เรื่องผีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หลวงพ่อฤๅษี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 15 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๑.กฎของกรรม

    เมื่อปี พ.ศ. 2510 ขอโทษ ปี พ.ศ. 2509 ตอนนี้อาตมาอยู่จังหวัดชัยนาทแล้ว มาอยู่ที่วัดโพธิ์หลังจังหวัดชัยนาทมาหลายปี มาก็พบของดี พระดีเยอะสายเหนือนี่ สายเหนือของภาคกลางมีพระดีเยอะ เยอะตรงไหนล่ะ แหม ห่มจีวรคร่ำตั้งหน้าตั้งตาเป็นอาจารย์วิปัสสนา แต่ว่าไอ้กิเลสสามนี่แกไม่ทิ้งหรอก แกใส่ปุ๋ยเสมอ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ไอ้ที่ดีจริงๆ ก็พอจะมีนะ แต่คลำไม่ค่อยพบ ท่าทางภายนอกนี่ดีมาก แต่ว่าถ้าอยู่ใกล้ไม่ไหว ยังงี้ไม่ไหว

    ครูบาอาจารย์สอนมานี่ ไม่เคยพบแบบนี้ นี่พูดกันจริงๆ ไม่ใช่นินทา พระเห็นกันจริงๆ สายเหนือนี่ รู้สึกว่ามีการสะสมมาก บางทีแสดงลีลาต่างๆ คล้ายๆ ว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าเข้าใกล้จริงๆ แล้วพ่อเจ้าประคุณ หันจัดจริงๆ ปีนั้นวัดปากคลองมะขามเฒ่า ปี 2507 ปลายปีทางวัดคลองมะขามเฒ่านิมนต์ให้ไปอยู่ด้วย ไปช่วยกัน วัดนี้มีชื่อเสียงมากก็อยากจะไปดู ก็บอกแล้วนี่

    มาสายเหนือนี่มาดูพระ ไม่ใช่มาอาศัยใคร อยากจะรู้เนื้อแท้ของพระ พระสงฆ์นะ ไม่ใช่พระพุทธ พระพุทธไม่ต้อง ดูเนื้อองค์ไหนก็ใช้ได้หมด ปลุกเสกหรือไม่ปลุกเสกก็ใช้ได้ ถ้าเวลาไหว้เรานึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วไม่ผิดสักองค์ ไหว้แล้วได้บุญเหมือนกันหมด เสกก็ได้บุญ ไม่เสกก็ได้บุญ นี่เราได้เป็นบุญนะ ถ้าหากจะใช้ให้พระหาหวย ใช้พระพุทธรูปค้าขาย ใช้พระพุทธรูปช่วยเลื่อนยศ นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง นอกขอบเขตของพระพุทธเจ้า ไม่เกี่ยว ทีนี้ว่ากันถึงพระสงฆ์ ปีนั้น อาตมาย้ายมาอยู่ปากคลองมะขามเฒ่า ก็อย่างว่านั้นแหละ มาอยู่เพื่อนดูพระ ถ้าหากว่าดีจริงๆ ก็จะช่วยส่งเสริมในการก่อสร้าง แล้วก็เจริญศรัทธา ทีนี้ ท่านดีหรือไม่ดีประการใดไม่พิจารณาไม่พูดให้ฟังแต่เรื่องที่มันเกิด

    เรื่องที่มันเกิดนี่ ดีกว่าคนอื่น เกิดกับอาตมาเองเพราะเป็นคนมีบุญอย่างนี้ เราเรียกว่าบุญใหญ่ บุญบาป เอาฟางผูกหางควาย เอาไฟจุด เมื่อสมัยเป็นเด็กๆ

    ขณะนั้นเริ่มทำพระเป็นครั้งแรก พระเครื่องนี้ละ คิดว่าตัวอีกไม่ช้าก็จะตาย รู้เวลาเพราะเขาบอกเวลาไว้ เวลานี้เขาต่อไปเสียอีกหน่อยแล้วชักจะตายไม่ลง แบบหลวงพ่อปาน ขยับท่าจะตายทีไรก็ต่อให้ทีละนิดๆ เลยไม่รู้จะตายเมื่อไหร่กันแน่ เมื่อรู้เวลาว่าจะตาย ว่าปีนั้นปีนี้จะตาย ไอ้ตอนตายลงไปนี่ น่ากลัวจะไม่มีเงินทำศพ เพราะสตางค์ติดกระเป๋ามันไม่ค่อยมี นี่บางวันนะ จะซื้อน้ำแข็งยังไมมีเงินเลย วันหนึ่งมีเงิน 10 บาท ยายขอทานมาขอ ดันขอ 10 บาท แหมไอ้เราจะบอกไม่มีก็ไม่ได้ มันมีอยู่ 10 บาทพอดี ก็เลยให้ไปหมด นี่เป็นยังงี้ บางคราวก็มีถึงสามสี่ร้อยบาทก็มี แต่บางคราวนะ ไม่ใช่ทุกวัน แต่มันก็อยู่ในกระเป๋าไม่นานมันก็ไปเที่ยวเสียอีก ช่างมัน พระอย่างเรานี่ใครขืนเอาแบบฉบับ จัญไรกินหัวเท่านั้นแหละเวลาจะตายหนี้ก็ท่วมหัวมาก

    วันนั้นก็ดำริจัดทำพระขึ้นมีพระช่วย เป็นพระเนื้อตะกั่วสีขาว ไม่ได้พิจารณามันหรอกว่าเนื้อมันจะเหมือนชาวบ้านเขาหรือไม่ ใครเขาจะนิยมหรือไม่นิยมก็ช่าง พระสีขาวนี่ทำอยู่ 3 เดือน ปลุกอยู่ 3 เดือน เวลาปลุก เลิกทีไรหมาหอนกลับทุกที เวลาจะเริ่มปลุกเสร็จหมาหอนออก อันนี้ไม่พูดหรอก จะเป็นอานุภาพยังไงก็ช่าง ไม่อยากจะแจกใครเพราะว่าพระไม่สวย เก็บไว้เวลาตาย ถ้าเวลาตายเขาทำศพไม่มีเงินทำศพจะได้เอาพระแจก ใครทำบุญบาท สองบาทก็จะได้ซื้อฟืนเผาศพให้ไหม้ไป พระนี่มีไม่มาก

    ขณะที่ทำเมื่อทำพระตะกั่วไม่พอก็จะทำพระเงิน ไปซื้อเครื่องเป่าเงินมา แล้วมันก็ใช้เป็นซินเป็นยังงั้น พอตั้งท่าเท่านั้นแหละ ไผไหมมือ ความจริงเมื่อตอนกลางคืนที่จะถึง หลวงพ่อปานมาบอก บอกว่าเวลาพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฤกษ์ของเธอดีมาก พระที่เคยมาช่วยทำพระ เคยซื้ออาหารเลี้ยง ซื้ออะไรเลี้ยงไม่ต้อง อาหารการบริโภคมาก จะมีคนนำมาให้

    แต่บ่าย ตั้งแต่ 1 โมงไปแล้วอย่าทำอะไรเกี่ยวกับการเสี่ยง จะมีเคราะห์ร้ายมาก ลืมไป ตอนเช้า มีคนเขาเอาอาหารการบริโภคมาเลี้ยงพระกันอิ่มหนำสำราญ ตอนบ่าย ลืมไป ตั้งท่าเป่าเงิน จะหลอมเงินทำพระ ไฟมันก็ติดมือขึ้นมาน่ะซี สลัดไปทีแรกมันก็ไม่ดับ สลัดอีกทีดับปั๊บ ปรากฏว่าหนังมือทั้งมือ มือขวาถลกลงไปหมดเลย ไปห้อยอยู่ปลายนิ้วหมด ทั้งข้างหน้าข้างหลัง ไอ้ไฟนี่มันร้ายจริงๆ เร็วมาก แต่ไม่รู้สึกเจ็บ

    ขณะที่ไฟดับก็เห็นควายแก่ตัวนั้น ในสมัยเมื่อเป็นเด็กๆ อายุสัก 7 - 8 ขวบ เอาฟางผูกหางมันแล้วก็เอาไฟจุด มันก็วิ่งโชนเพราะความร้อน เห็นเจ้าควายตัวนั้นวิ่งผ่านหน้า ก็เลยทราบว่านี่กฎของกรรมเก่ามันสนองเข้าแล้วในชาตินี้ เป็นความดี สมน้ำหน้าที่ทำกับควาย เรื่องนี้ก็ ขอผ่านไปแค่นี้แหละ เรื่องเล็กๆ ต่อไปก็เป็นอานุภาพของต้นโพธิ์ นี่ท่านเจ้ากรมเขียนมาให้
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๒.อานุภาพของต้นโพธิ์

    ต้นโพธิ์จังหวัดชัยนาทนี่เขาเล่าให้ฟัง คือว่าในปี พ.ศ. 2509 มีช่างของกรมชลประทานหลายคนด้วยกัน เขามาคุยให้ฟังว่าสมัยที่ทำเขื่อนชัยนาทใหม่ๆ มีต้นโพธิ์อยู่ต้นหนึ่งกลางทุ่ง เขาจะได้ทำไอ้คันคูอะไรส่งน้ำก็ไม่ทราบ แล้วต้นโพธิ์ต้นนั้นขวาง ประมาณสัก 2 โอบ เห็นจะได้ ใหญ่ ก็เอาแทร็กเตอร์เข้าไปไถ พอแทร็กเตอร์วิ่งเข้าไปใกล้ปรากฏว่าเครื่องดับ ช่างแก้ไขดีแล้ว ก็ปรากฏว่าไม่มีอะไรเสีย

    สตาร์ทใหม่ก็ติดวิ่งออกมาใหม่ ถอยหลังออกมา วิ่งเข้าไปหาต้นไม้นั้น ห่างประมาณ 1 วาดับ พอครั้งที่ 3 ช่างแทร็กเตอร์พลขับแทร็กเตอร์ประจำคันนั้นโดดลงมาข้างล่าง บอกผมขอลาออกครับ ถ้าหากว่าจะให้ทำลายต้นโพธิ์ต้นนี้ผมขอลาออก ไม่ขอรับงานนี้ต่อไป เขาถามว่าออกทำไม บอกอันตรายมีแน่ ก็มีนายช่างคนหนึ่ง เห็นจะเป็นเชื้อฝรั่งหรือว่าตัวฝรั่งก็ไม่ทราบ ไม่เชื่อถือ คนไทยไม่เอาแล้วฝรั่งแน่ คนไทยไม่ยอมเอาบอกกลัวต้นโพธิ์ ฝรั่งเขาไม่กลัว เขาก็ขึ้นไปสตาร์ทแทร็กเตอร์เครื่องติด ถอยหลังมา วิ่งปรื๊ดเต็มที่ พอถึงตรงนั้นไปดับ ปรากฏว่าฝรั่งหล่นจากรถ คอหักตาย
    เป็นอันว่าต้นโพธิ์ต้นนั้น เวลานี้อยู่ที่ไหน อาตมาก็ไม่เคยไปดู คงยังอยู่ต่อไป เพราะว่าทำคันคูน้ำเลี่ยงไป เรื่องนี้ก็จบเท่านี้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๓.หลวงพ่อปานยกพระศรีอาริย์

    หลวงพ่อปานท่านปรารถนาพระโพธิญาณ คืนหนึ่ง เจ้าอาวาสวัดไลย์ จังหวัดลพบุรี นำรูปหล่อพระศรีอาริย์ไปที่วัดบางนมโค ไปให้คนปิดทองแล้วก็เอาเงินมาบูรณปฏิสังขรณ์วัด แล้วก็มีเทศน์ ไปพักอยู่ประมาณสัก 7 วัน

    ในระหว่างที่เขานำรูปหล่อพระศรีอาริย์พักอยู่นั่น คืนหนึ่งหลวงพ่อปานสั่งตาเชิดซึ่งเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดอายุประมาณ 30 ปี ให้มาปลุกอาตมาซึ่งนอนอยู่ในป่าช้า พอปลุกขึ้นมาแล้วถามว่าธุระอะไร ก็บอกว่าหลวงพ่อปานสั่งให้ไปหา ถามว่าเวลานี้เวลาเท่าไร แกบอกว่าเกือบตี 2 แล้ว ตายจริง ฉันเคยตื่น ตีหนึ่งครึ่ง วันนี้ทำไมถึงล่าไปก็ไม่ทราบ เมื่อเป็นเวลาที่ฉันตื่นพอดี ไม่เป็นการเบียดเบียน ก็เดินตามแกมา

    พอถึงหน้าศาลาการเปรียญก็ปรากฏว่าหลวงพ่อปานนั่งอยู่หน้ารูปหล่อพระศรีอาริย์ ท่านจุดธูปเทียนบูชาอยู่แล้ว ท่านก็บอกว่าจุดธูปเทียนบูชาพระศรีอาริย์ พอบูชาเสร็จ ท่านก็บอกคอยดูนะ ฉันจะอธิษฐานให้ดู

    ท่านก็ยกมือขึ้นนมันการไหว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระศรีอาริยเมตไตรยแล้วก็กล่าวคำอธิษฐานว่า การที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญกุศลใดๆ ก็เพื่อปรารถพระโพธิญาณ แต่ว่าหากข้าพเจ้านี้จะได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคข้างหน้าแล้ว ขอให้ยกพระศรีอาริย์นี้ขึ้นโดยง่าย แล้วท่านก็นั่งคุกเข่า เอามือ 2 มือช้อน ยกขึ้นอย่างสบายไม่ยากเลย คล้ายๆ กับไปยกพระพุทธรูปขนาด 3 นิ้ว ท่านยกขึ้นยกลงเสร็จ 3 ครั้ง ชูขึ้นแล้วก็วางลง ชูขึ้นแล้วก็วางลง

    อาตมาเองก็คิดในใจว่าพระศรีอาริย์นี่ ทำไมเบานัก แต่ความจริงไม่เบา หนักเข้าเขายกกันตั้ง 7 คน หลวงพ่อปานท่านช้อนแบบนั้น เห็นว่าเบา เมื่อท่านวางแล้วท่านก็บอกว่า เอ้า เธอลองยกบ้าง ก็อธิษฐานแบบท่าน ยกไม่ขึ้นซี อีคราวนี้ช้อนไม่ขึ้น ท่านก็บอกว่าบารมีของแกนี่ยังอ่อนนัก อ่อนกว่าฉัน เอ้า ลุกขึ้น ยืนขึ้น พอยืนขึ้นท่านบอก เอามือจับแท่นจับข้างล่างนา เอามือช้อนขึ้นไป ดึงขึ้นไปนะ ไม่ใช่ช้อนพอดึงขึ้นไปขยับนิดเดียว

    ปรากฏว่าพระศรีอาริย์เบาเหวงเลย คราวนี้ ยกขึ้นลงแบบสบาย แต่ว่าต้องยืนยก หลวงพ่อปานนักคุกเข่า 2 มือช้อนกัน แล้วต่อจากนั้นมาท่านก็บอกว่าเอ้า ลองอธิษฐานซิ อายุของแกเมื่อไหร่จะตาย ถ้าปีอายุเท่าไรยังไม่ตายก็ยกไม่ขึ้น เอ้าไล่ไปซิ 22 23 24 25 26 ยกไม่ขึ้นพอถึง 27 ยกขึ้น ตานี้เอามือนั่งช้อนก็ขึ้น หลวงพ่อปานก็หันมายิ้ม บอกอายุแท้อายุขัยของแกเพียงแค่ 27 ปี แต่ทว่าการอยู่ต่อไป ความดีจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ควรจะอยู่ หาวิธีต่ออายุเสีย

    ก็เลยกราบเรียนท่านว่าวิธีต่ออายุ ทำยังไง ท่านก็เลยบอกว่าไปหาปลามาปล่อย เท่านี้ก็ใช้ได้ นี่เป็นการต่ออายุ ถ้าจะอยู่ทรงต่อไปแต่หากจะเอาดีวิเศษละก็ ถวายไตรจีวรกับพระสงฆ์แล้วก็พระสักองค์หนึ่ง อันนี้เรียกว่าเป็นการประดับบารมีของเราให้เพิ่มขึ้น เพิ่นพูนบารมี เพียงแค่ต่ออายุ เพียงแต่ปล่อยปลา 1 ตัว ก็มีอายุ 1 ปี การต่ออายุนี้ก็เรียกว่าต่อได้พอสมควรนะ จะต่อเป็น 100 เป็น 1,000 ปีนะไม่ได้ เลยรับปากกับท่าน แต่คิดว่าไม่ทำ เพราะอะไร เพราะว่าถ้าตายยังหนุ่มดีกว่าตายเมื่อแก่ ตอนแก่เกรงว่าจะลำบาก หูฝ้าตาฟาง เกรงว่ามันจะไม่สะดวก อย่างเวลานี้

    แต่พอรุ่งเช้า ปรากฏว่าหลวงพ่อปานใช้ตาเชิดไปซื้อปลาที่เขาขายในตลาดมา ประมาณ 10 ตัว แล้วก็เรียกอาตมาเข้าไปบอกว่าปลานี่ฉันยกให้เธอเธอเอาไปปล่อย แล้วกันทำเสียเองหมดก็เลยบอกว่าหลวงพ่อไปซื้อทำไมเล่าครับ นี่มันภาระของผม ท่านบอกช่างเถอะ ฉันจะให้ก็แล้วกัน เมื่อฉันให้ก็เป็นเรื่องของฉัน เมื่อกลับมาแล้วก็นมัสการท่าน ท่านก็เลยบอกว่า เมื่อคืนนี้แกนึกว่าแกจะไม่ปล่อยปลาใช่ไหม แกคิดว่าแกตายเมื่อแก่มันลำบากกว่าตายเมื่อหนุ่ม ตายตอนหนุ่มดีกว่าใช่ไหม เลยกราบเรียนท่านว่าใช่

    แกก็คิดอย่างนั้นนะซี ฉันถึงได้ซื้อปลามาปล่อยให้ ให้แกปล่อย ไอ้แกนี่มันไม่อยากอยู่ช่วยกันบ้างเลย อยู่กันไปก่อนซี ข้ามันแก่แล้ว แกจะได้รับมรดกอันนี้ไป ส่งเสริมช่วยเหลือบุคคลอื่นให้มีความเข้าใจ ก็กราบเรียนท่านว่าพระที่ดีๆ กว่าผมเขามีเยอะครับ เขาบวชก่อนบ้าง บวชหลังบ้าง เขามีดีกว่าเยอะ ท่านก็บอกว่า เขาดีก็เป็นเรื่องของเขา แล้วก็เราดีไว้ด้วย พวกเขาก็พวกเขา พวกเราก็พวกเรา คนๆ เดียวนี่จะไปนั่งสอนชาวบ้านหมดทั้งโลกได้ยังไง คนเขาถือเป็นกลุ่มพวกเดียวกัน

    ถ้าไม่ใช่กลุ่มใช่พวกกันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง คนที่ไม่เคยบำเพ็ญบารมีทำบุญทำทานร่วมกันมา จะไปสั่งไปสอนกันพูดให้เขารู้เรื่องไม่ได้หรอก ถ้าพวกของเรา เราพูดให้เขารู้เรื่องได้ ถ้าไม่ใช่พวกของเรา เราพูดให้เขารู้เรื่องไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่ได้ทำบุญบารมีร่วมกันมา ดูแต่พระพุทธเจ้า ท่านเคยประกาศแต่ละครั้ง พอจบชาดกท่านจะบอกว่า คนนั้นเคยเกิดร่วมกันมา คนนี้เคยเกิดร่วมกันมา คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้บรรดาพุทธบริษัทสมัยนั้น ก็มาเป็นพุทธบริษัทอุบาสกอุบาสิกาสมัยนี้ ที่คนที่จะพูดกันรู้เรื่อง เรื่องบุญกุศลละก็ ต้องเป็นคนที่ทำบุญร่วมกันมาในกาลก่อน ท่านว่ายังงั้น ว่าแกจะรีบตายไม่ได้หรอก ฉันจะถ่วงแกไว้ก่อน
    เป็นอันว่าเรื่องยกพระศรีอาริย์จบไป ตานี้มาหลวงพ่อปานสร้างโบสถ์
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๔.หลวงพ่อปานสร้างโบสถ์

    นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดนะ เอากันเล็กๆ น้อยๆ มันจะได้จบเร็ว
    สมัยหลวงพ่อปานสร้างโบสถ์ การสร้างโบสถ์ก็ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์ โบสถ์หลังนั้นสมัยนั้นสร้างสามหมื่นบาท แต่สร้างสมัยนั้นห้าล้านก็เห็นจะไม่เสร็จ เพราะสร้างหลายชั้น แข็งแรงมากๆ แล้วสมัยก่อนมีบันไดขึ้นเพดานได้ด้วย เขาเที่ยวกันเวลาหลังจากหลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว อาจารย์เจิมเอาบันไดเหล็กลงเสีย ก็เป็นอันว่าขึ้นไม่ได้

    เรื่องสร้างโบสถ์เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าการผูกโบสถ์สมัยนั้นเขาไม่เรียกว่าฝังศิลาฤกษ์ เขาเรียกว่าผูกโบสถ์ คืองานเริ่มต้นในการทำโบสถ์ วันนั้นเป็นวันสวดมนต์เย็น ก่อนที่พระสงฆ์จะสวดมนต์เย็น เวลาประมาณ 4 โมง พระสงฆ์กำหนดสวดมนต์เย็น 5 โมง ปรากฏว่ามีพระพิเศษมา คือในบริเวณที่จะทำโบสถ์เขาก็ปักหลักเขต ทำธงริ้วปักฉัตร ปักอะไรต่ออะไรก็ตามเรื่องเถอะที่คิดว่ามันจะดี ความจริงไอ้เรื่องนั้นไม่เกี่ยวเลย ปักฉัตรกันปักธงริ้วกัน ประดับประดากันสวยสดงดงามถ้าว่ากันตามเรื่องของบุญละก็เสียสตางค์เปล่าไม่มีอะไรเป็นโบสถ์ขึ้นมาเลย

    ถ้าจะพูดกันไปอีกทีไอ้เงินที่จะทำโบสถ์มันถูกตัดไปเพื่ออย่างนั้นเสียอีก แต่การกระทำอย่างนั้นก็ไม่น่าตำหนิ เพราะเป็นการแสดงกำลังใจในความพอใจของชาวบ้าน ก็น่าสรรเสริญ แล้วก็น่าโมทนา คือไม่ติใคร เรื่องนี้ทำได้ ทำต่อไปได้ ส่งเสริม เพราะมันเป็นการแสดงออกของจิตใจที่น้อมไปในบุญกุศล

