เส้นทางอริยสุขาวดี...... พุทธเกษตร แดนที่มีพระพุทธเจ้าประทับเป็นประธาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 3 กันยายน 2005.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    คำนำ<!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" --> ชื่อสวรรค์ชั้นสุขาวดี อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยนักกับชาวพุทธเถรวาท แต่ชื่อนี้จะคุ้นเคยกันดีในหมู่พุทธมหายาน หรือทางศาสนาเต๋า

    ในทางพุทธศาสนาแบบเถรวาท จะจัดชั้นของสุขคติภูมิ ออกเป็นภูมิมนุษย์, สวรรค์ 6 ชั้น, พรหม 16 ชั้น และอรูปพรหมอีก 4 ชั้น พวกเราจึงคุ้นเคย กันเพียงว่า สวรรค์ จะหมายถึงสวรรค์ 6 ชั้น ซึ่งเป็นกามาวจรกุศล

    ความจริงภูมิต่างๆ ที่แบ่งกันแบบที่เรารู้จักกันดีที่ว่านี้ เป็นเพียงภูมิหลัก ๆ เท่านั้น ในโลกของวิญญาณมีภูมิย่อยละเอียดอีกมากมายตามกลุ่มประเภท หรือวาสนาบารมีของสัตว์โลกที่สั่งสมกันมา กรรมดี-กรรมชั่ว ของสัตว์โลกจะจำแนกสัตว์โลกเป็นกลุ่ม ๆ พวก ๆ ตามกรรมของพวกเขาเอง ( กรรมแบบเดียวกันจะเป็นกลุ่มพวกเดียวกันไปเอง )

    ในทางพุทธมหายานแบบจีน ซึ่งผสมผสานกับแนวของเต๋า เขาจะเรียกสุขคติภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ขึ้นไปทั้งหมดว่า
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    ปกิณกะความรู้เรื่องภพ และธาตุธรรม<!-- InstanceEndEditable -->​



    </TD></TR><TR><TD>

    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->ในพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า จักรวาลอันเป็นที่อยู่ของสัตว์โลก มีจำนวนนับไม่ถ้วน จึงเรียกว่าเป็นอนันตจักรวาล จักรวาลหนึ่งๆ หรืออาจเรียกว่าภพหนึ่ง ๆ ก็ได้นั้น มีระดับความละเอียดที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มนุษย์เรามี่มีกายนี้อยู่ในภพมนุษย์ เทพอยู่ในภพเทวดา หรือรูปพรหมก็อยู่ในรูปภพ เป็นต้น แต่ตลอดนรก สวรรค์ พรหมโลก เรียกว่า เป็นส่วนของจักรวาลหนึ่ง (ในที่นี้จะใช้คำว่าภพ แทนคำว่าจักรวาล เรียกเพื่อย่อคำ)

    ทั้งจักรวาล หรือภพ ก็ยังมีความละเอียดที่แตกตางกันไปอีก ในภพที่ละเอียดกว่านั้นผู้ที่อยู่ในภพนั้นก็จะมีความละเอียด (หรือมีความเป็นทิพย์ที่สูงกว่า) กว่ากันเข้าไปเช่นเดียวกัน ละเอียดที่ว่านี้ หมายถึงความละเอียดของธาตุ-ธรรมที่มาเป็นร่างกาย และชีวิตจิตใจ ธาตุบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นก็จะยิ่งมีความละเอียดยิ่งขึ้น

    ธาตุธรรมมีอยู่ 3 ฝ่าย คือ

    1. ฝ่ายดี หรือฝ่ายบุญ หรืออาจจะเรียกว่าฝ่ายขาว (กุสลาธรรม)
    2. ฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายบาป หรือฝ่ายดำ (อกุสลาธรรม)
    3. ฝ่ายกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว หรือฝ่ายไม่บุญ ไม่บาป หรือฝ่ายสีกลางๆ ไม่ดำไม่ขาว (อัพยกตาธรรม) แต่ธาตุธรรมฝ่ายกลางๆ นี้ ไม่ค่อยมีบทบาทมาก มักจะพูดถึง หรือเห็นชัดแต่ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว

    - ฝ่ายดี หรือฝ่ายภาคขาว ก็คือคุณธรรมทางฝ่ายดีทั้งสิ้น รวมทั้ง ธาตุธรรมที่ขาวบริสุทธิ์ จะเป็นเรื่องของฝ่ายนี้
    - ฝ่ายชั่ว หรือภาคดำ ก็คือคุณธรรมทางฝ่ายชั่วทั้งหลาย รวมทั้งธาตุธรรมที่สีดำบริสุทธิ์จะเป็นเรื่องของฝ่ายนี้ (หมายถึงธาตุธรรมในจิตวิญญาณ)
    - ส่วนฝ่ายกลางๆ ก็เรื่องที่เป็นกลางๆ ทั้งหลาย

    ผู้ที่สามารถขัดเกลากิเลสให้หมดจากใจโดยเด็ดขาด หรือเรียกว่าสามารถทำให้จิตใจมีแต่ธาตุที่ขาวบริสุทธิ์ล้วน เรียกว่าถึงความเป็นพระอรหันต์จะสามารถเข้าถึงนิพพานอันเป็นบรมสุขได้ พระพุทธเจ้าที่มีธาตุฝ่ายขาวบริสุทธิ์เราเรียกว่า เป็นฝ่ายพระ แต่ผู้ที่มีธาตุธรรมฝ่ายดำบริสุทธิ์ เราเรียกว่าฝ่ายมาร (สูงกว่าพญามารในสวรรค์ มีสิทธิอำนาจมากกว่ามากมายยิ่งนัก เป็นพญามารตัวจริง)

