ เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง

    ๐ พวกภิกษุสรรเสริญพระสารีบุตรและพระราธะ

    ภายหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า ได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูกตเวที ระลึกถึงผู้อุปการะแม้เพียงภิกษาทัพพีหนึ่ง ท่านก็บวชให้พราหมณ์ผู้ตกยากนั้นแล้ว แม้พระราธเถระเองก็เป็นผู้อดทนต่อโอวาท ท่านย่อมเป็นผู้ควรแก่การให้โอวาทเหมือนกันแล้ว


    ๐ ภิกษุควรเป็นผู้ว่าง่ายอย่างพระราธะ

    พระศาสดาทรงปรารภพระราธเถระ ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุควรเป็นผู้ว่าง่ายเหมือนราธะ แม้อาจารย์ชี้โทษกล่าวสอนอยู่ ก็ไม่ควรโกรธ อนึ่ง ควรเห็นบุคคลผู้ให้โอวาท เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ให้ฉะนั้น” ดังนี้ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

    บุคคลพึงเห็นผู้มีปัญญาใด ซึ่งเป็นผู้กล่าวนิคคหะ ชี้โทษ ว่าเป็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้
    พึงคบผู้มีปัญญาเช่นนั้น ซึ่งเป็นบัณฑิต (เพราะว่า)
    เมื่อคบท่านผู้เช่นนั้น มีแต่คุณอย่างประเสริฐ ไม่มีโทษที่ลามก


    ๐ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ

    เมื่อท่านได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะ เนื่องเพราะท่านเป็นผู้เพลิดเพลิน เที่ยววนเวียนไปมาอยู่ในสำนักของพระบรมศาสดาสดับพระพุทธดำรัสโดยเคารพ อันเป็นเหตุให้มีความเข้าใจพระธรรมเทศนาของพระศาสดาอย่างแจ่มแจ้ง แท้จริง พระธรรม เทศนาใหม่ๆ ของพระทศพล อาศัยความปรากฏขึ้นแห่งปฏิภาณอันแจ่มแจ้งของพระเถระ อันเป็นเหตุให้ท่านแสดงซ้ำซึ่งพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ทันที ฉะนั้น ต่อมา พระศาสดาเมื่อกำลังทรง สถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระราธเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่า ภิกษุสาวกผู้ประกอบด้วยปฏิภาณ แล


    ๐ พระเถระเป็นพระอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคและพระสารีบุตร

    ท่านได้เคยเป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่ระยะหนึ่ง ในสมัย ๒๐ ปีแรก ต้นพุทธกาล เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่มีพระอุปัฏฐากประจำ บางคราว พระนาคสมาละถือบาตรและจีวรตามเสด็จ บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ.บางคราวพระสุนักขัตตะ บางคราวจุนทสมณเทส บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระเมฆิยะ

    พระอรรถกถาจารย์ได้เล่าถึงความไม่เหมาะสมของพระอุปัฏฐากบางองค์ ซึ่งเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงปรารภพุทธอุปัฏฐากประจำ ซึ่งต่อมาก็คือพระอานนท์เถระ ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากต่อมาจนตลอดพระชนม์ชีพ ไว้ดังนี้

    บรรดาพระอุปัฏฐากไม่ประจำเหล่านั้น ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเดินทางไกลกับพระนาคสมาลเถระ ถึงทางสองแพร่ง พระเถระลงจากทางทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จะไปทางนี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า มาเถิดภิกษุ เราจะไปกันทางนี้ พระเถระทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงถือทางพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะไปทางนี้ แล้วเริ่มจะวางบาตรจีวรลง ที่พื้นดิน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอามาสิภิกษุ ทรงรับบาตรจีวรแล้วเสด็จดำเนินไป

    เมื่อภิกษุรูปนั้นเดินทางไปตามลำพัง พวกโจรก็ชิงบาตรจีวรและตีศีรษะแตก ท่านคิดว่า บัดนี้ก็มีแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งของเราได้ ไม่มีผู้อื่นเลย แล้วมายังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งที่โลหิตไหล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า นี่อะไรกันล่ะภิกษุ ก็ทูลเรื่องราวถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปลอบว่า อย่าคิดเลย ภิกษุ เราห้ามเธอ ก็เพราะเหตุอันนั้นนั่นแหละ

    อนึ่ง ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังบ้านชันตุคาม ใกล้ปาจีนวังสมฤคทายวัน กับพระเมฆิยเถระ แม้ในที่นั้น พระเมฆิยะเที่ยวบิณฑบาตไปในชันตุคาม พบสวนมะม่วงน่าเลื่อมใส ริมฝั่งแม่น้ำ ก็ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าขอพระองค์โปรดรับบาตรจีวรของพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะทำสมณธรรม ที่ป่ามะม่วงนั้น แม้ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามสามครั้งก็ยังไป ถูกอกุศลวิตกเข้าครอบงำ ก็กลับมาทูลเรื่องราวถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า เรากำหนดถึงเหตุของเธออันนี้แหละ จึงห้าม แล้วเสด็จดำเนินไปยังกรุงสาวัตถีตามลำดับ



    .............................................................

    คัดลอกมาจาก ::
    Home Main Page
    Dhamma and Life - Manager Online
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑. พระโมฆราชเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    [​IMG]


    การที่ท่านพระโมฆราชเถระท่านนี้ได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง นั้นก็เนื่องด้วยเหตุ ๒ ประการคือ พระเถระองค์นี้ทรงผ้าบังสุกุลจีวร ที่ประกอบด้วยความเศร้าหมอง ๓ อย่าง คือ เศร้าหมองด้วยผ้า เศร้าหมองด้วยด้าย เศร้าหมองด้วยเครื่องย้อม เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็น ยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง และอีกเหตุหนึ่งก็คือเนื่องด้วยท่านได้ตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้นตลอดแสนกัล์ป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้


    ๐ บุรพกรรมในสมัยพระปทุมุตตระพุทธเจ้า

    ในกัล์ปนับจากภัทรกัล์ปนี้ไปแสนหนึ่ง พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ได้ทรงทำให้มหาชนเป็นอันมาก ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้