    ก่อนหน้าสวดมนต์ตอน 4 โมงวันนั้น มีคนมารายงานหลวงพ่อปาน อีตอนนี้อาตมาไม่เห็นหรอก หลวงพ่อปานเล่าให้ฟัง หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟัง ว่าทายกหริ่มมารายงานว่ามีพระบ้ามาที่บริเวณโบสถ์ จะทำโบสถ์ใหม่ เสียงเอะอะโวยวายโครมคราม ว่าจะทำลายไอ้นั่นจะทำลายไอ้นี่ ขอให้ท่านใหญ่กรุณาไปดูทีเถอะ หลวงพ่อปานน่ะเขาเรียกท่านใหญ่ เขาไม่เรียกหลวงพ่อ สำหรับหลวงพ่อเล็ก รองลงมาเขาเรียกหลวงพ่อเล็ก ที่นั่นเขาให้สมญากันอย่างนั้น หลวงพ่อปานก็ลุกไปดู พระตามไปเป็นแถว ฆราวาสก็ตามไป ไปที่ไหนได้ ไปเจอะพระนุ่งผ้ากลัก สีกลัก ห่มจีวรกลักจีวรน่ะ ห่มรุ่มร่ามๆ ผ้าที่นุ่งก็รุ่มร่าม แถมเคียนหัวด้วยผ้ากลัก สะพายย่ามใหญ่เดินไปเดินมาไปถึงเขตหลักโน้นก็ไปทำท่าเสก ถึงเขตหลักนี้ ก็ไปทำท่าเสก แล้วก็ไปทำโบ๊เบ๊ โบ๊เบ๊เอะอะโวยวาย ทำเหมือนคนบ้า

    พอหลวงพ่อปานเข้าไปก็ชี้หน้า ว่าหลวงพ่อปาน ขอประทานอภัย หลวงพ่อมีพระคุณมากกับอาตมาที่ใช้ศัพท์นี้มันไม่สมควร แต่ก็จะต้องใช้ตามที่ท่านพูดให้ฟัง ชี้หน้าท่านเรียกว่าไอ้เจ้าปาน ทำอะไร ทำไมถึงไม่บอกข้า คนน่ะมันอวดดีนักมันจะดีได้ยังไงล่ะ มันต้องบอกกันบ้างซิ หลวงพ่อปานเห็นพระองค์นั้นชี้หน้าแต่ว่าแสดงเป็นพระบ้า แทนที่จะโกรธ ยิ้มตามธรรมดา เราเห็นคนบ้าเราก็ยิ้มๆ เสียหมดเรื่อง แต่หลวงพ่อปานไม่ยังงั้น ตรงรี่ไปถวายนมัสการขอโทษ ตรงรี่เข้ากราบ

    พอกราบก็นั่งลงพนมมือ พระองค์นั้นก็เลยเลิกบ้า นั่งลงไปข้างหน้า เอาห่อผ้า เอาย่ามน่ะ ไอ้ห่อย่าม ท่านเรียกว่าห่อผ้า คงจะเป็นห่อผ้ารุงรัง อาตมาไม่เห็นหรอก หลวงพ่อปานบอกให้ฟัง ท่านนั่งบนห่อผ้าแล้วก็พอดีแล้วก็สั่งสอนหลายอย่าง ท่านก็เลยบอกว่าวิธีทำโบสถ์ ทำมันถูกทั้งนั้นแหละ มันไม่ผิดหรอก เพราะว่าการปักเขตเพื่อกระทำสังฆกรรมไม่ต้องใหญ่ต้องโตก็ได้ แต่โบสถ์ของแกนี่ตั้ง 3 หมื่นบาท นี่แกมีเงินเท่าไร หลวงพ่อปานบอกว่าวันนี้เป็นวันเริ่มงาน มีเงินเริ่มต้นอยู่ 40 บาท แหมสมัยนั้นก็เยอะแล้ว ท่านก็ยิ้มบอก ใช้ได้ ทำไปลูก ทำไปเถอะ เงินพอ ไม่ต้องยั่น ใช้คำว่าไม่ต้องยั่น ทำเท่าไรทำได้เลย แล้วท่านก็ลูบศีรษะหลวงพ่อปาน

    หลวงพ่อปานก็พนมมือ แล้วท่านก็เดินออกหลังวัดไป ไอ้หลังวัดเป็นทุ่งโล่ง เวลาท่านเดินไปแล้วบรรดาประชาชนก็วิ่งตามไป คิดว่าพระองค์นี้เป็นยังไง หลวงพ่อปานถึงได้ไหว้ ออกเดินหลังวัดไปพ้นเขตไผ่ประมาณสัก 20 วาเศษๆ ก็ปรากฏว่าไม่พบพระองค์นี้ พระอาทิตย์ยังจ้าอยู่ แสดงแดดจัด ต่างคนต่างไม่เห็นพระองค์นี้ กลับเข้ามาก็ถามพระองค์นั้นเป็นใคร หลวงพ่อปานท่านตอบว่ายังไง ตอบอย่างเดียวคือยิ้ม ท่านยิ้มอย่างเดียว ไม่พูดอะไรทั้งหมด แล้วต่อมาเมื่อท่านเล่าให้ฟัง ก็กราบเรียนถามว่าหลวงพ่อครับ หลวงพ่อองค์นั้นเป็นหลวงพ่อสุ่มใช่ไหม ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอกลูก พระใหญ่ ถามว่าพระใหญ่น่ะคือใคร ท่านตอบเป็นนัยๆ ว่าพระใหญ่ที่สุดคือใครล่ะ นึกเอาก็แล้วกัน ถ้านึกไม่ออกก็แล้วไป ต่อไปก็รู้เอง

    เรื่องนี้จบลงแค่นี้นะ วันนี้ท่านเจ้ากรมเขียนมาให้พูดก็เลยเล่าให้ฟัง
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๕.ต้นหางนกยูงล้ม

    เรื่องต้นหางนกยูงล้มนี่เป็นอย่างงี้ จะเล่าให้ฟังย่อๆ เมื่ออาตมาเป็นนาคใกล้จะบวช มีเด็กสาวคนหนึ่งถูกทำ เขาทำกันด้วยวิชาการที่เรียกว่าคุณคน ในวันแรกที่เธอมาเธอถูกหามเข้ามา แล้วอาตมาก็เป็นหมอรดน้ำมนต์ หลวงพ่อปานไม่เห็นว่าอะไร นั่งคุยโอ้ น้ำในตุ่มมีก็สั่งรดลงไปๆ เด็กสาวคนนี้แกก็ดิ้น ยิ่งรดแกก็ยิ่งดิ้นหนักเข้าๆ แกก็ฉีกเสื้อขาดหมด อีตรงนี้ไม่ค่อยดีเหมือนกันนา เขาอายุ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ เป็นคนขาวค่อนข้างสวย หมอก็ชักใจเต้นเหมือนกัน แต่เวลานั้นจะบวชตัดสินใจได้ว่าเราจะปฏิบัติในด้านเนกขัมบารมี คือหากไม่คิดอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะคนมุงดูประมาณ 200 คน จะไปปลุกไปปล้ำแกน่ะมันไม่ถูก ตะรางแน่ เข้าใจว่าไม่ถึงตะราง ต้องโดนประชาทัณฑ์แน่

    เมื่อแกฉีกเสื้อหมดแกก็ดิ้นไปดิ้นมาแล้วล้มฟุบ คว่ำลงไป คนก็มุงดูกันตอนฉีกเสื้อ ก็เห็นแล้วว่ามีแต่เนื้อกับหนัง แกไม่มีอะไรผูกมาด้วย หลวงพ่อปานก็สั่งให้รดน้ำมนต์หนัก แกก็สงบจากการดิ้น หลวงพ่อปานสั่งใหญ่ รดใหญ่ ปรากฏว่าแกลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมามีมีดโต้ยาว มีสายตราสังฆ์ผูก 3 เปลาะ หล่นเป๊งจากอกแกลงไป จะหาว่าแกซุกไว้ในเสื้อก็ไม่ได้ มีดโต้นี่ใหญ่มาก มีด้ามเหล็กไม่มีที่ซ่อนแน่ หลวงพ่อปานก็ให้คนนำมาแล้วก็บอกว่านี่เขาทำมานะ ถ้าเด็กคนนี้อยู่ถึง 7 วัน ตายแน่ มีดมันจะขยายตัวเต็มที่ แล้วครั้งที่สองก็โดนอีก คราวนี้โดนเลื่อยตัดเหล็ก ครั้งที่ 3 โดนพวงตะปู

    เล่าย่อๆ อาการเหมือนกันเมื่อถึงวาระที่ 3 แล้ว ต่อไปหลวงพ่อปานก็บอกทุกคน บอกว่าจงระมัดระวังให้ดีนะ พระทุกองค์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหน้าต่างด้านทิศตะวันตกห้ามเปิด ได้ยินเสียงอะไรโป๊ะเป๊ะๆ ละก็อย่านะ อย่าทักเป็นอันขาด มันจะทำคุณไสยมาใส่ตัว ก็เป็นอันว่าทุกองค์รับฟังแล้วก็ปฏิบัติตาม เป็นความจริงเพราะเวลาค่ำคืน เสียงหน้าต่างบ้าง หน้าจั่วบ้าง คล้ายๆ ของหนักขว้างมาถูก แต่เวลาตอนเช้าไปดูจะเป็นเศษดิน เศษหิน เศษอิฐ ก็ไม่มีทั้งนั้น ถ้าเป็นคนขว้างมาสิ่งเหล่านี้จะต้องตกอยู่ใกล้ๆ

    ต่อมา คืนสุดท้ายเป็นวันเสาร์ หลวงพ่อปานสั่งตีระฆัง ตอนเย็นป่าวหมู่เทวฤทธิ์ทั้งหมด บอกว่าวันนี้เขาเอาเราแน่ ทุกองค์มารวามอยู่ที่หน้ากุฏิฉันอย่าไปไหนเป็นอันขาด ปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว ขี้เยี่ยวมันบนนี้ ห้ามไปนอกบริเวณกุฏิฉัน ตัวฉันไม่เป็นไร ฉันห่วงใยพวกเธอว่าจะมีอันตราย ก็เลยกราบเรียนหลวงพ่อปานว่า เขาจะทำอะไรขอรับ หลวงพ่อปานก็บอกว่าวีนนี้เขาฆ่าเราแน่ เขามุ่งเอาแน่ ไม่ใครคนใดคนหนึ่งเคราะห์ร้าย วันนี้โดน แต่ไม่เป็นไร ถ้านั่งอยู่หน้ากุฏิฉันไม่เป็นไร ก็เลยรวมกันอยู่ที่นั่น

    เวลาประมาณ 2 นาฬิกา หลวงพ่อปานปลุก บอกนี่ เขาเริ่มจะลงมือแล้ว เขาตั้งพิธีแล้วนะ พวกเธอตั้งบารมีของพระพุทธเจ้าไว้ พุทโธนะ อย่าลืม พุทโธเท่านั้นะ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ไม่ต้องว่าอะไรมาก นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าไว้จะปลอดภัย พวกเราก็ตั้งท่าเลย นั่งกรรมฐานกันหมด แทนที่จะนอนภาวนาเฉยๆ เมื่อนั่งกรรมฐานใจสบายพอจิตสงัด เสียงปี๊ดแหวกอากาศ คล้ายๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศแต่มันดังมากกว่านั้น พอวี๊ดเข้ามาเสียงโพ๊ะ ทางด้านหน้าโบสถ์แล้วได้ยินเสียงต้นไม้ค่อยๆ ล้ม อย่างสุภาพ

    เมื่อเสียงนั้นหมดไปแล้วหลวงพ่อปานก็เรียกบอก ปลอดภัยแล้วลูก เขาหมดฝีมือเท่านี้ แล้วท่านก็บอกว่าไปดูหน้าโบสถ์ซิ ฉันว่าต้นหางนกยูงล้มนะ ต้นหางนกยูงต้นนี้ โอบไม่รอบเกือบจะ 2 โอบ เห็นจะได้ 2 โอบ ใหญ่มากมาก มันล้มแบบสุภาพจริงๆ ล้มไปทางด้านทิศตะวันออก พาดโคกโบสถ์ แล้วกราบเรียนถามหลวงพ่อปานว่าเขาทำด้วยอะไร หลวงพ่อปานบอก ครกตำข้าว นี่ถ้าใครโดนเข้า ตายทันที ฉันจึงเกรงว่าพวกเธอน่ะ จะมีเคราะห์หรือปากไม่ดี ไปทักเข้ามันจะเข้าตัว อย่างนี้เขาเรียกกันว่าคุณคน ทีนี้เวลาเช้าก็ไปค้นกันดู ปรากฏว่าเจ้าครกลูกนั้นไปอยู่ในสระ แต่ว่าสระมันแห้งแล้ว หลวงพ่อปานท่านขุดเอาดินมาทำโคกโบสถ์ สระนั้นแห้งแล้ว ไปค้นได้ในวัดไม่เคยมีใครตำข้าว

    เมื่อเวลานั้นผ่านไป ความปลอดภัยมาถึงแล้ว แต่ก็ยังไม่ปลอดหมดอยู่มาอีกไม่กี่วัน ปรากฏว่าลาวคนหนึ่งเดินทางมาถึงทีวัดตอนเย็น แล้วเดินไปในป่าช้า ไปพบพระเข้า ก็ถามพระว่ากระท่อมที่เขาเอาไว้ผีว่างๆ มีไหม อยากจะอาศัยนอน บรรดาพระก็บอกว่ากุฏิว่างมีเยอะ ศาลาก็ว่าง พักที่กุฏิพักที่ศาลาดีกว่า ลาวคนนั้นเขาบอกเขาไม่ต้องการ เขาต้องการจะนอนในป่าช้า เพราะว่าเขาต้องนอนในที่สงัด วิชาการที่เขาเรียนมานั้น เขาต้องนอนในที่สงัด พระก็ตามใจ ก็จัดหากระท่อมที่เขาเอาไว้ศพ และเขาเอาศพไปเผาแล้วซึ่งมีว่างอยู่ให้พัก

    เมื่อพักแล้วพระก็เอาเสื่อเอาหมอนเอามุ้งตักน้ำไปให้ เขาก็คุยถึงหลักวิชาการ่า เขาดียังงั้นยังงี้ พระก็ชอบใจอยากจะเรียนกับเขา เขาก็บอกจะให้เรียน แต่วันนี้เรียนไม่ได้ เอาไว้วันหน้า ไว้วันพฤหัสจะให้เรียน เมื่อถึงเวลาค่ำพระก็กลับ ทุกคนอยู่ในสภาพสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลา 2 ทุ่ม ไปหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ไม่ได้ว่าอะไร หลวงพ่อปานอธิบาย ธัมมะธัมโม วิธีปฏิบัติ ตำหนิความชั่วของพวกเรา ส่งเสริมความดีของพวกเราเป็นอันว่าทุกวัน ต้องโดนหลวงพ่อปานด่าเสียบ้าง แล้วก็ชมบ้าง 2 อย่าง ทุกวัน แต่วิธีด่าของท่าน ท่านไม่ได้ด่าหยาบ ท่านด่าคนอื่น ด่าพระวัดอื่น ด่าคนอื่นแต่ว่ามันมาชนพวกเรา

    แต่ความจริงท่านไม่ได้ไปเห็นใครเขาที่ไหน เห็นพวกเราทำไม่ดี ก็พูดว่า แหม ถ้าพระของฉันเป็นยังงั้น ฉันจะเสียใจมาก แต่ว่าพระของฉันดีนะ อย่างนี้เป็นต้น อย่างพระไปร้องเพลงที่ศาลาปรก ศาลาปรก คือศาลาไว้ผี สวดผี ศาลาสวดศพ อยู่ที่ป่าช้า เห็นพระร้องเพลง 2 องค์ ท่านไปส้วมท่านเห็นเข้า ท่านจำหน้าได้ แต่ท่านไม่พูด แล้วถึงเวลาวันประชุม วันโกน ถือเป็นการประชุมใหญ่ ทุกวันใครขาดไม่ได้ ถ้าป่วยไข้ไม่สบายจะต้องลา ท่านก็คุยบอกว่าท่านไปวัดโน้น ไปตรวจงานก่อสร้าง ผ่านหน้าวัดๆ หนึ่งได้ยินเสียงคนร้องเพลง 2 เสียง แล้วท่านก็ถามคนแจวเรือ ว่าใครร้องเพลง คนแจวเรือเขาบอกว่าพระ ถามว่าร้องที่ไหน คนแจวเรือก็บอกว่าที่ศาลาปรก ถามว่าวัดอะไร เขาก็บอก แต่ลืม ท่านว่ายังงั้น ลืมชื่อวัด

    แล้วท่านก็บอกว่าพระร้องเพลงนี่นะ ฉันว่ามีความเลวยิ่งกว่าหมามาก หมาไม่มีการหลอกลวงคนอื่น ท่านว่ายังงั้น หมาน่ะไม่หลอกลวงใคร มันแสดงตัวเป็นหมาอยู่เสมอ แต่พระไปร้องเพลงนี่เลวกว่าหมา คือจิตใจเป็นฆราวาส แต่ทำตัวเป็นพระหลอกลวงชาวบ้าน กินข้าวของชาวบ้านแล้วลงนรก หมาดีกว่าตั้งเยอะ กินข้าวของใครก็ไม่ลงนรก ชาวบ้านเลี้ยงหมา มีอานิสงส์ดีกว่าเลี้ยงพระร้องเพลง สบายใจไปเลย นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่าพระร้องเพลงไม่มี ท่านด่าพระวัดอื่นหรอกนะ ท่านไม่ได้ด่าพระที่วัด แต่ว่าชมพระที่วัดของท่านว่าดีจริงๆ ไม่มีอย่างนั้น

    ถ้ามีอย่างนั้นท่านจะเสียใจมาก นี่เป็นวิธีด่าพระของท่าน พวกเราได้รับทั้งคำชมคำด่า ทุกวันเป็นปกติ สบายถ้าไม่ถูกด่าเสียบ้าง ไม่โดนชมเสียบ้าง ไอ้ชมนี่ไม่สบายใจเท่าไร ถ้าด่าเมื่อไรสบายเมื่อนั้น มันชื่นใจ เพราะว่าจะมีโอกาสตัดความเลวลงไป แต่วิธีด่าของท่านก็ด่าแบบนั้นแหละ ด่าชาวบ้านชาวเมืองที่ไหนก็ไม่ทราบ ไอ้คนผิดนะไม่ได้ถูกด่า แต่ว่ามันไปชนเข้าเอง

    ในเมื่อประชุมมาแล้วตอนหัวค่ำ ท่านพูดธัมมะธัมโมให้ฟัง ชมบ้าง ด่าบ้างตามปกติแล้ว พวกเราก็เข้ามานอน ท่านก็ไม่บอกยังไง ถึงเวลาตี 2 มาแล้ว ตาเชิดมาปลุก ปลุกอาตมา บอกไปปลุกพระทุกองค์อันตรายเกิดขึ้นกับหลวงพ่อแล้ว เมื่อมีคำสั่งแบบนั้น ก็เข้าไปดู เห็นตะขาบตัวเบ้อเร่อมันนอนอยู่ ท่านก็เลยรายงานว่าลาวมันทำฉัน ไปปลุกพระเร็ว ประชุมกันด่วนตี 2 แล้วนี่มานั่งปลุกกันยังไง พ่อเจ้าประคุณนอนหลับก็ไม่ค่อยตื่น แต่วิธีตื่นง่ายมีอย่างหนึ่ง คือตีระฆังผิดเวลา พวกนี้ไม่ได้พร้อมเสมอ

    ถ้าเป็นทหารเขาเรียกว่าเตรียมพร้อมอันดับหนึ่งตลอดเวลา ก็เลยย่องไปนวดระฆังเข้าให้ระฆังใหญ่ เสียงประตูเปิดโครมครามๆ วิ่งตึงตังๆ ต่างคนต่างถือเหล็ก คือขวานถือค้อนมาตามๆ กัน คิดว่าอันตรายเกิดแก่วัด เขามาที่ระฆังถามว่าตีระฆังทำไม บอกหลวงพ่อให้ตีโว้ย ข้าไม่รู้หรอก โน่น เรื่องของเรื่องจะรู้เรื่องก็ไปที่หลวงพ่อ ไป ไปกันเดี๋ยวนี้ เร็วด่วน หลวงพ่อต้องการพบด่วน ทุกองค์ก็ไปขัดเขมร ไม่ได้เรียบร้อยหรอก เตรียมตีกันแล้ว เตรียมรบเพราะเขารักหลวงพ่อมาก เขาเคารพหลวงพ่อมาก เกรงว่าอันตรายจะเกิดแก่หลวงพ่อ อาวุธที่เขาถือมานั้นไม่ใช่อะไร มันเครื่องมือทำงาน พวกค้อนบ้าง พวกสิ่ว พวกขวานอะไรพวกนี้แหละ เครื่องมือทำงานทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับรบ แต่มันก็ใช้ได้เมื่อยามจำเป็น

    พอเข้าไปถึงหลวงพ่อแล้ว เขาขัดเขมรไม่มีอังสะ ท่านก็ไม่ว่ายังไง บอก เอ้า พวกเรามาดูอะไร นี่แน่ะ ท่านมีตะเกียงลานอยู่ 3 ลูก ท่านไขจ้าจุดสว่าง บอกว่าเห็นอะไรไหม ก็มองดูตะขาบตัวใหญ่ พระทุกองค์ก็ถามว่าตะขาบตัวใหญ่มันมายังไง ท่านก็ถามว่า เมื่อตอนเย็นนี้ มีลาวมาพักที่ป่าช้าบ้างหรือเปล่า ทุกองค์ก็บอกว่ามี เพราะต่างองค์ต่างก็รู้ บอกว่าไอ้ลาวคนนั้นมันทำฉัน มันจะปล่อยตะขาบให้กัดฉัน แล้วเข้าไปในตัว ถ้ากัดเข้าแล้วพวกเธอแก้ไม่ทันหรอก ฉันตายแน่ ก็เลยเรียนถามท่านว่าทำไมตะขาบมันไม่กัดหลวงพ่อเล่าขอรับ บอกจะกัดยังไงเล่า ฉันรู้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ฉันก็เลยไม่หลับ ตั้งท่า มันก็มาได้แค่เส้นนี้ ก็เห็นเส้นที่ท่านขีดด้วยชอล์คพอดี

