::เรื่องราวอธิษฐานจิตได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นเดิม::

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สุชีโว, 7 กรกฎาคม 2014.

  1. สุชีโว

    สุชีโว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +579
    เรื่องนางปติปูชิกา อธิษฐานจิตจนได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหมือนเดิม

    กฎแห่งกรรมที่ นำมาเสนอเรื่องต่อไป เป็นเรื่องที่มาใน
    พระคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ของท่านพระพุทธโฆษาจารย์
    อีกเช่นเดียวกัน เป็นการเล่าถึง
    เรื่องเมื่อครั้งที่พระศาสดา ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิง
    ชื่อปติปูชิกา และได้ตรัสพระธรรมธรรมที่มีข้อความขึ้นต้นว่า
    ปุปฺผานิ เหวะ เป็นต้น

    เรื่องมีอยู่ว่า นางปติปูชิกา(แปลว่า หญิงผู้บูชาสามี) อยู่ที่กรุงสาวัตถี
    นางแต่งงานเมื่ออายุ 16 ปี และมีบุตร 4 คน นางเป็นหญิงที่มีคุณธรรม
    ใจบุญใจกุศล ชอบถวายภัตตาหารและปัจจัยอย่างอื่นๆแก่พระภิกษุสงฆ์
    นางมักจะเข้าไปในวัดและช่วยทำความสะอาดบริเวณวัด ตักน้ำใส่ตุ่ม
    ทำหน้าที่ให้บริการแก่พระภิกษุสงฆ์ นางมีพรสวรรค์พิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
    อย่างหนึ่งคือ สามารถระลึกชาติได้ว่า ในชาติก่อนนางเคยเป็นนางเทพธิดา
    เป็นภรรยาคนหนึ่งของมาลาภารีเทพบุตร ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    นางระลึกได้ว่านางจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เมื่อนางเทพธิดาผู้เป็นบริวาร
    ของเทพองค์ดังกล่าวมาเที่ยวกันอยู่ในสวน และสนุกสนานอยู่กับการหักกิ่งไม้
    และเด็ดดอกไม้ เป็นต้น ดังนั้นทุกครั้งที่นางถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์นางก็ได้
    อธิษฐานจิตขอให้ไปเกิด เป็นนางเทพธิดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และได้กลับไป
    เป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตรอดีตสามีของนางดังเดิม

    วันหนึ่ง นางปติปูชิกาเจ็บหนักและได้เสียชีวิตในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง
    เพราะเหตุที่นางได้ตั้งความปรารถนาไว้อย่างมั่นคง กฎแห่งกรรมจึง
    ส่งผลในช่วงขณะจุติจิต ให้นางไปเกิดเป็นนางเทพธิดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ในฐานะเป็นภรรยาของเทพบุตรมาลาเภรี แต่ด้วยเหตุที่มิติเวลาของ
    ทั้งสองโลกแตกต่างกัน กล่าวคือ หนึ่งร้อยปีในโลกมนุษย์เท่ากับวันหนึ่ง
    ของโลกสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังนั้น มาลาภารีเทพบุตรและนางเทพธิดา
    ผู้เป็นภรรยาทั้งหลาย จึงยังคงสนุกสนานกันอยู่ในสวนแห่งเดิมนั้นเอง
    และนางปติปูชิกาซึ่งจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์เป็นเวลานานตามมิติ
    แห่งกาลเวลา ของโลกมนุษย์จึงหายไปจากสวนสวรรค์เพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง
    ทั้งนี้เพราะว่า เวลา ๑๐๐ ปีของโลกมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของ
    สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หนึ่งเดือนมี ๓๐วัน และหนึ่งปี
    มี ๑๒ เดือนเหมือนในโลกมนุษย์ แต่ทว่าอายุขัยของเทวดา
    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่ากับ ๑๐๐๐ ปีทิพย์ ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วอายุขัยของ
    เทวดาพวกนี้ยืนยาวเท่ากับ ๓ โกฏิ ๖ ล้านปีของโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนี้
    เมื่อนางกลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกครั้งหนึ่ง มาลาภารีเทพบุตรจึง
    ถามนางว่า นางหายไปไหนมาตั้งแต่เมื่อเช้านี้ นางได้บอกกับมาลาภารีเทพบุตร
    ว่า นางจุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปถือกำเนิดในโลกมนุษย์ ได้แต่งงาน
    กับชายผู้หนึ่ง ให้กำเนิดบุตรจำนวน 4 คน และได้ตายจากโลกมนุษย์กลับมา
    เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกครั้งหนึ่ง

    เมื่อ ภิกษุทั้งหลายได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของนางปติปูชิกา
    มีความอาลัยอาวรณ์ในคุณความดีของนาง ที่เป็นพระภิกษุปุถุชนก็ถึงกับหลั่ง
    น้ำตาออกมา ได้ไปเฝ้าพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า นางปติปูชิกา
    ซึ่งเคยถวายภัตตาหารแก่พวกท่านในตอนเช้าๆได้เสียชีวิตไปเมื่อ
    ตอนเย็นวันนี้เอง “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อปฏิปูชิกา เมื่อทำบุญ
    ให้ทาน ก็มักจะตั้งความปรารถนาให้ได้ไปอยู่กับสามี บัดนี้นางเสียชีวิตแล้ว
    ไปเกิด ณ ที่ไหน” พระศาสดาได้ตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า นางได้ไปเกิด
    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่ร่วมกับสามีเดิมของนางซึ่งเป็นเทพบุตร
    อยู่ที่นั่นแล้ว และได้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
    สั้นยิ่งนัก (เมื่อเทียบกับชีวิตของสัตว์ในโลกสวรรค์) พวกเขายังไม่อิ่ม
    ในวัตถุกามและกิเลสกามของพวกตน ก็จะตกอยู่ในอำนาจของพระยามัจจุราช
    ที่จะมาฉุดคร่าเอาตัวไป แม้จะคร่ำครวญขอร้องอย่างไรก็ไม่สามารถ
    รอดพ้นได้ แต่สำหรับคนที่ไม่ลุ่มหลงอยู่ในกิเลสกาม และวัตถุกาม
    ก็จะไม่ตกอยู่ในอำนาจของพระยามัจจุราช หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
    ในวัฏสงสาร

    จากนั้น พระศาสดา ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 48 แสดงถึงกฎแห่งกรรมในอีกบริบทหนึ่งว่า

    ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ
    พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
    อติตฺตํ เยว กาเมสุ
    อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ
    (อ่านว่า)

    ปุบผานิ เหวะ ปะจินันตัง
    พะยาสัดตมะนะสัง นะรัง
    อะติดตังเยวะ กาเมสุ
    อันตะโก กุรุเต วะสัง.

    (แปลว่า)

    คนที่มัวเลือกเก็บดอกไม้คือกามคุณ
    มีใจข้องอยู่ในอารมณ์ต่างๆ
    แม้จะยังไม่อิ่มเอมในสิ่งที่ปรารถนา
    พระยามัจจุราชจะพาเอาตัวเขาไป
    ให้อยู่ในอำนาจเสียก่อน.

    เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย
    มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.
    --------------------------------------------------------------------------
    ที่มา : https://sites.google.com/site/dhammatharn/km-mu-na-wt-ti-lo-ko/ddddd

     
  2. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +3,090
    น่าสงสารสามีชาวโลกมนุษย์ ถูกเมียนอกใจ อยู่ผัวใหม่บนโลกแต่โหยหาผัวเก่าในอีกโลกหนึ่ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...