    ครั้งนั้น ท่านเป็นผู้รับใช้ของสกุลหนึ่ง ในพระนครหงสวดี ยากจนไม่มีทรัพย์สินอันใด ท่านได้พักอาศัยอยู่ที่พื้นที่เขาสร้างไว้เพื่อเป็นหอฉัน ครั้งหนึ่งท่านได้ก่อไฟที่พื้นหอฉันนั้น ทำให้พื้นศิลานั้นดำไปเพราะเขม่าไฟลน วันหนึ่งท่านได้ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาพระองค์นั้น ครั้งนั้นพระโลกนาถได้ทรงสถาปนาพระภิกษุรูปหนึ่งให้เป็นเลิศกว่าพระสาวกเหล่าอื่นผู้ทรงจีวรเศร้าหมองในที่ประชุมชน ท่านชอบใจในคุณของท่าน จึงได้ปฏิบัติพระตถาคตด้วยปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง คือ ความเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ครั้งนั้น พระปทุมุตรพุทธเจ้า ได้ตรัสกับพระสาวกทั้งหลายว่า จงดูบุรุษนี้ ผู้มีผ้าห่มน่าเกลียด ผอมเกร็ง แต่มีใบหน้าอันผ่องใสเพราะปีติ ประกอบด้วยทรัพย์ คือศรัทธา มีกายและใจสูง ร่าเริง ไม่หวั่นไหว อุดมไปด้วยธรรมที่เป็นสาระ บุรุษนี้ชอบใจในคุณของภิกษุผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง ปรารถนาฐานันดรนั้นอย่างจริงใจ เราได้ฟังพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว ก็เบิกบาน ถวายบังคมพระพิชิตมารด้วยเศียรเกล้า ทำแต่กรรมที่ดีงามในศาสนาของพระชินเจ้าตราบเท่าสิ้นชีวิต

    เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปบังเกิดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่เพราะกรรมคือการก่อไฟที่พื้นศิลาที่หอฉัน ทำให้พื้นนั้นสกปรกดำไปเพราะฤทธิ์เพลิง เมื่อพ้นจากภูมิเทวดา ท่านจึงถูกเวทนาเบียดเบียน หมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลาพันปี และด้วยเศษของกรรมที่ยังเหลืออยู่นั้น เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์ในคราวใด ก็จะมีตำหนิที่ผิดพรรณถึง ๕๐๐ ชาติ และเพราะอำนาจกรรมนั้น ท่านจึงเกิดเป็นมนุษย์ผู้ทุกข์ด้วยการเป็นโรคเรื้อน อีก ๕๐๐ ชาติเหมือนกัน
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑. พระโมฆราชเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ๐ บุรพกรรมในการถวายทานแด่พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า

    ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อัตถทัสสี ท่านบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เติบใหญ่ขึ้นก็ได้เล่าเรียนจนถึงความสำเร็จในวิชา และศิลปะของพราหมณ์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านออกจากเรือนไปพร้อมด้วยศิษย์ทั้งหลาย ครั้นแล้วก็ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จดำเนินไปในถนน ก็บังเกิดจิตเลื่อมใส ถวายบังคมพระบรมศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประนมกรอัญชลีไว้เหนือเศียร แล้วประกาศสรรเสริญพระศาสดาด้วยคาถา ๖ คาถา แล้วน้อมน้ำผึ้งเข้าไปถวายจนเต็มภาชนะ พระศาสดาทรงรับประเคนน้ำผึ้งแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา

    แล้วเสด็จเหาะขึ้นสู่นภากาศ ทรงประทับอยู่ในอากาศ แล้วตรัสพยากรณ์ว่า ผู้ใดสรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดด้วยจิตอันเลื่อมใส ผู้นั้นจะไม่ไปสู่ทุคติ จักเสวยเทวรัชสมบัติ ๔๖ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราช ครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราช เสวยสมบัติอยู่ในแผ่นดินนับไม่ถ้วน จักเป็นผู้เล่าเรียน ทรงจำมนต์รู้จบไตรเพท จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าโคดม จักพิจารณาอรรถอันลึกซึ้ง อันละเอียดได้ด้วยญาณ จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า “โมฆราช” จักถึงพร้อมวิชชา ๓ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ พระโคดมผู้ทรงเป็นยอดของผู้นำหมู่ จักทรงตั้งผู้นั้นไว้ ในเอตทัคคสถาน ดังนี้ ท่านได้กระทำกรรมดีจนตลอดชีวิต ครั้นละจากภพมนุษย์นี้ไปแล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิมนุษย์และเทวดา


    ๐ บุรพกรรมสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า

    ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า ท่านเกิดเป็นศิษย์คนหนึ่ง ของอาจารย์ผู้เป็นช่างไม้คนหนึ่งชาวกรุงพาราณสี ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ทางด้านช่างไม้อย่างไม่มีใครเทียบในสำนักอาจารย์ของตน ช่างไม้นั้นมีศิษย์ ๑๖ คน ศิษย์คนหนึ่งๆ มีศิษย์คนละ ๑,๐๐๐ คน รวมอาจารย์และศิษย์เหล่านั้นเป็น ๑๖,๐๑๗ คนอย่างนี้ ทั้งหมดนั้นอาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี เลี้ยงชีพอยู่ด้วยการเอาไม้ในแถบภูเขามาสร้างเป็นปราสาทชนิดต่างๆ แล้วผูกแพนำมาขายยังกรุงพาราณสีทางแม่น้ำคงคา หากพระราชาทรงต้องการก็จะสร้างปราสาทชั้นเดียว หรือเจ็ดชั้นถวาย หากไม่ทรงต้องการ ก็จะขายคนอื่นเลี้ยงบุตรภรรยา.

