เวลาทุกข์ดับควรทำอะไรต่อดีครับ(ดับชั่วคราว)

สงสัย กำลังพิจารณาการเกิด-ดับ ของเชื้อไวรัส โคโยตี้-19 อยู่.... 5555

 

เขาก็ตามอ่านนั้นแหละ แต่ ไม่แสดงตัว คงรอเนตเราหมดค่อยเข้ามา..

นะ นะ นะ..

 

เพิ้นหนีหนี้ดิจังบ่มาคุยนำ55

 

นิ่ง สงบ สยบความเคลื่อนไหว...
ซุ้ม นี่... แสดงว่า ไม่ส่งจิตออกนอก
แต่ ถ้าซุ้มส่อง นี่ แสดงว่า ส่งออกนอก ชัวร์ใช่มั้ยท่าน

 

อันนี้ลึกซึ้งปฎิบัติให้ดูเลย55

 

คนเมืองน้ำดำ, post: 11212229, member: 720116"]ผู้เตรียมหน้างาน ผู้ชำนาญในการเจรจา..

จัดเตรียมความพร้อมเสร็จสรรพ อาจได้กลับบ้านเก่าก่อนใครๆ..


...........

กลับก่อนเพื่อน ก็น่าจะดี ไม่ต้องรับผืดชอบอะไร

เราเขียนขี้เกียจเขียน
ไม่เถียงกับใคร

เราเข้ามาอ่านๆ แล้วก็ไป
ต้องทำมาหากิน
ไม่ว่างเหมือนคุณ

เขียนเท่าที่จำเป็น..
..[/QUOTE]

 

ขนาดเขียน ขนาดพิมพ์ ยังขี้เกียจเลย แล้วการปฏิบัติล่ะ

ไม่ต้องพูดถึง..

 

ปฏิบัติมาจนเบื่อแล้ว...พอ

ทำอย่างอื่นบ้าง..

 

อยากกลับก่อนมั๊ยล่ะ

นับว่าเป็น บุคคลผู้ประมาทอยู่..

หายใจทิ้งไปวันๆ..

ผู้ปฏิบัติจริง นั้น การปฏิบัติ ไม่อ้างเวลาแน่นอน..

ทุกเวลา ทุกอริยาบท ล้วนเป็นการปฏิบัติ..

 

งานเสร็จ รอวันกลับบ้าน
พกบารมีเต็มถัง เอากลับไปใส่ตุ่ม

 

+++ ต้องระวังคำว่า "จิต" ให้ดี ๆ เน้อ...
+++ หลาย ๆ ครั้ง มันเป็นคำพูดสั้น ๆ ของ "สังขารจิต" นะ

+++ จิตเป็น "ธาตุรู้" เพียงแต่ สังขารจิต "ไม่ใช่" นะ

 

+++ ถ้าคำว่า "สติ" หมายถึง "การระลึก" ละก้อ...
+++ สติก็เป็นเพียงแค่ "สังขารจิต" เท่านั้น เป็น "สัญญา เกิด/ดับ ตับแตก"

+++ อาการที่ "ระลึกเข้าสู่ สภาวะรู้ เท่านั้นที่เรียกว่า สติ" นอกนั้น "ไม่ใช่"
+++ เมื่อระลึกเข้าสู่ "สภาวะรู้" แล้ว จากนั้น "อยู่ กับรู้ที่ระลึกได้มา"
+++ ตรงนี้เป็น "สติปัฏฐาน"
+++ ดังนั้น "สภาวะรู้" ที่ไม่ต้องอาศัยระลึก เป็น "มหาสติ" นั่นแล...

+++ ตรงนี้ไง "นิโรธ"

+++ มี "รู้ อย่างเดียว" ไม่มีแม้กระทั่ง "กิริยาจิต" เรียกว่า "ดับสนิท/ดับรอบ"
+++ เป็น "อรูปสมถะ มี สติรู้เต็ม สมบูรณ์แบบ" ตรงนี้ พระพุทธเจ้า "สรรเสริญ"

+++ ส่วนตรงนี้

+++ คล้ายกับ "นิโรธ" แต่มันดัน "ไม่รู้อะไรเลย" ตรงนี้เป็น "อสัญญี" โง่สนิท
+++ เป็น "อรูปสมถะ แบบ หมดสติ เต็มใบ" และมักเข้าใจผิด "มโนเอาเองว่า นิพพาน"

+++ ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ "ไร้กิริยาจิต" เช่นกัน เป็น "จิตเดิมแท้เปล่งประกายสว่างไสว ประภัสสร"
+++ ตรงนี้มีสภาวะเป็น "รู้" อยู่ด้วย เป็น "อรูปสมถะ" ที่เลย ฌาน 4 ออกไปไกลลิบลับ
+++ เป็นสภาวะ "พลังงาน ที่เปล่งรังสีเลื่อมพรายประภัสสร ออกรอบทิศ ไม่หยุดยั้งขาดตอน"
+++ ประลัยกัลป์ระดับล้างภพภูมิ ไม่สามารถชำแรกเข้ามาถึง "รังสีเลื่อมประภัสสร" นี้ได้
+++ ตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับใน "ตำรา 31 ภพภูมิ" ที่ระบุเป็น "รูปสมถะ/ปิติ" สภาวะมัน "เป็นคนละงาน" ไปเลย

 

แน่ใจนะว่าเต็มตุ่ม555555

 

เขามาบอกแล้ว
เครื่องวัดบารมี ฟ้องมาแล้ว
จะได้รับพยากรณ์

จากนั้นไปตามระบบ
ถอดชุดออก
อบรมศาสดาจารย์
ต่อเรือขนาดกลาง
พาดวงจิตขึ้นเรือพาสร้างบารมี
ก็สมประสงค์ พร้อมสับ

ใช้เวลาผ่านพุทธะองค์สัก30,000องค์..
ก็อุบัติ...

 

ไปล่ะ..

ไม่ต้องสื่อจิตมาหาเรานะ ถึงเวลาเราจะเข้ามาเอง..


นะ นะ นะ

 

เอาตามปรารถนานั่นแหละ..

แต่นานหน่อย รอไปก่อน ตอนนี้ก็เป็นผู้ตามไปก่อน..


นะ นะ นะ..

 

นิโรธ ที่ผมเข้าใจ

คือ สติ สัมปยุต กับปัญญารวมเป็นหนึ่ง เรียกได้ว่า จิตมีสติเท่าทัน ในขณะอารมณ์จิต

การปล่อยวางโดยอัตโนมัติจึงเกิดขึ้น แม้ในหนึ่ง ขณะจิต
ความขาดสะบันเป็นสมุปเฉทประหาร
ก้อยู่ที่ ความสมควรแก่ธรรมแต่ละบุคคล ว่าจะแทงตลอดแค่ไหน

สำหรับผมที่เข้าใจ ถ้า จิต มีแต่รู้ ยังไม่สัมปยุติ กับสติ ปัญญา ก็ยังไม่ใช่นิโรธ

 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แยกกัน แค่ สมมุติบัญญัติ

โดยปรมัตถ์ รวมเป็นหนึ่ง คือ อย่างเดียวกัน จิตในจิต จิตหนึ่งไม่มีสอง

 

สรุปแล้วก็ส่งออกเน๊าะ

 

ถ้ารุ้ด้วยวิปัสสนาก้อไม่ส่งออก ถ้ารุ้ด้วยอวิชชาก้อส่งออก