    ท่านก็ชี้ให้ดูว่ามันจะมาได้แค่นี้ มันจะเข้าไปอีกไม่ได้ ตะขาบตัวนี้ถ้ากัดใครเข้าก็ตาย บวมทั้งตัว ดีไม่ดีก็เข้าไปอยู่ข้างใน เขาต้องการให้กัดเป็นพิษด้วย แล้วก็เข้าไปในตัวเราด้วย เราก็จะตายทันที พระทุกองค์ถืออาวุธอยู่แล้ว เครื่องมือทำงาน ตั้งท่าฮึดฮัดจะไปจัดการกับเจ้าลาว ท่านก็เลยโบกมือบอกว่าไม่ควร เราเป็นพระ ทำยังงั้นไม่ได้ ช่างเขา มันเป็นกรรมของเขานะลูกนะ มาปรึกษากันยังงี้ดีกว่า ถ้าเราทำเขาเราก็บาป แต่ไอ้ของเขาเราส่งคืนเขานี่เราไม่บาปนะลูกนะ มันของๆ เขา เราจะคืนเขาดีไหม ทุกองค์ก็พร้อมใจบอกว่าควรคืน

    แล้วก็หลายองค์บอกว่า คืนแล้วให้มันตายไปเลย ท่านก็ยิ้ม ตายไม่ได้หรอกลูก เราตั้งใจให้ตายไม่ได้ เราบาป ศีลขาด ถ้าเราคืนเขาไปแล้ว เขาจะตายหรือไม่ตายมันก็เป็นเรื่องของเขานะ เจตนาเราตั้งใจเฉพาะคืน ทุกองค์พร้อมใจกันว่าควรทำแบบนั้น ท่านก็เอาหวายวนกลับ มันขดอยู่นี่ ก็วนทวนมา วนทวนมาแล้วก็ปรากฏว่าเจ้าตะขาบเหยียดตัวตรง เมื่อเหยียดตัวตรงท่านก็เอาหวายเคาะกระดาน 3 ที เสียงกั๊กกั๊ก กั๊ก พอกั๊กที่ 3 เจ้าตะขาบวิ่งปรื๊ด หายไป ทั้งๆ ที่มีฝา หน้าต่างก็ปิด หาทางลอดไปไม่ได้ ตัวมันใหญ่ขนาดแขน ไม่ทราบว่ามันไปยังไง

    ในเมื่อมันไปแล้วท่านก็สั่ง รีบเข้าไปในป่าช้าด่วน ไปหามเจ้าลาวมาเดี๋ยวมันจะตาย นั่นเป็นยังงั้น ถ้าเป็นอย่างพวกเราละก็ปล่อยให้มันเป็นผีไปแล้ว นี่หลวงพ่อปาน พวกพระก็วิ่งไป ตะเกียงถือไป ตะเกียงรั้ว ที่ไหนได้ แผล็บเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าเจ้าลาวนอนครวญคราง ตัวใหญ่เบ้อเร่อ ไม่ใช่ตัวอะไรใหญ่ ตัวลาวมันใหญ่ มันบวม หามเอามา หลวงพ่อปานก็สอบสวนว่าเอ็งทำตะขาบมาใช่ไหม มันก็รับว่าใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ฉันไม่ได้ทำเธอ นี่ฉันส่งกลับไปให้เธอ เธอไม่เก่งจริงเลย ท่านก็ถามว่าจะให้รักษาไหม เขาก็บอกว่าขอให้รักษา

    ท่านบอกว่ารักษาก็ได้ แต่ต้องสัญญาก่อนว่า 1. ต้องเลิกให้วิชานี้ 2. ต้องยอมบวช 3. ต้องเจริญพระกรรมฐาน ทำได้ไหม ทีแรกมันเสียใจ บอก บวชได้ ทำกรรมฐานได้ แต่วิชานี้ขอให้ทำต่อไปได้ ท่านบอกถ้าต้องการทำวิชานี้ต่อไปก็เชิญตาย เชิญปวดไป ฉันไม่แก้ ในที่สุดมันปวดหนักเข้ามันก็ยอมแพ้ บอว่ายอมเลิก หลวงพ่อปานก็ให้พระสวดมนต์บทหนึ่ง สวดอะไรจำไม่ได้ พอสวดจบท่านก็บอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วิชาของเธอที่เรียนมาในด้านไสยศาสตร์ฉันถอนหมดแล้ว เธอใช้อะไรไม่ได้อีก จงตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทำบุญทำกุศล บวชแล้วเจริญกรรมฐาน

    แหมมันร้องไห้เสียเกือบแย่ แล้วท่านก็ให้การรักษา ทำน้ำมนต์ให้มันดื่ม พอดื่มเสร็จประเดี๋ยวเดียวสัก 5 นาทีก็ปวดอุจจาระ การปวดก็คลายตัวไป พอไปถ่ายอุจจาระ แทนที่อุจจาระธรรมดาจะออกมา กลายเป็นโซ่ขนาดย่อม หล่นลงไปข้างล่างปริ๊ด เสียงถ่ายดังสนั่น แต่สิ่งที่ออกไปไม่มีอุจจาระเลย กลายเป็นโซ่ทั้งเส้น หลวงพ่อปานก็ให้พระคีบมา เอามาดู ถามว่านี่โซ่ที่เธอเตรียมมาทำฉันใช่ไหม มันก็รับว่าใช่

    เป็นอันว่าวันรุ่งขึ้นก็บวช พอบวชแล้วลาวคนนี้ ภายในพรรษาเดียวก็สำเร็จอภิญญา 6 ด้านฌานโลกีย์

    นี่แหละท่านผู้ฟัง วันนี้รู้สึกว่าได้เรื่องมากเรื่องด้วยกัน เอาเรื่องเบ็ดเตล็ดมาเล่าให้ฟัง ไอ้การเล่านี่มันก็แสลงกับโรคกระเพาะเหมือนกัน รู้สึกว่าอาการเครียดเกิดมาก จะรีบเลิกเสียเรื่องมันไม่จบก็ทนเอา ไปหาหมอให้ช่วยรักษาเอา แต่ทว่าไม่ช้าก็ต้องพยายามให้จบ เพราะว่าอะไร เพราะว่าร่างกายมันชักจะไม่ค่อยดีแล้ว

    เอาหล่ะสำหรับวันนี้เหลืออีก 2 นาที ก็หมดเวลา วันนี้ก็เป็นอันว่าหมดกันแค่นี้นะ ขอลาก่อน ขอควมสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผล จงมีแด่ทุกคนที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๖.ตาเผือดล้างชาม

    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2515 เมื่อวานนี้วันที่ 30 ไปโรงพยาบาลซ่อมเครื่องจักรกลมาหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าร่างกายค่อยดีขึ้น วันนี้มาคุยถึงเรื่องหลวงพ่อปานใหม่ เอากันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะ เรื่องเกล็ดๆ เท่าที่ชาวบ้านเขาร่ำลือกัน นั่นก็คือเรื่องล้างชาม

    เรื่องล้างชามนี่มีอยู่ว่า ในงานเทศกาลครั้งหนึ่ง เป็นงานของหลวงพ่อปานเองคนมาก หลวงพ่อปาน เวลาจัดงาน ท่านเลี้ยงชาวบ้าน คือตั้งโรงครัว เรียกว่าอาหารการบริโภคอุดมตลอดเวลา เรื่องการกินไม่ต้องห่วง ถ้าไม่เลือกกับข้าวละไม่ต้องห่วงเรื่องการกิน แกงประจำของท่าน ใครจะมีแกงอย่างอื่นท่านไม่ว่า แต่แกง 2 อย่างไม่มีไม่ได้ นั่นคือ แกงคั่วสั้มผักบุ้งกับหัวตาลต้มปลาร้า ขนมของท่านก็มี 2 อย่าง ข้าวตอกน้ำกะทิกับแมงลักละลายน้ำ เรียกว่าขนม 2 อย่าง แกง 2 อย่าง นี่ต้องมีประจำ

    แต่แมครัวจะทำอย่างอื่นด้วยก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ว่าเหมือนกัน ทีนี้การเลี้ยงคนในงานในสมัยนั้น คนนิยมกินข้าวโรงครัวมาก เพราะร้านค้าไม่ค่อยจะมี แล้วก็ชาวบ้านยังไม่ค่อยเลือกอาหาร ตามชนบทก็กินอย่างเรียกว่ากินอิ่ม ไม่ใช่กินอวด เพราะงั้นคนกินก็มีมาก คนครัวก็มากพอ แต่ว่าคนล้างชามนี่มีน้อย ชามที่เขากินแล้ว ยังล้างไม่ทัน คนที่มากินใหม่ก็ไม่มีชามจะกิน นี่เป็นเรื่องลำบากของคนทำครัว คนกินน่ะไม่หนัก ทีนี้คนล้างชามน่ะหาล้างไม่ทัน ก็ปรากฏว่าหาคนช่วยยาก อย่างอื่นมีคนทำงานเยอะ แต่คนล้างชามมีน้อย

    คนล้างชามสมัยนั้นก็ชื่อตาเผือด นี่อาตมารู้จักในสมัยที่แกแก่แล้ว คนนี้มีร่างกายแข็งแรงมาก เป็นสัปเหร่อประจำวัด แกก็มารายงานหลวงพ่อปาน บอกว่าหลวงพ่อขอรับ ท่านใหญ่ขอรับ กรุณาให้ใครไปช่วยล้างชามด้วยเถอะ เพราะว่าการล้างชามนี่ไม่ทันกับคนกิน จริงๆ คนกินมาก คนล้างลามน้อย ชามที่มีอยู่ก็มากเหมือนกัน แต่ว่าล้างไม่ทัน เพราะคนล้างไม่มี หลวงพ่อปานบอกว่า เวลานี้งานก็คั่งด้วยกันหมด จะหาใครมาล้างได้ล่ะ

    เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาชามใส่ตะกร้าแล้วเขย่าๆ ซีมันถึงจะได้ไว ไปล้างทีละลูกๆ มันจะทันยังไง คนเขากินทีนับสิบ แล้วชามที่เขากินแล้วเขาไม่ได้ล้าง เขาไป นี่มันเปื้อนคราวหนึ่งนับสิบ ล้างทีละลูกแกจะไปล้างทันได้ยังไง ตาเผือดแกฟังยังงั้นแกก็ปฏิบัติตามคำสั่งทันที ขนชามลงท่าน้ำใส่ตะกร้าเขย่า เรียกว่าเขย่าอย่างไม่ปรานีกัน เขย่าแล้วส่ายไปส่ายมา ให้ชามเกลี้ยง ได้ผลดีมาก แล้วชามก็ไม่แตก

    คราวนี้ก็เอาละ เกิดเรื่องใหญ่ มันมีเรื่องใหม่ขึ้นมาเรื่องหนึ่ง หลวงพ่อปานแจกของก็มุงกันมากอยู่แล้ว มหรสพที่มีอยู่คนก็ล้อมกันแน่นขนัด แต่ว่านั่งอย่างมีระเบียบ ไอ้งานใหม่เพิ่มขึ้น คือตาเผือดล้างชาม ใส่ตะกร้าเขย่าเป็นงานใหม่สำหรับงานนั้น เรียกว่าเป็นมหรสพใหม่ คนมาดูกันแน่นขนัด ตาเผือดแกก็เขย่าชามหน้าตาเฉย ไม่มีความรู้สึกอะไร ชาวบ้านทั้งหลายก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าประเดี๋ยวชามก็แตกหมด บางคนก็ร้องห้ามบอกว่าลุง อย่าไปเขย่ายังงั้นซี ประเดี๋ยวชามก็แตกหมด ตาเผือดแกตอบว่ายังไง แกตอบว่านี่ชามของวัดบางนมโคนา เป็นชามของท่านใหญ่ คือหลวงพ่อปาน จะแตกหรือไม่แตกไม่ใช่เรื่องของฉัน

    เมื่อท่านสั่งให้ฉันเขย่า ฉันก็เขย่า หากว่าฉันไมเขย่าก็ไม่ทันพวกแกใช้ พวกแกกินกันคราวหนึ่งนับสิบๆ คน แล้วฉันจะมานั่งล้างชามทีละลูกๆ ยังไง พวกแกกินแล้วก็ไม่ล้างชามกัน ตาเผือดรู้สึกว่าแกเป็นคนปากร้ายๆ อยู่สักหน่อย แต่ว่าผลที่ปรากฏ แกเขย่าแรงๆ แล้วก็ส่ายไปส่ายมา แล้วก็เทกองเข้าไว้ พ่อไม่จัดเรียงเสียด้วย เทกองเข้าไว้ เทเสร็จแล้วก็มาเทกองรวมกัน เทใส่กระบุงใหญ่ๆ กองรวมกัน แล้วก็เอาใหม่ ที่ยังไม่ได้ล้างใส่ตะกร้าไปเขย่าอีก บรรดาประชาชนที่สนใจเข้ามาดู ชามที่ตาเผือดล้างเป็นชามก๋วยเตี๋ยว มันแตกหรือไม่แตก ก็ปรากฏว่าไม่มีชามแตกสักลูกหนึ่ง

    เรื่องนี้เป็นที่เล่าลือกันมาก คนที่เห็นในสมัยนั้น ในขณะที่ตาเผือดล้างชาม แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ก็คือ พันเอกแสวง แก้วมณี ท่านผู้นี้บอกว่าเห็นกับตาเองเลยครับ

    เรื่องนี้หลวงพ่อปานท่านจะเสกท่านจะเป่ายังไงก็ไม่เห็นท่านทำนี่ ก็เป็นอันว่าเรื่องล้างชามผ่านไปนะ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ และข่าวมหัศจรรย์ของคนสมัยนั้น
    ตานี้ต่อไปก็เอาเรื่องอะไรดีล่ะ เอาเรื่องเรือยนต์หยุด
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๗.เรือยนต์หยุด

    เรื่องเรือยนต์หยุดนี้เป็นข่าวอยู่เสมอในสมัยนั้น คือว่าสมัยตอนต้น ก็มีเรือเขียวเรือแดงรับคนโดยสาร ตอนเช้าเรือเขียววิ่งมาลำหนึ่ง แล้วก็เรือแดง 1 ลำ จากอำเภอผักไห่ ผ่านหน้าวัดบางนมโค แต่บรรดาเรือทั้งหลายนี่ เวลาวิ่งผ่านหน้าวัด ไม่เบาเครื่อง คลื่นมันก็จัด แล้วก็เป็นที่เดือดร้อนของคนไข้ไม่สบาย ที่มารักษาโรคกับหลวงพ่อปาน เอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าวัดเป็นต้น คล้ายกับวัดอื่นเขามีงาน

    แต่นั่นเป็นยามปกติ เพราะคนไข้ของหลวงพ่อนี่ ท่านสร้างสถานที่พักไว้ให้ คือตั้งเป็นโรงอาศัยคนไข้ เรียกว่าโรงคนไข้ จุได้ประมาณสัก 200 คน นอนเรียงกัน 2 แถว แล้วมีบริเวณกว้าง มีที่ทำครัว ถ้าไม่พอ บางคราวก็ไม่พอต้องอาศัยศาลาการเปรียญบ้าง หนักเข้าก็ต้องอาศัยหน้ากุฏิพระบ้าง คนไข้มากขนาดนั้น เพราะโรงพยาบาลหรือสุขศาลาเวลานั้น ก็หายาก หมอที่ตั้งทำการรักษาตามในที่เจริญก็ไม่มี มีก็แต่หมอโบราณ เขาก็เอาสตางค์มารักษาที่หลวงพ่อปานดีกว่า ไม่ต้องเสียสตางค์ จะเสียก็สตางค์ค่ายา ยาหม้อหนึ่งก็ราคา 2 บาท ไม่มาก ข่ากับใบระกา หรือใบระกากับหญ้าแพรก สำหรับอาหารการบริโภค ถ้าไม่มีก็กินกับหลวงพ่อปาน สบาย เป็นอันว่ารักษาสบายกัน

    ทีนี้ บรรดาเรือเขียวก็ดี เรือแดงก็ดี แต่ว่าเรือเขียวเป็นเรือของขุนพิทักษ์ เขามีความเคารพในหลวงพ่อปานมาก เวลาเข้าเขตวัดบางนมโค ก็วิ่งเบา เบาเครื่อง ถ้าเรือมากเท่าไรก็เบามากเท่านั้น จนกระทุ่งคลื่นเป็นลูกๆ เรือก็โคลงบ้าง เรือที่จอดอยู่หน้าวัด แต่ไม่มากนัก แต่ว่าเรือแดงนี่เป็นเรือของฝรั่งเขา สยามสติมแป็กเก็ต เขาให้ชื่อของเขายังงั้น ไม่ค่อยจะเบา วิ่งตามอัชฌาสัยตามสบาย แต่ความจริงคนบังคับเรือก็เป็นคนไทย ไม่ใช่ฝรั่ง แต่เขาถือว่านายเขาเป็นฝรั่ง วันหนึ่งหลวงพ่อปานท่านมานั่งอยู่หน้าวัด ท่านก็นั่งมอง ว่าไอ้เจ้าเรือพวกนี้นี่ มันไม่รู้จักเกรงใจคนไข้คนป่วยบ้าง เรือเขาจอดกันอยู่มากๆ เรือกระทบกันก็มีอันตราย มันก็วิ่งตามอัชฌาสัยของมัน นี่มันจะเบาตัวสักนิดชั่วระยะหน้าวัดประมาณ 5 เส้น นี่มันก็จะไม่ช้าสักเท่าไร

    ขณะนั้นที่นั่งอยู่มีคนอยู่ 2 คน คือตายุงกับตาวงศ์ สองคนด้วยกัน เขาก็ว่าท่านขอรับ ก็ทำให้มันวิ่งไม่ได้เสียไม่ได้หรือขอรับ ท่านก็บอกว่าได้ มันเป็นของไม่ยาก จะให้มันวิ่งไม่ได้น่ะได้ แต่จะให้เสียเลยไม่ได้ จะทำลายทรัพย์สินเขาไม่ได้ แกก็เลยบอกว่า เอาให้มันวิ่งไม่ไหวอย่างเดียว แต่เครื่องไม่เสียได้ไหมขอรับ ท่านก็บอกว่าทำได้ แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง ถึงเวลาที่เรือจะมา เรือเมล์จะขึ้นมันเป็นเวลาตอนเย็นก็ประมาณสัก 4 หรือ 5 โมงเย็น เรือขึ้นจากกรุงเทพ ถ้าหากว่าตอนเช้าก็ประมาณโมงเช้านี่ 1 ลำ แล้วประมาณ 2 โมงหรือ 3 โมงเช้าอีก 1 ลำแล้วก็วิ่งระยะห่างกัน เรือเขียวกับเรือแดงออกไม่พร้อมกัน เรือแดงออกก่อน เรือเขียวออกทีหลัง ถึงเวลานั้นท่านก็ไปนั่งหน้าท่า ตายุงกับตาวงศ์ก็ไปด้วย ไปนั่งดูว่าเรืออะไรที่มันไม่เบาที่หน้าวัด วิ่งแล้วไม่เบาเครื่อง

    ก็ปรากฏว่าเรือแดง เรือแดงลำนั้นในสมัยนั้น ชื่อว่าโอปอ แปลว่ายังไงก็ไม่ทราบ เขาเขียนว่าโอปอ วิ่งมาก็เต็มฝีจักร ใช้เครื่องกลไฟ ใช้เครื่องไอน้ำนะ พอเข้าเขตหน้าวัด ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ วัด เจ้าเรือนั้นมันก็ไม่เบา ตายุงกับตาวงศ์ก็บอกว่าท่านขอรับ ให้มันหยุดเสียได้ไหม ท่านก็บอกว่าได้ เขาบอกว่าหยุดได้แล้วนี่ขอรับหน้าวัด ท่านก็เลยบอก อ้าว มันก็หยุดแล้วนี่นา ท่านว่ายังงั้น ความจริงเรือยังใช้ผีจักรเต็มที่ เวลาที่ท่านบอกว่าหยุดแล้วน่ะ ความจริงมันยังไม่หยุดมันวิ่งอยู่ แต่พอท่านพูดก็ปรากฏว่าเรือไม่เคลื่อนที่ ไอ้เจ้าเรือยนต์มันใช้ฝีจักรได้เต็มที่ ใบพัดของมันหมุนน้ำเป็นฟอง แต่ว่าเรือไม่ไป

    คราวนี้ยุ่ง จะหันซ้ายหันขวามันก็ไม่หัน คล้ายกับปักสมอดึงไว้ทั้งหน้าหลัง นี่เป็นเรื่องแปลกจริงๆ เจ้าหน้าที่ของเรือก็วิ่งกันไขว่ ไม่รู้จะทำยังไง ในที่สุดนายท้ายก็สั่งดับเครื่อง เรือหยุดเครื่องแล้วก็เรียกเรือเล็ก 1 ลำมารับ เข้ามากราบหลวงพ่อแล้วก็ขอขมาโทษ ท่านก็บอกว่า อ้าว ก็เครื่องมันไม่ได้เสียไม่ใช่รึ เขาก็บอกว่าเครื่องไม่เสียครับ แต่ว่าเรือมันไม่ไป ท่านก็เลยถามว่าทำไมจึงไม่ไปล่ะรู้ไหม น่ากลัวว่าเขาจะคิดได้ เขาก็เลยบอกว่าผมมาหน้าวัดของหลวงพ่อผมไม่เคยเบาเครื่อง เรือจอดอยู่มาก เห็นจะเป็นเพราะผีหรือเทวดาหรือพระที่วัดนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ท่านจะโกรธผม คงทำไม่ให้เรือไป

    ท่านก็เลยถามต่อไปว่า ต่อไปนี้จะเบาเครื่องได้ไหมล่ะ ถ้าเบาได้ละก็เรือมันก็วิ่งได้ ถ้าเบาไม่ได้เรือมันก็วิ่งไม่ได้ ทีหลังถ้าเข้ามาวัดนี้ถ้าไม่เบาเครื่องละก็เรือมันจะไม่ผ่านหน้าวัด คราวนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ นายท้ายกับเอ็นยิเนียร์ก็ก้มลงกราบบอกว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอรับผมจะสั่งพรรคพวกทั้งหมดว่า ถ้าเข้าเขตวัดนี้ให้เบาเครื่อง ท่านก็บอกว่า ถ้ามีมรรยาทดีอย่างนั้น เห็นใจคนอื่นแบบนั้นก็ใช้ได้ เครื่องมันก็ไม่เสีย เรือก็ไป ถ้ามิฉะนั้นละก็ ถ้าเธอมีจิตคิดว่าหาผลประโยชน์เฉพาะส่วนตัวเป็นสำคัญ เรื่องของตัวสำคัญกว่าเรื่องของคนอื่นละก็ เรือมันจะเข้าเขตวัดนี้ไม่ได้ เอ้ากลับไปได้แล้ว มันก็ไปได้แล้วนี่นะ สองคนกราบลงไป พอขึ้นเรือก็ปรากฏว่าเรือวิ่งไปตามปรกติ

    นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่าเรือทั้งหลายไม่ใช่แต่เฉพาะเรือแดงของสยามสติมแป็กเก็ต จะเป็นเรือขนาดไหนก็ตามต่างคนต่างก็เบาเครื่องกันเป็นแถว ยังงี้ก็ดีเหมือนกัน ผลที่ปรากฏขึ้นมาอย่างนี้เป็นเรื่องอภิญญาสมาบัติ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้แสดงอวดใคร ท่านทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์บรรดาประชาชนที่มาจอดเอาคนไข้มารักษาที่วัดของท่าน เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องผ่านไป
    ต่อไปจะเอาเรื่องอะไรดีล่ะ เอาเรื่องลงเบ็ดราวในอากาศ
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๘.ลงเบ็ดราวในอากาศ

    เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าขรัวอีโต้แกเป็นเพื่อนกับหลวงพ่อปาน สมัยนั้นเขาบอกขรัวอีโต้นี่อยู่ที่เขาสาลิกาจังหวัดนครสวรรค์ แต่ความจริงในปัจจุบันนี่เป็นจังหวัดลพบุรี แต่ว่าระยะนั้นทางคมนาคมมันไม่ดี แล้วก็เป็นป่าเลยไม่รู้ว่าจังหวัดไหนกันแน่ เพราะว่าจังหวัดนครสวรรค์นี่มันกินเข้าไปถึงจันเสน ถึงสถานีรถไฟจันเสน อาจจะเลยนั้นไปนิดก็ได้ ตานี้ เขาสาลิกานี้มันก็อยู่บ้านหมี่ แต่มันก็ไม่ไกลกันนัก เขาอาจจะเข้าใจว่าเป็นจังหวัดนครสวรรค์

    วันหนึ่งแกพายเรือผ่านหน้าวัด พายเรือสำปั้นลำเล็กๆ สำปั้นคอน เขาเรียกยังงั้นนะ มีประทุน ผ่านหน้าวัด พอเลยเขตหน้าวัด ปรากฏว่าไฟไหม้หลังคา พอไฟไหม้หลังคาเรือแทนที่แกจะดับไฟทั้งๆ ที่อยู่ในแม่น้ำดับมันก็ดับได้ แต่แกไม่ดับ แกทิ้งเรือโดดน้ำ ถืออีโต้เล่มหนึ่ง ว่ายขึ้นมาบนตลิ่ง พอขึ้นมาก็ท้าทายโบ๊เบ๊ๆ ว่า ใครคนจริงวะ มันแกล้งกันได้นี่หว่า ไอ้คนแกล้งกันนี่มันใช้ไม่ได้ เก่งจริงมาตีกันสิหว่า ควงมีดอีโต้คว้าง แก่แล้วผอมๆ

    ตอนนั้นอาตมาเองผู้พูดบวชมาแล้ว เห็นเหตุการณ์ได้โดยเฉพาะพร้อมด้วยพระประมาณสี่ห้าสิบองค์ เห็นคนเอะอะโวยวายแบบนั้นก็คิดว่าคนที่มารักษาโรคหรือมาหาหลวงพ่อ จะทะเลากัน หรือว่าชาวบ้านเขามาอาละวาดกับคนที่มารักษาโรค หรือมาหาหลวงพ่อ เป็นการไม่ดี ต่างคนต่างก็รีบไปดู วิ่งไปตามเสียงนั้น ปรากฏว่าเห็นคนแก่คนหนึ่งผอมๆ ท่าทางแกร่งๆ คิดว่าถ้าแกจะสับเรานี่ ต่อให้แกถืออีโต้ 2 เล่ม ก็เห็นจะไม่พอหรอก เรียกว่าหลบไปหลบมาประเดี๋ยวก็เป็นลมไปเอง แกก็เอะอะท้าทายด่าไปด่ามาอยู่พักหนึ่ง หาคนมาตีกับแก เลยถามว่าโยม จะตีกับใครเล่า แกก็เลยบอกว่าพายเรือมาดีๆ ไอ้นักเลงบ้านนี้นี่มันแกล้งจุดหลังคาเรือได้ เอาเข้ายังงั้น

    ถามว่าเรือของโยมขณะพายอยู่ พายชิดๆ ตลิ่งหรือว่ากลางแม่น้ำ แกก็บอกว่ากลางแม่น้ำ เลยถามแกว่าแล้วใครจะจุดได้ล่ะโยม แกบอกมี ไอ้วัดนี้แหละเขามีคนดี คนดีเขามีเขาขโมยจุดได้ แล้วก็ถามว่าท่านปานอยู่หรือเปล่า ก็เลยบอกกับแกว่าอยู่ ท่านกำลังรับแขก บอก อยากจะดูหน้าไอ้ท่านปานนักมันลักจุดหลังคาเรือข้า พวกพระหนุ่มๆ ก็รู้สึกว่าไม่พอใจ มีหลายองค์ที่ตัวแกเป็นพระใจแกเป็นฆราวาส 99 เปอร์เซ็นต์ ทำท่าไม่ดี ก็จะจัดการกับตาแก่นี่ หาว่ามาท้าทายครูบาอาจารย์ อาตมากับเพื่อนอีก 2 คนก็ห้าม กระซิบบอกว่าอย่าเลย นี่มันต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่ง

    แกพายเรือมากลางแม่น้ำนะ แล้วไฟติดหลังคาเรือแก แล้วแกเองถ้าไม่ได้จุดแล้วแกไม่มีไฟอยู่ ถ้าไฟมันติดขึ้นแบบนี้ มันต้องเป็นเรื่องของอภิญญาสมาบัติ พวกเราดูกันไปก่อนดีกว่า ปล่อยแก เขาจะทำยังไงก็ช่าง แกคนเดียว พวกเราตั้งหลายสิบแล้วก็พวกเราก็หนุ่มกว่า ไอ้แรงปะทะน่ะสู้เราไม่ได้แน่ ไม่ต้องกลัว พวกท่านอย่าคิดว่าแกจะทำอันตรายหลวงพ่อได้เลย ไม่มีทาง ถ้าหากว่าแกจะฟันหลวงพ่อพวกผมจะจัดการเอง พระพวกนั้นบอกว่าไม่แต่ท่าน 3 องค์ละ พวกผมด้วย วันนี้แหลกกันแน่เลิกเป็นพระกัน ถ้าลงทำอันตรายหลวงพ่อพวกผมยอมตกนรกกัน วันนี้ฆ่าคนแก่สักคน บางคนเขาว่าอย่างนี้นะ

    ก็เห็นใจท่านในด้านความกตัญญูกตเวที กล้าที่จะพลีตัวเองลงนรก อันนี้ก็น่าสรรเสริญเหมือนกัน เรียกว่าไม่ใช่น่าตำหนิเพราะว่าเขายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา มีความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ดังกล่าว ดังนี้ก็หายาก ไม่ใช่หาง่าย น่าสรรเสริญ แต่พวกเราก็พยายามกันเขาไว้ เดินตามแกไป แกก็คุยไปเสียงเอ็ดตะโรโฉเก พูดด่าท้าทาย ท้าเฉยๆ ไม่ด่า ว่าคนเก่งจริงไม่ต้องไปลุกจุดหลังคาเรือกันโว้ย เก่งจริงออกมาตีกันสิหว่า ออกมากลางลานวัด หลวงพ่อได้ยินเข้าก็ยิ้ม เห็นท่านนั่งมองยิ้ม มีคนไปหาท่านประมาณสัก 200 คน นั่งอยู่ข้างหน้าท่าน บางก็น่าดูเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสุพรรณ มีความเคารพนับถือหลวงพ่อเป็นพิเศษ ดูเหมือนว่าจะชักมีดพก ถือมีดกันเป็นตับ หลวงพ่อก็ยกมือห้ามบอกอย่า ขรัวอีโต้มันเพื่อนฉัน ประเดี๋ยวพวกเราจะได้ดูดี แต่ไม่ใช่ตีกันหรอก ไอ้ที่เขาท้าทายอย่างนั้นเขาก็ทำของเขาไปเอง เขาเป็นคนดี พวกนั้นก็เก็บอาวุธ

    เมื่อเข้าไปถึงหน้าหลวงพ่อแล้ว แกก็วางมีดโต้ แล้วก็กราบ แน่ แกแสดงความเคารพ เวลากราบนี่ไม่ใช่กราบอย่างคนโกรธ กราบอย่างคนแสดงคามเคารพกันจริงๆ เมื่อกราบลงไปแล้ว แกก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วก็บอกว่า คนจริงมาตีกันดีกว่า หนอยแน่ เราพายเรือผ่านหน้าวัด พอจะเลยเขตวัดขโมยจุดหลังคาเรือของเราเสียได้ หลวงพ่อปานยกมือป้องหน้าถามว่าใคร ใครกันพ่อคุณ พอมองหน้าแกก็บอกว่า นี่ขรัวอีโต้ไงล่ะ หลวงพ่อปาน หัวเราะก๊ากเลย บอกเอ้อ ดีๆๆ ขรัวอีโต้รึ ทำยังไงปล่อยให้ไฟมันติดหลังคาเรือได้ ลืมหรือเผลอไปละมัง จุดตะเกียงไว้บ้างหรือเปล่า แกก็บอก ฮื้อ อย่า อย่ามาแกล้งทำไก๋นะ ไอ้คนเรานี่ถ้าเก่งจริงๆ จุดกันต่อหน้า นี่มาขโมยจุดหลังคาเราได้

    หลวงพ่อปานก็หัวเราะชอบใจ บอกว่า ขรัวอีโต้ก็เก่งนี่ ทำไมปล่อยให้คนขโมยจุดหลังคาเรือล่ะ แกก็เลยหัวเราะ เสียท่า นี่แสดงว่าตัวเองเสียท่า เรือของแกชาวบ้านเห็นว่าไฟติดก็เลยออกไปเก็บแล้วก็ดับไฟให้ ไม่มีอันตรายมาก เสียหายไปนิดหน่อย ในที่สุดเลิกทะเลาะกันก็คุยกัน ท่านก็เลยประกาศว่า ขรัวอีโต้นี่เขาเป็นฆราวาส แต่เขาเก่ง เก่งกสิณ ได้อภิญญาสมาบัติ เป็นเพื่อนกัน พอชาวบ้านรู้ข่าวว่าเป็นเพื่อนและได้อภิญญาสมาบัติเท่านั้นแหละ ฆราวาสหลายคนเข้ามานั่งยกมือไหว้ขรัวอีโต้ ขรัวอีโต้ก็เลยครึ้มใจ แต่ยังเป็นฌานโลกีย์ แล้วคุยสนุกสนานกับหลวงพ่ออยู่ประเดี๋ยว หลวงพ่อก็บอกว่า นี่ขรัว ชาวบ้านเขายังอยากจะดูของดีนะ ขรัวนี่เก่งมีดีอยู่ตั้งเยอะ ลองแสดงดี อวดกับเขาสักหน่อยซิ มีดีที่จะอวดนี่ ขรัวอีโต้ก็นั่งยิ้ม บอกฮึ ท่านก็เก่งนี่นะทำไมไม่แสดงล่ะ

    หลวงพ่อก็เลยบอกว่าไอ้ฉันมันเป็นพระ ไอ้ดีเท่าไรก็แสดงหมดแล้ว เวลานี้กำลังแสดงดีรักษาโรค และงานก่อสร้าง สอนพระกรรมฐาน ดีอย่างอื่นมันแสดงยาก แต่ขรัวนี่เป็นฆราวาสนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม ไม่เกี่ยวกับวินัยของพระ ลองแสดงดูสักนิดได้ไหม ขรัวก็ยิ้ม บอก เอา จะแสดงก็แสดง เอาพวกเราใครอยากจะดูของดีบ้าง ใครอยากจะดูอีโต้ว่ายน้ำก็เชิญ แหมพอตัวแกพูดเท่านั้น อาตมาก็คิดว่าตัวแกเองจะโดลงไปว่ายน้ำนะ ไม่ได้คิดว่าจะให้มีดมันว่ายน้ำ แกก็เลยบอกว่าใครอยากจะดูดีเชิญตามมา ไปท่าน้ำกัน ก็เดินตามไปท่าน้ำ พระทั้งหมด คนทั้งหมดประมาณแล้วเห็นจะเกือบ 300 คน

    พอไปถึงท่าน้ำแกก็บอกว่าคอยดูนะ หยิบดูซิ อีโต้เล่มนี้มันเป็นเหล็กหรือมันเป็นไม้ เพื่อนของอาตมาก็รับมาตรวจดูแล้วก็ส่งต่อๆ กันไป ทุกคนก็ทราบว่ามีดโต้เป็นเหล็ก แกก็ถามว่าเหล็กมันจมน้ำหรือว่าลอยน้ำ ก็เลยบอกว่าตามธรรมดาของมันละก็ เหล็กมันมีน้ำหนักมากมันจะจมน้ำ แกบอกว่านั่นน่ะซีเหล็กมันต้องจมน้ำ เดี๋ญวผมจะขว้างไอ้มีดนี่นะให้มันจมน้ำ แกก็ขว้างเต็มแรงไปประมาณถึงกลางน้ำ มันลึกมาก จมหายไป แล้วแกก็ลงไปชายน้ำบอกว่า เอ้า อีโต้เอย เอ็งกะข้ามันเป็นสหายกันมานาน นี่วิ่งขึ้นมาซิ เอ็งไม่ขึ้นมาละข้าจะใช้ใครล่ะ ข้ามีเอ็งอยู่เล่มเดียวเท่านั้นละ ขึ้นมา มีดโต้ก็โผล่ผลุบขึ้นมาจากกลางแม่น้ำ มาถึงผิวน้ำก็วิ่งปรื๊ดคล้ายกับเรือเร็ว เอาด้ามเข้ามือขรัวอีโต้ทันที แกก็บอกว่า เอาเท่านี้แหละเอ้า แสดงให้ดูแล้วนะ ว่าขรัวอีโต้น่ะมีดีพอที่จะอวดใครเขาได้ เป็นอันว่าจบเกมไป

    ต่อจากนั้นมาก็มีเรื่องราวอีกนิด ถึงเวลากลางคืนขรัวอีโต้แกมีลอบเล็กๆ ลูกหนึ่งแกชอบเอาขึ้นไปไว้บนยอดไม้ ไปดักเงิน ถามว่าแกเอาไปทำไม แกบอกว่าเอาไปดักเงิน สมัยนั้นค่าของเงินสูงมาก ก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม ห้าสตางค์ 1 บาทได้ก๋วยเตี๋ยว 40 ชาม แต่แกดักได้คืนละ 10 บาท แกดักได้มาสัก 2 - 3 คืน อาตมากับเพื่อนก็สงสัยว่าขรัวอีโต้นี่ แกดักเงินได้ยังไง ธนบัตรที่ได้มาก็ใหม่เอี่ยม แปลกใจ ติดว่าตอนกลางคืนแกจะย่องเอาธนบัตรไปใส่ มาคืนหนึ่งก็ไปนั่งยามกันสามองค์ เห็นขรัวอีโต้เอาลอบไปดักบนยอดต้นพิกุล ก็เลยนั่งอยู่ใกล้ๆ นั่งยามผลัดกันอยู่ยาม คอยจับดูทีว่าขรัวอีโต้จะย่องเอาธนบัตรไปใส่เมื่อไหร่ ตลอดคืนขรัวอีโต้ไม่ปรากฏว่าลงไปจากกุฏิเลย นอนอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อปาน

    ทีนี้พอตอนเช้ามืดก่อนที่ขรัวอีโต้จะมากู้ลอบ อาตมาเองก็ย่องขึ้นไปก่อน พอหยิบลอบลงมาปรากฏว่าในลอบมีธนบัตรใบละ 10 บาท ใหม่เอี่ยม 1 ใบ ก็เลยเอามาเก็บไว้ แล้วก็เอาลอบไปวางไว้ที่เดิม พอตอนใกล้สว่าง แสงทองขึ้น ขรัวอีโต้ก็ขึ้นไปเอาลอบปรากฏว่าแกไม่เห็นสตางค์ แกด่าโขมงโฉงเฉงเลยคราวนี้ ด่าเสียงลั่นวัดแล้วก็บอกด้วยว่า ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ลิง 3 ตัวในป่าช้านั่นแหละมันมาลัก ก็เดชะบุญที่แกเรียกว่าลิงเสีย ลิงนี้มันไม่มีอาบัติ ถ้าแกหาว่าพระขโมยละก็ยุ่ง ลิงไม่มีอาบัติไม่เป็นไร เวลานั้นอาตมากับเพื่อนไปบิณฑบาต พอกลับมาก็ยังได้ยินเสียงด่าอยู่ หลวงพ่อปานก็ถามว่า พวกเราใครไปเอาเงินของขรัวอีโต้มาบ้าง ในลอบของแกน่ะ ใครไปเอามาบ้าง

    อาตมาก็รับว่าผมเอาไปเองขอรับ ถามว่าเอาของแกไปทำไม บอกว่าอยากจะพิสูจน์ว่าขรัวอีโต้น่ะ ดักเงินได้จริงหรือไม่จริง เมื่อคืนนี้อยู่ยามกันตลอดคืน ดูว่าขรัวอีโต้จะย่องเอาไปใส่เมื่อไหร่ ดูแล้วก็ไม่มี ตอนเช้ามืด ตี 4 เศษๆ ขึ้นไปดูปรากฏว่ามีเงิน ก็เลยลองเอามาเก็บไว้ก่อน ถ้าหากว่าแกไม่มีความแน่ใจจริง แกต้องเฉย ถ้าหากว่าแกมีความแน่ใจว่าดักเงินได้จริงละก็ แกต้องเอะอะโวยวาย หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม บอกว่าดีแล้ว การพิสูจน์แบบนี้ดี จะได้รู้ผลของความเป็นจริง แล้วแกก็เรียกขรัวอีโต้มา บอกใครขโมย แกก็ชี้มาที่อาตมา นี่ละไอ้ท่านลิงดำนี่ละมันขโมย บอก อ้าว ไม่ได้ขโมยนา ไอ้ของที่เอาไปวางทิ้งไว้ยังงั้น เขาเรียกว่าหาเจ้าของไม่ได้ มันเป็นอกามิงกัง เงินก็ไม่ใช่เงินของขรัวนี่ เงินของขรัวก็อยู่ในกระเป๋าของขรัว นี่ขรัวเอาลอบไปวางไว้ แล้วก็นี่เงินมาเองอย่างนี้พระท่านถือว่าไม่มีเจ้าของ

    แกชอบใจ หัวเราะใหญ่ บอกเอ๊อ มีปฏิภาณดีนี่ อยากได้ก็เอาไปซี ก็เลยตอบแกว่าไม่เอาหรอก อยากจะพิสูจน์ แกก็บอกว่ารู้แล้ว ไม่ใช่องค์เดียวหรอก เมื่อคืนนี้อยู่ยามกัน 3 องค์ มองในกุฏิมองเห็น แน่ะเก่งเสียด้วย เป็นอันว่าเรื่องการเงินของแก ดักได้จริงๆ ไม่เหมือนลอบสมัยนี้ที่เขาทำขายกัน บรรดาพระคณาจารย์ทั้งหลายเสกลอบแล้วก็ให้คนไปบูชา เงินจะได้หลั่งไหลเข้ามา แต่ไม่เห็นมันเข้าลอบ ยังงี้ใช้ไม่ได้ เป็นการเสียสตางค์ซื้อลอบเปล่าๆ เอาเงินจำนวนนั้นไปเก็บฝากธนาคารไว้ยังดีกว่า หรือไปซื้อข้าวซื้อก๋วยเตี๋ยวกินยังมีประโยชน์กว่า ไปซื้อลอบทำไม นี่ไม่ได้ว่าใครนะ ทำไม่ได้ผลตามนั้นแล้วจะไปทำ ทำเกลืออะไร

    ถ้ามีลอบมีไซจริงๆ ให้เงินมันเข้ามาติดลอบติดไซมันก็หมดเรื่องกัน ถ้าทำไม่ได้อย่างนั้น จะไปเสกหลอกลวงชาวบ้านเขาทำไม อันนี้ไม่เห็นด้วย ไม่จริง แบบนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าดักเงินติดแล้วค่อยแจกชาวบ้าน ถ้าดักเงินไม่ได้อย่าไปแจก บูชาไว้แล้วเงินจะมาเอง ชาวบ้านก็ต้องทำไร่ไถนา ค้าขาย ทำราชการ กันเกือบย้ำแย่แล้วก็บอกว่ารวยเพราะลอบเพราะไซ อันนี้ไม่ถูก เหตุผลไม่พออันี้เลิกดีกว่า

    ต่อมาหลวงพ่อปานก็นึกสนุกน่ะ ไม่ใช่อะไร ก็เลยเรียกพระมาบอกว่า พวกเราขรัวอีโต้เขาเป็นแขก เขาหาสตางค์มาได้วันละ 10 บาท แล้วเขาจ่ายกับข้าวมาเลี้ยงพวกเรา ยังงี้มันก็ไม่ถูก เราเป็นเจ้าของบ้าน ควรจะเลี้ยงแขกแต่ในเมื่อเขามีศรัทธาก็ไม่เป็นไร เมื่อเขาเป็นผัก เราก็เป็นปลาดีกว่า ออกกันคนละส่วน บรรดาพระก็ถามว่าจะทำยังไง ปลาหน้าวัดของเราเยอะครับ เอาแหหรือสวิงไปตัก เอาแหไปทอด แต่เอาแหไปทอดไม่ได้หรอก ขาดแน่ ปลาตัวมันโต สวิงไปตักก็ง่าย ตีน้ำแปะๆ มันก็ขึ้นมาเล่นมือ ท่าบอกไม่ใช่ยังงั้น ปลาในน้ำเราเอาไม่ได้หรอก เพราะว่ามันบาป เราหากินปลาบนอากาศดีกว่า