    ลำดับนั้นวันหนึ่ง อาจารย์ของศิษย์เหล่านั้นคิดว่า เราไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเป็นช่างไม้ได้ตลอดไป เพราะถึงคราวแก่ตัวลงก็จะทำงานนี้ได้ยาก จึงเรียกศิษย์ทั้งหลายมาบอกว่า นี่แน่ะท่านทั้งหลาย พวกท่านจงไปนำต้นไม้ที่มีแก่นน้อยมีน้ำหนักเบา เช่นต้นมะเดื่อเป็นต้นมาให้เรา ศิษย์เหล่านั้นรับคำแล้วต่างก็ ไปนำมา อาจารย์นั้นเอาไม้นั้นมาประดิษฐ์เป็นรูปนกแล้วใส่เครื่องกลไกเข้าไปภายในนกนั้น นกไม้ยนต์นั้นก็สามารถบินขึ้นสู่อากาศดุจพญาหงส์ เที่ยวไปเบื้องบนป่าแล้วบินลงเบื้องหน้าศิษย์ทั้งหลาย

    ลำดับนั้น อาจารย์จึงถามศิษย์ทั้งหลายว่า นี่แน่ะท่านทั้งหลาย เราทำพาหนะไม้เช่นนี้ได้ ก็จะสามารถยึดราชสมบัติได้ การเลี้ยงชีพด้วยศิลปะการเป็นช่างไม้ลำบาก ศิษย์เหล่านั้นจึงได้ดำเนินการตามที่อาจารย์สั่ง ครั้นสำเร็จแล้วจึงได้แจ้งให้อาจารย์ทราบ ลำดับนั้นอาจารย์จึงปรึกษากับพวกศิษย์ว่า เราจะยึดราชสมบัติที่ไหนก่อน พวกศิษย์ตอบว่า ยึดราชสมบัติกรุงพาราณสีซิ ท่านอาจารย์ อาจารย์กล่าวว่า อย่าเลยพวกท่าน ไม่ดีดอก เพราะแม้พวกเราจะยึดราชสมบัติกรุงพาราณสีได้ ก็จะไม่พ้นจากการพูดถึงอาชีพเดิมของเราคือช่างไม้ว่า เราเป็นพระราชาช่างไม้ เรามีพระยุพราชช่างไม้ ชมพูทวีปออกใหญ่โต เราไปที่อื่นกันเถิด

    ลำดับนั้น พวกศิษย์พร้อมด้วยลูกเมียขึ้นนกยนต์พร้อมด้วยอาวุธ มุ่งหน้าไปหิมวันตประเทศ เข้าไปยังนครหนึ่งในหิมวันต์ แล้วพากันบุกเข้าไปถึงพระราชมณเฑียรนั่นเองด้วยนกยนต์ ศิษย์เหล่านั้นก็สามารถยึดราชสมบัติในนครนั้นได้โดยง่าย จากนั้นจึงอภิเษกอาจารย์ไว้ในฐานะพระราชา ชื่อว่าพระเจ้ากัฏฐวาหนะ นครนั้นจึงได้ชื่อว่า กัฏฐวาหนคร

    พระราชากัฏฐวาหนะได้ทรงดำรงอยู่ในธรรม ทรงตั้งพระยุพราช และทรงตั้งศิษย์ทั้ง ๑๖ คน ไว้ในตำแหน่งอาจารย์ พระราชาทรงสงเคราะห์ศิษย์เหล่านั้นด้วยสังคหวัตถุ ๔ จึงเป็นแคว้นที่มั่งคั่ง สมบูรณ์และไม่มีอันตราย ทั้งชาวเมืองชาวชนบทนับถือพระราชาและข้าราช การเป็นอย่างยิ่ง พูดกันว่า พวกเราได้พระราชาที่ดี ข้าราชบริพารก็เป็นคนดี

    อยู่มาวันหนึ่ง พวกพ่อค้าจากมัชฌิมประเทศ นำสินค้ามาสู่กัฏฐวาหนนคร และนำเครื่องบรรณาการไปเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามว่า พวกท่านมาจากไหน พวกพ่อค้าทูลว่า ขอเดชะ มาจากกรุงพาราณสีพระเจ้าข้า พระราชาตรัสถามเรื่องราวทั้งหมด ณ กรุงพาราณสีนั้นแล้วตรัสว่า พวกท่านจงนำมิตรภาพของเราไปทูลกับพระราชาของพวกท่านเถิด พ่อค้าเหล่านั้นรับพระราชดำรัสแล้ว พระราชาพระราชทานเสบียงแก่พวกพ่อค้าเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาไปยังตรัสชี้แจงด้วยความใส่พระทัย

    พวกพ่อค้ากลับไปกรุงพาราณสีได้กราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาตรัสว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะงดเก็บส่วยของพ่อค้าที่มาจากแคว้นกัฏฐวาหะ แล้วทรงให้ป่าวประกาศว่า พระราชากัฏฐวาหนะจงเป็นพระสหายของเรา พระราชาทั้งสองได้เป็นมิตรกันโดยไม่ได้เห็นกันเลย แม้พระราชากัฏฐวาหนะ ก็ทรงให้ป่าวประกาศไปทั่วนครว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านจงงดเก็บส่วยของพ่อค้าที่มาจากกรุงพาราณสี และควร ให้เสบียงแก่พวกเขาด้วย

    ลำดับนั้นพระเจ้าพาราณสี ทรงส่งพระราชสารไปถวายแด่พระเจ้ากัฏฐวาหนะว่า หากมีอะไรแปลกๆ อันสมควรเพื่อจะเห็น เพื่อจะฟังในชนบทนั้นเกิดขึ้นเพื่อให้ข้าพระองค์ได้เห็นและได้ฟังบ้าง ก็ขอได้โปรดพระราชทานพระกรุณาด้วย พระราชกัฏฐวาหนะทรงส่งพระ ราชสารตอบถวายพระราชาพาราณสีเหมือนกัน พระราชาทั้งสองทรงกระทำกติกากันอยู่อย่างนั้น

    คราวหนึ่ง พระราชากัฏฐวาหนะได้ผ้ากัมพลเนื้อละเอียดยิ่งนัก มีค่ามากเหลือเกิน มีสีคล้ายรัศมีพระอาทิตย์อ่อนๆ พระราชากัฏฐวาหนะทอดพระเนตรเห็นผ้ากัมพลเหล่านั้น ทรงดำริว่า เราจักส่งไปให้สหายของเราจึงให้ช่างทำงา สลักผอบงา ๘ ใบ เอาผ้ากัมพลใส่ลงในผอบเหล่านั้น ผ้ากัมพลผืนหนึ่งๆ ยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก ก็สามารถบรรจุลงในผอบงาใบเล็กๆ ได้ จากนั้นจึงให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับครั่งทำก้อนครั่งกลมหุ้มข้างนอก เอาครั่งเป็นก้อนกลม ๘ ก้อนใส่ไว้ในสมุก เอาผ้าพันไว้ประทับตราแล้วทรงส่งอำมาตย์ไป รับสั่งว่า พวกท่านจงนำไปถวายพระราชาพาราณสี และทรงจารึกพระอักษรว่า บรรณาการนี้ อันหมู่อำมาตย์ท่ามกลางพระนครพึงสนใจ และส่งให้พวกอำมาตย์นำ ไปถวายแด่พระเจ้าพาราณสี