    ผู้ที่ธาตุฝ่ายกลางๆ บริสุทธิ์ก็เป็นฝ่ายกลางๆ

    เราจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า พระย่อมจะพยายามช่วยเหลือ และชักจูงให้คนให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ให้ทำในสิ่งที่เกิดโทษแก่ตนเอง และผู้อื่นเพื่อให้ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นเรื่องความดีทั้งหลาย

    ส่วนมาร หรือคนชั่วก็พยายามทุกทางที่จะให้ผู้อื่นมาเป็นบริวารอยู่ใต้อำนาจ และกระทำสิ่งที่ชั่วช้าต่างๆ ตามอำเภอใจของตน ถึงจะให้รางวัลก็เพียงให้หลอกแค่ตายใจ เพื่อทำประโยชน์ให้ตนต่อไปเท่านั้น ดังนั้นความเห็น หรือคุณธรรมของทั้ง 2 ฝ่ายจึงขัดแย้งกันอย่างยิ่งไม่อาจลงรอยปรองดองกันได้เลย ต่างฝ่ายก็มีความเห็นของจุดประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อสัตว์โลกแตกต่างกัน

    ฝ่ายหนึ่ง (พระ) ปรารถนาจะช่วยให้พ้นทุกข์เป็นสุขกันถ้วนหน้าเข้าถึงนิพพานกันหมด

    อีกฝ่ายหนึ่ง (มาร) ปรารถนาจะดึงเอาไว้เป็นบริวาร ทำในสิ่งที่มารต้องการจึงไม่ต้องการให้สัตว์โลกมีปัญญารู้เท่าทันจะได้หลงเป็นทาสมารโดยไม่รู้ตัวต่อๆ ไป

    ดังนั้นในระดับธาตุธรรม ความขัดแย้งนี้จึงเรียกว่าเป็นสงคราม ต่างฝ่ายต่างพยายามเยื้อแย่งสัตว์โลก

    ฝ่ายพระเยื้อแย่งเพื่อช่วยให้ฉลาดรู้ทันมาร และหลุดพ้นจากการเป็นทาสมารไปเป็นสุข

    แต่ฝ่ายมารต้องการหลอกดึงเอาไว้เป็นทาส

    ผู้ที่มีอำนาจบารมีสูงในแต่ละฝ่าย หรือจะเรียกว่า ผู้ปกครองของธาตุธรรมฝ่ายนั้นๆ ก็พยายามสอดธาตุธรรม หรือพลิกธาตุธรรมของสัตว์โลก ให้เป็นธาตุธรรมของฝ่ายตน หรือจะเรียกว่าดลจิตดลใจสัตว์ให้ปฏิบัติในหนทางของฝ่ายตนก็ได้พร้อมๆ กันนั้น เมื่อสัตว์โลกได้ยินยอมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของฝ่ายตนก็จะให้ผลตอบแทน ที่เรียกว่าผลบุญผลบาปนั่นเอง

    โดยที่ผลของการกระทำในสิ่งที่เป็นฝ่ายบุญกุศล จะเกิดเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์

    แต่ผลของการกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล จะเป็นบาปศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะให้ผลตอบแทนที่เด็ดขาดต่อสัตว์โลกนั่นเอง

    ภพ
    ภพนั้นมีอยู่มากมาย มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ (ขนาดเล็กก็ใหญ่โตเป็นอจิณไตยสำหรับเราๆ กันแล้ว) ภพน้อยกายผู้ที่อยู่อาศัยในภพก็จะเล็กตามไป ส่วนภพใหญ่กายผู้ที่อยู่อาศัยก็ใหญ่ด้วย ภพที่เราอยู่กันนี้เป็นภพน้อยกายของพวกเราเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่ชั้นพรหมก็ถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับภพใหญ่ ภพต่างๆ มากมายเหล่านี้มีทั้งภพที่ปกครองโดยภาคขาวล้วน ภพที่ปกครองโดยภาคดำล้วน หรือภพที่ปกครองโดยภาคกลางๆ ล้วน และภพที่ภาคไหนๆ ไม่ว่าดำ ขาว หรือกลางๆ ก็ไม่สามารถยึดอำนาจสิทธิเด็ดขาดในการปกครองได้ก็มีอย่างละมากๆ มีทั้งภพลับและภพเปิดเผย

    สุขาวดีพุทธเกษตร
    สำหรับฝ่ายภาคขาว ภพที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวพุทธ โดยเฉพาะฝ่ายมหายานก็คือ สุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งมีพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นประธาน ตำรากล่าวว่าอยู่ทางทิศตะวันตกห่างออกไปจากจักรวาลนี้ถึง 10 ล้านพุทธภูมิสุขาวดีพุทธเกษตรที่มีพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นประธานนี้ มีอยู่ 9 ชั้นที่เรียกกันว่า บัว 9 ชั้น

    แดนนี้นับเป็นภพใหญ่ภพหนึ่งที่เป็นภพของฝ่ายขาวล้วน ที่เรียกว่าภพใหญ่ เพราะร่างกายของผู้ที่อยู่ในดินแดนนี้จะมีขนาดใหญ่โตมาก ขนาดที่อาจเทียบมาตราส่วนของเราก็พอจะเทียบได้ว่ามีขนาดตั้งแต่ ความสูงของร่างกายนับพันนับหมื่นกิโลเมตร จนถึงเป็นแสนกิโลเมตรก็ว่าได้