    ถ้าปลาตัวไหนมันถึงที่ตาย มันก็ขึ้นไปติดเบ็ดของเราบนอากาศ ถ้าตัวไหนไม่ถึงที่ตายมันก็ไม่ขึ้นไป ไอ้ตัวปลาที่ถึงที่ตายขึ้นไปติดเบ็ดของเราบนอากาศ เอามากินได้ เราไม่บาป เพราะมันจะต้องตาย ท่านก็เลยสั่งให้ไปขอยืมเบ็ดราวที่ชาวบ้านเขามีกัน เอามาขึงจากยอดไม้อันนี้ไปยอดไม้ต้นโน้น เวลาตอนค่ำขึง เวลาตอนเช้าตรู่ใกล้จะได้อรุณท่านก็สั่งให้ไปดูเบ็ด ปรากฏว่ามีปลาติดอยู่หลายตัว ปลาเนื้ออ่อนบ้าง ปลาเค้าบ้าง เนื้อดีทั้งนั้น ขณะที่ไปเห็น หลายังดิ้นอยู่บนอากาศ ไอ้เบ็ดนี้มันวางอยู่บนยอดไม้นี่ ระดับยอดไม้ ปลาดิ้นแด่วๆๆๆ แล้วเวลาปลดเบ็ดลงมา พอถึงดิน ปลาตายสนิทพอดี เอามาทำอาหารกินกัน เป็นอันว่าขรัวอีโต้มีสตางค์ 10 บาท ก็ซื้อเครื่องแกงเครื่องต้มอย่างอื่น ซื้อผักซื้อหญ้ามาผสมกัน หลวงพ่อปานมีปลาผสมกันไปได้

    เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของอภิญญาสมาบัติ ยากนักที่จะได้ดู เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ตอนี้ก็จบแค่นี้แหละ มันไม่มีอะไร เอาเรื่องจริงมาเล่าสู่กันฟังตามที่เคยเห็น
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๙.ใครเลี้ยง

    หลวงพ่อปาน ตอนที่ท่านไปเที่ยวปักษ์ใต้ถึงนครศรีธรรมราช ตอนนี้ขณะที่เดินทางไปถึงจังหวัดประจวบ ไปพักที่อำเภอทับสะแก ระยะเวลาที่ไปถึงก็ประมาณ 5 โมงเช้า ตอนนั้นรถไฟมันเป็นระยะๆ ไปนอนที่จังหวัดเพชรบุรี แล้วเช้ามืดรถไฟก็ไปต่อ สมัยนั้นมีทั้งรถโดยสารและรถสินค้าก็ไปกันแบบประเภทถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง บางสถานีก็จอดเป็นชั่วโมงๆ เพราะมีสินค้ามาก พอไปถึงอำเภอทับสะแกก็ปรากฏว่าเวลาประมาณ 4 โมงเช้า ไอ้ตลาดเตลิดมันก็ไม่มีสมัยนั้น

    มีโรงร้านขายอาหารประเภทที่เรียกได้ว่ากินได้ก็กินกินไม่ได้ก็กิน พระที่ไปด้วย ฆราวาสที่ไปด้วยประมาณสัก 30 คน เข้าไปพักที่วัดอะไร อำเภอทับสะแก วัดกลางหรือวัดอะไร จำชื่อไม่ได้ถนัด เวลานั้นกำลังสร้างโบสถ์ ยังค้างเติ่งอยู่ ไม่ใช่หลวงพ่อปานไปสร้าง พระอะไร พระยัง พระเฮ็งอะไรก็ไม่ทราบ ไปสร้าง ทีแรกคิดจะช่วยแกเหมือนกัน แต่แกคุยว่าปีเดียวของแกเกือบเสร็จ ถ้าสองปีก็เรียบร้อย ถ้าคนเก่งเสียแล้วก็ช่วยไม่ลง เลยไม่ช่วย นี่ค้างเติ่งมาถึงบัดนี้

    ไปนอนอยู่ที่วัดนั้น ทุกคนก็ปรึกษากันว่าวันนี้พวกเราถือเอกากันแน่ ตอนเช้าเราสมาทานอาหารมาในรถไฟ ก็ล่อข้าวฝัดประเภทที่เรียกว่า กินได้ก็กิน กินไมได้ก็กินคนละจาน แล้วเมื่อลงจากรถไฟแล้วตอนเพลงวันนี้ไม่มีทางที่จะได้กินข้าว อดแน่ จะไปดูบ้านช่องที่ไหนก็ไม่มี มีเหมือนกันก็ห่างๆ กัน ไม่คับคั่งเหมือนสมัยนี้ แล้วจะไปดูร้านอาหารแล้วก็ พุธโธ่เอ๋ย ไม่ใช่ร้านสำหรับที่พวกเราจะซื้อกินเลย ถ้าเราจะกินกันทุกคน เขาก็ไม่มีวันจะขาย มีก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอยู่ร้านหนึ่ง ไปดูเส้นก๋วยเตี๋ยวก็นิดเดียว เพราะว่าเขาขายได้วันละไม่มาก เป็นอันว่าคิดว่าอดกัน

    เมื่อพวกเราปรึกษากันหลวงพ่อปานท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าประเดี๋ยว ฉันขอโอกาสนอนสักประเดี๋ยวถามเจ้าวัดว่าห้องว่างๆ มีไหม จะขอนอนพักผ่อนสักหน่อย ท่านเจ้าวัดก็บอกว่ามี แล้วท่านก็สั่งเจ้าวัดว่าเรื่องอาหารการบริโภคทั้งพระทั้งฆราวาส ให้เป็นภาระของผมเอง ท่านก็เข้าไปจำวัดในห้องเงียบประมาณสัก 10 นาทีเศษๆ ปรากฏว่ามีสตรีคนหนึ่งอายุประมาณ 50 ปี นุ่งผ้าลายสีเหลือง ใส่เสื้อสีอะไร อ๋อใส่เสื้อสีชมพูอ่อนๆ ห่มผ้าสไบเฉียง แล้วก็ท่าทางเรียบร้อยเป็นคนสวยจริงๆ แก่มากแล้วนะ แก่แล้วแต่รู้สึกว่าท่าทางเป็นคนสวยเป็นผู้ดีมาก

    เข้ามาถึงก็มานั่งยกมือไหว้ถามว่า ได้ยินข่าวว่าหลวงพ่อปานท่านมารึ นี่ความจริงพวกเราไปถึงประมาณ 15 นาทีเท่านั้น ถามว่าคุณโยมอยู่ทีไหนละจ๊ะ แกบอกว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกจ้ะ อยู่ที่อื่น มาจากที่อื่น ถามว่าอยู่ที่ไหน แกก็ไม่ได้บอกว่าอยู่กรุงเทพฯ แต่ท่าทางไม่ได้อยู่บ้านนอก แกถามว่าหลวงพ่อปานมาใช่ไหม ตอบว่ามา เวลานี้กำลังจำวัด แกก็ถามว่าคนที่มาทั้งหมดทั้งพระทั้งคนประมาณเท่าไหร่ บอกว่าทั้งพระทั้งคนนี่ประมาณ 30 คนเศษๆ แกก็ถามว่าเวลาเท่าไร ก็ตอบว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็เพลโยม แกเลยบอกว่าทัน พูดเฉยๆ ว่าทัน แล้วแกก็ลากลับ

    พอเวลา 11 นาฬิกา พอดีมีคนลูกน้องเป็นผู้หญิงล้วนๆ ไม่มีผู้ชายเลย แล้วท่าทางก็เป็นคนบ้านนอกทำท่าเหมือนบ้านนอก แต่ว่าหน้าตาดี แจ่มใสทุกคนผิวพรรณดีมาก หาบอาหารกันมาอย่างหนัก มีขนมจีน มีกับข้าว มีข้าว มีอะไรต่ออะไรเยอะแยะ เอามาถวายหลวงพ่อปานกับพระ แล้วชาวบ้านก็กิน กินแล้วยังไม่หมด แกบอกว่าส่วนที่เหลือมากนี่เอาไว้ตอนเย็น แกบอกว่าอุ่นเลี้ยงคนตอนเย็น

    พักอยู่ที่นั่น 3 วัน โยมคนนั้นก็รับภาระธุระ เลี้ยงคนเลี้ยงพระตลอด 3 เวลา พอวันจะลากลับ หมายความว่ารุ่งขึ้นไปจะไป ตอนเย็นก็ต่างคนต่างลาแล้ว เมื่อแกกลับไปแล้ว ก็ถามเจ้าวัดว่าผู้หญิงคนนี้ บ้านเขาอยู่ที่ไหน เจ้าวัดก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นเลย ถามญาติโยมแถวนั้นที่เอาอาหารมาถวายและมาคุยด้วยก็ไม่มีใครรู้จัก แล้วถามว่าอาหารที่แกนำมานี่นะ ใครเคยสังเกตบ้างไหม ว่าแกไปเอามาจากไหน ก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน รสอาหารก็ไม่ใช่รสอาหารของคนมือบ้านนอกเลย เรียกว่าเป็นรสอาหารชาวตลาดหรือชาวกรุง

    นี่รสมันไม่เหมือนกัน อาหาร แล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลก คุยกันไปคุยกันมา หลวงพ่อปานท่านก็ไม่บอก ท่านเฉยเสีย จนกระทั่งกลับมาถึงวัดก็กราบเรียนถามท่าน เรียนถามว่าหลวงพ่อขอรับ ผู้หญิงคนนั้นคือใคร ท่านก็เลยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน ถามว่าใคร ท่านก็บอกว่าเป็นเทวดา ถามว่าเขามาได้ยังไง ท่านก็เลยบอกว่าเขาเห็นว่าพวกเราจะอด เขาก็เลยนำอาหารมาถวาย

    ต่อจากนั้นไปท่านก็เลยสอนว่า พวกเธอน่ะ จงทำศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้ตั้งมั่น ทำวิปัสสนาญาณให้แจ่มใส อย่ามีคามโลภ อย่ามีความโกรธ ความพยาบาทอย่าหลง คิดว่าตัวจะไม่ตาย อย่าเมาในชีวิต อย่าเมาในทรัพย์สิน อย่าเมาในกาลเวลา เท่านี้นะ เทวดาเขาสงเคราะห์ ท่านพูดเท่านี้ก็เป็นอันว่า จบเกมเรื่องนี้กัน
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๐.เด็กตายในครรภ์
    เอาเรื่องอัศจรรย์อีกนิดหนึ่ง

    เวลานี้คนมีครถ์ถ้าเด็กตายในท้อง เขาก็ผ่าท้องกัน แต่ว่าสมัยนั้นวิชาหมอของหลวงพ่อปาน มีดหมอมันก็ไม่คม ผ่าท้องมันก็ไม่เข้า เฉือนใครก็ไม่เข้า ตานี้ทำยังไง ถ้าหากว่ามีคนตั้งครรภ์ปรากฏว่าเด็กตายในท้อง

    ท่านทำยังไงทราบไหม ท่านก็เอาด้ายไจ ด้ายที่เป็นไจมาจับเป็นมงคลเล็กๆ แล้วก็ม้วนๆ เข้าผสมกับน้ำมนต์ เอาใส่ไปในปาก แล้วให้คนกินน้ำมนต์กลืนด้วยลงไป แม่ของเด็กน่ะ กลืนน้ำมนต์ลงไปแล้ว กลืนด้าย สักประเดี๋ยวเดียวปรากฏว่าเด็กจะคลอดออกมาจากครรภ์ แล้วเชือกมงคลนั้นจะคล้องคอเด็กออกมาด้วย

    นี่วิชาแบบนี้ท่านทำให้ปรากฏเป็นปกติ ถ้าปรากฏว่าตายในท้องละแบบนี้ทุกราย แล้วออกก็ไม่ยาก แม่ไม่มีอันตราย ไม่ต้องผ่ากัน เรียกว่าความรู้ในสมัยนั้นวิชาแพทย์ยังไม่รุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ก็เลยต้องเล่นกันลุ่นๆ แบบนี้แหละ หมายความว่าเอามงคลเข้าไปสวมคอเด็กที่ตายในท้องให้มันออกมาไม่ต้องผ่า ผ่าก็ผ่าไม่ได้เพราะไม่มีความรู้จะผ่า เรื่องนี้เกิดได้จากวิธีการและอำนาจของสมาธิ
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๑.ทำเหล็กอ่อน

    เอาเรื่องของหลวงพ่อปานอีกนิดหนึ่ง เหล็กนี่ท่านทำให้อ่อนได้ของแข็งทำให้แข็งได้เคยทำให้ดูบ่อยๆ บางคราวพวกเราตัดเหล็กจะทำการก่อสร้าง ใช้กุญแจดัด มีวันหนึ่งเป็นวันสำคัญมาก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โตมาก วันนั้นใช้เหล็ก 8 หุน จะทำเสาของโบสถ์ แล้วจะทำคานของโบสถ์ 2 อย่างทั้งเสาทั้งคาน ท่านไม่ยอมให้ใช้เหล็กหกหุนเจ็ดหุนอะไร ใช้เหล็ก 8 หุน เอาขนาดหนัก ทำอะไรแล้วก็กลัวพัง ไอ้กุญแจสำหรับตัดเหล็ก

    ก็ปรากฏว่าทางวัดสุธาโภชน์ เขาขอยืมไปดัดเหล็ก 8 หุน พวกเราก็วุ่นวายกันซี ตอนเช้าร้องว่าที่พวกเราจะดัดเหล็ก 8 หุน กันนี่ แล้วกุญแจมันไม่มีนี่ จะว่ายังไงกัน เอ้าใครไปเอากุญแจซิ ความจริง ถ้าจะเดินไปวัดสุธาโภชน์ มันก็ไกล ทั้งไปทั้งกลับต้องใช้ 2 ชั่วโมงพอดี เอะอะโวยวายกันอยู่

    หลวงพ่อปานก็เดินลงมา ความจริงตอนเช้า ท่านไม่เคยเดินลงมา ท่านจำวัด แต่วันนั้นคงจะรู้ว่าพวกเรายุ่งกันเข้าแล้ว เพราะไม่มีกุญแจดัดเหล็ก ท่านก็ถามว่าเรื่องอะไรกันล่ะ ก็กราบเรียนท่านว่ากุญแจดัดเหล็กไม่มีขอรับ กุญแจสำหรับดัดเหล็ก 8 หุนนี่นะ ไปทำโบสถ์ที่วัดสุธาโภชน์เอาไปทำที่นั่น ยังไม่ได้เอากลับมา วันนี้เราจะดัดเหล็กเสาโบสถ์กัน หาไม่ได้ เห็นจะต้องใช้พระไปเอากุญแจที่โน่น

    ท่านก็เลยบอก ไม่ต้องหรอกคุณ ไม่ต้องหรอก ใช้มือก็ได้ มันไม่จำเป็นอะไรหรอก ถ้าไอ้กุญแจมันไม่มีเสียจริงๆ นี่น่ะ แล้วเราจะใช้อะไรกัน เมื่อมันไม่มีจริงๆ ถ้าไม่มีใครเขาขายละ เราก็ทำกันไม่ได้ซี เราทำได้ไม่ต้องใช้มือดัดเอา เลยกราบเรียนว่าหลวงพ่อขอรับ ผมใช้ค้อนยังไม่ไหวเลย ไอ้เหล็ก 8 หุน นี่มันใหญ่ ท่านบอกว่าช่างมันเถอะ มันใหญ่มันเล็กไม่สำคัญ ดัดมันได้ก็แล้วกัน

    ท่านก็บอกว่าไป ไปเอาเหล็กมา ก็เอาเหล็กมาขึ้นที่ไว้สำหรับดัด ท่านก็บอกว่าเอามือง้างเข้า ที่ไหนได้ท่านผู้ฟัง วันนั้นเหล็กอ่อนจริงๆ ง้างแบบสบายๆ ตอนดึงให้เหล็กตรงมันก็ตรง จะให้คดให้งอไปตรงไหนมันก็ตามใจทุกอย่าง คล้ายๆ กับเราดัดเทียนอ่อนๆ ท่านก็เลยบอกว่า นี่ เห็นไหมล่ะ มันไม่ยากหรอกคุณเอ๊ย ไอ้ของแข็งเราก็ทำมันอ่อนได้ อ่อนเราก็ทำให้มันแข็งได้ นี่มันไม่ยาก

    ก็เลยกราบท่านลงไปที่เท้า พระประมาณสามสี่สิบ ไม่ได้กราบองค์เดียวนะ กราบหมดทุกคน กราบลงไปกับพื้นนั่งพนมมือแต้ ก็ กราบเรียนท่านว่า ทำอย่างไร ท่านก็บอกว่าพลังอะไรมันจะสูงไปกว่าพลังจิตน่ะไม่มี พลังจิตนี่มันเป็นพลังใหญ่มาก เหนือพลังใดๆ ทั้งหมด ฉะนั้นถ้าหากว่าเรามีพลังจิต ฝึกฝนพลังจิตไว้ดีแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ ก็เลยกราบเรียนท่านว่านี่เป็นอำนาจของอภิญญาใช่ไหม ท่านบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะตอบ เธอรู้กันเอาเองก็แล้วกัน

    เรื่องเกล็ดๆ ของหลวงพ่อปานนะมีมากกว่านี้เยอะ มาเล่าสู่กันฟังแล้วก็ยับยั้งกันไว้ แค่นี้ก็แล้วกันนะ
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๒.เรื่องของหลวงพ่อจง หมอดู

    คราวหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพไปแล้ว อาตมาก็ไปวัดหลวงพ่อจงบ่อยๆ เพราะหลวงพ่อจงท่านเคยพูดอยู่เสมอ ว่าพวกเราบวชอย่าหวังเกิดกันเลยนะ ปล่อยให้มันดับกันไปเลย อันนี้ชอบใจมาก สมัยที่เรายังมีชีวิตอยู่ ใช้หนี้เขาให้หมด หมายความว่า ไอ้หนี้ความชั่วใดๆ ที่เราสร้างไว้ในอดีตชาติมานานจนชาติปัจจุบัน ใช้มันเสียให้หมดชาติหน้าจะได้ไม่ต้องใช้

    วันนั้นไปนั่งคุยอยู่กับท่าน มีแขกมาก ก็พอดีภรรยาของกำนันมาก ข้างวัดของท่าน เป็นลูกศิษย์ท่านนั่นแหละ กำนันมากก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจงไปซื้อยาสูบ ไอ้ยาตั้งน่ะ ทางจังหวัดเหนือไม่ทราบว่าจังหวัดอะไร เอาเรือยนต์ 2 ชั้นไป แกมีเรือยนต์ 2 ชั้นอยู่ลำหนึ่ง ไปแล้วก็กลับเกินเวลา ควรจะกลับถึงบ้านหลายวันแล้ว แต่หายไป ทางภรรยาก็สงสัยคิดว่าจะมีอันตราย ก็ไปหาหลวงพ่อจงดู ถามว่าหลวงพ่อเจ้าคะ สามีของดิฉันไปซื้อยาที่เมืองเหนือนานแล้ว น่าจะกลับนานแล้วทำไมจึงยังไม่กลับ เมื่อไรจะกลับ

    หลวงพ่อจงก็หยิบหนังสือพรหมชาติขึ้นมา เปิดปั๊บ ถึงพอดี ท่านก็ดูกำนันมาก ท่านอ่านว่ายังไง วิสิทธิการิยะ เวลานี้ชาวบ้านเขามาขอดูกำนันมาก ว่าเดินทางไปทำไมจึงยังไม่กลับ แต่วันนี้เป็นวันศุกร์เป็นมหาฤกษ์เป็นฤกษ์ใหญ่ ตามตำราท่านทายว่าเวลานี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว แล้วท่านก็วางหนังสือ บอกว่านี่ ตำราเขาบอกว่ากำนันมากนะ เอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้วนะ ลองไปดูซิตำราเขาจะพูดถูกหรือพูดผิดก็ไม่ทราบ ไม่รู้นะ ฉันดูตามตำรา

    พอเขาไปแล้ว เวลาท่านวางก็เอากระดาษคั่นไว้ ท่านก็อาจจะรู้ว่าอาตมาเป็นคนขี้สงสัย เมื่อเวลาเมียกำนันมากไปแล้ว ก็หยิบหนังสือขึ้นมาดูดูแล้วมันก็ไม่มีนี่ เขาไม่ได้เขียนไว้ตามนั้น เรื่องราวในหน้ากระดาษที่ท่านพลิกออกมาอ่านน่ะ มันเรื่องโน้น เรื่องปลูกผักปลูกหญ้าอะไรก็ไม่รู้ ท่านก็อ่านไปได้ว่าสิทธิการิยะวันนี้เป็นฤกษ์ดี ท่านกล่าวว่าวันนี้กำนันมากเอาเรือมาจอดอยู่ที่บ้านแล้ว มันไม่มีนี่ ตำราที่ไหนจะไปรู้ว่ากำนันมากกำนันน้อย เลยถามว่า หลวงพ่อตำราเขาไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้นนี่ มันเรื่องอื่น ท่านก็เลยบอกว่า ฉันเป็นคนแก่นี่ อ่านไปยังงั้น ตามันเห็นไปยังงั้นก็อ่านไปยังงั้นไม่รู้ว่าหนังสือมันเขียนว่ายังไง

    คุยกับท่านอยู่เดี๋ยวเดียว ลูกชาย กำนันมากก็มา บอกว่าคุณพ่อกลับมาแล้วขอรับ หลังจากคุณแม่มาหาหลวงพ่อประเดี๋ยวเดียวยังไม่ทันจะกลับ ลูกก็มาบอกว่าเวลานี้พ่อเอาเรือมาจอดคอยอยู่หน้าบ้านจริงๆ

    เป็นอันว่าตำรานั้นแม่น นี่ท่านทราบไหมว่า หลวงพ่อจงท่านดูแบบไหน ก็ไม่ตอบดีกว่ากระมัง เป็นเรื่องของวิชาสามหรืออภิญญา 6 เท่านั้นที่จะรู้
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๓.ให้หวยสังกะสี

    หลวงพ่อจงนี่ ความจริงให้หวยแม่น แต่คนรับหวยไปนั่นแหละ เอาไปเล่นได้ดีหรือไม่ได้ดีก็ช่าง วันหนึ่งก็มีงานทำบุญกันที่คลาดบ้านแพน ที่อำเภอเสนา เขาก็นิมนต์อาตมาไปด้วย หลวงพ่อจงด้วย อยู่กันคนละวัด แต่ความจริงหลวงพ่อจงท่านอยู่ไกลกว่ามาก ท่านไปถึงก่อนเสมอ เวลาที่เขาทำบุญ หลวงพ่อจงมีอาวุโสมากที่สุด นั่งข้างหน้าอาตมาก็มีอาวุโสน้อยที่สุด นั่งปลายแถว อย่างนี้เป็นปกติ และนอกจากนั้น พระคณาธิการก็มีอายุมากๆ กว่าอาตมาทั้งนั้น

    เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก่อนที่จะยถาสัพพี มีคนหนึ่งเข้าไปขอหวยหลวงพ่อจง เจ้าบ้านนั่นแหละ เป็นร้านค้า เข้าไปขอหวยหลวงพ่อจง แล้วเขาเองก็เป็นร้านค้าสังกะสีเสียด้วย เขาก็บอกว่าหลวงพ่อขอรับ การค้ามันไม่ค่อยดี อยากจะขอหวยสักสองสามตัว หลวงพ่อท่านก็บอกว่าหวยท่านไม่มีหรอก ท่านไม่รู้หรอก ไอ้เรื่องหวยน่ะ ที่วัดท่านน่ะขาดสังกะสีอยู่กี่แผ่นก็ไม่ทราบ ท่านพูดจำนวนร้อย แล้วก็มีเศษสิบเศษหน่วยเสร็จ

    ไอ้เลขมันก็เป็น 3 ตัว ตามจำนวนนั้น อีตาแป๊ะนั่นก็เลยบอกว่าถ้าผมถูกหวยนะขอรับหลวงพ่อ ผมจะซื้อสังกะสีจำนวนเท่านี้ไปถวายหลวงพ่อ เอาไปถวายโดยไม่ต้องเรี่ยไรใครขอรับ ขอให้หลวงพ่อให้หวย ท่านก็บอก ไม่มีหวย หวยท่านไม่มี แต่สังกะสีเท่านี้ท่านยังซื้อไม่ได้แล้วท่านจะรู้หวยได้ยังไง อาตมาอยู่ข้างท้ายก็รำคาญปากเต็มที เลยเรียกเถ้าแก่คนนั้นมาบอก นี่มานี่แน่ะ แกก็มาหา ก็พูดดังๆ บอกไอ้เรื่องหวยน่ะ อย่าไปขอหลวงพ่อท่านเลย ถามว่าจำได้ไหมว่าหลวงพ่อท่านขาดสังกะสีอยู่กี่แผ่น

    เถ้าแก่ก็จำได้ว่าขาดอยู่ 600 แผ่นเศษๆ ถามว่าเศษเท่าไร แกจำได้ ก็เขียนเลขลงไป ก็เลยบอกว่าเอายังงี้ก็แล้วกัน เมื่อหลวงพ่อท่านต้องการสังกะสี เราก็เอาเลขสังกะสีนี่แหละไปซื้อหวย ถ้าหากว่าเราจะได้สังกะสีไปถวายหลวงพ่อจริงๆ เลขสังกะสีอันนี้มันก็เป็นหวย มันก็บันดาลให้ถูก เพราะว่าเราจะทำบุญ เราจะซื้อเท่าไหร่ก็ช่าง แต่เมื่อได้สตางค์แล้วก็เอาไปซื้อสังกะสีถวายหลวงพ่อตามจำนวนที่ท่านต้องการ หลวงพ่อจงก็หัวเราะคิกๆ คิกๆ ตามปกติท่านแบบนั้น ในที่สุดพอยถาสัพพีเสร็จก็กลับ รุ่งขึ้นหวยก็ออก ปรากฏว่าชาวอำเภอเสนาถูกหวยกันเป็นตับ เลขท้ายสามตัว

    พอถูกหวยเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อเจ้าประคุณอีตาแป๊ะก็ขนสังกะสีในบ้านแกนั่นแหละ ตามจำนวนที่หลวงพ่อจงบอกไว้ เอาไปถวายหลวงพ่อจง พอไปถึงขนขึ้นวัด ไอ้วัดของท่านก็ใกล้เมื่อไหร่ เดินตั้งสองสามเส้นจากท่าน้ำกว่าจะถึงวัด มีถนนยาว ขอโทษไม่ใช่สองสามเส้น เห็นจะเป็นห้าเส้นเศษ หรือจะกี่เส้นก็ไม่ทราบ มันไกลจริงๆ ท่านหัวเราะชอบใจใหญ่บอกว่าวัดท่านไม่ได้มุงสังกะสี วัดของท่านมุงกระเบื้อง เอาสังกะสีมาทำไม ตาแป๊ะแกก็เลยบอกว่า ก็หลวงพ่อบอกว่าต้องการสังกะสี

    ท่านก็หัวเราะชอบใจใหญ่ ถามว่าเถ้าแก่ขออะไรฉันล่ะ เขาบอกว่าขอหวย ท่านก็ถามว่าไอ้สังกะสีน่ะมันจำนวนกี่แผ่น เขาก็บอกเป็นจำนวนหกร้อยแผ่นเศษ ท่านก็ถามว่ามันตรงกับอะไร เขาก็เลยบอกว่าตรงกับเลขท้ายรางวัลที่ 1 ท่านก็หัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่าฉันไม่ได้ให้หวยนะ ฉันพูดเรื่องสังกะสี แต่สังกะสีที่เถ้าแก่เอามาฉันไม่เอาหรอก เพราะว่าที่วัดนี้ไม่ได้มุงสังกะสี

    ท่านผู้ฟัง เวลาเหลืออีก 2 นาที สำหรับวันนี้เป็นอันว่ายุติลงแค่หวยสังกะสีของหลวงพ่อจงนะ สำหรับวันต่อไปคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ผู้ที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๔.หวยเรือ

    ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516 วันนี้มาคุยกันถึงเรื่องหลวงพ่อจงใหม่ ต่อจากเรื่องเก่า เมื่อวานนี้มาจบลงแค่หวยสังกะสี วันนี้ก็ต่อเรื่องหวย

    เรื่องหวยของหลวงพ่อจงตอนนี้ก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งพวกชาวจังหวัดพระนครเขาพากันไปทอดผ้าป่าถวายหลวงพ่อจง ดูเหมือนว่าคราวนั้นจะได้เงินหมื่นกว่าๆ แล้วเขาก็เช่าเรือ บ.ข.ส. อะไร ของบริษัทสุพรรณขนส่ง เช่าเรือลำนั้นไป ก็ไปด้วยกันมาก เอาเรือจอดไว้หน้าท่า ความจริงหลวงพ่อจงไม่ได้ลงมาท่าเรือและจากกุฏิท่านก็มองไม่เห็นเรือ

    เวลาเขาทอดผ้าป่าเสร็จตามธรรมเนียมของคนไทย เรียกว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็แล้วกัน ตามธรรมเนียม ถ้าทำบุญแล้วก็อยากจะเห็นผลบุญในชาติปัจจุบัน ก็เลยขอหวยหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงท่านตอบว่ายังไง ท่านตอบว่าพระไม่มีหวยหรอก ตั้งแต่ฉันเกิดมานี่ พ่อแม่ฉันไม่ได้แจกหวยมาให้เป็นมรดก ฉันไม่มี ฟังคำพูดของท่านนะ แต่ท่านพูดเสียงเบาๆ ฟังไม่เกะกะหูเหมือนเสียอาตมาหรอก อาตมาน่ะมันเสียงเกะกะหู ท่านบอกว่าไม่มีหวย มรดกที่เป็นหวยพ่อแม่ไม่ได้ให้ไว้

    เวลาที่มาบวช พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้ให้หวยไว้เป็นมรดก ไม่มี แต่ว่าฉันเห็นไอ้เรือ บ.ข.ส. มันมาตายอยู่หน้าวัดลำหนึ่ง ก็ไปเอาที่เรือ บ.ข.ส. ซี ท่านพูดเท่านั้น แล้วก็เป็นอันว่าพวกชาวผ้าป่าก็ลากลับ ไม่ใช่ลากลับด้วยความผิดหวัง ดีใจ เขาว่า วันนี้หลวงพ่อจงให้หวย อาตมาเดินสวนทางเห็นเขายิ้ม ถามว่าหลวงพ่อให้อะไรล่ะ ไปขอหวยท่าน เขาว่ายังงั้นท่าบอกว่าเรือ บ.ข.ส. มันมาตายอยู่ที่หน้าวัดลำหนึ่ง ท่านพูดเท่านี้

    ก็เลยถามว่าเรือของคุณหมายเลขอะไร เขาบอกว่าเช่ามา ยังไม่ได้ดูเลข ก็เลยย้อนทางลงไปดูกับเขาว่ามันเป็นเลขอะไร ก็จดหมายเลขเรือเข้าไว้ ถึงเวลาหวยออกจริงๆ ปรากฏว่าเลขท้าย 3 ตัวของเรือ ตรงกับรางวัลที่ 1 พอดี ไม่กลับ เรียกว่าไม่ย้อนไปย้อนมา เรียงกันตามลำดับ เป็นอันว่าวันนั้นชาวจังหวัดพระนครถูกหวยเพราะเรือ บ.ข.ส. หลายสตางค์

    หลังจากหวยออกแล้วไม่กี่วัน ปรากฏว่าเจ้าภาพคณะนั้นมาอีก เอาผ้าป่ามาถวายหลวงพ่อจงใหม่ แล้วก็ถามว่า ท่านบอกว่าคราวนี้เรือ บ.ข.ส. มันไม่ตายเสียแล้ว มันไม่ตายก็ไม่รู้จะเอาที่ไหน ไม่รู้จะไปเอาเลขที่ไหน เลิกกัน พวกนั้นก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าได้มากแล้ว ดูเหมือนว่าได้กันคนละมากๆ คนที่มาทอดผ้าป่าคราวนั้นที่ได้ไปจากหวยคราวนั้นน้อยกว่า 1 หมื่นบาทไม่มีทุกคน แล้วก็คนมาตั้ง 100 คนกว่านี่ คงล่อเข้าไปหลายสตางค์
    เรื่องนี้ก็ขอผ่านไป
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๕.ให้หวยคนลูกมาก

    ความจริงผู้หญิงคนนี้แกมีลูกมากจริงๆ มีลูกตั้ง 7 คนหรือ 8 คนไม่ทราบ ผัวไม่มี ความจริงผัวแกมีแต่แกตายเสีย แล้วแกก็ต้องรับภาระเลี้ยงลูก แกเป็นคนจน ไร่นาสาโท ก็ไม่มี น่าเห็นใจมาก ต้องรับจ้างเขา แต่ว่าการอยู่บ้านนอกก็รู้สึกว่าเบาหน่อย เพราะว่าน้ำไม่ต้องซื้อ ผักหญ้าไม่ต้องซื้อ ปลาไม่ต้องซื้อ หาได้เอง เหลือแต่ข้าว ข้าวแกก็เกี่ยวข้าวจ้าง ลูกคนโตก็เกี่ยวข้าวจ้าง รับจ้างเขา ลูกคนเล็กๆ ก็เก็บข้าวตก หรือว่าข้าวตามลานที่เขาไม่ต้องการ คือว่าข้าวปลายลานเขากวาดไปติดแกลบ เด็กก็ไปกวาดแล้วร่อนๆ พอได้ข้าวมาหุงสำหรับกิน

    มาปีหนึ่งน้ำท่วมมากเป็นฤดูน้ำมาก บ้านของแกน้ำจะท่วมพื้นอยู่แล้ว เป็นโรงกระต๊อบเล็กๆ อยู่แบบยัดเยียดกัน วันหนึ่งแกมาหาหลวงพ่อจง แกบอกว่าหลวงพ่อเจ้าคะ เวลานี้ก็เดือนสิบแรมๆ แล้วใกล้จะเดือน 11 ทุนรอนก็หมด จะเลี้ยงลูกเต้าก็ไม่มีทุน เงินที่จะซื้อข้าวก็ไม่มี สำหรับกับข้าวก็หาเอา บางอย่างเท่านั้นที่ต้องซื้อ เช่น พริก กะปิ หอม กระเทียมไว้ เจ้าพริกนี่ ความจริงฤดูแล้วแกปลูกของแก ผักหญ้าแกปลูก ลูกมากต้องขยัน เวลานั้นมันถึงเวลาเครียดมาก ระหว่างเดือน 10 ต่อเดือน 11 นี่ชาวนาแย่

    ข้าวใหม่ยังไม่ออกข้าวเก่าก็หมดไป แกไปขอหวยหลวงพ่อจง บอกฉันขอหวยสักคราว ขอหลวงพ่อให้ให้ถูกด้วย สตางค์ฉันมีอยู่ไม่มาก หลวงพ่อจงสงสาร เลขเขียนเลขให้ 3 ตัว บอกเอาไปเล่นคนเดียวนะ อย่าให้คนอื่นเขา จะได้เอาเงินเลี้ยงลูก พอแกไปแล้วเห็นจะนึกขึ้นมาได้ ตอนค่ำ นึกขึ้นมาได้ว่ายายผู้หญิงคนนี้แกคงจะมีลาภไม่มาก หลวงพ่อจงก็ลงเรือพายไปเองคนเดียว ตาท่านดีมาก กำลังก็ดี ไปถึงหน้าบ้านยายคนนั้น ก็เรียก อีหนูเอ้ย อีหนู ยายคนนั้นแกก็ออกมา ถามว่าหวยที่หลวงพ่อให้มาน่ะเอ็งเล่นแล้วหรือยัง

    ยายคนนั้นก็บอกว่าฉันไปหาหลวงพ่อกลับมาก็ยังไม่ว่าง ต้องหาอาหารเลี้ยงลูก ยังไม่ได้ซื้อ เข้าใจว่าจะซื้อในวันพรุ่งนี้ ท่านก็บอกว่าดีแล้วลูก ยังไม่ซื้อน่ะดีแล้ว คราวนี้ลาภของเอ็งไม่มีมากนะลูกนะ ถ้าจะซื้อละก็ซื้ออย่าให้เกิน 5 บาทนะ ถ้าเกิน 5 บาท มันเกินวาสนาบารมีละก็ ไม่ถูกหรอก ต้องเล่นเพียงแค่ 5 บาท มันจึงจะถูก

    ยายคนนั้นก็รับคำแล้วก็กราบท่าน พอท่านจะกลับท่านก็สั่งว่าอย่าไปบอกใครเขานะ เลขนี้บอกใครเขาไม่ได้ มันเป็นลาภของเอ็งคนเดียว แล้วเล่นได้เพียง 5 บาท เท่านั้น ถ้าซื้อเกิน 5 บาท ถ้าเลขออกเอ็งจะถูกโกง คือว่าลาภของเอ็งมันมีน้อย ไอ้ลาภเก่าก็จะหมดไป ลาภใหม่มันจะไม่ได้ก็ช่างเถอะ เราเล่นตามบุญวาสนาบารมี ยายคนนั้นก็รับคำ ท่านก็กลับ

    ปรากฏว่าเวลาหวยออกจริงๆ ยายคนนั้นถูกพอดี แล้วก็เล่น 5 บาท ตรงตามท่านแล้วก็มารายงานให้ทราบ เอาเงินบางส่วนมาถวายให้ท่าน ท่านบอกไม่ต้องๆ เอ็งตั้งใจมาขอหวยข้านี่ ตั้งใจจะเอาเงินไปเลี้ยงลูก เอาเงินไปเลี้ยงลูกเถอะไป กว่าน้ำจะยุบ ข้าวใหม่จะออกมันก็อีกนาน เอาไปทำทุนเข้าไว้ แล้วก็อย่าพูดไปนะว่าเราถูกหวย ประเดี๋ยวใครเขาจะมาแย่งเอา
    เรื่องก็มีเท่านี้ เรื่องต่อไปหลวพ่อจงให้หวยเด็ก
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๖.ให้หวยเด็ก

    คือเจ้าเด็กคนนี้ เมื่อเรียนจบ ป. 4 แล้วก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน แค่ ป. 4 นี่พ่อแม่ยังไม่มีธุระจะใช้ ก็ปล่อยให้มาอยู่กับหลวงพ่อจง เป็นเด็กขยันมีนิสัยดีมาก จริยาเรียบร้อย ใครไปใครมาก็ต้อนรับขับสู้ดี จัดอาสนะที่นั่งให้ดี เรียกว่าสนใจกับแขกผู้ไป รู้สึกว่าเป็นเด็กดี หลวงพ่อจงใช้ให้นวดทุกวัน

    วันหนึ่งเห็นท่าว่าเด็กคนนี้กับพ่อแม่ของเด็กจะมีลาภ ขณะที่เด็กนวดๆ อยู่ ท่านก็ถามเด็กว่าเอ็งเรียนชั้นไหน เจ้าเด็กก็บอกว่าเรียน ป. 4 ถามว่าคิดเลขออกไหม เด็กตอบว่าพอคิดได้ ท่านก็บอกว่าฉันซื้อซุงมานะ ราคาจริงๆ มันเท่านี้นี่ แล้วก็ฉันชำระเงินเขาไปแล้วเท่านี้ นี่มันเหลือเท่าไหร่ ความจริงมันก็เหลือเป็นจำนวนหลักร้อย เด็กมันคิดได้มันบอกว่าเงินเหลือเท่านี้ครับ หลวงพ่อ ยังเป็นหนี้เขาเท่านี้ เออ เงินเท่านี้ก็หายากนะ

    พ่อน่ะไม่ได้เรี่ยไรอะไรกับเขา เขาเรี่ยไรกันเขาบอกบุญกัน พ่อก็ไม่ได้บอกบุญเรี่ยไร สุดแล้วแต่ใครเขาให้ เขาให้มาก็กินบ้างใช้บ้าง เหลือก็ใช้หนี้เขาไป ความจริงหลวงพ่อจงก็เป็นยังงั้นจริงๆ เวลาจะสร้างอะไร หลวงพ่อนิลน้องชายเป็นช่าง แล้วเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างในเขตวัดติดกัน สร้างทั้งสองวัด หลวงพ่อนิลก็ไปสั่งของมา

    แต่ว่าหลวงพ่อจงเป็นหนี้ หนี้มาตกอยู่กับหลวงพ่อจง หลวงพ่อนิลสั่งของมาสร้างวัด ความจริงพระในอยุธยานี่ หรือจังหวัดสุพรรณ อ่างทอง หรือจังหวัดสิงห์บุรี นครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงครามอะไรก็ตาม รู้สึกว่าเป็นพระนักเสียสละมาก โดยมากไม่ค่อยเก็บเงินกัน รวยมาก แต่ว่ารวยหนี้ แต่ว่าที่เขาแอบๆ เอาก็มีเหมือนกันนา เป็นธรรมดา ไอ้เจ้าพวกแกะดำนี้มันอดสิงเข้ามาในฝูงแกะขาวไม่ได้ มันก็มีอยู่มั่ง แต่ไม่มาก ฉะนั้นวัดในเขตนั้นๆ จึงเจริญมาก

    เป็นอันว่า สังเกตได้ว่า วัดไหนถ้าสมภารรวย วัดแย่ ถ้าวัดไหนแน่ๆ คือวัดสวย สมภารอาน สังเกตได้นะว่าวัดไหนถ้าสวยก็ไปเถอะ ประเป๋าสมภารแย่ ถ้าหากว่าวัดแย่สมภารรวย แต่ก็มีบางวัดเหมือนกัน ท่านสมภารเอาเปรียบชาวบ้านก็มี สร้างทันตาเห็น แต่ทว่าเงินส่วนตัวไม่ออก เก็บหมด แนะนำให้ชาวบ้านเขาทำบุญ อย่างนี้ก็พอมีอยู่บ้าง แต่ไม่มาก มีปริมาณน้อย ในเขตตามที่กล่าวมาน่ะ อ้าว นี่พูดเรื่องอื่นเพลินไปอีกแล้ว เป็นอันว่าหลวงพ่อจงไมใช่นักก่อสร้าง แต่ว่าเป็นนักชำระหนี้ หลวงพ่อนิลน้องชายก่อสร้างดี แต่หนี้ไม่ปรากฏ เพราะอะไร เพราะหนี้ไปอยู่กับหลวงพ่อจงหมด หลวงพ่อนิลเลยไม่มีหนี้

    ทีนี้เมื่อเด็กได้ฟังอย่างนั้นมันก็คิดว่าไอ้เจ้าเลขที่เหลือน่ะ มันเป็นเลขหวย เพราะหนี้สินมันเหลือเป็นหลักร้อย พอนวดเสร็จกก็กลับเข้าบ้าน ไปรายงานกับพ่อและแม่ ท่านพ่อท่านแม่ก็เอาเงินไปจ้ำหวยใต้ดินเข้าให้ สองร้อยบาทตามหมายเลขที่ลูกชายมาบอก ก็เป็นอันว่าถูกหวย แล้วก็เอาเงินมาใช้หนี้ให้หลวงพ่อจง หลวงพ่อจงถามว่าใช้หนี้อะไร เขาก็บอกว่า เห็นหลวงพ่อบอกลูกชายบอกว่า ซื้อซุงมาแล้วก็ชำระหนี้ไปเท่านี้แล้ว ยังเป็นหนี้อยู่เท่านี้ กระผมก็เอาเงินมาใช้หนี้ค่าซุง

    ท่านก็เลยบอกว่าซุงฉันยังไม่ได้ซื้อนี่ ซุงที่วัดนี้ไม่มีหรอก ยังไม่ได้ซื้อมา แล้วราคามันเท่าไรก็ไม่รู้ เขาบอกว่าวันนั้นเห็นบอกกับลูกชายเขา ลูกชายเขานวด ท่านก็เลยบอกว่าท่านเป็นคนแก่นี่ ก็พูดไปส่งยังงั้นแหละ บางทีจะเผลอไปน่ะ พูดเรื่อยเฉื่อยไปคิดว่าจะซื้อซุง แต่ว่ายังไม่ได้ซื้อ แล้วก็ธุระที่ใช้ซุงมันก็ยังไม่มี เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาเงินกลับไปบ้านก่อน ถ้าหากว่าฉันซื้อซุงเมื่อไร ถ้าสตางค์เหลือละค่อยมาให้ฉัน

    เป็นอันว่าวันนั้น หลวงพ่อจงตั้งใจให้หวยเด็ก
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๗.ให้หวยคนที่สีกุก

    สีกุกกับวัดหน้าต่างนอกไม่ไกลกันนัก ห่างกันประมาณครึ่งกิโล นี่จะได้รู้กันว่าคนที่ไม่มีบุญวาสนาบารมีในการเล่นหวยน่ะ ถ้าไม่มีลาภสักการจริงๆ ที่จะพึงได้ มันก็ไม่ได้

    เรื่องการให้หวยและการรู้ห้วยนี่ มีนักวิพากษ์วิจารณ์กันมาก สำหรับอาตมาเอง เมื่อก่อนนี้ก็เป็นนักต่อต้านเหมือนกัน ไม่เชื่อเขา เมื่อสมัยที่เลขท้าย 3 ตัวออกมาใหม่ๆ ได้ยินข่าวว่าพระวัดนั้นให้หวย พระวัดนี้ให้หวย ก็สงสัยว่าเขาจะรู้ได้ยังไงเมื่อเลขหวยยังไม่ออก ก็อุตส่าห์วิ่งเรือตระเวนไปทั่วทิศทั่วทาง ไปในที่ต่างๆ ว่าพระอาจารย์องไหนให้หวยก็ไปขอท่าน ขอให้เขียนเลขมา บางอาจารย์ก็ถูกเพียง 2 ตัวบ้าง