    พระเจ้าพาราณสีทรงอ่านคำจารึกแล้วรับสั่ง ให้ประชุมเหล่าอำมาตย์ ทรงแกะตราประทับแล้วคลี่ผ้าพันออก เมื่อเปิดสมุกก็ทรงเห็นก้อนครั่งกลม ๘ ก้อน พระเจ้าพาราณสีทรงอายว่าสหายของเราส่งก้อนครั่งกลมให้เรา คล้ายกับให้เด็กอ่อนเล่นก้อนครั่งกลม จึงทรงทุบก้อนครั่งก้อนหนึ่ง ณ พระที่นั่งของพระองค์ ทันใดนั้นเอง ครั่งก็ แตกออก ผอบงาจึงตกมาแล้วแยกออกเป็นสองส่วน ทอดพระ เนตรเห็นผ้ากัมพลอยู่ข้างใน จึงทรงเปิดผอบอื่นๆ ออกดู ในผอบแต่ละใบได้บรรจุผ้ากัมพลผืนหนึ่งๆ ยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอกเหมือนๆ กัน มหาชนเห็นดังนั้นต่างก็ได้มีความพอใจว่า พระราชากัฏฐวาหนะ ซึ่งเป็นพระอทิฏฐสหาย (สหายที่ไม่เคยเห็นกัน) ของพระราชาของเราทรงส่งบรรณาการเช่นนี้มาถวาย การทำไมตรีเช่นนี้สมควรแล้ว พระราชารับสั่งให้เรียกพ่อค้ามาตีราคาผ้ากัมพลผืนหนึ่งๆ พ่อค้าเห็นผ้ากัมพลนั้นแล้วกราบทูลว่า ผ้ากัมพลทั้งหลายนี้ประมาณค่ามิได้เลย ลำดับนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงดำริว่า การส่งบรรณาการตอบแทน ก็ควรจะส่งให้เหนือกว่าบรรณการที่ส่งมาถวาย สหายของเราส่งบรรณาการหาค่ามิได้มาให้เรา เราควรจะส่งอะไรให้สหายดีหนอ

    ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะทรงอุบัติขึ้นแล้ว ประทับอยู่ ณ กรุงพาราณสี ครั้งนั้นพระราชาได้มีพระราชดำริว่า สิ่งอื่นจะ สูงสุดยิ่งกว่าพระรัตนตรัยไม่มี เอาเถิด เราจะส่งข่าวว่าพระรัตนตรัยเกิดขึ้นแล้ว แก่สหาย พระเจ้าพาราณสีนั้น ตรัสให้จารึกคาถานี้ว่า

    พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นพร้อมแล้วในโลก
    เพื่อประโยชน์เกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งปวง
    พระธรรมเกิดขึ้นพร้อมแล้วในโลก
    เพื่อความสุขแก่สัตว์ทั้งปวง
    พระสงฆ์เกิดขึ้นพร้อมแล้วในโลก
    เป็นบุญเขต ที่ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า ดังนี้

    และให้จารึกการปฏิบัติของภิกษุรูปหนึ่งตราบเท่าถึงพระอรหัต ด้วยชาดสีแดงลงบนแผ่นทอง ใส่ลงในสมุกทำด้วยแก้ว ๗ ประการ ใส่สมุกนั้นลงในสมุกทำด้วยแก้วมณี ใส่สมุกทำด้วยแก้วมณีลงในสมุกแก้วตาแมว ใส่สมุกแก้วตาแมวลงในสมุกทับทิม ใส่สมุกทับทิมลงในสมุกทองคำ ใส่สมุกทองคำลงในสมุกเงิน ใส่สมุกเงินลงในสมุกงาช้าง ใส่สมุกงาช้างลงในสมุกไม้แก่น ใส่สมุกไม้แก่นลงในหีบ เอาผ้าพันหีบแล้วประทับตราพระราชลัญจกร ทรงให้นำช้างเมามันตัวประเสริฐ มีธงทองคำประดับด้วยทองคำ คลุมด้วยตาข่ายทองให้ตกแต่งบัลลังก์บนช้างนั้น แล้วยกหีบวางไว้บนบัลลังก์ กั้นเศวตฉัตร บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ทุกชนิด ขับเพลงสรรเสริญหนึ่งร้อยบท ด้วยกังสดาลทุกชนิด เคลื่อนไป แล้วทรงให้ตกแต่งทางตลอดระยะไปจนถึงเขตรัฐสีมาของพระองค์ แล้วทรงนำไปด้วยพระองค์เอง เสด็จประทับอยู่ ณ ทางนั้น

    ทรงนำไปจนถึงเขตรัฐสีมาของพระราชากัฏฐวาหนะ พระราชากัฏฐวาหนะได้ทรงสดับข่าวนั้น ก็เสด็จมาต้อนรับ ทรงกระทำการต้อนรับเหมือนเช่นที่พระราชาแห่งกรุงพาราณสีทรงกระทำ แล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้าพระนคร รับสั่งให้ประชุมเหล่าอำมาตย์ และพวกชาวพระนคร ทรงเปลื้องผ้าพันออก ณ พระลานหลวง ทรงเปิดหีบทอดพระเนตรเห็นสมุกในหีบ แล้วทรงเปิดหีบทั้งหมดตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นจารึกบนแผ่นทองคำ ทรงพอพระทัยว่า สหายของเราทรงส่งรัตนบรรณาการ ซึ่งหาได้ยากอย่างยิ่งตลอด แสนกัป พวกเราได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังว่า พุทโธ โลเก อุปปนโน พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลกดังนี้

    ทรงดำริว่า ถ้ากระไรเราควรจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และฟังพระธรรม ดังนี้แล้วตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมารับสั่งว่า ได้ยินว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ อุบัติแล้วในโลก พวกท่านคิดว่าควรจะทำอะไร อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นี้แหละ พวกข้าพระองค์จักไปฟังข่าวดู พระเจ้าข้า