    ชั้นล่างกายจะเล็กกว่าชั้นบนๆ ขึ้นไป แดนที่สูงกว่านี้ขึ้นไปอีก หรืออาจเรียกว่าเป็นภพใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งมีความละเอียด และอายุธาตุอายุบารมียิ่งมากขึ้นไปอีกก็ยังมีอีกมากมาย

    อย่างเช่นในระดับมหาไพศาลภูมิ แดนนี้มีถึง 18 ชั้นกายของผู้ที่อยู่ในดินแดนนี้ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร ตั้งแต่ความสูงเป็นแสนๆ กิโลเมตร ถึงหลายล้านกิโลเมตร ในระดับที่ละเอียดมาก ๆ ของภพใหญ่มากๆ นั้นในตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จันทสโร) กล่าวไว้ว่ากายมีขนาดโตมากจนแม้แต่ขนเส้นเดียวยังโตกว่าจักรวาลของเรา

    ยังมีในระดับมหาไพศาลภูมินี้มีองค์จอมราชันเป็นประธานมีจอมมุนี และวิสุทธิเทพสถิตอยู่อย่างมากมาย ที่เคยมีผู้ได้ไปพบเห็นแดนนี้ กล่าวถึงผู้อยู่ในแดนนี้ว่าเป็นแสงสว่างไม่มีตัวตน (ความจริงเป็นเพราะญาณมีจำกัดไม่อาจเห็นได้ตลอดทั่วทั้งกายเพราะกายใหญ่โตมาก จึงเห็นเป็นแสงสว่างเพราะกายท่านใสสว่างมากเหลือเกิน นอกจากท่านจะย่อกายให้เล็กลง หรือขยายกายเราให้โตขึ้นเท่าๆ กันเท่านั้นจึงจะได้เห็นชัดหมดทั้งกาย แต่ถ้าสามารถขยายข่ายญาณให้ครอบคลุมได้ทั้งหมดก็สามารถเห็นรูปกายได้เช่นกัน ภพเหล่านี้เป็นภพใหญ่ที่เป็นภพทิพย์ของฝ่ายขาวล้วน)

    ภพที่เราอยู่กันนี้เป็นภพที่ธาตุธรรมทั้ง 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายขาว ฝ่ายกลางๆ และฝ่ายดำต่างก็เข้ามามีอำนาจปกครองด้วยกัน จึงเป็นสนามรบของธาตุธรรมที่คอยแย่งชิงสิทธิ ปกครองธาตุธรรมในภพนี้ตลอดเวลา เหตุการณ์ต่างๆ ในโลก และในตัวบุคคลจึงมีทั้งดี ทั้งร้าย และกลางๆ อยู่เสมอ เปลี่ยนแปลงแล้วแต่ฝ่ายไหนเข้ายึดสิทธิได้ตามปัจจัยคือ บุญ บาป และไม่บุญ ไม่บาปที่เรากระทำ

    สุขาวดี หรือภพของฝ่ายขาวล้วน แดนสุขในที่นี้จะกล่าวว่าเป็นเหมือนแดนนิพพานก็ว่าได้ เพราะเป็นแดนที่เป็นสุคติภูมิ และผู้ที่เข้าถึงแดนนี้แล้ว จะไม่ต้องเวียนกลับมาเกิดในโลกนี้ หรือในวัฏฏะทุกข์อีก (ยกเว้นปรารถนาจะมาเกิดเอง ซึ่งถ้ามาเกิดอีกทีจะเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทธรรมในวัฏฏะสงสาร) ทั้งบุญศักดิ์สิทธิ์ และบาปศักดิ์สิทธิ์นั้นมีทั้งของภาคขาว และภาคดำ <!-- InstanceEndEditable -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    ภาคขาว ภาคดำ<!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->ภาคขาว
    ให้บุญศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้เกิดสมบัติที่ดีต่างๆ ที่ให้ผลแต่คุณที่ดีอย่างเดียวไม่มีโทษเลย เที่ยงแท้ไม่แปรผัน รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป เรื่อยๆ ตามธรรมของภาคขาว

    (อาจให้บาปศักดิ์สิทธิ์เพื่อลงโทษได้ด้วยแต่อาจพลิกแปรผัน ไปเป็นดีขึ้นได้ให้บาปเพียงพอลงโทษให้สำนึกกลับตัวเป็นคนดี)

    ภาคดำ
    อาจให้บุญศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้เกิดคุณสมบัติที่ดีต่างๆ ได้ แต่อาจพลิกผันเป็นโทษเมื่อไรก็ได้ ภาคดำต้องการเพียงหลอกให้เกิดความประมาท จะได้ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วต่อไป ต่อไปจะได้ทำชั่วมากๆ ให้สมบัติที่เหมือนกับผลบุญเพียงเพื่อหลอกล่อให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการให้ทำเท่านั้น ให้บาปศักดิ์สิทธิ์ เพื่อลงโทษสัตว์ให้เกิดทุกข์โทษแต่อย่างเดียวตามธรรมของภาคดำ