    บางอาจารย์ก็ถูกตัวเดียว บางอาจารย์ไม่ถูกเลย บางรายก็ให้มาเป็น 2 ชุด 3 ชุด นี่แสดงว่าไม่รู้จริง ก็เลยเอาเรื่องแน่นอนอะไรไม่ได้ ในที่สุดก็ไปพิสูจน์หลวงพ่อเขียน หลวงพ่อเขียนวัดบางขุนเณร ท่านให้มา 20 งวด รางวัลที่ 1 เขียน 6 ตัว ตรงหมดทุกงวด แต่ว่ารับปากกับท่านว่าจะไม่เล่นก็ไม่เล่น เอามาดู นี่เรื่องหลวงพ่อเขียนยังไม่ถึง ทิ้งไว้ก่อนนะ มาว่ากันถึงหลวงพ่อจง

    เรื่องการให้หวยนี่นะ บรรดาท่านผู้ฟัง พระที่ได้อตีตังสญาณ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่ากันง่ายๆ ก็คือทิพยจักขุญาณ ถ้าได้แล้วนะ เขารู้หวยได้ แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่าคนที่มาขอเขาน่ะ จะถูกหรือไม่ถูก จะมีลาภหรือไม่มีลาภ ในเมื่อรู้หวยได้ก็ต้องรู้ใจคนได้ รู้วาสนาบารมีของคนได้ ถ้าคนที่ไม่มีลาภให้ไปตรงๆ เสร็จ พระมีความผิด ถ้าเป็นคนที่มีลาภ ให้ได้ แต่ว่าถ้ารู้ว่าเขาจะเล่นมากเกินไป ก็ต้องให้แบบพลิกแพลง ต้องให้คิด แล้วให้หลายๆ แบบ ต้องไปซื้อหลายๆ แบบ เงินจะได้น้อยลงมา

    หรือถ้าหากรู้ว่าเขาจะเล่นไม่เกินกำหนดกฎชาก็ให้ตรงๆ ได้ แล้วก็ถ้าหากว่าท่านสงสัย ว่าพระทำไมถึงไม่เล่นเอง อย่าลืมนะ ว่าการรู้หวยจะต้องตัดโลภะ ความโลภในจิตของตนออก ถ้าตัวเองมีความโลภทะเยอทะยานอยากอยู่ รู้ไม่ได้ แบบเดียวกับคนเห็นทรัพย์ใต้ดินเหมือนกัน ถ้ายังอยากจะขุดทรัพย์ใต้ดินอยู่ ก็ไม่มีทางเห็นได้ ถ้าหากว่ามีปฏิญาณในใจ มีสัจจะในใจว่าเราจะไม่รบกวนทรัพย์สินของเขา มันอยู่ที่ไหนเราก็จะเห็นได้ตามอัธยาศัย ที่ต้องการจะเห็น บางทีไม่ต้องการจะเห็นก็เห็นเลย เขาก็ชี้อวดเสียด้วยว่ามีทองเท่านั้นมีเงินเท่านั้น มีเพชร มีพลอยเท่านี้ นี่เป็นเรื่องของจิตบริสุทธิ์ เรื่องการเห็นหวยเขาก็เห็นได้ หลักสูตรในพระพุทธศาสนามี

    เคยเห็นลงหนังสือพิมพ์บ้าง พูดกันบ้าว่าถ้าพระรู้หวยจริงๆ แล้วก็จะต้องเรี่ยไรทำไม ทำไมไม่ซื้อหวยเล่นเสียเอง จะได้สร้างวัดให้มันสวย นี่ก็ว่ากันประเภทคนไม่มีความรู้ในเรื่องราวของพระพุทธศาสนาจริง ถ้าจะรู้ก็รู้ตามตำราว่าดะไปยังงั้น ศีล 5 ก็ไม่ครบ สรณาคมน์ก็ไม่ครบ คนประเภทนี้รู้จริงไม่ได้ คนจะรู้จริงได้ต้องเป็นคนมีศีล 5 ครบ มีสรณาคมน์ครบถ้วน แล้วก็มีอะไร มีนิวรณ์ 5 ระงับได้ตามอัธยาศัย สามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏ แต่ว่าการจะทำแบบนี้ได้ จิตโลภะ โทสะ โมหะ มันต้องบาง ถ้ายังหนาอยู่ไม่มีทาง ถ้ากิเลสยังท่วมตัวอยู่ เลยหัวไปนิดๆ ไม่มีทางเพราะกิเลสมันทับลูกตา บังลูกตาเสีย เหมือนกับคนเราเอาตัวจมลงไปในดินเลยศีรษะแล้วก็กลบเสียด้วย จะมองเห็นคนเดินบนภาคพื้นดินได้ยังไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าของเล็กๆ แล้วยิ่งไม่เห็นใหญ่

    ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คนเราถ้ามีกิเลสเลยศีรษะ มันทับลงมาหมด เหมือนกับดินที่มาทับคนหนาทึบไปหมดจะมองเห็นหวยได้ยังไง ตานี้ คนที่จะเห็นหวยได้ก็ต้องเป็นคนดีมีกิเลสบาง จิตนะอาด ไม่มีความโลภ ไม่คิดว่าจะทำลายทรัพย์สินของเขา นี่ว่ากันถึงคนที่รู้จริงนะ แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวควรจะซื้อหรือไม่ซื้อ ควรจะเล่นหรือไม่เล่น ถ้าคิดว่าจะเล่น เจ๊ง เพราะความโลภมันเกิด ต่อไปรู้เหมือนกัน รู้ใหม่ คราวนี้รู้ชัดกว่าเก่า แต่กินหมดไม่ตรงตามความเป็นจริง นี่เล่าสู่กันฟัง

    ทีนี้มาว่ากันถึงคนเล่นหวยสีกุก ตาคนนี้แกชื่ออะไรจำไม่ได้ อาตมาเคยเห็นหน้าแก เคยคุยกัน แต่เวลานี้นึกชื่อไม่ออก วันหนึ่งแกไปหาหลวงพ่อจง อาตมานั่งอยู่ที่นั่น ไปกราบๆ บอกขอหวยสัก 3 ตัว บอกตรงๆ เวลานั้นเป็นเดือนเมษา คือเดือน 5 แกบอกว่าเดือน 6 คือเดือนพฤษภาจะบวชลูกชาย แล้วตั้งใจจะซื้อหวยเลขที่หลวงพ่อจงให้ไปสัก 200 บาท บอกราคาเสร็จ บอกว่าจะเอาเงินบวชลูกชาย

    หลวงพ่อจงบอกให้ก็ไม่เล่น แกบอกว่าเล่นขอรับ ท่านก็บอกว่าเอาเถอะน่า ถึงให้ไปก็ไม่ซื้อหรอกหวยของฉันน่ะ แกไม่ซื้อ แกยังไม่มีลาภ แกก็เลยบอกว่าขอให้หลวงพ่อให้ก็แล้วกันผมต้องซื้อแน่ ท่านก็ยืนยันว่าตาคนนี้ไม่ซื้อ ในที่สุดอาตมาก็ยกมือขึ้นพนม กราบเรียนท่านว่าหลวงพ่อ ให้เขาเถอะขอรับ เขาจะซื้อหรือไม่ซื้อก็เป็นเรื่องของเขา เพราะตั้งใจจะไปทำบุญ ท่านก็มองๆ หน้าอาตมา แล้วบอกให้ได้แต่ไม่ซื้อ คนนี้ยังไม่มีลาภ เขาก็ถามว่าเลขอะไร ท่านก็เลยบอก เขียนให้ก็ได้ ท่านก็เขียนให้สามตัว แล้วท่านบอกไม่ต้องกลับนะ หวยรางวัลที่ 1 คราวนี้ออกตามนี้ ตาคนนั้นได้แล้วก็เอาใส่กระเป๋าไป อาตมาก็ขอลอกเขาไว้ อยากจะรู้ว่าหวยออกจริงตามนั้นไหม

    เมื่อเวลาหวยออกจริงๆ ตรงเป๋งไม่ต้องกลับ แล้วไปฟังข่าวว่าตานั่นแกรวยเท่าไหร่ มีเรือยนต์อยู่ลำหนึ่งชาวบ้านเขาซื้อให้ ก็วิ่งไปหน้าวัดสีกุก พอไปถึงวัด ก็ไปถามพระปลัดเที่ยง ถามว่ารู้จักโยมคนนั้นไหม ท่านบอกว่ารู้จัก ถามว่าบ้านนั้นเขารวยหวยเท่าไรรู้ไหม โดยมากคนที่ถูกล๊อตเตอรี่ใต้ดินมักจะมีข่าวไม่ยาก ประเดี๋ยวเดียวข่าวก็กระจายไปทั่วทุกทิศ เพราะเสมียนผู้จ่ายเขาเป็นคนโฆษณา เพราะเขาจะได้ขายได้คล่องๆ พระปลัดเที่ยงก็บอกว่าถูกที่ไหนล่ะ จะยิงตัวตายถึงกับต้องห้ามกัน

    ถามว่าทำไมล่ะ ก็ปรากฏตามเรื่องท่านบอกว่า แกไปขอหวยหลวงพ่อจงมา ได้เลขมา 3 ตัว หลวงพ่อจงบอกว่าเล่นไม่ต้องกลับ แต่ว่าที่ไหนได้ เมื่อเวลาหวยออกเข้าจริงๆ เสมียนเขามาจด แกไม่ได้ซื้อหวยของหลวงพ่อจง ลืมเลขไปเล่นหวยอาจารย์อื่นเสียเพลินไป หมดไปหลายร้อยบาท แกเขียนไว้แล้ว เลขของหลวงพ่อจงจะซื้อ 200 บาท แต่ลืมหยิบออกมา พอหวยออกปรากฏว่าแกไม่ถูก ไปเห็นเลขของหลวงพ่อจงเขียนทิ้งไว้ในกระเป๋าไม่ได้ซื้อไปกับเสมียนผู้จด เสียใจ วิ่งเข้าห้อง คว้าปืนจะยิงตัวเอง ชาวบ้านต้องห้ามกันถึงเอาปืนไปเก็บไว้ เวลานี้ก็ต้องมีคนคุม ไม่กล้าห่างแก เกรงว่าจะทำลายชีวิตตัวเอง

    นี่แหละท่านผู้ฟัง ไอ้เรื่องหวยเรื่อลาภน่ะมันเป็นยังงี้นา กฎของความเป็นจริงมันมี คนที่ไม่มีลาภมันก็ไม่เล่นหรอก ของดีไม่เอาเขาไม่ชอบกัน แต่คนที่มีลาภจริงๆ ถึงแม้ไปพบอุจจาระเข้าก็ยังคิดเป็นหวยได้เลย

    นี่จะพูดให้ฟัง เมื่อปี พ.ศ. 2497 หรือ 98 นี่ อาตมาจำไม่ได้นะ ไปเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอบ้านแพร้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นตำบลโรงเข้ มีเจ้าเด็กหนุ่มๆ 2 คน เข้ามาหาแล้วมาขอหวย ถามว่าหลวงพ่อขอรับมีหวยไหม ผมขอสัก 3 ตัว หรือ 2 ตัวก็เอา ก็เลยบอกแกว่าฉันไม่รู้หรอกเรื่องหวยนี่น่ะ เรื่องหวยนี่ฉันไม่พยายามรู้จริงๆ เพราะถ้ารู้แล้วมันยุ่ง เวลานี้ไม่รู้ เมื่อก่อนนี้เคยรู้เหมือนกัน แต่ว่ารู้แล้วไอ้คนเล่นมันเสียสัจจะ ก็เลยไม่กล้ารู้ต่อไป แล้วอีกประการหนึ่งถ้ารู้หวยเข้าแล้วไม่ได้หลับไม่ได้นอนหาความสุขไม่ได้ คนไปคนมาไม่มีเวลา ดึกๆ ดื่นๆ ก็มาหาพระ ฉันร่างกายไม่ดีก็เลยเลิกรู้เสีย ไม่รู้เสียแล้วมันสบายใจ

    ในเมื่อแกผิดหวัง แกก็ทำหน้าเสีย ถามว่าผมจะทำยังไง นึกว่าจะได้ลาภจากหลวงพ่อ ก็เลยบอกแกว่า ทางราชบุรีน่ะ วัดจุฬาเขาให้หวยเป็นปกติ ใครอยากจะรวยก็ไปขอท่านก็แล้วกัน เลขตัวท้ายน่ะท่านให้ตรงทุกทีนะ ตัวที่อยู่ท้ายสุด แต่ตัวอื่นไม่แน่นักว่าจะตรง ถ้าหากว่าเธอเล่นตัวเดียวละ ได้ทุกงวด ถ้าเป็นคนฉลาด เจ้าเด็ก 2 คนก็ลาไป หลังจะไปวัดจุฬา แต่ว่าเดินออกจากบ้านไปไม่นานนัก

    ไม่ถึงกิโล เจ้าคนหนึ่งไปเห็นอุจจาระซึ่งชาวบ้านเขามาถ่ายใหม่ๆ แล้วก็มีไม้ชำระอยู่ 3 อัน เขาก็ยืนมองก้อนอุจจาระกับไม้ชำระ เจ้าเพื่อนเดินเลยไปแล้วเดินเลยไป เห็นเจ้าเพื่อนคนนี้ยังไม่ไป ก็เดินกลับมาถามว่า เฮ้ยทำไมไม่ไปเล่า เพื่อนก็เลยเรียกเข้ามา บอกว่านี่ไง ข้าเจอะหวยแล้วว่ะ เจ้าเพื่อนก็เดินเข้ามาถามว่าอะไร ก็ชี้ให้ดูอุจจาระกับไม้ 3 อัน เฮ้ย นี่แหละหวย เพื่อนก็ว่าไอ้บ้า นั่นมันขี้นี่หว่า ขี้คนเขาขี้ไปใหม่ๆ เห็นเป็นหวยไปได้ ไอ้เจ้านั่นก็ยังบอก เอ้ย นี่แหละหวยละ ข้าได้แล้วละ ข้าไม่ไปแล้วโว้ยวัดจุฬา ข้าจะเอา 1 , 3 ไปเล่น 13 หรือ 31 แล้วคนขี้นี่ก้นมันอยู่ข้างล่าง ไอ้ 2 ตัวนี่มันต้องออกข้างล่าง เขาว่ายังงั้น

    ไอ้เจ้าเพื่อนก็ด่าเอา บอกเอ๊ นี่มันบ้ามากไปเสียแล้วโว้ย ขี้แท้ๆ เห็นเป็นหวยไปได้ เจ้านั่นก็บอกว่าช่างข้าเถอะ เอ็งจะหาว่าข้าบ้าข้าบอยังไงข้าก็ไม่ว่าละ ข้าได้แล้วข้าไม่ไปละ เอ็งอยากไปวัดจุฬาเอ็งก็ไป ข้าไม่ไปละ ข้าจะเอาหนึ่งสาม สามหนึ่งนี่ ไปเล่น เป็นอันว่าเจ้านั่นไม่ไปจริงๆ แต่ว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งไป ไม่เชื่อ ไปถึงวัดจุฬาท่านก็ให้มา 3 ตัว แล้วพอดีมีเลข 3 ห้อยอยู่ข้างหลัง แต่เลขข้างหน้า 2 ตัวไม่รู้ว่าเป็นเลขอะไรไม่ตรงกับหวย เขาได้มาก็เอามาให้อาตมาดู ว่าหลวงพ่อวัดจุฬาให้แบบนี้ ก็เลยขี้ให้เขาดูว่าไอ้เลขตัวห้อยท้ายสุดน่ะเคยออก วัดจุฬาเคยให้ทุกงวดถูกทุกที อีก 2 ตัวข้างหน้านี่ท่านไม่มีเจตนาจะให้ โดยมากมักเขียนผิดๆ เข้าไว้ แต่ว่าเลข 3 คราวนี้อยู่หลังแน่ท่านเขียนไว้ห้อยท้าย ตัวต่อไปจะเป็นเลขอะไรแกไม่รู้ ตัวกลางกับตัวหน้า

    ก็พอดีเจ้าคนนั้นมา เพื่อนเขาก็บอกว่าไอ้นี่มันไม่ได้ไปกับผมหรอกครับ มันไปเห็นก้อนขี้มีไม้ 3 อัน มันหาว่าเป็นหวย ก็เลยถามเจ้าคนมาทีหลังบอกว่า เอ็งเห็นก้อนอุจจาระน่ะ ไอ้ก้อนขี้น่ะเอ็งคิดว่ามันเป็นเลขอะไร มันว่าผมเห็นว่าเป็นก้อนเดียวครับเลยคิดว่าเป็นเลข 1 แล้วไม้ 3 อันคิดว่าเป็นเลข 3 ก็บอกว่าดีแล้ว เลข 3 คงจะมีแน่ เพราะว่าวัดจุฬาให้มาเลข 3 อยู่ท้าย เอ็งก็เอาเลข 1 ของเอ็งวางไว้ข้างหน้าก็แล้วกัน เล่นแค่ 2 ตัว อย่าเล่นมาก ถ้าเล่นมากมันจะกิน ถ้าเล่นน้อยมันจะกินหรือไม่กินก็ไม่รู้ แต่เลข 3 คงจะมีแน่ เพราะท่านวัดจุฬาท่านให้ไม่เคยผิดตัวท้าย ความจริงท่านรู้ทุกตัว เป็นอันว่างวดนั้นเจ้านั่นเล่น 13 เล่นไป 200 บาท แล้วเจ้าเพื่อนนั้นไม่ยอมเล่น 3 น่ะ มีแต่เล่นตามเลขของวัดจุฬา

    เมื่อเวลาล๊อตเตอรี่ออกจริงๆ เลขท้ายรางวัลที่ 1 สองตัวท้ายมีเลข 13 เป็นอันว่าหลวงพ่อขี้หรือหลวงพ่ออุจจาระให้หวยแม่น สำหรับท่านวัดจุฬาท่านก็ให้แม่นเหมือนกัน แต่ว่าท่านให้ตัวเดียว ประวัติของท่านวัดจุฬาน่ะเคยล้มเจ้ามือมาแล้ว เพราะท่านให้แบบนี้แหละ ให้แบบผิดๆ เรื่อยมา ใครไปขอท่านก็ให้ส่งเดช แต่ว่าตัวท้ายห้อยถูกเสมอ มีคราวหนึ่ง ท่านมาเป็นอุปัชฌาย์บวชพระที่ดำเนินสะดวก เห็นจะเป็นวัดโชติยาราม เวลาท่านออกจากโบสถ์มีเจ้ามือไปหาท่านยกมือไหว้ บอกว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่ออย่าให้หวยเลยขอรับ ผมจะแย่เสียแล้ว ลูกศิษย์หลวงพ่อเล่นหวยถูก ผมเกือบจะจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว

    แต่ความจริงไม่มีใครถูก ท่านก็เอามือป้องหน้า เรียกชื่อว่า เจ้านั่นใช่ไหม ไม่ออกชื่อนะ เวลานี้เขายังมีชีวิตอยู่เป็นคนใหญ่โต เรียกว่าเป็นคนกว้างขวาง มีลูกน้องมาก ฐานะดี ถามว่าเจ้านี่ใช่ไหม เขาก็บอกว่าใช่ บอก เออ ถ้ายังงั้นละก้อพรรษานี้ข้าขอ 2 ครั้งนะ แล้วเอ็งอย่าไปว่าข้านะ ข้าต้องขอ 2 ครั้ง ในเมื่อเอ็งมาเยาะเย้ยข้าอย่างนี้นี่ ไม่เป็นไร ต่อแต่นี่ไปในพรรษานี้แหละ ตั้งแต่วันเข้าพรรษาถึงออกพรรษาขอ 2 ครั้ง ตั้งท่าไว้ให้ดีนะ เขาก็ยิ้ม เพราะไม่เคยถูก คนไปขอหวยจากท่านไม่เคยถูกเลย

    พอกลับไป วันเข้าพรรษา ท่านก็เอากระดานแผ่นใหญ่ทาสีดำ แล้วเขียนเลขตัวเบ้อเร่อเชียว ขาวขนาดสักศอก 3 ตัว เอาไว้ที่ศาลาการเปรียญห้อยเอาไว้ เวลาคาเขาไปขอหวย ท่านก็บอก งวดนี้ฉันไม่รู้หรอกฉันให้ใครไม่ได้ แกไปขอกับศาลาการเปรียญเขาก็แล้วกัน ถ้าเขาให้ได้แกก็เอาไปเหอะ ถ้าเขาให้ไม่ได้แกก็อย่าเอา ถ้าเขาให้ได้ก็ถูกตรง ไม่ต้องกลับ ถ้าเขาให้ไม่ได้ก็เป็นกรรมของแก คนทุกคนก็เฮกันไปที่ศาลาการเปรียญเพราะทราบข่าวอยู่แล้วว่า หลวงพ่อจะจัดการกับเจ้ามือสัก 2 งวด เขาก็คิดว่ายังไงไอ้ 2 งวดนี้ต้องเอาทุนคืนให้ได้ ทุกคนไปท่านก็บอกแบบนั้น งวดนั้นเจ้ามือจ่ายเท่าไรรู้ไหม ขอลดลงมาจ่ายบาทละ 16 บาท ในที่สุดระหว่างเจ้ามือกับคนเล่น เสมียนกับคนเล่น ตีกันหลายวาระ เพราะเวลากินกินเขาเต็ม เวลาถูกจะมาขอลด บาทละ 600 บาท ขอลดเป็นบาทละ 16 บาท ล่อเสีย 500 กว่า ตีกันหลายรอบ

    นี่ไอ้เรื่องพระที่ท่านรู้จริงๆ น่ะมี แล้วกลางๆ พรรษาท่านล่อแบบนั้นเข้าอีกครั้ง เจ้ามือไปขอร้องท่าน ท่านบอกไม่ได้หรอก ฉันบอกแล้วนี่ฉันขอ 2 งวด ยังไงๆ แนก็ต้องบอกให้เขาถูกกันให้ได้ 2 งวด ถ้าแกเกรงว่าเขาจะถูกแกก็เลิกเป็นเจ้ามือไป