    ลำดับนั้น อำมาตย์ ๑๖ คน พร้อมด้วยบริวาร ๑๖,๐๐๐ คน ถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า ผิว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก พวกข้าพระพุทธเจ้าก็คงไม่มีการกลับมาเห็นอีก หากว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงอุบัติ พวกข้าพระพุทธเจ้าก็จักกลับมา กราบทูลดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลาแล้วก็พากันเดินทางไป ฝ่ายพระเจ้าหลานเธอของพระราชาพระองค์หนึ่ง ถวายบังคมพระราชาแล้วกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไป พระราชาตรัสว่า เมื่อเจ้าทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ ณ ที่นั้นแล้ว จงกลับมาบอกเราด้วย พระเจ้าหลานเธอรับพระบัญชาแล้วจึงได้ไป พวกเขาแม้ทั้งหมดไปตลอดทางพักเพียงราตรีเดียว ก็ถึงพระนครพาราณสี

    ในระหว่างที่พวกอำมาตย์ยังเดินทางไปกรุงพาราณสีนั่นเอง ยังไม่ทันถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จดับขันธปรินิพพานไปเสียก่อนแล้ว เมื่อเหล่าอำมาตย์มาถึง พวกเขาก็เที่ยวไปจนทั่ววิหาร แลเห็นเหล่าพระสาวกอยู่กันพร้อมหน้า จึงถามว่าใครเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระสาวกเหล่านั้นจึงบอกแก่พวกเขาว่า พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานเสียแล้ว เหล่าอำมาตย์จึงถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า พระโอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้ยังมีอยู่หรือไม่ พระสาวกเหล่านั้นกล่าวว่า มีอยู่ อุบาสก คือพึงตั้งอยู่ในพระรัตนตรัย พึงสมาทานศีล ๕ พึงเข้าอยู่จำอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ พึงให้ทาน พึงปฏิบัติธรรม

    อำมาตย์เหล่านั้นครั้นได้ฟังแล้วพากันบวชทั้งหมด เว้นแต่อำมาตย์ผู้เป็นพระเจ้าหลานเธอนั้น อำมาตย์ผู้เป็นพระเจ้าหลานเธอ ถือ เอาบริโภคธาตุ (ต้นโพธิ์ บาตรและจีวร เป็นต้น ชื่อว่า บริโภคธาตุ) มุ่งหน้ากลับไปยังแคว้นกัฏฐวาหนะ พระเจ้าหลานเธอนี้ถือเอาธมกรก (หม้อกรองน้ำ) ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และพาพระเถระรูปหนึ่งผู้ทรงธรรมและวินัยไปยังพระนครโดยลำดับ ได้กราบทูลพระราชาว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกและเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้กราบทูลถึงโอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้ พระราชาเสด็จเข้าไปหาพระเถระฟังธรรมแล้วรับสั่งให้สร้างวิหาร ประดิษฐานพระเจดีย์ ปลูกต้นโพธิ์ ทรงดำรงอยู่ในพระรัตนตรัย และ ศีล ๕ เป็นนิจ ทรงเข้าอยู่จำอุโบสถประกอบด้วยองค์ ๘ ทรงให้ทาน ทรงดำรงอยู่ตราบเท่าอายุแล้วไปยังบังเกิดในกามาวจรเทวโลก แม้อำมาตย์ ๑๖,๐๐๐ คน ก็พากันบวช แล้วมรณภาพเยี่ยงปุถุชน ยังไม่ได้มรรคผลอันใด แล้วได้ไปเกิดเป็นบริวารของพระราชาผู้เป็นเทวดานั้นนั่นเอง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑. พระโมฆราชเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ๐ สมัยพระสมณโคดมพุทธกาล

    เมื่อเวลาผ่านไปพุทธันดรหนึ่ง ในภัทรกัป สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรายังไม่ทรงอุบัติ พระราชาและอำมาตย์เหล่านั้นที่บังเกิดเป็นเทวดาเสวยสุขอยู่ในเทวโลกก็ได้จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์

    พระราชาและอำมาตย์เหล่านั้นที่บังเกิดเป็นเทวดาเสวยสุขอยู่ในเทวโลกก็ได้จุติจากเทวโลก

    พระราชาเกิดเป็นบุตรของปุโรหิตของพระเจ้ามหาโกศล ผู้เป็นพระชนกของพระเจ้าปเสนทิ มีชื่อว่า พาวรี ประกอบด้วย มหาปุริสลักษณะ ๓ ประการ ได้เล่าเรียนวิชาพราหมณ์จนจบไตรเทพ ครั้นเมื่อบิดาล่วงลับไป ก็ได้ดำรงตำแหน่งปุโรหิตแทน

    ส่วนอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๑๖ คนนั้น ในภพสุดท้ายนี้ หนึ่งในนั้นก็ถือปฏิสนธิในครอบครัวพราหมณ์ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาได้ตั้งชื่อว่า โมฆราชะ และอำมาตย์ผู้ใหญ่ที่เหลืออีก ๑๕ คน และอำมาตย์ที่เป็นบริวารอีก ๑๖,๐๐๐ คน ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่กรุงสาวัตถีนั้นนั่นเอง

    ท่านโมฆราชะเมื่อมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้ว บิดามารดาจึงนำไปฝากเป็นศิษย์คนหนึ่งในจำนวนศิษย์ ๑๖ คนของพราหมณ์พาวรี ซึ่งท่านและศิษย์ผู้ใหญ่อีก ๑๕ คนนั้นต่างก็มีศิษย์คนละ ๑,๐๐๐ คน รวมทั้งสิ้น ๑๖,๐๐๐ คน

    เมื่อพระราชามหาโกศลได้เสด็จ สวรรคต พระเจ้าปเสนทิจึงได้อภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ พาวรีพราหมณ์ก็ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทินั้นอีก พระราชาได้พระราชทานสิ่งของที่พระชนกพระราชทานไว้ และสมบัติอื่นแก่พาวรีปุโรหิตเป็นอันมาก พระราชานั้นเมื่อยังทรงพระเยาว์ ก็ได้เรียนศิลปะในสำนักของพาวรีปุโรหิตเหมือนกัน