    ถ้าภาคขาวปกครอง
    จะพยายามให้คุณแก่สัตว์อย่างเดียว เปิดให้เห็นสวรรค์ นิพพาน ต้องการให้สัตว์เข้านิพพานเป็นสุขตลอดหมด
    - เครื่องจะหมุนขวา (ไขขี้น)
    - ให้สมบัติ คุณสมบัติของฝ่ายบุญภาคขาว มีแต่ดี ชักจูงให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ และเที่ยงแท้จนถึงที่สุด ไม่สิ้นสุด ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายอีก

    ถ้าภาคดำปกครอง
    จะพยายามให้โทษแก่สัตว์ ปิดไม่ให้เห็นสวรรค์ นิพพาน ไม่ต้องการให้สัตว์เข้านิพพานได้
    - เครื่องจะหมุนซ้าย (ไขลง)
    - อาจให้สมบัติ คุณสมบัติที่ดีๆ เช่น ร่ำรวย มีชื่อเสียง ลาภยศ แต่เป็นไปเพื่อประมาท ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี (อันเป็นธรรมของฝ่ายขาว) ลวงให้ทำชั่วมากขึ้นแล้วให้โทษทุกข์แก่สัตว์ให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย วนเวียนตลอดไป

    ในภพของสายขาวล้วน จะมีแต่ความสุข เกิดมาแล้วจะโตขึ้น ใสสว่างยิ่งขึ้นจนเข้านิพพานไปเลย มีแต่เรื่องของสายขาวทั้งนั้นในภพนี้

    ในภพของสายดำล้วน ก็มีแต่เรื่องเป็นธรรมของสายดำอย่างเดียวทั้งนั้นในภพนี้

    ในภพของสายกลางๆ ล้วน ก็มีแต่เรื่องที่เป็นธรรม ของสายกลางๆ ทั้งนั้นในภพนี้

    อุปมาเหมือนเรื่องของประเทศไหนก็เป็นเรื่องของภายในของเขาไม่เกี่ยวกัน ปกครองกันเอง

    ปัญหาคือ เพราะเกิดมีธาตุธรรมล้ำแดนกัน เพราะการขยายธาตุธรรมเป็นเถา ชุด ขั้นตอน ภาคพืด พืดในพืดออกมาทำให้กระทบกระทั่งกัน (เหมือนจีน ญี่ปุ่น ญวนแย่งหมู่เกาะสแปรตลีย์กันกระมัง เพราะแต่ละประเทศก็ต้องขยายอาณาเขตออกไป เพื่อควบคุมเป็นเจ้าของที่แถบนั้น ภพน้อยที่เราอยู่นี้ และอาจมีภพอื่นๆ อีกมากมาย) ที่เป็นเขตเข้ามาต่อสู้แย่งธาตุธรรมกัน ดังนั้นเครื่องในภพน้อย ที่ควบคุมสัตว์โลกในภพนี้อยู่นั้น อาจจะถูกควบคุม

    โดยมารอยู่ส่วนหนึ่ง (เสมือนในประเทศถูกมหาอำนาจ 3 ฝ่ายแทรกแซง ต่างฝ่ายต่างมีกลไกควบคุมมวลชนของตน และพยายามจะควบคุมหัวใจการบริหารประเทศให้ได้กัน)

    ดังนั้นสัตว์โลกในภพน้อยนี้ จึงมีธาตุธรรมของ 3 ฝ่ายแทรกปนเป็นอยู่เพื่อจะให้สัตว์นั้นเป็นธาตุธรรมฝ่ายตน ถ้าควบคุมได้หมดทุกระดับ (เท่ากับชนะใจคนทั้งประเทศ เอาคนทั้งประเทศมาเป็นพวกได้) ก็เท่ากับยึดภพได้ ภพนี้ก็จะกลายเป็นภพของสายธาตุธรรมนั้นไป เท่ากับธาตุธรรมนั้นขยายอำนาจได้ ได้อำนาจสิทธิเด็ดขาดในการปกครองภพนั้น

    ดังนั้นที่เราอยู่ในภพน้อยนี้คือ
    1. ช่วยตัวเองให้พ้นจากการถูกปกครองด้วยสายดำ และสายกลางๆ เป็นให้อยู่ในฝ่ายขาวอย่างเดียว เพื่อให้พ้นทุกข์โดยเด็ดขาดตลอดกาล (ถ้าไม่ทำก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะทุกข์อยู่ตราบนั้น)
    2. เพื่อช่วยผู้อื่น โดยเฉพาะช่วยให้ทั้งภพน้อยมาเป็นฝ่ายขาวให้หมดเพื่อให้ธาตุธรรมสายขาวปกครองภพนี้ และให้ภพน้อยนี้เป็นภพของสายขาวล้วน เพื่อสัตว์โลกที่ยังไม่ถึงนิพพานจะได้พ้นทุกข์เป็นสุขตลอดหมด และทุกระดับหลุดพ้นจากการปกครองของมาร

    ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติ กาย วาจา ใจให้ถูกต้อง เพื่อให้ธาตุธรรมของตนเป็นธาตุธรรมฝ่ายขาวล้วน นั่นคือต้องปฏิบัติตามปิฎกของฝ่ายขาว <!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    หลักการปฏิบัติ 3 ข้อ <!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->หลักการปฏิบัติ 3 ข้อ คือ
    (1). ไม่ทำบาปทั้งปวง (ไม่ปฏิบัติตามปิฎกของฝ่ายดำเลย)
    (2). ทำแต่สิ่งที่เป็นบุญกุศล (ปฏิบัติตามปิฎกของฝ่ายขาว)
    (3). ทำจิตใจให้ผ่องใส (เพื่อให้ใจและธาตุธรรมขาวสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ เพื่อเป็นธาตุล้วนธรรมล้วนของฝ่ายขาว)