    นี่พระที่ท่านรู้จริงๆ น่ะมีแต่ว่าท่านที่เคยวินิจฉัยว่าพระรู้ไม่ได้นี่ก็สงสัยเหมือนกัน คงจะไม่ได้ศึกษาวิชาหลักสูตรของพระพุทธศาสนาครบถ้วน ท่านที่ทรงวิชชาสาม อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ พวกนี้รู้ได้จริงๆ แต่ว่าถ้าเรารู้กันแต่ตำราละก็เจ๊งละ เก่งพระพุทธศาสนาเพียงแค่ตำราอย่างเดียว เปิดหนังสือเล่มโน้น เปิดหนังสือเล่มนี้ เวลาจะคุยละก็อ้างหนังสือกันเป็นสำคัญ แล้วมันจะเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้ยังไง เรารู้เรื่องของต่างประเทศทุกประเทศ แต่ไม่เคยไปประเทศนั้นเลย แล้วเราจะรู้ความเป็นจริงได้ยังไง นี่ซีนะ ลองวินิจฉัยกันดูก็แล้วกัน เอ้า เรื่องนี้ผ่านไป
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๘.ผีวัดช่างเหล็ก

    เห็นหัวข้อเรื่องเขียนไว้ว่าผีวัดช่างเหล็ก คือเรื่องราวเป็นอย่างงี้
    วัดช่างเหล็กนี่น่ะ ก็อยู่เขตอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถ้าเราวิ่งเรือตามกระแสน้ำไปทางจังหวัดพระนคร จะอยู่ใต้จากหลวงพ่อจงไปไม่มากนัก

    วัดช่างเหล็กวันนั้นเขาจะรื้อกุฏิหลังหนึ่งเป็นกุฏิเก่าแข็งแรงมากยาว 9 ห้อง แต่ว่าเป็นกุฏิเก่าๆ ประตูหน้าต่างก็ไม่กว้าง อากาศก็ไม่ดี สมภารเขาจะรื้อแล้วจะทำใหม่ ก็ตั้งท่ารื้อกันตั้งแต่ตอนเช้าพระฉันข้าวเสร็จก็นั่ง ทำพะองขึ้นไปก่อน ทำนั่งร้านขึ้นไปเพื่อขึ้นหลังคา กำลังจะรื้อกระเบื้อง ความจริงพึ่งจะรื้อกระเบื้องได้แถบเดียว หรือยังไม่เต็มแถบดีก็ไม่ทราบ มันหลายคนด้วยกัน พระด้วยฆราวาสด้วย ก็พักถึงเวลาเพล

    ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าอาวาสก็สั่งพระพัก ว่าสักบ่ายโมงค่อยทำ ไปนั่งฉันน้ำร้อนน้ำชากันในโบสถ์ระหว่างนั้น ปรากฏว่ามีลมพัดมา เสียงลมอู้ แล้วก็ด้านหลังวัดมีกอไผ่มาก เหลียวไปดูที่ไหน ความจริงไม่ใช่ลม มันเป็นเสียงควงกระบองของผีน่ะ กลางวันนะ เวลากลางวันปรากฏผีตัวใหญ่สูงกว่ายอดไผ่ เดินข้ามยอดไผ่มา เข้ามาถึงบริเวณนั่งร้านที่เขากำลังรื้อหลังคา มาถึงกระชากๆ นั่งร้านพังหมดเสร็จแล้วก็เดินกรายมาทางโบสถ์ ทั้งพระทั้งฆราวาสทั้งลูกวัดทั้งสมภาร บอกว่าเกือบไม่หายใจ กลัวตกใจเกือบช๊อคตาย แกเดินไปเดินมาเดินมาเดินไปแล้วก็เดินหายไป กลางวันแท้ๆ นะ

    พอเรื่องราวผ่านไปทุกคนไม่กล้าขึ้นกุฏิแล้ว ลงเรือข้ามฟากมาหาหลวงพ่อจง พอดีวันนั้นอาตมานั่งอยู่ที่นั่นพอดี เพราะไปหาหลวงพ่อจงบ่อย ถ้าหากว่ามีธุระอะไรก็ท่านมักจะให้คนมาตาม ถามว่ามีธุระไหม ถ้าไม่มีธุระกลางวันให้ไปคุยกันแล้วความจริงคุยกับท่านก็ได้ประโยชน์มาก เพราะผลของการปฏิบัติ หลวงพ่อจงปฏิบัติพระกรรมฐานได้ดีมาก

    ท่านแนะนำอะไรบ้างตามสมควรในจุดที่สำคัญๆ พูดถึงอารมณ์ของจิต ก็มีประโยชน์ แต่เรื่องนั้นไม่นำมาพูดในที่นี้ พอเขาไปกันเขาก็ไปไหว้หลวงพ่อจง เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง หลวงพ่อจงก็ชี้มา บอก ถามท่านมหาเขาดูซิว่าผีมีไหม เขาก็หันหน้ามามอง ความจริงเจ้าอาวาสวัดช่างเหล็กก็ชอบกัน ก็เลยบอกว่าเรื่องผีนี่ผมโดนมาจนเข็ดแล้วขอรับ หลวงพ่อปานเคยสั่งว่าอย่าอวดเก่งกับผีอย่าอวดดีกับพระ ไอ้นี้เรื่องจริงครับ ไม่ไหวถ้าผีจะให้ผมสู้ผมไม่สู้แน่ ถ้าผีเล็กยอมสู้ ผีใหญ่สู้ไม่ได้

    เขาก็เลยถามว่า ผีตัวโตๆ แบบนั้นเป็นแบบอะไร ก็เลยบอกว่าถ้าไม่ใช่ยักษ์ก็เป็นกุมภัณฑ์ ท่านเวลาที่จะรื้อกุฏิคงไม่ได้บอกเจ้าของเขาก่อนกระมัง เขาก็เลยบอกว่าไม่ได้บอก เห็นมันเก่าก็อยากจะรื้อซ่อมแซม แล้วจะทำ ก็เลยบอกว่าไอ้ของนี่เรารื้อได้ แต่หากว่าเจ้าของเดิมเขายังหวงแหนอยู่ เขาอาจจะไม่ยอมให้รื้อ หรือถ้าอยากจะรู้อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีใครขัดคอก็เคยเห็นหลวงพ่อปานบวงสรวงก่อนเสมอว่าเจ้าของจะให้หรือไม่ให้ ถ้าให้ท่านก็รื้อ ไม่ให้ท่านก็ไม่รื้อ

    หลวงพ่อจงก็เลยบอกว่า นั่นเป็นความจริงผีที่มาเป็นยักษ์ลูกศิษย์ท้าวเวสสุวรรณ เขาก็ถามว่า ทำยังไงถึงจะรื้อได้ หลวงพ่อก็บอกว่าให้ไปตั้งศาลเพียงตาบอกเขาเสียก่อน บอกเขาให้รู้เรื่องว่าเราจะทำอะไร ถ้ารื้อมาแล้วต้องทำให้ดีกว่าเก่านะ จะไปยุบของเขาให้เล็กไม่ได้นะ กุฏิหลังนั้นยังแข็งแรงอยู่ ไม้ไร่ยังดี ต้องทำให้สวยกว่าเก่าดีกว่าเก่าแข็งแรงเท่าเดิมหรือยิ่งกว่านั้น อย่าไปหากำไรจากการรื้อเอาไม้เอาไร่เขามาขาย ไม่ได้นะ เขาก็รับรองแล้วเขาก็เลยนิมนต์หลวงพ่อจงให้ไปบวงสรวง

    หลวงพ่อจงก็ชวนอาตมาไป ก็ไปด้วยกัน พอไปถึงแล้วเวลาหลวงพ่อจงท่านก็ถามว่าจะทำยังไงดีล่ะ ไอ้ฉันเสียงมันก็ไม่มี ก็เลยบอกว่าเอางี้ก็แล้วกันขอรับ บวงสรวงผมทำได้ แต่ว่าหลวงพ่อนั่งเป็นประธาน การตกลงกับเขาเป็นเรื่องของหลวงพ่อจง แต่ว่าการบวงสรวงเชิญมาเป็นเรื่องของผม ดีไหม ท่านบอกว่าดี ก็เลยตั้งพิธีบวงสรวงกัน

    ขณะที่บวงสรวงนั่นเอง ความจริงตอนนี้ไม่ได้เล่าให้ใครฟังนะ ก็ปรากฏว่าท่านผู้ใหญ่ 4 ท่าน ใหญ่เท่าที่เคยมา ปรากฏกายขึ้น 4 องค์ ตานี้หลวงพ่อจงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ตัวของเขามันสูงมากเลยศาลา หัวนะ นี่ทำให้ปรากฏแก่คนทุกคนหมด คนทุกคนเห็นกันหมด โดยเฉพาะเจ้าวัดกับทายกที่รื้อกุฏิถึงกับนั่งก้มหน้านิ่งเห็นจะคร้ามกระบอง แต่ละท่านมีกระบองเหมือนกับพลองลูกเสือ ปรากฏชัด นั่นเป็นอานุภาพของหลวงพ่อจงนะ หลวงพ่อจงท่านทำให้เห็น หลวงพ่อจงนี่เป็นพระอภิญญา แค่ลำพังอาตมาละก็เจ๊งละ ไม่มีทาง เห็นคนเดียวเห็นได้ คนอื่นเห็นด้วยไม่ได้

    พอเสร็จแล้ว หลวงพ่อจงก็ถามให้เขาตอบ หัวหน้าเขาก็ตอบว่าการทำอ่ะไรไมได้ปรึกษาหารือแล้วที่จะทำนี่นะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ดีกว่าเดิมหรอก ทำให้เลวกว่าเดิม จะยุบลงเป็นหลังเล็กๆ ไม้ของสงฆ์ก็จะเหลือแล้วในที่สุดก็จะทอดทิ้งไป หรือเอาเข้าบ้านเข้าช่องไป จึงไม่ต้องการให้รื้อ ถ้าหากว่าต้องการจะทำให้ดีกว่าเก่าใหญ่เท่าเก่า อย่างงี้ทำได้ รื้อได้ ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามนั้นเป็นอันว่า คนทุกคนที่รื้อหรือที่จัดการก็ต้องถึงกับทุพพลภาพทุกคน แต่ไม่ถึงตาย เรื่องนี้หลวงพ่อจงก็หันมาถามเจ้าอาวาสกับทายก ทุกคนยกมือขึ้นพนม รับปากว่าจะทำตามนั้น นี่เป็นอันว่าเรื่องของวัดช่างเหล็กก็ขอผ่านไป
    นี่เล่าให้ฟังนะ เชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ได้ว่าอะไร
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๙.ผีวัดไทรใหญ่

    ทีนี้มาคุยกันถึงวัดไทรใหญ่ วัดไทรใหญ่นี่อาตมาจำไม่ได้นะ ว่าเป็น พ.ศ. เท่าไหร่ ปีนั้นเขาฝังลูกนิมิต เขานิมนต์ไป เอารูปหล่อหลวงพ่อปานไป แล้วก็นิมนต์หลวงพ่อจงไป แล้วก็มีอาจารย์เกิด แกไปหุงน้ำมัน อยู่จังหวัดนนทบุรี ไปหุงน้ำมันแจก แกคุยว่าน้ำมันของแกเดือนแล้วไม่ร้อน ความจริงเครื่องสมุนไพรมันค่อนกระทะ ตามปกติเท่าที่เคยสังเกต ถ้ามีสมุนไพรมากๆ ไอ้เจ้าน้ำมันนี่มันเดือดง่าย ไม่ทันจะร้อนเท่าไรก็มีเดือดปุดๆ ถ้าเราเอามือจุ่มลงไปละก็มันจะเพียงแค่อุ่นๆ ร้อนไม่มาก แต่ห้ามเอามือถูกก้นกระทะ ก้นกระทะมันจะร้อนมาก แต่ว่าท่านว่ามันเป็นวิชาการของท่าน ก็เป็นเรื่องของท่านไป

    ขณะที่เขานิมนต์ไป เอารูปหล่อของหลวงพ่อปานไปตั้งไว้ มีคนไปปิดทอง ปีนั้นปรากฏว่าได้เงินหมื่นแปดพันบาท กว่าจะหมดเวลา นี่รูปหล่อหลวงพ่อปานนะ หลวงพ่อจงนั่งลงนะหน้าทอง ก็ได้เงินหมื่นแปดพันเหมือนกัน ได้เท่ากัน หลวงพ่อจงหัวเราะชอบใจใหญ่ บอกว่าหลวงพ่อปานนั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้หมื่นแปดพันบาท ฉันลงนะหน้าทองเกือบตาย ได้หมื่นแปดพัน ฉันสู้หลวงพ่อปานไม่ได้ ท่านว่ายังงั้น

    ทีนี้ ในระหว่างที่พักอยู่ด้วยกัน เขาให้อยู่กุฏิ 2 ชั้น อยู่ชั้นสอง คืนหนึ่งอาตมานอนตื่นขึ้นประมาณตีสอง งานเขาก็เงียบไปแล้ว ลิเกละครก็เลิกหมดแล้ว ไฟฟ้าจุดสว่างก็เดินไปส้วม ส้วมอยู่ไกลกุฏิสักหน่อย ผ่านหน้ากุฏิร้างหลังหนึ่งไป ความจริงเป็นกุฏิสะอาดสวยและเป็นกุฏิใหม่ แต่ไม่รู้ว่าร้าง ขณะขาเดินไปก็ไม่มีอะไร ขากลับมาทั้งๆ ที่ไฟฟ้าสว่าง ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางคล้ายกับเจ็บหนักอยู่ในกุฏิ ก็เดินเข้าไปดูเห็นกุฏิใส่กุญแจพอไปถึงหน้าประตู เสียงนั้นก็เงียบไป

    แต่พอถอยห่างออกมาเสียงนั้นก็ครางอีกเป็นเสียงผู้หญิง เห็นกุฏิใส่กุญแจก็นึกในใจว่าเอ๊ะใครมันจะเอาผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายในนี้กระมัง คนเลวๆ ก็มีอยู่เหมือนกัน เห็นกุฏิพระว่างๆ อาจจะทำปู้ยี่ปู้ยำก็ได้ ก็เลยหาทางเข้า เดินไปดูรอบๆ นอกเห็นหน้าต่างเปิดอยู่บานหนึ่ง ก็เลยเอาไม้พาดปีนขึ้นไปดูบนหน้าต่างแล้วก็เข้าไปในห้องนั้น ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย หาคนสักคนก็ไม่มี สิ่งที่มีชีวิตไม่มี ของที่มีค่าก็ไม่มี เป็นกุฏิว่าง ก็สงสัยว่าเอ๊ กุฏิว่างอยู่ทั้งหลัง มีงานใหญ่ๆ แบบนี้น่าจะจัดให้คนพัก ทำไมเจ้าอาวาสไม่จัดให้คนพัก ก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน

    ทีนี้เมื่อลงมาห่างกุฏิ ได้ยินเสียงครางอีก ก็เลยเข้าใจว่าอีคราวนี้ไม่ใช่คนแน่ ผีแน่ ก็เลยไม่สนใจ เดินกลับมาที่นอนพอขึ้นไปถึงชั้นบนปรากฏว่าหลวงพ่อจงตื่นขึ้นแล้ว ลุกขึ้นมานั่งคอย พอขึ้นไปท่านก็ถามว่านี่ เมื่อกี้นี่พบนักเลงโตใช่ไหม ก็ถามว่าอะไรขอรับหลวงพ่อ เมื่อกี้นี้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ใช่ไหม ความจริงกุฏินั่นอยู่ไกลกันมากนะ แกร้องไม่ดังนัก ถ้าจะคิดว่าหลวงพ่อจงได้ยินละ ไม่ได้ยินแน่ แต่ว่าท่านรู้และท่านได้ยิน ก็เลยบอกว่า ขอรับได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง กระผมเข้าไปดูแล้วขอรับ ไม่เห็นมีผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่มีผู้หญิงก็ไม่มี คนก็ไม่มี กุฏิใส่กุญแจ แต่ว่าหน้าต่างเปิดไฟฟ้าสว่าง ถ้าบังเอิญคนจะลงไปผมต้องเห็น

    พอผมเห็นกุฏิใส่กุญแจผมก็เดินออกมา ยังได้ยินเสียงครางอยู่ เดินอ้อมไปทางหลัง ถ้าเขาจะลงตอนนั้นผมต้องเห็นแน่ เพราะไฟฟ้าสว่าง ท่านก็บอกว่าดูไม่พบหรอก เพราะว่าคนที่ร้องนั่นไม่ใช่คนเป็นนางไม้ กุฏินั้นก็มีเสาตกน้ำมันไม่มีพระกล้าอยู่ เขากลัวกัน ก็เลยถามว่าหลวงพ่อทราบได้ยังไง ท่านก็เลยบอกว่าเมื่อกี้นี้เธอไปส้วม ฉันก็เลยตามไปด้วย ก็เลยสงสัยไม่เห็นท่านตามไปสักนิดหนึ่ง เห็นท่านนอนหลับสนิท

    แต่ความจริงอาจจะไม่หลับก็ได้ หลับตาไว้ แต่ไอ้ตอนเดินตามนี่ไม่มีแน่ ก็เลยกราบเรียนท่านว่าหลวงพ่อตามผมไปยังไงขอรับ ผมเห็นหลวงพ่อนอนอยู่นี่ แล้วก็ไฟฟ้าสว่างคนทั้งคนถ้าตามผมไปผมต้องเห็นท่านก็บอกว่าฉันไม่ได้เอาตัวไปหรอก ฉันเอาใจไป ฉันเอาใจตามเธอไป ฉันจึงรู้เรื่อง ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า เรื่องเสาตกน้ำมันนี่จะแก้ไขได้ไหม ท่านบอก ไม่ยากเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเจ้าวัดเขาโง่ ปล่อยให้กุฏิร้างเฉยๆ ได้ ทำเสียนิดเดียว รับรองเขาเสียหน่อยเดียว พูดกันให้รู้เรื่องพระเจ้าก็จะอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าใครปฏิบัติชอบเขาอาจจะสนับสนุนให้รวยก็ได้
    เอาละเรื่องนี้ผ่านไปนะ เท่านี้แหละ ไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเล่าสู่กันฟัง
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๐.หลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโค

    ในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ วันนั้นท่านจะทำงานอะไรอาตมาจำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะฉลองศาลา เป็นงานใหญ่มาก งานที่หลวงพ่อปานจัดไม่มีมหรสพ ปี่พาทย์ก็ไม่มี ท่านบอกว่าท่านหนวกหู แล้วพระอื่นก็มาหมดแล้ว ถึงเวลาบ่าย 3 โมงเย็น พระมาหมด เวลาที่จะลงมือสวดมนต์เย็นก็ประมาณบ่ายสี่โมง หลวงพ่อจงยังไม่มา ท่านก็ให้อาตมาไปตาม

    นายปั๋งเป็นคนญวนเข้ามารับอาสาเอาเรือเร็วให้นั่งไป เขาเป็นคนขับ เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงปรากฏว่าหลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ผู้ชาย 5 คน อยู่ที่วัดก็ขึ้นไป เรียนท่านว่า เวลานี้พระที่สวดมนต์เย็นมาครบแล้วครับ หลวงพ่อปานให้มาตาม ท่านก็บอกว่าประเดี๋ยวก่อน ฉันรดน้ำมนต์ก่อนเดี๋ยวฉันไปทัน ก็เลยกราบเรียนถามว่าหลวงพ่อไปเรือจ้างน่ะ ช้าครับ กระผมเอาเรือเร็วมารับ ท่านก็บอกไม่ต้องหรอก ฉันจะเดินไป เรือมันช้ากว่าเดิน แหมแต่ความจริงไปทางเรือไกลกว่าทางเดินประมาณครึ่งเท่า

    แต่ว่าถ้าจะเดินจริงๆ จากวัดบางนมโคไปวัดหน้าต่างนี้ประมาณ 4 กิโล แล้วเรือวิ่งประมาณ 10 นาทีเศษๆ เดินถ้าเดินจริงๆ ก็ถึงชั่วโมง หรือเกือบชั่วโมง เพราะไม่ใช่มีทาง ต้องเดินลัดทุ่ง เดินไม่ถนัดนัก ท่านก็บอกว่าไม่ไปเรือมันช้า ฉันจะเดิน ก็บอกว่าเรือเร็วขอรับ ท่านบอกว่าเร็วก็สู้ฉันเดินไม่ได้ ไปก่อน ในที่สุดท่านก็ขับให้มา เมื่อท่านขับให้มาก็ต้องกลับ เมื่อกลับมาถึงวัดบางนมโค แล้วก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปานบอกว่า หลวงพ่อจงท่านกำลังจะรดน้ำมนต์คนอยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง หรืออาจจะเย็นหน่อย เพราะต้องเดินลัดทุ่งมา

    พอหลวงพ่อปานฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่านี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้วละ แกไปดูบนศาลาซิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก พวกพระครูพระราชาคณะที่ไปในที่นั้น ไม่มีใครนั่งหน้าหลวงพ่อจง เพราะถืออาวุโสเป็นสำคัญ เว้นไว้แต่เข้าวัง เขาถือพัด พัดยศ ถือยศเป็นสำคัญ แต่ข้างนอกนี่เขาไม่ถือยศเป็นสำคัญ เขาถืออาวุโสเป็นสำคัญ ไปถึงก็กราบๆ

    ท่านถามว่ามาถึงนานแล้วรึ ก็กราบเรียนท่านว่าพึ่งมาถึงขอรับ ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีก็มานี่ ท่านก็เลยบอกว่าฉันบอกแล้วไงล่ะ ว่าไอ้เรือน่ะมันช้ากว่าฉันเดิน เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงนี่เดินยังไง คนหนุ่มๆ ยังเดินตั้งชั่วโมง หลวงพ่อจงเดินแบบไหน นั่งเรือไม่ถึง 15 นาที แล้วหลวงพ่อจงก็กำลังจะรดน้ำมนต์เขา ยังไม่ทันจะรดเลย ขณะที่มากำลังทำน้ำมนต์อยู่ กำลังจะรด แต่ว่านั่งเรือเร็วมาท่านมาถึงก่อน นี่แปลกใจ กำลังนั่งคิดอยู่ท่านถามว่าแปลกใจรึ ก็บอกว่าแปลกใจขอรับ ท่านบอกว่ามีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติไปถึงขั้นเดินเก่งละมันเดินเก่งทุกคนแหละ ถ้าปฏิบัติไม่ถึงมันก็ยังเดินไม่เก่ง

    เรื่องนี้ขอผ่านไป เรื่องของหลวงพ่อจงที่รู้ๆ มามีมาก แต่เอาแค่หอมปากหอมคอ เอาอีกเรื่องเดียวจบกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...