    ๐ พาวรีปุโรหิตออกบวช

    ลำดับนั้น พาวรีได้ทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จักบวช พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์ เมื่อท่านดำรงอยู่ก็เหมือนบิดาของข้าพเจ้ายังอยู่ ท่านอย่าบวชเลย พาวรีทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จักบวชแน่พระเจ้าข้า พระราชาเห็นว่าไม่ทรงสามารถห้ามได้ จึงทรงขอร้องว่า ขอท่านจงบวชอยู่ในพระราชอุทยานนี้เถิด ข้าพเจ้าจะได้เห็นทุกเย็นและเช้า อาจารย์พร้อมด้วย ศิษย์ ๑๖ คน กับบริวารอีก ๑๖,๐๐๐ คน ได้บวชเป็นดาบสอยู่ในพระราชอุทยาน พระราชาทรงบำรุงด้วยปัจจัย ๔ เสด็จไปทรงอุปัฏฐากอาจารย์นั้น ทุกเวลาเย็นและเวลาเช้า
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑. พระโมฆราชเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ๐ พราหมณ์พาวรีย้ายสำนักออกไปนอกพระนคร

    อยู่มาวันหนึ่งศิษย์ทั้งหลายกล่าวกะอาจารย์ว่า การอยู่ใกล้พระนครมีเครื่องพัวพันมาก ท่านอาจารย์เราไปหาโอกาสที่ไม่มีชนรบกวนเถิด ชื่อว่าการอยู่ในเสนาสนะอันสงัด เป็นประโยชน์มากแก่บรรพชิตทั้งหลาย อาจารย์ รับว่า ดีละ จึงไปทูลพระราชา พระราชาตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งก็ไม่สามารถจะห้ามได้ จึงพระราชทานกหาปณะ ๒๐๐,๐๐๐ กหาปณะ รับสั่งกะอำมาตย์ทั้ง หลายว่า พวกเจ้าทรงสร้างอาศรมถวาย ในที่ที่คณะฤๅษีปรารถนาจะอยู่เถิด แต่นั้นอาจารย์พร้อมด้วยชฏิล ๑๖,๐๐๐ เป็นบริวาร ได้รับอนุเคราะห์จากพวก อำมาตย์จึงออกจากอุตตรชนบท มุ่งหน้าไปทักษิณชนบท

    ครั้นเมื่อพาหมู่คณะเดินทางมาถึงบริเวณใกล้พรมแดนใน ระหว่างสองแคว้น คือ แคว้นอัสสกะและแคว้นมุฬกะซึ่งเป็นภุมิประเทศที่ แม่น้ำโคธาวารีแยกออกเป็นสองสาย แล้วมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่ง เกิดเป็นเกาะกว้างยาวประมาณ ๓ โยชน์ เกาะทั้งหมดปกคลุมไปด้วยป่ามะขวิด เมื่อก่อน ณ บริเวณนั้นสรภังคดาบสเป็นต้นได้อาศัยอยู่

    อาจารย์เห็นเช่นนั้นแล้วจึงประกาศแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า ประเทศนี้เป็นที่อยู่ของสมณะมาก่อน ประเทศนี้สมควรแก่นักบวช พวกอำมาตย์จึงได้ให้ทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ แก่พระเจ้าอัสสกะ อีก ๑๐๐,๐๐๐ ให้แก่พระเจ้ามุฬกะ เพื่อการครอบครองถือเอาภูมิประเทศนั้น พระราชาทั้งสองนั้นได้พระราชทานที่บริเวณเกาะนั้นและบริเวณอื่นประมาณ ๒ โยชน์ รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๕ โยชน์ ซึ่งอยู่ในระหว่างเขตรัฐสีมาของพระราชาเหล่านั้น พวกอำมาตย์ก็ได้สร้างอาศรม ณ ที่นั้นแล้วและให้นำทรัพย์มาจากกรุงสาวัตถีมาจัดตั้งเป็นโคจรคามเสร็จแล้วพากันกลับไป

    พาวรีพราหมณ์และเหล่าศิษย์ ทั้ง ๑๖,๐๑๖ คนก็เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยการเที่ยวภิกขาและผลไม้ ต่อมาก็ได้มีชาวบ้านซึ่งเลื่อมใสในวัตรของพราหมณ์ เข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอยู่บนที่ดินของพราหมณ์เหล่านั้น โดยได้รับอนุญาตจากพวกพราหมณ์ เกิดเป็นชุมชนใหญ่ขึ้น ชาวบ้านที่อาศัยพราหมณ์พาวรีนั้นก็เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยผลอันเกิดจากการกสิกรรม ครั้นครบรอบปีเหล่าชาวบ้านก็รวบรวมเงินจากแต่ละครอบครัวเพื่อเป็นส่วยให้แก่พระราชา และถือเอาส่วยนั้นไปเฝ้าพระเจ้าอัสสกะ ทูลกับพระราชาว่า ขอพระองค์ทรงรับส่วยนี้เถิด พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า เราไม่รับ พวกท่านจงนำไปถวายอาจารย์เถิด พวกชาวบ้านก็นำส่วย ๑๐๐,๐๐๐ นั้นมามอบต่อพาวรีพราหมณ์

    พาวรีพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเราต้องการเงินทอง ก็ไม่พึงสละทรัพย์สินมากมายของเราออกบวช พวกท่านจงรับเอากหาปณะของพวกท่านคืนไปเสีย พวกชาวบ้านบอกว่า พวกเราจะไม่ยอมรับทรัพย์ที่พวกเราบริจาคแล้วอีก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราจะนำทรัพย์มาให้ท่านทำนองนี้ทุก ๆ ปี ถ้าท่านไม่รับเพื่อประโยชน์ตนเองละก็ ขอท่านจงรับกหาปณะเหล่านี้ไว้ให้ทานก็แล้วกัน พราหมณ์จึงยอมรับทรัพย์ดังกล่าวไว้ โดยเก็บไว้ในเพื่อการให้ทานแก่ผู้กำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจก

    อาจารย์นั้นกระทำมหายัญคือ คือการให้ทานจากทรัพย์ดังกล่าวเป็นประจำทุกๆ ปี ปีละครั้งอย่างนี้ กิติศัพท์การทำมหาทานของพราหมณ์พาวรีก็กระจายไปทั่วชมพูทวีป
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑. พระโมฆราชเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ๐ พราหมณ์พาวรีโดนพราหมณ์ผู้มาขอรับทานสาปแช่ง