    ถ้าปฏิบัติตามหลักปฏิบัติวิชชาที่สอนกันทั่วไปนั้น ของแต่ละคน เพื่อให้สามารถพ้นจากกิเลสทั้งปวง และบรรลุธรรมไปตามลำดับ จนเป็นพระอรหันต์ เข้าถึงนิพพาน (ฝ่ายขาว) ได้นั้นนั่นคือ

    1. การไม่ทำบาปทั้งปวงนั้น เท่ากับการไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายดำ สอดธาตุธรรม และสิ่งต่างๆ ของฝ่ายดำเข้ามาปนเป็นอยู่ในธาตุธรรมของเราได้เลยอีกต่อไป ฝ่ายดำจะหมดโอกาสปกครองเครื่องต่างๆ

    2. การทำแต่สิ่งที่เป็นกุศล เท่ากับเปิดโอกาสให้ฝ่ายขาวสอดธาตุธรรม และสิ่งต่างๆ ของฝ่ายขาวเข้ามาได้มากยิ่งขึ้น ฝ่ายขาวจะมีโอกาสปกครองเครื่องต่างๆ เสียเอง

    3. การทำจิตใจให้ผ่องใส เท่ากับช่วยให้ฝ่ายขาวได้เข้าปกครองเครื่อง และธาตุธรรมที่ฝ่ายดำ หรือกลางๆ เคยปกครองอยู่เพื่อพลิกธาตุธรรมมาเป็นฝ่ายขาวโดยบริสุทธิ์แต่ส่วนเดียว

    จนกระทั่งฝ่ายขาวสามารถเข้ามาควบคุมปกครองธาตุ และเครื่องต่างๆ ของบุคคลคนนี้ได้ทั้งหมดโดยเด็ดขาด พลิกธาตุพลิกธรรมเป็นฝ่ายขาวได้หมดทั้งสิ้นไม่เหลือเศษเลย ก็เท่ากับได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นั่นเอง และเกิดผลต่อส่วนรวมของภพก็คือภาคขาวจะมีสิทธิมีส่วนในการควบคุมเครื่องควบคุมภพเพิ่มขึ้นตามส่วน (เหมือนมีหุ้นเพิ่มมากขึ้นก็ได้สิทธิควบคุมบริษัทมากขึ้นด้วย) ถ้าสัตว์ในภพนี้มีความมั่นคงต่อการปฏิบัติชอบทั่วทุกตัวตนในภพ ก็เท่ากับภาคขาวได้อำนาจปกครองเด็ดขาด ภพนี้ก็จะเป็นภพของภาคขาวล้วนทันที

    การปฏิบัติตามหลักการ 3 ข้อที่กล่าวมานั้นจะเกิดผลดีกับเราอัตโนมัติ คือภาคผู้ปกครองในฝ่ายขาวจะเข้ามาทำงานเองเป็นอัตโนมัติ ในการเข้าคุมเครื่อง และสอดบุญศักดิ์สิทธิ์ บารมีฝ่ายขาวมาให้ และปรับธาตุพลิกธาตุธรรมส่วนละเอียดของเราให้เป็นฝ่ายขาวโดยสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้เราผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่รู้ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแต่ได้รับผลอานิสงส์ของการปฏิบัติคือ บรรลุมรรคผลนิพพานได้

    เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไม่ว่าเรื่องภพต่างๆ ทั้งภพน้อย,ภพใหญ่, นิพพานภพ 3 โลกันต์ (ที่มีอยู่ในแต่ละจักรวาลภพ), เรื่องผู้ปกครอง ทั้งสายขาว สายกลางๆ และสายดำ, เรื่องของเครื่องควบคุมทั้งปวง และควบคุมธาตุธรรมเห็น จำ คิด รู้ของสัตว์โลก การสอดแทรกปนเป็นร้อยใส่เข้ามาในธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ของสัตว์โลกที่อยู่ในภพ เป็นต้น สามารถรู้เห็นได้แต่ต้องทำถูกวิธี จึงจะสามารถรู้เห็นได้

    เนื่องจากสิ่งต่างๆ ต่างก็มีศูนย์อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น และศูนย์เหล่านี้ จะอยู่ตรงแนวเดียวกัน และเนื่องจากสรรพสิ่งย่อมมีกำเนิดเดิม ศูนย์ทั้งหลายก็อยู่ตรงกับศูนย์กำเนิดเดิมนั้นเอง มนุษย์เราก็มีกำเนิดเดิม ศูนย์กลางของกำเนิดเดิมของเราก็อยู่ตรงกับศูนย์ของกำเนิดเดิม ของสรรพสิ่งเช่นกัน <!-- InstanceEndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    ศูนย์ประจำภพ<!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" --> ศูนย์ของภพต่างๆ ศูนย์ของเครื่องต่างๆ ที่เป็นเครื่องควบคุมใหญ่ของภพ หรือเครื่องย่อยๆ ตลอดจนเครื่องย่อยที่ควบคุมอยู่ในธาตุธรรมทั่วกายมนุษย์ แต่ละคนก็มีศูนย์อยู่ตรงกัน (ดังนั้นถ้าสามารถเข้าสู่ศูนย์กำเนิดเดิมของตัวเราเองได้ เราจะสามารถเข้าสู่ศูนย์ของสิ่งต่าง ๆ ได้ จะสามารถรู้เห็นสรรพสิ่งนานาตลอดไตรโลกธาตุนานาจักรวาลอนันตจักรวาลนี้ได้ ความรู้เรื่องธาตุธรรม 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายขาว (บุญ) ฝ่ายกลาง ๆ และฝ่ายดำ (บาป), เรื่องการแย่งกันสอดวิชชาของฝ่ายต่างๆ เข้าปนเป็นในธาตุธรรมของสัตว์โลก เพื่อแย่งกันปกครองบังคับบัญชาสัตว์โลกให้เป็นไปตามปิฎกของตน, เรื่องของภพ และการปกครองภพ, เรื่องของเครื่องควบคุมภพ และควบคุมสัตว์ให้เป็นไปตามความประสงค์ของฝ่ายตน ตลอดจนเรื่องของการเกิดดับของสัตว์โลกในภูมิต่างๆ ทั่วไปทั้งหมด และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งเปรียบได้กับใบไม้ในป่าที่ได้เพิ่มเติมขึ้นไปอีก จากใบไม้ในกำมือ (ที่หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับความจำเป็นเพื่อการพ้นทุกข์)

    วิชชาที่จะชี้แนวทาง หรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้เราได้รู้เห็น และเข้าถึงศูนย์กำเนิดเดิมของ มนุษย์คือตัวเราเองได้นั้นที่เห็นชัดเจนที่สุดในขณะนี้ก็คือ วิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) ได้ค้นพบ และนำมาสั่งสอน ถ่ายทอดสืบกันมานั่นเอง วิชชานี้สอนให้ตั้งจิตในการทำสมาธิไว้ ณ ศูนย์กลางกายซึ่งตรงกับศูนย์กำเนิดเดิม เมื่อจิตหยุดนิ่ง และละเอียดพอก็จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาได้ตามความสามารถในการปฏิบัติของเราเอง ที่สำคัญคือ ต้องสามารถทำจิตให้หยุด ให้เห็น จำ คิด รู้ ของเราหยุดนิ่งเป็นจุดเดียวกัน ณ ศูนย์กลางกายได้หยุดเป็นตัวสำเร็จ ต้องหยุดนิ่งได้ดีจึงจะสำเร็จ

    ในเบื้องต้นเมื่อจิตหยุดได้ถูกส่วนพอดีจะเห็นดวงธรรมที่หลวงพ่อเรียกว่าดวงปฐมมรรค หรือดวงธรรมของกายมนุษย์ ถ้าจิตสามารถหยุดนิ่งได้ยิ่งขึ้น จิตละเอียดยิ่งขึ้นจะสามารถเห็นกายต่างๆ ผุดซ้อนกันขึ้นมาตามลำดับจนถึงกายธรรม หรือที่หลวงพ่อเรียกว่า
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    สุขาวดีพุทธเกษตร<!-- InstanceEndEditable -->​
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" --><CENTER>[​IMG]</CENTER>
    1. มีภูเขาแก้วทั้ง 7 เป็นกำแพงแก้ว 7 ชั้น
    2. มีต้นตาลขึ้นเป็นแนวอยู่อีก 7 แถว
    3. มีตาข่ายกระดึงทองโยงให้ถึงกัน
    4. อาณาบริเวณเต็มไปด้วยแก้วมณี 7 ประการ
    5. มีสระน้ำทั้ง 7 เต็มไปด้วยรัตนชาติ 7 ชนิด คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์
    ผลึก ทับทิม บุษราคัม และมรกต
    6. มีท่าน้ำขึ้น-ลงสระโบกขรณีที่
    -ระดับน้ำลึกพอที่กาจะก้มลงกินน้ำได้
    -ท่าขึ้น-ลงนับรายระยับด้วยทรายทอง
    -บริเวณรอบ ๆ สระมีต้นไม้แก้ว 7 ประการออกดอกผลน่าชื่นใจ
    -ในสระทั้ง 7 มีดอกบัวนานาพันธุ์ต่างสีสันสวยงามมาก
    -ดอกบัวนานาชนิดเบ่งบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่เท่ากงเกวียน
    7. มีดุริยางคทิพย์บรรเลงเป็นนิจ
    8. พื้นดินปูลาดด้วยทอง (แผ่นดินทอง)
    9. มีฝนมณฑาทิพย์ตกลงมาส่งกลิ่นหอม
    วันละ 6 ครั้ง กลางวัน 3 กลางคืน 3
    10. มีนกนานาชนิดต่างร้องเสียงประกาศธรรม

    <CENTER>วันหนึ่งคืนหนึ่งในสุขาวดีพุทธเกษตร
    เท่ากับ 1 กัลป์ในโลกมนุษย์
    และผู้ที่ไปบังเกิดในสุขาวดีนั้น
    ล้วนเป็นโอปาติกะเกิดขึ้นในดอกบัว
    ชาวสุขาวดีพุทธเกษตร
    ไม่มีทุกข์ โศก โรค ภัยอะไร
    มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี อายุยืน
    เป็นแดนอันเสมือนที่พัก
    ระหว่างภพ 3 กับ พระนิพพาน
    ผู้ที่ไปถืออุบัติขึ้นในสุขาวดี
    ล้วนต้องถึงแดนพระนิพพานแน่นอน
    หากยังมีกิเลสหนาติดมาจากโลกอื่น
    ก็จักอบรมตัดกิเลสหมดสิ้นกันที่นั่น
    แต่ถ้าหากมีความปรารถนา
    จะกลับมาโปรดสัตว์ในโลกมนุษย์
    หรือโลกอื่น ๆ ทั่วทิศ
    ก็สามารถทำได้ดังใจปรารถนา</CENTER>
    มนุษย์ เทวดา และสัตว์ทั้งปวงทั้วทิศ
    ที่ปรารถนาจะมุ่งไปเกิด ณ แดน
    สุขาวดีพุทธเกษตรนั้น