    ครั้งนั้น ในหมู่บ้านทุนนวิตถะ ในแคว้นกลิงคะ นางพราหมณีสาว ผู้เป็นภริยาของพราหมณ์เฒ่าผู้เกิดมาในวงศ์ของชูชกพราหมณ์ ได้ทราบข่าวการทำทานดังกล่าวของพราหมณ์พาวรี จึงลุกขึ้นเตือนพราหมณ์ผู้เป็นสามีว่า เขาว่า พาวรีกำลังให้ทาน ท่านจงไปรับบริจาคเงินทองมาจากที่นั้น พราหมณ์นั้นถูกพราหมณีพูดดังนั้นก็ไม่อาจทนอยู่ได้จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพราหมณ์พาวรี ครั้นเมื่อไปถึง ก็เป็นวันที่พราหมณ์พาวรีได้กระทำมหาทานไปเสียแล้วตั้งแต่เมื่อวันวาน ซึ่งเมื่อให้ทานแล้ว พราหมณ์พาวรีก็เข้าบรรณศาลากำลังนอนนึกถึงทานที่ตนได้กระทำไปนั้น

    ครั้นเข้าไปถึงก็พูดว่า “ท่านพราหมณ์ โปรดให้ทานแก่ข้าเถิด ท่านพราหมณ์โปรดให้ทานแก่ข้าเถิด”

    พาวรีพราหมณ์กล่าวว่า “ท่านพราหมณ์ ท่านมาไม่ถูกเวลา เราให้ทานแก่พวกยาจกที่มาถึงไปแล้ว บัดนี้ไม่มีกหาปณะดอก”

    พราหมณ์พูดว่า “ท่านพราหมณ์ ข้าไม่ต้องการกหาปณะมากมายเลย ข้าขอเพียง ๕๐๐ กหาปณะ”

    พาวรีพราหมณ์ “ท่านพราหมณ์ ๕๐๐ กหาปณะก็ไม่มี เมื่อถึงเวลาให้ทานครั้งหน้า ท่านจึงได้”

    พราหมณ์พูดว่า “ก็เวลาท่านให้ทาน ข้าจักมาได้อย่างไร” แล้วจึงทำกลอุบายเพื่อให้พาวรีพราหมณ์เกิดความกลัว โดยก่อทรายเป็นสถูปใกล้ประตูบรรณศาลา โรยดอกไม้สีแดงไปรอบๆ ทำปากขมุบ ขมิบเหมือนบ่นมนต์แล้วพูดว่า “เมื่อเราขอ แล้วท่านไม่ให้ไซร้ ในวันที่ ๗ ศีรษะของท่านจะแตก ๗ เสี่ยง”

    พราหมณ์พาวรีฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ก็เกิดสะดุ้งหวาดกลัว เป็นผู้มีทุกข์ซูบซีด ไม่บริโภคอาหาร เมื่อเป็นผู้เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ใจก็ไม่ยินดีในการบูชาเทพและเทวดาทั้งหลาย

    ๐ เทวดาบอกปริศนาธรรม

    เทวดาผู้สถิตอยู่ ณ บรรณศาลานั้น เห็นพราหมณ์พาวรีมีทุกข์สะดุ้งหวาดหวั่น จึงเข้าไปหาพราหมณ์พาวรีแล้วได้กล่าวว่า พราหมณ์นั้นไม่รู้จักศีรษะ เป็นผู้หลอกลวง ต้องการทรัพย์ ไม่มีความรู้ในในเรื่อง ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ฯ

    พราหมณ์พาวรีถามว่าบัดนี้ ท่านรู้จักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอก ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป แก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะฟังคำของท่าน ฯ

    เทวดาตอบว่าแม้เราก็ไม่รู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป เราไม่มีความรู้ในธรรมทั้ง ๒ นี้ ปัญญาเป็นเครื่องเห็นธรรมอันเป็นศีรษะและธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ย่อมมีเฉพาะในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ฯ

    พราหมณ์พาวรีถามว่า ในปัจจุบันนี้ มีใครเล่าในปฐพีมณฑลนี้ที่รู้ ขอท่านเทวดาจงบอกบุคคลผู้รู้ธรรมเป็นศีรษะ และธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไปนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด ฯ


    ๐ เทวดาบอกเรื่องพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ

    เทวดาตอบว่าดูกรพราหมณ์ พระผู้มีพระภาคผู้ศากยบุตร ลำดับพระวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช มีพระรัศมีรุ่งเรือง เป็นนายกของโลกเสด็จออกผนวชจากพระนครกบิลพัสดุ์ เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุอภิญญาและทศพลญาณครบถ้วน ทรงมีพระจักษุในสรรพธรรม ทรงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นตรัสรู้แล้วในโลก มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรม ท่านจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด พระองค์จักตรัสพยากรณ์ข้อความนั้นแก่ท่าน ฯ

    พราหมณ์พาวรีได้ฟังคำว่า สัมพุทโธ ก็เป็นผู้มีใจเฟื่องฟู ความโศกสลดก็เบาบางลงไป และเกิดปีติอันท่วมท้น มีใจชื่นชมเบิกบานเกิดความโสมนัส จึงถามเทวดานั้นว่า พระโลกนาถประทับอยู่ในคามนิคมหรือในชนบทไหน ข้าพเจ้าจะไปนมัสการพระบรมศาสดาได้ในที่ใด ฯ

    เทวดาตอบว่าพระชินเจ้าผู้ศากยบุตร ทรงมีพระปัญญามาก มีพระปัญญาประเสริฐกว้างขวาง ทรงปราศจากธุระ หาอาสวะมิได้ องอาจกว่านระ ทรงรู้ธรรมเป็นศีรษะและธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ประทับอยู่ในมณเฑียรของชนชาวโกศลในพระนครสาวัตถี ฯ
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ๔๑. พระโมฆราชเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

    ๐ พราหมณ์พาวรีส่งศิษย์ ๑๖ คนไปเฝ้าพระศาสดา

    ลำดับนั้น พราหมณ์พาวรี เรียกพราหมณ์ทั้งหลายซึ่งเป็นศิษย์มาสั่งว่า ดูกรมาณพทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราจักบอกแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงฟังคำของเรา บัดนี้ พระสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ท่านทั้งหลายจงรีบไปเมืองสาวัตถี เข้าเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าสัตว์เถิด ฯ

    พราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ทั้งหลายซักถามว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เห็นแล้วจะพึงรู้ว่า ท่านผู้นี้เป็นพระสัมพุทธเจ้าได้อย่างไรเล่า ขอท่านจงบอกสิ่งที่จะทำให้ข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้รู้จักพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเถิด ฯ