    จำแนกได้ 3 ประการ คือ
    1. ประเภทสูงสุด - บรรพชิต
    คือผู้ออกบวชเป็นพระภิกษุ และกระทำจิตมุ่งต่อโพธิญาณ หมั่นตรึกรำลึกถึงพระอมิตาภาพุทธเจ้า

    2. ประเภทกลาง
    ได้แก่มนุษย์ เทวดาและ สัตว์ทั้งปวงทั่วทิศ ที่มีจิตมุ่งบังเกิดสุขาวดี พุทธเกษตร ประกอบการบุญกุศลต่าง ๆ ไม่เสื่อมคลาย จิตมุ่งตรงต่อโพธิญาณ และหมั่นรำลึกถึงพระอมิตาภาพุทธเจ้า

    3. ประเภทต่ำ
    ได้แก่มนุษย์ เทวดา และ สัตว์ทั้งปวงในทศทิศ ซึ่งมีจิตมุ่งบังเกิด ในสุขาวดีพุทธเกษตรนั้น และศรัทธา เชื่อมั่นรำลึกถึงเพียง 1 ครั้งหรือ 2 ครั้ง จนถึง 100 ครั้งต่อพระอมิตาภาพุทธเจ้า แม้จะไม่ได้ประกอบการกุศลกรรมทั้งหลาย เป็นนิจ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    สุขาวดีพุทธเกษตร บัว 9 ชั้น

    ชั้นที่ 1. ผู้ทรงศีลครบถ้วน มีจิตมุ่งตรงต่อโพธิญาณ ศรัทธาต่อพระอมิตาภาพุทธเจ้า และจิตมุ่งบังเกิดแดนสุขาวดี เมื่อถึงกาลดับขันธ์แล้ว พระอมิตาภาพุทธเจ้าและบริวารจะเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง

    ชั้นที่ 2. บุคคลที่มีความรู้แตกฉานในธรรมชั้นสูงสุด เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม ไม่กล่าวติเตียนมหายาน เมื่อใกล้ดับขันธ์พระอมิตาภาพร้อมพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์และพระสถามปราปต์มหาโพธิสัตว์กับบริวารมากมายเสด็จมารับไปอุบัติขึ้นในดอกบัว ณ สระแก้ว แต่ต้องนั่งสมาธิอยู่ในดอกบัว กำหนดข้ามวัน ดอกบัวบาน จึงมีโอกาสฟังธรรมจากพระอมิตาภาพุทธเจ้าและอัครสาวกซ้าย-ขวา มีกำหนด 7 วัน จึงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    ชั้นที่ 3. บุคคลผู้เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่กล่าวร้ายมหายาน มีโพธิจิต และตั้งใจบังเกิด ณ แดนสุขาวดี เมื่อใกล้ดับขันธ์ พระอมิตาภาพุทธเจ้าและพระอัครสาวกทั้ง 2 องค์ จะทรงเนรมิตดอกบัวทองไว้ในพระหัตถ์ของทั้ง 3 พระองค์ บันดาลให้เป็นพระพุทธเจ้าจำนวน 500 พระองค์มารับไปอุบัติขึ้นในดอกบัว และจะต้องนั่งสมาธิในดอกบัวกำหนด 1 วันเต็ม ๆ ดอกบัวบานแล้วอีก 7 วันจึงจะได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระอมิตาภาพุทธเจ้าและพระอัครสาวกทั้งสอง ตลอดถึงพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ เป็นเวลานานถึง 37 วัน จึงจะบรรลุพระโพธิญาณ

    ชั้นที่ 4. บุคคลผู้ถืออุโบสถศีลอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ละเมิดศีลข้อใดเลย จิตมุ่งบังเกิดแดนสุขาวดี พระอมิตาภาพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุบริวาร จะมารับให้ไปอุบัติขึ้นในดอกบัว ดอกบัวจะค่อย ๆ บานออกทีละน้อย ๆ จะได้มีโอกาสฟังธรรมเรื่องอริยสัจ 4 และจะได้บรรลุอรหันต์เป็นผลสืบไป

    ชั้นที่ 5. บุคคลผู้ถือศีล 8 ได้เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง หรือศีล 10 หรือศีลภิกษุ 227 โดยไม่ขาดตกบกพร่อง มีจิตมุ่งบังเกิดในแดนสุขาวดี เมื่อถึงกาลดับขันธ์ พระอมิตาภาพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์จะมารับไปอุบัติขึ้นในดอกบัว ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งกัลป์จึงจะบรรลุพระอรหัตผล

    ชั้นที่ 6. บุคคลผู้มีความกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาอย่างดี มีมนุษยธรรม มีศีล 5 ประจำตน เมื่อใกล้ดับขันธ์ ปรารถนา บังเกิด ณ แดนสุขาวดี จะไปเกิดในดอกบัวตูม กำหนดครบ 7 วัน ดอกบัวบานจึงมีโอกาสเฝ้าพระมหาโพธิสัตว์อัครสาวกทั้งสอง สดับพระธรรมเทศนาจากท่าน มีกำหนดล่วงไป 1 กัลป์ จึงจะบรรลุอรหัตผล