    พราหมณ์พาวรีกล่าวว่า ก็มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของมหาบุรุษ ที่ท่านทั้งหลายเล่าเรียนมามาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่พราหมณาจารย์ทั้งหลายพยากรณ์ไว้ว่า ถ้ามหาปุริสลักษณะนั้น มีอยู่ในวรกายของพระมหาบุรุษใด พระมหาบุรุษนั้น จะเป็นได้ ๒ อย่างเท่านั้น คือ ถ้าพระมหาบุรุษนั้นอยู่ครองเรือน จะพึงเป็นพระบรมมหาจักรพรรดิ์ จะทรงมีชัยชนะทั่วปฐพีนี้ จะทรงปกครองโดยธรรม ด้วยไม่ต้องใช้อาชญาไม่ต้องใช้ศาตรา ถ้าออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม


    ๐ พราหมณ์พาวรีสั่งให้ศิษย์ถามปัญหา ๗ ข้อกับพระศาสดา

    เมื่อท่านทั้งหลายเห็นพระมหาบุรุษผู้ประกอบไปด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการดังนี้ ท่านทั้งหลายก็จงกล่าวถามในใจ ถึง ๑. ชาติ (อายุ) ๒. โคตร ๓. ลักษณะ ๔. มนต์ และ ๕. ศิษย์เหล่าอื่นอีก และถามถึงปริศนาธรรมเรื่อง ๖. ธรรมอันเป็นศีรษะ และ ๗. ธรรมเป็นเหตุให้ศีรษะตกไป ถ้าว่าท่านนั้นเป็นพระพุทธเจ้าจริงแท้แล้ว ท่านก็จักตอบปัญหาที่ท่านทั้งหลายกล่าวถามในใจ ด้วยวาจาได้ ฯ

    พราหมณ์มาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน คือ อชิตะ ๑ ติสสเมตเตยยะ ๑ ปุณณกะ ๑ เมตตคู ๑ โธตกะ ๑ อุปสีวะ ๑ นันทะ ๑ เหมกะ ๑ โตเทยยะ ๑ กัปปะ ๑ ชตุกัณณี ๑ ภัทราวุธะ ๑ อุทยะ ๑ โปสาลพราหมณ์ ๑ โมฆราช ๑ ปิงคิยะ ๑ ได้ฟังคำของพราหมณ์พาวรีแล้วก็ลาอาจารย์ กระทำประทักษิณแล้ว บ่ายหน้าต่อทิศอุดร มุ่งไปยังที่ตั้งแห่งแคว้นมุฬกะ เมืองมาหิสสติ

    ในคราวนั้น พราหมณ์ทั้ง ๑๖ คนได้เดินทางผ่านเมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ เมืองวนนคร เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต จนถึงเมืองสาวัตถี


    ๐ พระบรมศาสดาเสด็จออกจากกรุงสาวัตถี
    เพื่อบ่มอินทรีย์ของเหล่าพราหมณ์ให้แก่กล้า


    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ทรงทราบด้วยพระญาณว่า ศิษย์ของพาวรีพราหมณ์ทั้ง ๑๖ คน มาพร้อมด้วยมหาชนเป็นอันมาก ทรงพระดำริว่า อินทรีย์ของพราหมณ์เหล่านั้นยังไม่แก่กล้าเพียงพอ อีกทั้งถิ่นนี้ก็ยังไม่เป็นที่สบายเหมาะแก่พราหมณ์ทั้งหลาย ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า ปาสาณกเจดีย์ในเขตแคว้นมคธเป็นที่สบายเหมาะแก่พราหมณ์เหล่านั้น ถ้าเราแสดงธรรมในที่นั้น มหาชนก็จักบรรลุธรรม อีกทั้งพวกพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อเดินทางผ่านเข้าไปยังเมืองต่างๆ ก็จะมีมหาชนตามมามากยิ่งขึ้นไปอีก ผู้บรรลุธรรมก็จักมีมากขึ้น จะเป็นประโยชน์อันมหาศาล

    ครั้นทรงพระดำริเช่นนั้นแล้ว จึงทรงเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ออกจากกรุงสาวัตถีบ่ายพระพักตร์ไปยังกรุงราชคฤห์ ก่อนที่พวกพราหมณ์จะมาถึง พวกพราหมณ์เหล่านั้นเมื่อก็มาถึงกรุงสาวัตถี เข้าไปสู่วิหาร เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ครั้นทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีไปแล้ว ก็พากันเข้าไปถึงพระคันธกุฏี ได้เห็นรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แน่ใจว่า เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแน่แล้ว เพราะจากลักษณะของรอยพระบาทเป็นรอยของผู้หมดกิเลสแล้ว เมื่อทราบดังนั้นแล้วจึงได้ออกเดินทางตามพระบรมศาสดาไป

    พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จเข้าสู่พระนครมีเสตัพยนครและกรุงกบิล พัสดุ์ เมืองกุสินารา เมืองมันทิระ เมืองปาวาโภคนคร เมืองเวสาลี เมืองราชคฤห์ เป็นต้นตามลำดับ หมู่พราหมณ์ทั้ง ๑๖ คนก็ได้เดินทางพร้อมทั้งศิษย์ ๑๖,๐๐๐ คน ผ่านตามเมืองที่พระบรมศาสดาเสด็จผ่าน ผ่านเข้าเมืองใด มหาชนในเมืองเหล่านั้นก็ออกเดินทางติดตามมาอีกเป็นอันมากเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา

    จนกระทั่งเสด็จไปถึงปาสาณกเจดีย์ แขวงเมืองราชคฤห์ ก็ทรงหยุดประทับอยู่ ณ ที่นั้น พวกเหล่าพราหมณ์และมหาชนก็ได้ตามพระบรมศาสดาจนถึงปาสาณกเจดีย์ ครั้นได้ฟังว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ ณ ที่นี้ ก็เกิดปิติ ปราโมทย์พากันขึ้นภูเขาไปสู่พระเจดีย์นั้น เหมือนบุคคลผู้กระหายน้ำย่อมยินดีต่อน้ำเย็น เหมือนพ่อค้ายินดีต่อลาภใหญ่ และเหมือนบุคคลถูกความร้อนแผดเผายินดีต่อร่มเงา ฉะนั้น

    ก็ในขณะนั้นพระผู้มีพระภาค แวดล้อมด้วยหมู่พระภิกษุสงฆ์ ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ ประหนึ่งราชสีห์บันลือเสียงกังวานกระหึ่มอยู่ในป่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...