    ชั้นที่ 7. บุคคลผู้ก่อกรรมเลวชั่วช้า ไม่ละอายต่อบาป เมื่อใกล้ดับขันธ์ได้ยินเสียงเอ่ยพระนามพระอมิตาภาพุทธเจ้า พระองค์จะทรงเนรมิตพระรูปของพระองค์และพระอัครสาวก ทั้งสองไปรับมาอุบัติขึ้นในดอกบัว มีกำหนด 77 วันล่วงไป ดอกบัวจึงบานและพระอัครสาวกทั้งสองทรงเทศนาธรรมสั่งสอนล่วงเวลาไป 10 กัลป์ จึงเข้าปฐมภูมิแห่งพระโพธิสัตว์ คือ มีทานบารมีเป็นใหญ่

    ชั้นที่ 8. บุคคลผู้ละเมิดต่อศีลทั้งปวง มีที่ไปเกิดแน่ ๆ คืออบายภูมิ ( เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก ) เมื่อใกล้ดับขันธ์ จะมีกรรมนิมิต คตินิมิตเป็นที่น่าสพึงกลัว แต่โชคดีอาศัย บัณฑิตช่วยชี้แจงสรรเสริญพระคุณของพระอมิตาภาและความสวยงามของแดนสุขาวดี กรรมนิมิตที่แลเห็นเป็นไฟนรกก็จะกลับกลายเป็นดอกบัว และดอกบัวนั้นจะมีภาพแปลงกายของพระอมิตาภาพุทธเจ้าและพระอัครสาวกทั้งสองพระองค์มารับ เมื่อจุติในดอกบัวตูม กาลเวลาล่วงไปนานถึง 6 กัลป์ ดอกบัวจึงบานออก และจึงมีโอกาสฟังธรรมจากพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ จักบังเกิดโพธิจิตแก่บุคคลนั้นโดยพลัน

    ชั้นที่ 9. บุคคลผู้ประกอบแต่ความชั่ว สมควรสู่อบายภูมิ เมื่อใกล้ตายมีผู้มาตักเตือนให้สวดรำลึกถึงพระอมิตาภาพุทธเจ้า ชั่ว 10 ขณะจิต กรรมคติร้ายก็จะกลายเป็นดอกบัวทองมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าและรับบุคคลนั้นไปเกิด ณ แดนสุขาวดี อุบัติในดอกบัวอยู่นาน 12 มหากัลป์ ดอกบัวจึงบานออกได้รับพระธรรมเทศนาจากพระมหาโพธิสัตว์ทั้ง 7 พระองค์ แล้วโพธิจิตก็จะบังเกิดโดยพลัน

    ต้องประพฤติเช่นไรจึงจะไปเกิด ณ แดนสุขาวดีพุทธเกษตร

    1.
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
  8. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,279
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2005
  9. merit

    merit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +4
    มาขอแจมเรื่องภาวะใกล้ตายแบบแนวสุขาวดี

    [​IMG]

    </IMG>[​IMG]

    </IMG>ชาวพุทธนิกายสุขาวดีเชื่อว่า วินาทีสุดท้ายก่อนวิญญาณ
    ออกจากร่างหากนึกถึงพระอมิตาภะหรือดินแดนสุขาวดี
    จะมีพระอมิตาภะหรือพระโพธิสัตว์หรือดอกบัวมารับ
    ไปที่ดินแดนสุขาวดี แล้วไปฝึกปฏิบัติธรรมต่อที่นั่น จน
    บรรลุนิพพาน ซึ่งง่ายกว่าการบรรลุนิพพานในโลกมนุษย์


    ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่แค่นึกถึงพระอมิตาภะก่อนตายก็จะได้
    ไปดินแดนสุขาวดี เพราะก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง
    ธาตุขันธ์จะแปรปรวนอย่างหนัก ลมปราณแตกซ่าน ยากที่จะ
    ควบคุมสติสัมปชัญญะได้ ชาวสุขาวดีจึงมักพูดกันเสมอว่า
    ให้เหมือนกับต้นไม้ที่โน้มเอียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
    มากๆ เมื่อล้มลงจะด้วยเหตุบังเอิญ หรือมีเหตุมีปัจจัย
    ต้นไม้นั้นย่อมจะล้มลงไปในทิศทางที่โน้มเอียงลงไปนั้น


    เพราะฉะนั้น ยามปกติจึงต้องฝึกปฏิบัติธรรมฝึกพลังจิต ฝึกตาย
    ก่อนตาย และสวดมนต์เอ่ยนามพระอมิตภะจนเป็นความเคยชิน
    และเป็นปกตินิสัย ยามคับขันจิตจะทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ
     
  10. rosey

    rosey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,345
    สุขใดหนอ.. จะเทียบเท่าความงดงาม.. ของผู้ที่มีจิตใจงดงาม...
    แม้เพียงพบผ่าน... แค่หนึ่งขณะจิต ... ขอกราบอนุโมทนา...[b-wai] [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  11. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    อนุโมทนาค่ะ ปรารถนาสุขาวดีค่ะ
     
  12. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    621
    ค่าพลัง:
    +2,268
    นะมัตถุ พุทธานัง นะมัตถุ โพธิยา.

    กราบ กราบ กราบ
     
  13. -W-

    -W- สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...